ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย | นำพาให้พบกับแสงสว่างส่องใจ  (อ่าน 404 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย

สิ่งที่เรียกว่า “แก่น” หรือ “หัวใจ” ของธรรมในสังยุตตนิกายทั้ง ๕ เล่ม พอจะประมวลได้ดังนี้

๑. การคลายสงสัย

ข้อนี้แสดงไว้ชัดในสคาถวรรค แสดงถึงมนุษย์หรือเทวดาในกระแสโลก (โลกียะ) ย่อมจะเต็มไปด้วยความสงสัย เรียกว่า พวก "กถังกถี" ชอบถามปัญหา บางพวกก็ประเภท สู่รู้ อวดรู้

พระพุทธองค์และพระสาวกซึ่งอยู่ในสภาวะที่อยู่เหนือกระแส (โลกุตตระ) จึงเป็นผู้ตอบปัญหาได้ชัด เพราะตัดความสงสัยได้แล้ว จึงเรียกว่า พวก "อกถังกถี" (ไม่มีปัญหา)
 
ตัวอย่างเทวดาสงสัยถามว่า
    "หมู่สัตว์ยุ่งทั้งภายใน ยุ่งทั้งภายนอก ถูกความยุ่งพาให้นุงนังแล้ว ท่านพระโคดม เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ว่า ใครจะแก้ความยุ่งนี้ได้.?”

พระพุทธองค์ตอบว่า
    "นรชนผู้มีปัญญา เห็นภัยในสังสารวัฏ ดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญจิตและปัญญามีความเพียรมีปัญญาเครื่องบริหารนั้นพึงแก้ความยุ่งนี้ได้" (สํ.ส. ๑๕/๒๓/๒๐ มจร.)

@@@@@@@

๒. กระแสเกิดและดับ

ได้แก่ กระแสธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎปัจจยาการ หรือ อิทัปปัจจยตา
    เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
    เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
เป็นการแสดงปฏิจจสมุปบาท สายเกิดทุกข์ และสายดับทุกข์ ๒ แนว ดังนี้

สายเกิดทุกข์



สายดับทุกข์


ปฏิจจสมุปบาท คือ ธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
(สํ.นิ.(แปล ๑๖/๑/๑ มจร.) (สํ.นิ.(แปล) ๑๖/๒๓/๔๐ มจร.)

พระพุทธองค์ตรัสว่า
    “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นปฏิจจสมุปบาท”
     (ม.มู. ๑๒/๓๔๖/๓๕๙)


@@@@@@

๓. วิเคราะห์ขันธ์ วิเคราะห์คน

สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ได้บอกให้เรารู้จักวิเคราะห์ขันธ์ ๕ , การเข้าใจขันธ์ ๕ ดี ก็คือ การเข้าใจคนดี ดังคำของนางวชิราภิกษุณีที่ว่า
    “เพราะรวมองค์สัมภาระทั้งหลายเข้า คำว่า รถ ย่อมมีฉันใด เพราะรวมขันธ์ทั้ง ๕ เข้า การสมมุติว่า เป็น สัตว์ (คน) ก็มี ฉันนั้น”

ท่านจึงให้วิเคราะห์ขันธ์ ๕ ให้ดี ก็จะเห็นว่า
    • รูปนั้น เป็นดุจกลุ่มฟองน้ำ
    • ในขณะที่เวทนาเป็นดุจฟองน้ำที่เกิดจากฝนตก เกิดและดับไปบนผิวน้ำ
    • สัญญาเป็นดุจพยับแดด
    • สังขารเป็นดุจต้นกล้วยที่ไร้แก่น
    • วิญญาณเป็นดุจมายากล ที่นักมายากลแสดง
ควรเห็นการเกิดและความดับของขันธ์ เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด อันนำไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลส





๔. มีสติปัญญาที่ข้อต่อ

สฬายตนวรรคแสดงให้เห็นอิทธิพลของการกระทบ (ผัสสะ) ระหว่างข้อต่อภายนอกกับภายใน เรียกว่า อายตนะ ถ้าปล่อยให้ “ตัวกู” “ของกู” เกิด ก็จะเกิดทุกข์ แต่ถ้าไม่ให้ “ตัวกู” “ของกู” เกิด ที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิ เขาก็ไม่เกิดทุกข์

ดังนั้น ทางเลือก จึงมี ๒ คือ
    - สักกายทิฏฐิสมุทยคามินีปฏิปทา แนวทางปฏิบัติที่ให้ "ตัวกูของกู" เกิด จนจิตวุ่น
    - สักกายทิฏฐินิโรธคามินีปฏิปทา แนวปฏิบัติที่ไม่ให้ "ตัวกูของกู" เกิด , "ขณะเกิดผัสสะ เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องกับสิ่งที่มากระทบ และใจกระทบกับธรรมารมณ์" ,  จิตจึงสงบเย็น ไม่วุ่น
    ท่านจะเลือกทางไหน.?


@@@@@@@

๕. ไม่ย่อท้อใฝ่โพธิญาณ

คนเราที่ไม่ถึงเป้าหมายรวดเร็ว เพราะเราเดินทางไม่ถูก พระพุทธองค์ได้ตรัสโพธิปักขิยธรรม ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ก็เพื่อให้เราเดินทางถูก และเดินทางสะดวก ถึงอาสวักขยญาณ หรือ โพธิญาณโดยเร็ว

     • เริ่มด้วยเจริญสติปัฏฐานให้ต่อเนื่อง มีความเพียรสม่ำเสมอดุจสายพิณที่ไม่ตึงไม่หย่อน มีความใฝ่รู้ใฝ่คิด ทำจริง คิดรอบครอบ ก็จะเกิดความสำเร็จ
     • ในขณะเดียวกัน ก็พัฒนาพลังอินทรีย์ของตัวเอง ให้เจริญเต็มที่ทั้งด้านศรัทธา-ความเพียร-สติ-สมาธิ-และปัญญา 
     • จากนั้นใช้โพชฌงค์เป็นเครื่องมือในการวิจัยธรรมจนเห็นแจ้ง ตามหลักมรรคมีองค์ ๘ คือ เห็นถูก คิดถูก พูดถูก การงานถูก อาชีพถูก พยายามถูก มีสติระลึกถูก และมีสมาธิถูก

@@@@@@@

แก่นธรรมเหล่านี้ย่อมจะช่วยส่งให้เรามีจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรม ,ญาณ คือ ความรู้แจ้ง ปัญญาความรอบรู้ทันอารมณ์ มีวิชชาชั้นสูงในตนเอง มีแสงสว่างส่องใจ ให้ดำเนินชีวิตในทางที่ถูกอยู่เสมอ นี่คือ แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย





ขอบคุณที่มา :-
ภาพจาก pinterest
บทความ "แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย" โดย พระสุธีวรญาณ จากหนังสือเก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 หน้า 145-156
http://oldweb.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_13.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 11, 2025, 08:24:45 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.




ขยายความ : กถังกถี และ อกถังกถี






กถังกถีกถา (บาลีวันละคำ 1,727)

บาลีภาษาก็มีเล่นคำ กถังกถีกถา  อ่านว่า กะ-ถัง-กะ-ถี-กะ-ถา แยกศัพท์เป็น กถังกถี + กถา

(๑) “กถังกถี”

บาลีเขียน “กถํกถี” อ่านว่า กะ-ถัง-กะ-ถี รากศัพท์มาจาก –

1) กถํ (คำอุปสรรค = อย่างไร) + กถํ + อี ปัจจัย, ลบนิคหิตที่ กถํ คำหลัง (กถํ > กถ) : กถํ + กถํ = กถํกถํ > กถํกถ + อี = กถํกถี แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีความสงสัยว่านี้เป็นอย่างไร นี้เป็นอย่างไร”

2) :-
    ก) กถํ (คำอุปสรรค = อย่างไร) + กถา (ถ้อยคำ) : กถํ + กถา = กถํกถา แปลตามศัพท์ว่า “การกล่าวว่านี้เป็นอย่างไร” (saying how?) หมายถึง สงสัย, ไม่แน่ใจ, ไม่ปลงใจ (doubt, uncertainty, unsettled mind)
    ข) กถํกถา + อี ปัจจัย, ลบสระหน้า คือ อา ที่ (ก)-ถา (กถา > กถ) : กถํกถา > กถํกถ + อี = กถํกถี แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีความสงสัยว่านี้เป็นอย่างไร”

“กถํกถี” หมายถึง มีความสงสัย, ไม่ยุติ, ไม่แน่นอน (having doubts, unsettled, uncertain)

มีคำเรียกพระอรหันต์ว่า “อกถํกถี” แปลว่า “ผู้ไม่มีความสงสัย” (free from doubt) คือ ไม่ต้องตั้งคำถามว่าชีวิตนี้คืออะไร สุขทุกข์เกิดมีได้อย่างไร และจะหลุดพ้นไปจากวังวนของชีวิตได้อย่างไร ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์สิ้นกิเลสอันเป็นต้นตอของความสงสัยทั้งปวงแล้ว

@@@@@@@

(๒) “กถา”

รากศัพท์มาจาก กถฺ (ธาตุ = กล่าว) + อ ปัจจัย + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์ : กถฺ + อ = กถ + อา = กถา แปลตามศัพท์ว่า “เรื่องอันท่านกล่าวไว้”

“กถา” ในภาษาบาลีใช้ในความหมายดังนี้
(1) การพูด, การคุย, การสนทนา (talk, talking, conversation)
(2) ถ้อยคำ, เทศนา, ปาฐกถา (speech, sermon, discourse, lecture)
(3) เรื่องยาวๆ (a longer story)
(4) คำพูด, ถ้อยคำ, คำแนะนำ (word, words, advice)
(5) การอธิบาย, การขยายเนื้อความ (explanation, exposition)
(6) การสนทนาหรืออภิปราย (discussion)





กถํกถี + กถา = กถํกถีกถา แปลตามศัพท์ว่า “ถ้อยคำของผู้มีความสงสัยว่านี้เป็นอย่างไร”

“กถํกถีกถา” เขียนแบบไทยเป็น “กถังกถีกถา” อ่านว่า กะ-ถัง-กะ-ถี-กะ-ถา หมายถึง คำพูดของคนที่ตนเองก็ยังไม่รู้ว่า เรื่องจริงหรือความจริงเป็นอย่างไร แต่ก็เอามาพูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว

คำนี้ยังไม่มีเก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554


@@@@@@@

ชวนอภิปราย

ทุกวันนี้มีเครื่องมือสื่อสารหลากหลายชนิดหลายช่องทาง ทั้งสื่อสารมวลชนและสื่อเฉพาะวงการหรือสื่อส่วนตัว และมีเรื่องราวหลากหลายที่ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อดังกล่าว เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อเหล่านี้...
   
    - เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ออกมาจากปากของคนที่รู้ความจริ งและรู้เรื่องจริงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น และบอกความจริงทั้งหมด.?
    - หรือว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเพียงคำพูดของคนที่ตนเองก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือความจริงเป็นอย่างไร แต่ก็เอามาพูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว.?
    - หรือแม้จะรู้จริง แต่ก็บอกความจริงไม่หมด.?
    - หรือที่ร้ายกว่านั้น-ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างหนึ่ง แต่ก็เอามาบอกเราเป็นอีกอย่างหนึ่ง.?


@@@@@@@

    "ดูก่อนภราดา.! : ถ้าท่านเชื่อว่าความจริงบางเรื่องน่ารังเกียจที่จะนำมาพูด : ก็จงเชื่อเถิดว่าการเอาความไม่จริงมาพูดน่ารังเกียจกว่าหลายเท่า"




Thank to : https://dhamtara.com/?p=6681
25 กุมภาพันธ์ 2017 | tppattaya2343@gmail.com
(หยิบฉวยด้วยวิสาสะมาจากคำของพระคุณท่าน Bm. Chaiwut Pochanukul) 25-2-60





พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สุตฺต. ขุ. ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปทคาถา-อุทานํ-อิติวุตฺตก-สุตฺตนิปาตา


[๒๓๓] ๖ วุตฺตํ เหตํ ภควตา วุตฺตมรหตาติ เม สุตํ ติสฺโส
          อิมา ภิกฺขเว เอสนา กตมา ติสฺโส
          กาเมสนา ภเวสนา พฺรหฺมจริเยสนา ฯ
          อิมา โข ภิกฺขเว ติสฺโส เอสนาติ ฯ  เอตมตฺถํ ภควา อโวจ ฯ

     ตตฺเถตํ อิติ วุจฺจติ
     กาเมสนา ภเวสนา        พฺรหฺมจริเยสนา สห
     อิติ สจฺจปรามาโส         ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมุสฺสยา
     สพฺพราควิรตฺตสฺส         ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโน
     เอสนาปฏินิสฺสฏฺฐา        ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมูหตา
     เอสนานํ ขยา ภิกฺขุ        นิราโส อกถงฺกถี ติ ฯ

     อยมฺปิ อตฺโถ วุตฺโต ภควตา    อิติ เม สุตนฺติ ฯ ฉฏฺฐํ ฯ

@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต


๖. เอสนาสูตรที่ ๒
           
[๒๓๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมา แล้วว่า
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหา ๓ ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ
     การแสวงหากาม ๑ การแสวงหาภพ ๑ การแสวงหาพรหมจรรย์ ๑
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหา ๓ ประการนี้แล ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
     การแสวงหากาม การแสวงหาภพ กับการแสวงหาพรหมจรรย์
     การยึดมั่นว่าจริงดังนี้ เป็นที่ตั้งแห่งทิฐิที่เกิดขึ้น
     การแสวงหาทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งทิฐิ
     พระอรหันต์ผู้ไม่ยินดีแล้ว ด้วยความยินดีทั้งปวง
     ผู้น้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา สละ คืนเสียแล้ว ถอนขึ้นได้แล้ว
     ภิกษุเป็นผู้ไม่มีความหวัง ไม่มีความสงสัย เพราะความสิ้นไปแห่งการแสวงหาทั้งหลาย ฯ

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ

                               จบสูตรที่ ๖


@@@@@@@

อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต ปฐมวรรค เอสนาสูตรที่ ๒
อรรถกถาทุติยเอสนาสูตร

 
ในทุติยเอสนาสูตรที่ ๖ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า พฺรหฺมจริเยสนา สห ความว่า พร้อมกับด้วยการแสวงหาพรหมจรรย์ ก็ด้วยการลบวิภัตติออกเสีย ศัพท์ว่า พฺรหฺมจริเยสนา นี้จึงเป็นศัพท์นิเทศ.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า พฺรหฺมจริยเอสนา นี้เป็นปฐมาวิภัตติ (แต่) ลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ มีคำอธิบายดังต่อไปนี้
         
กามเอสนา ภวเอสนา รวมกับ พฺรหฺมจริยเอสนา จึงเป็นเอสนา ๓ อย่าง.

