« เมื่อ: ธันวาคม 25, 2024, 07:28:18 am »
0
.
หลักธรรมที่ทำให้มนุษย์เกิดเป็นเทวดา ในทัศนะของพระพุทธศาสนาเถรวาทหลักธรรมที่เป็นแนวปฏิบัติ หรือหลักปฏิบัติที่เป็นเหตุให้มนุษย์ธรรมดาสามัญ ได้รับผลของการประพฤติปฏิบัติ อันเป็นสิ่งที่ดีงามที่เป็นเหตุให้ได้เกิดเป็นเทวดาตามแนวแห่งหลักของพระพุทธศาสนา ดังนั้นผู้วิจัย จึงได้ศึกษาหลักธรรมที่ทำให้มนุษย์เกิดเป็นเทวดาในทรรศนะของพระพุทธศาสนา ดังนี้
@@@@@@@
๑. เทวธรรม
หลักธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติของเทวดาโดยตรงและเป็นข้อปฏิบัติให้ไปเกิดเป็นเทวดาหลักธรรมนี้เรียกว่า "เทวธรรม" เทวธรรม คือ ธรรมมะของผู้เป็นเทวดา หรือ ธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา ดังข้อความที่ปรากฏในขุททกนิกายชาดกว่า
“สัตบุรุษทั้งหลาย ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ ตั้งอยู่ในธรรมอันขาว ท่านเรียกว่า ผู้มีเทวธรรมในโลก”
หลักเทวธรรมดังกล่าว มีความหมายที่ขยายออกเป็นประเด็นใหญ่ ๆ ได้ ๓ ประเด็น คือ
๑) ผู้ที่เกิดเป็นเทวดาแล้วต้องปฏิบัติตนอยู่ในเทวธรรม คือ หิริ ความละอายบาป มีกายทุจริต เป็นต้น และโอตตัปปะ ความกลัวต่อผลของบาป มีกายทุจริต เป็นต้น เพื่อทรงสถานะของความเป็นเทวดาให้อยู่ได้นาน จึงเรียกว่า
“สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันขาว ท่านเรียกว่าผู้มีธรรมของเทวดาในโลก”
๒) ผู้ประกอบด้วยเทวธรรม คือ หิริ และโอตตัปปะ ตั้งอยู่ในธรรมอันขาว ท่านเรียกว่า ผู้มีเทวธรรม คือ มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นคนดีดารงตนอยู่ในเทวธรรม ชื่อว่า ผู้มีเทวธรรม เป็นเทวดาในโลกมนุษย์ จะเห็นได้ว่า การจัดประเภทเทวดา ท่านจัดพระราชาเป็นเทพประเภทหนึ่งเรียกว่า สมมติเทพ เป็นเทวดาโดยสมมติ อีกประการหนึ่ง เทียบได้กับการจัดมารดาบิดาซึ่งเป็นมนุษย์แต่ประพฤติพรหมวิหารธรรมต่อบุตร ท่านจัดว่า มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร คือ เป็นพรหมในโลกมนุษย์
๓) เทวธรรมเป็นหลักปฏิบัติที่ทำให้ผู้ปฏิบัติได้ไปเกิดเป็นเทวดา พระอรรถกถาจารย์แสดงไว้ว่า กุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริและโอตตัปปะเป็นมูล ชื่อว่า เทวธรรม เพราะมีความหมายว่า เป็นเหตุแห่งกุศลสัมปทา แห่งการเกิดในเทวโลก และแห่งความหมดจด เหตุแห่งการเกิดในเทวโลก ก็คือ เหตุที่ทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา
สรุปว่า หลักเทวธรรม นั้นทำให้ผู้ปฏิบัติมีสถานะความเป็นเทวด าคงอยู่ได้นานทั้งโลกนี้และโลกหน้า ผู้ประพฤติตนยกจิตสูงขึ้นจนได้ไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว ก็ยังต้องประพฤติธรรมเพื่อรักษาภาวะของตนไว้ ไม่ให้ตกไปสู่ความหายนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือ ต้องประพฤติเทวธรรมอยู่ตลอดเวลา หลักเทวธรรมนี้ยังเหตุแห่งการเกิดในเทวโลกและพรหมโลกด้วย
@@@@@@@
๒. วัตตบท ๗
หลักธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติให้เป็นพระอินทร์ซึ่งก็คือ ผู้เป็นใหญ่ ผู้ซึ่งเพียบพร้อมด้วยบริวาร แห่งเทวดาทั้งปวง หลักธรรมนี้เรียกว่า "วัตตบท" วัตตบท คือ คุณธรรมของพระอินทร์ คือ ผู้เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าเทวดาชั้นดาวดึงส์เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้บำเพ็ญคุณธรรมนี้ สามารถนำมาปรับใช้กับผู้ที่เป็นผู้ใหญ่หรือหัวหน้า มี ๗ ประการ ได้แก่
(๑) เราพึงเลี้ยงมารดาและบิดาตลอดชีวิต
(๒) เราพึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
(๓) เราพึงพูดจาคำอ่อนหวานตลอดชีวิต
(๔) เราไม่พึงพูดคำส่อเสียดตลอดชีวิต
