ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนโง่สำคัญตนว่าฉลาด  (อ่าน 25 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29573
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
คนโง่สำคัญตนว่าฉลาด
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2025, 09:06:22 am »
0
.



คาถาธรรมบท พาลวรรค

บุคคลใดโง่ ย่อมสำคัญความที่แห่งตนเป็นคนโง่
บุคคลนั้นจะเป็นบัณฑิตเพราะเหตุนั้นได้บ้าง
ส่วนบุคคลใดเป็นคนโง่
มีความสำคัญว่าตนเป็นบัณฑิต
บุคคลนั้นแล เราเรียกว่า ‘คนโง่

_______________
คาถาธรรมบท พาลวรรค
พระสูตร : คาถาธรรมบท พาลวรรค พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๑๕/๑๗
https://uttayarndham.org/dhamma-daily/3070


 :25: :25: :25:

คนโง่สำคัญตนว่าฉลาด

เหตุการณ์ : โจร ๒ คนเป็นสหายกัน ไปพระเชตวันกับมหาชนเพื่อต้องการฟังธรรม โจรคนหนึ่งตั้งใจฟังธรรมกถา โจรอีกคนหนึ่งต้องการขโมยของ โจรผู้ฟังธรรมได้บรรลุโสดาปัตติผล โจรอีกคนหนึ่งขโมยได้ทรัพย์มาเป็นค่าอาหารในเรือนของตน

โจรผู้ขโมยของและภรรยา ได้เย้ยหยันโจรผู้โสดาบันว่าไม่มีค่าอาหารในเรือนเพราะความที่ฉลาดเกินไป โจรผู้โสดาบันไปกราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระศาสดาพร้อมหมู่ญาติ
 
พระศาสดา ทรงแสดงธรรมแก่เขาว่า

บุคคลใดโง่ ย่อมสำคัญความที่แห่งตนเป็นคนโง่ บุคคลนั้นจะเป็นบัณฑิตเพราะเหตุนั้นได้บ้าง
ส่วนบุคคลใดเป็นคนโง่ มีความสำคัญว่าตนเป็นบัณฑิต บุคคลนั้นแล เราเรียกว่า ‘คนโง่’           
 
ในกาลจบเทศนา มหาชนพร้อมด้วยหมู่ญาติของโจรผู้โสดาบัน บรรลุโสดาปัตติผล

____________________________________
คาถาธรรมบท พาลวรรค | อรรถกถาเรื่อง โจรผู้ทำลายปม
อ้างอิง คาถาธรรมบท พาลวรรค พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๑๕/๑๗ และอรรถกถาเรื่อง โจรผู้ทำลายปม
https://uttayarndham.org/node/3033


 :25: :25: :25:

๔. คัณฐิเภทกโจรวัตถุ เรื่องโจรผู้ทำลายปม
       
(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่โจรผู้ทำลายปมและชนทั้งหลาย ดังนี้)
 [๖๓] คนพาลที่รู้ตัวว่าเป็นคนพาล(๑-)
        ยังเป็นบัณฑิตได้บ้าง
        แต่คนพาลที่สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต
        นั่นแหละ เรียกว่า คนพาลแท้


(๑-) คนพาล ในที่นี้หมายถึงคนโง่ ไม่มีปัญญา ไม่รู้จักประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ไม่รู้จักพระสัทธรรม มีโพธิปักขิยธรรม และอริยสัจ ๔ เป็นต้น จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ

___________________________________________
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต ,๕. พาลวรรค หมวดว่าด้วยคนพาล
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=14





พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สุตฺต. ขุ. ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปทคาถา-อุทานํ-อิติวุตฺตก-สุตฺตนิปาตา


|๑๕.๖๓|  โย พาโล มญฺญตี พาลฺยํ  ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส
              พาโล จ ปณฺฑิตมานี      ส เว พาโลติ วุจฺจติ ฯ

_____________________________________
https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=25&item=15&items=1



 :25: :25: :25:

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕
๔. เรื่องโจรผู้ทำลายปม [๔๘]        
       
ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกโจรผู้ทำลายปม ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โย พาโล มญฺญตี พาลฺยํ" เป็นต้น.

โจรลักของที่ขอดไว้ที่พกผ้า      
         
ได้ยินว่า โจร ๒ คนนั้นเป็นสหายกัน ไปสู่พระเชตวันกับมหาชน ผู้ไปอยู่เพื่อต้องการฟังธรรม, โจรคนหนึ่งได้ฟังธรรมกถาแล้ว, โจรคนหนึ่งมองดูของที่ตนควรถือเอา. บรรดาโจรทั้งสองนั้น โจรผู้ฟังธรรมอยู่ บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. โจรนอกนี้ได้ทรัพย์ประมาณ ๕ มาสกที่ขอดไว้ที่ชายผ้าของอุบาสกคนหนึ่ง. ทรัพย์นั้นเป็นค่าอาหารในเรือนของเขาแล้ว, ย่อมไม่สำเร็จผลในเรือนของโจรผู้โสดาบันนอกนี้.
         
ครั้งนั้น โจรผู้สหายกับภรรยาของตน เมื่อจะเย้ยหยันโจรผู้โสดาบันนั้น จึงกล่าวว่า "ท่านไม่ยังแม้ค่าอาหารให้สำเร็จในเรือนของตน เพราะความที่ตนฉลาดเกินไป."
         
สหายผู้โสดาบันนอกนี้คิดว่า "เจ้าคนนี้ย่อมสำคัญความที่ตนเป็นบัณฑิต ด้วยความเป็นพาลทีเดียวหนอ" เพื่อจะกราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระศาสดา จึงไปสู่พระเชตวันกับญาติทั้งหลาย กราบทูลแล้ว.

