พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
พุทธวงศ์
รัตนะจงกรมกัณฑ์
ว่าด้วยพระพุทธองค์ทรงเนรมิตที่จงกรมแก้ว
ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคผู้พิชิตมาร เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน ทรงจงกรมด้วยฤทธิ์ แสดงให้โลกพร้อมทั้งเทวโลกเห็น พระศาสดาผู้เป็นนายกของโลก เสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่จงกรมนั่นเอง ตรัสตอบ ไม่เสด็จกลับในระหว่างเหมือนดังเสด็จจงกรมอยู่ในที่จงกรม ๕ ศอก
พระสารีบุตรผู้มีปัญญามากในสมาธิและฌาน ถึงความบริบูรณ์ด้วยปัญญาได้ทูลถามพระศาสดาผู้เป็นนายกของโลกว่า
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้อุดมกว่านรชน อภินิหารของพระองค์เช่นไร
พระองค์ทรงปรารถนาพระโพธิญาณอันอุดมในกาลไร
ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานะ เมตตาและอุเบกขาเป็นเช่นไร
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ผู้เป็นนายกของโลก
บารมี ๑๐ เป็นอย่างไร
อุปบารมี ๑๐ และ
ปรมัตถบารมี ๑๐ บริบูรณ์อย่างไร
(เพราะทรงอธิษฐานกรรมอะไร จึงเป็นอธิบดีเช่นไร เป็นบารมีได้เช่นไร นักปราชญ์เช่นไรมีในโลก เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาเป็นเช่นไร พระองค์ทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้บริบูรณ์เช่นไร)
พระศาสดาผู้มีพระสุรเสียงไพเราะดังนกการะเวกอันพระสารีบุตรทูลถามแล้ว ทรงพยากรณ์ให้เย็นใจ และทรงยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ยินดี....ฯลฯ......
อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๖๖๕๔ - ๖๘๗๓. หน้าที่ ๒๘๖ - ๒๙๕.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=6654&Z=6873&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33&i=181ขอบคุณภาพจาก
http://4.bp.blogspot.com/
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
สโมธานกถา
สรุปการบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ
[๓๖] การบำเพ็ญบารมีอันเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณเหล่านี้ จัดเป็นบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ คือ
การบำเพ็ญทาน ในภพที่ตถาคตเป็นพระเจ้าสิวิราชผู้ประเสริฐเป็นทานบารมี
ในภพที่เราเป็นเวสสันดรและเป็นเวลามพราหมณ์ เป็นทานอุปบารมี
ในภพที่เราเป็นอกิติดาบสอดอาหารนั้น เป็นทานอุปบารมี
ในภพที่เราเป็นพระยาไก่ป่า สีลวนาคและพระยากระต่าย เป็นทานปรมัตถบารมี
ในภพที่เราเป็นพระยาวานร ช้างฉัททันต์ และช้างเลี้ยงมารดาเป็นศีลบารมี
พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ตรัสไว้ดังนี้
การรักษาศีลในภพที่เราเป็นจัมเปยยกนาคราช และภูริทัตตนาคราช เป็นศีลอุปบารมี
