ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สตรี สตางค์ นิติ : อาวุธพิฆาตภิกษุปุถุชน  (อ่าน 5 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29346
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



สตรี สตางค์ นิติ : มหาภัยของพระดีๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้คิดคำว่า “นารีพิฆาต” ขึ้นมาในช่วงเวลาที่มีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชนเนืองๆ ว่าพระภิกษุรูปนั้นรูปนี้มีพฤติการณ์พัวพันทางชู้สาวกับสตรี

พฤติการณ์และการออกข่าวเช่นนี้ทำให้มีผู้วิเคราะห์ว่า เกิดจากผู้ไม่หวังดีประสงค์จะทำลายพระพุทธศาสนา กล่าวคือ เมื่อเห็นว่า พระภิกษุรูปใดมีท่าทีว่าเป็นที่เจริญศรัทธาของประชาชน และจะเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนาต่อไป ผู้ไม่หวังดีก็จะวางแผนส่งสตรีเข้าไปตีสนิทชิดเชื้อกับพระภิกษุรูปนั้น แล้วก่อความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวขึ้นเพื่อให้ความเสื่อมเสียเกิดขึ้นแก่พระภิกษุรูปนั้นทำให้ไม่เจริญในพระศาสนาอีกต่อไป

จึงเรียกการกระทำเช่นนี้ว่า ใช้แผนนารีพิฆาต เรียกสั้นว่า “นารีพิฆาต”

แผนนารีพิฆาตนี้ ถ้าศึกษาพุทธประวัติก็จะพบว่า มีผู้นำมาใช้แล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล เช่น กรณีนางจิญจมาณวิกา และนางสุนทรี เป็นต้น

ขอแรงญาติมิตรที่มีแก่ใจช่วยการศึกษา เอาลิงก์พระไตรปิฎกที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ว่านี้มาวางไว้ให้สักหน่อย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ญาติมิตรอื่นๆ ได้ศึกษาง่ายขึ้น ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งไว้ ณ ที่นี้

@@@@@@@

น่าสังเกตว่า จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า “ผู้ไม่หวังดีประสงค์จะทำลายพระพุทธศาสนา” นั้น คือใคร ฝ่ายไหน และกรณีเช่นนี้ได้มีใคร-โดยเฉพาะคณะสงฆ์-ได้ทำการศึกษา สืบสวน หรือสืบค้นข้อเท็จจริงประมวลขึ้นเป็นข้อมูลหลักฐานบ้างหรือไม่-เพื่อป้องกันแก้ไขมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก อันจะเป็นประโยชน์ในทางปกป้องพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบต่อไป

จนถึงวันนี้ เท่าที่พอจะสรุปได้ การพิฆาตพระดีๆ จะใช้แผนอยู่ ๓ แผน คือ

๑. สตรี คือนารีพิฆาตดังที่เคยปรากฏมาแล้ว
๒. สตางค์ คือใช้การพัวพันกับเรื่องเงิน เช่นเงินทอน เงินวัด อย่างที่เราเห็นกันอยู่
๓. นิติ คือใช้ช่องทางกฎหมายเอาผิดกับพระเมื่อท่านไปทำอะไรบางอย่าง ทั้งนี้เนื่องจากพระส่วนมากไม่มีความรู้ทางกฎหมาย

ผมเข้าใจว่า จนถึงวันนี้ผู้บริหารการพระศาสนาของเราก็ยังไม่มีนโยบายใดๆ ที่จะขจัดจุดอ่อนหรือปิดช่องโหว่ทั้ง ๓ ช่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เราเสียพระดีๆ ไปอีก การจะหวังให้ผู้บริหารการพระศาสนา หรือคณะสงฆ์ หรือชี้ตัวตรงๆ คือ มหาเถรสมาคม ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าไม่ต้องหวัง

“หัวก็ไม่กระดิก หางก็ไม่ส่าย” ทางรอดเหลือทางเดียว คือ ทุกคนลงมือทำกันเอง ใครถนัดทางไหนจงทำทางนั้น





ขออนุญาตยกตัวอย่างผมเอง ผมพิจารณาแล้วเห็นว่า ทุกวันนี้ทั้งชาววัดทั้งชาวบ้านขาดความรู้ทางพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ทำอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากหลักธรรมคำสอนที่ถูกต้อง สาเหตุใหญ่ คือ ไม่มีฉันทะอุตสาหะที่จะค้นคว้าศึกษาเรียนรู้