(๕) เราพึงมีใจปราศจากความตระหนี่ที่เป็นมลทินอยู่ครองเรือน มีการบริจาคเป็นประจำ มีมือชุ่มเป็นนิจ ยินดีในการเสียสละ ควรที่ผู้อื่นจะขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต
(๖) เราพึงพูดแต่คำสัตย์ตลอดชีวิต และ
(๗) เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ถ้าแม้ความโกรธพึงเกิดขึ้นแก่เรา เราก็จะกำจัดฉับพลันทันที
ในครั้งพุทธกาลนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตตบท ๗ ประการอย่างสมบูรณ์ เพราะสมาทานวัตตบท ๗ ประการ จึงได้เป็นท้าวสักกะ
วัตตบท ๗ ประการนั้นได้แก่
(๑) เราพึงเลี้ยงมารดาและบิดาตลอดชีวิต
(๒) เราพึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
(๓) เราพึงพูดจาคำอ่อนหวานตลอดชีวิต
(๔) เราไม่พึงพูดคำส่อเสียดตลอดชีวิต
(๕) เราพึงมีใจปราศจากความตระหนี่ที่เป็นมลทินอยู่ครองเรือน มีการบริจาคเป็นประจำ มีมือชุ่มเป็นนิจ ยินดีในการเสียสละ ควรที่ผู้อื่นจะขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต
(๖) เราพึงพูดแต่คำสัตย์ตลอดชีวิต และ
(๗) เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ถ้าแม้ความโกรธพึงเกิดขึ้นแก่เรา เราก็จะกำจัดฉับพลันทันที
สรุปได้ว่า หลักธรรมวัตตบท นั้นเป็นหลักธรรมที่ต้องอาศัยความอดทนและความอ่อนน้อม และความเสียสละสูงในการปฎิบัติตนให้เพียบพร้อม เนื่องจากว่าจะต้องบำเพ็ญกับบิดามารดาและต่อผู้ใหญ่ทั้งต่อหน้าและลับหลัง อย่างเสมอต้นเสมอปลาย โดยไม่ลดละ และต้องปฎิบัติด้วยความปราศจากมลทินและอกุศลจิตทั้งปวง จึงจะทำให้สมบูรณ์และเข้าถึง คำว่า "วัตตบท" ได้
๓. บุญกิริยาวัตถุ
พระพุทธศาสนาได้แสดงหลักธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติให้เกิดความสุขและเป็นข้อปฏิบัติ ซึ่งมีความสำคัญเพียบพร้อมด้วยการฝึกด้าน กาย วาจา และใจ เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นเทวดา หลักธรรมนี้เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ในบุญกิริยาวัตถุนั้น ได้แบ่งออกเป็น ๒ หมวดใหญ่ ได้แก่ บุญกิริยาวัตถุ ๓ และบุญกิริยาวัตถุ ๑๐
สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือ การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำบุญที่เรียกว่า กิริยาวัตถุ ๓ ประการ คือ
(๑) ทานมัย บุญสำเร็จด้วยให้ทาน
(๒) สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดีมีระเบียบวินัย
(๓) ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจ
และบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการนั้น มี
(๑) ทานมัย คือ ทำบุญด้วยวัตถุ การให้เป็นสิ่งของ
(๒) สีลมัย คือ ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดี
(๓) ภาวนามัย คือ ทำบุญด้วยการเจริญภาวนาฝึกอบรมจิตใจ เริ่มตั้งความพิจารณาโดยความสิ้นไปเสื่อมไป
(๔) อปจายนมัย คือ ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม ประกอบด้วยความเคารพยำเกรง
(๕) เวยยาวัจจมัย คือ ทำบุญด้วยการขวนขวายรับใช้ ช่วยทำกิจของผู้อื่น
(๖) ปัตติทานมัย คือ ทำบุญด้วยการให้ส่วนบุญแก่ผู้อื่น การเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น
(๗) ปัตตานุโมทนามัย คือ ทำบุญด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น
(๘) ธัมมเทสนามัย คือ ทำบุญอันสาเร็จด้วยการแสดงธรรม ทำด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ผู้อื่น
(๙) ธัมมัสสวนมัย คือ ทำบุญอันสาเร็จด้วยการฟังธรรม ด้วยการศึกษาหาความรู้หลักธรรม
(๑๐) ทิฏฐุชุกัมม์ คือ ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง
บุญกิริยาวัตถุ นี้เป็นหลักปฏิบัติที่มีความสัมพันธ์กับความเป็นเทวดา เพราะเป็นเหตุที่ทำให้มนุษย์เป็นเทวดาได้ ตามหลักของการพัฒนากาย วาจา และใจ บุญที่อำนวยผลให้ผู้กระทำไปเกิดเป็นเทวดานั้น มีได้ทั้งการทำบุญในพระพุทธศาสนาและนอกพระพุทธศาสนา แต่สมบัติพิเศษที่จะได้รับมีไม่มากเท่าผู้ที่ทำบุญในพระพุทธศาสนา