ผู้รู้สึกตัวว่าโง่ย่อมเป็นบัณฑิตได้    
     
พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่เขา จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

๔. โย พาโล มญฺญตี พาลฺยํ    ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส     
     พาโล จ ปณฺฑิตมานี        ส เว พาโลติ วุจฺจติ.
                  
     บุคคลใดโง่ ย่อมสำคัญความที่แห่งตนเป็นคนโง่,
     บุคคลนั้นจะเป็นบัณฑิตเพราะเหตุนั้นได้บ้าง ;
     ส่วนบุคคลใดเป็นคนโง่ มีความสำคัญว่าตนเป็นบัณฑิต
     บุคคลนั้นแล เราเรียกว่า ‘คนโง่’.

@@@@@@@

แก้อรรถ      
   
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า โย พาโล ความว่า บุคคลใดเป็นคนโง่ คือมิใช่เป็นบัณฑิต ย่อมสำคัญ คือย่อมรู้ความที่ตนเป็นคนโง่ คือความเป็นคนเขลานั้น ด้วยตนเองว่า "เราเป็นคนเขลา."
         
สองบทว่า เตน โส ความว่า ด้วยเหตุนั้น บุคคลนั้นจะเป็นบัณฑิตได้บ้าง หรือจะเป็นเช่นกับบัณฑิตได้บ้าง. ก็เขารู้อยู่ว่า "เราเป็นคนโง่" เข้าไปหา เข้าไปนั่งใกล้คนอื่น ซึ่งเป็นบัณฑิต อันบัณฑิตนั้นกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นบัณฑิต เรียนเอาโอวาทนั้นแล้ว ย่อมเป็นบัณฑิต หรือเป็นบัณฑิตกว่าได้.
         
สองบทว่า ส เว พาโล ความว่า ส่วนบุคคลใดเป็นคนโง่อยู่ เป็นผู้มีความสำคัญว่าตนเป็นบัณฑิตถ่ายเดียวอย่างนี้ว่า

"คนอื่นใครเล่า.? จะเป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก ทรงวินัย มีวาทะกล่าวคุณเครื่องขจัดกิเลสเช่นกับด้วยเรามีอยู่"

บุคคลนั้นไม่เข้าไปหา ไม่เข้าไปนั่งใกล้บุคคลอื่น ซึ่งเป็นบัณฑิต ย่อมไม่เรียนปริยัติเลย, ย่อมไม่บำเพ็ญข้อปฏิบัติ, ย่อมถึงความเป็นคนโง่โดยส่วนเดียวแท้, บุคคลนั้นย่อมเป็นเหมือนโจรทำลายปมฉะนั้น.
         
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ว่า "ส เว พาโลติ วุจฺจติ."
         
ในกาลจบเทศนา มหาชนพร้อมด้วยญาติทั้งหลายของโจรผู้โสดาบันนอกนี้ บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ดังนี้แล.

         เรื่องโจรผู้ทำลายปม จบ.

_______________________
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=4
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29573
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ทฤษฎีคนโง่ วิจัยเผย.! ทำไมคนโง่ไม่ถึงไม่คิดว่าตัวเองโง่

ทำไมโง่แล้วไม่อยู่เงียบ ๆ ทำไมคนโง่อวดฉลาด เพราะจริง ๆ แล้ว คนโง่มักไม่รู้ว่าตัวเองโง่ มาดูงานวิจัยเผยกัน ว่าทำไมคนโง่ถึงไม่คิดว่าตัวเองโง่



 :49: :49: :49:

หลาย ๆ คนก็คงจะมองบนและแอบแบะปากให้ “บางคน” ที่รู้สึกว่า ทำไมช่าง “ฉลาดน้อย” ขนาดนี้ ถึงจะเข้าใจได้ ว่าคนเราเกิดมาไม่มีใครเก่งหรือเพอร์เฟกต์ 100% และสามารถฝึกฝนกันได้ แต่ถ้าคน ๆ นั้นมองว่าตัวเองฉลาดพอที่จะไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่ม กลายเป็น “คนโง่อวดฉลาด” สวนทางกับความรู้ที่มีอีก แถมอีโก้ที่มียังสูงเสียดฟ้า ถ้าเจอคนแบบนั้นก็คงจะน่าหงุดหงิดไม่ใช่น้อยใช่ไหมล่ะคะ มาดูวิจัยเผยกันค่ะ ว่าทำไมคนโง่ถึงไม่คิดว่าตัวเองโง่

อย่างที่ชาลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือ The Descent of Man ว่า     
    “Ignorance more frequently begets confidence than does knowledge”
     หรือ “ความเขลามักก่อให้เกิดความมั่นใจ มากกว่าความรู้”


หลาย ๆ คนอาจจะเคยเล่น หรือเคยได้ทดลองใช้น้ำมะนาวเป็นหมึกล่องหน โดยการใช้น้ำมะนาวเขียนตัวอักษรลงไปกระดาษ แล้วปล่อยให้แห้ง บนกระดาษนั้นอาจจะดูไม่มีอะไร แต่เมื่อเอากระดาษไปลนไฟ ก็จะมองเห็นตัวอักษรที่เขียนไว้ ซึ่งการทดลองนี้เอง เป็นแรงบันดาลใจให้โจรคนหนึ่ง ใช้น้ำมะนาวทาหน้า แล้วเข้าไปปล้นธนาคาร ถึง 2 ที่ติดกัน เพราะเชื่อว่าน้ำมะนาว จะสามารถทำให้หน้าของเขาล่องหน และไม่สามารถบันทึกได้ด้วยกล้องวงจรปิด!

