น่าเสียดายนะครับ กิจกรรม ที่คนร่วมกัน แต่เพราะความเห็นบางอย่างไม่ตรงกันอันนี้ ก็ต้องแสดงความเสียใจด้วยครับ แต่เรื่องที่ บอกนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ควรจะเป็น อย่างนี้ก็ต้องมาพิจารณากันครับ
คนบางคนถึงแม้ฟังธรรม ร่วมสมัยกันมา ก็ใช่ว่าจะเข้าใจธรรมจริง ๆ นะครับ
บางคนฟังทุกวัน ก็ใช่ว่า จะถึงธรรม
บางคนนั่งภาวนามามาก ก็ใช่ว่า จะคุณอารมณ์ได้ดี
ดังนั้น พระพุทธเจ้า ตรัสแสดงใน มหาสติปัฏฐาน เป็นเรื่องสำคัญ คือ สติ ระลึกให้ได้
ถ้าฟังธรรมจากพระ อันเป็นครูอาจารย์ ก็ต้องให้ความเคารพในท่านด้วย ไม่ใช่เพียงแต่สักว่า ฟัง
สำหรับกรณีของเพื่อน คุณนั้น ผมว่าลองประชุมกันอีกครั้ง และให้ความเข้าใจกันอีกครั้ง
ผมว่า ในเมื่อทุกคนเห็นด้วยในครั้งแรก และเรื่องที่ไม่ร่วมมือไม่ได้เกี่ยวกันด้วย
คิดว่า ทุกคนยังมีความรู้สึกว่าผิด สิ่งสำคัญที่สุด ถ้าเราจะทำงานใหญ่เพื่อสังคม จริงๆ ไม่ใช่ทำเำพื่อเรา เราเองต้องเป็นฝ่ายไปผูก ( ง้อ ) เราเองก็ต้องคลายทิฏฐิ ชักจูง อีกครั้ง นะครับ ปัญหาถึงจะหมดไปได้ นะครับ
จากประสพการณ์ชีวิตทำงานในวงการราชการของผม
ความไม่ยอมกัน ไม่จำเป็น ต้องเป็นเรื่องใหญ่ แค่เรื่องเล็ก ๆ ก็ลุกลามเป็นเรื่อง ใหญ่โตได้ครับ
ดังนั้น สิ่งสำคัญ ต้องมาทบทวนเป้าหมายของเราก่อน ครับ ว่าเราทำงานครั้งนี้เพื่ออะไร ? เพื่อหาแก่นของงานก่อนครับ ดังนั้นถึงแม้ไม่มีใครร่วมมือมาก เราก็ควรจะเดินงานอันเป็นกุศลนี้ต่อไป
ส่วนเรื่องเพื่อน ๆ ที่แตกแยกออกไป นั้นอย่าหยิบเรื่องอันเป็นปัญหานี้เข้ามาพูดอีก ให้มองข้าม หรืออย่าจุงกับไปเรื่องเก่า เพราะปุถุชนคนทั่วไป ก็ไม่ต้องการเหยี่ยดหยาม ศักดิ์ศรี อยู่นะครับ ดังนั้น
ผมเสนอไว้เพียง 2 วิธี ตามสรุปนะครับ
1.หาเป้าหมายาของงาน คือ แก่นงานก่อน ว่าทำเพื่ออะไร
2.ยินยอมเข้าไปชักชวน ทำตามกำลัง มองข้ามจุดหยุมหยิม ด้วยความอดทน
ขอให้สานต่องานสำเร็จด้วยนะครับ