ดังนั้น ส่วนใหญ่ชาวพุทธหรือพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จึงมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่นิยมการแสวงบุญนอกพระพุทธศาสนา บุญนั้นเป็นเหตุ ความเป็นเทวดานั้นเป็นผล คือ บุญได้อำนวยให้มนุษย์ได้เกิดเป็นเทวดา การอุบัติเป็นเทวดานั้น เมื่อจะเกิดก็เป็นอุปปัตติเทพ ไม่ต้องนอนในครรภ์ของมารดา หรือว่าอยู่ในฟองไข่เหมือนเช่นมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานทั่วไป
ส่วนจะตั้งอยู่ในฐานะอย่างไรนั้น ก็แล้วแต่การบำพ็ญหรือการสั่งสมบุญมาว่า มากหรือน้อยเพียงใด เพราะผลกรรมทั้งกรรมดีและกรรมชั่วที่มนุษย์เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมาจากเหตุที่มนุษย์เราได้กระทำกรรมไว้ในอดีตนั่นเอง
สรุปได้ว่า ประโยชน์ในเบื้องหน้าหรือภพหน้าที่มนุษย์ปรารถนาก็คือ สุคติโลกสวรรค์เ พราะเป็นดินแดนที่คนส่วนมากต้องการไปเกิด สวรรค์ คือ เมืองฟ้า เป็นดินแดนที่บริบูรณ์ไปด้วยความสุขล้วน หมู่สัตว์ที่จะได้เกิดในสวรรค์จึงจำเป็นต้องมีหลักการปฎิบัติที่เรียกว่า "บุญกิริยาวัตถุ" เพราะบุญกิริยาวัตถุเป็นหลักปฏิบัติที่มีความสัมพันธ์กับความเป็นเทวดา เพราะเป็นเหตุที่ทำให้มนุษย์เป็นเทวดาได้
@@@@@@@
๔. สัมปทา ๕
ทางพระพุทธศาสนาได้มีหลักธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติให้เข้าถึงความเป็นเทวดาได้ซึ่งเรียกว่า "สัมปทา" สัมปทา ๕ คือ หลักธรรมที่ทาให้เป็นเทวดา หรือข้อปฏิบัติอันเป็นเหตุให้มนุษย์ไปเกิดเป็นเทวดามี ๕ ประการคือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา มีรายละเอียดดังนี้
๑) ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความมั่นใจในเหตุผลถูกต้องตามหลักพระศาสนา เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นข้อยืนยันว่ามนุษย์สามารถฝึกหัดกาย วาจา ใจให้วิมุตติหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงได้
๒) ศีล คือ ระเบียบความประพฤติ ได้แก่ ระเบียบวินัย เป็นข้อปฏิบัติสำหรับกำจัดกิเลสอย่างหยาบที่แสดงออกทางกาย วาจา ขัดเกลาคนให้ประณีตขึ้น
๓) สุตะ คือสิ่งที่ได้สดับ หมายถึง ความรู้ที่ได้สดับเล่าเรียน สุตะเป็นแหล่งความรู้ที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งส่งเสริมพัฒนาการทางปัญญา
๔) จาคะ คือการเสียสละ หมายถึง รู้จักเผื่อแผ่แบ่งปันได้แก่ สละวัตถุสิ่งของให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น สละประโยชน์ส่วนน้อยสำหรับตนเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนใหญ่ของสังคมของคนหมู่มาก
๕) ปัญญา คือ ความรู้หรือรู้ตามความเป็นจริง รู้เข้าใจสภาวะความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ
สัมปทา ๕ ประการนี้ เป็นหลักปฏิบัติอันเป็นเหตุให้มนุษย์ไปเกิดเป็นเทวดามี ๕ ประการคือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ผู้พัฒนาตนด้วยปฏิบัติในสัมปทา ๕ อย่างสม่ำเสมอสมบูรณ์ ย่อมพัฒนาตนสำเร็จผล ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงแม้แต่ความตาย เมื่อตายแล้วย่อมไปเกิดที่สวรรค์ และสามารถกำหนดสวรรค์ที่ตนจะไปเกิดได้
สรุปได้ว่า สัมปทา ๕ มีอานิสงส์มาก พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้ทราบว่า ผู้ที่เจริญสัมปทา ๕ ให้บริบูรณ์ในตนแล้วอธิษฐานจิตจะไปเกิดในภพภูมิใดก็จะสำเร็จตามที่อธิษฐาน แม้แต่ชั้นรูปาวจรและอรูปาวจรจนถึงพระอรหันต์ เมื่อปรารถนาอธิษฐานจิตแล้ว เจริญสัมปทา ๕ อยู่เป็นประจำก็ย่อมสำเร็จได้ตามปรารถนา
๕. กุศลกรรมบถ ๑๐
