ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จริงหรือไม่ คะ ที่คนที่ตายเพราะความเป็นห่วง จะไม่ได้ไปเกิด  (อ่าน 4168 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จริงหรือไม่ คะ ที่คนที่ตายเพราะความเป็นห่วง จะไม่ได้ไปเกิด เรื่องนี้มีการกล่าวแสดงไว้ในครั้งพุทธกาลอย่างไร คะ

 ขอบคุณมากคะ

 
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
จริงหรือไม่ คะ ที่คนที่ตายเพราะความเป็นห่วง จะไม่ได้ไปเกิด เรื่องนี้มีการกล่าวแสดงไว้ในครั้งพุทธกาลอย่างไร คะ

 ขอบคุณมากคะ



ชาติหน้ามีจริงหรือไม่นั้น คำตอบก็คือ
      ตราบใดถ้ายังมีกิเลสและทำกรรม อยู่ คือ กรรมที่เป็นส่วนบุญ และกรรมที่เป็นส่วนบาป เมื่อยังทำกรรมเพราะอำนาจของกิเลส ก็ต้องเกิดอีกแน่นอน การเกิดใหม่นั่นแหละคือชาติหน้าของเรา ชาติหน้าที่จะไปเกิดมีทั้งหมดถึง ๓๑ ภูมิ 



      คุณสุนีย์ครับ ผู้ไม่มาเกิดอีก คือ พระอรหันต์เท่านั้น ตราบที่จิตยังเคลือบด้วยกิเลสอยู่ ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภพภูมินี้อยู่ เมื่อคนเราตายจะต้องไปเกิดในทันทีครับ ขึ้นอยู่ว่าจิตก่อนตายจะประกอบด้วยกุศลหรืออกุศลอย่างไร และแน่นอนกุศลจะนำไปสุคติภูมิ อกุศลจะนำปสู่ทุคติภูมิ

      คำถามของคุณสุนีย์น่าจะหมายถึง ตายในขณะที่จิตยังเป็นห่วงทรัพย์สิน หรือห่วงลูกห่วงหลาน ทำให้วิญญานไปจุติอยู่ในภพต่างๆ แล้วมาอยู่ใกล้ๆกับมนุษย์หรือสิ่งของต่างๆที่ตนเป็นห่วงอยู่
      ผมจะยกตัวอย่างสมัยพุทธกาลให้สองเรื่อง

       :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เรื่อง "สุภมาณพ บุตรของ โตเทยยพราหมณ์."

       ในสูตรนั้น บทว่า สุโภ ความว่า ได้ยินว่า เขาเป็นคนน่าดู น่าเลื่อมใส. ด้วยเหตุนั้น ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อเขาว่า สุภะ เพราะความที่เขามีอวัยวะงาม. แต่ได้เรียกเขาว่า มาณพในกาลเป็นหนุ่ม. เขาถูกเรียกโดยโวหารนั้นแล แม้ในกาลเป็นคนแก่.

       บทว่า โตเทยฺยปุตฺโต ได้แก่ บุตรของพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่อว่าโตเทยยะ. ได้ยินว่า เขาถึงอันนับว่าโตเทยยะ เพราะเขาเป็นใหญ่แห่งบ้านชื่อว่าตุทิคาม ซึ่งมีอยู่ใกล้กรุงสาวัตถี.
       ก็เขาเป็นผู้มีทรัพย์มาก มีสมบัติถึง ๘๗ โกฏิ แต่มีความตระหนี่จัด.   
       เมื่อจะให้ก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าความไม่สิ้นเปลืองของโภคะทั้งหลายไม่มี จึงไม่ให้อะไรแก่ใครๆ.

   
       สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า
              "บัณฑิตเห็นความสิ้นไปแห่งยาหยอดตาทั้งหลายการสะสมของตัวปลวกทั้งหลาย และการรวบรวมของตัวผึ้งทั้งหลายแล้ว พึงอยู่ครองเรือน".

                                         
       เขาให้สำคัญอย่างนี้ ตลอดกาลนานทีเดียว.
       เขาไม่ให้วัตถุสักว่ายาคูกระบวยหนึ่ง หรือภัตสักทัพพี แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ในวิหารใกล้
       ทำกาละด้วยความโลภในทรัพย์ ไปเกิดเป็นสุนัขในเรือนนั้นเทียว.
       สุภะรักสุนัขนั้นมากเหลือเกิน ให้กินภัตที่ตนบริโภคนั้นแหละ ยกขึ้นให้นอนในที่นอนอันประเสริฐ.

               
       อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกในสมัยใกล้รุ่ง
       ทรงเห็นสุนัขนั้นแล้ว ทรงดำริว่า
       โตเทยยพราหมณ์ตายไปเกิดเป็นสุนัขในเรือนของตนเทียว เพราะความโลภในทรัพย์
       วันนี้ เมื่อเราไปสู่เรือนของสุภะ สุนัขเห็นเราแล้ว จักทำการเห่าหอน.


