กลยุทธ์มารพระพุทธศาสนา: ยุทธวิธีนารีพิฆาต
แผ่นดินไทย เป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นคนในชาติควรจะหวงแหน เยี่ยงบรรพบุรุษ เพราะเราไม่มีแผ่นดินที่จะเลือกอีกแล้ว ถ้าชาติอยู่ไม่ได้ ศาสนาก็อยู่ไม่ได้นารีพิฆาต เป็นแผนหนึ่งหลายแผนที่ศัตรูใช้เป็นอุบายบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา โดยใช้นารีรูปงามมายั่วยวนให้พระสงฆ์ต้องเสพกาม หรือต้องอาบัติปาราชิก อันเป็นโทษหนักเท่ากับการประหารชีวิตพระสงฆ์ และเป็นแผนที่สำคัญของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่หวังดีต่อพระพุทธศาสนา หน่วยสืบราชการลับจะเก่งกาจสักเพียงใดก็จับผิดได้ยาก มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยสกัดกั้นได้ คือการกระจายกลวิธีให้พระสงฆ์และพุทธบริษัทได้ทราบ จะได้ระมัดระวังและปฏิบัติตามคำพังเพยที่ว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
แผนนารีพิฆาตมี 2 วิธี คือ ยั่วยวนด้วยกิเลส และ ฆ่าให้ตาย1. ยั่วยวนด้วยกิเลสตัณหา โดยการใช้หญิงสาวหน้าตาดีสวยๆ เข้าไปตีสนิทคลุกคลีกับพระที่มีชื่อเสียง ด้วยการทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาฟังธรรมที่วัดเป็นประจำ ทำตัวเป็นนักบุญ มีศรัทธาในพระอาจารย์ผู้นั้น คอยปฏิบัติเอาใจใส่ดูแลทุกย่างก้าว บางครั้งพระอาจารย์เจ็บไข้ไม่สบาย เป็นโอกาสดีที่หญิงสาวผู้นั้นได้ใกล้ชิดมากขึ้น เอาอกเอาใจพระอาจารย์มากยิ่งขึ้น
พระอาจารย์ก็นึกไม่ถึงเลยว่า "อุบาสิกาผู้นั้น ที่แท้ก็คือเทพธิดาในร่างของยักษินี" นั้นเอง พระอาจารย์ไว้ใจทุกอย่าง ให้ดูแลทรัพย์สินเงินทองของวัด เข้านอกออกในได้อย่างเสรีเหมือนคนอยู่ในบ้านเดียวกัน ดูภายนอกก็คือมหาอุบาสิกาผู้ประพฤติธรรม แต่ในส่วนลึกของเขานั้นคือการทำลายล้างแบบถอนรากถอนโคนทีเดียว ตลอดระยะเวลาที่อยู่ใกล้ชิดพระอาจารย์ นางเทพธิดาจะมีจริตกิริยายั่วยวนพระอาจารย์ด้วยมายาหญิง แสดงอาการโป๊เปลือย วับๆ แวมๆ ให้เห็น
ในที่สุดตบะพระอาจารย์ก็แตก พ่ายแพ้แก่กิเลสมาร ตกเป็นทาสของตัณหา ถึงขั้นเสพเมถุน นั้นคือชัยชนะของเขา แต่เป็นความปราชัยหายนะของคณะสงฆ์ เมื่อแผนนารีพิฆาตสำเร็จ นั้นหมายถึงเงินก้อนใหญ่ที่ศัตรูหยิบยื่นให้ และนอกเหนือจากนั้นพระอาจารย์ยังจะต้องเสียสินบนให้กับนางยักษินีอีกต่อหนึ่งด้วยแผนนารีพิฆาต พึงทราบว่า ไม่ใช่กระทำกันวันสองวัน เขาจะทำโดยการใช้เวลาเป็นแรมเดือนแรมปี จะขอยกตัวอย่างแผนนารีพิฆาตที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์ในต่างจังหวัดให้ได้ทราบ