พระพุทธศาสนานั้นได้วางแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงซึ่งความดีโดยมุ่งเน้นที่กาย วาจา และใจ เป็นหลักในการสร้างจิตให้เป็นกุศล เพื่อที่จะได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์เป็นเทวดา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหลักที่เรียกว่า "กุศลกรรมบถ"
กุศลกรรมบถ หมายถึง ทางแห่งกรรมดี ทางทำดี ทางแห่งกรรมที่เป็นกุศล กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่ความสุขความเจริญหรือสุคติ เป็นธรรมส่วนสุจริต ๑๐ ประการ จึงเรียกชื่อว่า กุศลกรรมบถ ๑๐ ประกอบไปด้วย
๑) ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนางดเว้นจากฆ่าสัตว์
๒) อทินนาทานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์
๓) กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔) มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ
๕) ปิสุณายวาจาย เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดส่อเสียด
๖) ผรุสาย วาจายเวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดคำหยาบ
๗) สัมผัปปลาปาเวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
๘) อนภิชฌา ความไม่โลภคอยจ้องอยากได้ของเขา
๙) อพยาบาท ความไม่คิดร้าย
๑๐) สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
นอกจากประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมข้างต้นแล้วนั้น หลักธรรมที่ทำให้มนุษย์เกิดเป็นเทวดา คือ ยังต้องรักษาตนให้ตั้งอยู่ในความดีงามตามแนวทางศีลธรรมอันดีงามของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา คือ ศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีหลักธรรมคาสอนอันเป็น สัจธรรมความจริง คงทนต่อการพิสูจน์ หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นหลักปฏิบัติเกี่ยวกับการพัฒนาชีวิต เกี่ยวกับการดาเนินชีวิต เป็นสิ่งสาคัญที่ทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์ทั้งร่างกายและใจ
พระพุทธศาสนาได้แสดงให้เห็นว่า ชีวิตจะประเสริฐวิเศษได้ต้องมีการพัฒนา ในหมู่คนทั้งหลายผู้มีตนอันฝึกฝนแล้ว เป็นผู้ประเสริฐที่สุด พระพุทธศาสนามีข้อปฏิบัติฝึกหัดกายวาจาใจของบุคคล ให้เป็นไปในทางที่เรียบร้อยดีงาม เป็นที่พึงประสงค์ของคนในสังคมทุกระดับชั้น ในวิถีชีวิตของมนุษย์มีสิ่งที่พึงประสงค์ใหญ่ๆ อยู่ ๓ ประการคือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ
สรุปได้ว่า กุศลกรรมบถ ๑๐ นั้น เป็นหลักธรรมที่นำไปสู่ทางที่ดี ทางกุศล ทางไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ที่ควรประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เพียบพร้อมสมบูรณ์ในด้าน กาย วาจา และใจ ซึ่งกุศลกรรมบถนี้ยังเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสให้สิ้นได้ แล้วเกิดมีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้นในที่สุด
@@@@@@@
จากการศึกษาหลักธรรมที่ทำให้มนุษย์เกิดเป็นเทวดาในทรรศนะของพระพุทธศาสนา ทำให้ได้ข้อสรุปจากการศึกษาพบว่า หลักธรรมที่เป็นเทวธรรม หรือ ธรรมที่เป็นเหตุให้เป็นเทวดา นอกจากนั้นยังประกอบไปด้วยหลัก วัตตบท ๗ ,บุญกิริยาวัตถุ, สัมปทา ๕ และกุศลกรรมบถ ๑๐
ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : pinterest
บทความ : วิทยานิพนธ์เรื่อง "การศึกษาเปรียบเทียบเทวดาในทัศนะของพระพุทธศาสนาเถรวาทกับเทพ ในทัศนะของศาสนาพราหมณ์ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท" โดย พระอธิการประทุม จารุวํโส (ปรางมาศ)
website :
https://e-thesis.mcu.ac.th/thesis/3033
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 25, 2024, 08:23:39 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