ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “พระราชธิดา” เมืองใด ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงทูลขอ  (อ่าน 3958 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

ภาพเขียนพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ณ วงเวียนใหญ่ ธนบุรี


“พระราชธิดา” เมืองใด ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงทูลขอ

ในประวัติศาสตร์ของกรุงธนบุรี และสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น เรื่อง หนึ่งซึ่งเป็นที่น่าสนใจคือ พระองค์ทรงทูลขอ “พระราชธิดา” พระเจ้ากรุงจีนจริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นเมืองใดกันแน่

@@@@@@@

การติดต่อราชสำนักจีน

เมื่อแรกสถาปนากรุงธนบุรี พระองค์ทรงต้องการให้ราชสำนักจีน “รับรองสถานะ” สำหรับพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามผู้กอบกู้บ้านเมืองขึ้นใหม่ จึงมีรับสั่งให้จัดร่างพระราชสาส์น, แต่งคณะทูต, เครื่องราชบรรณาการไปเจริญพระราชไมตรีกับจีน

ด้วยการได้รับการรับรองจากจีนสามารถใช้อ้างอิงสิทธิอันชอบธรรมของการเป็นกษัตริย์ต่อดินแดนภายนอก ขณะที่ในทางการค้าก็มีผลประโยชน์ในการจัดแต่งสำเภาไปค้าขาย ฯลฯ

ไม่ได้มีเรื่องทูล “ลูกสาว” พระเจ้ากรุงจีนแต่อย่างไร เพราะพระองค์มีพระชาติกำเนิดเป็นสามัญชนชาวจีน แม้จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่ก็เป็นบ้านเมืองขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกล จึงดูเป็นเรื่องไกลเกินตัว



พระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระจักรพรรดิเฉียนหลง (เกาจงฮ่องเต้) แห่งราชวงศ์ชิง (ภาพจาก https://commons.wikimedia.org)


เจ้านายเมืองใดที่ทูลขอ

ส่วนเจ้านายสตรีผู้ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีพระราชประสงค์ทูลขอคือ “พระยอดแก้วกัลยานีศรีกระษัตริย์” พระราชธิดาของพระเจ้าสิริบุญสาร เจ้านครเวียงจันท์ ( 1 ใน 3 นครรัฐแห่งอาณาจักรล้านช้างขณะนั้น ได้แก่ นครเวียงจันท์, นครเมืองหลวงพระบาง และนครจำปาศักดิ์)

แล้วเหตุสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงทูลขอ พระยอดแก้วกัลยานีศรีกระษัตริย์

เรื่องมีอยู่ว่า หลังจาก พระไชยองค์เว้ เจ้านครเวียงจันท์เสด็จสวรรคต เกิดความวุ่นวายในแผ่นดิน เหล่าขุนนางพาครอบครัวของพระองค์หนีไปพึ่ง เจ้าพระวรปิตา เมืองหนองบัวลุ่มภู ทำให้พระราชโอรสคนหนึ่งของพระไชยองค์เว้ทรงสามารถชิงราชสมบัติคืน และขึ้นเสวยราชสมบัติเป็น “พระเจ้าสิริบุญสาร”

อยู่มาเจ้าพระวรปิตากราบบังคมทูลขอพระราชทานตำแหน่ง “เจ้าอุปราช” แต่พระเจ้าสิริบุญสารทรงปฏิเสธ ด้วยเป็นตำแหน่งสำหรับเชื้อพระวงศ์ลาวเท่านั้น ทั้งสองจึงเกิดขัดแย้งกันรุนแรง มีการสู้รบอยู่หลายปี

สุดท้ายเจ้าพระวรปิตาอพยพหนีไปซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เมืองดอนมดแดงในเขตจังหวัดอุบลราชธานี แล้วให้ทูตนำเครื่องราชบรรณาการ มาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้าสิริบุญสารทรงทราบเรื่อง จึงมีพระราชดำริให้ส่งราชทูตมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสยามบ้าง และกล่าวถึงเรื่องเจ้าพระวรปิตาตั้งตัวเป็นกบฏต่อนครเวียงจันท์



พระวรปิตา เจ้าเมืองหนองบัวลุ่มภู ผู้คนในยุคหลังต่างเข้าใจผิดคิดไปว่าเป็นบุคคลสองคน คือ พระวอกับพระตา อนุสาวรีย์พระวอ พระตา ประดิษฐาน ณ สวนสาธารณะหนองบัว อำเภอเมืองฯ จังหวัดหนองบัวลำภู (ภาพจาก Facebook เพจ พระวอ-พระตา สองผู้กล้าเมืองลุ่มภู : Nong Bua Lamphu)


