ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บูชาไฟเป็นพุทธบูชา..วัดพ่อโอภาสี ๗๐ ปี ไม่เคยดับ  (อ่าน 2673 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29305
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


บูชาไฟเป็นพุทธบูชา..วัดพ่อโอภาสี ๗๐ ปี ไม่เคยดับ
ท่องไปในแดนธรรม เรื่อง/ ภาพ โดยไตรเทพ ไกรงู

      "สวนอาศรมบางมด" หรือ "วัดหลวงพ่อโอภาสี" เป็นวัดเก่าแก่ในพื้นที่บางมด เรียกตามนามของหลวงพ่อโอภาสี (พระมหาชวน มลิพันธ์) ซึ่งท่านเป็นพระอาจารย์รูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านอิทธิอภินิหาร เชื่อกันว่าท่านเป็นพระที่สามารถรู้ถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า และทำนายทายทักได้ถูกต้อง

      ท่านถือ ลัทธิบูชาเพลิง กล่าว คือ เมื่อท่านได้รับสิ่งของจากบรรดาลูกศิษย์ หรือญาติโยมนำมาถวาย ท่านจะโยนเข้ากองไฟหมด โดยถือหลักว่า จิตใจมนุษย์นี้ ถูกเผาผลาญด้วยไฟราคะแห่งกิเลส ซึ่งไม่สามารถต้านทานได้ นอกจากจะไหม้เป็นเถ้าถ่าน มีเพียงความตายของมนุษย์เท่านั้น จึงสามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้
 
      เคยมีคนไปถามท่านว่า “หลวงพ่อเจ้าค่ะ ทำไมต้องเผาสิ่งของด้วย เพราะอะไร" ท่านก็ตอบว่า “ปกติไฟจะเผาผลาญทุกสรรพชีวิตจนมอดไหม้หมดสิ้นได้ก็จริง แต่จิตใจของมนุษย์ปุถุชนกลับร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟ คือ ร้อนจากความโลภ ความโกรธ ความหลง และเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีไม่สิ้นสุด   

    การที่อาตมานำปัจจัยและสิ่งของที่ญาติโยมนำมาถวายเผาไฟ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและช่วยดับความร้อนในใจของมนุษย์ให้สิ้นไป หรือเผากิเลสให้หมดสิ้นไปนั่นเอง” ที่น่าประหลาดคือใครถามถึง “มหาชวน” จะได้รับคำตอบว่า “มหาชวนตายไปแล้ว จากนี้ไปมีแต่ โอภาสี เท่านั้น”

 



      หลวงพ่อโอภาสี มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘  ศพของหลวงพ่อโอภาสียังไม่ได้เผา ตั้งไว้ที่วัดโอภาสีบางมด จนถึงทุกวันนี้ และไม่เน่าไม่เปื่อย กลับแข็งเป็นหินโดยตลอด สมกับเป็นผู้อุดมด้วยศีลาจารวัตรผู้มาจากต่างมิติสวมร่างของมหาชวน ซึ่งสิ้นบุญมรณภาพไปในช่วงแห่งความตายที่วัดบวรนิเวศวิหาร
 
      ก่อนหน้ามรณภาพในต้นปี ๒๔๙๘ นั้น คณะศิษย์ได้ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลเป็นเหรียญหลวงพ่ออนุญาต แต่ได้สั่งว่า “เหรียญนี้จะไม่มีรูปโอภาสี เพราะในโลกนี้จะไม่มีโอภาสีอีกต่อไป ครุ คือ อำนาจเสมากับอุณาโลม และรัศมีคือตัวโอภาสีอีกต่อไป”
       
      เหรียญรุ่นสุดท้าย คือ เหรียญครุฑแยกเสมา อันเป็นเหรียญรุ่นแรก และรุ่นเดียวที่ไม่มีรูปหลวงพ่อโอภาสี แม้หลวงพ่อโอภาสีจะมรณภาพไปเป็นเวลาเกือบ ๕๗ ปีแล้ว  แต่ศิษย์ไม่เคยลืมเลือนความกตัญญูมีการจัดงานสรงน้ำรูปหล่อ และแห่รูปหล่อของหลวงพ่อเป็นประจำ และต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อโอภาสีไม่เคยจากไปไหนเลย แต่อยู่กับพวกเราตลอดกาลนาน ท่านจะคอยดูแลพวกเราเสมอตราบเท่าที่พวกเรายังมีความเคารพในองค์ท่านอยู่ทุกลมหายใจ
 
