ทัวร์"บุญ"สักการะUnseen 9 สิ่งมงคล"งานสมโภช175ปี วัดบวรนิเวศวิหาร" อย่าได้พลาดเชียว!
หากจะพูดถึงวัดหลวงที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีหลายรัชกาล พระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับสังฆราชหลายๆพระองค์ ในกรุงรัตนโกสินทร์มาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง คงจะเป็นวัดอื่นใดไปไม่ได้นอกจาก วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระสุเมรุ บางลำภู เขตพระนคร ที่กำลังจะมีงานสมโภช 175ปี ระหว่างวันที่ 11-15 มกราคม 2555 นี้
ในงานแถลงข่าว "งานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 255 ที่ผ่านมา ณ พระตำหนักเพ็ชร โดย สมเด็จพระวันรัต ประธานคณะกรรมการดำเนินงาน โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ฝ่ายบรรพชิต) ได้บอกเล่าประวัติ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สำหรับกรุงรัตนโกสินทร์มากที่สุดวัดหนึ่งว่า
องค์ผู้สถาปนา-ผู้ปกครองวัด -ผู้เข้ามาบวชประจำอยู่ในพระอารามแห่งนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ราชวงศ์จักรีทั้งนั้นสืบเนื่องมาตั้งแต่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ (วังหน้า) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงมีพระดำริโปรดให้สร้างขึ้น แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน
โดยแต่เแรกเริ่มที่สร้างวัดนี้ขึ้นยังไม่มีพระรูปใดมาจำพรรษา จวบจนกระทั่ง รัชกาลที่ 3 ได้อาราธานาเชิญพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฏสมมติเทวาวงศ์ มาครองวัดนี้ ซึ่งถ้าเทียบในสมัยปัจจุบันก็เหมือนเป็นเจ้าอาวาส
โดยมีการ พระราชทานชื่อ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2379 (ตามปฏิทินสมัยนั้น) และตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายขึ้นที่วัดนี้ เป็นครั้งแรก ได้ทรงบูรณะพระอุโบสถ และโปรดเกล้าฯ ให้ขรัวอินโข่งเขียนภาพฝาผนัง เมื่อรัชกาลที่ 3 สวรรคตใน พ.ศ.2394 รัชกาลที่ 4 ก็ลาผนวช ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อมา
ต่อมาเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่หมดทั้งอารามและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนัก และโรงเรียนมหามงกุฏราชวิทยาลัยขึ้นใหม่ด้วย
วัดบวรนิเวศวิหาร กลายเป็นที่ประทับระหว่างผนวชของพระมหากษัตริย์ รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 , พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ 7 กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ก็ทรงผนวชและประทับที่วัดแห่งนี้ด้วย ถือว่าเป็นวัดที่สำคัญในพระราชวังวัดหนึ่ง
โดยในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้รวมวัดรังษีสุทธาวาส กับวัดบวรนิเวศฯ เข้าด้วยกัน รัชกาลที่ 7 ทรงสร้างกุฏิสงฆ์ รัชกาลที่ 8 ทรงสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม และ ในรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงปฏิสังขรณ์เจดีย์ หอไตร และพระอุโบสถ
การบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ทั่วพระอาราม ทั้งในเขตพุทธาวาส และสังฆาวาส ดำเนินการระหว่างปี พ.ศ.2549-2555 โดยการบูรณปฏิสังขรณ์เป็นไปตามหลักวิชาการ ภายใต้การดูแลและควบคุมโดยเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร เพื่อให้ศาสนสถานและศาสนวัตถุ ดำรงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 องค์ปฐมเจ้าอาวาส
