ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ศิษยานุศิษย์วิปัสสนา วิหารสังฆเมตตา พุทธศาสนาในเนเธอร์แลนด์  (อ่าน 2904 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 

(บน) โชติกา ผู้อำนวยการวิหารสังฆเมตตา
(ล่าง) ผู้ปฏิบัติธรรมกำลังเดินจงกรม
......................................................................

วิหารสังฆเมตตา
เมืองอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam)
ประเทศเนเธอร์แลนด์ (Netherlands)


โชติกา ผู้อำนวยการวิหารสังฆเมตตาและครูสอนการนั่งวิปัสสนา

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ศิษยานุศิษย์วิปัสสนา วิหารสังฆเมตตา พุทธศาสนาในเนเธอร์แลนด์
โดย โสภาพร ควร์ซ จากหนังสือพิมพ์มติชน หน้า 20
วันที่ 05 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11197

เวลาตีห้าสิบห้านาที สัญญาณการเริ่มวิปัสสนาของเช้าวันใหม่เสียงระฆังกังวานใสก็ดังขึ้นท่ามกลาง ความเงียบสงัด ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ภาพผู้ปฏิบัติสมาธิแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสบายๆ ก้าวเดินจงกรมด้วยอาการสำรวม เงียบสงบ สลับกับการเจริญวิปัสสนาก็เริ่มปรากฏให้เห็น และเป็นภาพคุ้นตาในหมู่คนไทยเป็นอย่างดี

แต่เมื่อภาพเหล่าผู้ปฏิบัติสมาธิตรงหน้า มิใช่คนไทย แต่กลับเป็นชาวตะวันตก กว่าสามสิบชีวิตที่ทำสมาธิอย่างตั้งใจ ขะมักเขม้น ตลอดทั้งวัน โดยไม่มีการพูดคุยกันเลยนั้น ย่อมสร้างความแปลกใจให้กับผู้พบเห็นชาวไทยมิใช่น้อย

“โชติกา” วัย 76 ปี ผู้อำนวยการวิหารสังฆเมตตา ในเมืองอัมสเตอร์ดัม และครูสอนการนั่งวิปัสสนามาเกือบ 20 ปี เล่าให้ฟังว่า การสอนสมาธิที่วิหารนี้เป็นแบบพุทธศาสนาเถรวาทแบบวัดมหาธาตุ โดยเธอเองได้รับการสอนมาจาก ท่านเมตตาวิหารี จากวัดมหาธาตุ ซึ่งได้มาประจำอยู่ที่วัดในเนเธอร์แลนด์กว่า 20 ปีก่อนที่จะมรณภาพไปเมื่อปี พ.ศ.2550

เธอเล่าว่า ปัจจุบันชาวดัชต์ให้ความสนใจกับพุทธศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนั่งสมาธิเป็นอย่างมาก เพราะตอบสนองกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป

“ทุกวันนี้วิถีชีวิตของคนที่นี่เร็วขึ้นมาก ทุกคนมีอะไรให้ทำมากมายและรีบเร่งในแต่ละวัน ผู้คนจึงต้องการสมดุลให้ชีวิต” เธอยกตัวอย่างบทบาทของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตที่เข้ามามีบทบาทในชีวิต ประจำวันของคนเราอย่างแยกไม่ออก

“การมีคอมพิวเตอร์ มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของเรายุ่งน้อยลงเลย เพราะว่าเมื่อเราติดต่อกันได้ตลอดเวลา ก็หมายความว่าเราพูดคุยโต้ตอบกันบ่อยขึ้น มีสิ่งที่ต้องทำมากขึ้น จนยุ่งตลอดเวลาเหมือนเดิม”

