ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร(๑)  (อ่าน 2893 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28595
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๑)
ปาฐกถา โดย ศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์
แสดงที่ศาลาโรงธรรม โพธิ์ลังกา
วัดพระ เชตุพนฯ พระนคร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ กรกฎคม ๒๕๑๐
โพสท์ ในกระทู้ลานธรรม มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ โดย อ.วิชิต ธรรมรังษี -  [18 มี.ค. 2547]

 
ท่านสาธุชนที่เคารพ...
วันนี้ผมรู้สึกมีเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการที่ได้รับเชิญจากท่านประธานกรรมการมูลนิธิ ให้มาแสดงปาฐกถา แต่ท่านทั้งหลายก็คงทราบแล้วว่า เมื่อกี้นี้ผมถูกต่อว่าจากคุณบุญมีบอกว่าคล้ายๆกับว่าผมเล่นตัวเหลือเกิน กว่าจะมาได้ตั้งปีกว่า โดยที่ได้พยายามผัดผ่อนมา
เรื่องนี้ไม่ใช้ว่าเล่นตัวหรอกครับเพราะรู้สึกว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็มี ไม่ค่อยเท่าไหร่ ยิ่งความรู้ทางอภิธรรมก็ยิ่งวัดไม่ได้เลย นี่พูดตามภาษาวิทยาศาสตร์
 
ความรู้ทางพุทธศาสนาก็มีน้อยเหลือเกิน เพียงแค่บวชพรรษาเดียว แล้วยังสนใจบ้าง ไม่สนใจบ้างเรื่อยๆมา จึงรู้สึกหนักใจเป็นอันมาก

ฉะนั้นที่ผัดผ่อนมาเป็นเวลาปีเศษนี้ ไม่ใช้เพราะเล่นตัวหรอกครับ เป็นเพราะว่ายังไม่อยากประจานตัวเองให้ถูกซักฟอกมากกว่า แต่วันนี้ก็รู้สึกว่าได้เตรียมมาด้วยความรู้อันเล็กน้อยพอจะพูดได้ จึงลองมาเสี่ยงเสียทีหนึ่ง มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าจะถูกกล่าวหาไปกว่านั้นอีก

ความรู้ทางพระพุทธศาสนาที่ผมได้เริ่มสนใจมา ออกน่าประหลาดอยู่สักหน่อย..
คือไปสนใจเอาตอนยังเป็นเด็กอยู่ คือประมาณ ๑๗–๑๘ ที่สนใจนั้นก็เพราะอะไร..
ไปเมืองนอกอายุมันก็ยังน้อย

เรื่องพระพุทธศาสนาก็รู้แต่เพียงประวัติของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร อย่างมากก็แค่เพียงสอบผ่าน ม.๘ ไปเท่านั้นเอง ทีนี้ไปถูกเพื่อนฝรั่งเขาถามว่า นับถือศาสนาอะไร ผมก็ตอบว่า...พระพุทธศาสนาไงล่ะ

เขาถามว่าพระพุทธศาสนานี้พูดถึงเรื่องอะไร เลยจนมุม
ไม่รู้ว่าพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง ไม่รู้แม้แต่ว่าเป็นทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์
จึงเกิดสนใจขึ้นมาก็ไปหาหนังสือตำราอ่าน เป็นตำราภาษาอังกฤษทั้งนั้นเลยทิ้งมันอยู่แค่นั้นเอง

จนกระทั้งเมื่ออายุ ๔๐ กว่าได้ไปบวช ตอนนั้นแหละได้เนื้อได้หนังเล็กน้อยว่า
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเกี่ยวกับอะไร ? ศึกษาธรรมะดีอย่างไร?

จึงค่อยมีความรู้ขึ้นบ้างแต่ก็ไม่มากนัก จนกระทั้งไปถึงคราวหนึ่งเมื่อสึกออกมาแล้วได้อ่านตำราเพิ่มเติมขึ้น และได้มาฟังอาจารย์บุญมี เมธางกูรท่านประธานนี้แหละครับ ก็เลยรู้สึกว่าคล้ายๆกันมากทีเดียวในระหว่างวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาจึงได้ หวนคิดถึงคำของศาสตราจารย์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของผมเองคนหนึ่ง ซึ่งท่านสนใจในพุทธศาสนามาก..