ในภพที่เราเป็นสังขปาลบัณฑิต เป็นศีลปรมัตถบารมี
ในภพที่เราเป็นยุธัญชยกุมาร มหาโควินทพราหมณ์ คนเลี้ยงช้าง อโยฆรราชโอรส ภัลลาติ สุวรรณสาม มฆเทวะและเนมิราช บารมีเหล่านี้เป็นอุปบารมี 
ในภพที่เราเป็นมโหสถผู้เป็นทรัพย์ของรัฐกุลฑลตัณฑิละ และนกกระทา บารมีเหล่านี้เป็นปัญญาอุปบารมี
ในภพที่เราเป็นวิธูรบัณฑิตและสุริยพราหมณ์มาตังคะ ผู้เป็นศิษย์เก่าของอาจารย์บารมีทั้ง ๒ ครั้งนี้ เป็นปัญญาบารมี
ในภพที่เราเป็นพระราชา ผู้มีศีล มีความเพียร เป็นผู้ก่อให้เกิดสัตตุภัสตชาดก บารมีนี้แลเป็นปัญญาปรมัตถบารมี
ในภพที่เราเป็นพระราชาผู้มีความเพียรบากบั่น เป็นวิริยปรมัตถบารมี
ในภพที่เราเป็นพระยาวานรผู้มีครุธรรม ๕ ประการ เป็นวิริยบารมี
ในภพที่เราเป็นธรรมปาลกุมาร เป็นขันติบารมี
ในภพที่เราเป็นธรรมิกเทพบุตร ทำสงครามกับอธรรมิกเทพบุตร เรียกว่าขันติอุปบารมี
ในภพที่เราเป็นขันติวาทีดาบส แสวงหาพุทธภูมิด้วยการบำเพ็ญขันติบารมี ได้ทำกรรมที่ทำได้ยากเป็นอันมาก นี้เป็นขันติปรมัตถบารมี
ในภพที่เราเป็นสสบัณฑิต นกคุ่ม ซึ่งประกาศคุณสัจจะ ยังไฟให้ดับด้วยสัจจะ นี้เป็นสัจจบารมี
ในภพที่เราเป็นปลาอยู่ในน้ำ ได้ทำสัจจะอย่างสูงยังฝนให้ตกใหญ่นี้เป็นสัจจบารมีของเรา
ในภพที่เราเป็นสุปารบัณฑิตผู้เป็นนักปราชญ์ ยังเรือให้ข้ามสมุทรจนถึงฝั่ง เป็นกัณหทีปายนดาบส ระงับยาพิษ ได้ด้วยสัจจะ และเป็นวานรข้ามกระแสแม่น้ำคงคาได้ด้วยสัจจะนี้เป็นสัจจอุปบารมีของเรา
ในภพที่เราเป็นสุตโสมราชา รักษาสัจจะอย่างสูง ช่วยปล่อยกษัตริย์ ๑๐๑ นี้เป็นสัจจปรมัตถบารมี 
อะไรที่จะเป็นความพอใจไปกว่าอธิษฐาน นี้เป็นอธิษฐานบารมี
ในภพที่เราเป็นมาตังฏิล และช้างมาตังคะ นี้เป็นอธิษฐานอุปบารมี
ในภพที่เราเป็นมูคผักขกุมาร เป็นอธิษฐานปรมัตถบารมี
ในภพที่เป็นมหากัณหฤาษี และพระเจ้าโสธนะ และบารมีสองอย่าง คือ
ในภพที่เราเป็นพระเจ้าพรหมทัตต์ และคัณฑิติณฑกะ ที่กล่าวแล้วเป็นเมตตาบารมี
ในภพที่เราเป็นโสณนันทบัณฑิตผู้ทำความรัก บารมีเหล่านั้นเป็นเมตตาอุปบารมี
เมตตาบารมีในภพที่เราเป็นพระเจ้าเอกราช เป็นบารมีไม่มีของผู้อื่นเหมือน นี้เป็นเมตตาปรมัตถบารมี
ในภพที่เราเป็นนกแขกเต้าสองครั้ง เป็นอุเบกขาบารมี
ในภพที่เราเป็นโลมหังสบัณฑิต เป็นอุเบกขาปรมัตถบารมี
บารมีของเรา ๑๐ ประการนี้ เป็นส่วนแห่งโพธิญาณอันเลิศ
บารมียิ่งกว่า ๑๐ ไม่มีหย่อนกว่า ๑๐ ก็ไม่มี
เราบำเพ็ญบารมีทุกอย่างไม่ยิ่งไม่หย่อน เป็นบารมี ๑๐ ประการฉะนี้แล.
จบสโมธานกถา
จบจริยาปิฎกอ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๙๔๗๘ - ๙๕๒๖. หน้าที่ ๔๐๖ - ๔๐๘.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=9478&Z=9526&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33&i=244ขอบคุณภาพจาก
http://www.b.yimwhan.com/,http://www.thaigoodview.com/