.
ทฤษฎีคนโง่ วิจัยเผย.! ทำไมคนโง่ไม่ถึงไม่คิดว่าตัวเองโง่ทำไมโง่แล้วไม่อยู่เงียบ ๆ ทำไมคนโง่อวดฉลาด เพราะจริง ๆ แล้ว คนโง่มักไม่รู้ว่าตัวเองโง่ มาดูงานวิจัยเผยกัน ว่าทำไมคนโง่ถึงไม่คิดว่าตัวเองโง่

หลาย ๆ คนก็คงจะมองบนและแอบแบะปากให้ “บางคน” ที่รู้สึกว่า ทำไมช่าง “ฉลาดน้อย” ขนาดนี้ ถึงจะเข้าใจได้ ว่าคนเราเกิดมาไม่มีใครเก่งหรือเพอร์เฟกต์ 100% และสามารถฝึกฝนกันได้ แต่ถ้าคน ๆ นั้นมองว่าตัวเองฉลาดพอที่จะไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่ม กลายเป็น “คนโง่อวดฉลาด” สวนทางกับความรู้ที่มีอีก แถมอีโก้ที่มียังสูงเสียดฟ้า ถ้าเจอคนแบบนั้นก็คงจะน่าหงุดหงิดไม่ใช่น้อยใช่ไหมล่ะคะ มาดูวิจัยเผยกันค่ะ ว่าทำไมคนโง่ถึงไม่คิดว่าตัวเองโง่
อย่างที่ชาลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือ The Descent of Man ว่า
“Ignorance more frequently begets confidence than does knowledge”
หรือ “ความเขลามักก่อให้เกิดความมั่นใจ มากกว่าความรู้”
หลาย ๆ คนอาจจะเคยเล่น หรือเคยได้ทดลองใช้น้ำมะนาวเป็นหมึกล่องหน โดยการใช้น้ำมะนาวเขียนตัวอักษรลงไปกระดาษ แล้วปล่อยให้แห้ง บนกระดาษนั้นอาจจะดูไม่มีอะไร แต่เมื่อเอากระดาษไปลนไฟ ก็จะมองเห็นตัวอักษรที่เขียนไว้ ซึ่งการทดลองนี้เอง เป็นแรงบันดาลใจให้โจรคนหนึ่ง ใช้น้ำมะนาวทาหน้า แล้วเข้าไปปล้นธนาคาร ถึง 2 ที่ติดกัน เพราะเชื่อว่าน้ำมะนาว จะสามารถทำให้หน้าของเขาล่องหน และไม่สามารถบันทึกได้ด้วยกล้องวงจรปิด!
@@@@@@@
คดีนี้ถือเป็นคดีที่ดังมาก ๆ และเป็นแรงบันดาลใจ ที่ทำให้นักวิจัย David Dunning และ Justin Kruger ค้นหาเหตุผลที่ว่า ทำไมคนที่ไม่รู้ หรือไร้ความสามารถ ถึงไม่มีทางรับรู้ถึงระดับความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง และนำไปสู่การประเมินตัวเองที่สูงกว่าความเป็นจริง หรือทำไมคนโง่อวดฉลาด และมีความมั่นแบบผิด ๆ
โดยในการทดลอง เขาได้ให้ผู้เข้าร่วมทั้งหมด 64 คน ทดสอบความสามารถในด้าน อารมณ์ ตรรกะ และไวยากรณ์ ผลปรากฎว่า คนที่มีความสามารถน้อย มักจะประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริง เมื่อเทียบกับเกณฑ์วัตถุประสงค์ อย่างผลการประเมินที่เป็นเกณฑ์ อยู่ที่ 12 แต่คนที่มีความสามารถน้อย ประเมินอยู่ที่ 62 นับว่าต่างกันถึง 50 จุดเลยทีเดียว และเขาได้ให้ผู้เข้าร่วมคนอื่นมาทำการประเมินความสามารถของคนเหล่านั้นที่ประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริงอีกครั้ง
เมื่อคนเหล่านั้นได้รับคะแนนการประเมินที่ต่ำ ก็จะไม่ได้ตระหนักว่าตัวเองจะต้องปรับปรุง แต่ก็มักจะยกคะแนนที่ประเมินตัวเองสูงขึ้นมาอ้าง และเอามายืนยัน ซึ่งอุปสรรคของคนโง่อวดฉลาด คือ อคติทางการรับรู้ (Cognitive Bias) โดยคนที่โง่นั่น มักจะมีอคติ และไม่สามารถรับรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของตัวเองได้ อย่างคนปกติ ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่ฉลาด ก็จะสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้ แต่คนโง่มักจะมีความมั่นใจแบบผิด ๆ ซึ่งการที่จะรับรู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถได้ คือการหาความรู้เพิ่มเติม และพัฒนาตัวเอง และยอมรับให้ได้ก่อน ว่าตัวเอง “ไม่รู้”