เนื่องในวโรกาสครบ 200 ปี แห่งการพระบรมราชสมภพ วันที่ 18 ตุลาคม 2547 และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปีพ.ศ. 2549 และในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ตลอดจนเพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่อดีตเจ้าอาวาสผู้ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารทุกพระองค์
สมเด็จพระวันรัต เผยว่า ดำเนินการบูรณะศาสนสถานและอาคารต่าง ๆ ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ทั้งสิ้น 44 รายการ รวมงบประมาณที่ใช้ไปในการบูรณะเป็นจำนวนเงินกว่า 800 ล้าน ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธาทรงพระกรุณาโปรดรับโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ตลอดจนพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการบูรณปฏิสังขรณ์ด้วย
นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณทั้งจาก ผู้มีจิตศรัทธา, วัดบวรนิเวศวิหาร, รัฐบาลโดยกรมศิลปากร และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งนับเป็นการร่วมกุศลครั้งใหญ่ จากการร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา และอนุรักษ์ศิลปะของประเทศไทย
กระทั่งปัจจุบัน การบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ดำเนินการแล้วเสร็จบริบูรณ์ จึงได้ร่วมกันจัดงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร ขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม2554 นับเป็นวาระที่สำคัญอย่างยิ่งที่เหตุอันเป็นสิริมงคลของสถาบันหลักของชาติได้มาบรรจบกัน
ด้านนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและอดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองรูปแบบการจัดงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร เผยว่า วัดบวรนิเวศวิหารเป็นวัดทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของไทยมากมาย งานสมโภช 175 ปี ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังเป็นงานที่เผยแพร่องค์ความรู้ต่างๆที่มีคุณค่าภายในวัดให้แก่ประชาชนได้รับทราบอีกมาก ผ่านกิจกรรมสำคัญที่จัดขึ้นภายในและบริเวณโดยรอบวัดบวรนิเวศวิหาร
และในพิธีงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหารนี้ คณะกรรมการวัดบวรนิเวศวิหาร และคณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหารได้ขอพระราชทานทูลเชิญเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระรัศมีทองคำลงยาราชาวดี พระพุทธชินสีห์ และทรงสมโภชพระอาราม ในวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2555 ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร อีกด้วย
ขณะที่กิจกรรมสำคัญอื่นๆ ในเขตพุทธาวาสนั้น ได้เปิดสถานที่สำคัญให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมบูชาพระพุทธรูปสำคัญของชาติ และสิ่งมงคลสักการะ ทั้ง 9 แห่ง เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่พุทธศักราช 2555
โดยทุกท่านที่มีจิตศรัทธาบูชาพระพุทธรูปสำคัญของชาติ และสิ่งมงคลสักการะครบทั้ง 9 แห่ง จะได้รับสิ่งมงคลสักการะที่ระลึก คือ พระพุทธชินสีห์ เนื้อผง ด้านหลังประดิษฐานตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ทำมาจากมวลสารดอกมะลิที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานและกระเบื้องโมเสกพระเจดีย์ รวมถึงคู่มือในการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง 9 แห่งด้วย
