.

ขยายความ : วิเคราะห์ขันธ์ วิเคราะห์คน ๒.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ สุตฺต. สํ. ขนฺธวารวคฺโค
[๒๔๒] เอกํ สมยํ ภควา อยุชฺฌายํ วิหรติ คงฺคาย นทิยา ตีเร ฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ
เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว อยํ คงฺคา นที มหนฺตํ เผณปิณฺฑํ อาวเหยฺย ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว เผณปิณฺเฑ สาโร ฯ
เอวเมว โข ภิกฺขเว ยงฺกิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ฯเปฯ
ยํ ทูเร สนฺติเก วา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว รูเป สาโร ฯ
[๒๔๓] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว สรทสมเย ถุลฺลผุสิตเก เทเว วสฺสนฺเต อุทเก อุทกปุพฺพุฬํ อุปฺปชฺชติ เจว นิรุชฺฌติ จ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว อุทกปุพฺพุเฬ สาโร ฯ
เอวเมว โข ภิกฺขเว ยา กาจิ เวทนา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา ฯเปฯ
ยา ทูเร สนฺติเก วา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว เวทนาย สาโร ฯ
[๒๔๔] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ฐิเต มชฺฌนฺติเก กาเล มรีจิ ผนฺทติ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ฯเปฯ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว มรีจิกาย สาโร ฯ
เอวเมว โข ภิกฺขเว ยา กาจิ สญฺญา ฯเปฯ
[๒๔๕] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน ติณฺหํ กุธารึ อาทาย วนํ ปวิเสยฺย โส ตตฺถ ปสฺเสยฺย มหนฺตํ กทลิกฺขนฺธํ อุชุํ นวํ อกุกฺกุชกชาตํ ตเมนํ มูเล ฉินฺเทยฺย มูเล เฉตฺวา อคฺเค ฉินฺเทยฺย อคฺเค เฉตฺวา ปตฺตวฏฺฏึ วินิพฺภุชฺเชยฺย โส ตตฺถ ปตฺตวฏฺฏึ วินิพฺภุชฺชนฺโต เผคฺคุํปิ นาธิคจฺเฉยฺย กุโต สารํ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว กทลิกฺขนฺเธ สาโร ฯ
เอวเมว โข ภิกฺขเว เย เกจิ สงฺขารา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา ฯเปฯ
เย ทูเร สนฺติเก วา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว สงฺขาเรสุ สาโร ฯ
[๒๔๖] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว มายากาโร วา มายาการนฺเตวาสี วา จาตุมฺมหาปเถ มายํ วิทํเสยฺย ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว มายาย สาโร ฯ
เอวเมว โข ภิกฺขเว ยงฺกิญฺจิ วิญฺญาณํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ฯเปฯ
ยํ ทูเร สนฺติเกวา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว วิญฺญาเณ สาโร ฯ
เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก รูปสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ เวทนายปิ ฯ สญฺญายปิ ฯ สงฺขาเรสุปิ ฯ วิญฺญาณสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ วิราคา วิมุจฺจติ ฯ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ ฯเปฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาตีติ ฯ
@@@@@@@
อิทมโวจ ภควา อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา
[๒๔๗] เผณปิณฺฑูปมํ รูปํ เวทนา ปุพฺพุฬูปมา
มรีจิกูปมา สญฺญา สงฺขารา กทลูปมา
มายูปมญฺจ วิญฺญาณํ เทสิตาทิจฺจพนฺธุนา ฯ
ยถา ยถา นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ
ริตฺตกํ ตุจฺฉกํ โหติ โย นํ ปสฺสติ โยนิโส ฯ
อิมญฺจ กายํ อารพฺภ ภูริปญฺเญน เทสิตํ
ปหานํ ติณฺณํ ธมฺมานํ รูปํ ปสฺสถ ฉฑฺฑิตํ ฯ
อายุ อุสฺมา จ วิญฺญาณํ ยทา กายํ ชหนฺติมํ
อปวิฏฺโฐ ตทา เสติ ปรภตฺตํ อเจตนํ ฯ
เอตาทิสายํ สนฺตาโน มายายํ พาลลาปินี
วธโก เอโก อกฺขาโต สาโร เอตฺถ น วิชฺชติ ฯ
เอวํ ขนฺเธ อเวกฺเขยฺย ภิกฺขุ อารทฺธวีริโย
ทิวา วา ยทิ วา รตฺติ สมฺปชาโน ปฏิสฺสโต ฯ
ปชเห สพฺพสํโยคํ กเรยฺย สรณตฺตโน
จเรยฺยาทิตฺตสีโสว ปตฺถยํ อจฺจุตํ ปทนฺติ ฯ

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค , ๓. เผณปิณฑูปมสูตร ว่าด้วยอุปมาด้วยกลุ่มฟองน้ำ
[๙๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา เขตเมืองอยุชฌา ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย
• แม่น้ำคงคานี้พึงพัดฟองน้ำกลุ่มใหญ่มา บุรุษผู้มีตาดีก็จะพึงเห็น เพ่งพิจารณาฟองน้ำกลุ่มใหญ่นั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่งพิจารณาฟองน้ำกลุ่มใหญ่นั้นโดยแยบคาย ฟองน้ำก็จะพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในฟองน้ำจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม
ภิกษุเห็น เพ่งพิจารณารูปนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณารูปนั้นโดยแยบคาย รูปก็จะปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในรูปจะมีได้อย่างไร
• เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกในสารทฤดู ฟองน้ำเกิดขึ้นและดับไปบนผิวน้ำ บุรุษผู้มีตาดีก็พึงเห็น เพ่ง พิจารณาฟองน้ำนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่ง พิจารณาฟองน้ำนั้นโดยแยบคาย ฟองน้ำก็จะพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลยสาระในฟองน้ำนั้นจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม
ภิกษุเห็น เพ่งพิจารณาเวทนานั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณาเวทนานั้นโดยแยบคายเวทนาก็จะปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในเวทนาจะมีได้อย่างไร
• เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่ พยับแดดระยิบระยับในเวลาเที่ยง บุรุษผู้มีตาดีก็จะพึงเห็น เพ่ง พิจารณาพยับแดดนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่งพิจารณาพยับแดดนั้นโดยแยบคาย พยับแดดก็จะปรากฏเป็นของว่างเปล่า ฯลฯ สาระในพยับแดดจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน ฯลฯ
• บุรุษผู้ต้องการแก่นไม้เที่ยวเสาะแสวงหาแก่นไม้ ถือขวานที่คมเข้าไปสู่ป่าเขาเห็นต้นกล้วยใหญ่ ตรง กำลังรุ่น ไม่มีแก่นในป่านั้นจึงตัดโคน ตัดปลาย แล้วปอกกาบออก เขาปอกกาบออกแล้ว ไม่ได้แม้กระพี้ในต้นกล้วยนั้น จะได้แก่นแต่ที่ไหนเล่า บุรุษผู้มีตาดีก็จะเห็น เพ่งพิจารณาต้นกล้วยนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่ง พิจารณาต้นกล้วยนั้นโดยแยบคาย ต้นกล้วยก็จะพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นมิได้เลย แก่นในต้นกล้วยจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม
ภิกษุเห็น เพ่งพิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย สังขารก็จะปรากฏเป็นของว่าง เปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในสังขารทั้งหลายจะมีได้อย่างไร
• นักมายากลหรือลูกมือนักมายากลแสดงมายากลที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง บุรุษผู้มีตาดีก็จะพึงเห็น เพ่ง พิจารณามายากลนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่งพิจารณามายากลนั้นโดยแยบคาย มายากลก็จะพึงปรากฏเป็นของว่าง เปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในมายากลจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม
ภิกษุเห็น เพ่ง พิจารณาวิญญาณนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณาวิญญาณนั้นโดยแยบคาย วิญญาณก็จะปรากฏเป็นของว่าง เปล่า หาสาระมิได้เลยสาระในวิญญาณจะมีได้อย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา..แม้ในสัญญา..แม้ในสังขาร ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ว่า ‘หลุดพ้นแล้ว’ รู้ชัดว่า ฯลฯ ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป”
@@@@@@@
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดาได้ตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
“พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ทรงแสดงแล้วว่า
‘รูปอุปมาด้วยกลุ่มฟองน้ำ เวทนาอุปมาด้วยฟองน้ำ สัญญาอุปมาด้วยพยับแดด สังขารอุปมาด้วยต้นกล้วย และวิญญาณอุปมาด้วยมายากล
ภิกษุเพ่งพิจารณาเห็นขันธ์ ๕ นั้นโดยแยบคายด้วยประการใดๆ ขันธ์ ๕ นั้น ก็ปรากฏเป็นของว่างเปล่าด้วยประการนั้นๆ
การละธรรม ๓ ประการซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้ทรงมีปัญญาดุจแผ่นดินทรงปรารภกายนี้ แสดงไว้แล้ว
ท่านทั้งหลาย จงดูรูปที่บุคคลทิ้งแล้ว เมื่อใด อายุ ไออุ่น และวิญญาณละกายนี้ เมื่อนั้นกายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง นอนเป็นเหยื่อของสัตว์อื่น ปราศจากเจตนา ความสืบต่อเป็นเช่นนี้
นี้เป็นมายากลสำหรับหลอกลวงคนโง่ ขันธ์ ๕ เปรียบเหมือนเพชฌฆาต เราบอกแล้ว สาระในขันธ์ ๕ นี้ไม่มี
ภิกษุผู้ปรารภความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลายอย่างนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน
ภิกษุเมื่อปรารถนาบทอันไม่จุติ(๑-) พึงละสังโยชน์(๒-) ทั้งปวง ทำที่พึ่งแก่ตน ประพฤติดุจบุคคลถูกไฟไหม้ศีรษะฉะนั้น”
เผณปิณฑูปมสูตรที่ ๓ จบ____________________________________________
(๑-) บทอันไม่จุติ ในที่นี้หมายถึงพระนิพพาน (สํ.ข.อ.
๒/๙๕/๓๕๓)
(๒-) สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์กับทุกข์ มี ๑๐ ประการ คือ
(๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่า เป็นตัวของตน
(๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
(๓) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
(๔) กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
(๕) ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ หรือพยาบาท ความคิดร้าย
(๖) รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรม
(๗) อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
(๘) มานะ ความถือตัว
(๙) อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
(๑๐) อวิชชา ความไม่รู้จริง (สํ.สฬา.อ.
๓/๕๓-๖๒/๑๔, องฺ.ทสก. (แปล)
๒๔/๑๓/๒๑, อภิ.วิ. (แปล)
๓๕/๙๔๐/๕๙๒)