@@@@@@@
หลังจากฝึกผู้เข้าร่วมที่ได้คะแนนต่ำสุดในด้านการให้เหตุผลเชิงตรรกะ พวกเขาได้พบว่า นอกจากคะแนนจะดีขึ้นแล้ว เมื่อความรู้และประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้น ก็ยังทำให้การตระหนักรู้ในตัวเองเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยปรากฎการ คนโง่อวดฉลาดนี้ ถูกเรียกว่า The Dunning-Kruger Effect เป็นเกียรติให้กับ Dunning และ Kruger ที่ได้ทำงานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นมานั่นเอง และรางวัลของเขาก็ได้รางวัล Ig Nobel อีกด้วย
ซึ่งความคิดของคนโง่อวดฉลาดนั้นจะแตกต่างจากคนเก่ง เพราะคนเก่งมักมองว่า “ใคร ๆ ก็สามารถทำได้” เพราะว่าตัวเองมีความสามารถ และมองว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้ามีการฝึกฝน หรือสั่งสมประสบการณ์ ก็อาจจะทำได้ดีกว่า หรือเก่งกว่าตัวเองก็ได้ เหมือนความคิดของคนที่เป็น Imposter Syndrome
แน่นอนว่าความไม่รู้ไม่ใช่เรื่องผิด และความมั่นใจก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่ คนเราสามารถฝึกฝนกันได้ และมีความมั่นใจในตัวเองได้ แต่การที่มั่นใจในสิ่งที่ไม่รู้ มั่นใจในแบบผิด ๆ ดึงดันที่จะทำในสิ่งที่ไม่รู้ต่อไป ก็ไม่เกิดผลดีกับใครทั้งนั้น บางครั้ง อาจจะต้องฟังเสียงจากคนรอบข้างบ้าง เพื่อที่จะได้นำมาปรับปรุงและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ลดอคติลง เพราะบางครั้งที่คนรอบข้างเตือน หรือติ ก็แค่อยากจะช่วยดึงสติแค่นั้นเองขอบคุณ :
https://www.wongnai.com/articles/dunning-kruger-effect?ref=ct28 ก.พ. 2022 · โดย Chonticha.m
Reference :-- Brian Duignan. "Dunning-Kruger effect" [Online] เข้าถึงได้จาก :
https://www.britannica.com/science/Dunning-Kruger-effect สืบค้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
- The Learning Network. 2020. "The Dunning-Kruger Effect: Why Incompetence Begets Confidence" [Online] เข้าถึงได้จาก :
https://www.nytimes.com/2020/05/07/learning/the-dunning-kruger-effect-why-incompetence-begets-confidence.html สืบค้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
- Kendra Cherry. 2021. "The Dunning-Kruger Effect" [Online] เข้าถึงได้จาก :
https://www.verywellmind.com/an-overview-of-the-dunning-kruger-effect-4160740 สืบค้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
The Science of “โง่เเต่อวดฉลาด” : The Dunning-Kruger Effectณัฐวุฒิ เผ่าทวี http://www.powdthavee.co.uk/