ดังนั้น การได้มีโอกาสให้เวลากับตัวเอง อยู่กับตัวเองอย่างเงียบๆ จึงเป็นสิ่งที่คนหลายๆ คนถวิลหา ขณะนี้มีสถานฝึกสมาธิหลายแห่งทั่วประเทศ ไม่เฉพาะแต่การทำสมาธิแบบเถรวาท แต่ยังมี “แบบเซน” “มหายาน” และอื่นๆ มีนิตยสาร ชั้นเรียนที่เกี่ยวข้องกับการนั่งสมาธิมากมาย “บางทีเรายังพูดกันว่า นี่เป็นเหมือนแฟชั่น เป็นเรื่องฮิตของคนสมัยนี้เลยนะ”

และความนิยมของชั้นเรียนสมาธิที่วิหารสังฆเมตตา ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันข้อสันนิษฐานของโชติกาได้ดี

จากชั้นเรียนวิปัสสนาตอนเย็นอาทิตย์ละครั้ง ปัจจุบันนี้ทางวิหารมีชั้นเรียนสามวันต่อสัปดาห์ บางอาทิตย์ก็มีการสอนนั่งสมาธิเต็มวัน รวมทั้งมีคอร์สปฏิบัติสมาธิแบบเข้มข้นในระยะเวลาที่ยาวกว่านั้น เช่น 7 วัน 10 วัน 3 สัปดาห์ หรือตลอดทั้งปี

โดยมักจัดกันที่ อินเตอร์เนชั่นแนล ธีโอโซฟิคัล เซ็นเตอร์ (International Theosophical Center) ในเมืองนาร์เด็น (Naarden) ซึ่งห่างออกมาจากอัมสเตอร์ดัม เพียงแค่หนึ่งชั่วโมง สะดวกในการเดินทางสำหรับทั้งผู้จัด และผู้เข้าร่วมปฏิบัติสมาธิ




“คอร์สปฏิบัติสมาธิเหล่านี้มักจะเต็มเสมอ เพราะฉะนั้นผู้ที่สนใจต้องโทร. มาจองล่วงหน้า ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง แต่ผู้ชายก็มีไม่น้อย แม้ว่าอายุของผู้ปฏิบัติจะค่อนข้างมาก แต่พบว่าอายุของผู้เข้าร่วมน้อยลงเรื่อยๆ เด็กๆ เหล่านี้เริ่มเห็นประโยชน์ของสมาธิ ว่ามันช่วยในชีวิตได้จริง โดยเฉพาะเรื่องการเรียน แต่บางคนก็ต้องการค้นหาความหมายของชีวิต บางคนก็ต้องการมาพักผ่อน และหาความสงบสุข”

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่โชติกาเล่าให้ฟัง คือว่าหลายๆ คนที่มาร่วมปฏิบัติสมาธิไม่รู้ว่าการนั่งสมาธิเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา ตัวโชติกาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอบอกว่า เธอได้รู้จักพุทธศาสนาและการทำสมาธิ จากคำแนะนำของเพื่อนตั้งแต่ปี พ.ศ.2529

เธอบอกว่าเธอไปนั่งมาแล้วดีมาก “ตอนนั้นฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการนั่งสมาธินี้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ” เสียงโชติกากล่าวขึ้น แต่เมื่อเธอมีโอกาสเดินทางมาที่วิหารสังฆเมตตา และมีโอกาสพูดคุยกับ ท่านเมตตาวิหารี ผู้สอนการทำสมาธิ


“ท่านถามว่าเคยนั่งสมาธิมาก่อนไหม ฉันตอบว่าเคย แต่เป็นแบบคริสต์ ท่านตอบกลับมาว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นชาวพุทธแล้วถึงจะฝึกสมาธิได้ คำตอบของท่านทำให้ฉันรู้สึกดีมากๆ”

โชติกาเล่าว่า มีคำสอนหลายอย่างจากเมตตาวิหารีที่เธอประทับใจ เช่น สิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกกับภิกษุสงฆ์เวลาที่ออกไปเทศนาธรรมว่า หน้าที่ของภิกษุไม่ใช่ไปโน้มน้าวจิตใจให้เขามาเป็นชาวพุทธ แต่เป็นการทำให้ผู้คนเหล่านั้นมีความสุข

