ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความใจดำ ความไม่มีน้ำใจ มักจะแฝงมาในรูปของ "อุเบกขา-ความวางเฉย"  (อ่าน 819 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ความใจดำ ความไม่มีน้ำใจ มักจะแฝงมาในรูปของ "อุเบกขา-ความวางเฉย"

เคยมีหลายคนปรารภว่า ไม่เป็นสุขเพราะได้เห็นได้ยินได้ฟังการกระทำคำพูดของคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง และปรารภว่า ปรารถนาจะวางอุเบกขาแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ทำให้คิดว่า การวางอุเบกขาในกรณีดังกล่าว จะเกิดได้อย่างไร และก็มีคำตอบว่า อุเบกขาที่ถูกต้องจริง ๆ จะต้องเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ มิใช่โดยการพยายาม คือ มิใช่พยายามวางเฉย ซึ่งการพยายามวางเฉยนั้น มักจะเป็นการวางเฉยที่ขาดเมตตากรุณา รวมทั้งมุทิตาพลอยยินดีด้วย

พูดอีกอย่างก็คือ ความใจดำความไม่มีน้ำใจ มักจะแฝงมาในรูปของอุเบกขาความวางเฉย ซึ่งแน่นอนเหลือเกินสำหรับพุทธศาสนิกชนแล้วเป็นการไม่ถูกต้อง อุเบกขาที่ถูกต้องเป็นอุเบกขาที่ไม่ขาดเมตตากรุณารวมทั้งมุทิตาด้วย นั่นก็คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตาให้มากที่สุดเสียก่อน ยังไม่มีก็ทำให้มีขึ้นเสีย มีแล้วยังน้อยก็เพิ่มพูนให้มากขึ้น ต่อจากนั้นอุเบกขาความมีใจเป็นกลางวางเฉยไม่หวั่นไหว ก็จะเกิดขึ้นได้เอง พึงพิจารณาดูว่า จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เมื่อพิจารณาให้จริงให้ถูกต้องก็ย่อมจะเห็น ย่อมจะเข้าใจ

อุเบกขาเป็นหนึ่งในพรหมวิหารธรรม ๔ คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
     - เมตตานั้น คือ ความปรารถนาให้เป็นสุข
     - กรุณา คือ การช่วยให้พ้นทุกข์
     - มุทิตา คือ ความพลอยยินดีด้วยเมื่อผู้อื่นได้ดี และ
     - อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลางวางเฉย

@@@@@@@

ในพรหมวิหารธรรมทั้ง ๔ นี้ เมตตาเป็นประการต้นในการนำมาพูดถึง และก็เป็นประการต้นเช่นเดียวกัน ที่ผู้ปรารถนาจะมีพรหมวิหารธรรม พึงอบรมให้เกิดขึ้น หรือพึงเพิ่มพูนให้มากยิ่งขึ้น คือ แม้รู้สึกตัวว่า เป็นผู้ขาดเมตตาก็ให้อบรมให้เมตตาเกิดขึ้นให้ได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ให้ส่งเสริมเพิ่มพูนให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่มีขอบเขต

เมตตานั้นเป็นสิ่งไม่ควรมีขอบเขต คือ ควรแผ่ไปได้อย่างกว้างขวาง ปราศจากขอบเขต ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือในบุคคล ในผู้เป็นญาติเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู ในผู้ที่อาจเห็นได้หรือไม่อาจเห็นได้ทั้งหมด คือ อย่างไม่จำกัด ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด เป็นผู้ที่ควรได้รับเมตตา พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย พึงระลึกใส่ใจเช่นนี้ และพึงแผ่เมตตาไปให้ได้เช่นนี้

ไม่พึงนึกว่า นั่นเป็นมิตรพึงได้รับเมตตานั่นเป็นศัตรูไม่พึงได้รับเมตตา นั่นเป็นคนดีพึงมีเมตตาให้ นั่นเป็นคนร้ายไม่พึงมีเมตตาให้ อะไรทำนองนี้ไม่ถูกต้อง ไม่เรียกว่า มีพรหมวิหารธรรมข้อเมตตาอย่างสมบูรณ์ จะเป็นมิตรเป็นศัตรูเป็นคนดีเป็นคนร้าย พึงแผ่เมตตา คือ ปรารถนาให้เป็นสุขได้ทั่วกัน

เมื่อมีเมตตาเกิดอยู่ประจำใจแล้ว เป็นธรรมดาที่กรุณาคือ การช่วยให้พ้นทุกข์ก็จะเกิดตามมาได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องอบรมพรหมวิหาร ธรรมข้อนี้ คิดตามเหตุผลก็จะเห็นว่า ต้องเป็นไปเองเช่นนั้น เพราะเมื่อปรารถนาให้เป็นสุขแล้ว ก็ต้องช่วยให้พ้นทุกข์ เมื่อเห็นว่ากำลังมีทุกข์

@@@@@@@

และเมื่อเมตตากรุณาเกิดแล้ว มุทิตาความพลอยยินดีด้วย ก็จะเกิดขึ้นเองอีกเช่นกัน เพราะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้  ไฉนจะพลอยยินดีด้วยไม่ได้ เมื่อเขาพ้นทุกข์หรือเมื่อเขามีความสุข พรหมวิหารธรรมสามข้อต้นเกิดเป็นห่วงติดต่อกันได้เช่นนี้

ตามเหตุผลที่กล่าวมา อุเบกขาก็เกิดติดต่อมาได้ โดยอัตโนมัติเช่นเดียวกัน คือ เมื่อเมตตาเต็มที่แล้ว กรุณาเต็มที่แล้ว มุทิตาเต็มที่แล้ว ใจตนเองย่อมประจักษ์ความไม่บกพร่องของตน ย่อมไม่เห็นหนทางอื่นที่จะจำเป็นต้องปฏิบัติเพื่อเพิ่มพูนธรรมดังกล่าวให้ยิ่งขึ้นอีก

หรือกล่าวอีกอย่าง ก็คือ ย่อมไม่เห็นทางที่จะทำอย่างอื่นได้อีกแล้ว เพื่อเพิ่มพูนธรรมเหล่านี้ เมื่อรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดเต็มที่แล้ว เหมือนข้าวน้ำจัดหาไว้เต็มภาชนะทั้งหมดแล้ว ความขวนขวายอีกต่อไปก็ไม่มี ใจย่อมวางเฉย คือ ย่อมมีอุเบกขาได้

ฉะนั้น อุเบกขา จึงเกิดโดยอัตโนมัติติดตามเมตตากรุณาและมุทิตามาเอง มิต้องใช้ความพยายาม.





ที่มา : หนังสือ "ธรรมะประดับใจ" พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