ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ซาตาน กับ พญามาร หรือ ไม่ คือ บุคคลเดียวกันหรือไม่ครัีบ  (อ่าน 4940 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ยอดชาย

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 96
  • ยอดชายแท้ ก็คือยอดมนุษย์
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ซาตาน กับ พญามาร หรือ ไม่ คือ บุคคลเดียวกันหรือไม่ครัีบ

ตามหัวข้อเลยนะครับ อยากรู้ครับ มีหลักฐาน อะไรทางพระไตรปิฏก กล่าวถึงเรื่องนี้หรือไม่ครับ

แล้ว ซาตาน กับ พญามาร เป็นผู้ทำลายโลก ใช่หรือไม่ครับ

 :c017:

บันทึกการเข้า
ลูกผู้ชายนักสู้

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
ซาตาน กับ พญามาร น่าจะเป็นบุคคลเดียวกัน นะคะ

หรือ จะมีมารหลาย ตน ทำหน้าที่ และชื่อต่างกันไป

 :s_hi:
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28906
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ขอบคุณภาพจากhttp://4.bp.blogspot.com/

Satan n.เซ-ทัน ตัวมารในคริสต์ศาสนาที่ล่อมนุษย์เพื่อให้ทำบาป,(M) เทวทัต

อ้างอิง ดิคชั่นนารี  อังกฤษ-ไทย (สอ เสฐบุตร)



มาร ๕ (สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุ ผลสำเร็จอันดีงาม)

๑. กิเลสมาร (มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต)

๒. ขันธมาร (มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ ๕ เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง)

๓. อภิสังขารมาร (มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ ชรา เป็นต้น ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์)

๔. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่ามาร เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญ เสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้)

๕. มัจจุมาร (มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส ที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย )


อ้างอิง วิสุทฺธิ.๑/๒๗๐; เถร.อ. ๒/๒๔,๓๘๓,๔๔๑; วินย.ฎีกา. ๑/๔๘๑


พระยามารที่มีเรื่องราวปรากฏบ่อยๆ ในคัมภีร์ คอยมาแทรกแซงเหตุการณ์ต่างๆ ในพุทธประวัติ เช่น ยกพลเสนามาผจญพระมหาบุรุษในวันที่จะตรัสรู้ พระองค์ชนะพระยามารได้ด้วยทรงนึกถึงบารมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฏฐาน เมตตา อุเบกขา มารในกรณีเช่นนี้
 
บางทีท่านอธิบายออกชื่อว่าเป็น สวัตดีมาร ซึ่งครองแดนหนึ่งในสวรรค์ชั้นสูงสุด แห่งระดับกามาวจรคือปรนิมิตวสวัตดี เป็นผู้คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้มิให้ล่วงพ้นจากแดนกามซึ่งอยู่ในอำนาจครอบงำของตน


ที่มา  พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม และประมวลศัพท์(ป.อ.ปยุตโต)


ขอบคุณภาพจากhttp://download.buddha-thushaveiheard.com/

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

มารธีตุสูตรที่ ๕

             [๕๐๕] ครั้งนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา
จึงพากันเข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงถามพระยามารด้วยคาถาว่า


                          ข้าแต่คุณพ่อ คุณพ่อมีความเสียใจด้วยเหตุอะไร หรือ
                          เศร้าโศกถึงผู้ชายคนไหน หม่อมฉันจักผูกผู้ชายคนนั้นด้วย
                          บ่วง คือราคะ นำมาถวาย เหมือนบุคคลผูกช้างมาจากป่า ฉะนั้น
                          ชายนั้นจักตกอยู่ในอำนาจของคุณพ่อ ฯ

             [๕๐๖] พระยามารกล่าวว่า
                          ชายนั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้
                          อันใครๆ พึงนำมาด้วยราคะได้ง่ายๆ ก้าวล่วงบ่วงมาร
                          ไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงเศร้าโศกมาก ฯ


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  บรรทัดที่ ๔๐๑๐ - ๔๑๓๖.  หน้าที่  ๑๗๔ - ๑๗๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=4010&Z=4136&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=505
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 17, 2011, 09:19:12 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ทางคริสต์เขาไม่เชื่อเรื่องพระยายมราชครับ ผู้มีสิทธิ์พิพากษาบาปของมนุษย์คือพระเจ้าเท่านั้น...

ซาตานของคริสต์ ก็คือ Angel องค์หนึ่งชื่อ ลูซิเฟอร์ ซึ่งเห็นว่าตนควรได้รับความเคารพแทนพระเจ้า...

สรุปเป็นเรื่องคนละความเชื่อครับ...

ซาตาน มาขัดขวางพระเยซู ครับ ในถิ่นทุรกันดาร
ส่วน เทพบุตรมาร  มาขัดขวางพระพุทธเจ้า ตอนจะบรรลุ
คนละคนกัน แต่ก็ไม่รู้  เหมือนกัน ทางคริสต์ถือว่า ซาตานมี
อำนาจเต็มในโลกนี้   ส่วนเทพบุตรมาร ทางพุทธ ก็คือ พวก
เทพชั้นสูงเหมือนกัน   ทั้ง สอง มีความงดงาม และอำนาจมาก

ต่อมาเทพบุตรมาร  โดนพระอุปคุปต์ ทรมานเลยกลับใจครับ
อยากเป็นพระโพธิสัตว์ 
ส่วนซาตาน ได้แต่รอวันลงนรก

สวรรค์ทางคริสต์ ถือว่าเที่ยงแท้เพราะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดครับ
ทางพุทธบอกว่าสวรรค์เป็นแค่ภพนึง  การมองต่างกันครับ เวียนว่ายไปเรื่อย


มาร ที่หมายถึง เหล่ามารที่อยู่บนสวรรค์ ซึ่งเป็นคัตรูกับพวกเทวดา และบางครั้งก็เบียดเบียนมนุษย์ด้วย
    ซึ่งพระยามารนี้เองที่มาเบียดเบียนพระพุทธเจ้าครั้งสำคัญ 3 ครั้งคือ
    - ตอนเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช พระยามารได้ห้ามไว้โดยเอาตำแหน่งจักรพรรดิ์มาล่อ แต่ท่านไม่สนใจ
    - ในวันที่ท่านจะตรัสรู้ พระยามารก็ยกพวกมาไล่ โดยอ้างว่าที่ตรงนั้นเป็นของมัน แต่สุดท้ายมารก็พ่ายแพ้ไป
    - พอ 45 ปีผ่านไป พระยามารก็มาขอให้พระพุทธเจ้ารีบปรินิพพาน คราวนี้พระพุทธเจ้าจึงตัดสินใจปลงสังขาร และปรินิพานในอีก 3 เดือนต่อมา
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

ซาตาน


พญามาร
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