คุณผู้อ่านเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมคนที่ไร้ซึ่งความสามารถหรือมีความสามารถน้อย (no competence/low competence) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม กลับไม่ค่อยจะรู้ตัวถึงความไร้สามารถของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นคนหลายๆ คนที่คิดว่าตัวเองเก่งในหลายๆ เรื่องเเต่ในความเป็นจริงเเล้วกลับไม่ได้เรื่องเอาสักอย่างเลย หรือคนที่คุณสมัครไปทำงานด้วยกลับมองตัวคุณว่าคุณไม่มีความสามารถพอสำหรับงานทั้งๆ ที่ประวัติการทำงานของคุณดีกว่าคนที่กำลังสัมภาษณ์งานคุณอยู่เป็นหลายเท่า เป็นต้น
โง่เเต่อวดฉลาด
“โง่เเต่อวดฉลาด ฉลาดเเต่เรื่องโง่ๆ” เป็นสำนวนที่คนไทยมักนิยมใช้ในการเรียกคนที่ไม่มีความสามารถเเต่ก็ยังมีความมั่นใจว่าตัวเองฉลาด ซึ่งสมัยก่อนผมเคยคิดสงสัยอยู่บ่อยๆ ว่าอะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนหลายๆ คนที่ไม่มีความสามารถ (หรือมีความสามารถน้อย) ถึงกล้าคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นหรือเก่งกว่าความเป็นจริง คนพวกนี้เขาไม่ละอายกันเลยหรือ เขาคิดว่าคนอื่นจะไม่รู้ถึงความไร้ความสามารถของเขาจริงๆ หรือ
เเต่พอมาถึงวันนี้ผมได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติที่ผมมีต่อคนกลุ่มนี้ไปเรียบร้อยเเล้ว ผมไม่สามารถไปโทษการกระทำของพวกเขาอีกต่อไป (เเถมผมยังเเอบสงสารพวกเขาอีกด้วยซ้ำ) นั่นก็เป็นเพราะว่าจริงๆ เเล้วนั้นมันอาจจะไม่ใช่ความผิดของเขาเลยก็ได้ที่เขาไม่รู้ตัวเองว่าเขาไม่ได้มีความสามารถอย่างที่เขาคิด
The Dunning-Kruger Effect
เเละงานวิจัยชิ้นสำคัญที่ทำให้ผมเปลี่ยนทัศนคติของผมที่มีต่อคนกลุ่มนี้นั้นก็คือผลงานวิจัยของเดวิด ดันนิง (David Dunning) เเละจัสติน ครูเกอร์ (Justin Kruger) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล (Cornell) โดยงานวิจัยชิ้นนี้เริ่มมาจากข้อสันนิษฐานของเขาทั้งสองคนว่า คนที่ไม่มีความสามารถจะไม่มีทางรู้ถึงความไม่มีความสามารถของตัวเองได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าความสามารถที่คนเราจำเป็นต้องใช้ในการเรียนรู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถนั้นเป็นความสามารถเดียวกันกับความสามารถที่คนเหล่านี้ไม่มี (งงไหมครับ)
ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ ถ้าเดวิด ดันนิง เเละจัสติน ครูเกอร์ สันนิษฐานถูกต้องก็หมายความว่าคนที่ร้องเพลงไม่เก่งจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองร้องเพลงไม่เก่งเพราะว่าเขาไม่มีความสามารถในการร้องเพลงพอที่จะทำให้เขารู้ว่าการร้องเพลงเก่งจริงๆนั้นเป็นยังไง
โดยในการทดลองของเขาทั้งสอง เขาได้ให้คนที่มาร่วมการทดลอง (หรือ subjects) ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนที่คอร์เนลทำการประเมินถึงความสามารถในการเเยกเเยะว่าอะไรตลกอะไรไม่ตลก(humour) ความสามารถทางตรรกะ (logical reasoning) เเละความสามารถทางไวยากรณ์(English grammar) ของตัวเองก่อนที่จะให้พวกเขาทำเเบบทดสอบจริงๆ ในเเต่ละเรื่อง
รูปที่ 1 : ค่าประเมินความสามารถของตัวเองในการเข้าใจ sense of humour กับคะเเนนการทดสอบจริงที่มาภาพ : Kruger and Dunning (1999), p.1124.
รูปที่ 2 : ค่าประเมินความสามารถของตัวเองทางตรรกะกับคะเเนนการทดสอบจริง ที่มาภาพ : Kruger and Dunning (1999), p.1124.