ผมเห็นว่า ตัวผมเองพอจะศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้บ้าง ผมก็ลงมือศึกษาเรียนรู้ รู้อะไรมาก็เอามาบอกกล่าวให้คนอื่นๆ รู้ด้วย พร้อมๆ ไปกับกระตุ้นเตือนให้ผู้มีหน้าที่-โดยเฉพาะก็คือพระภิกษุสามเณร-มีอุตสาหะศึกษาค้นคว้าหลักพระธรรมวินัยเพื่อให้ได้ความรู้เอามาเป็นหลักปฏิบัติและเผยแผ่ต่อไปอีก นี่คืองานที่ผมทำมานานแล้ว กำลังทำอยู่ทุกวัน และจะทำต่อไปจนกว่าจะหมดกำลัง

ท่านอื่นๆ ก็ใช้ทางของท่านทำแบบเดียวกันนี้ ใครถนัดทางไหน มีกำลังทางไหน ก็ลงมือทำในทางนั้นๆ โดยเฉพาะท่านที่ประกาศว่ารักพระศาสนา เป็นห่วงพระศาสนายิ่งนัก บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิสูจน์แล้วว่าท่านไม่ได้พูดแต่ปาก หากแต่ได้ลงมือทำงานจริงๆ

เป็นต้นว่า ท่านที่มีความรู้ทางกฎหมาย ก็ตะลุยให้ความรู้ทางกฎหมายแก่หลวงพ่อหลวงพี่ที่เป็นเจ้าอาวาส คุยได้ คุย บอกได้ บอก ทำถึงขั้นจัดอบรมได้ด้วยก็ยิ่งดี จัดอบรมกันเรื่อยไปจนกว่าพระจะมีความรู้ทางกฎหมายถึงระดับรักษาตัวได้ทั่วถึง ใครมีกำลัง ใครมีสตางค์ ก็ช่วยสนับสนุนให้จัดให้มีขึ้น

นี่ยกเป็นตัวอย่างเรื่องเดียว พอให้เห็นภาพว่าใครสามารถทำอะไรได้บ้าง





แต่ที่สำคัญมากๆ ก็คือ ท่านที่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างก็ดี ท่านที่สามารถทำได้ทุกอย่างแต่ไม่คิดจะช่วยทำสักอย่างก็ดี ขอความกรุณาช่วยอยู่นิ่งๆ ถ้าให้กำลังใจกันไม่ได้ ก็ฝึกวางใจเป็นกลางเอาไว้ให้มากๆ นึกถึงคำพังเพย-มือไม่พาย … หรือจะท่องว่า-ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ศาสนาไม่ใช่ของกูคนเดียว-เพื่อปลอบใจตัวเองไปด้วยก็เชิญ

เราท่านส่วนมากไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ นอกจากตำแหน่งชาวพุทธล้วนๆ แท้ๆ เพียงอย่างเดียว เราจะทำงานเช่นนี้ได้ด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรจะต้องเสีย ไม่มีอะไรจะต้องขาดทุน มีแต่ได้บุญเป็นกำไร จึงสมควรทำอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ การทำงานเพื่อพระศาสนาของเราแต่ละคนที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ยังจะเป็นการช่วยให้กำลังใจแก่ผู้ที่มีตำแหน่งมีหน้าที่ แต่ไม่คิดจะทำอะไรนอกจากนั่งรอรับคำสั่งอย่างเดียว-อีกสถานหนึ่งด้วย

ใครจะทำหรือไม่ทำ ไม่ต้องมัวแต่รอกันนะครับ ชวนกันไปช่วยกันทำด้วยก็ยิ่งดี ทำเป็นทีมได้ก็ยิ่งวิเศษ แต่ไม่ต้องรอกัน  ไม่ต้องรอใคร ผมพูดอยู่บ่อยๆ-คนเดียวกูก็ทำ.!


                       พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
                       ๙ มีนาคม ๒๕๖๕ , ๑๓:๒๕




ขอบคุณ : https://dhamtara.com/?p=21301
9 มีนาคม 2022 , admin2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันนี้ เวลา 07:55:06 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