@@@@@@@

คดีนี้ถือเป็นคดีที่ดังมาก ๆ และเป็นแรงบันดาลใจ ที่ทำให้นักวิจัย David Dunning และ Justin Kruger ค้นหาเหตุผลที่ว่า ทำไมคนที่ไม่รู้ หรือไร้ความสามารถ ถึงไม่มีทางรับรู้ถึงระดับความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง และนำไปสู่การประเมินตัวเองที่สูงกว่าความเป็นจริง หรือทำไมคนโง่อวดฉลาด และมีความมั่นแบบผิด ๆ

โดยในการทดลอง เขาได้ให้ผู้เข้าร่วมทั้งหมด 64 คน ทดสอบความสามารถในด้าน อารมณ์ ตรรกะ และไวยากรณ์ ผลปรากฎว่า คนที่มีความสามารถน้อย มักจะประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริง เมื่อเทียบกับเกณฑ์วัตถุประสงค์ อย่างผลการประเมินที่เป็นเกณฑ์ อยู่ที่ 12 แต่คนที่มีความสามารถน้อย ประเมินอยู่ที่ 62 นับว่าต่างกันถึง 50 จุดเลยทีเดียว และเขาได้ให้ผู้เข้าร่วมคนอื่นมาทำการประเมินความสามารถของคนเหล่านั้นที่ประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริงอีกครั้ง

เมื่อคนเหล่านั้นได้รับคะแนนการประเมินที่ต่ำ ก็จะไม่ได้ตระหนักว่าตัวเองจะต้องปรับปรุง แต่ก็มักจะยกคะแนนที่ประเมินตัวเองสูงขึ้นมาอ้าง และเอามายืนยัน ซึ่งอุปสรรคของคนโง่อวดฉลาด คือ อคติทางการรับรู้ (Cognitive Bias) โดยคนที่โง่นั่น มักจะมีอคติ และไม่สามารถรับรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของตัวเองได้ อย่างคนปกติ ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่ฉลาด ก็จะสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้ แต่คนโง่มักจะมีความมั่นใจแบบผิด ๆ ซึ่งการที่จะรับรู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถได้ คือการหาความรู้เพิ่มเติม และพัฒนาตัวเอง และยอมรับให้ได้ก่อน ว่าตัวเอง “ไม่รู้”


@@@@@@@

หลังจากฝึกผู้เข้าร่วมที่ได้คะแนนต่ำสุดในด้านการให้เหตุผลเชิงตรรกะ พวกเขาได้พบว่า นอกจากคะแนนจะดีขึ้นแล้ว เมื่อความรู้และประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้น ก็ยังทำให้การตระหนักรู้ในตัวเองเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยปรากฎการ คนโง่อวดฉลาดนี้ ถูกเรียกว่า The Dunning-Kruger Effect เป็นเกียรติให้กับ Dunning และ Kruger ที่ได้ทำงานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นมานั่นเอง และรางวัลของเขาก็ได้รางวัล Ig Nobel อีกด้วย

ซึ่งความคิดของคนโง่อวดฉลาดนั้นจะแตกต่างจากคนเก่ง เพราะคนเก่งมักมองว่า “ใคร ๆ ก็สามารถทำได้” เพราะว่าตัวเองมีความสามารถ และมองว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้ามีการฝึกฝน หรือสั่งสมประสบการณ์ ก็อาจจะทำได้ดีกว่า หรือเก่งกว่าตัวเองก็ได้ เหมือนความคิดของคนที่เป็น Imposter Syndrome

แน่นอนว่าความไม่รู้ไม่ใช่เรื่องผิด และความมั่นใจก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่ คนเราสามารถฝึกฝนกันได้ และมีความมั่นใจในตัวเองได้ แต่การที่มั่นใจในสิ่งที่ไม่รู้ มั่นใจในแบบผิด ๆ ดึงดันที่จะทำในสิ่งที่ไม่รู้ต่อไป ก็ไม่เกิดผลดีกับใครทั้งนั้น บางครั้ง อาจจะต้องฟังเสียงจากคนรอบข้างบ้าง เพื่อที่จะได้นำมาปรับปรุงและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ลดอคติลง เพราะบางครั้งที่คนรอบข้างเตือน หรือติ ก็แค่อยากจะช่วยดึงสติแค่นั้นเอง




ขอบคุณ : https://www.wongnai.com/articles/dunning-kruger-effect?ref=ct
28 ก.พ. 2022 · โดย Chonticha.m

Reference :-
- Brian Duignan. "Dunning-Kruger effect" [Online] เข้าถึงได้จาก : https://www.britannica.com/science/Dunning-Kruger-effect สืบค้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
- The Learning Network. 2020. "The Dunning-Kruger Effect: Why Incompetence Begets Confidence" [Online] เข้าถึงได้จาก : https://www.nytimes.com/2020/05/07/learning/the-dunning-kruger-effect-why-incompetence-begets-confidence.html สืบค้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
- Kendra Cherry. 2021. "The Dunning-Kruger Effect" [Online] เข้าถึงได้จาก : https://www.verywellmind.com/an-overview-of-the-dunning-kruger-effect-4160740 สืบค้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565





The Science of “โง่เเต่อวดฉลาด” : The Dunning-Kruger Effect

ณัฐวุฒิ เผ่าทวี http://www.powdthavee.co.uk/



 :welcome:

คุณผู้อ่านเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมคนที่ไร้ซึ่งความสามารถหรือมีความสามารถน้อย (no competence/low competence) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม กลับไม่ค่อยจะรู้ตัวถึงความไร้สามารถของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นคนหลายๆ คนที่คิดว่าตัวเองเก่งในหลายๆ เรื่องเเต่ในความเป็นจริงเเล้วกลับไม่ได้เรื่องเอาสักอย่างเลย หรือคนที่คุณสมัครไปทำงานด้วยกลับมองตัวคุณว่าคุณไม่มีความสามารถพอสำหรับงานทั้งๆ ที่ประวัติการทำงานของคุณดีกว่าคนที่กำลังสัมภาษณ์งานคุณอยู่เป็นหลายเท่า เป็นต้น