รายที่ 1 ในจังหวัดหนองคาย พระอาจารย์ชื่อดังได้หลงเสน่ห์แม่ชีสาวชาวสิงคโปร์ ซึ่งมาบวชชีด้วยความศรัทธาเลื่อมใสในพระอาจารย์ ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาตามทำนองที่กล่าวแล้วในที่สุดความใกล้ชิด ตบะพระอาจารย์แตกต้องศีลวิบัติสึกออกมา เมื่อสึกแล้วแม่ชีกลับเมินเฉยไม่สนใจ พระอาจารย์ต้องอกหักเพราะหลงรักแม่ชีสิงคโปร์ และแล้วแม่ชีสิงคโปร์รายนี้ก็ล่าเหยื่ออื่นๆ ต่อไปอีกรายที่ 2 เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดสกลนคร มีอุบาสิกาสาวสวยหน้าตาแฉล้มคนหนึ่ง มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระอาจารย์ยิ่งนัก ในที่สุดได้โกนหัวนุ่งขาวห่มขาวบวชเป็นชี หมั่นปฏิบัติพัดวีพระอาจารย์ ไม่นานเท่าไร แม่ชีสาวได้สนิทสนมกับพระอาจารย์ เข้านอกออกในได้สนิท เพราะความเคร่งของแม่ชี ในที่สุดความสวยของแม่นางยักษินีก็พร่าพรหมจรรย์ของพระอาจารย์สำเร็จ รายนี้สืบทราบมาว่าเป็นสาวญวน ปลอมแปลงมาทำลายโดยตรงรายที่ 3 ในจังหวัดอุบลราชธานี ข่าวนี้ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว คือกรณีที่พระกับแม่ชีถือวัตรปฏิบัติ ชนิดช่วยกันขัดสีฉวีวรรณ (ถูเนื้อถูตัว) ให้กันและกันได้ ข่าวนี้ลงเอยอย่างไรไม่ทราบชัด
2. ฆ่าให้ตาย ศัตรูใช้แผนนารีพิฆาตไม่สำเร็จ พระอาจารย์กามตายด้านหรืออายุมาก ใช้มายาหญิงไม่สำเร็จ ศัตรูจะใช้แผนที่ 2 คือฆ่าให้ตาย ด้วยการวางยาพิษให้กิน ในที่สุดพระอาจารย์ก็ตาย ได้ทำสำเร็จมาหลายรายแล้ว
ใช้ยาปลุกเซ็กส์ผสมในเครื่องดื่ม
แฉแผนนารีพิฆาตที่ฝ่ายมุ่งทำลายพระพุทธศาสนานำมาใช้สำหรับทำลายพระดัง เช่นพระนักเทศน์ พระนักปฏิบัติและพระนักพัฒนา ที่ประชาชนชาวพุทธศรัทธา โดยสาวกของฝ่ายตรงข้ามจะใช้วิธีการหลายอย่าง ทั้งนี้เพื่อให้พระพุทธศาสนาติดลบ ขาดสมณศากยบุตรภัยที่มีต่อพระพุทธศาสนาจากลัทธิศาสนาอื่นทวีความรุนแรงมากขึ้น ในหลายแผนหลายวิธีของการบ่อนทำลาย วิธีที่เรียกว่า "แผนนารีพิฆาต" เป็นวิธีหนึ่งที่มุ่งใช้ทำลายพระสงฆ์มีชื่อเสียง ทั้งสายเผยแพร่และสายปฏิบัติ โดยอ้างชมรมพุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสานบังหน้า เขาปฏิบัติธรรมทำงานเป็นทีมทั้งหญิง-ชาย
โดยใช้สาวสวยเป็นตัวประกบติด หาโอกาสวางยาทำลายประสาทและปลุกเซ็กส์อย่างรุนแรง เช่นทิงเจอร์ที่ใช้ผสมพันธุ์ม้า ใส่ในเครื่องดื่มให้ฉัน พระไม่รู้ฉันเข้าไปจะเกิดอาการความจำเสื่อม บ้าคลั่ง กระสันทนไม่ไหวต้องเสพกามกับแม่ชีที่ถูกวางยาด้วยกัน บาปกรรมความลับแตกเพราะปากตัวเอง พระป่าเตือนให้ระวังทั้งอาหารและบุคคลเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2535 พระคำสอน ทีปธมฺโม วัดถ้ำพระธาตุโพธิ์ทอง ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม พรรษา 10 เป็นศิษย์ของพระอาจารย์บุญมี ปิยธมฺโม เจ้าอาวาสซึ่งพระคำสอนทำการแทนเจ้าอาวาสที่กำลังอาพาธอยู่ ได้ให้สัมภาษณ์ชี้แจงแก่ชาวพุทธกลุ่มหนึ่งโดยมีการบันทึกเสียงไว้ถึงแผนการทำลายพระพุทธศาสนาของบางลัทธิศาสนา