"เนื่องด้วยการสมโภชในคราวนี้ เป็นการสมโภชพระรัศมีทองคำลงยาราชาวดี พระพุทธชินสีห์ และสมโภชพระอาราม ซึ่งเป็นงานสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นในพระนคร กรมศิลปากรจึงได้จัดการแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูง ซึ่งจะแสดงในพระราชพิธีสำคัญในราชสำนัก มาร่วมสมโภชในโอกาสดังกล่าว อาทิ โขนรามเกียรติ์ โดยศิลปินกรมศิลปากร, การแสดงละครนอก เรื่องแก้วหน้าม้า, การแสดงรำกิ่งไม้เงินทอง" ประธานคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองรูปแบบรายการจัดงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร กล่าว
นอกจากนี้ ประชาชนผู้เข้าร่วมงานยังมีโอกาสได้รับชมการแสดงมหรสพศิลปะการแสดงพื้นบ้านของไทยที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน อาทิ ลิเกเด็ก คณะเคียงฟ้า ๔ พี่น้อง, การแสดงดนตรี ๔ ภาค, ลำตัดคณะแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ เป็นต้น โดยจะจัดแสดงทุกวัน วันละ 1 รอบ ส่วนบริเวณภายในและภายนอกวัดและยังได้เพลิดเพลินชมงานออกร้าน ชิมอาหารร้านอร่อยย่านบางลำภู และย่านพระนครการแสดงรำกิ่งไม้เงินทอง นาฏศิลป์ชั้นสูงที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน
"อยากให้ประชาชนได้มาเห็น เมื่อวัดบวรนิเวศวิหารประดับไฟจะเป็นอย่างไร ขอบอกว่าคลาดสสิคมาก และเราจะได้เห็นสถาปัตยกรรมของวัดบวรนิเวศที่หลากหลาย ทั้งไทยแท้ดั้งเดิมไทยปนฝรั่ง ฝรั่งจ๋า จีนแขก สวยงามรวมถึงร่วมชมพระพุทธรูปที่ไม่เพียงแต่อยู่ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้น แต่ในวัดบวรนิเวศวิหารมีพระพุทธรูปตั้งแต่สมัยทวารวดีประดิษฐานอยู่ด้วยมากมาย หลายสมัย และทรงคุณค่า เรียกได้ว่า วัดบวรนิเวศวิหารแห่งนี้ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของไทยเราเลยทีเดียว" นายวีระกล่าว
ประชาชนและผู้สนใจสามารถเดินทางมาร่วมชมงาน "สมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร "ได้ในระหว่างวันที่ 11-15 มกราคม 2555 เวลา 09.00 -21.00 น. ณ วัดบวรนิเวศวิหาร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-281-5052 (สำนักงานวัดบวรนิเวศวิหาร (ศาลาเขียว)) หรือ http://www.watbowon.com/
ก่อนที่จะถึงงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร วันจริง มติชนออนไลน์จึงได้เก็บภาพบรรยากาศสถานที่สำคัญต่างๆ ภายในวัด รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 แห่ง ที่จะเปิดให้ประชาชนได้เข้าไปร่วมสักการะ กราบไหว้ บูชาขอพร รวมถึงเรียนรู้ไปกับประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสมัยต่างๆผ่านเรื่องเล่าทางสถาปัตยกรรมอันสวยงามและหลากหลายของวัดแห่งนี้ให้ได้ชมกันด้วย
เป็นการกระตุ้นศรัทธาอันแรงกล้าของพุทธศาสนิกชนรวมถึงศาสนาอื่นๆให้ร่วมรำลึกถึงคุณค่าและความเป็นไทยแบบวิถีชาวพุทธ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สวยงามอยู่ในทุกช่วงความทรงจำของอนุชนรุ่นหลังมิได้เสื่อมคลายตามความเจริญของโลกสมัยใหม่ ที่ก้าวไกลไปกับระบบดิจิตอลเลยจริงๆ...
บูชาพระพุทธรูปสำคัญของชาติ และสิ่งมงคลสักการะ ๙ จุด๑. ไหว้พระคู่บวร ณ พระอุโบสถ
๒. ขอพรพระบรมสารีริกธาตุ บูชาพระไพรีพินาศ ณ พระเจดีย์
๓. อภิวาทพระศรีศาสดา ณ พระวิหารพระศาสดา
๔. วันทาพระพุทธรูปคู่พระบารมีฯ ณ พระวิหารเก๋ง
๕. บูชาพระพุทธรูปศิลา ณ โพธิฆระ
๖. ไหว้พระพุทธรูปปางลีลา ณ ศาลาการเปรียญ
๗. สักการะรอยพระพุทธบาทโบราณ ณ ศาลาพระพุทธบาท
๘. ไหว้พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านซ้าย) ข้างพระอุโบสถ
๙. ไหว้พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านขวา) ข้างพระอุโบสถ
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1325844457&grpid=&catid=09&subcatid=0901