โง่เเต่อวดฉลาด

“โง่เเต่อวดฉลาด ฉลาดเเต่เรื่องโง่ๆ” เป็นสำนวนที่คนไทยมักนิยมใช้ในการเรียกคนที่ไม่มีความสามารถเเต่ก็ยังมีความมั่นใจว่าตัวเองฉลาด ซึ่งสมัยก่อนผมเคยคิดสงสัยอยู่บ่อยๆ ว่าอะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนหลายๆ คนที่ไม่มีความสามารถ (หรือมีความสามารถน้อย) ถึงกล้าคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นหรือเก่งกว่าความเป็นจริง คนพวกนี้เขาไม่ละอายกันเลยหรือ เขาคิดว่าคนอื่นจะไม่รู้ถึงความไร้ความสามารถของเขาจริงๆ หรือ

เเต่พอมาถึงวันนี้ผมได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติที่ผมมีต่อคนกลุ่มนี้ไปเรียบร้อยเเล้ว ผมไม่สามารถไปโทษการกระทำของพวกเขาอีกต่อไป (เเถมผมยังเเอบสงสารพวกเขาอีกด้วยซ้ำ) นั่นก็เป็นเพราะว่าจริงๆ เเล้วนั้นมันอาจจะไม่ใช่ความผิดของเขาเลยก็ได้ที่เขาไม่รู้ตัวเองว่าเขาไม่ได้มีความสามารถอย่างที่เขาคิด


The Dunning-Kruger Effect

เเละงานวิจัยชิ้นสำคัญที่ทำให้ผมเปลี่ยนทัศนคติของผมที่มีต่อคนกลุ่มนี้นั้นก็คือผลงานวิจัยของเดวิด ดันนิง (David Dunning) เเละจัสติน ครูเกอร์ (Justin Kruger) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล (Cornell) โดยงานวิจัยชิ้นนี้เริ่มมาจากข้อสันนิษฐานของเขาทั้งสองคนว่า คนที่ไม่มีความสามารถจะไม่มีทางรู้ถึงความไม่มีความสามารถของตัวเองได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าความสามารถที่คนเราจำเป็นต้องใช้ในการเรียนรู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถนั้นเป็นความสามารถเดียวกันกับความสามารถที่คนเหล่านี้ไม่มี (งงไหมครับ)

ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ ถ้าเดวิด ดันนิง เเละจัสติน ครูเกอร์ สันนิษฐานถูกต้องก็หมายความว่าคนที่ร้องเพลงไม่เก่งจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองร้องเพลงไม่เก่งเพราะว่าเขาไม่มีความสามารถในการร้องเพลงพอที่จะทำให้เขารู้ว่าการร้องเพลงเก่งจริงๆนั้นเป็นยังไง

โดยในการทดลองของเขาทั้งสอง เขาได้ให้คนที่มาร่วมการทดลอง (หรือ subjects) ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนที่คอร์เนลทำการประเมินถึงความสามารถในการเเยกเเยะว่าอะไรตลกอะไรไม่ตลก(humour) ความสามารถทางตรรกะ (logical reasoning) เเละความสามารถทางไวยากรณ์(English grammar) ของตัวเองก่อนที่จะให้พวกเขาทำเเบบทดสอบจริงๆ ในเเต่ละเรื่อง



รูปที่ 1 : ค่าประเมินความสามารถของตัวเองในการเข้าใจ sense of humour กับคะเเนนการทดสอบจริงที่มาภาพ : Kruger and Dunning (1999), p.1124.


รูปที่ 2 : ค่าประเมินความสามารถของตัวเองทางตรรกะกับคะเเนนการทดสอบจริง ที่มาภาพ : Kruger and Dunning (1999), p.1124.


รูปที่ 3 : ค่าประเมินความสามารถของตัวเองทางไวยากรณ์กับคะเเนนการทดสอบจริง ที่มาภาพ : Kruger and Dunning (1999), p.1124.


จากการทดลองครั้งนี้ทั้งสองนักจิตวิทยาพบว่าคนที่มีความสามารถตำ่ที่สุด 25% ของคนที่ทำเเบบทดสอบทั้งหมดมักจะประเมินตนเองว่าเก่งกว่าความเป็นจริงเกือบถึง 50% ด้วยกัน ในทางกลับกันคนที่มีความสามารถสูงที่สุด 25% ของคนที่ทำเเบบทดสอบทั้งหมดมักจะประเมินตนเองว่าไม่เก่งเท่ากับที่ตัวเองเป็นเกือบถึง 15% ด้วยกัน

พูดง่ายๆ ก็คือคนที่มีความสามารถน้อยมักจะคิดว่าตัวเองเก่งเกินความเป็นจริงเพียงเพราะเขาไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เขารู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอ ส่วนคนที่มีความสามารถเยอะนั้นมักจะคิดว่าตัวเองไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นๆ นัก ทั้งนี้เป็นเพราะว่าคนที่มีความสามารถเยอะอาจจะคิดว่า เพราะสิ่งที่เขาทำได้มันง่ายคนอื่นๆ ก็น่าจะทำได้ง่ายเช่นกัน


 “ความไม่รู้ (ignorance) มักก่อให้เกิดความมั่นใจ (confidence) มากกว่าความรู้ (knowledge)”
    -ชาร์ลส์ ดาร์วิน