โดยมุ่งทำลายพระสงฆ์ที่ดังและมีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั้งหลาย ทั้งสายเผยแผ่และพระสายปฏิบัติ โดยการทำให้พระเสียชื่อเสียง แม้กระทั่งให้เสื่อมเสียจิตประสาทและถึงตายในที่สุดในเรื่องดังกล่าวนี้หนังสือพิมพ์สารชาวพุทธได้รับเทป 2 ม้วนเกี่ยวกับการชี้แจงเรื่องดังกล่าว จึงเห็นว่าควรที่จะนำออกเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ จะเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามาก โดยเฉพาะเพื่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา และเพื่อพุทธบริษัทได้รับทราบ และได้ตื่นตัวช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจังเสียที เพราะการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนานี้ทำมานายแล้วมากมายหลายวิธี สำหรับวิธีที่พระคำสอน ทีปธมฺโม ชี้แจงนี้เขาเรียกว่า
"แผนนารีพิฆาต"พระคำสอน ทีปธมฺโม ชี้แจงว่าท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์บุญมี ปิยธมฺโม พระปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน อยู่ที่วัดถ้ำพระธาตุโพธิ์ทอง ที่วัดมีทั้งพระ เณร แม่ชี ประชาชนมาฟังธรรมและปฏิบัติธรรม
ในช่วงปี 2532 กับ 2533 ได้มีคณะชมรมพุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาพอีสาน 4 คน มีชาย 3 หญิง 1 มาที่วัดเพื่อศึกษาธรรมและปฏิบัติ ไปมาไปมาอยู่หลายเที่ยว แต่ละเที่ยวก็อยู่หลายๆ วัน จนถึงขั้นชายคนหนึ่งชื่อ "ผดุง" (ชื่อสมมติ) เข้าบวชพระภาคฤดูร้อน 1 เดือนแล้วสึก จากนั้นผู้ที่มาบ่อยคือหญิงสาวชื่อ "สจรี " (นามสมมติ) ซึ่งบอกว่าเป็นอาจารย์สอนแผนวิทยาศาสตร์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้น ก่อนจะเกิดเหตุมาอยู่หลายวัน พักอยู่กับแม่ชี แม่ชีเห็นอยู่นานผิดปกติก็ถามว่า เมื่อไรจะกลับ ก็ได้รับคำตอบว่า "รอไปก่อน ยังไม่มีกำหนด"
วันหนึ่งพระอาจารย์บุญมีไปงานวัดใกล้ๆ กัน ใครๆ ก็ไป เหลือแต่อาตมากับเณร ปรากฏว่าโยมหญิงสาวคนนั้นไม่ไปด้วย เขารู้ว่าอาตมาจะเดินทางมากรุงเทพ ฯ เพื่ออบรมพระสังฆาธิการ จึงชงโอวัลตินมาถวาย 2 แก้ว ท่านอาจารย์บุญมีเคยสั่งว่าเครื่องดื่มประเภทอาหารเสริมถ้าไม่มั่นใจก็อย่าได้ฉัน แต่โยมหญิงสาวคอยดูอยู่ อาจจะเพื่อรอรับพรหรืออย่างไร อาตมาจึงฉันโอวัลตินแก้วนั้น เมื่อมาอบรมพระสังฆาธิการเสร็จ สังเกตตัวเองว่าความจำไม่ดีเหมือนแต่ก่อน ปาฏิโมกข์เคยว่าได้คล่องก็ตะกุกตะกัก บางสิกขาบทจำไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนี้