ท่านเคยคุยกับผมว่าเป็นพุทธศาสนิกชนก็ดีแล้ว เพราะว่าวิทยาศาสตร์นี่มีหลักการเดียวกันกับพุทธศาสนาเลยทีเดียว

ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อไปอีก เพราะตัวเอง ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร.
ทีนี้ก็มาถึงตอนเผลอตัวไปรับปากกับ..อาจารย์บุญมีเข้า เมื่อปีกว่ามานี้เอง..ว่าจะมาบรรยายให้ท่านสาธุชนทั้งหลายฟังบ้างในโอกาศอันสมควร

จึงนึกได้ว่า..เห็นจะไม่ได้เรื่องแล้ว ความรู้ทางพระพุทธศาสนาก็กระท่อนกระแท่นเต็มที.. ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็ใช้ว่าดีเด่นเหลือเกินจนถึงกับมาบรรยายอะไรๆได้.. ก็เลยต้องรีบอ่านๆรวบรวมมาดู อาศัยภูมิเก่าบ้าง อาศัยผู้รู้บ้าง ก็พยายามทำดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ด้วยความสามารถที่มีอยู่อันจำกัดนี้ ก็เท่ากับมาคุยให้ท่านทั้งหลายฟังตามทัศนะของผมเท่านั้น.

เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ เราจะพูดถึงวิทยาศาสตร์ให้หลักการของ พระพุทธศาสนาอะไรบ้างที่เป็นหลักการใหญ่ๆ

ซึ่งเป็นแก่นของวิทยาศาสตร์เลยทีเดียวผมจะพยายามคุยให้ท่านฟังเท่าที่ความ สามารถอันจำกัดนี้จะทำได้ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้าง

แต่ผมเชื่อว่าคงจะเป็นที่พอใจแก่ท่านประธานกรรมการเป็นอันมาก
เพราะท่านพยายามที่จะสนับสนุนผมให้เป็นองค์ปาฐกอยู่นานแล้ว
รู้สึกว่าท่านเชื่อมั่นในตัวผมอย่างมากมายเหลือเกิน จนผมรู้สึกกระดาก.. บางทีท่านก็บอกว่า เป็นตั้งอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์แบบนี้ต้องรู้วิทยาศาสตร์แน่


แต่โดยมากพวกนักวิทยาศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์นี่ก็เหมือน.กับพุทธศาสนาแหละครับ คนที่เรียกตัวเองว่าพระอรหันต์ก็แบบเดียวกันกับวิทยาศาสตร์พูดว่าตัวเองเป็น นักวิทยาศาสตร์เหมือนกันครับ คือคนที่มีความเป็นพระอรหันต์แล้ว หรือปริญญาทางวิทยาศาสตร์แล้ว

เขาก็ไม่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์หรอก คนอื่นนั้นแหละเรียก อาจารย์บุญมีท่านเรียกว่าอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอด

ไม่อย่างนั้นเป็นอธิบดีไม่ได้หรอก อาจารย์บุญมีอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ และอาจผิดหลักพุทธศาสนาด้วย แล้วก็ผิดหลัดวิทยาศาสตร์ด้วย ที่เรียกผมโดยไม่มีข้อพิสูจน์.. เรียกตามที่เขาเรียกๆกันมา เล่ากันมา ผิดหลักความเชื่ออย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
 
เอาละ ผมขอเข้าเรื่องเสียที ผมมีความรู้สึกว่าสำหรับหลักของวิทยาศาสตร์นั้น เราจะเห็นว่าตรงกับหลักการใหญ่ของพุทธศาสนาเลยทีเดียว

 
วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยแท้จริงให้รู้ว่า ธรรมชาติของสิ่งของนี่เป็นอะไรจนถึงแก่นสุดท้าย อันนี้แหละผมว่าตรงกับหลักของพระพุทธศาสนา
 
