ย่อวิปัสสนาภูมิ 6
๑. ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
๒. อายตนะ ๑๒ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ๓. ธาตุ ๑๘ ได้แก่ จักขุธาตุ โสตะธาตุ ฆานธาตุ ชิวหาธาตุ กาย-ธาตุ มโนธาตุ รูปธาตุ สัททธาตุ คันทะธาตุ รสธาตุ โผฏฐัพพธาตุ ธัมมธาตุจักษุวิญญาณธาตุ โสตะวิญญาณธาตุ ฆานะวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุกายวิญญาณธาตุ มโนวิญญาณธาตุ
๔. อินทรีย์ ๒๒ ได้แก่ จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหิน-ทรีย์ กายินทรีย์ มนินทรีย์ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ สุขินทรีย์ทุกขินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ อุเบกขินทรีย์ สัททินทรีย์วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ อนัญญตัญญัสสามิตินทรีย์อัญญินทรีย์ อัญญาตาวินทรีย์ ๕. อริสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
๖. ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ได้แก่ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูปสฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมะนัส สุปายาส
พระอริยบุคคล ๒ ประเภท ๑. สุกขวิปัสสกะ คือ พระอริยบุคคล ผู้บรรลุมรรคจิตด้วยปัญญาวิมุติผู้พ้นจากกิเลสเพราะปัญญา โดยไม่มีฌานจิตเป็นบาทคือไม่ได้บรรลุฌานจิตไม่สามารถเข้าฌานสมาบัติได้ การนับประเภทจิตโดยนัยมี ๘๙ ดวง
๒. เจโตวิมุตติ คือ พระอริยบุคคลผู้บรรลุมรรคจิตผลจิต หลุดพ้นเพราะสมาธิโดยมีฌานจิตเป็นบาท เป็นผู้บรรลุฌานพร้อมด้วยวสี พระอริยะบุคคลผู้บรรลุมรรคผลนิพพานพร้อมด้วยองค์ของฌานจิตขั้นต่างๆ จึงเป็นเจโตวิมุตติเพราะพ้นจากกิเลสด้วยปัญญา และความสงบของฌาณจิตขั้นต่างๆการนับประเภทจิตโดยนัย ๑๒๑ ดวง จึงนับโดยนัยของพระอริยบุคคลผู้เป็นเจโตวิมุตติ
การบรรลุอริยสัจธรรม คือ การเกิดปัญญาญาณรู้ลักษณะของนามและรูป เมื่อปัญญาสมบูรณ์มั่นคงถึงขั้นใด มหากุศลญาณสัมปยุตตจิตที่เป็น“วิปัสสนาญาณ” ก็เกิดขึ้นประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามลำดับขั้นของวิปัสสนาญาณทางมโนทวาร
วิปัสสนาญาณ ๑๖ (โสฬสญาณ) ๑. นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ญาณเกิดขึ้นประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่แยกขาดจากกัน ทีละอารมณ์โลก ปรากฏสภาพที่สูญเปล่าจากตัวตนไม่มีอัตตสัญญาที่กายทรงจำสภาพธรรม มีสภาพธรรมปรากฏลักษณะที่เป็นอนัตตา สันตติขาดเห็นรูปนามเบื้องแรกจะมีอาการตกใจ ผู้ปฏิบัติจะอุทาน ว่า อ้อ นี่หรือรูปนามที่เราพยายามหาทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ใช่อื่นไกลเส้นผมบังภูเขานี่เอง เช่นนี้ก็ตัดสินใจได้ว่าสัตว์บุคคลเทวดาพรหมอื่นนอกจากรูปนาม ไปไม่มี ทั้ง ๓๑ ภูมิ มีแต่รูปกับนามเท่านั้น มีอยู่ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นญาณนี้เรียกว่า “ทิฏฐิวิสุทธิ” นั่นเอง คือ ความเห็นอันบริสุทธ์ว่ามีแต่รูปนามเท่านั้น และเป็น วิปัสสนาญาณขั้นต้นนำทางไปสู่วิปัสสนาญาณขั้นต่อๆ ไป
