ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “สามีย่าโม” เป็นใคร มาจากไหน.? | ตัวตนและบทบาท ของ 'พระยาปลัดเมืองนครราชสีมา'  (อ่าน 982 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



“สามีย่าโม” เป็นใคร มาจากไหน.? | ตัวตนและบทบาท ของ 'พระยาปลัดเมืองนครราชสีมา'

ขณะที่เรื่องราวของย่าโม หรือ “ท้าวสุรนารี” ถูกยกย่องและกล่าวขานถึงไม่เสื่อมคลาย ตัวตนสามีย่าโม หรือ “พระยาปลัด” เมืองนครราชสีมากลับเลือนลาง จนบางคนไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าท่านเป็นใคร หรือมีบทบาทอย่างไรในสงครามเจ้าอนุวงศ์

พระยาปลัดเมืองนครราชสีมา ผู้เป็นสามีของท่านผู้หญิงโมนั้น ภายหลังคือ เจ้าพระยามหิศราธิบดี (ทองคำ) ที่ปรึกษาราชการเมืองนครราชสีมา ดังปรากฏความในหนังสือ เรื่องตั้งเจ้าพระยากรุงรัตนโกสินทร์ ความว่า

     “เจ้าพระยามหิศราธิบดีเป็นตำแหน่งพิเศษในเมืองนครราชสิมาปรากฏในใบบอกครั้งเกณฑ์ทัพไปตีเมืองเชียงตุงในรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๓๙๔ กล่าวกันที่เมืองนครราชสิมาว่า พระยาปลัดสามีท่านผู้หญิงโม้ (คุณหญิงโม-ผู้เขียน) ซึ่งมีความชอบทั้งสามีและภริยา ในการต่อตู้พวกกบฏเวียงจันทน์ เมื่อในรัชกาลที่ ๓ สามีได้เป็นเจ้าพระยามหิศราธิบดี ภรรยาได้เป็นที่ท้าวเจ้าพระยามหิศราธิบดีที่ปรากฏในใบบอกจะเป็นคนเดียวกันหรืออีกคน ๑ไม่ทราบแน่”

ถึงอย่างนั้นก็เชื่อได้ว่าเจ้าพระยามหิศราธิบดีคนนี้แหละ เป็น “สามี” ของย่าโม



อนุเสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ภาพจาก เฟซบุ๊ก สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา กรมศิลปากร)


แม้จะมีพื้นเพไม่ชัดเจนนัก แต่ ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม ราชบัณฑิตและนักเขียนสารคดีประวัติศาสตร์ ได้ให้ทัศนะถึงเครือญาติของท่านไว้ในหนังสือ ๒๗ เจ้าพระยา ว่า
    “คงจะเกี่ยวข้องเป็นญาติกับเจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น ณ ราชสีมา) และเจ้าพระยากำแหงสงคราม เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน ณ ราชสีมา) ด้วย”

เมื่อ พ.ศ. 2369 ในสงครามเจ้าอนุวงศ์ พระยาปลัดเมืองนครราชสีมาขณะนั้นมีนามเต็มคือ พระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัย (ทองคำ) โดย พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เล่าถึงบทบาทของท่านว่า

     เมื่อกองทัพเจ้าอนุวงศ์มาถึงนครราชสีมา เจ้าพระยานครราชสีมาไม่อยู่เมือง เพราะต้องไประงับเหตุวิวาทระหว่างพระยาไกรสรสงคราม เจ้าเมืองขุขันธ์ กับหลวงยกกระบัตรผู้น้อง โดยพระยาปลัดและกรมการเมืองต่าง ๆ ของเมืองนครราชสีมาล้วนติดตามไปด้วย เจ้าอนุฯ จึงเข้าเมืองได้โดยง่าย แล้วให้ไพร่พลกวาดต้อนเอาครอบครัวเมืองโคราชกลับไปฝั่งลาว

     พอข่าวไปถึงฝ่ายเจ้าพระยานครราชสีมา พระราชพงศาวดารเล่าว่า

    “ฝ่ายพระยาปลัดไปด้วยเจ้าพระยานครราชสีมา แจ้งว่าอนุลงมากวาดครอบครัวก็ปรึกษาเจ้าพระยานครราชสีมาว่าจะทิ้งครอบครัวเสียไม่ไประวังรักษาเห็นจะไม่ได้ อ้ายลาวจะทำยับเยินเสียหมด เจ้าพระยานครราชสีมาก็เห็นด้วยจึ่งให้พระยาปลัดรีบมา
     พระยาปลัดมาถึงเมืองนครราชสีมาก็เข้าหาอนุแจ้งว่า เจ้าพระยานครราชสีมาหนีไปเมืองเขมรเสียแล้ว พระยาปลัดทิ้งครอบครัวไม่ได้จะขอตามเสด็จไปอยู่เวียงจันทน์ด้วย อนุก็เชื่อ ก็ให้พระยาปลัดพระยาพรหมยกกระบัตรคุมครอบครัวไป”