พอกลับถึงวัดไม่พบท่านอาจารย์เจ้าอาวาส พบแต่จดหมายที่พระมอบให้ท่านดู ท่านอาจารย์มอบให้ดูแลวัดแทนด้วย แต่นั้นท่านหายไปไหนเมื่อไรไม่ได้บอก แม่ชีก็หายไปด้วย ทำไมครูบาอาจารย์ไม่อยู่ มีอะไรเกิดขึ้นจะปรึกษาใครต่อมาทราบข่าวอาจารย์ไปอยู่วิเวกอู่ล้อมข้าว อำเภอเขมราช จังหวัดอุบลราชธานี แม่ชีไปด้วย ชาวบ้านที่ไปฟังธรรมบอกว่าท่านอาจารย์เลอะๆ เลือนๆ เหมือนเสียสติไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เป็นอะไรไป ผิวพรรณเศร้าหมอง อาตมาไปเยี่ยมก็เห็นเช่นที่ชาวบ้านพูด ท่านอาจารย์เป็นไปเช่นนี้เพราะอะไร ใครๆ ก็สงสารอาจารย์ที่ตนนับถือ แต่ไม่รู้จะช่วยท่านอาจารย์ได้อย่างไร
ส่วนโยมผู้หญิงก็คอยอยู่ใกล้ จนชาวบ้านผิดสังเกต ช่วงนั้นมีข่าวลือว่าจะมีแม่ม่ายมาเอาผู้ชาย ก็ลือไป เมื่ออาตมากลับวัดที่บ้านแก้ง ก็ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์จะสึกวันรุ่งขึ้น แม่ชีก็กลับมาวัดขอสึกเหมือนกัน แต่คืนก่อนที่แม่ชีจะกลับมาสึกนั้น ที่อู่ล้อมข่าวมีแสงประหลาดปรากฏให้เห็นโยมหญิงสาวที่นั่งสมาธิอยู่ด้านหน้าอาจารย์ ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้ววิ่งไปทางด้านหน้าผาปากก็พูดว่า "คิดว่าจะสำเร็จก็ไม่สำเร็จอีก" ชาวบ้านที่คอยดูแลท่านอาจารย์ได้ฟังกันทั่ว และเข้าใจกันว่าที่ท่านอาจารย์ต้องมีอันเป็นไปนั้นมันต้องมาจากจุดนี้ แต่ก็จำใจไปเหนี่ยวรั้งเอาตัวมาเพื่อไม่ให้ตกหน้าผา
รุ่งขึ้นอาจารย์ก็เดินทางไปสึกกับอาตมาที่วัดก็เลอะเลือน ให้กล่าวคำลาสิกขาก็กล่าวไม่ได้แม้ว่าตกลงให้สึกได้แล้ว ให้สมาทานศีลห้าก็เลอะเทอะ "สีเลน สุคติง ยันติ" พออาตมาว่า ก็ว่าตามอาตมา อย่างนี้ได้อย่างไร ? อาตมาเลยต้องพูดไห้ดังว่า "ตรงนี้เขาให้หยุดไง ไม่ใช่ให้ว่าตาม จงรู้ไว้ว่าแม้ศีลห้าปฏิบัติก็พ้นทุกข์ได้" ดูเหมือนแม่ชีจะได้สติ อาตมาเลยให้ไปจุดธูปเทียนบูชาพระบรมสารีริกธาตุ แม่ชีปฏิบัติตามกลับมานั่งพักเงียบรุ่งเช้าให้แม่ชีมาพบดูอาการดีขึ้น จึงถามว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกัน ที่วุ่นวายเสียหายอย่างนี้ แม่ชีจึงค่อยเล่าให้ฟังช้าๆ ท่านอาจารย์เดินทางไปสึกแล้วที่บ้านเดิมวานนี้ และให้ดิฉันมาสึกที่วัดนี้ ท่านจงสังเกตหญิงสาวคนนั้น ท่านอาจารย์ก็ดี ฉันก็ดีต้องมีสภาพดังที่เห็นๆ กัน ก็เพราะเครื่องดื่มผสมยาอย่างหนึ่งเป็นแน่ และอีกส่วนหนึ่งต้องเป็นยาที่กระตุ้นให้เกิดความกำหนัดอย่างรุนแรง จนเหลือจะทนจนควบคุมไม่อยู่ท่านอาจารย์กับดิฉันจึงล่วงละเมิดศีลแก่กัน