ในบรรดาเอสนาเหล่านั้น เพื่อจะทรงแสดงพรหมจริยเอสนาโดยสรุป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ไว้ว่า อิติ สจฺจปรามาโส ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมุสฺสยา การยึดมั่นว่าจริง ดังนี้ เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิที่เกิดขึ้น ดังนี้.

@@@@@@@

คำนั้นมีอธิบายดังนี้

การยึดมั่นว่าสิ่งนี้เป็นจริงอย่างนี้ด้วยประการอย่างนี้ ชื่อว่า อิติสจฺจปรามาโส พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอาการคือ ความเป็นไปแห่งทิฏฐิไว้ว่า “สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเป็นโมฆะ” ทิฏฐินั่นแหละชื่อว่า ทิฏฺฐิฏฺฐานา เพราะเป็นเหตุแห่งอนัตถะทุกอย่าง.

สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า(๑-)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวโทษที่จะพึงตำหนิว่า มีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่งดังนี้ และมีคำอธิบายว่า มิจฉาทิฏฐิเหล่านั้นแหละทั้งที่เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งเป็นที่เกิดขึ้น โดยเป็นที่เกิดแห่งกิเลส มีโลภะเป็นต้น ทิฏฐิทั้งหลายที่ยึดมั่นผิดๆ ว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเป็นโมฆะ ดังนี้

เป็นทั้งเหตุแห่งอนัตถะทุกอย่าง เป็นทั้งเหตุแห่งการก่อทุกข์คือกิเลส จึงชื่อว่าพรหมจริยเอสนา ด้วยบทแห่งพระคาถาว่า อิติสจฺจปรามาโส ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมุสฺสยา นี้ พึงทราบว่า เป็นอันพระองค์ทรงแสดงพรหมจริยเอสนาไว้แล้วโดยอาการแห่งการเป็นไป และโดยความสำเร็จ.

____________________________
(๑-) องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๙๓

@@@@@@@

บทว่า สพฺพราควิรตสฺส ความว่า พระอรหันต์ผู้คลายความกำหนัดจากกามราคะและภวราคะทั้งหลายทั้งปวง ตั้งแต่นั้นไป ก็ชื่อว่าผู้หลุดพ้นเพราะธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เพราะพ้นในเพราะพระนิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา.

บทว่า เอสนา ปฏินิสฺสฏฺฐา ความว่า กามเอสนาและภวเอสนาเป็นอันท่านสลัดออกแล้ว คือละแล้วโดยประการทั้งปวง.

บทว่า ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมูหตา ความว่า เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิ กล่าวคือพรหมจริยเอสนา และถูกถอนขึ้นด้วยปฐมมรรคนั่นเอง.

บทว่า เอสนานํ ขยา ความว่า เพราะสิ้นไป คือเพราะดับไปโดยไม่เกิดขึ้นแห่งการแสวงหาทั้ง ๓ อย่างเหล่านี้.

ตรัสเรียกว่า ภิกษุ เพราะทำลายกิเลสได้แล้ว.
ตรัสเรียกว่า นิราโส เพราะหาความหวังมิได้โดยประการทั้งปวง.
และตรัสเรียกว่า อกถังกถี เพราะละการกล่าวถ้อยคำว่าอย่างไร ด้วยความสงสัยที่เป็นทิฏฐิได้แล้ว.

                                    จบอรรถกถาทุติยเอสนาสูตรที่ ๖   







พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๑ สุตฺต. ขุ. มหานิทฺเทโส

[๒๘๐] ปสํสมิจฺฉํ วินิฆาติ โหตีติ ปสํสมิจฺฉนฺติ ปสํสํ โถมนํ กิตฺตึ วณฺณหาริยํ อิจฺฉนฺโต สาทิยนฺโต ปตฺถยนฺโต ปิหยนฺโต อภิชปฺปนฺโต ฯ  วินิฆาติ โหตีติ

ปุพฺเพว สลฺลาปา กถํกถี วินิฆาติ โหติ ชโย นุ โข เม ภวิสฺสติ ปราชโย นุ โข เม ภวิสฺสติ กถํ นิคฺคหํ กริสฺสามิ กถํ ปฏิกฺกมฺมํ กริสฺสามิ กถํ วิเสสํ กริสฺสามิ กถํ ปฏิวิเสสํ กริสฺสามิ กถํ อาเวธิยํ  กริสฺสามิ กถํ นิพฺเพธิยํ  กริสฺสามิ กถํ เฉทํ กริสฺสามิ กถํ มณฺฑลํ กริสฺสามีติ เอวํ

ปุพฺเพว สลฺลาปา กถํกถี วินิฆาติ โหตีติ ปสํสมิจฺฉํ วินิฆาติ โหติ ฯ

@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส

[๒๘๐] คำว่า เมื่ออยากได้ความสรรเสริญ ย่อมเป็นผู้ลังเลใจ มีความว่า เมื่ออยากได้ ความสรรเสริญ คือ เมื่ออยากได้ ยินดี ปรารถนา ชอบใจ รักใคร่ ความสรรเสริญ คือ ความชม ความมีเกียรติ ความยกย่องคุณ.

คำว่า ย่อมเป็นผู้ลังเลใจ คือ ก่อนแต่โต้ตอบ ย่อมเป็นผู้มีความสงสัยลังเลใจ คือ ก่อนแต่โต้ตอบ ย่อมเป็นผู้สงสัย ลังเลใจอย่างนี้ว่า เราจักมีชัย หรือไม่หนอ หรือเราจักปราชัย เราจักข่มเขาอย่างไร จักทำลัทธิของเราให้เชิดชูอย่างไร จักทำ ลัทธิของเราให้วิเศษอย่างไร จักทำลัทธิของเราให้วิเศษเฉพาะอย่างไร จักทำความผูกมัดเขาอย่างไร จักทำความปลดเปลื้องอย่างไร จักทำความตัดรอบวาทะเขาอย่างไร เราจักขนาบวาทะเขาไว้อย่างไร

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่ออยากได้ความสรรเสริญ ย่อมเป็นผู้ลังเลใจ.


@@@@@@@

อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวัคคิกะ , ๘. ปสูรสุตตนิเทสนิทเทส
อรรถกถาปสูรสุตตนิทเทสที่ ๘


บทว่า ปสํสมิจฺฉํ วินิฆาติ โหติ ความว่า เมื่อปรารถนาความสรรเสริญเพื่อตน เป็นผู้มีถ้อยคำอย่างไรที่จะกล่าวก่อน โดยนัยเป็นต้นว่า เราจักข่มเขาอย่างไรหนอ ชื่อว่าย่อมเป็นผู้ลังเลใจ.

บทว่า อปาหตสฺมึ ความว่า ในเมื่อวาทะของตนถูกผู้พิจารณาปัญหา ค้านโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านกล่าวคำปราศจากอรรถะ ท่านกล่าวคำปราศจากพยัญชนะ.
         
บทว่า นินฺทาย โส กุปฺปติ ความว่า นรชนนั้นย่อมขัดเคือง ในเมื่อวาทะถูกเขาคัดค้าน และเพราะความติเตียนที่เกิดขึ้น.

บทว่า รนฺธเมสิ ความว่า แสวงหาความผิดของผู้อื่นนั่นแล.
บทว่า โถมนํ ได้แก่ กล่าวสรรเสริญ.
บทว่า กิตฺตึ ได้แก่ กระทำให้ปรากฏ.
บทว่า วณฺณหาริยํ ได้แก่ ยกย่องคุณความดี.

บทว่า ปุพฺเพว สลฺลาปา ความว่า ก่อนที่จะโต้ตอบกันนั่นแหละ ชื่อว่า กถังกถา เพราะอรรถว่า คำนี้อย่างไร คำนี้อย่างไร ชื่อว่า กถังกถี เพราะอรรถว่ามี กถังกถา ถ้อยคำว่าอย่างไร.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 01, 2025, 12:03:28 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.




ขยายความ : เทวดาสงสัย



 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ สุตฺต. สํ. สคาถวคฺโค


ตติยํ ชฏาสุตฺตํ

[๖๐]   อนฺโตชฏา พหิชฏา     ชฏาย ชฏิตา ปชา
         ตํ ตํ โคตม ปุจฺฉามิ     โก อิมํ วิชฏเย ชฏนฺติ ฯ

[๖๑]   สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ
         อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ           โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ

         เยสํ ราโค จ โทโส จ         อวิชฺชา จ วิราชิตา
         ขีณาสวา อรหนฺโต            เตสํ วิชฏิตา ชฏา
         ยตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ          อเสสํ อุปรุชฺฌติ
         ปฏิฆรูปสญฺญา จ             เอตฺถ สา ฉิชฺชเต ชฏาติ ฯ

@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

๓. ชฏาสูตร ว่าด้วยความยุ่ง

[๒๓] เทวดาทูลถามว่า หมู่สัตว์ยุ่งทั้งภายใน ยุ่งทั้งภายนอก ถูกความยุ่งพาให้นุงนังแล้ว
       ข้าแต่พระโคดม เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ว่า ใครพึงแก้ความยุ่งนี้ได้

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
        นรชนผู้มีปัญญา เห็นภัยในสังสารวัฏ ดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญจิตและปัญญา(๑-)
        มีความเพียร มีปัญญาเครื่องบริหารนั้นพึงแก้ความยุ่งนี้ได้

        บุคคลเหล่าใดกำจัดราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว
        บุคคลเหล่านั้นสิ้นอาสวะแล้ว เป็นพระอรหันต์ พวกเขาแก้ความยุ่งได้แล้ว
        นาม(๒-) ก็ดี รูปก็ดี ปฏิฆสัญญาก็ดี รูปสัญญาก็ดี(๓-)
        ดับไม่เหลือในที่ใด ความยุ่งนั้นก็ย่อมขาดหายไปในที่นั้น(๔-)


เชิงอรรถ
(๑-) เจริญจิตและปัญญา หมายถึงเจริญสมาธิและวิปัสสนา (สํ.ส.อ. ๑/๒๓/๔๙)
(๒-) นาม หมายถึงอรูปขันธ์ ๔ (คือ เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ) (สํ.ส.อ. ๑/๒๓/๕๐)
(๓-) ปฏิฆสัญญา หมายถึงกามภพ รูปสัญญา หมายถึงรูปภพ (สํ.ส.อ. ๑/๒๓/๕๐)
(๔-) ดูเทียบคาถาข้อ ๑๙๒ หน้า ๒๗๒-๒๗๓ ในเล่มนี้







อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต สัตติวรรคที่ ๓ ,ชฏาสูตรที่ ๓
อรรถกถาชฏาสูตรที่ ๓
     
   
พึงทราบวินิจฉัยในชฏาสูตรที่ ๓ ต่อไป :-

บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งคาถาว่า อนฺโตชฏา ดังต่อไปนี้.
บทว่า ชฏา เป็นชื่อของตัณหาเพียงดังข่าย.

จริงอยู่ ตัณหานั้นชื่อว่าชฏา เพราะอรรถว่าเป็นดุจชัฏ กล่าวคือข่ายแห่งกิ่งไม้ทั้งหลายมีกิ่งไม้ไผ่เป็นต้น ด้วยอรรถว่าเกี่ยวประสานกันไว้ เพราะเกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปารมณ์เป็นต้นด้วยสามารถแห่งอารมณ์ทั้งต่ำและสูง.

ก็ตัณหานี้นั้น เทพบุตรเรียกว่า ชัฏ (แปลว่ารก) ทั้งภายใน ชัฏทั้งภายนอก เพราะเกิดขึ้นในบริขารของตนและบริขารของผู้อื่น ทั้งในอัตภาพของตนและอัตภาพของผู้อื่น ทั้งในอายตนะภายในและอายตนะภายนอก. หมู่สัตว์ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏ คือตัณหานั้นอันเกิดขึ้นอย่างนี้.

อธิบายว่า ต้นไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้นยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือกิ่งของไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้นฉันใด ปชาคือหมู่สัตว์แม้ทั้งหมดนี้ก็ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือตัณหา ถูกตัณหานั้นผูกพันแล้วฉันนั้น. ก็เพราะหมู่สัตว์ถูกตัณหาผูกพันแล้วอย่างนี้ ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงขอทูลถามพระองค์ว่า ตํ ตํ โคตม ปุจฺฉามิ ดังนี้ แปลว่า ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์.