พระบรมราชอนุสาวรีย์ของเจ้าอนุวงศ์ กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดย Stefan Fussan, via Wikimedia Commons


เมื่อฝ่ายลาวต้องแบ่งกำลังส่วนหนึ่งคุมครัวเมืองนครราชสีมาออกเดินทาง จึงถูกแผนลวงของฝ่ายไทย นำโดยพระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร คุณหญิงโม และกรมการเมืองนครราชสีมา พาผู้คนลุกฮือฆ่าทหารลาวตายไปจำนวนมาก ได้ยุทโธปกรณ์ฝ่ายลาวมามากมาย แล้วตั้งค่ายที่ทุ่งสัมฤทธิ์

เหตุชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าอนุวงศ์ส่งทัพมากำราบ แต่พระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร พากำลังที่มีออกรบ ได้คุณหญิงโมคุมผู้หญิงเป็นทัพหนุน จนฝ่ายลาวถอยหนีไป ด้วยเห็นฝ่ายไทยออกรบห้าวหาญจนเข้าใจว่าเป็นกองทัพเจ้าพระยานครราชสีมายกมาช่วย ทำให้เจ้าอนุวงศ์วิตกไปด้วยว่าฝ่ายไทยคงจะโต้กลับในไม่ช้า จึงถอยกลับโดยแยกเป็นหลายทัพหลายเส้นทาง

ในสงครามกับเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ ยังปรากฏ “ใบบอก” ของพระยาปลัดเมืองนครราชสีมา ส่งมายังกรุงเทพฯ เพื่อรายงานสถานการณ์การรบช่วงนั้น บ่งบอกว่าท่านเป็น “แนวหน้า” ในการต่อรบกับลาว ก่อนทัพหลวงจากพระนครจะยกมาปราบกบฏครั้งนั้น

จากประวัติของท่านผู้หญิงโมในหนังสือ พิมาย และโบราณสถานในจังหวัดนครราชสีมา ทำให้ทราบว่าท้าวสุรนารีกับเจ้าคุณสามี (พระยาปลัด) มีนิวาสถานอยู่ที่หมู่บ้านตรงข้ามกับวัดพระยานารายณ์มหาราช และได้บำเพ็ญกุศลสร้างวัดที่ริมฝั่งขวาของลำตะคอง ชื่อ วัดศาลาลอย

ภายหลังท้าวสุรนารีถึงอนิจกรรมด้วยอายุ 81 ปี ในเดือน 5 พ.ศ. 2359 (ปีชวด) เจ้าคุณผู้สามีได้จัดการฌาปนกิจศพที่วัดศาลาลอย และก่อเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ที่นั่น ก่อนจะย้ายมาวัดพระนารายณ์มหาราช และสร้างอนุสาวรีย์ประดิษฐานใหม่ หน้าประตูชุมพล

ส่วนพระยาปลัด หรือเจ้าพระยามหิศราธิบดี ไม่ปรากฏหลักฐานว่าท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อใด

@@@@@@@

อ่านเพิ่มเติม :-

    • ที่มา “นามสกุล” ชาว “โคราช” หลักฐานสำคัญบ่งชี้ภูมิประเทศถิ่นกำเนิด
    • “อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี” อนุสาวรีย์ “สามัญชน” ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งแรกของไทย
    • การสู้รบที่ “ทุ่งสำริด” คราวสงครามเจ้าอนุวงศ์ หลักฐาน “ลาว” เล่าอย่างไร







ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2568
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_147612

อ้างอิง :-
- ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม. (2510). ๒๗ เจ้าพระยา (ฉบับพิศดาร). กรุงเทพฯ : แพร่การช่าง.
- กรมศิลปากร. (2512). เรื่องตั้งเจ้าพระยากรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ : สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี. อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมหลวงชูชาติ กำภู, วัดเทพศิรินทราวาส 16 ธันวาคม 2512.
- มานิต วัลลิโภดม. (2505). พิมาย และ โบราณสถานในจังหวัดนครราชสีมา. อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทองหล่อ บุณยนิตย์, วัดเทพศิรินทราวาส 29 ธันวาคม 2505.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