       คาถาของหลวงพ่อโอภาสีที่ท่านได้มอบให้ศิษย์หมั่นท่องบ่นภาวนาได้เป็นประจำวันว่า
       “อิติสุคะโต  อะระหังพุทโธ  นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา  พระภุมมะเทวา  ขะมามิหัง"
       ทั้งนี้หลวงพ่อโอภาสีนำคาถายอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกมาย่อและเรียบเรียงใหม่ เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธา สวดอยู่กับบ้านป้องกันอันตราย สวดก่อนออกจากบ้านคุ้มกันอันตรายตลอดการเดินทาง ไปต่างถิ่นสวดป้องกันภยันอันตรายต่างๆ จากเทวดา ภูตผีปีศาจ หรือเดินทางไปที่เปลี่ยวให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือศาลเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักรักษาให้ปลอดภัย อานุภาพของคาถานี้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว





ไฟเผากิเลสที่ไม่เคยดับ
 
      ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ ซึ่งเป็นปีที่ตั้งวัดหลวงพ่อโอภาสี มาจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า ๗๐ ปีไฟจากการเผาของเพื่อบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชาที่วัดหลวงพ่อโอภาสี ไม่เคยดับสักวันเดียว ทุกๆ วันจะมีผู้คนที่มีความศรัทธาซื้อน้ำมันก๊าดไปถวายหลายร้อยลิตร โดยมีความเชื่อว่า “เปลวเพลิงจากไปจะช่วยกิเลสในใจตนให้เบาบางลงบ้าง”
 
        หลวงพ่อโอภาสี เริ่มเผาของเพื่อบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชา ตั้งแต่อยู่ที่วัดบวรนิเวศ เมื่อมีคนนำของมาถวายจำนวนมาก ท่านก็จะแจกแก่สามเณรในวัด และประชาชน ที่เหลือก็โยนเข้ากองไฟหมด จนกุฏิของท่านมีควันพวยพุ่งออกมามาก ทั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์  เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ  ได้เรียกท่านมาว่ากล่าวตักเตือน ทั้งนี้ท่านได้อธิบายถึงการเผาของไว้ว่า
 
        “โดยปกติแล้วพระเพลิงเผาผลาญสรรพสิ่งใดในโลกจนมอดไหม้หมดเป็นจุลมหาจุลไปจนหมดสิ้น ก็จัดเป็นธาตุที่มีความร้อนสูงอยู่ แต่ถึงกระนั้นจิตใจมนุษย์กลับมาความร้อนแรงยิ่งกว่ากองเพลิง ความร้อนของมนุษย์เกิดจากการเผาผลาญของดวงจิตด้วย โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชาต่างๆ อีกมากมาย การที่ได้นำเอาสรรพสิ่งวัตถุทั้งหลายที่ผู้คนเอามาถวายไปเผาทำลายลงก็เพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นการดับกิเลสทั้งหลายให้หมดไปจากใจเราเท่านั้นเอง”
 
         อย่างไรก็ตามเมื่อท่านออกจากวัดบวร โดยได้ธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่อาศรมบางมด หลวงพ่อโอภาสีบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชามาโดยตลอด เมื่อญาติโยมนำของมาถวายท่านก็รับให้พร ท่านใช้สอยของเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ที่เหลือก็เอาไปเผาไฟหมด ทั้งนี้ท่านจะถามผู้มาถวายของทุกครั้งว่า
         “โยนเสียดายไหม ถ้าไม่เสียดายอาตมาจะเผาหมดนะ” และก่อนเผาทุกครั้งท่านก็จะแบ่งของแจกเด็กบ้าง คนชราบ้าง จากนั้นท่านก็จะเผาหมดไม่เหลือเก็บไว้เลย โดยจะเผาทั้งวันทั้งคืนเป็นปกติประจำของท่านเสมอ
 
         หลังจากหลวงพ่อโอภาสีมรณภาพ อดีตเจ้าอาวาสรูปต่อมาอีก ๒ รูป คือ หลวงพ่ออาชม ประภากะโร และหลวงพ่อกิเส็ง ฐิติธรรมโม ยังยึดแนวปฏิบัติการเผาของเพื่อบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชามาตลอด รวมทั้งพระครูสุทธิญาโณภาส เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันก็เช่นกัน แต่ท่านนำของที่ญาติโยมนำถวายไปจากแจกให้ประชาชนทั้งหมด ส่วนการบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชาจะใช้น้ำมันก๊าดแทน



ขอบคุณภาพข่าว www.komchadluek.net/detail/20120713/135035/บูชาไฟเป็นพุทธบูชาวัดพ่อโอภาสี๗๐ปีไม่เคยดับ.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 14, 2012, 12:16:09 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

drift-999

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 239
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: บูชาไฟเป็นพุทธบูชา..วัดพ่อโอภาสี ๗๐ ปี ไม่เคยดับ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 08:58:54 pm »
0
จะอนุโมทนา ก็ไม่เห็นด้วย แต่จะไม่อนุโมทนา ก็ใช่ว่าจะไม่ดี

 สาธุ สาธุ สาธุ

  :s_hi:
บันทึกการเข้า