รูปที่ 3 : ค่าประเมินความสามารถของตัวเองทางไวยากรณ์กับคะเเนนการทดสอบจริง ที่มาภาพ : Kruger and Dunning (1999), p.1124.จากการทดลองครั้งนี้ทั้งสองนักจิตวิทยาพบว่าคนที่มีความสามารถตำ่ที่สุด 25% ของคนที่ทำเเบบทดสอบทั้งหมดมักจะประเมินตนเองว่าเก่งกว่าความเป็นจริงเกือบถึง 50% ด้วยกัน ในทางกลับกันคนที่มีความสามารถสูงที่สุด 25% ของคนที่ทำเเบบทดสอบทั้งหมดมักจะประเมินตนเองว่าไม่เก่งเท่ากับที่ตัวเองเป็นเกือบถึง 15% ด้วยกัน
พูดง่ายๆ ก็คือคนที่มีความสามารถน้อยมักจะคิดว่าตัวเองเก่งเกินความเป็นจริงเพียงเพราะเขาไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เขารู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอ ส่วนคนที่มีความสามารถเยอะนั้นมักจะคิดว่าตัวเองไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นๆ นัก ทั้งนี้เป็นเพราะว่าคนที่มีความสามารถเยอะอาจจะคิดว่า เพราะสิ่งที่เขาทำได้มันง่ายคนอื่นๆ ก็น่าจะทำได้ง่ายเช่นกัน
“ความไม่รู้ (ignorance) มักก่อให้เกิดความมั่นใจ (confidence) มากกว่าความรู้ (knowledge)”
-ชาร์ลส์ ดาร์วิน
บทเรียนสำคัญของ Dunning-Kruger effect ก็คือ “little knowledge can be dangerous” (หรือเเปลเป็นไทยก็คือการมีหลักฐานข้อมูลความรู้ที่น้อยเป็นภัยมากกว่าเป็นประโยชน์) ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนที่มีความรู้น้อยไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามมักจะถูกข้อมูลที่มีความจำกัดของเขาชักจูงให้เขาผูกขาดในเรื่องผิดๆ ที่เขาเชื่อ *ยกตัวอย่างเช่นนักวิชาการหลายๆ คนที่ไม่เคยทำการวิจัยอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องที่เขาถูกเชิญมาให้คอมเมนต์มักจะมีความรู้สึกมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง (ถึงเเม้ว่าจริงๆ เเล้วอาจจะผิด) มากเสียจนเกินไป*
เเต่คุณผู้อ่านอ่านคอลัมน์ของผมเเล้วอย่าเพิ่งสิ้นหวังนะครับ เพราะเดวิด ดันนิง เเละจัสตินครูเกอร์ ยังพบด้วยอีกว่า ถ้าคนที่ไม่มีความสามารถพอได้มีโอกาสเรียนรู้เเละเปิดรับความรู้ใหม่ๆในเรื่องที่ตอนเเรกเขามีความรู้จำกัด พวกเขาก็สามารถที่จะปรับค่าประเมินความสามารถของตนเองได้ไห้เท่าๆ หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง กับความสามารถจริงๆ ของเขา
เเละผมก็ไม่คิดว่าเราจะสามารถหาเหตุผลที่จะมาสนับสนุนให้นักวิชาการไทยกลับมาสนใจในการทำการวิจัยที่เป็น basic research ให้มากขึ้นที่มันดีกว่าเหตุผลของ Dunning-Kruger effect อีกเเล้ว
อ่านเพิ่มเติม :-
Kruger, J., Dunning, D. 1999. Unskilled and unaware of i t: How difficulties in recognising one’s own incompetence lead to inflated self-assessments. Journal of Personality and Social Psychology, 77(6),1121-1134.Thank to :
https://thaipublica.org/2015/05/nattavudh-16/19 พฤษภาคม 2558 | 24 กุมภาพันธ์ 2022
คุณสมบัติของคนโง่ที่อวดฉลาด : The Dunning-Kruger effect revisitedณัฐวุฒิ เผ่าทวี www.powdthavee.co.uk
เมื่อประมาณปีที่เเล้ว ผมได้มีโอกาสเขียนบทความลงไทยพับลิก้าในหัวข้อ “The science of คนโง่เเต่อวดฉลาด” ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมคนที่ไร้ซึ่งความสามารถจึงมักประเมินความสามารถเเละความรู้ของตนเองมากเกินไป เเละคนที่รู้จริงถึงมักประเมินว่าตัวเองไม่เก่งเท่าที่ตัวเองเป็นจริงๆ
หรือที่เราเรียกกันในวงการว่า The Dunning-Kruger effect นั่นเอง
วันนี้ผมขอเขียนเพิ่มเติมข้อความในบทความนิดนึงเกี่ยวกับลักษณะของคนที่ประสบกับ Dunning-Kruger effect โดยเฉพาะคนที่ตรงกับสุภาษิตไทยที่ว่า “โง่เเต่อวดฉลาด”
ในงานวิจัยของ Dunning เเละ Kruger เขาบอกเพิ่มเติมไว้ว่า
“In order for the incompetent to overestimate themselves, they must satisfy a minimal threshold of knowledge, theory, or experience that suggests to themselves that they can generate correct answers”