เมื่อรำลึกว่าผิดไปแล้วก็ต้องสึก ทำให้อาตมานึกขึ้นได้ว่าความจำเสื่อมไปก็คงเพราะเจ้าโอวัลตินแก้วนั้นนั่นเอง ส่วนท่านอาจารย์และแม่ชีคงจะโดนเข้าอย่างหนักครบเครื่องที่เขาต้องการเป็นแน่ข่าวนี้รู้กันทั่วไปโดยเฉพาะนาแก และเขมราช เกี่ยวกับท่านอาจารย์บุญมีนี้ คณะสงฆ์ประชุมกันถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 ประชุมกันที่อำเภอสว่างดินแดน หลวงปู่คำหล้าที่ท่านชี้แจงกับทางคณะสงฆ์ให้พิจารณาตามหลักอธิกรณสมถะพร้อมหลักฐานจากพระไตรปิฏกที่อาตมาฝากหลวงพ่อสมัยไปถวาย คณะสงฆ์ลงมติว่าการกระทำในขณะวิกลจริตปรับอาบัติไม่ได้ ท่านอาจารย์ยังไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ
ขณะนี้ท่านอาจารย์บุญมีกำลังอยู่ในระหว่างรักษาตัวด้วยสมุนไพรอย่างหนึ่ง (เป็นหัวสมุนไพร) อาการดีขึ้น ทั้งด้านสุขภาพกายและสมอง ต่อมามีฝรั่งมาขอซื้อสมุนไพรหัวนั้นราคา 6 หมื่นบาท เจ้าของถามท่านอาจารย์บุญมีแล้วไม่ยอมขายให้ อาตมาคิดว่าเขาคงจะซื้อไปวิจัยเพื่อการทำงานบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาของเราอีกส่วนชายสามหญิงหนึ่ง ที่มาสร้างปัญหาขึ้นครั้งนี้ยังมีอยู่คนเดียวมาดูลาดเลาที่วัดครั้งหนึ่งแล้วหายกันไปหมด พวกเขาคงกลัวอันตรายก็ได้ และที่อาตมาได้รับการบอกเล่านั้น ผู้หญิงสาวคนนั้นไม่หยุดอยู่ แต่จะตกหน้าผาตายเท่านั้น ไปบอกอาจารย์ทูลว่า พระอาจารย์บุญมีได้เสียกับตน อาจารย์ทูลท่านก็ฟังเฉยไปบอกหลวงปู่คำหล้าท่านก็ได้แต่ฟังไว้ ต่อมาถึงขั้นไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากทานเจ้าคุณวัน ว่าท่านอาจารย์บุญมีทำตนมีท้องได้สามเดือนแล้ว ขอให้จัดการให้ด้วย ท่านเจ้าคุณวันก็รับฟังไว้ ดูๆ คล้ายกับนางจิญจมาณวิกาใส่ร้ายพระพุทธเจ้า
คอยฟังข่าวก็ไม่เห็นออกลูกสักที ที่น่าห่วงก็คือตอนนี้พยายามไปๆ มาๆ ที่อาจารย์ทูล อาตมาตั้งใจว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ ทนเงียบมาหนึ่งปี แต่เมื่อกลุ่มพุทธบริษัทต้องการทราบ ก็ต้องพูดว่าลัทธิศาสนาอื่นเขามุ่งร้ายบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาอีกวิธีหนึ่งขอพระดังสายปฏิบัติและสายเผยแผ่ โปรดระวังด้วยเถิด เรื่องนี้อาตมาได้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน บางอย่างเก็บไว้ที่วัด (เรื่องที่เสนอท่านผู้อ่านนี้เป็นเพียงบางประเด็น จากเทปยาว 1 ชั่วโมง 15 นาที หากท่านได้ฟังจากเทปเองจะสลดใจยิ่งกว่านี้ และอาจจะคิดว่าในฐานะชาวพุทธควรจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว เพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา กองทุนการศึกษาเมตตาธรรมจึงได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น หนังสือยุทธวิธีนารีพิฆาตจึงได้เกิดขึ้นมาตามความต้องการของพุทธบริษัทผู้ห่วงใยพระพุทธศาสนา)
อ้างอิง
กลยุทธ์มารพระพุทธศาสนา, กลุ่มธรรมานุรักษ์จัดพิมพ์, พิมพ์ครั้งที่ 1
http://community.thaiware.com/index.php/topic/317159-aoecoooaoosou/