ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การเห็นสภาวะแบบนี้ ไม่ใช่สติ เป็นกิเลส  (อ่าน 3375 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

suchin_tum

  • ไม่กลับมาเกิด
  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 486
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
               ให้แยกสติออกมาอย่าหลงมัวเมา สิ่งเหล่านั้นคือ"เวทนานุปัสสนา"เรากําลังหลงนาม นั่งเป็นรูป รู้ว่านั่งเป็นนาม รู้ว่าพอใจ ในสิ่งไหนอยู่...10อย่างนี้ คือหลงนาม แยกสติ ออกมา อย่าหลงเพลิดเพลินชื่นชม เรากําลังหลงนาม
          อุปกิเลส10
        1.โอภาโส  เห็นแสงสว่างแจ่มใสงดงาม
        2ญาณ      ให้บังเกิดญาณรู้เกินกว่าปกติ
        3ปีติ          ให้เกิดความยินดียิ่งกว่าปกติ.                               
        4.ปัสสัทธิ   ให้สงบกายและระงับจิต เกินกว่าปกติ
        5.สุข     ให้เป็นสุขมากกว่าปกติ
        6.อธิโมกโข    ให้มีอินทรีย์อันกล้ากว่าปกติ
        7ปัคคาหะ(ปัคคาโห) ให้มีความเพียรมากกว่าปกติ
        8.อุปัฏฐานัง     ให้มีสติมากกว่าปกติ
        9.อุเปกขา      ให้มีจิตเป็นอุเบกขา มัธยัสถ์มากกว่าปกติ.
        10.นิกันติ     ให้มีตัณหารักใคร่ชอบใจในธรรมอันมิสมควรนั้นมากเกินไป
                ใครกําลังหลงนามกาย ว่าเป็นสมาธิ ให้แยกสติออกมา
        (ต่อ) เมื่อความสงสารมันเกิดขึ้น..ว่าจะหยุดซักระยะ....คงต้องทําต่อ
                               วิธีออกจาก อุปกิเลส 10
   มาถึงตรงนี้ ถ้าใครส่ง อารมณ์ กับพระอาจารย์บ่อยๆคงพอเข้าใจคงไม่ต้องกังวน เพราะ พระอาจารย์จะบอกโป้งๆเลย ท่องศัพท์ ปริยัติ 10ข้อนี้ไว้ให้ดีๆจําให้แม่น หรือ จดไว้
      ออกได้ เมื่อรู้เมื่อเห็น ที่จิต..ไปเกาะกับสิ่งเหล่านี้ได้ (จิต ในที่นี้คือ การปรุงแต่ง) ในอารมณ์ขณะนั้น .........เป็นเพราะ (งาน 3อย่างหาย) เหลือไม่ครบ ลองสอดส่องตรวจตราดู ต้องมีอย่างใด อย่างหนึ่งอย่างใด หลุดไป จิตมันเลยว่าง ไปหาที่พอใจเหล่านั้นได้ หรือบางทีก็ทิ้งหมด นั่งเฉยๆ ไปเลย...นั่งเฉยเป็นกิเลสเต็มๆเลย พระอาจารย์บอกเสมอว่า อย่านั่งเฉยๆ เรายังไม่ใช่ พระอรหันต์ ต้องเอาจิตทํางานๆ นั่งเฉยนั้น นั้นไม่ได้อะไร ใครอยากเป็นพระอริยะต้องเอาจิตทํางาน 3 อย่าง นี้ตลอดกาลตามกาล เพราะงานจะพาเพิกสันตะติ...งานพาหนี การสืบต่อของ รูป นาม ไปตลอดระยะเวลาที่เราฝึก  พาเราออกจากกิเลสไปตลอดเส้นทาง ก็ให้ถือว่ามันเป็นธรรมดาไม่ต้องซีเรียส เพราะเป็นกันทุกคน คว้าธรรมบ้าง คว้ากิเลสบ้าง...รู้แล้วปล่อย...กลับเข้างาน 3 อย่าง นี้คือ มรรค มรรคแปลว่าทาง
 ทวนอีกรอบ 1.บริกรรมนิมิต บริกรรมพุทโธ ลงไปใส่ฐานจิต สภาวะเฉพาะตรงหน้ามีพุทโธ อยู่ที่รูหูได้ยินตลอด ไม่ต้องดูลมหายใจ ไม่ตายหลอก อย่างนักร้องที่ร้องเพลง เมดเล่ย์ เร็วๆก็ไม่ตาย ลมมันต้องรอดหาทางออกของมันได้ ท่านจะเข้าปีติได้ไว เรากําลังฝึกโพชฌงค์เพื่อเข้าให้ถึงลมดับ คือสมาธิขั้นสูงขึ้นไป ไม่ต้องไปกังวนเรื่องลมหายใจ
