ยังไม่กระจ่าง กับคำถาม คะ
การทานอาหารปัจจเวกขณ ของพระสงฆ์ จะดับกิเลสได้จริงหรือ ?
ขอช่วยอธิบายอีกนิด คะ
ขออนุญาติอธิบาย"คำตอบ" จะไม่อธิบาย"คำถาม" สงสัยพิมพ์ผิด อ่านแล้ว"งง"
ปัจจัยปัจจเวกขณะ การพิจารณาปัจจัย, พิจารณาก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริโภคด้วยตัณหา (ข้อ ๔ ในปาริสุทธิศีล ๔)
ปาริสุทธิศีล ศีลเป็นเครื่องทำให้บริสุทธิ์, ศีลเป็นเหตุให้บริสุทธิ์ หรือความประพฤติบริสุทธิที่จัดเป็นศีลมี ๔ อย่าง คือ
๑.ปาฏิโมกขสังวรศีล สำรวมในพระปาฏิโมกข์
๒.อินทรีย์สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๓.อาชีวปาริสุทธิศีล เลี้ยงชีพโดยทางที่ชอบธรรม
๔.ปัจจัยสันนิสิตศีล พิจารณาก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ปัจจเวกขณญาณ ญาณที่พิจารณาทบทวน, ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวนตรวจตรามรรคผล กิเลสที่ยังเหลืออยู่ และนิพพาน
(เว้นพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่);
ญาณนี้เกิดแก่ผู้บรรลุมรรคผลแล้ว คือ ภายหลังจากผลญาณ; ดู ญาณ ๑๖
ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ (ป.อ.ปยุตโต)
คุณฟ้าใสครับ ปัจจเวกขณ หมายถึง การพิจารณาทบทวน เท่าที่ค้นดูไม่ได้ใช้กับอาหาร
แต่คุณฟ้าใสนำมาใช้กับอาหาร การพิจารณาอาหารเป็นอารมณ์
มีอยู่แล้วในกรรมฐาน ๔๐ กอง คือ "อาหาเรปฏิกูลสัญญา"
ต่อไปผมจะใช้คำนี้นะครับ
อธิบาย อาหาเรปฏิกูลสัญญา อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ ความสำคัญหมายว่า ไม่สะอาดในอาหาร แปลว่า สภาพผู้นำมา อาหารมี ๔ อย่าง
๑.กวฬิงการาหาร ย่อมนำมาซึ่งโอชาในรสอาหาร
๒.ผัสสาหาร ย่อมนำเวทนามา มี สุข เป็นต้น
๓.มโนสัญเจตนาหาร ย่อมนำปฏิสนธิ ในภพ ๓ มา
๔.วิญญาณาหาร ย่อมนำอายตนะภายนอก ๖ มา อาหาร ๔ อย่างภัยย่อมนำมา มี กวฬิงการาหาร ภัยคือ ความเข้าไปหา ย่อมมีเพราะผัสสาหาร คือการเข้าถึง ย่อมมีในมโนสัญเจตนาหาร ภัย คือ ปฏิสนธิ ย่อมมีในวิญญาณาหาร ในอาหารทั้งหลายมีภัยจำเพาะ จึงควรสอนตนด้วยพุทโธวาท กวฬิงการาหาร เปรียบด้วยเนื้อบุตร ผัสสาหาร เปรียบด้วยโคถลกหนัง มโนสัญเจตนาหาร เปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง วิญญาณาหาร เปรียบด้วยหอกหลาว
ในอาหาร ๔ นี้หมายเอา
กวฬิงการาหาร อาหารเป็นคำๆถือเอาที่ปฏิกูลในอาหาร ความปฏิกูลในกพฬิงการาหาร แยกเป็น ของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม โดยอาการ ๑๐ คือ โดยการเดินไป-โดยการแสวงหา-โดยการบริโภค-โดยการผสมกลืนไป-โดยการพักในกระเพาะอาหาร-โดยยังไม่ย่อย- โดยผล –โดยการไหลออก- โดยความเปรอะเปื้อน
๑.ปฏิกูลโดยการเดินไป(คมนโต) พระโยคาวจรพิจารณาเห็นปฏิกูลเมื่อถือบาตรและจีวรเดินไปในที่ชนไม่เบียดเสียด มุ่งสู่หมู่บ้านเพื่อต้องการอาหาร ดังสุนัขจิ้งจอกมุ่งหน้าสู่ป่าช้า ต้องเจอปฏิกูลด้วยปัสสาวะ อุจจาระ น้ำลาย น้ำมูก ซากสุนัข ซากโค ซากงู ส่งกลิ่นเหม็นมากระทบจมูก
๒.ปฏิกูลโดยการแสวงหา(ปริเยสนโต) ต้องถือบาตรด้วยมือข้างหนึ่ง ยกจีวรด้วยมือข้างหนึ่ง ถึงประตูเรือน ต้องย่ำ หลุมโสโครก แอ่งน้ำครำ มูลสุนัข มูลสุกร พระโยคาวจรพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า โอ ปฏิกูลจริงหนอ ๓.