หรือเเปลเป็นภาษาไทยก็คือ
สำหรับคนเหล่านี้ การเรียนรู้อะไรเพียงนิดๆ หน่อยๆ ก็ถือว่าเพียงพอในการที่จะทำให้เขาคิดเเละมั่นใจว่าตัวเองเก่งในเรื่องนั้นๆ ได้
หรือที่สุภาษิทฝรั่งเขาว่า “A little learning can be dangerous” หรือการเรียนรู้นิดๆหน่อยๆ อาจจะเป็นภัยได้ นั่นเอง
@@@@@@@
เเละการวิจัยต่อยอดของ Dunning เเละ Kruger ยังพบลักษณะของคนที่มักจะตกเป็นเหยื่อของ Dunning-Kruger effect ดังนี้
1. จะชอบออกตัวกับสื่อหรือในโซเชียลมีเดียว่าตัวเองเป็นผู้นำ หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ตัวเองคิดว่าตัวเองเก่ง ทั้งๆ ที่ความจริงเเล้วพวกเขาไม่ได้มีคุณสมบัติ ซึ่งรวมไปถึงการศึกษา เเละประสบการณ์ในเรื่องนั้นจริงๆ
2. มักมีความเชื่อเเละมั่นใจว่าตัวเองเก่งจริงๆ (illusion of confidence)
3. เเต่ถึงเเม้ว่าจะมีความมั่นใจว่าตัวเองเก่ง พวกเขาเหล่านี้มักจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนที่มีคุณสมบัติ ซึ่งรวมไปถึงการศึกษาเเละประสบการณ์ในเรื่องที่ตัวเองออกตัวว่าเก่งจริงๆ
4. มักจะเลือกเชื่อเเต่ในคำชมของคนที่ไม่มีคุณสมบัติหรือไม่มีความสามารถเหมือนกันเเละใช้คำชมพวกนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าตัวเองเก่งจริงๆ
5. มักเลือกที่จะไม่ส่งงานของตน หรือสิ่งที่ตนพูด ไปให้คนที่มีความเชี่ยวชาญที่เเท้จริงตรวจสอบ พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขามักคิดว่า “peer review” หรือการตรวจงานโดยคนที่มีความเชี่ยวชาญจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ
6. ชอบมักคิดว่าตัวเองเป็น “ผู้บุกเบิก” หรือ pioneer ในสิ่งที่ตัวเองออกตัวว่าเชี่ยวชาญ
7. มักจะสรุปกับตัวเองว่า กระเเสการต่อต้านความคิดหรือผลงานของตนที่มาจากคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงๆ นั้นเป็นแผนการที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยคนที่คิดเห็นตรงกันข้ามกับตนเพื่อใช้ในการกดขี่ความจริงของตนเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ ก็คือคนพวกนี้จะมีอีโก้ในตัวเองที่สูงมาก
8. มักจะอธิบายให้คนอื่นฟังว่า สาเหตุที่คนอื่นคิดไม่เหมือนกับที่ตัวเองคิดนั้นเป็นเพราะว่าคนอื่นมีอคติกับความคิดของตน พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่เกิดการมีความคิดต่างระหว่างตัวเอง เเละผู้เชี่ยวชาญที่เเท้จริงขึ้นมา คนที่เป็นเหยื่อจาก Dunning-Kruger effect นั้นมักจะโทษคนอื่นมากกว่าโทษตัวเอง เเละมักคิดว่าตนเองมีความคิดที่ไม่มีอคติเเต่เพียงผู้เดียว
@@@@@@@
อย่างที่โบราณเขาว่านะครับ เชื่อคนที่รู้น้อยเรื่องเเต่รู้ลึก ดีกว่าคนที่รู้มากเรื่องเเต่รู้เเค่เพียงผิวเผินนะครับ
คงจะไม่เป็นปัญหาอะไรมากถ้าคนที่เป็นเหยื่อของ Dunning-Kruger effect พวกนี้ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ มากจนเกินไป เเต่ถ้าสมมติว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อของ Dunning-Kruger effect มีตำเเหน่งเป็นหัวหน้า เป็นเจ้าของบริษัท เป็นคนที่ออกนโยบายขององค์กรหรือของรัฐขึ้นมาล่ะก็ ปัญหาใหญ่ก็จะตามมา
นั่นก็เป็นเพราะว่าคนที่เป็นเหยื่อของ Dunning-Kruger effect พวกนี้จะยึดเเต่ความรู้ที่เป็นผิวเผินของตัวเองเป็นหลัก เเละก็จะไม่ยอมฟังเสียงต่างๆ นานาจากคนที่อาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ที่อาจจะมีตำเเหน่งที่น้อยกว่าจริงๆ ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้องค์กรต่างๆ นานาล่มลงได้ง่ายๆ
อ่านเพิ่มเติม :-
Kruger, J., Dunning, D. 1999. Unskilled and unaware of it : How difficulties in recognising one’s own incompetence lead to inflated self-assessments. Journal of Personality and Social Psychology, 77(6), 1121-1134.Thank to :
https://thaipublica.org/2017/02/nattavudh-59/ 25 กุมภาพันธ์ 2560 | 24 กุมภาพันธ์ 2022