       ลำดับนั้น เราจักกล่าวคำหนึ่งแก่สุนัขนั้น สุนัขนั้นจะรู้เราว่าเป็นสมณโคดม แล้วไปนอนในที่เตาไฟ เพราะข้อนั้นเป็นเหตุ สุภะจักมีการสนทนาอย่างหนึ่งกับเรา สุภะนั้นฟังธรรมแล้ว จักตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลาย ส่วนสุนัขตายไปแล้วจักเกิดในนรก ดังนี้.



       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ความที่มาณพจะตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลายนี้แล้ว ในวันนั้นทรงปฏิบัติพระสรีระ เสด็จไปสู่เรือนนั้นเพื่อทรงบิณฑบาต โดยขณะเดียวกันกับมาณพออกไปสู่บ้าน.

      สุนัขเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทำการเห่าหอน ไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า.
      แต่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้กะสุนัขนั้นว่า
      แน่ะโตเทยยะ เจ้าเคยกล่าวกะเราว่า ผู้เจริญๆ ไปเกิดเป็นสุนัข
      แม้บัดนี้ ทำการเห่าหอนแล้ว จักไปสู่อเวจี ดังนี้
.

      สุนัขฟังพระดำรัสนั้นแล้ว รู้เราว่าเป็นสมณโคดม มีความเดือดร้อน ก้มคอไปนอนในขี้เถ้า ในระหว่างเตาไฟ. มนุษย์ไม่อาจเพื่อจะยกขึ้นให้นอนบนที่นอนอันประเสริฐได้.
      สุภะมาแล้วพูดว่า ใครยกสุนัขนี้ลงจากที่นอนเล่า.
      มนุษย์พูดว่า ไม่มีใคร แล้วบอกเรื่องราวเป็นมานั้น.

     มาณพฟังแล้วโกรธว่า บิดาของเราไปเกิดในพรหมโลก ไม่มีสุนัขชื่อโตเทยยะ
     แต่พระสมณโคดมทรงทำบิดาให้เป็นสุนัข พระสมณโคดมนั้นพูดพล่อยๆ ดังนี้
     เป็นผู้ใคร่จะข่มพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำเท็จ จึงไปสู่วิหารทูลถามประวัตินั้น.


     แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสอย่างนั้นเทียวแก่สุภมาณพนั้น เพื่อไม่ให้โต้เถียงกัน จึงตรัสว่า
     ดูก่อนมาณพ ก็ทรัพย์ที่บิดาของเธอไม่ได้บอกไว้มีอยู่หรือ.
     ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มีหมวกทองคำราคาหนึ่งแสน รองเท้าทองคำราคาหนึ่งแสน และกหาปณะหนึ่งแสน.

     เจ้าจงไป จงถามสุนัขนั้นในเวลาให้กินข้าวปายาสมีน้ำน้อย แล้วยกขึ้นในที่นอนก้าวสู่ความหลับนิดหน่อย มันจะบอกทรัพย์ทั้งหมดแก่เจ้า.
     ลำดับนั้น เจ้าจะพึงรู้สุนัขนั้นว่า มันเป็นบิดาของเรา.


     มาณพดีใจแล้วด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ถ้าจักเป็นความจริง เราจะได้ทรัพย์ ถ้าไม่เป็นความจริง เราจักข่มพระสมณโคดมด้วยคำเท็จดังนี้ แล้วไปทำอย่างนั้น.
     สุนัขรู้ว่า เราอันมาณพนี้รู้แล้ว ทำเสียงร้อง หุง หุง ไปสู่สถานที่ฝังทรัพย์ ตะกุยแผ่นดินด้วยเท้าแล้วให้สัญญา.

    มาณพถือเอาทรัพย์แล้ว มีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ธรรมดาสถานที่ปกปิดทรัพย์ปรากฏเป็นของละเอียด อยู่ในระหว่างปฏิสนธิอย่างนี้ นั่นเป็นสัพพัญญูของพระสมณโคดมแน่แท้ จึงรวบรวมปัญหา ๑๔ ปัญหา.



ที่มา
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
จูฬกัมมวิภังคสูตร อรรถกถาสุภสูตร                 
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=579&p=1
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=7623&Z=7798
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๒
๘. ติตถิยสูตร
อรรถกถาติตถิยสูตรที่ ๘

เรื่องหญิงฆ่าผัว
     เล่ากันมาว่า บุรุษผู้หนึ่งประพฤติมิจฉาจารต่อภรรยาของพี่ชาย.
      เขาเองได้เป็นที่รักของหญิงนั้นยิ่งกว่าสามีของตน.
      นางพูดกับเขาว่า เมื่อเหตุนี้ปรากฏแล้ว ข้อครหาอย่างใหญ่หลวงจักมี ท่านจงฆ่าพี่ชายของท่านเสีย.

 
      เขาข่มขู่หญิงนั้นว่า ฉิบหายเถิด อีถ่อย มึงอย่าพูดอย่างนี้อีก.
      นางก็นิ่ง ล่วงไป ๒-๓ วันก็พูดอีก จิตของเขาถึงความลังเล ต่อแต่นั้นถูกนางรบเร้าถึง ๓ ครั้ง จึงพูดว่า เราจะทำอย่างไรถึงจะได้โอกาส.

