คำบางคำก็ผุดขึ้นมา ในระหว่างปฏิบัติธรรม รู้สึกว่าเป็นคำดี ๆ
เผื่อเวลาที่รู้จิต ไม่ถึงฐาน บางทีคำเหล่านี้อาจมีส่วนช่วยได้
"ย่นย่ออย่าเยิ่นเย้อ ย่อหย่อนยิ่งหย่อนยาน"
ระหว่างที่ผมหัดการภาวนาแบบดูจิตใหม่ ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ ภาวนาแบบ
สมถะและพิจารณากายมาตลอด 10 ปี เมื่อมาหัดแบบดูจิตใหม่ ๆ จึงเกิดความ
ฟุ้งซ่านเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเริ่มรู้แบบ "ถูกฝาถูกตัว" แบบที่หลวงพ่อมนตรี
อาภัสสโร สวนพุทธธรม ท่านเรียก หรือที่เรียกอีกแบบหนึ่งว่า "รู้ถึงฐาน"
ซึ่งเป็นศัพท์ของหลวงพ่อ ปราโมทย์ ปราโมชฺโช สวนสันติธรรม
จึงได้เกิดคำนี้ขึ้นมา เหมือนเป็นเครื่องกระตุ้นตัวเราเองว่า ให้ย่นทางและรีบเดิน
"ดูกายเห็นจิต ดูจิตเห็นธรรม"
หลังจากที่ได้ภาวนาแบบดู จิตมาได้ สัก 3 ปี บางทีก็ฟุ้งซ่านมาก
บางวันก็น้อย บางวันก็ฟังธรรมะของหลวงพ่อปราโมทย์ บางทีฟังมากเกินไป
ก็มีแต่คำสอนของท่านขึ้นมามากมาย จึงทำให้ฟุ้งซ่านไปกันใหญ่
(ต้องขอขมาแด่หลวงพ่อด้วยที่ผมพูดตามตรง) แต่เมื่อมันเข้าที่แล้ว
จิตรู้ถึงฐานแล้ว ความโล่งโปร่งเบาก็เข้ามาแทน คำนี้จึงผุดขึ้นมา
เป็นบทสรุปง่าย ๆ ของคำสอนของท่าน
"ดีแล้วพอ พอแล้วดี"
หลังจากได้ ภาวนาแบบดูจิต ได้ 3 ปี บางทีก็มีจิตใจที่เป็นบุญกุศล จึงได้
ตั้งหน้าตั้งตาทำกุศล จนบางทีถึงกับทิ้งการภาวนาไปเลย คิดว่าเอาสติอยู่
กับงานแทน และบางทีก็เตรียมตัว เผื่อเหตุการณ์ในอนาคตมากไปหน่อย
จึงทำให้กังวล เลยทำให้ดูจิต ไม่ถึงฐาน แต่เมื่อคิดว่า ข้าน้อยขอปล่อยวาง
ทุกอย่างแล้ว (โว๊ย) อะไรจะเกิดก็ช่างหัวมัน ทั้งกุศล และอนาคต
จึงทำให้รู้จิตถึงฐานได้ จึงมีคำนี้ผุดขึ้นมา
"โหด หื่น ห่วง"
หลังจากได้ ภาวนาแบบดูจิต ได้ 3 ปี จึงพอจะเข้าใจธาตุแท้ของตัวเอง
ถ้ามันไม่หื่น ก็โหด ที่มันแรง ๆ ก็มี เท่านั้นเอง สลับกันไปอยู่แค่นั้น
จะมากจะน้อยแค่นั้นเอง และถ้าจิตทำท่าจะสงบเมื่อไหร่
ความห่วงจะเข้ามาครอบงำ ดังนั้น ต้องรู้ทัน 3 ตัวนี้ จิตถึงจะรู้ถึงฐานได้
ถ้าไม่เท่าทันความห่วงก็เสร็จมันอีก โดยเฉพาะห่วง "แม่"
"ดูที่จิต"
หลังจากที่ได้เฝ้าเพียร ไปเรียนกับหลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร ที่สวนพุทธธรรม
ไป ๆ มา ๆ อยู่ 4 ปี ท่านจึงได้ถ่ายทอดสุดยอดคาถามา
"ดูที่จิต" ซึ่งสามารถ ตอบได้ทุกคำถาม
ขอเอวัง...ครับ
จากคุณ : ไก่แดง