หลังจากนั้นโชติกาไปปฏิบัติสมาธิทุกอาทิตย์ และเข้าร่วมปฏิบัติวิปัสสนาระยะยาวครั้งแรกในปลายปีเดียวกันนั้น จากนั้นเธอปฏิบัติสมาธิมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2535 ท่านเมตตาวิหารี ก็ขอให้เธอรับช่วงต่อดูแลวิหาร เนื่องจากท่านต้องย้ายไปประจำที่วัดอื่น โชติกาดูแลศูนย์มาโดยตลอดระยะเวลา 16 ปี และชั้นเรียนสมาธิก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

เธอเล่าว่า หลักของการปฏิบัติสมาธิแบบเข้มข้นระยะยาว คือเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติสมาธิหลุดออกจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน มาอยู่ในที่ที่สามารถสำรวจดูพฤติกรรมของตัวเอง


“ความเงียบเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการวิปัสสนาของที่นี่ ในแต่ละวันทุกคนจะมีโอกาสได้พูดเป็นเวลาสิบนาที ในช่วงที่ฉันสอบถามเกี่ยวกับความก้าวหน้าหรือปัญหาในการทำสมาธิ และอาจจะมีโอกาสได้พูดอีกครั้งในช่วงหัวค่ำซึ่งเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับธรรมะ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง”

โชติกาบอกว่า ปัญหาของผู้เข้าปฏิบัติสมาธิที่เจอบ่อยๆ คือ ง่วงนอน หรือหงุดหงิดจากการนั่งสมาธิ หรือการที่ความคิดเข้ามาในสมองอยู่เรื่อยๆ รวมทั้งความปวดเมื่อย แล้วนำไปสู่คำถามที่ว่า เอ..นี่คือ หนทางที่ถูกต้องหรือเปล่า?


คำแนะนำก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนต้องเดินจงกรมมากขึ้น บางคนต้องพยายามมากขึ้น บางคนต้องบอกให้เชื่อมั่น บางคนต้องปล่อยวาง ความมุ่งมั่น ความปรารถนาต่างๆ ของตัวเอง

การปฏิบัติสมาธิของวิหารสังฆเมตตาครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งอื่นๆ เพราะมี ภิกษุณีธัมมนันทา (อดีต ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์) แห่งวัตรทรงธรรมกัลยาณี จ.นครปฐม มาบรรยายเกี่ยวกับพุทธศาสนา หัวข้อบรรยายนั้นประกอบด้วยพระพุทธประวัติ, ธรรมมะของพระพุทธเจ้า, การก่อกำเนิดสงฆ์ในพุทธศาสนา

เพื่อปูพื้นฐานให้ชาวดัตช์บางคนที่ไม่มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ ได้เข้าใจถึงแก่นสำคัญในพระพุทธศาสนา และในวันสุดท้ายพูดถึงบทบาทของผู้หญิงและภิกษุณีในศาสนาพุทธ


โชติกาบอกว่า ที่อยากให้ภิกษุณีธัมมนันทา พูดถึงเรื่องผู้หญิงและภิกษุณีในพุทธศาสนาเป็นพิเศษ เพราะว่าเมื่อได้ศึกษาพุทธศาสนาไประดับหนึ่งแล้วพบว่าไม่ค่อยได้ยินเรื่อง ราวเกี่ยวกับพระเถรีเท่าไรนัก รวมทั้งมีคำถามต่างๆ มากมาย เช่น จริงหรือไม่ที่ว่าเมื่อมีภิกษุณีแล้วพุทธศาสนาจะมีอายุสั้นเหลือเพียงแค่ 500 ปี?


ภิกษุณีธัมมนันทา แห่งวัตรทรงธรรมกัลยาณี
......................................................................


วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมมีพิธีมอบศีลห้า ให้กับชาวดัตช์ที่ถวายตัวเป็นพุทธมามกะ โดยมีญาติพี่น้องมาร่วมเป็นสักขีพยานและแสดงความยินดี


แน่นอนว่าเมื่อสนใจพระพุทธศาสนาขนาดนี้ โชติกาเคยเดินทางมาเมืองไทยหลายครั้งแล้วและมีหลายอย่างของคนไทยที่เธอ ประทับใจ เช่น การเดินบิณฑบาตของพระ มีญาติโยมมารอตักบาตร แต่ที่สำคัญที่เธอได้เรียนรู้จากวิถีชีวิตของคนไทย คือการให้ทาน หรือความใจกว้างของคนไทยที่พร้อมจะให้เสมอ

โชติกาบอกว่า เธอไม่ค่อยคิดเกี่ยวกับอนาคตมากนัก เพราะถูกสอนให้อยู่กับปัจจุบัน แต่พอจะนึกภาพออกว่าศาสนาพุทธในวันข้างหน้าจะมีความสำคัญและยิ่งใหญ่มากขึ้น

“ฉันว่าถ้ามีคนนับถือพุทธศาสนามากขึ้นในเนเธอร์แลนด์ มันจะดีกับประเทศนี้มาก เพราะจะทำให้ผู้คนตระหนักถึงการกระทำของตนเองมากขึ้น มีความรักและเมตตาแก่ผู้อื่นมากขึ้น มีพฤติกรรมที่ดี และดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้องมากขึ้น”

ในความเห็นของโชติกาเธอบอกว่า โดยมากคนไทยไปวัดมักจะไปหาพระหรือพบพระมากกว่า ผิดกับชาวดัตช์ที่ไปวัดเพื่อเรียนรู้และปฏิบัติธรรมและนั่งสมาธิ

ผู้เข้าร่วมการนั่งวิปัสสนา

@ มาครีท วัน ไรเซ่น
อายุ 37 ปี นักร้องโอเปร่า และนักแสดงละครเวที


“ฉันรู้จักการนั่งวิปัสสนาจากสามี เขาไปเข้าคอร์สก่อน และฉันก็ตามไป หลังจากนั้นฉันก็เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับการนั่งสมาธิแบบวิปัสสนา และศาสนาพุทธ เมื่อได้รู้จักทั้งสองสิ่งนี้แล้ว ฉันเป็นทุกข์น้อยลง ไม่จมอยู่กับความรู้สึกมากเหมือนเมื่อก่อน เพราะฉันเริ่มมีสติและสังเกตได้ว่าความรู้สึกที่เรามีทุกอย่างนั้นไม่เที่ยง และก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ฉัน” ซึ่งกำลังเป็นทุกข์หรือเจ็บปวดด้วย


ชีวิตเป็นกระบวนการหนึ่งที่ไม่มีความเป็นส่วนตัวว่าเป็นของใคร ฉันจึงปลงได้ ต่อสู้น้อยลง และดำเนินชีวิตไปตามกระแส มากกว่าที่จะพยายามควบคุมมัน การนั่งวิปัสสนา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหตุเป็นผลสำหรับฉัน และแม้ว่ามันจะเป็นหนทางที่ยากลำบาก ฉันก็ไม่เคยคลางแคลงใจเลย”

@ เชลลี่ แอนเดอร์สัน
อายุ 56 ปี เจ้าหน้าที่องค์กรไม่แสวงหากำไร


“ตอนฉันอายุ 8-9 ขวบ เคยอ่านหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่ห้องสมุดของโรงเรียน เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับความตายไว้ว่า “เป็นเหมือนหยดน้ำหยดหนึ่ง ซึ่งกลับคืนสู่กระแสธาร” ฉันจำคำเปรียบเทียบนี้ได้ไม่ลืม ตอนนั้นรู้สึกว่าถ้ามีอะไรสักอย่างที่ทำให้เรารู้สึกเกี่ยวกับความตายได้ อย่างนี้ มันก็เป็นสิ่งที่ดีมาก


ฉันจึงสนใจพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ตอนอายุสามสิบกว่าๆ และอ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสนาพุทธมากมาย รวมทั้งเดินทางไปที่ หมู่บ้านพลัมของท่านติช นัช ฮันห์ เกือบทุกปี ในครั้งนี้ ฉันได้รู้ว่าผู้หญิงก็มีส่วนร่วมและมีบทบาทตั้งแต่ตอนที่เริ่มมีศาสนาพุทธ และรู้สึกดีที่มีบุคคลตัวอย่างให้เราปฏิบัติตาม”

@ ครีน่า วัน เบลเซ่น
วัย 60 ปี อาจารย์สอนหนังสือ


“ฉันนั่งสมาธิมากว่า 10 ปีแล้ว โดยที่ตอนแรกไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนา เหตุมาจากฉันรู้สึกเหนื่อยกับงานประจำที่ทำมาก เมื่อได้มาวิปัสสนาแบบเงียบๆ ฉันรู้สึกชอบมาก มันสงบ สบาย ฉันโตมาในครอบครัวที่เคร่งในคริสต์ศาสนามาก และรู้สึกมาตั้งแต่เด็กว่ามันไม่เท่าเทียมสำหรับผู้หญิง

แต่การจะไม่มีศาสนาเลยก็ไม่ดี เพราะคนเราควรต้องมีที่พึ่งทางใจ การได้มานั่งสมาธิและรู้จักพุทธศาสนา นอกจากจะทำให้ฉันไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ยังทำให้ฉันกลับมามองศาสนาคริสต์ในแง่มุมที่ดีขึ้นอีกด้วย”

@ มาเรีย ฮัช
อายุ 76 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ UNDP


“ฉันรู้จักพุทธศาสนามากว่า 40 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่เคยไปประจำการในพม่า และได้รู้จักกับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้มาพำนักที่วัดแห่งหนึ่งตอนเหนือของประเทศไทย แม้เมื่อกลับมาเนเธอร์แลนด์แล้วฉันก็ยังไปปฏิบัติสมาธิที่ประเทศไทยทุกปี เป็นระยะเวลา 1 หรือ 2 เดือน

ก่อนที่ฉันจะรู้จักการนั่งสมาธิ ฉันเป็นคนที่ขี้กลัว วิตกจริตมาก แต่หลังจากนั่งสมาธิแล้วฉันก็สงบมากขึ้น ปัจจุบันฉันนั่งสมาธิทุกวัน พระพุทธเจ้าท่านบอกวิธีการหลุดพ้นทุกข์ให้เราได้ แต่ว่าเราจะต้องเป็นคนเดินไปบนเส้นทางนั้นเอง”


@ มิค่า โมลแมน
วัย 55 เป็นอาจารย์


“ฉันรู้จักพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ที่อินเดีย แม้จะไม่ใช่พุทธศาสนาแบบเถรวาท แต่ฉันก็สนใจ เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันหลายอย่าง แต่ฉันไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง จนกระทั่งกลับมาที่เนเธอร์แลนด์

ฉันเริ่มฝึกวิปัสสนาอย่างจริงจังเมื่อสองปีที่แล้ว และรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ฉันค้นหามาตลอด และมันก็อยู่ใกล้ตัวมาตลอดเวลานี่เอง ฉันชอบการที่ได้อยู่กับความเงียบ และมีเวลาได้สำรวจดูการกระทำต่างๆ ของตัวเอง ในชีวิตประจำวันของทุกคน เรามีเวลาน้อยนิดเหลือเกินที่จะย้อนมามองดูตัวเอง ฉันรู้สึกมั่นใจมากที่ได้เป็นชาวพุทธ และจะเดินไปตามเส้นทางนี้ต่อไป”

ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1716&postdays=0&postorder=asc&start=20&sid=6fd0c10f88dcf63c7c8c4a7c82faced6
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