บทเรียนสำคัญของ Dunning-Kruger effect ก็คือ “little knowledge can be dangerous” (หรือเเปลเป็นไทยก็คือการมีหลักฐานข้อมูลความรู้ที่น้อยเป็นภัยมากกว่าเป็นประโยชน์) ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนที่มีความรู้น้อยไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามมักจะถูกข้อมูลที่มีความจำกัดของเขาชักจูงให้เขาผูกขาดในเรื่องผิดๆ ที่เขาเชื่อ *ยกตัวอย่างเช่นนักวิชาการหลายๆ คนที่ไม่เคยทำการวิจัยอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องที่เขาถูกเชิญมาให้คอมเมนต์มักจะมีความรู้สึกมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง (ถึงเเม้ว่าจริงๆ เเล้วอาจจะผิด) มากเสียจนเกินไป*

เเต่คุณผู้อ่านอ่านคอลัมน์ของผมเเล้วอย่าเพิ่งสิ้นหวังนะครับ เพราะเดวิด ดันนิง เเละจัสตินครูเกอร์ ยังพบด้วยอีกว่า ถ้าคนที่ไม่มีความสามารถพอได้มีโอกาสเรียนรู้เเละเปิดรับความรู้ใหม่ๆในเรื่องที่ตอนเเรกเขามีความรู้จำกัด พวกเขาก็สามารถที่จะปรับค่าประเมินความสามารถของตนเองได้ไห้เท่าๆ หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง กับความสามารถจริงๆ ของเขา

เเละผมก็ไม่คิดว่าเราจะสามารถหาเหตุผลที่จะมาสนับสนุนให้นักวิชาการไทยกลับมาสนใจในการทำการวิจัยที่เป็น basic research ให้มากขึ้นที่มันดีกว่าเหตุผลของ Dunning-Kruger effect อีกเเล้ว

อ่านเพิ่มเติม :-

Kruger, J., Dunning, D. 1999. Unskilled and unaware of i t: How difficulties in recognising one’s own incompetence lead to inflated self-assessments. Journal of Personality and Social Psychology, 77(6),1121-1134.



Thank to : https://thaipublica.org/2015/05/nattavudh-16/
19 พฤษภาคม 2558 | 24 กุมภาพันธ์ 2022





คุณสมบัติของคนโง่ที่อวดฉลาด : The Dunning-Kruger effect revisited

ณัฐวุฒิ เผ่าทวี www.powdthavee.co.uk



 :49: :49: :49:

เมื่อประมาณปีที่เเล้ว ผมได้มีโอกาสเขียนบทความลงไทยพับลิก้าในหัวข้อ “The science of คนโง่เเต่อวดฉลาด” ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมคนที่ไร้ซึ่งความสามารถจึงมักประเมินความสามารถเเละความรู้ของตนเองมากเกินไป เเละคนที่รู้จริงถึงมักประเมินว่าตัวเองไม่เก่งเท่าที่ตัวเองเป็นจริงๆ

หรือที่เราเรียกกันในวงการว่า The Dunning-Kruger effect นั่นเอง

วันนี้ผมขอเขียนเพิ่มเติมข้อความในบทความนิดนึงเกี่ยวกับลักษณะของคนที่ประสบกับ Dunning-Kruger effect โดยเฉพาะคนที่ตรงกับสุภาษิตไทยที่ว่า “โง่เเต่อวดฉลาด”

ในงานวิจัยของ Dunning เเละ Kruger เขาบอกเพิ่มเติมไว้ว่า

    “In order for the incompetent to overestimate themselves, they must satisfy a minimal threshold of knowledge, theory, or experience that suggests to themselves that they can generate correct answers”

หรือเเปลเป็นภาษาไทยก็คือ
    สำหรับคนเหล่านี้ การเรียนรู้อะไรเพียงนิดๆ หน่อยๆ ก็ถือว่าเพียงพอในการที่จะทำให้เขาคิดเเละมั่นใจว่าตัวเองเก่งในเรื่องนั้นๆ ได้

หรือที่สุภาษิทฝรั่งเขาว่า “A little learning can be dangerous” หรือการเรียนรู้นิดๆหน่อยๆ อาจจะเป็นภัยได้ นั่นเอง

@@@@@@@

เเละการวิจัยต่อยอดของ Dunning เเละ Kruger ยังพบลักษณะของคนที่มักจะตกเป็นเหยื่อของ Dunning-Kruger effect ดังนี้

1. จะชอบออกตัวกับสื่อหรือในโซเชียลมีเดียว่าตัวเองเป็นผู้นำ หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ตัวเองคิดว่าตัวเองเก่ง ทั้งๆ ที่ความจริงเเล้วพวกเขาไม่ได้มีคุณสมบัติ ซึ่งรวมไปถึงการศึกษา เเละประสบการณ์ในเรื่องนั้นจริงๆ

2. มักมีความเชื่อเเละมั่นใจว่าตัวเองเก่งจริงๆ (illusion of confidence)

3. เเต่ถึงเเม้ว่าจะมีความมั่นใจว่าตัวเองเก่ง พวกเขาเหล่านี้มักจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนที่มีคุณสมบัติ ซึ่งรวมไปถึงการศึกษาเเละประสบการณ์ในเรื่องที่ตัวเองออกตัวว่าเก่งจริงๆ

4. มักจะเลือกเชื่อเเต่ในคำชมของคนที่ไม่มีคุณสมบัติหรือไม่มีความสามารถเหมือนกันเเละใช้คำชมพวกนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าตัวเองเก่งจริงๆ

5. มักเลือกที่จะไม่ส่งงานของตน หรือสิ่งที่ตนพูด ไปให้คนที่มีความเชี่ยวชาญที่เเท้จริงตรวจสอบ พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขามักคิดว่า “peer review” หรือการตรวจงานโดยคนที่มีความเชี่ยวชาญจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ

6. ชอบมักคิดว่าตัวเองเป็น “ผู้บุกเบิก” หรือ pioneer ในสิ่งที่ตัวเองออกตัวว่าเชี่ยวชาญ

7. มักจะสรุปกับตัวเองว่า กระเเสการต่อต้านความคิดหรือผลงานของตนที่มาจากคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงๆ นั้นเป็นแผนการที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยคนที่คิดเห็นตรงกันข้ามกับตนเพื่อใช้ในการกดขี่ความจริงของตนเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ ก็คือคนพวกนี้จะมีอีโก้ในตัวเองที่สูงมาก

8. มักจะอธิบายให้คนอื่นฟังว่า สาเหตุที่คนอื่นคิดไม่เหมือนกับที่ตัวเองคิดนั้นเป็นเพราะว่าคนอื่นมีอคติกับความคิดของตน พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่เกิดการมีความคิดต่างระหว่างตัวเอง เเละผู้เชี่ยวชาญที่เเท้จริงขึ้นมา คนที่เป็นเหยื่อจาก Dunning-Kruger effect นั้นมักจะโทษคนอื่นมากกว่าโทษตัวเอง เเละมักคิดว่าตนเองมีความคิดที่ไม่มีอคติเเต่เพียงผู้เดียว


@@@@@@@

อย่างที่โบราณเขาว่านะครับ เชื่อคนที่รู้น้อยเรื่องเเต่รู้ลึก ดีกว่าคนที่รู้มากเรื่องเเต่รู้เเค่เพียงผิวเผินนะครับ

คงจะไม่เป็นปัญหาอะไรมากถ้าคนที่เป็นเหยื่อของ Dunning-Kruger effect พวกนี้ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ มากจนเกินไป เเต่ถ้าสมมติว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อของ Dunning-Kruger effect มีตำเเหน่งเป็นหัวหน้า เป็นเจ้าของบริษัท เป็นคนที่ออกนโยบายขององค์กรหรือของรัฐขึ้นมาล่ะก็ ปัญหาใหญ่ก็จะตามมา

นั่นก็เป็นเพราะว่าคนที่เป็นเหยื่อของ Dunning-Kruger effect พวกนี้จะยึดเเต่ความรู้ที่เป็นผิวเผินของตัวเองเป็นหลัก เเละก็จะไม่ยอมฟังเสียงต่างๆ นานาจากคนที่อาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ที่อาจจะมีตำเเหน่งที่น้อยกว่าจริงๆ ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้องค์กรต่างๆ นานาล่มลงได้ง่ายๆ

อ่านเพิ่มเติม :-

Kruger, J., Dunning, D. 1999. Unskilled and unaware of it : How difficulties in recognising one’s own incompetence lead to inflated self-assessments. Journal of Personality and Social Psychology, 77(6), 1121-1134.




Thank to : https://thaipublica.org/2017/02/nattavudh-59/
25 กุมภาพันธ์ 2560 | 24 กุมภาพันธ์ 2022
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 13, 2025, 11:34:57 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29573
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
แยกง่าย ๆ 5 นิสัยของ คนโง่อวดฉลาด ที่ต่างจาก คนฉลาด
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2025, 12:24:30 pm »
0
.



แยกง่าย ๆ 5 นิสัยของ คนโง่อวดฉลาด ที่ต่างจาก คนฉลาด

ในสังคมทุกวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนอยู่หลากหลายประเภท ซึ่งบางคนก็เข้าข่ายไม่มีใครอยากคบหาด้วย และบ่อยครั้งที่พวกเขาไม่รู้ตัวเองว่านิสัยส่วนตัวทำให้คนรอบข้างต้องเบื่อหน่าย

ในจำนวนนี้ มีอยู่จำพวกหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเป็น “คนโง่ชอบอวดฉลาด” ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า “คนโง่” มักมีนิสัยที่แตกต่างจาก “คนฉลาด” อยู่ 5 อย่างด้วยกัน





1. คนโง่ชอบโยนความผิดของตัวเองให้คนอื่น

คนโง่ไม่ชอบรับผิดในสิ่งที่ตัวเองทำ และมักโยนความผิดให้ผู้อื่น ซึ่งผลการศึกษาด้านประสาทวิทยา โดย เจสัน เอส. โมเซอร์ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สเตท พบว่า สมองของคนฉลาดจะมีปฏิกิริยาที่ต่างออกไปเมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะพวกเขารู้ว่าความผิดพลาดทุกอย่างจะเป็นบทเรียนให้ได้เรียนรู้เพื่อไม่ทำผิดซ้ำสอง

2. คนโง่มักจะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ

ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง คนโง่จะเถียงอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ชนะ และแทบจะไม่สนเลยว่าในวงสนทนานั้นมีคนที่ฉลาดกว่าตัวเองอยู่ด้วยหรือไม่ ขณะที่คนฉลาดจะเข้าใจและพร้อมยอมรับในความคิดเห็นที่ต่างไปจากตัวเอง ซึ่งนักจิตวิทยาชื่อดัง เดวิด ดันนิ่ง เผยว่า คนฉลาดจะตั้งใจฟังและพิจารณาเรื่องทั้งหมด ก่อนจะตัดสินใจหรือพูดอะไรออกไป

3. คนโง่จะแสดงอาการโมโหและก้าวร้าว เพื่อกลบเกลื่อน

เวลาที่คนโง่รู้สึกว่าอะไรไม่เป็นไปอย่างที่คิด หรือเริ่มจะคุมสถานการณ์ไม่ได้ พวกเขาจะแสดงอาการโมโหและก้าวร้าวเพื่อเป็นการกลบเกลื่อน ซึ่งจากการศึกษาเรื่องพฤติกรรมก้าวร้าว กับระดับไอคิว โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ใช้เวลานานถึง 22 ปี พบว่ามีความสัมพันธ์กัน โดยคนที่มีระดับความฉลาดน้อยจะมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมากกว่า