ข้อเสนอคณะลูกขุนสยาม

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ทรงยินดีที่จะผูกพระราชไมตรีกับพระเจ้าสิริบุญสาร เพื่อร่วมกันต่อต้านอำนาจของกองทัพพม่า โปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปเจริญพระราชไมตรี พร้อมรับสั่งให้เจ้าพระยานครราชสีมายกไพร่พลไปสมทบกับกองทัพเวียงจันท์ในการเข้าตีเมืองดอนมดแดงของเจ้าพระวรปิตา

ในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ครั้งนี้ คณะลูกขุนฝ่ายสยามได้หารือและเห็นพ้องต้องกัน ขอให้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเวียงจันท์ช่วยเป็นธุระนำความขึ้นกราบบังคมทูล ขอพระราชทานพระราชธิดาเจ้านครเวียงจันท์มาเป็นพระอัครมเหสีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งพระองค์ก็ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้เป็นไปตามคณะลูกขุน



ภาพประกอบเนื้อหา – จิตรกรรมพระราชประวัติ “ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์” ในศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดสมณโกฎฐาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


หากพระเจ้าสิริบุญสารเมื่อรับพระราชสาส์นแล้ว มิได้ทรงจัดการอันใด ด้วยเวลานั้นหลวงพระบางที่เป็นคู่อริมีการผลัดแผ่นดิน จึงทรงใช้โอกาสนี้เปิดศึกกับหลวงพระบาง และทรงยุยงให้พม่ายกกำลังมาช่วย สยามเองทราบข่าวนี้แล้วก็เห็นว่า พระเจ้าสิริบุญสารฝักใฝ่ราชสำนักพม่า

พระเจ้าสิริบุญสารจึงทรงมีพระราชสาส์นมาว่า จะแต่งขบวนเชิญเสด็จขึ้นไปรับ “พระยอดแก้วกัลยานีศรีกระษัตริย์” ลงมายังกรุงธนบุรีในเดือนยี่ และทรงแก้ต่างว่า มิได้สมัครพระราชหฤทัยเข้ากับพม่า หากถูกบีบบังคับเอาพระราชโอรสและพระราชนัดดาไปเป็นตัวประกัน

เวลานั้นสยามทำสงครามติดพันอยู่กับกองทัพพม่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดเกล้าฯ ให้แจ้งกลับไป ว่า ไม่อาจจัดส่งขบวนเชิญเสด็จขึ้นไปรับพระยอดแก้วกัลยานีศรีกระษัตริย์ลงมายังพระนครธนบุรีได้

@@@@@@@

เหตุพลิกผัน

ฝ่ายพระเจ้าสิริบุญสารศัตรูคู่อาฆาตของเจ้าพระวรปิตา เมื่อทรงทราบว่าเจ้าพระวรปิตาเกิดขัดแย้งกับเจ้านครจำปาศักดิ์ ก็โปรดเกล้าฯ ให้แม่ทัพยกลงไปตีเมืองดอนมดแดงจนแตกและประหารเจ้าพระวรปิตาบุตรเจ้าพระวรปิตาฝ่าวงล้อมหนีมาได้ จึงมีหนังสือไปถึงพระยานครราชสีมาว่า จะขอกองทัพยกไปแก้แค้นแทนบิดา พระยานครราชสีมานำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ

เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบ ก็ทรงพระพิโรธ มีพระราชดำรัสว่า เจ้าพระวรปิตาขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมากรุงธนบุรี เจ้านครเวียงจันท์บังอาจส่งกองทัพยกมาตีเมืองดอนมดแดง ถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

กองทัพสยามเคลื่อนเข้ามาตั้งค่ายล้อมนครเวียงจันท์ไว้โดยรอบ ทัพหลวงของเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองพานพร้าว, ทัพเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองหนองคาย และ พระยาเพชรบูรณ์กำกับทัพหลวงพระบาง ตั้งค่ายอยู่ทางด้านเหนือนครเวียงจันท์

รบกันอยู่ 4 เดือนเศษ เมืองเวียงจันท์แตก “พระยอดแก้วกัลยานีศรีกระษัตริย์” ที่จะทรงทูลขอ ก็ทรงเป็นเชลยแทน

อ่านเพิ่มเติม :-

    • เวียงจันฝั่งไทย เชียงใหม่ภาคอีสาน
    • “เวียงจันทน์” เมืองหลวงของลาว หรือแท้จริงต้องเขียนว่า “เวียงจันท์” ?
    • “เมืองตาก” ของ “พระเจ้าตาก” ก่อนเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี อยู่ไหน?





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : วิภา จิรภาไพศาล
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 26 ธันวาคม 2567
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_145536
อ้างอิง : สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์. “โอละพ่อ! กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระราชธิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงจีน” ใน, ศิลปวัฒนธรรม กันยายน 2567.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