การที่จะบอกว่า เป็นธรรมขวางหรือไม่ขวางนั้น....ป้าว่ายากที่จะตัดสินได้....ป้าว่าต้องดูที่ใจตนเองเท่านั้น..ถ้ามีแล้วหรือเป็นสภาวะนั้นแล้วไม่ยึดไม่ติดในอารมณ์นั้นๆและ/หรือก้าวข้ามผ่านไปได้.....(อาจจะด้วยปัญญา,ด้วยองค์สมาธิด้วยความอะไรก็แล้วแต่)...ก็ไม่น่าจะถือว่าขวางทางนิพพานกลับเป็นองค์หรืออารมณ์ให้พิจารณาก้าวข้าม(เป็นการทดสอบจิตของตนเองได้ระดับหนึ่ง)ได้....
แต่ถ้าจิตเราเองไปหลงในอารมณ์นั้นๆหรือไปแช่ไปติดกับอารมณ์นั้นๆ(ไม่จำเป็นต้องเป็นปิติธรรมอย่างเดียวหรอกอย่างอื่นๆก็มีเช่นสุข,ความเงียบ,ความเป็นอิสระ เป็นต้น)....อย่างนี้ก็เรียกว่า "ธรรมปิติเป็นเตรื่องขวางกันพระนิพพาน.....
"ผู้ใดกล่าวเสียเช่นนี้แล้ว ต้องเรียกว่าหมดวาสนาเจโต อภิญญา เข้าข่ายจักเป็นเสีย วิปัสสก เท่านั้น ซึ่งพิจารณาแล้วก็
เหมาะควรแก่ผู้คนในยุคนี้ หรือสังเกตจะพบว่ากลุ่มพวกที่ชอบฤทธิ์ อภิญญา อย่างเก่งก็อาศัยเครื่องราง ขมังคาถา บ้า
มงคลวัตถุ ประมูลเช่า แค่นั้นจริงๆ ผู้ที่จะใฝ่ภาวนาจริงจังถึงสุขเอาสุขเป็นบาทฐานภาวนามีน้อยหายากแล้ว เว้นเสีย
แต่ครูอาจารย์ที่ลี้เร้นร้างสังคมมีอยู่บ้าง แต่ก็ยากจะเจอ ครับ!"
...........................................................................
ปิติในที่นี้ คงเป็นองค์ธรรมในสมาธิ ไช่หรือไม่......

แต่ป้าว่ายังมีปีติอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ไช่ในองค์สมาธิ แต่เป็นธรรมมะปีติที่เกิดในขั้นตอนวิปัสสนา(ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร...ป้าไม่ถนัดในข้อธรรมะที่เป็นตัวหนัวสือ)ปิตินี้ จะเป็นลักษณะเบาตัวเบาตน ไปก็ง่ายมาก็คร่องละเอียดมากๆไม่ต้องแสวงหาก็ไม่เดือดร้อนกำลังเต็มเปียม.......ซึ่งลักษณะนี้ก็ไม่เที่ยงเช่นกัน...ถ้าใครไปยึดหรือก้าวร่วงไม่ได้ก็ เป็นธรรมขวางพระนิพพานเช่นกัน....