ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไทยจะปลดล็อกปัญหาผู้สูงวัยสู่ "เศรษฐกิจอายุยืน" (Longevity Economy) ได้อย่างไร  (อ่าน 20 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29504
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ไทยจะปลดล็อกปัญหาผู้สูงวัยสู่ "เศรษฐกิจอายุยืน" (Longevity Economy) ได้อย่างไร

เมื่อพูดถึง "สังคมสูงวัย" (Aged Society) ภาพที่มักปรากฏในหัวคือ "ค่าใช้จ่าย" และ "ความเชื่องช้า" แต่ในเวทีโลก กระแสลมกำลังเปลี่ยนทิศ ผู้คนไม่ได้มองว่าการมีอายุยืนคือวิกฤต แต่มองเป็น "เศรษฐกิจอายุยืน" (Longevity Economy)

นี่คือเทรนด์เศรษฐกิจมหาศาลที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย "คนแก่ที่เจ็บป่วย" แต่ขับเคลื่อนด้วย "คนที่อยากอายุยืนอย่างมีคุณภาพ" (Health Span) ที่ได้สร้างตลาดใหม่ที่มีมูลค่ามหาศาล ตั้งแต่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Wellness) ไปจนถึงอาหารโภชนาการขั้นสูง ทว่า... สำหรับประเทศไทยโอกาสทองนี้ กลับถูกพันธนาการไว้ด้วย "วิกฤตเชิงโครงสร้าง" ที่น่าปวดหัว


@@@@@@@

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ฉายภาพใหญ่ในมุมเศรษฐศาสตร์ที่เฉียบคมว่า ประเทศไทยกำลังติดกับดักอะไรอยู่

พาราด็อกซ์" ของบัตรทอง ยิ่งสำเร็จ ยิ่งเสี่ยง โดยดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ชี้ว่า ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ของไทยนั้นทำหน้าที่ได้ "ดีเยี่ยม" ในการลดภาระค่าใช้จ่ายสุขภาพส่วนตัวของประชาชนจาก 34% เหลือเพียง 9% แต่ความสำเร็จนี้เอง กลับกำลังสร้างปัญหาใหญ่ถึง 2 ประการ

    - ประการที่หนึ่ง คือ ค่าใช้จ่ายโตแซงเศรษฐกิจ สวัสดิการสุขภาพโตเฉลี่ยปีละ 4.53% ขณะที่ GDP โตไม่ถึง 2% กับ
    - ประการที่สอง เรื่องโครงสร้างประชากรที่พังทลาย โดยเรามีอายุยืนขึ้นจริง แต่สวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลงจนน่าใจหาย ปัญหาโครงสร้างประชากรที่บิดเบี้ยวนี้ กำลังนำไปสู่ความท้าทายที่แท้จริง นั่นคือ "ผลิตภาพ (Productivity)"

@@@@@@@

ดร.ศุภวุฒิ ฉายภาพอนาคตอันใกล้ว่า “ในอีก 15 ปีข้างหน้า คนวัยทำงานเพียง 1.8 คน จะต้องแบกรับภาระดูแลผู้สูงอายุ 1 คน” “ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ที่ประชาชนอยู่ในภาวะสูงอายุแล้วจะรักษาผลิตภาพให้โตได้ 2-3% นี่คือโจทย์ที่ยากที่สุดของไทย" ดร.ศุภวุฒิ ย้ำ

เมื่อสถานการณ์บีบคั้นขนาดนี้ "มันไม่ใช่เรื่องของพร้อม มันคือเรื่องของว่าต้องทำ" ดร.ศุภวุฒิ กล่าว โดยมี 2 สิ่งที่ต้องเร่งลงมือทันที คือ การสร้างคนคุณภาพ ในเมื่อเด็กเกิดน้อย ก็ต้องอัดฉีดคุณภาพให้สูงสุด รวมถึงการสร้าง Wellness ที่ต้องทำให้คนอายุเยอะมีสุขภาพดี ไม่ใช่แค่ "อายุยืน" แต่ "ป่วยออดๆ แอดๆ"

โดยโจทย์การสร้าง Wellness นั้นไม่ง่าย เพราะ ดร.ศุภวุฒิ ชี้ให้เห็นความจริงที่น่ากังวลว่า "ประเทศไทยล้มเหลวในการควบคุม NCDs" (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) ซึ่งเป็นคอขวดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยใน 100 คนที่เป็นโรคเบาหวาน รักษาและควบคุมโรคได้มีเพียง 11 คน และใน 100 คนที่เป็นโรคความดัน ควบคุมโรคได้มีเพียง 16 คน ทั้งหมดนี้คือ "คอขวด" ที่ท้าทายที่สุด และเป็นเหตุผลว่าทำไม "Wellness" จึงกลายเป็น Keyword สำคัญในการอยู่รอดทางเศรษฐกิจของประเทศ

แง่ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม ดร.ศุภวุฒิ เสนอทางออกที่ชัดเจนว่า "ประเทศไทยต้องเลิกพยายามแข่งขันในอุตสาหกรรมที่เราสู้จีนไม่ได้ (เช่น แร่หายาก) และหันมาทุ่มเทสร้าง 2 อุตสาหกรรมหลักที่เรามีศักยภาพสูงและเป็นที่ต้องการของโลกยุค Longevity เช่น การทำอาหารที่ดี (อาหารออร์แกนิก, อาหารคุณภาพสูง) และการดูแลสุขภาพ (Wellness)


@@@@@@@

สรุปว่า เมื่อนำอุตสาหกรรม อาหารคุณภาพสูง มารวมกับ ภาคการดูแลสุขภาพที่แข็งแกร่ง ทั้งหมดนี้คือ "เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่" ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยในยุค Longevity Economy ได้อย่างน่าสนใจ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กล่าวทิ้งท้าย





Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2892180
31 ต.ค. 2568 ,14:59 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ | ไทยรัฐออนไลน์
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