ประวัติสมเด็จหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
ขอบคุณภาพจากwww.panyathai.or.th/
หลวงปู่ทวด หรือ สมเด็จพะโคะ มีนามเดิมว่าปู เป็นบุตรนายหู นางจัน วันเดือนปีเกิดของเด็กชายปู บ้างว่าเป็นเดือน ๔ ปีมะโรง ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๒๕ บ้างว่าปี พ.ศ. ๙๙๐ ฉลู สัมฤทธิศก บ้างว่า พ.ศ. ๒๑๓๑ โดยอนุมาน เข้าใจว่าคงเป็นปลายสมัยมหาธรรมราชา อาจเป็นปี พ.ศ. ๒๑๒๕ หรือ ๒๑๓๑
ตอนเด็กชายปูยังเป็นทารก มีเรื่องเล่าเป็นปฏิหาริย์เอาไว้ว่า หลังจากนางจันเลิกอยู่ไฟก็ออกเกี่ยวข้าวทันที วันหนึ่งนางไปเก็บข้าวก็เอาบุตรให้นอนในเปลใต้ต้นหว้า งูบองหลาขึ้นมานอนบนเปลนั้น มารดาบิดามาเห็นตกใจ งูก็เลื้อยหายไป แต่ได้คายแก้ววิเศษเอาไว้ให้
เมื่อเด็กชายปู อายุได้ ๗ ขวบ บิดาได้นำไปฝากกับท่านสมภารจวง ซึ่งเป็นพี่ชายของนางจันผู้เป็นมารดา (หลวงลุง) วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือ เด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ ๑๐ ขวบ ก็บวชเป็นสามเณร และบิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับพระชินเสนที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญ และมีชื่อเสียงมากมาจากกรุงศรีอยุธยา
เมื่ออายุได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ต่อมาก็ได้เข้ารับการอุปสมบทมีฉายาว่า "ราโมธมฺมิโก" แต่คนทั่วๆ ไปเรียกว่า "เจ้าสามีราม"' เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆ อีกหลายวัด เมื่อเห็นว่า การศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอ จึงได้ขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา
ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดคลื่นลมทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ ต้องทอดสมออยู่ถึง ๗ วัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมด บรรดาลูกเรือจึงตั้งข้อสงสัยว่า การที่เกิดอาเพศในครั้งนี้เป็นเพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะ ได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด

ขอบคุณภาพจากwww.moohin.com/
ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ท่านได้ห้อยเท้าซ้ายแช่ลงไปในทะเล ก็บังเกิดอัศจรรย์ น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่ม ก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้น เจ้าสามีรามเป็นชีต้น หรืออาจารย์ของเจ้าสำเภาอินสืบมา
อภินิหารที่ท่านสามีรามเหยียบน้ำทะเลจืดเป็นที่โจษขานมาถึงบัดนี้ และเหตุการณ์ตอนนี้เล่าเสริมพิสดารขึ้นว่า ตอนแรกนายอินเชื่อมั่นว่า พระสามีรามเป็นกาลกิณี เรือจึงต้องพายุ เพราะก่อนมาไม่เคยเป็น เมื่อคลื่นลมสงบ จึงคิดจะเอาเจ้าสามีรามปล่อยเกาะ แต่ครั้นเห็นปาฏิหาริย์จึงขอขมาโทษ ส่วนอภินิหารอีกทางหนึ่งเล่าสืบกันมาว่า ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านเดินอยู่ชายทะเล พวกโจรสลัดเห็นเข้าจึงใคร่จะลองดี ได้จับท่านใส่เรือ ชั่วครู่ก็เกิดอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่คลื่นสงบแต่เรือแล่นไปไม่ได้ ออกแล่นก็วนเวียนอยู่ที่เดิม ในที่สุดน้ำจืดที่มีอยู่ได้หมดลง ท่านนึกสงสาร
จึงแหย่เท้าซ้ายลงในน้ำ แล้ววักน้ำขึ้นล้างหน้าและดื่มกิน พวกโจรเห็นจึงลองดูบ้าง เห็นเป็นน้ำจืดจึงช่วยกันตักเอาไว้ แล้วกราบขอขมาโทษ นำท่านส่งขึ้นฝั่ง ขณะที่เดินทางมาได้หยุดพักเหนื่อย เอาไม้เท้าพิงไว้กับต้นยางซึ่งขึ้นเคียงคู่กัน ต่อมายางนั้นก็คดเยี่ยงไม้เท้านั้น บัดนี้ยางนั้นเรียกว่า "ยางไม้เท้า" เล่ากันว่าเมื่อถึงวัยชรา ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์หายไปพร้อมกับสามเณรน้อยองค์หนึ่งซึ่งนำดอกไม้ทิพย์ออกติดตามหาพระศรีอาริย์จนได้พบท่าน และในคืนวันเพ็ญนั้นเอง ชาวบ้านได้เห็นดวงไฟกลมโตบนท้องฟ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีงดงามมาก กระทำทักษิณาวัฎอยู่ ๓ รอบ แล้วหายไปทางทิศอาคเนย์ ชาวบ้านจึงแน่ใจว่าท่านได้ไปสู่พระนิพพานแล้ว เหตุการณ์นั้นล่วงเลยมาหลายร้อยปีแล้ว
ในยุคนี้และสมัยนี้ เกือบจะไม่มีชาวไทยคนใดเลย ที่จะไม่ได้ยินหรือได้ฟังกิติศัพท์เล่าลือเกี่ยวกับ ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ความศักดิ์สิทธิ์อันนี้ บ้างก็เป็นเรื่องของการคลาดแคล้วจากอุบัติเหตุสยอง จากไฟไหม้ หรือจากภัยพิบัตินานานับประการ และหลวงพ่อทวดมิใช้จะคุ้มครองเฉพาะในด้านอุบัติเหตุเท่านั้น แม้แต่ในทางโชคลาภก็ให้ผลอย่างดีที่สุด ดังที่ได้ประจักษ์แก่ผู้เสื่อมใสมาแล้ว[/size]
ที่มา
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/หลวงปู่ทวด_วัดห้วยมงคล