@@@@@@@

บทว่า โคตม คือ เทวดาย่อมเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระโคตร.       
บทว่า โก อิมํ วิชฏเย ชฏํ แปลว่า ใครพึงถางชัฏนี้. ความว่า เทพบุตรนั้นทูลถามว่า ใครพึงถาง คือใครสามารถเพื่อจะถางชัฏ (ตัณหา) อันรกรุงรังซึ่งตั้งอยู่ในโลกธาตุทั้ง ๓ นี้ได้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงวิสัชนาเนื้อความนี้แก่เทพบุตรนั้น จึงตรัสว่า
     สีเล ปติฏฺฐาย นโร       สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ
     อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ       โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ
     นรชนผู้มีปัญญา ตั้งมั่นแล้วในศีล อบรมจิตและปัญญาให้เจริญอยู่
     เป็นผู้มีความเพียร มีปัญญารักษาตนรอด ภิกษุนั้นพึงถางชัฏ (ตัณหา) นี้ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีเล ปติฏฺฐาย ได้แก่ ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีล.
ก็ในบทนี้พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อันเทวดาทูลถามถึงชัฏ คือ ตัณหาที่ผูกพันนระไว้ พระองค์จึงเริ่มคำว่า ศีล มิได้ทูลถามอย่างอื่น ก็มิได้ตรัสอย่างอื่น. เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงศีลในที่นี้ ก็เพื่อทรงแสดงถึงที่พึ่งของนระผู้ถางชัฏ คือตัณหาที่ผูกพันไว้.

บทว่า นโร ได้แก่ สัตว์.
บทว่า สปญฺโญ ได้แก่ ผู้มีปัญญาโดยปฏิสนธิมาด้วยปัญญาอันเป็นไตรเหตุอันเกิดแต่กรรม.
บทว่า จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ ได้แก่ ยังสมาธิและปัญญาให้เจริญอยู่.
จริงอยู่ ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสมาบัติ ๘ ไว้ด้วยหัวข้อแห่งจิต ตรัสวิปัสสนาไว้โดยชื่อว่าปัญญา.
         
@@@@@@@

บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร.
จริงอยู่ ความเพียร ตรัสเรียกว่า อาตาปะ เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องเผากิเลสทั้งหลายให้เร่าร้อน. ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสของนระนั้นมีอยู่ เหตุนั้น นระผู้มีความเพียรนั้นจึงชื่อว่า อาตาปี แปลว่า ผู้มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสให้เร่าร้อน.

ในบทว่า นิปโก นี้ ตรัสเรียกปัญญาว่าเนปกะ. อธิบายว่า นระผู้ประกอบด้วยปัญญา ชื่อว่าเนปกะนั้น. ทรงแสดงปาริหาริยปัญญา ด้วยบทว่า นิปโก นี้.
         
อธิบายว่า ปัญญาอันเป็นเหตุที่บุคคลพึงบริหารให้สำเร็จกิจทั้งปวง โดยนัยว่า นี้เป็นกาลสมควรเพื่อเรียน (อุเทศ) นี้เป็นกาลสมควรเพื่อสอบถาม (ปริปุจฉา) เป็นต้น ชื่อว่า ปาริหาริยปัญญา.

ในปัญหาพยากรณ์นี้ ปัญญามา ๓ วาระ.
ในปัญญาเหล่านั้น
     ปัญญาที่หนึ่ง ชื่อว่า สชาติปัญญา (ปัญญามีมาพร้อมกับการเกิด)
     ปัญญาที่สอง ชื่อว่า วิปัสสนาปัญญา.
     ปัญญาที่สาม ชื่อว่า ปาริหาริยปัญญา อันเป็นเครื่องนำไปในกิจทั้งปวง.

บทว่า ภิกฺขุ มีวิเคราะห์ว่า ผู้ใดย่อมเห็นภัยในสงสาร เหตุนั้น ผู้นั้นจึงชื่อว่าภิกษุ.(๑-)

____________________________
(๑-) คำว่า ภิกขุ ในที่นี้ท่านไม่ได้อธิบายไว้ (อรรถกถาบาลี หน้า ๖๒)

@@@@@@@

บทว่า โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ ความว่า ภิกษุนั้นพึงถางชัฏนี้ได้ ได้แก่ภิกษุนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยคุณทั้งหลายมีสีลาทิคุณเป็นต้นเหล่านี้.(๒-)

อธิบายว่า ภิกษุอาศัยแผ่นดินคือศีล แล้วยกศาสตราคือวิปัสสนาปัญญาอันตนลับดีแล้วด้วยศิลาคือสมาธิ ด้วยมือคือปาริหาริยปัญญาอันกำลังคือความเพียร ประคับประคองแล้ว พึงถาง พึงตัด พึงทำลายซึ่งชัฏคือตัณหาอันประจำอยู่ในสันดานแห่งตนนั้นแม้ทั้งหมด เปรียบเหมือนบุรุษผู้ยืนบนแผ่นดินยกศาสตราอันตนลับดีแล้ว พึงถางกอไผ่ใหญ่ ฉะนั้น.

____________________________
(๒-) ผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๖ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างและวิริยะ.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเสกขภูมิด้วยคำมีประมาณเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงพระมหาขีณาสพผู้ถางชัฏ (ตัณหา) แล้วดำรงอยู่ จึงตรัสคำว่า
     เยสํ ราโค จ โทโส จ    อวิชฺชา จ วิราชิตา
     ขีณาสวา อรหนฺโต       เตสํ วิชฺชิตา ชฏา.
     ราคะก็ดี โทสะก็ดี อวิชชาก็ดี อันบุคคลเหล่าใด กำจัดได้แล้ว บุคคลเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้ว
     เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งอัน บุคคลเหล่านั้นสางได้แล้ว.

@@@@@@@

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงพระขีณาสพผู้ถางซึ่งชัฏคือตัณหาอย่างนี้แล้วดำรงอยู่ เมื่อจะทรงแสดงโอกาสเป็นเครื่องถางชัฏอีก จึงตรัสคำว่า
     ยตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ    อเสสํ อุปรุชฺฌติ
     ปฏิฆรูปสญฺญา จ       เอตฺถ สา ฉิชฺชเต ชฏา.
     นามก็ดี รูปก็ดี ปฏิฆสัญญา และรูปสัญญาก็ดี
     ย่อมดับไม่เหลือในที่ใด ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งนั้น ย่อมขาดไปในที่นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นามํ ได้แก่ อรูปขันธ์ ๔.
       
ในบทว่า ปฏิฆรูปสญฺญา นี้ ท่านถือเอากามภพด้วยอำนาจแห่งปฏิฆสัญญา ถือเอารูปภพด้วยอำนาจแห่งรูปสัญญา. เมื่อภพทั้ง ๒ เหล่านั้นทรงถือเอาแล้ว อรูปภพก็เป็นอันถือเอาแล้วโดยสังเขปแห่งภพนั่นแหละ.
         
ในบทว่า เอตฺเถสา ฉิชฺชเต ชฏา นี้ แปลว่า ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งย่อมขาดไปในที่นั้น คือว่าตัณหาอันเป็นเครื่องยุ่งเหยิงนี้ ย่อมขาดไปในที่เป็นที่สิ้นสุดลงแห่งวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ คือว่าอาศัยพระนิพพานแล้วย่อมขาด ย่อมดับไป ดังนี้ นี้เป็นอรรถอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ดังนี้แล.


                                                         จบอรรถกถาชฏาสูตรที่ ๓   
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.




ขยายความ : กระแสเกิดและดับ
(ปฏิจจสมุปบาท ,ปัจจยาการ หรือ อิทัปปัจจยตา)




อ้างอิงจาก :-

- พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปฏิจจสมุปบาท
- พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑
https://84000.org/tipitaka/read/?4/1/1
- พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=16&item=1&items=1&preline=0&pagebreak=0
- พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์ อภิธรรมมาติกา ปัจจยจตุกกะ
https://84000.org/tipitaka/read/?35/274/185




 :25: :25: :25:

ความหมายของปฏิจจสมุปบาท

[340] ปฏิจจสมุปบาท มีองค์หรือหัวข้อ 12 (การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น)

       1/2. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี
       3. สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
       4. วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
       5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี
       6. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
       7. ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
       8. เวทนาปจฺจยา ตณฺหา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
       9. ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
     10. อุปาทานปจฺจยา ภโว เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี
     11. ภวปจฺจยา ชาติ เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
     12. ชาติปจฺจยา ชรามรณํ เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี

โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ.
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้

แสดงตามลำดับ จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา


@@@@@@@

องค์ หรือหัวข้อ 12 นั้น มีความหมายโดยสังเขป ดังนี้

       1. อวิชชา ความไม่รู้ คือไม่รู้ในอริยสัจ 4 หรือตามนัยอภิธรรม ว่า อวิชชา 8
       2. สังขาร สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร 3 หรือ  อภิสังขาร 3
       3. วิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่  วิญญาณ 6
       4. นามรูป นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ หรือตามนัยอภิธรรมว่า นามขันธ์ 3 + รูป ขันธ์ 5 (ข้อ 2, 3, 4) ; ดู รูป 2, 28 ; มหาภูต หรือ ภูตรูป 4 อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป 24 ; รูป 2
       5. สฬายตนะ อายตนะ 6 ได้แก่ อายตนะภายใน 6
       6. ผัสสะ ความกระทบ, ความประจวบ ได้แก่ สัมผัส 6
       7. เวทนา ความเสวยอารมณ์ ได้แก่  เวทนา 6
       8. ตัณหา ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา 6 มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์) ดู ตัณหา 3 ด้วย
       9. อุปาทาน ความยึดมั่น ได้แก่  อุปาทาน 4
     10. ภพ  ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ 3 อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม  ตรงกับ อภิสังขาร 3) กับ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ ตรงกับ ภพ 3)
     11. ชาติ ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ
     12. ชรามรณะ ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)

@@@@@@@

ทั้ง 12 ข้อ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นวงจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล้อหรือวงจรแห่งภพ) และมีข้อควรทราบเกี่ยวกับภวจักรอีก ดังนี้

       ก. อัทธา คือ กาล 3 ได้แก่
           1) อดีต = อวิชชา สังขาร
           2) ปัจจุบัน = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ
           3) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)

       ข. สังเขป หรือ สังคหะ 4 คือ ช่วง หมวด หรือ กลุ่ม 4 ได้แก่
           1) อดีตเหตุ = อวิชชา สังขาร
           2) ปัจจุบันผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
           3) ปัจจุบันเหตุ = ตัณหา อุปาทาน ภพ
           4) อนาคตผล = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)

       ค. สนธิ 3 คือ ขั้วต่อ ระหว่างสังเขปหรือช่วงทั้ง 4 ได้แก่
           1) ระหว่าง อดีตเหตุ กับ ปัจจุบันผล
           2) ระหว่าง ปัจจุบันผล กับ ปัจจุบันเหตุ
           3) ระหว่าง ปัจจุบันเหตุ กับ อนาคตผล

       ง. วัฏฏะ 3 ดู วัฏฏะ 3

       จ. อาการ 20 คือองค์ประกอบแต่ละอย่าง อันเป็นดุจกำของล้อ จำแนกตามส่วนเหตุ และส่วนผล ได้แก่
           1) อดีตเหตุ 5 = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
           2) ปัจจุบันผล 5 = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
           3) ปัจจุบันเหตุ 5 = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
           4) อนาคตผล 5 = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
       อาการ 20 นี้ ก็คือ หัวข้อที่กระจายให้เต็ม ในทุกช่วงของสังเขป 4 นั่นเอง

       ฉ. มูล 2 คือ กิเลสที่เป็นตัวมูลเหตุ ซึ่งกำหนดเป็นจุดเริ่มต้นในวงจรแต่ละช่วง ได้แก่
           1) อวิชชา เป็นจุดเริ่มต้นในช่วงอดีต ส่งผลถึงเวทนาในช่วงปัจจุบัน
           2) ตัณหา เป็นจุดเริ่มต้นในช่วงปัจจุบัน ส่งผลถึงชรามรณะในช่วงอนาคต

พึงสังเกตด้วยว่า การกล่าวถึงส่วนประกอบของภวจักรตามข้อ ก. ถึง ฉ. นี้ เป็นคำอธิบายในคัมภีร์รุ่นหลัง เช่น อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นต้น


@@@@@@@

การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท ให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบายอริยสัจข้อที่ 2 (สมุทัยสัจ) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท ที่แสดงแบบนี้ เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท)

การแสดงในทางตรงข้ามกับข้างต้นนี้ เป็น นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้อธิบายอริยสัจข้อที่ 3 (นิโรธสัจ) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท  แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลายสืบทอดกันไป ตัวบทของปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมนี้ พึงเทียบจากแบบอนุโลมนั่นเอง เช่น

       1/2. อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ
       3. สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ
       12. ชาตินิโรธา ชรามรณํ เพราะชาติดับ ชรามรณะ (จึงดับ)

โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติ
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ.
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้

นี้เป็นอนุโลมเทศนาของปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ส่วนปฏิโลมเทศนา ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะ เป็นต้น ดับ เพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ อย่างเดียวกับในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาทนี้ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ อิทัปปัจจยตา (ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย) ธรรมนิยาม (ความเป็นไปอันแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ และ ปัจจยาการ) (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน) เฉพาะชื่อหลังนี้เป็นคำที่นิยมใช้ในคัมภีร์อภิธรรม และคัมภีร์รุ่นอรรถกถา.



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปฏิจจสมุปบาท
อ้างอิง : วินย. 4/1/1 ; สํ.นิ. 16/1/1 ; อภิ.วิ. 35/274/185 ; วิสุทธิ. 3/107 ; สงฺคห. 45.