ปฏิกูลโดยการบริโภค(ปริโภคโต) เธอหย่อนมือลงขยำอาหารอยู่ เหงื่อออกตามนิ้วทั้งห้า บิณฑบาตนั้นเสียความงาม โขลกด้วยสาก คือ ฟัน พลิกไปด้วยลิ้น ราวกะข้าวในรางสุนัข ของดีกลับกลายเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดอย่างยิ่ง
๔.
ปฏิกูลโดยอาสยะ(อาสยะโต) พิจารณาว่าอาหารที่ได้บริโภคเข้าไปแล้วนี้ มีอาโปอยู่ในลำไส้ออกมาผสมที่กลืนลงไปในลำไส้ เมื่อกำลังเข้าไปในลำไส้ ย่อมเปรอะเปื้อนด้วยน้ำดี เสมหะ หนอง เสลด โลหิต เหมือนยางมะซางข้นๆน่าเกลียดยิ่งนัก
๕.ปฏิกูลโดยพักอยู่ในกระเพาะอาหาร(นิธานโต) อาหารที่กลืนเข้าไปเปื้อนด้วยน้ำดี เสมหะ หนอง เลือด เข้าไปพักอยู่ในกระเพาะเช่นหลุมคูถ อุจจาระ อันไม่ได้ล้างมา ๑๐ ปีบ้าง ๕๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง
๖.ปฏิกูลโดยยังไม่ย่อย(อปริปักโต) อาหารที่กลืนลงไปวันนั้น วันนี้บ้าง วันก่อนบ้าง อันฝ้าและเสมหะปิดคลุมไว้ เป็นฟอง เป็นต่อม ระอุสันดาปในร่างกายอบเอา มืดมิดตลบด้วยกลิ่นซากสัตว์ดังป่าช้าส่งกลิ่นน่าเกลียดปฏิกูล
๗.
ปฏิกูลโดยย่อยแล้ว (ปริปักโต) อาหารเป็นสิ่งย่อยแล้วในร่างกายด้วยไฟธาตุ กลายเป็นอุจจาระ เหมือนดินสีเหลืองที่เขาบดเข้าบรรจุไว้ในกระบอก กลายเป็นมูตรไป
๘.
ปฏิกูลโดยผล(ผลโต) อาหารย่อยดีแล้วจึงผลิตซากต่างๆ มีขน ผม เล็บ ฟัน เป็นต้น ถ้าย่อยไม่ดีก่อโรค ๑๐๐ ชนิด เช่น เรื้อน กลาก หืด ไอ เป็นต้น นี่ผลมัน
๙.ปฏิกูลโดยการไหลออก (นิสสันทโต) อาหารเมื่อกลืนลงไปในช่องเดียว ไหลออกหลายช่อง เช่น ขี้หู ขี้ตา อุจจาระ ปัสสาวะเมื่อออกมาส่งกลิ่นเหม็นน่าเกลียด
๑๐.ปฏิกูลโดยความเปลื้อน(สัมมักขนโต) อาหารเมื่อกินก็เปื้อนมือ ปาก เพดานปาก เป็นปฏิกูลเพราะถูกอาหาร เมื่อออกก็เปื้อนทวาร มี ช่องหู ช่องตา ช่องจมูก ช่องทวารหนัก ช่องทวารเบา ทวารเหล่านี้ก็เปื้อน
อาหาเรปฏิกูลสัญญาฌาน เมื่อเจริญกวฬิงการาหารย่อมปรากฏเป็นปฏิกูล เมื่อเจริญมากๆทำให้มากซึ่งนิมิต นิวรณธรรมทั้งหลายย่อมระงับ จิตตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิไม่ถึงอัปปนาสมาธิ เพราะ กวฬิงการาหารเป็น สภาพลึก
อานิสงส์แห่งอาหาเรปฏิกูลสัญญา ภิกษุประกอบเนืองๆซึ่ง กวฬิงการาหารสัญญานี้ จิตย่อมถอย ย่อมหด จากรสตัณหา ปราศจากความมัวเมาในการกินอาหาร เธอจะกำหนดรูปขันธ์ได้โดย ความกำหนดรู้เบญจกามคุณ
คู่มือ สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถรเจ้า (สุก ไก่เถื่อน)
วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร (พลับ) กรุงเทพฯ
พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร รวบรวม เรียบเรียง