๒. ปัจจยปริคคหญาณ คือ ญาณที่รู้ชัดถึงความต่างกันของรูปนาม ขณะที่วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นและขณะที่ไม่ใช่วิปัสสนาญาณเกิด หรือเรียกว่าญาณแจกปัจจัยแห่งรูปนามที่กำหนดรู้ปัจจัยแห่งนามรูป ดุจนายแพทย์ค้นหาสมุฏฐานของโรค เมื่อแสวงหาเหตุก็จะเห็นว่า รูปนามเกิดจากธรรม ๕ อย่างคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม และอาหาร เป็นเหตุให้เกิดรูปปัจจัยโดยมีอาหารเป็นปัจจัยอุปถัมภ์รูป ต่อนั้นไปก็จะเห็นเหตุปัจจัยของนามมีจักขุวิญญาณ ฯลฯ เป็นต้น จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเพราะจักขุปสาทะกับรูปารมณ์แสงสว่าง มนสิการ เมื่อประชุมพร้อมกันทั้ง ๔ อย่างจึงเกิดขึ้นได้ แม้โสตวิญญาณชิวหาวิญญาณ ฯลฯ ก็ทำนองเดียวกัน เมื่อเห็นอย่างนี้ก็จะละคลายความสงสัยทั้งปวงเสียได้ ญาณนี้เรียกว่า “กังขา วิตรณวิสุทธิ” คือมีความรู้ความเห็นอันบริสุทธิ์ข้ามพ้นความสงสัยเสียได้
๓. สัมมสนญาณ คือ ปัญญาญาณที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของนามธรรมและรูปธรรมเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แยกออกเป็น ๔ นัย คือ
(๑) กลาปสัมมสนนัย เห็นชัดถึงรูปอดีต ปัจจุบัน อนาคต รูปภายใน-นอก รูปหยาบ-ละเอียด รูปใกล้-ไกล รูปเลว-ประณีต ทั้งหมดเป็นอนิจจังสิ้นไปถ่ายเดียวไม่มีกลับ
(๒) อัทธานสัมมสนนัย เห็นรูปนามในอดีตไม่เป็นปัจจุบัน รูปนามปัจจุบันไม่เป็นอนาคต รูปภายในไม่เป็นรูปภายนอก ฯลฯ เป็นต้น มีเหตุปัจจัยกันอยู่ ปัจจุบันดี อนาคตดี ปัจจุบันชั่ว อนาคตชั่ว อุปมาเหมือนดวงตราเมื่อประทับลงในกระดาษนั้นรูปตราปรากฏอยู่ แต่ดวงตราหาติดกระดาษไม่
(๓) สันตติสัมมสนนัย พิจารณาเห็นรูปร้อนหายไปรูปเย็นเกิด รูปเย็น-ดับรูปร้อนเกิด รูปนามไม่เที่ยงเป็นอนัตตา
(๔) ขณสัมมสนนัย เห็นความเกิดดับกันอยู่เรื่อยไป ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่งนอน และเห็นว่า ขันธ์ ๕ เกิด เพราะ อวิชชาเกิด ขันธ์ ๕ ดับ เพราะอวิชชาดับ เมื่อพระโยคีหรือผู้ปฏิบัติเจริญวิปัสสนาญาณเห็นความเกิดดับของรูปนามดังกล่าวมานี้ วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ได้แก่ โอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิสุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐานะ อุเบกขา และนิกันติ ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ถ้ามีสติติดต่อกันจริงๆ แล้ว วิปัสสนูปกิเลส อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ตั้งแต่ญาณ ๑ถึงญาณ ๓ นี้เรียกว่า “ญาตปริญญา” คือ ปัญญาที่ประจักษ์ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏโดยสภาพไม่ใช่ตัวตน เป็นพื้นฐานให้น้อมพิจารณา ลักษณะของรูปนามอื่นเพิ่มขึ้น