      2.ปัคคะหะนิมิต จุดที่ใต้สะดือ 2 นิ้วต้องอยู่ ดึงพุทโธลงมาใส่ไว้ บางทีอาจยังไม่เห็นสีจุด ก็ไม่ต้องคิดมาก ใส่ให้ตรงจุดไว้ก่อน เดี๋ยวห้องต่อๆไปก็เห็นเอง อย่าเพ่งไปอยากเห็น ห้องแรกยังไม่ได้ให้ดูสี ให้รู้ว่ามี ให้รู้ว่าถูกจุดเป็นใช้ได้
     3.อุเบกขานิมิต ความปล่อยวางจิต ปล่อยยังไง สุขใดมารู้แล้ววาง ทุกข์ใดมารู้วาง ไม่ต้องถึงกับไปเฝ้าดูนะ ถ้าไปเฝ้าดูมาก เดี๋ยวงานจะหาย งานสําคัญยิ่งกว่าอะไร
      เมื่อเจอเวทนา...เจ็บปวด(เรียกว่าการสับคืบปีติ)แสดงว่าเราทรงไว้ซึ่งงาน ทําได้ดี ก็อย่าทิ้งงาน3อย่าง อย่าไปเฝ้าดูความปวด ถ้าอยู่ที่งานจะหายไว ไม่ต้องไปมองดูบ่อยว่ามันจะหายเมื่อไร ดูจะเจ็บกว่าเดิม เดี๋ยวงานหาย ค่อยๆทําไป ดิน ไฟ นํ้า ลม อากาศ(ปีติ5)ค่อยสับคืบ เข้าคืบไป ทีละ1ธาตุ ให้แจ้งอารมณ์ที่พระอาจารย์สนธยา ใครแจ้งบ่อยก็ได้เลื่อนธาตุบ่อย ห้ามจํามาตอบท่าน อย่างนั้น เท่ากับไม่เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระอาจารย์ท่านเห็นหมด การโกหก เพราะอยากก้าวหน้า ไม่เอา ศิลเป็นสิกขาแรก สมาธิเป็นสิกขาที่2 เราอยากได้ปัญญานั่นสิกขาที่3
    ห้องปีติ 5 ห้องยุคล 6 ห้องกายสุข-จิตสุข(3ห้องแรกนี้เรียกว่าห้องพุทธคุณ-หรือห้องพุทธานุสสติ)เน้นความเคารพครูบาพระอาจารย์เป็นที่ตั้ง ใครอยากสําเร็จ ก้าวหน้า ต้องแจ้งอารมณ์ที่พระอาจารย์ อย่างห้องปีติถ้าแจ้งอารมณ์ หรือ พบครูบาอาจารย์ตลอดเป็นระยะ 1ปีน่าจะผ่านได้ จะให้ผ่านไม่ผ่านอยู่ที่พระอาจารย์ อย่างพวกเราให้ได้แค่กําลังใจ รับปรึกษาได้เท่านั้น แต่ผลสมาธิต่างๆของตัวท่าน หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เรามีพระอาจารย์ ควบคุมให้ เราเป็นผู้ฝึกและปฏิบัติ ผล อยู่ที่คํายืนยัน ว่าเราได้อะไรๆ ฝึกกับครูบาอาจารย์ที่เห็น ก็ดีกว่าฝึกกับสํานักที่ปล่อยให้เราทําเอง .....และไม่ได้รับรองอะไรให้เรา อย่างไหนดีกว่า
   อย่างตัวเราเอง เป้าหมายสูงสุดของการฝึกตน....คือ ไม่เกิด (ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น)อะไรจะใหญ่กว่านี้.....เราว่าไม่มี
         :043: :043: :043:คําสอนพระอาจารย์กรรมฐานของข้าพเจ้า... :043: :043: :043:
               
     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2011, 10:40:25 am โดย suchin_tum »
บันทึกการเข้า
ขอน้อมอาราธนากำลังแห่งครูอาจารย์กรรมฐานมัชฌิมาจงมาประสิทธิ์ประศาสตร์

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การเห็นสภาวะแบบนี้ ไม่ใช่สติ เป็นกิเลส
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 30, 2011, 05:45:11 am »
0
ชื่นชอบ คุณ suchin_tum จังคร้า...
 :58:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

suchin_tum

  • ไม่กลับมาเกิด
  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 486
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การเห็นสภาวะแบบนี้ ไม่ใช่สติ เป็นกิเลส
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 30, 2011, 10:53:27 am »
0
วิธีเพิก สันตะติ เพิกการสืบต่อ รูปนาม(ออกจากอุปกิเลส10)....ต่อไว้ให้อ่านที่ช่องเดิมด้านบน
บันทึกการเข้า
ขอน้อมอาราธนากำลังแห่งครูอาจารย์กรรมฐานมัชฌิมาจงมาประสิทธิ์ประศาสตร์