ปฏิจจสมุปบาท
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ปฏิจจสมุปบาท (/ปะติดจะสะหฺมุบบาด/) (บาลี : Paṭiccasamuppāda ปฏิจฺจสมุปฺปาท ; สันสกฤต : प्रतित्यसमुद्पाद ปฺรติตฺยสมุทฺปาท) แยกเป็น ปฏิจจ แปลว่า อาศัยกันและกัน, สมุปบาท แปลว่า เกิดร่วมกัน,

ปฏิจจสมุปบาท จึงแปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้นร่วมกัน หมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากสิ่งอื่น ทุกสิ่งต่างอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นหรือปรากฎลักษณะขึ้น

เช่น ฝน ย่อมเกิดขึ้นหรือแสดงลักษณะ จากเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทั้งการระเหยของน้ำ การแปรสภาพเมฆ การกระทบความเย็น จนควบแน่นจนตกลงมาเป็นฝน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าฝนไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ,

@@@@@@@

ปฏิจจสมุปบาทเป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ

    • เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี
    • เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
    • เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
    • เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ หรือ อายตนะ จึงมี
    • เพราะสฬายตนะ หรือ อายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
    • เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
    • เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
    • เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
    • เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
    • เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
    • เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
    • ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี


@@@@@@@

การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา หรือเรียกว่าปฏิจสมุปบาทสายเกิด ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการเกิดทุกข์

หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา หรือเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทสายดับ (นิโรธก็เรียก) ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการดับทุกข์

ในหนึ่งรอบจะแบ่งออกเป็นวัฏฏะ 2 ช่วง ช่วงที่ 1 อวิชชาเป็นกิเลส สังขารเป็นกรรม วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนาเป็นวิบาก ช่วงที่ 2 ตัณหา อุปาทานเป็นกิเลส ภพเป็นกรรม ชาติ ชรามรณะเป็นวิบาก เมื่อจำแนก ปฏิจจสมุปบาทเป็น 2 ช่วงเช่นนี้ ปฏิจจสมุปบาทจะใกล้เคียงกับสัญลักษณ์ อินฟินี้ตี้ "8" มากกว่า สัญลักษณ์ งูกินหาง "0"

@@@@@@@

ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์

    • ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะ ชาติ (การเกิดอัตตา "ตัวตน" คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ
    • ชาติ จะดับไปได้เพราะ ภพ (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ
    • ภพ จะดับไปได้เพราะ อุปาทาน (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ
    • อุปาทาน จะดับไปได้เพราะ ตัณหา (ความอยาก) ดับ
    • ตัณหา จะดับไปได้เพราะ เวทนา (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉย ๆ) ดับ
    • เวทนา จะดับไปได้เพราะ ผัสสะ (การสัมผัส) ดับ
    • ผัสสะ จะดับไปได้เพราะ สฬายตนะ (อายตนะใน 6 + นอก 6) ดับ
    • สฬายตนะ จะดับไปได้เพราะ นามรูป (รูปขันธ์) ดับ
    • นามรูป จะดับไปได้เพราะ วิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ดับ
    • วิญญาณ จะดับไปได้เพราะ สังขาร (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-เจตสิก) ดับ
    • สังขาร จะดับไปได้เพราะ อวิชชา (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ


@@@@@@@

สมุทยวาร-นิโรธวาร

การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงให้เห็น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่าง ๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สอง (สมุทัยสัจจ์) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจสมุปบาทที่แสดงแบบนี้เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท

(ดังแสดงสองตัวอย่างที่ผ่านไป เป็น อนุโลมเทศนา และ ปฏิโลมเทศนา ของอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับ)

การแสดงตรงกันข้ามกับข้างต้นนี้ เรียกว่า นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สาม (นิโรธสัจจ์) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย สืบทอดกันไป เช่น

เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติ ดับชรามรณะ (จึงดับ) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ

ดังนี้เรียกว่า อนุโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท

ส่วนปฏิโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะเป็นต้น ดับเพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ




Thank to :-
URL : https://th.wikipedia.org/wiki/ปฏิจจสมุปบาท
Photo : pinterest






‘ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท’



 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ สุตฺต. ม. มูลปณฺณาสกํ

{๓๔๖.๑}
โส เอวํ ปชานาติ เอวํ กิริเมสํ ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ สงฺคโห สนฺนิปาโต สมวาโย โหติ ฯ 
วุตฺตํ โข ปเนตํ ภควตา โย ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสตีติ ฯ   

ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา โข ปนิเม ยทิทํ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา
โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ ฉนฺโท อาลโย อนุนโย อชฺโฌสานํ โส ทุกฺขสมุทโย 
โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ โส ทุกฺขนิโรโธติ ฯ

เอตฺตาวตาปิ โข อาวุโส ภิกฺขุโน พหุกตํ โหติ


@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

ปฏิจจสมุปปันนธรรม

อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า
‘ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท’

อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม 
ความพอใจ ความอาลัย ความยินดี ความหมกมุ่นฝังใจในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ชื่อว่า ทุกขสมุทัย
การกำจัดความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ การละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ชื่อว่า ทุกขนิโรธ

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ภิกษุได้ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมากแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2025, 12:52:59 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.




ขยายความ : วิเคราะห์ขันธ์ วิเคราะห์คน ๑.



 :25: :25: :25:


คำของ "วชิราภิกษุณี" เท่าที่ค้นได้ อยู่ในสามที่ ดังนี้

(๑) วชิราสูตร ว่าด้วยวชิราภิกษุณี
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=15&siri=171

(๒) ว่าด้วยอิทัปปัจจยตา อัตตทัณฑสุตตนิทเทส
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย มหานิทเทส
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=29&siri=15

(๓) พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] กถาวัตถุปกรณ์
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=37&siri=20






พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ สุตฺต. สํ. สคาถวคฺโค

ทสมํ วชิราสุตฺตํ

[๕๕๒] เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ฯ

อถ โข วชิรา ภิกฺขุนีปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สาวตฺถึ ปิณฺฑาย ปาวิสิ สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ  ปิณฺฑปาต-ปฏิกฺกนฺตา เยน อนฺธวนํ เตนุปสงฺกมิ ทิวาวิหาราย อนฺธวนํ อชฺโฌคเหตฺวา อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิ ฯ
     
[๕๕๓] อถ โข มาโร ปาปิมา วชิราย ภิกฺขุนิยา ภยํ ฉมฺภิตตฺตํ โลมหํสํ อุปฺปาเทตุกาโม สมาธิมฺหา จาเวตุกาโม  เยน วชิรา ภิกฺขุนี เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา วชิรํ ภิกฺขุนึ คาถาย อชฺฌภาสิ
         
เกนายํ ปกโต สตฺโต  กฺวจิ สตฺตสฺส การโก
กฺวจิ สตฺโต สมุปฺปนฺโน   กฺวจิ สตฺโต นิรุชฺฌตีติ ฯ

@@@@@@@

[๕๕๔] อถ โข วชิราย ภิกฺขุนิยา เอตทโหสิ โก นุ ขฺวายํ มนุสฺโส วา อมนุสฺโส วา คาถํ ภาสตีติ ฯ 

อถ โข วชิราย ภิกฺขุนิยา เอตทโหสิ มาโร โข อยํ ปาปิมา มม ภยํ ฉมฺภิตตฺตํ โลมหํสํ อุปฺปาเทตุกาโม สมาธิมฺหา  จาเวตุกาโม คาถํ ภาสตีติ ฯ

อถ โข วชิรา ภิกฺขุนี มาโร อยํ ปาปิมา อิติ วิทิตฺวา มารํ ปาปิมนฺตํ คาถาหิ อชฺฌภาสิ

          กึ นุ สตฺโตติ ปจฺเจติ      มาร ทิฏฺฐิคตํ นุ เต
          สุทฺธสงฺขารปุญฺโช ยํ     นยิธ สตฺตุปลพฺภติ
          ยถา หิ องฺคสมฺภารา     โหติ สทฺโท รโถ อิติ
          เอวํ ขนฺเธสุ สนฺเตสุ      โหติ สตฺโตติ สมฺมติ

          ทุกฺขเมว หิ สมฺโภติ      ทุกฺขํ ติฏฺฐติ เวติ จ
          นาญฺญตฺร ทุกฺขา สมฺโภติ    นาญฺญตฺร ทุกฺขา นิรุชฺฌตีติ ฯ


อถ โข มาโร ปาปิมา ชานาติ มํ วชิรา ภิกฺขุนีติ ทุกฺขี ทุมฺมโน ตตฺเถวนฺตรธายีติ ฯ

                          ภิกฺขุนีสํยุตฺตํ สมตฺตํ ฯ

 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

๑๐. วชิราสูตร ว่าด้วยวชิราภิกษุณี

[๑๗๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-
บิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้นเวลาเช้า วชิราภิกษุณีครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี กลับจากบิณฑบาต ภายหลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปประสงค์จะให้วชิราภิกษุณีเกิดความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้า และประสงค์จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไปหาวชิราภิกษุณีถึงที่นั่งพักแล้วได้กล่าวกับวชิราภิกษุณีด้วยคาถาว่า
                         
   ใครสร้างสัตว์นี้ ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน.?
   สัตว์เกิดขึ้นที่ไหน สัตว์ดับที่ไหน.?

ลำดับนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความคิดดังนี้ว่า
    “นี่ใครหนอมากล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์กันแน่”

@@@@@@@

ทันใดนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความคิดดังนี้อีกว่า
    “นี่คือมารผู้มีบาป ประสงค์จะให้เราเกิดความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้าและประสงค์จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา”
             
ครั้งนั้นแล วชิราภิกษุณีทราบว่า “นี่คือมารผู้มีบาป” จึงได้กล่าวกับมารผู้มีบาปด้วยคาถาว่า
     "มารเอ๋ย ทิฏฐิของเจ้าเชื่อว่าอะไรเป็นสัตว์
      กองแห่งสังขารล้วนๆ นี้
      บัณฑิตจะเรียกว่าสัตว์ไม่ได้เลย
      เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ก็มีได้
      เหมือนคำว่า 'รถ' มีได้เพราะประกอบส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน"
                         
     "อนึ่ง ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น
      ทุกข์เท่านั้นดำรงอยู่และแปรผันไป
      นอกจากทุกข์ ไม่มีสิ่งอื่นเกิดขึ้น
      นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรอื่นดับไป"
(๑-)
             
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า “วชิราภิกษุณีรู้จักเรา” จึงหายตัวไป ณ ที่นั้นเอง

                                                   วชิราสูตรที่ ๑๐ จบ


(๑-) ดูเทียบ ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๘๖/๕๒๗-๕๒๘






พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย มหานิทเทส

นางวชิราภิกษุณีได้กล่าวคำนี้กับมารผู้ชั่วช้าว่า

     "มารเอ๋ย ทิฏฐิของเจ้าเชื่อใครหนอว่าเป็นสัตว์ ร่างกายที่เป็นกองแห่งสังขารล้วนๆ นี้บัณฑิตจะเรียกว่า สัตว์ไม่ได้เลย เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ สมมติว่าสัตว์ก็มีได้ เหมือนเสียงพูดว่ารถย่อมมีได้ เพราะการคุมกันแห่งส่วนประกอบ"   
                       
     "อนึ่งทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นดำรงอยู่และแปรผันไป นอกจากทุกข์ไม่มีสิ่งอื่นเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรอื่นดับไปเลย"

@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] กถาวัตถุปกรณ์
       
วชิราภิกษุณีกล่าวกับมารผู้มีบาปดังนี้ว่า

     “มารเอ๋ย ทิฏฐิของเจ้าเชื่อใครหนอว่าเป็นสัตว์ ร่างกายที่เป็นกองแห่งสังขารล้วนๆ นี้ บัณฑิตจะเรียกว่าสัตว์ไม่ได้เลย เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ สมมติว่าสัตว์ก็มีได้ เหมือนเสียงพูดว่ารถย่อมมีได้ เพราะการคุมกันแห่งส่วนประกอบ"                 
                   
    "อนึ่ง ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นดำรงอยู่และแปรผันไป นอกจากทุกข์ไม่มีสิ่งอื่นเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรอื่นดับไปเลย”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 09, 2025, 06:43:51 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.




ขยายความ : วิเคราะห์ขันธ์ วิเคราะห์คน ๒.






พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ สุตฺต. สํ. ขนฺธวารวคฺโค

[๒๔๒] เอกํ สมยํ ภควา อยุชฺฌายํ วิหรติ คงฺคาย นทิยา ตีเร ฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ 

     เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว อยํ คงฺคา นที มหนฺตํ เผณปิณฺฑํ อาวเหยฺย ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว เผณปิณฺเฑ สาโร ฯ 
     เอวเมว โข ภิกฺขเว ยงฺกิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ฯเปฯ 
     ยํ ทูเร สนฺติเก วา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว รูเป สาโร ฯ

    [๒๔๓] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว สรทสมเย ถุลฺลผุสิตเก เทเว วสฺสนฺเต อุทเก อุทกปุพฺพุฬํ อุปฺปชฺชติ เจว นิรุชฺฌติ จ  ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว อุทกปุพฺพุเฬ สาโร ฯ 
     เอวเมว โข ภิกฺขเว ยา กาจิ เวทนา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา ฯเปฯ   
     ยา ทูเร สนฺติเก วา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส   อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว เวทนาย สาโร ฯ

     [๒๔๔] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ฐิเต มชฺฌนฺติเก กาเล มรีจิ ผนฺทติ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส  ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ฯเปฯ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว มรีจิกาย สาโร ฯ
     เอวเมว โข ภิกฺขเว ยา กาจิ สญฺญา ฯเปฯ

     [๒๔๕] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน ติณฺหํ กุธารึ อาทาย วนํ ปวิเสยฺย  โส ตตฺถ ปสฺเสยฺย มหนฺตํ กทลิกฺขนฺธํ อุชุํ นวํ อกุกฺกุชกชาตํ ตเมนํ มูเล ฉินฺเทยฺย มูเล เฉตฺวา อคฺเค ฉินฺเทยฺย  อคฺเค เฉตฺวา ปตฺตวฏฺฏึ วินิพฺภุชฺเชยฺย โส ตตฺถ ปตฺตวฏฺฏึ วินิพฺภุชฺชนฺโต เผคฺคุํปิ นาธิคจฺเฉยฺย กุโต สารํ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว กทลิกฺขนฺเธ สาโร ฯ
     เอวเมว โข  ภิกฺขเว เย เกจิ สงฺขารา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา ฯเปฯ   
     เย ทูเร สนฺติเก วา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส   อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว สงฺขาเรสุ สาโร ฯ

     [๒๔๖] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว มายากาโร วา มายาการนฺเตวาสี วา จาตุมฺมหาปเถ มายํ วิทํเสยฺย ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว มายาย สาโร ฯ
      เอวเมว โข ภิกฺขเว ยงฺกิญฺจิ วิญฺญาณํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ฯเปฯ   
      ยํ ทูเร สนฺติเกวา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส   อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว วิญฺญาเณ สาโร ฯ   

     เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก รูปสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ เวทนายปิ ฯ สญฺญายปิ ฯ สงฺขาเรสุปิ ฯ วิญฺญาณสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ  วิราคา วิมุจฺจติ ฯ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ ฯเปฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาตีติ ฯ

@@@@@@@

อิทมโวจ ภควา อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา

[๒๔๗] เผณปิณฺฑูปมํ รูปํ           เวทนา ปุพฺพุฬูปมา
          มรีจิกูปมา สญฺญา          สงฺขารา กทลูปมา
          มายูปมญฺจ วิญฺญาณํ       เทสิตาทิจฺจพนฺธุนา ฯ

          ยถา ยถา นิชฺฌายติ       โยนิโส อุปปริกฺขติ
          ริตฺตกํ ตุจฺฉกํ โหติ         โย นํ ปสฺสติ โยนิโส ฯ

          อิมญฺจ กายํ อารพฺภ       ภูริปญฺเญน เทสิตํ
          ปหานํ  ติณฺณํ ธมฺมานํ     รูปํ ปสฺสถ ฉฑฺฑิตํ ฯ

          อายุ อุสฺมา จ วิญฺญาณํ    ยทา กายํ ชหนฺติมํ
          อปวิฏฺโฐ ตทา เสติ        ปรภตฺตํ อเจตนํ ฯ

          เอตาทิสายํ สนฺตาโน       มายายํ  พาลลาปินี
          วธโก เอโก อกฺขาโต       สาโร เอตฺถ น วิชฺชติ ฯ

          เอวํ ขนฺเธ อเวกฺเขยฺย       ภิกฺขุ อารทฺธวีริโย
          ทิวา วา ยทิ วา รตฺติ        สมฺปชาโน ปฏิสฺสโต ฯ

          ปชเห สพฺพสํโยคํ           กเรยฺย สรณตฺตโน
          จเรยฺยาทิตฺตสีโสว           ปตฺถยํ อจฺจุตํ ปทนฺติ ฯ








พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค , ๓. เผณปิณฑูปมสูตร ว่าด้วยอุปมาด้วยกลุ่มฟองน้ำ

[๙๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา เขตเมืองอยุชฌา ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

    “ภิกษุทั้งหลาย
     • แม่น้ำคงคานี้พึงพัดฟองน้ำกลุ่มใหญ่มา บุรุษผู้มีตาดีก็จะพึงเห็น เพ่งพิจารณาฟองน้ำกลุ่มใหญ่นั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่งพิจารณาฟองน้ำกลุ่มใหญ่นั้นโดยแยบคาย ฟองน้ำก็จะพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในฟองน้ำจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
     ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม
     ภิกษุเห็น เพ่งพิจารณารูปนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณารูปนั้นโดยแยบคาย รูปก็จะปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในรูปจะมีได้อย่างไร

     • เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกในสารทฤดู ฟองน้ำเกิดขึ้นและดับไปบนผิวน้ำ บุรุษผู้มีตาดีก็พึงเห็น เพ่ง พิจารณาฟองน้ำนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่ง พิจารณาฟองน้ำนั้นโดยแยบคาย ฟองน้ำก็จะพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลยสาระในฟองน้ำนั้นจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน
     ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม
     ภิกษุเห็น เพ่งพิจารณาเวทนานั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณาเวทนานั้นโดยแยบคายเวทนาก็จะปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในเวทนาจะมีได้อย่างไร

     • เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่ พยับแดดระยิบระยับในเวลาเที่ยง บุรุษผู้มีตาดีก็จะพึงเห็น เพ่ง พิจารณาพยับแดดนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่งพิจารณาพยับแดดนั้นโดยแยบคาย พยับแดดก็จะปรากฏเป็นของว่างเปล่า ฯลฯ สาระในพยับแดดจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน ฯลฯ

     • บุรุษผู้ต้องการแก่นไม้เที่ยวเสาะแสวงหาแก่นไม้ ถือขวานที่คมเข้าไปสู่ป่าเขาเห็นต้นกล้วยใหญ่ ตรง กำลังรุ่น ไม่มีแก่นในป่านั้นจึงตัดโคน ตัดปลาย แล้วปอกกาบออก เขาปอกกาบออกแล้ว ไม่ได้แม้กระพี้ในต้นกล้วยนั้น จะได้แก่นแต่ที่ไหนเล่า บุรุษผู้มีตาดีก็จะเห็น เพ่งพิจารณาต้นกล้วยนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่ง พิจารณาต้นกล้วยนั้นโดยแยบคาย ต้นกล้วยก็จะพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นมิได้เลย แก่นในต้นกล้วยจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน
     ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม
     ภิกษุเห็น เพ่งพิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย สังขารก็จะปรากฏเป็นของว่าง เปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในสังขารทั้งหลายจะมีได้อย่างไร

     • นักมายากลหรือลูกมือนักมายากลแสดงมายากลที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง บุรุษผู้มีตาดีก็จะพึงเห็น เพ่ง พิจารณามายากลนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่งพิจารณามายากลนั้นโดยแยบคาย มายากลก็จะพึงปรากฏเป็นของว่าง เปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในมายากลจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน
     ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม
     ภิกษุเห็น เพ่ง พิจารณาวิญญาณนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณาวิญญาณนั้นโดยแยบคาย วิญญาณก็จะปรากฏเป็นของว่าง เปล่า หาสาระมิได้เลยสาระในวิญญาณจะมีได้อย่างไร
           
     ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา..แม้ในสัญญา..แม้ในสังขาร ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ว่า ‘หลุดพ้นแล้ว’ รู้ชัดว่า ฯลฯ ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป”
             
@@@@@@@

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดาได้ตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

     “พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ทรงแสดงแล้วว่า
      ‘รูปอุปมาด้วยกลุ่มฟองน้ำ เวทนาอุปมาด้วยฟองน้ำ สัญญาอุปมาด้วยพยับแดด สังขารอุปมาด้วยต้นกล้วย และวิญญาณอุปมาด้วยมายากล
             
     ภิกษุเพ่งพิจารณาเห็นขันธ์ ๕ นั้นโดยแยบคายด้วยประการใดๆ ขันธ์ ๕ นั้น ก็ปรากฏเป็นของว่างเปล่าด้วยประการนั้นๆ

     การละธรรม ๓ ประการซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้ทรงมีปัญญาดุจแผ่นดินทรงปรารภกายนี้ แสดงไว้แล้ว
     
     ท่านทั้งหลาย จงดูรูปที่บุคคลทิ้งแล้ว เมื่อใด อายุ ไออุ่น และวิญญาณละกายนี้ เมื่อนั้นกายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง นอนเป็นเหยื่อของสัตว์อื่น ปราศจากเจตนา ความสืบต่อเป็นเช่นนี้

     นี้เป็นมายากลสำหรับหลอกลวงคนโง่ ขันธ์ ๕ เปรียบเหมือนเพชฌฆาต เราบอกแล้ว สาระในขันธ์ ๕ นี้ไม่มี

     ภิกษุผู้ปรารภความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลายอย่างนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน

     ภิกษุเมื่อปรารถนาบทอันไม่จุติ(๑-) พึงละสังโยชน์(๒-) ทั้งปวง ทำที่พึ่งแก่ตน ประพฤติดุจบุคคลถูกไฟไหม้ศีรษะฉะนั้น”


                                                เผณปิณฑูปมสูตรที่ ๓ จบ

____________________________________________
(๑-) บทอันไม่จุติ ในที่นี้หมายถึงพระนิพพาน (สํ.ข.อ. ๒/๙๕/๓๕๓)
(๒-) สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์กับทุกข์ มี ๑๐ ประการ คือ
      (๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่า เป็นตัวของตน
      (๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
      (๓) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
      (๔) กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
      (๕) ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ หรือพยาบาท ความคิดร้าย
      (๖) รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรม
      (๗) อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
      (๘) มานะ ความถือตัว
      (๙) อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
      (๑๐) อวิชชา ความไม่รู้จริง (สํ.สฬา.อ. ๓/๕๓-๖๒/๑๔, องฺ.ทสก. (แปล) ๒๔/๑๓/๒๑, อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๙๔๐/๕๙๒)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 09, 2025, 08:18:28 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.




ขยายความ : มีสติปัญญาที่ข้อต่อ ๑.



 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค , ๒. ยมกวรรค หมวดว่าด้วยคู่

๑. ปฐมปุพเพสัมโพธสูตร ว่าด้วยความดำริก่อนตรัสรู้ สูตรที่ ๑

[๑๓] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนเราเป็นโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ได้มีความคิดดังนี้ว่า

     ‘อะไรหนอเป็นคุณ(๑-) อะไรเป็นโทษ(๒-) ของจักขุ (ตา) อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากจักขุ
     ฯลฯ โสตะ (หู)
     ฯลฯ ฆานะ (จมูก)
     ฯลฯ ชิวหา (ลิ้น)
     ฯลฯ กาย
     อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษของมโน (ใจ) อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากมโน
             
ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า
     ‘สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยจักขุเกิดขึ้น
     นี้เป็นคุณของจักขุ สภาพที่จักขุไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา
     นี้เป็นโทษของจักขุ ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะ(๓-) ในจักขุ
     นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากจักขุ

     สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยโสตะ ฯลฯ

     สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยฆานะ ฯลฯ

     สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยชิวหาเกิดขึ้น
     นี้เป็นคุณของชิวหา สภาพที่ชิวหา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา
     นี้เป็นโทษของชิวหา ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ(๔-) ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะในชิวหา
     นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากชิวหา

     สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยกาย ฯลฯ

     สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยมโน
     นี้เป็นคุณของมโน สภาพที่มโนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา
     นี้เป็นโทษของมโน ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะในมโน
     นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากมโน’
             
     ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดเรายังไม่รู้คุณโดยความเป็นคุณ โทษโดยความเป็นโทษ และเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกจากอายตนะภายใน ๖ ประการนี้ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ตราบนั้นเราก็ยังไม่ยืนยันว่า ‘เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิ-ญาณอันยอดเยี่ยมในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์’

@@@@@@@

แต่เมื่อใดเรารู้คุณโดยความเป็นคุณ โทษโดยความเป็นโทษ เครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกจากอายตนะภายใน ๖ ประการนี้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ เมื่อนั้นเราจึงยืนยันว่า ‘เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์’
             
อนึ่ง ญาณทัสสนะ(๕-) เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ‘วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก”

                                            ปฐมปุพเพสัมโพธสูตรที่ ๑ จบ


________________________________
(๑-) คุณ (อัสสาทะ) หมายถึงสภาวะที่อร่อยหรือสภาวะที่สุขกายและสุขใจที่เกี่ยวข้องกามคุณ(องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๑๐/๒๘๘, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๐/๒๘๘)
(๒-) โทษ (อาทีนวะ) หมายถึงสภาวะที่ไม่อร่อย มีทุกข์กายและทุกข์ใจซึ่งมีธรรมเป็นเหตุ(องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๑๐/๒๘๘, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๐/๒๘๘)
(๓-) ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะ หมายถึงนิพพาน (องฺ.ติก.อ. ๒/๑๐๔/๒๕๗)
(๔-) ฉันทราคะ หมายถึงความกำหนัดที่ไม่รุนแรง (ฉันทะ) และความกำหนัดที่รุนแรง (ราคะ)(วิ.อ. ๓/๓๒๙/๕๗๒, ขุ.ม.อ. ๘/๑๐๕)
(๕-) ญาณทัสสนะ หมายถึงปัจจเวกขณญาณ ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน คือ สำรวจรู้มรรคผล กิเลสที่ละได้แล้ว และนิพพาน (องฺ.ติก.อ. ๒/๑๐๔/๒๕๗)


 :25: :25: :25:

๒. ทุติยปุพเพสัมโพธสูตร ว่าด้วยความดำริก่อนตรัสรู้ สูตรที่ ๒

[๑๔] “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนเราเป็นโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ได้มีความคิดดังนี้ว่า
     
     ‘อะไรหนอเป็นคุณ อะไรเป็นโทษของรูป อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากรูป
      อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษของสัททะ อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากสัททะ
      ฯลฯ คันธะ
      ฯลฯ รส
      ฯลฯ โผฏฐัพพะ
      อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษของธรรมารมณ์ อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากธรรมารมณ์’

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า
      ‘สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยรูปเกิดขึ้น
      นี้เป็นคุณของรูป สภาพที่รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา
      นี้เป็นโทษของรูป ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะในรูป
      นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากรูป

      สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยสัททะ ฯลฯ
          คันธะ ฯลฯ
          รส ฯลฯ
          โผฏฐัพพะ ฯลฯ
      สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยธรรมารมณ์เกิดขึ้น
      นี้เป็นคุณของธรรมารมณ์ สภาพที่ธรรมารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา
      นี้เป็นโทษของธรรมารมณ์ ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะในธรรมารมณ์
      นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากธรรมารมณ์’

@@@@@@@

ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดเรายังไม่รู้คุณโดยความเป็นคุณ โทษโดยความเป็นโทษ และเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกจากอายตนะภายนอก ๖ ประการนี้ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ตราบนั้นเราก็ยังไม่ยืนยันว่า ‘เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์’

แต่เมื่อใด เรารู้คุณโดยความเป็นคุณ โทษโดยความเป็นโทษ เครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกจากอายตนะภายนอก ๖ ประการนี้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ เมื่อนั้นเราจึงยืนยันว่า ‘เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์’

อนึ่ง ญาณทัสสนะเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ‘วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก”


                                      ทุติยปุพเพสัมโพธสูตรที่ ๒ จบ







พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค

ยมกวคฺโค ทุติโย


[๑๓] ปุพฺเพ เม ภิกฺขเว สมฺโพธาย อนภิสมฺพุทฺธสฺส โพธิสตฺตสฺเสว สโต เอตทโหสิ
     โก นุ โข จกฺขุสฺส อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณํ
     โก โสตสฺส ฯเปฯ
     โก ฆานสฺส ฯ
     โก ชิวฺหาย ฯ
     โก กายสฺส ฯ
     โก มนสฺส อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณนฺติ ฯ 

ตสฺส มยฺหํ ภิกฺขเว เอตทโหสิ ยํ โข จกฺขุํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ จกฺขุสฺส อสฺสาโท ยํ จกฺขุํ อนิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ อยํ จกฺขุสฺส อาทีนโว โย จกฺขุสฺมึ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ จกฺขุสฺส นิสฺสรณํ ฯเปฯ   

ยํ ชิวฺหํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ ชิวฺหาย อสฺสาโท ยา ชิวฺหา อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา อยํ ชิวฺหาย อาทีนโว โย ชิวฺหาย ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ ชิวฺหาย นิสฺสรณํ ฯเปฯ   

ยํ มนํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ มนสฺส อสฺสาโท โย มโน อนิจฺโจ ทุกฺโข วิปริณามธมฺโม อยํ มนสฺส อาทีนโว โย มนสฺมึ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ มนสฺส นิสฺสรณํ ฯ

{๑๓.๑} ยาวกีวญฺจาหํ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ อชฺฌตฺติกานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ นาพฺภญฺญาสึ ฯ

เนว ตาวาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจญฺญาสึ ฯ   

ยโต จ โขหํ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ อชฺฌตฺติกานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสึ ฯ   

อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจญฺญาสึฯ   

ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ ฯ

                                         ปฐมํ ฯ




 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค

[๑๔] ปุพฺเพ เม ภิกฺขเว สมฺโพธาย อนภิสมฺพุทฺธสฺส โพธิสตฺตสฺเสว สโต เอตทโหสิ โก นุ โข รูปานํ อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณํ
    โก สทฺทานํ ฯเปฯ 
    โก คนฺธานํ ฯเปฯ
    โก รสานํ ฯ
    โก โผฏฺฐพฺพานํ ฯ
    โก ธมฺมานํ อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณนฺติ ฯ   

ตสฺส มยฺหํ ภิกฺขเว เอตทโหสิ ยํ โข รูเป ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ รูปานํ อสฺสาโท ยํ รูปา อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา อยํ รูปานํ อาทีนโว โย รูเปสุ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ รูปานํ นิสฺสรณํ ฯ

ยํ สทฺเท คนฺเธ รเส โผฏฺฐพฺเพ ยํ ธมฺเม ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ ธมฺมานํ อสฺสาโท ยํ ธมฺมา อนิจฺจ ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา อยํ ธมฺมานํ อาทีนโว โย ธมฺเมสุ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ ธมฺมานํ นิสฺสรณํ ฯ

{๑๔.๑} ยาวกีวญฺจาหํ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ พาหิรานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ นาพฺภญฺญาสึ ฯ 

เนว ตาวาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมา สมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจญฺญาสึ ฯ 

ยโต จ โขหํ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ พาหิรานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสึ ฯ   

อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจญฺญาสึ ฯ   

ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ อยมนฺติมา ชาตินตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ ฯ

                                            ทุติยํ ฯ






อรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สฬายตนสังยุตต์ ยมกวรรคที่ ๒
๑. สัมโพธสูตรที่ ๑


ยมกวรรคที่ ๒         
อรรถกถาสัมโพธสูตรที่ ๑-๒     
 

 
ยมกวรรคที่ ๒ สูตรที่ ๑ และสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า อชฺฌตฺติกานํ ได้แก่ ชื่อว่า อัชฌัตติกะ โดยที่เป็นภายใน. ก็ความที่อายตนะเหล่านั้นเป็นภายใน พึงทราบได้ก็เพราะฉันทราคะความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจมีกำลังเกินประมาณ.

จริงอยู่ อายตนะภายในเหมือนภายในเรือนของพวกมนุษย์ อายตนะภายนอกเหมือนอุปจารใกล้ๆ เรือน คือ ฉันทราคะในภายในเรือนของพวกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยลูกเมีย ทรัพย์และข้าวเปลือกมีกำลังเกินประมาณ. พวกมนุษย์ไม่ให้ใครๆ เข้าไปในที่นั้น.

มีผู้กล่าวว่า จะประโยชน์อะไรด้วยเหตุเพียงเสียงภาชนะมีประมาณน้อยนี้ ฉันทราคะมีกำลังเกินประมาณในอายตนะภายใน ๖ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.

อายตนะเหล่านั้นท่านเรียกว่า ภายใน เพราะฉันทราคะมีกำลังนี้ด้วยประการฉะนี้.

@@@@@@@

แต่ในอุปจารใกล้ๆ เรือน ไม่มีกำลังอย่างนั้น. มนุษย์ก็ดี สัตว์สี่เท้าก็ดีที่เที่ยวไปในที่นั้น ไม่มีใครห้ามเลย แม้จะไม่ห้ามก็จริง ถึงอย่างนั้น เมื่อไม่ปรารถนาก็ไม่ให้จับแม้เพียงตระกร้าขนดิน.

ดังนั้น พวกเขาเหล่านั้นจึงไม่มีฉันทราคะมีกำลังเกินประมาณในที่นั้น. แม้ในรูปเป็นต้น ก็ไม่มีฉันทราคะที่มีกำลังเกินประมาณในที่นั้นเหมือนกัน ฉะนั้น ท่านจึงเรียกอายตนะเหล่านั้นว่า ภายนอก.

แต่เมื่อว่าโดยพิสดาร อายตนะทั้งภายในและภายนอกได้กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
         
คำที่เหลือในสูตรทั้ง ๒ มีนัยดังกล่าวแล้ว ในหนหลังนั่นแล.


                                          จบอรรถกถาสัมโพธสูตรที่ ๑-๒ 




 :25: :25: :25:

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

อุปจาร  เฉียด, จวนเจียน, ที่ใกล้ชิด, ระยะใกล้เคียง, ชาน, บริเวณรอบๆ ; ดังตัวอย่างคำที่ว่า อุปจารเรือน อุปจารบ้าน แสดงตามที่ท่านอธิบายในอรรถกถาพระวินัยดังนี้
       
     อาคารที่ปลูกขึ้นร่วมในแค่ระยะน้ำตกที่ชายคาเป็นเรือน,
     บริเวณรอบๆ เรือนซึ่งกำหนดเอาที่แม่บ้านยืนอยู่ที่ประตูเรือนสาดน้ำล้างภาชนะออกไปหรือแม่บ้านยืนอยู่ภายในเรือนโยนกระด้ง หรือไม้กวาดออกไปภายนอกตกที่ใด ระยะรอบๆ กำหนดนั้นเป็นอุปจารเรือน

     บุรุษวัยกลางคนมีกำลังดี ยืนอยู่ที่เขตอุปจารเรือน ขว้างก้อนดินไป ก้อนดินที่ขว้างนั้นตกลงที่ใด ที่นั้นจากรอบๆ บริเวณอุปจารเรือน เป็นกำหนดเขตบ้าน,
       
     บุรุษวัยกลางคนมีกำลังดีนั้นแหละ ยืนอยู่ที่เขตบ้านนั้นโยนก้อนดินไปเต็มกำลัง ก้อนดินตกเป็นเขตอุปจารบ้าน; สีมาที่สมมติเป็นติจีวราวิปปวาสนั้น จะต้องเว้นบ้านและอุปจารบ้านดังกล่าวนี้เสีย จึงจะสมมติขึ้น คือ ใช้เป็นติจีวราวิปปวาสสีมาได้ ;
     ดู ติจีวราวิปปวาสสีมา ด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 13, 2025, 10:48:00 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.




ขยายความ : มีสติปัญญาที่ข้อต่อ ๒.



 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ สุตฺต. สํ. ขนฺธวารวคฺโค

[๒๘๔] สาวตฺถี ฯ สกฺกายญฺจ โว ภิกฺขเว เทสิสฺสามิ สกฺกายสมุทยญฺจ สกฺกายนิโรธญฺจ สกฺกายนิโรธคามินีปฏิปทญฺจ ตํ สุณาถ ฯ
     
[๒๘๕] กตโม จ ภิกฺขเว สกฺกาโย ฯ
          ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาติสฺส วจนียํ ฯ
          กตเม ปญฺจ ฯ เสยฺยถีทํ ฯ
          รูปูปาทานกฺขนฺโธ ฯเปฯ
          วิญฺญาณูปาทานกฺขนฺโธ ฯ
          อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สกฺกาโย ฯ
     
[๒๘๖] กตโม จ ภิกฺขเว สกฺกายสมุทโย ฯ
          ยายํ ตณฺหา โปโนพฺภวิกา นนฺทิราคสหคตา ตตฺรตตฺราภินนฺทินี ฯ
          เสยฺยถีทํ ฯ
          กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา ฯ
          อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สกฺกายสมุทโย ฯ
     
[๒๘๗] กตโม จ ภิกฺขเว สกฺกายนิโรโธ ฯ
          โย ตสฺสาเยว ตณฺหาย อเสสวิราคนิโรโธ จาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโย ฯ
          อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สกฺกายนิโรโธ ฯ
     
[๒๘๘] กตมา จ ภิกฺขเว สกฺกายนิโรธคามินีปฏิปทา ฯ
          อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค ฯ
          เสยฺยถีทํ ฯ สมฺมาทิฏฺฐิ  สมฺมาสงฺกปฺโป ฯเปฯ สมฺมาสมาธิ ฯ
          อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สกฺกายนิโรธคามินีปฏิปทาติ ฯ







พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๓. สักกายสูตร ว่าด้วยสักกายะตามแนวอริยสัจธรรม


[๒๘๔] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสักกายะ สักกายสมุทัย สักกายนิโรธ และสักกายนิโรธคามินีปฏิปทา แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง.

[๒๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สักกายะเป็นไฉน.?
          คำว่าสักกายะนั้น ควรจะกล่าวว่า อุปาทานขันธ์ ๕.
          อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน.? อุปาทานขันธ์ ๕ นั้น ได้แก่
          อุปาทานขันธ์คือ รูป ฯลฯ
          อุปาทานขันธ์คือ วิญญาณ.
          ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สักกายะ.

[๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สักกายสมุทัยเป็นไฉน.?
          สักกายสมุทัยนั้น คือ ตัณหา อันนำให้เกิดในภพใหม่
          ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลินยิ่งในภพหรืออารมณ์นั้น.
          กล่าวคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.
          ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สักกายสมุทัย.

[๒๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สักกายนิโรธเป็นไฉน.?
          คือ ความดับโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นแล ด้วยมรรค
          คือ วิราคะ ความสละ ความสละคืน ความหลุดพ้น ความไม่อาลัย.
          ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สักกายนิโรธ.
             
[๒๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สักกายนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นไฉน.?
          คือ อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้
          กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
          ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา.


                                             จบ สูตรที่ ๓.



 :25: :25: :25:

ข้อมูลภาพรวมโดย AI : สักกายทิฏฐิสมุทยคามินีปฏิปทา

"สักกายทิฏฐิสมุทยคามินีปฏิปทา" หมายถึง การละทิ้งความคิดเห็นผิดว่าขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา กิจกรรม วิญญาณ) เป็นตัวตนหรือเป็นของตนอย่างแท้จริง.

"สมุทยคามินีปฏิปทา" เป็นคำที่ใช้ในพุทธศาสนาเพื่ออธิบายการละทิ้ง (สมุทัย) และการออกจาก (คามินี) การยึดมั่นในขันธ์ 5.

รายละเอียดเพิ่มเติม :-

สักกายทิฏฐิ : ความเห็นผิดที่ถือว่าขันธ์ 5 หรือกายใจ หรือรูปนาม เป็นตัวเราของเราอย่างแท้จริง, เป็นการยึดมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นคือตัวตนของเรา.

สมุทยคามินีปฏิปทา : เป็นกระบวนการที่นำไปสู่การละทิ้งสังโยชน์และกิเลสต่าง ๆ, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สักกายทิฏฐิ, ซึ่งเป็นเครื่องผูกรัดคนให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร.

สรุป : "สักกายทิฏฐิ สมุทยคามินีปฏิปทา" หมายถึง การละทิ้งความเห็นผิดว่าขันธ์ 5 คือตัวตน และการปฏิบัติเพื่อออกจากวัฏสงสารจากการยึดมั่นในตัวตน.







พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๓. สักกายสูตร ว่าด้วยสักกายะ


[๑๐๕] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสักกายะ เหตุเกิดแห่ง
สักกายะ ความดับแห่งสักกายะ และปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสักกายะ เธอทั้งหลายจงฟัง
             
สักกายะ เป็นอย่างไร.? คือ ควรกล่าวได้ว่า
         ‘สักกายะนั้น ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕ ประการ’
         อุปาทานขันธ์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
         ๑. รูปูปาทานขันธ์ ฯลฯ
         ๕. วิญญาณูปาทานขันธ์
         นี้เรียกว่า สักกายะ

เหตุเกิดแห่งสักกายะ เป็นอย่างไร.?
         คือ ตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและความกำหนัด มีปกติเพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ คือ
         ๑. กามตัณหา
         ๒. ภวตัณหา
         ๓. วิภวตัณหา
         นี้เรียกว่า เหตุเกิดแห่งสักกายะ

ความดับแห่งสักกายะ เป็นอย่างไร.?
        คือ ความดับตัณหาไม่เหลือด้วยวิราคะ ความสละ ความสละคืน ความพ้น ความไม่อาลัยในตัณหา
        นี้เรียกว่า ความดับแห่งสักกายะ

ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสักกายะ เป็นอย่างไร.?
        คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล ได้แก่
        ๑. สัมมาทิฏฐิ
        ๒. สัมมาสังกัปปะ ฯลฯ
        ๘. สัมมาสมาธิ
        นี้เรียกว่า ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสักกายะ”


                                             สักกายสูตรที่ ๓ จบ




 :25: :25: :25:

อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ จุลปัณณาสก์ อันตวรรคที่ ๑
สักกายสูตร ว่าด้วยสักกายะตามแนวอริยสัจธรรม


อรรถกถาสักกายสูตรที่ ๓        

แม้สูตรที่ ๓ ก็เหมือนกัน คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ตามอัธยาศัยของเวไนยสัตว์ผู้จะตรัสรู้ได้ ด้วยคำว่า สกฺกาโย โดยทรงประกอบขันธ์ ๕ เข้ากับอริยสัจ ๔.

                                             จบอรรถกถาสักกายสูตรที่ ๓     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 13, 2025, 11:41:29 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.




ขยายความ : ไม่ย่อท้อใฝ่โพธิญาณ ๑.



 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

เล่มนี้ว่าด้วยธรรมะสำคัญเรื่องใหญ่ ๆ รวม ๑๒ สังยุตต์ คือ :-

     ๑. มัคคสังยุตต์ ประมวลเรื่องมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
     ๒. โพชฌงคสังยุตต์ ประมวลเรื่องโพชฌงค์ ๗ คือ องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้มีสติ เป็นต้น.
     ๓. สติปัฏฐานสังยุตต์ ประมวลเรื่องสติปัฏฐาน ๔ คือ การตั้งสติ ๔ ประการ มีตั้งสติไว้ที่กาย เป็นต้น.
     ๔. อินทรียสังยุตต์ ประมวลเรื่องอินทรีย์ ๕ คือ ธรรมอันเป็นเรื่องใหญ่ในหน้าที่ของตน มีศรัทธาความเชื่อ เป็นต้น.

     ๕. สัมมัปปธานสังยุตต์ ประมวลเรื่องความเพียรชอบ ๔ ปารการ มีเพียรทำไม่ให้เกิดความชั่ว ที่ยังไม่เกิด เป็นต้น.
     ๖. พลสังยุตต์ ประมวลเรื่องพละ ๕ ประการ มีศรัทธาความเชื่อ เป็นต้น.
     ๗. อิทธิปาทสังยุตต์ ประมวลเรื่องอิทธิบาท ๔ คือ ธรรมะอันให้บรรลุความสำเร็จ ๔ ประการ มีฉันทะความพอใจ เป็นต้น.

พึงสังเกตว่า ตั้งแต่สังยุตต์ที่ ๑ ถึงที่ ๗ นี้ ว่าด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เป็นแต่ไม่เรียงลำดับตามหมวดเท่านั้น.

     ๘. อนุรุทธสังยุตต์ ประมวลเรื่องพระอนุนุทธ์ ผู้เป็นพุทธอนุชา.
     ๙. ฌานสังยุตต์ ประมวลเรื่องฌาน คือ การเพ่งอารมณ์จนจิตสงบได้ฌานที่ ๑ ถึงที่ ๔.
   ๑๐. อานาปานสังยุตต์ ประมวลเรื่องสติกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งเป็นวิธีทำจิตให้สงบประการหนึ่งที่นับว่าสำคัญ.
   ๑๑. ปัตติสังยุตต์ ประมวลเรื่องการที่จะเป็นพระโสดาบัน คือ พระอริยบุคคลชั้นที่ ๑ ซึ่งเป็นชั้นแรกใน ๔ ชั้น
   ๑๒. สัจจสังยุตต์ ประมวลเรื่องอริยสัจจ์ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นหลักสำคัญทางพระพุทธศาสนา







ขอยกข้อธรรมบางส่วนมาแสดงดังนี้

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
๑. มัคคสังยุต , ๑. อวิชชาวรรค , ๒. อุปัฑฒสูตร ว่าด้วยความเป็นผู้มีมิตรดีเป็นพรหมจรรย์กึ่งหนึ่ง

         
[๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของเจ้าศากยะ ชื่อว่าสักกระ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
     “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี(๑-) มีสหายดี(๒-) มีเพื่อนดี(๓-) เป็นพรหมจรรย์(๔-) กึ่งหนึ่ง”
             
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
     “อย่ากล่าวอย่างนั้น อานนท์ อย่ากล่าวอย่างนั้น อานนท์ ที่จริง ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียว อานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีพึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก”
       
      “ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
      ๑. เจริญสัมมาทิฏฐิอันอาศัยวิเวก (ความสงัด) อาศัยวิราคะ (ความคลายกำหนัด) อาศัยนิโรธ (ความดับ) น้อมไปในโวสสัคคะ (ความสละ)
      ๒. เจริญสัมมาสังกัปปะอันอาศัยวิเวก ...
      ๓. เจริญสัมมาวาจา ...
      ๔. เจริญสัมมากัมมันตะ ...
      ๕. เจริญสัมมาอาชีวะ ...
      ๖. เจริญสัมมาวายามะ ...
      ๗. เจริญสัมมาสติ ...
      ๘. เจริญสัมมาสมาธิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในโวสสัคคะ”

“ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก อย่างนี้แล”

_____________________________________
(๑-) มิตรดี หมายถึง มิตรที่มีคุณธรรม คือศีลเป็นต้น (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๒๒/๓๐๐)
(๒-) สหายดี หมายถึง เพื่อนร่วมงานที่ดี (องฺ.ทสก.อ. ๓/๑๗/๓๒๒)
(๓-) เพื่อนดี หมายถึง เพื่อนที่รักใคร่สนิทสนมรู้ใจกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน (องฺ.ทสก.อ. ๓/๑๗/๓๒๒)
(๔-) พรหมจรรย์ ในที่นี้หมายถึง อริยมรรค (สํ.ส.อ. ๑/๑๒๙/๑๔๙)

อนึ่ง ข้อที่ว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียวนั้นพึงทราบโดยปริยายนี้ ด้วยว่าเพราะอาศัยเราผู้เป็นมิตรดี เหล่าสัตว์ผู้มีชาติ (ความเกิด) เป็นธรรมดาย่อมพ้นจากชาติ ผู้มีชรา (ความแก่) เป็นธรรมดาย่อมพ้นจากชรา ผู้มีมรณะ (ความตาย) เป็นธรรมดาย่อมพ้นจากมรณะ ผู้มีโสกะ (ความเศร้าโศก) ปริเทวะ (ความคร่ำครวญ) ทุกข์ (ความทุกข์กาย) โทมนัส (ความทุกข์ใจ)และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) เป็นธรรมดาย่อมพ้นจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส
             
“อานนท์ ข้อที่ว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียวนั้นพึงทราบโดยปริยายนี้แล”

                                            อุปัฑฒสูตรที่ ๒ จบ







พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สุตฺต. สํ. มหาวารวคฺโค

[๔] เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา สเกฺยสุ วิหรติ สกฺกรํ นาม สกฺยานํ นิคโม ฯ
      อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ ฯ 
      เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ อุปฑฺฒมิทํ ภนฺเต พฺรหฺมจรยสฺส ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ

[๕] มา เหวํ อานนฺท อวจ มา เหวํ อานนฺท อวจ สกลเมว หิทํ อานนฺท พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตา ฯ     
      กลฺยาณมิตฺตสฺเสตํ อานนฺท ภิกฺขุโน ปาฏิกงฺขํ กลฺยาณสหายกสฺส กลฺยาณสมฺปวงฺกสฺส อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวสฺสติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกริสฺสตีติ ฯ

[๖] กถญฺจานนฺท ภิกฺขุ กลฺยาณมิตฺโต กลฺยาณสหาโย กลฺยาณสมฺปวงฺโก อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรติ ฯ   
     อิธานนฺท ภิกฺขุ สมฺมาทิฏฺฐึ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึ
     สมฺมาสงฺกปฺปํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ ฯเปฯ 
     สมฺมาวาจํ ภาเวติ  ฯเปฯ
     สมฺมากมฺมนฺตํ ภาเวติ ฯเปฯ
     สมฺมาอาชีวํ ภาเวติ ฯเปฯ
     สมฺมาวายามํ  ภาเวติ ฯเปฯ
     สมฺมาสตึ ภาเวติ ฯเปฯ
     สมฺมาสมาธึ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึ ฯ

     เอวํ โข อานนฺท ภิกฺขุ กลฺยาณมิตฺโต กลฺยาณสหาโย กลฺยาณสมฺปวงฺโก อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรติ ฯ

[๗] ตทิมินาเปตํ อานนฺท ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา สกลเมวิทํ พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ   
      มมญฺหิ อานนฺท กลฺยาณมิตฺตํ อาคมฺม ชาติธมฺมา สตฺตา ชาติยา ปริมุจฺจนฺติ ชราธมฺมา สตฺตา ชราย ปริมุจฺจนฺติ มรณธมฺมา สตฺตา มรเณน ปริมุจฺจนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสธมฺมา สตฺตา โสกปริเท ทุกฺขโทมนสฺสุปายาเสหิปริมุจฺจนฺติ ฯ 
      อิมินา โข เอตํ อานนฺท ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถาสกลเมวิทํ พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ







อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค มัคคสังยุตต์ อวิชชาวรรคที่ ๑
๒. อุปัฑฒสูตร


อรรถกถาอุปัฑฒสูตรที่ ๒ 
       
อุปัฑฒสูตรที่ ๒ กล่าวไว้แล้วใน โกสลสังยุต นั่นแล.

         จบอรรถกถาอุปัฑฒสูตรที่ ๒ 

@@@@@@@

อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค โกสลสังยุตต์ ทุติยวรรคที่ ๒
ทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘


อรรถกถาทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘         
         
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘ ต่อไป :-
         
บทว่า โส จ โข กลฺยาณมิตฺตสฺส ความว่า ก็ธรรมนี้นั้น ย่อมชื่อว่าสวากขาตธรรมของผู้มีมิตรดีเท่านั้น หาใช่สวากขาตธรรมของผู้มีมิตรชั่วไม่.

จริงอยู่ ธรรมเป็นสวากขาตธรรม แม้ของทุกคนก็จริง ถึงอย่างนั้น ย่อมทำประโยชน์ให้เต็มแก่ผู้มีมิตรดี ผู้ตั้งใจฟังด้วยดี ผู้เชื่อถือ เหมือนยาเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้ หาเป็นประโยชน์แก่คนผู้ไม่ใช้ไม่ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ พึงทราบว่าเทศนาธรรมในคำว่า ธมฺโม นี้.

บทว่า อุปฑฺฒมิทํ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระเจ้าไปในที่ลับคิดว่า เมื่อมิตรดีผู้โอวาทพร่ำสอนมีอยู่ สมณธรรมนี้ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ตั้งอยู่ในความพยายามเฉพาะตัว ดังนั้น พรหมจรรย์กึ่งหนึ่งมาจากมิตรดี กึ่งหนึ่งมาจากความพยายามเฉพาะตัว.

ครั้งนั้น พระเถระดำริว่า เราอยู่ในปเทสญาณ (ญาณในธรรมบางส่วน) รู้บางส่วน ไม่อาจคิดได้หมดทุกส่วน จำต้องทูลถามพระศาสดา จึงจักหมดสงสัย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา แล้วกล่าวอย่างนั้น.


@@@@@@@

บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส ได้แก่ อริยมรรค.

บทว่า ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา ความว่า ความเป็นผู้มีมิตรดีที่ได้ ย่อมมาสู่พรหมจรรย์กึ่งหนึ่ง จากพรหมจรรย์กึ่งหนึ่ง ดังนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า อริยมรรคมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ครึ่งหนึ่งย่อมมาจากความเป็นผู้มีมิตรดี อีกครึ่งหนึ่งย่อมมาจากความพยายามเฉพาะตัว.

ก็จริงอยู่ นี้เป็นความปรารถนาของพระเถระ แท้จริง แม้ในที่นี้ธรรมที่แบ่งแยกไม่ได้นี้ ก็ไม่อาจแบ่งแยกได้ว่า บรรดาอริยมรรคมีสัมมาสัมทิฏฐิเป็นต้น เท่านี้เกิดจากความมีมิตรดี เท่านี้เกิดจากความพยายามเฉพาะตน เปรียบเหมือนเมื่อคนมากคนยกเสาหิน ก็แบ่งแยกไม่ได้ว่า ที่เท่านี้คนโน้นยก ที่เท่านี้คนโน้นยก และเหมือนอย่างว่า เมื่อบุตรอาศัยมารดาบิดาเกิดขึ้น ก็แบ่งแยกไม่ได้ว่าเกิดจากมารดาเท่านี้ เกิดจากบิดาเท่านี้ ฉะนั้น.

