ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จากฟืนถึงดอกไม้จันทน์  (อ่าน 7 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29539
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
จากฟืนถึงดอกไม้จันทน์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2025, 08:21:14 am »
0
.



จากฟืนถึงดอกไม้จันทน์

แล้วต่อไปจะเป็นอะไร.? ภาษาไทยเรามีคำว่า “ฌาปนสถาน” เป็นที่รู้กันว่าคือเมรุเผาศพ

ในภาษาบาลี “ฌาปน” (ชา-ปะ-นะ) แปลว่า การเผา ถ้าจะให้หมายถึงการเผาศพ จะต้องเติมคำว่า “สรีร” (สะ-รี-ระ, = ร่างกาย) เข้าข้างหน้าเป็น “สรีรชฺฌาปน” (สะ-รี-รัด-ชา-ปะ-นะ) แปลว่า “การเผาสรีระ” ถ้าอย่างนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการเผาศพ

ในภาษาบาลี ไม่ว่าจะเป็นศพของคนชั้นไหนก็ใช้คำว่า “สรีรชฺฌาปน” เหมือนกันหมด แม้แต่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า ในคัมภีร์ก็ใช้คำว่า “สรีรชฺฌาปน” คำเดียวกัน

ราชาศัพท์ว่า “ถวายพระเพลิงพระบรมศพ” แปลเป็นภาษาบาลีว่า “สรีรชฺฌาปน” ตรงตามสำนวนบาลี

เมื่อครั้งมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ (วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีที่เรียกกันทั่วไปว่า “ถวายดอกไม้จันทน์” ขึ้นพร้อมกันในวันนั้นทั่วประเทศ

ตอนนั้นมีผู้ตั้งประเด็นว่า ไม่ควรพูดว่า “ถวายดอกไม้จันทน์” แต่ควรใช้คำว่า “วางดอกไม้จันทน์ถวาย”


@@@@@@@

ข้อที่ควรเข้าใจก็คือ ธรรมเนียมการศพของไทยเราใช้วิธีเผา คนโบราณไปช่วยงานเผาศพจะแบกฟืนไปด้วย คือเอาฟืนไปเผาศพกันจริงๆ

การเผาศพสมัยก่อนใช้ฟืนเผาจริงๆ ผมเป็นเด็กวัดยังทันเห็นคนสมัยเก่าถือฟืนจริงๆ ไปงานเผาศพ

คำว่า “ไปเผาศพ” หรือ “ไปจุดศพ” ก็ยังมีคนพูดกันติดปากอยู่

ต่อมา เมื่อวิธีเผาศพพัฒนาขึ้น ไม่ต้องใช้ฟืน คนไปงานศพก็เปลี่ยนจากถือฟืนมาเป็นถือธูปไปเผาศพ โดยเจตนาให้ธูปแทนฟืนนั่นเอง

ปัจจุบัน บางพื้นที่ในจังหวัดราชบุรี คนเก่าๆ ไปเผาศพยังนิยมถือธูปไปจากบ้านด้วย





ต่อมา จึงเกิดมีความนิยมทำดอกไม้จันทน์แทนธูป โปรดสังเกตว่าตัวดอกไม้จันทน์ก็ยังมีธูปเทียน แต่ย่อส่วนเป็นธูปเทียนเล็กจิ๋วจนแทบไม่รู้สึกว่ามีธูปเทียนอยู่ด้วย เห็นแต่ดอกไม้จันทน์เป็นจุดเด่น

โปรดทราบว่า ธูปเทียนเล็กจิ๋วนั้นก็คือสิ่งที่กลายมาจากฟืน
จากฟืนจริง กลายมาเป็นธูป
จากธูป กลายมาเป็นดอกไม้จันทน์

ปัจจุบันเมื่อขึ้นไป “เผาศพ” บนเมรุ ก็ไม่ได้เห็นไฟที่กำลังเผาศพจริง เป็นแต่เอาดอกไม้จันทน์ไปวางใต้หีบศพเป็นกิริยา “เผาศพ”

ถ้าจะเห็นไฟเผาศพจริงก็ต้องเป็นเวลาที่เรียกกันว่า “เผาจริง” ซึ่งนิยมทำเฉพาะในหมู่วงศ์ญาติ

คนสมัยใหม่จับเอากิริยาที่เอาดอกไม้จันทน์ไปวางนั่นเองมาเป็นหลักคิด เกิดเป็นคำว่า “ถวายดอกไม้จันทน์” หรือ “วางดอกไม้จันทน์ถวาย” ในครั้งนั้น


@@@@@@@

ถ้าคิดเพียงแค่นั้น ก็อาจจะพลาดจากธรรมเนียมไทยที่นิยม “เผาศพ” เพราะความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะ “ถวายดอกไม้จันทน์” หรือ “วางดอกไม้จันทน์ถวาย” ก็ต้องตั้งเจตนาไว้ที่ “เผาศพ”

ไม่ใช่ “ถวาย” หรือ “วาง” ไว้เฉยๆ เป็นเครื่องระลึกถึงเหมือนธรรมเนียมของบางชาติเช่นฝรั่งเป็นต้นที่นิยมฝังศพ และเอาดอกไม้ไปวางเป็นเครื่องระลึกถึงตามโอกาส

อะไรที่เราทำกันในทุกวันนี้ ถ้าไม่ศึกษาสืบสวนให้เข้าใจไปถึงรากเหง้าเค้าเดิม เราก็จะเห็นแต่สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็จินตนาการกันไปแล้วแต่ใครจะคิด แล้วก็เกิดเป็นค่านิยมแบบใหม่ที่งอกออกมาจากจินตนาการนั้นซึ่งห่างไกลจากเหตุผลต้นเค้า อาจกลายเป็นคนละเรื่องหรือไปคนละโลกไปเลยก็ได้

ดังเช่นงานเผาศพ ธรรมเนียมเดิม เอาฟืนไปใส่ไฟเผาศพ กลายมาเป็น เอาดอกไม้จันทน์ไปวาง จากกิริยา-เอาดอกไม้จันทน์ไปวาง ก็เกิดจินตนาการกันไปต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ห่างไกลจาก-เอาฟืนไปใส่ไฟเผาศพ

เห็นความจำเป็นและคุณค่าของการศึกษารากเหง้าของตัวเองกันบ้างหรือยังเจ้าข้า.?

          พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
         ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ,๑๑:๓๐



ขอบคุณ : https://dhamtara.com/?p=21450
24 กุมภาพันธ์ 2022 ,admin2
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