      ลำดับนั้น นางได้บอกอุบายแก่เขาว่า ท่านจงทำตามที่ข้าพเจ้าบอกเท่านั้น ใกล้บ้านมหากกุธะ ตรงที่โน้น มีท่าน้ำอยู่ ท่านจงถือเอามีดโต้อันคมไปดักอยู่ที่ตรงนั้น เขาได้ทำอย่างนั้นแล้ว.
      ฝ่ายพี่ชายของเขาทำงานในป่าเสร็จแล้ว กลับบ้าน.


      นางทำเป็นเหมือนมีจิตอ่อนโยนในเขา พูดว่า มาเถิดนาย ฉันจะล้างศีรษะให้ แล้วดูศีรษะให้เขา พูดว่าศีรษะของนายสกปรก แล้วส่งก้อนมะขามป้อมให้เขาไปด้วยสั่งว่า ท่านจงไปล้างศีรษะที่ท่าชื่อโน้น แล้วกลับมา.
      เขาไปสู่ท่าตามที่นางบอกนั่นแหละ สระผมด้วยฟองมะขามป้อม ลงอาบน้ำดำหัวแล้ว. ครั้งนั้นน้องชายออกมาจากระหว่างต้นไม้ ฟันเขาที่ก้านคอให้ตายแล้วกลับเข้าบ้าน.



      พี่ชายเมื่อไม่อาจสละความสิเนหาในภรรยาได้ จึงไปเกิดเป็นงูเขียวใหญ่ในเรือนหลังนั้นแหละ.
      แม้เมื่อนาง (ผู้เป็นภรรยาเก่า) จะยืนก็ตาม นั่งก็ตาม มันจะตกลงที่ตัว (ของนาง).   

      ต่อมา นางจึงให้ฆ่างูนั้นด้วยเข้าใจว่า ชะรอยผัวเราจะเป็นงูตัวนี้.
      เพราะความรักนางผู้เป็นภรรยา มันจึงไปเกิดเป็นลูกสุนัขในเรือนหลังนั้นอีก.
      นับแต่เวลาที่มันเดินได้ มันจะวิ่งตามหลังนางไป แม้นางเข้าป่า มันก็ติดตามไปด้วย คนทั้งหลายเห็นนางแล้วก็พูดเย้ยหยันว่า พรานสุนัขออกแล้วจักไปไหน.
      นางสั่งให้ฆ่ามันอีก.

      แม้มัน (ตายแล้ว) ก็ไปเกิดเป็นลูกวัวในเรือนหลังนั้นอีก แล้วเดินตามหลังนางไปอย่างนั้นเหมือนกัน.
      แม้ในคราวนั้น คนทั้งหลายเห็นมันแล้ว ก็พากันพูดเย้ยหยันว่า โคบาลออกแล้ว โคทั้งหลายจักไปไหน.
      นางก็สั่งให้ฆ่ามันเสียในที่ตรงนั้น.
      แม้คราวนั้น มันไม่สามารถจะตัดความสิเนหานางต่อไปได้ ในวาระที่ ๔ มันเกิดในท้องของนางแล้วระลึกชาติได้.


      มันเห็นว่าตัวถูกนางฆ่ามา ๔ อัตภาพตามลำดับแล้ว คิดว่า เราเกิดในท้องของหญิงผู้เป็นศัตรูเห็นปานนี้.
      นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมให้นางเอามือถูกต้องตัวได้. ถ้านางถูกต้องตัว เขาจะสะอึกสะอื้นร้องไห้.
      เวลานั้น ผู้เป็นตาเท่านั้นจะอุ้มชูเขาได้.

     ต่อมา เขาเจริญเติบโตแล้ว ตาจึงพูดว่า หลานเอ๋ย เหตุไฉนเจ้าจึงไม่ยอมให้แม่เอามือถูกตัว ถ้าแม้แม่ถูกตัวเจ้า เจ้าจะร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยเสียงอันดัง.
     เขาได้บอกความเป็นไปทั้งหมดนั้น (แก่ตา) ว่า
     คุณตาครับ ผู้นี้ไม่ใช่แม่ของผม แต่เป็นศัตรู.
     ผู้เป็นตาสวมกอดเขาไว้ แล้วร้องไห้ พูดว่า
     มาเถิดหลานเอ๋ย เรื่องอะไรพวกเราจะต้องมาอาศัยอยู่ในที่เช่นนี้ดังนี้แล้ว พาเขาออกจากบ้านไปสู่วิหารแห่งหนึ่ง พากันบวชอยู่ในวิหารนั้น บรรลุพระอรหัตทั้งสองคน.



อ้างอิง
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=508&p=1
เนื้อความในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ติตถิยสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=5268&Z=531
ขอบคุณภาพจาก http://i495.photobucket.com/,http://www.sahavicha.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2012, 12:33:32 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