4. คนโง่จะไม่สนความต้องการและความรู้สึกของผู้อื่น

จากผลการศึกษาคนอเมริกันหลายพันคน โดย รัสเซล เจมส์ แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส เทค พบว่า คนที่มีไอคิวสูงมีแนวโน้มที่จะเข้าใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ใครโดยไม่หวังผลตอบแทน ต่างจากคนโง่ที่แทบจินตนาการไม่ออกว่าคนอื่นจะมีความคิดต่างไปจากตัวเองได้อย่างไร อีกทั้งยังมองด้วยว่า การทำอะไรให้ใครโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมาถือเป็นเรื่องแปลก

5. คนโง่คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น

คนโง่มีแนวโน้มที่จะชอบวิจารณ์หรือติคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีกว่า เพราะพวกเขาเชื่อว่าตัวเองเหนือกว่า และมักเป็นพวกชอบตัดสินคนอื่นไปก่อนโดยมีความลำเอียงเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบร็อค ยังพบด้วยว่า คนที่ไอคิวต่ำมีแนวโน้มชอบการลงโทษที่รุนแรง , เกลียดคนที่รักชอบเพศเดียวกัน และเหยียดเชื้อชาติมากกว่า


@@@@@@@

หากในชีวิตเราต้องเจอคนจำพวกนี้ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ให้นึกเสียว่า เป็นนิสัยของคนโง่ที่คนฉลาดเขาไม่ทำกัน เผื่อจะช่วยให้เข้าใจและรู้สึกเห็นใจคนเหล่านี้ได้มากขึ้น




Thank to : https://www.sanook.com/campus/1406787/
06 พ.ย. 64 (12:00 น.) | Tonkit360 : สนับสนุนเนื้อหา





 :49: :49: :49:













 :49: :49: :49:











« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 13, 2025, 01:27:24 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29573
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: คนโง่สำคัญตนว่าฉลาด
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2025, 01:49:20 pm »
0
.

 :32:

 :32:

 :32:

 :32:

 :32:







6 ข้อดีของการ “แกล้งโง่”

คงไม่มีใครอยากดูเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น แต่การพยายามทำตัวฉลาด ทั้งที่ฉลาดไม่จริง หรือแม้จะฉลาดจริงก็ตาม มักส่งผลในแง่ลบมากกว่าแง่บวก ในขณะที่การแกล้งโง่ ที่ดูเหมือนเป็นแง่ลบนั้นกลับได้ประโยชน์มากกว่า

1. แกล้งโง่ ทำให้มีเวลามากขึ้น

คนอวดฉลาด ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็มักต้องทำงานมากกว่าคนอื่นหากอยู่ที่ทำงาน ไม่เพียงงานของตนเองจะมากกว่าเพื่อนร่วมงานเท่านั้น ยังมักต้องคอยช่วยเหลืองานคนอื่น จนกลายเป็น “เจเนรัลเบ๊”ของที่ทำงานไปโดยปริยาย เมื่ออยู่บ้าน แทนที่จะได้พักผ่อน ก็กลับต้องทำโน่นทำนี่ จนกลายร่างเป็น “คุณแจ๋ว” ไม่ต่างจากตอนอยู่ที่ทำงาน ตรงกันข้ามกับคนที่ถูกมองว่าโง่ หรือทำอะไรไม่เป็น ก็จะได้ทำแต่หน้าที่ของตนเองเท่านั้น เมื่อไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับงานของคนอื่น จึงมีเวลามากพอสำหรับทำเรื่องที่จำเป็นมากกว่า อย่างการวางแผนเพื่อเดินตามความฝัน

2.แกล้งโง่ ทำให้ชีวิตสบายขึ้น

ผู้หญิงที่ทำกับข้าวเก่ง ทำงานบ้านเก่ง ก็มีแนวโน้มว่า เมื่อแต่งงานไปแล้วจะต้องเป็นคนดูแลงานบ้านทุกอย่าง แม้ว่าจะต้องออกไปทำงานนอกบ้านด้วยก็ตาม แต่ผู้หญิงที่ทำงานบ้านไม่เป็นหรือแสดงออกว่าทำงานบ้านไม่เก่ง จะสามารถหลีกเลี่ยงงานน่าเบื่อนี้ไปได้

3.แกล้งโง่ ทำให้ฉลาดขึ้น

อัญชุลี คิดว่าเธอเป็นคนฉลาด และเธออยากให้คนอื่นเชื่อเช่นนั้นด้วย เธอจึงพยายามทำตัวเป็นคนฉลาด แน่นอน เธอจะไม่ยอมถามคำถามอะไรเด็ดขาด เพราะคนฉลาดย่อมรอบรู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว เธอจึงไม่เคยกำจัดความสงสัย หรือความไม่รู้ทิ้งไปได้เลย ส่วนวิชชุดา เธอเป็นคนประเภทตรงกันข้ามกับอัญชุลี เธอคิดว่าตนเองไม่ฉลาด ซึ่งมันก็ส่งผลให้เธอไม่กังวลว่าใครจะมองเธอว่าโง่

เมื่อมีปัญหา หรือมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ เธอกล้าที่จะถาม และขอคำแนะนำจากคนอื่น ทำให้ความสงสัยถูกกำจัดทิ้งไป และถูกแทนที่ด้วยความรู้ วิชชุดาจึงรู้มากขึ้น ในขณะที่อัญชุลียังคงไม่รู้อยู่เหมือนเดิมด้วยความที่คนอวดฉลาด ต้องการสร้างภาพลักษณ์ว่าตนเป็นคนฉลาด จึงทำให้ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปากถามในสิ่งที่ตนไม่มีความรู้เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นมองว่าตนเองโง่ หารู้ไม่ว่า การไม่ถามหรือการพยายามทำตัวฉลาดนี่ล่ะ

ตัวการสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นคนโง่ หากกล้ายอมรับว่าตนเองไม่รู้ และเอ่ยปากถามออกไป ไม่นานก็จะได้คำตอบที่ช่วยคลายความสงสัยได้ และความโง่ก็จะหายไป แต่หากไม่กล้าถาม ความสงสัย และความไม่รู้ก็จะยังอยู่ตรงนั้น ความโง่ก็ด้วย การถามคำถามที่ไม่เข้าใจออกไป จึงเป็นการโง่เพียงวินาทีเดียว แต่การแกล้งทำตัวฉลาด ไม่ยอมถามทั้งที่ไม่รู้ จึงเหมือนเป็นการผูกตัวเองไว้กับความโง่ไปตลอดชีวิต



ขอบคุณภาพจากเฟซบุ้ค มนต์รักษ์ภาษาไทย


4.แกล้งโง่ ทำให้พัฒนาตนเองได้มากขึ้น

คนอวดฉลาดที่หลงลำพองในตัวเอง มองว่าตัวเองรอบรู้ทุกด้าน และไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว จะไม่สามารถพัฒนาตนเองได้อีก เหมือนกับอึ่งอ่างที่พองตัวอยู่ในกะลาแคบๆ จนไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวไปไหนได้ ตรงกันข้ามกับคนแกล้งโง่ ที่จะทำตัวเล็กลีบอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าอยู่ที่ใด จึงไม่คับแคบ และยังสามารถเดินต่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่เจอทางตัน เพราะพวกเขาคิดว่า ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก จึงทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาตนเอง และก้าวหน้าต่อไปได้อีก ในขณะที่คนอวดฉลาดจะยังคงอยู่ที่เดิม ซึ่งนับวัน ก็ยิ่งจะถอยหลังเข้าคลองไปทุกที

5.แกล้งโง่ ทำให้รู้ข้อมูลมากขึ้น

อนันตชัยถูกใจผู้หญิงคนหนึ่งที่พบกันที่บาร์เขาจึงเข้าไปคุยกับเธอ และแกล้งโง่เออออตามเธอทุกอย่าง เธอจึงคุยอะไรต่อมิอะไรให้เขาฟังมากมาย ตั้งแต่เรื่องหน้าที่การงานว่าเธอทำงานอะไร มีปัญหากับเจ้านายอย่างไร มีเพื่อนสนิทกี่คน ครอบครัวมีใครบ้าง เธอเคยมีแฟนมาแล้วเท่าไร ทำไมจึงเลิกกัน เธอชอบอะไร ไม่ชอบอะไรตลอดจนเธอไปศัลยกรรมจมูกที่ไหน

บรรดาสายลับในหนัง เมื่อต้องปลอมตัวไปสืบข้อมูลต่างๆ ก็มักแกล้งทำเป็นคนซื่อๆ เหมือนคนที่ไม่รู้รื่องราว และไมมี่พิษภัยอะไรหรือพูดง่ายๆ คือแกล้งโง่นั่นเอง ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาสามารถสืบข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น เพราะคนอื่นๆ ตายใจจนไม่ทันได้ระวังตัวคุณสมบัติในการเป็นผู้ฟังที่ดีของคนแกล้งโง่ สามารถล้วงความลับของใครต่อใครได้มากมาย เพราะเมื่อคนอื่นมองว่า คุณเป็นคนโง่คนหนึ่ง ที่ไม่มีพิษสงอะไร จะทำให้เขาระวังตัวน้อยลง และกล้าเปิดปากพูดอะไรมากขึ้น คุณจึงสามารถรู้ข้อมูลทุกเรื่องที่อยากรู้ได้เพียงแกล้งโง่เท่านั้น

6.แกล้งโง่ ทำให้มีประสบการณ์ และได้เรียนรู้มากขึ้น

คนอวดฉลาดมักทำอะไรอยู่ในกรอบความฉลาดของตนเองและจะไม่ยอมทำอะไรเสี่ยงๆ หรือทำสิ่งที่ตนเอง หรือคนอื่นมองว่าเป็นเรื่องโง่ๆ เด็ดขาด ทำให้พวกเขาหมดโอกาสที่จะได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าไม่ยอมแกล้งโง่ เปิดใจรับฟังบรรดาพนักงานขายทางโทรศัพท์ ก็คงไม่มีโอกาสรู้ว่า มีโปรโมชั่นบัตรเครดิตดีๆ ที่อาจช่วยให้การใช้จ่ายในแต่ละเดือนคล่องตัวขึ้น

ถ้าไม่ยอมแกล้งโง่ ออกไปท่องเที่ยวโดยไม่วางแผนดูบ้าง ก็คงไม่เคยมีประสบการณ์สนุกๆ ถ้าไม่ยอมแกล้งโง่ ทำเรื่องที่น่าเสี่ยงดูบ้าง ก็คงไม่มีทางรู้ว่า ความล้มเหลวเป็นอย่างไร เพื่อไม่รู้จักความล้มเหลว ก็คงทำความรู้จักความสำเร็จได้ยาก



ขอขอบคุณ :-
Source : หนังสือ คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด คนฉลาดเป็นเหยื่อของคนแกล้งโง่
ขอบคุณข้อมูลจาก : 6 ข้อดีของการ “แกล้งโง่”
website : TerraBKK.com - https://www.terrabkk.com/articles/151054
Oct 11, 2016
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