๔. อุทยัพพยญาณ คือ ญาณที่เกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละประเภทอย่างชัดเจนยิ่ง รูปนามที่เกิดสันตติขาดเป็นห้วงๆ ประหนึ่งคนแกว่งธูป เมื่อแกว่งเร็วก็เกิดดับติดๆกันไป เราเห็นควันธูปเป็นไม่ดับ แต่ที่แท้ควันธูปดับอยู่เสมอ เรียกญาณนี้ว่า “ตีรณปริญญาญาณ” คือ ปัญญาที่พิจารณาลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏเสมอกันทั้ง ๖ ทวาร ไม่เจาะจงฝักใฝ่มุ่งหวังเฉพาะรูปนามใดรูปนามหนึ่ง ความสมบูรณ์ของปัญญารู้ชัดเสมอกันอนึ่ง ญาณนี้เมื่อสมาธิมากขึ้น นึกอยากจะเห็นอะไรก็เห็นหมด จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นย่อมจะเป็นนิมิตมาให้เห็นได้ทั้งนั้น ฉะนั้นต้องระวังให้มากอย่าอยากเห็นเป็นอันขาด เพราะจะทำให้วิปัสสนารั่วและจะเสียปัจจุบันธรรม ทางนั้นเป็นสมถะไม่ใช่วิปัสสนา
๕. ภังคญาณ คือ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความไม่มีสาระของการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่ปรากฏเป็น “ปหานปริญญา” คือ ปัญญาที่รอบรู้เพิ่มขึ้นละคลายความยินดีในนามรูป เห็นโทษของนามรูปเพิ่มขึ้น ละวิปลาสเสียได้ คือ ละความเห็นว่าเที่ยง ว่าสุข ว่าเป็นตัวตน ว่าสวย ว่างาม ๖. ภยญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัวดุจราชสีห์
๗. อาทีนวญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นรูปนามมีแต่โทษไม่มีคุณดุจเรือนไฟที่ติดทั่วแล้วฉะนั้น
๘. นิพพิทาญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายละคลายความเห็นที่เห็นชอบที่เคยมาแล้ว
๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณาให้จิตใคร่จะพ้นไปจากรูปนาม ดุจมัจฉาอยากจะพ้นข่าย ไม่อยากมีรูปนาม
๑๐. ปฏิสังขาญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณารูปนามซ้ำเพื่อทำอุบายให้พ้นจากรูปนามนั้นเสีย
๑๑. สังขารุเปกขาญาณ คือ ปัญญาที่รู้ชัดในความวางเฉยในรูปนามรู้ว่ารูปนามเป็นวิบาก ไม่เป็นของที่จะละได้ จะต้องเป็นอยู่อย่างนี้เป็นธรรมที่ให้ต้องกำหนดรู้ เรียกว่า “ปริญเญยกิจ” ๑๒. สัจจานุโลมิกญาณ คือ ญาณปัญญาที่มีกำลังพอที่จะเห็นอริยสัจเรียกว่า “ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ” คือ มีความรู้อันบริสุทธิ์ดำเนินไปโดยลำดับ
๑๓. โคตรภูญาณ คือ ญาณที่ตัดกระแสเชื้อของปุถุชนหน่วงนิพพานเป็นอารมณ์ ทำลายโคตรปุถุชน หยั่งลงสู่อริยโคตร
๑๔. มัคคญาณ คือ ญาณปหานกิเลสเป็นสมุจเฉท เป็นพระอริยบุคคล
๑๕. ผลญาณ คือ ญาณเสวยวิมุตติสุขอันเป็นวิบากของมรรค
๑๖. ปัจจเวกขณญาณ คือ ญาณพิจารณารู้กิเลสที่เหลือและหมดไปในผลปริโยสาณ จิตหยั่งลงสู่ภวังค์ พิจารณากิเลสที่ละแล้ว พิจารณากิเลสที่เหลืออยู่ ว่ากิเลสเหล่านี้เราละแล้ว อวสานพิจารณา ถึงอมตะนิพพานว่า ธรรมที่เราแทงตลอดแล้วที่มา http://thai.mindcyber.com/buddha/why2/1121.php
ผมแนบไฟล์หนังสือ "วิปัสสนาภูมิ" มาให้ครับ