ถึงกระนั้น พรหมจรรย์ชื่อว่ากึ่งหนึ่ง ตามอัธยาศัยของพระเถระว่า เพราะเป็นผู้มีมิตรดี ก็ได้คุณกึ่งหนึ่ง พรหมจรรย์ชื่อว่าทั้งสิ้น ตามอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ก็ได้คุณทั้งสิ้น.

ก็คำว่า กลฺยาณมิตฺตตา นี้ท่านถือว่า ชื่อว่าได้คุณที่เป็นส่วนเบื้องต้น ว่าโดยใจความก็ได้แก่ขันธ์ ๔ คือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ วิปัสสนาขันธ์อันอาศัยกัลยาณมิตรได้มา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สังขารขันธ์ก็มี.
         
@@@@@@@

บทว่า มาเหวํ อานนฺท ความว่า อย่าพูดอย่างนี้ เธอเป็นพหูสูต บรรลุปฏิสัมภิทาฝ่ายเสขะ รับพร ๘ ประการแล้วอุปัฏฐากเรา เธอผู้ประกอบด้วยอัจฉริยัพภูตธรรม ๔ ประการ ไม่ควรกล่าวอย่างนี้แก่บุคคลเช่นนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ความมีมิตรดี ความมีสหายดี ความมีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น ดังนี้ ทรงหมายว่า มรรค ๔ ผล ๔ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ ทั้งหมดมีมิตรดีเป็นมูลทั้งนั้น.
         
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงเหตุ โดยการเปล่งพระวาจานั่นแล จึงตรัสคำว่า กลฺยาณมิตฺตสฺเสตํ เป็นต้น.
         
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิกงฺขํ ความว่า พึงหวัง พึงปรารถนาว่ามีอยู่แท้.
         
บทว่า อิธ แปลว่า ในศาสนานี้.

ก่อนอื่น อาทิบททั้ง ๘ ในคำว่า สมฺมาทิฏฺฐึ ภาเวติ เป็นต้นมีพรรณนาสังเขปดังนี้. สัมมาทิฏฐิมีลักษณะเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะมีลักษณะยกสหชาตธรรมขึ้นสู่อารมณ์ชอบ สัมมาวาจามีลักษณะกำหนดอารมณ์ชอบ สัมมากัมมันตะมีลักษณะตั้งตนไว้ชอบ. สัมมาอาชีวะมีลักษณะทำอารมณ์ให้ผ่องแผ้วชอบ. สัมมาวายามะมีลักษณะประคองชอบ สัมมาสติมีลักษณะปรากฏชอบ สัมมาสมาธิมีลักษณะตั้งมั่นชอบ.

บรรดามรรคมีองค์ ๘ นั้น มรรคองค์หนึ่งๆ มีกิจ ๓ คือ ก่อนอื่นสัมมาทิฏฐิย่อมละมิจฉาทิฏฐิ พร้อมกับเหล่ากิเลสที่เป็นข้าศึกของตนอย่างอื่นๆ ๑ ทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ ๑ และเห็นสัมปยุตธรรมเพราะไม่ลุ่มหลง โดยกำจัดโมหะอันปกปิดสัมปยุตธรรมนั้น ๑.

แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้น ก็ละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น และทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ อย่างนั้นเหมือนกัน แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะย่อมยกอารมณ์ขึ้นสู่สหชาตธรรม.

สัมมาวาจาย่อมกำหนดถือเอาชอบ สัมมากัมมันตะย่อมตั้งตนไว้ชอบ สัมมาอาชีวะย่อมผ่องแผ้วชอบ สัมมาวายามะย่อมประคองความเพียรๆ ชอบ สัมมาสติย่อมตั้งไว้ชอบ สัมมาสมาธิย่อมตั้งมั่นชอบ.


@@@@@@@

อนึ่งเล่า ธรรมดาสัมมาทิฏฐินี้ ในส่วนเบื้องต้นย่อมมีขณะต่างๆ มีอารมณ์ต่างๆ แต่ในขณะมรรคจิตมีขณะอันเดียว มีอารมณ์อย่างเดียว. แต่ว่าโดยกิจ ย่อมได้ชื่อ ๔ ชื่อมี ทุกฺเข ญาณํ รู้ในทุกข์ดังนี้เป็นต้น

แม้สัมมาสังกัปปะ เป็นต้น ในส่วนเบื้องต้นก็มีขณะต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรคจิตย่อมมีขณะอันเดียว มีอารมณ์อย่างเดียว.

ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะว่าโดยกิจ ย่อมได้ชื่อ ๓ ชื่อมีเนกขัมมสังกัปปะเป็นต้น.
สัมมาวาจาเป็นต้นย่อมเป็นวิรัติ ๓ บ้าง เป็นเจตนาเป็นต้นบ้าง แต่ในขณะแห่งมรรคจิตก็เป็นวิรัติเท่านั้น.

สัมมาวายามะและสัมมาสติทั้งสองดังว่ามานี้ ว่าโดยกิจก็ได้ชื่อ ๔ ชื่อโดยสัมมัปปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔.
ส่วนสัมมาสมาธิทั้งในส่วนเบื้องต้น ทั้งในขณะแห่งมรรคจิต ก็สมาธิอย่างเดียว.
         
@@@@@@@

ครั้นทราบการพรรณนาอาทิบททั้ง ๘ ที่ท่านกล่าวโดยนัยว่า สมฺมาทิฏฐึ ดังนี้เป็นต้นอย่างนี้ก่อนแล้ว บัดนี้ พึงทราบความในคำว่า ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ เป็นต้นดังนี้.

บทว่า ภาเวติ แปลว่า เจริญ. อธิบายว่า ทำให้เกิด บังเกิดในจิตสันดานของตน.
บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ แปลว่า อาศัยวิเวก.
บทว่า วิเวโก ได้แก่ ความเป็นผู้สงัด.

พึงทราบความดังนี้ว่า ความเป็นผู้สงัดนี้ ได้แก่ วิเวก ๕ อย่างคือ ตทังควิเวก วิกขัมภนวิเวก สมุจเฉทวิเวก ปฏิปัสสัทธิวิเวก นิสสรณวิเวก. วิเวกมี ๕ อย่างดังนี้.
       
บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ ก็ได้แก่ เจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยตทังควิเวก อาศัยสมุจเฉทวิเวก และอาศัยนิสสรณวิเวก.
       
อนึ่งเล่า พระโยคี [โยคาวจร] ผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งอริยมรรคภาวนานี้ ในขณะเจริญวิปัสสนาย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยตทังควิเวก โดยกิจที่อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอัธยาศัย แต่ในขณะแห่งมรรคจิตย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยสมุจเฉทวิเวกโดยกิจ ที่อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอารมณ์.

ในบทว่าที่อาศัยวิราคะเป็นต้น ก็นัยนี้.
ก็วิราคะเป็นต้น ก็มีวิเวกความสงัดเป็นอรรถนั่นแหละ.

         
@@@@@@@

ก็ในที่นี้อย่างเดียว โวสสัคคะมี ๒ อย่างคือ ปริจาคโวสสัคคะและปักขันทนโวสสัคคะ.
บรรดาโวสสัคคะ ๒ อย่างนั้น การละกิเลสด้วยอำนาจตทังคปหานในขณะเจริญวิปัสสนา และการละกิเลสด้วยอำนาจสมุจเฉทปหานในขณะแห่งมรรคจิต ชื่อว่าปริจาคโวสสัคคะ.

ในขณะเจริญวิปัสสนาก็แล่นไปสู่พระนิพพานด้วยความเป็นผู้น้อมไปในพระนิพพานนั้น แต่ในขณะแห่งมรรคจิตก็แล่นไปสู่พระนิพพานด้วยการทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ ชื่อว่าปักขันทนโวสสัคคะ.
         
โวสสัคคะแม้ทั้งสองนั้นย่อมควรในอรรถกถานัยที่ผสมทั้งโลกิยะและโลกุตระนี้.

จริงอย่างนั้น สัมมาทิฏฐินี้ย่อมสละกิเลสและแล่นไปสู่พระนิพพานโดยประการตามที่กล่าวแล้ว ด้วยคำทั้งสิ้นนี้ว่า โวสฺสคฺคปริณามึ ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า กำลังน้อมไปและน้อมไปแล้ว กำลังบ่มและบ่มสุกแล้ว เพื่อโวสสัคคะ.
         
จริงอยู่ ภิกษุผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งอริยมรรคภาวนานี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิโดยอาการที่สัมมาทิฏฐินั้นกำลังบ่มเพื่อโวสสัคคะคือการสละกิเลส และเพื่อโวสสัคคะคือการแล่นไปสู่พระนิพพาน และโดยอาการที่สัมมาทิฏฐินั้นบ่มสุกแล้ว.

ในองค์มรรคที่เหลือก็นัยนี้.

@@@@@@@

บทว่า อาคมฺม ได้แก่ ปรารภหมายถึง อาศัยแล้ว.
บทว่า ชาติธมฺมา ได้แก่ มีการเกิดเป็นสภาวะ คือมีการเกิดเป็นปกติ [ธรรมดา].
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่แม้อริยมรรคทั้งสิ้นอาศัยกัลยาณมิตรจึงได้ ฉะนั้น

ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเชื้อเชิญ.
บทว่า อปฺปามาทํ ปสํสนฺติ ได้แก่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท เพราะฉะนั้น จึงควรทำความไม่ประมาท.
บทว่า อตฺถาภิสมยา แปลว่า เพราะได้ประโยชน์.


                                            จบอรรถกถาทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘   







พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
๑. มัคคสังยุต, ๑. อวิชชาวรรค, ๔. ชาณุสโสณิพราหมณสูตร


๓. สารีปุตตสูตร ว่าด้วยพระสารีบุตร

[๓] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
อภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
     “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียว”
             
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    “ถูกละ ถูกละ สารีบุตร ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดีมีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมด สารีบุตร ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก
     ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มากอย่างไร คือ

     ภิกษุในธรรมวินัยนี้
     ๑. เจริญสัมมาทิฏฐิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในโวสสัคคะ
         ฯลฯ
     ๘. เจริญสัมมาสมาธิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในโวสสัคคะ
           
ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก อย่างนี้แล

@@@@@@@

สารีบุตร อนึ่ง ข้อที่ว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดนั้น พึงทราบโดยปริยายนี้ ด้วยว่าเพราะอาศัยเราผู้เป็นมิตรดี เหล่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดาย่อมพ้นจากชาติ ผู้มีชราเป็นธรรมดาย่อมพ้นจากชรา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดาย่อมพ้นจากมรณะ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดาย่อมพ้นจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส

สารีบุตร ข้อที่ว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดนั้น พึงทราบโดยปริยายนี้แล”

                                            สารีปุตตสูตรที่ ๓ จบ




 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สุตฺต. สํ. มหาวารวคฺโค

[๘] สาวตฺถีนิทานํ ฯ
      อถ โข อายสฺมา สารีปุตฺโต เยนภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํนิสีทิ ฯ
      เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา สารีปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ สกลมิทํ ภนฺเต พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ

[๙] สาธุ สาธุ สารีปุตฺต สกลมิทํ สารีปุตฺต พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตา ฯ
      กลฺยาณมิตฺตสฺเสตํ สารีปุตฺต ภิกฺขุโน ปาฏิกงฺขํ กลฺยาณสหายสฺส กลฺยาณสมฺปวงฺกสฺส อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคฺ ภาเวสฺสติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกริสฺสตีติ ฯ
     
[๑๐] กถญฺจ สารีปุตฺต ภิกฺขุ กลฺยาณมิตฺโต กลฺยาณสหาโย กลฺยาณสมฺปวงฺโก อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวติ อริยํ  อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรติ ฯ 
 
       อิธ สารีปุตฺต ภิกฺขุ
       สมฺมาทิฏฺฐึ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึ   
       ฯเปฯ
       สมฺมาสมาธึ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึ ฯ   

เอวํ โข สารีปุตฺต ภิกฺขุ กลฺยาณมิตฺโต กลฺยาณสหาโย กลฺยาณสมฺปวงฺโก อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรติ ฯ

[๑๑] ตทิมินาเปตํ สารีปุตฺต ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา สกลมิทํ พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ     
       มมญฺหิ สารีปุตฺต กลฺยาณมิตฺตํ อาคมฺม ชาติธมฺมา สตฺตา ชาติยา ปริมุจฺจนฺติ ชราธมฺมา สตฺตา ชราย   ปริมุจฺจนฺติ มรณธมฺมา สตฺตา มรเณน ปริมุจฺจนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสธมฺมา สตฺตา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาเสหิ ปริมุจฺจนฺติ ฯ 
       อิมินา โข เอตํ สารีปุตฺต ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา สกลมิทํ พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ




 :25: :25: :25:

อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค มัคคสังยุตต์ อวิชชาวรรคที่ ๑
๓. สารีปุตตสูตร


อรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ ๓         
         
พึงทราบวินิจฉัยในสารีปุตตสูตรที่ ๓

บทว่า สกลมิทํ ภนฺเต ความว่า พระอานนทเถระไม่รู้ว่า มรรคพรหมจรรย์แม้ทั้งสิ้นอันตนได้ เพราะอาศัยกัลยาณมิตรดังนี้ เพราะยังไม่ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ.

ส่วนพระธรรมเสนาบดีได้รู้แล้ว เพราะดำรงอยู่ในที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกราบทูลอย่างนี้. เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ประทานสาธุการแก่พระเถระนั้นว่า สาธุ สาธุ ดังนี้.

                                            จบอรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ ๓   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 15, 2025, 08:47:22 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