แต่พุทธศาสนาไม่ใช้จะศึกษาเรื่องของแก่นแต่ละอย่างว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น
ยังศึกษาไปถึงเรื่องจิตของมนุษย์อีกด้วย ทางวิทยาศาสตร์ศึกษามีวงจำกัดแต่เพียงว่า.. ของต่างๆ วัตถุต่างๆ ในธรรมชาติให้รู้จริงว่า อะไรเป็นอะไรเท่านั้น

แต่พุทธศาสนาไปไกลกว่านั้นมากทั้งวัตถุ คือ..รูปธรรมถึงนามธรรม ...และต่อไปจนถึงท้ายที่สุด

ดังนั้นหลักการซึ่งตรงกันมาก แต่วิทยาศาสตร์ไม่ลึกซึ้งไม่กว้างขวางเท่าทางวิทยาศาสตร์
ถือว่าก่อนที่จะเชื่ออะไร ก่อนที่จะถือเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ได้นั้น นักวิทยาศาสตร์หรือผู้ที่จะศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำเป็นจะต้องศึกษาใคร่ครวญ ด้วยตนเอง ใคร่ครวญศึกษาด้วยตนเองเท่านั้นไม่พอ ต้องทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง
 
ถ้าผลปรากฏนั้นเป็นไปอย่างที่เขาพูดหรือตามหลักการที่เขาเชื่อกันจึงจะ นับถือได้ จึงจะยอมยกย่องว่าเป็นของแท้ ของจริง นั่นตามหลักการวิทยาศาสตร์

เพราะ ฉะนั้น เราจะเห็นว่านักวิทยาศาสตร์นี่ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผล และจะเชื่ออะไร ไม่ใช่ว่าเพราะมีเหตุมีผลเท่านั้น ยังต้องทดลองปฏิบัติตามได้ด้วย และผลของการปฏิบัติตามนั้น จะต้องเป็นผลอย่างเดียวกันเสมอไปไม่ว่าที่ไหน

คืออย่างผมปฏิบัติได้ คนอื่นก็ต้องปฏิบัติได้ด้วยและผลที่ได้ ถ้าปฏิบัติอย่างเดียวกันจะต้องได้ผลเหมือนกันเสมอไปไม่มีพลาดหลักการอันนี้ เป็นหลักการของวิทยาศาสตร์ เป็นหลักการใหญ่ทีเดียว
 
จะตามเขาไปเฉยๆไม่ได้จะเชื่อเขาเพราะอาจารย์พูดไม่ได้ จะต้องลองปฏิบัติใคร่ครวญเหตุผลด้วยตนเอง ด้วยปัญญาของตนเอง ต้องทดลองปฏิบัติด้วยตนเองผลที่ได้...จะต้องเกิดขึ้นกับตนเอง แล้วจึงจะสมควรเชื่อตามเหตุผลของการปฏิบัติ และเหตุผลของทฤษฎีอันนั้น
 
หลักการของพระพุทธเจ้า ผมเชื่อว่าเท่าที่ผมมีความรู้น้อยๆนี้ตรงกันใช่ไหมครับ ตรงกันจริงทีเดียว ว่าก่อนที่จะทำอะไรนั้นก็อย่าเพิ่งเชื่อ รับฟัง รับทราบ แล้วก็ใคร่ครวญดู แล้วก็ทดลองปฏิบัติดู แล้วผลที่ได้มาจะประจักษ์กับตนเองว่า อันนี้จริงหรือเปล่าถ้าจริงแล้วจะนับถือหรือไม่นับถือนั้นอีกเรื่องหนึ่ง
 

ฉะนั้นผมจึงได้ว่าหลักการใหญ่ของพุทธศาสนานั้นตรงกับหลักการของวิทยาศาสตร์ ที่ใช้กันอยู่อีกอย่างหนึ่งที่จะเห็นกันได้ง่ายๆทีเดียว ก็คือตัวพระพุทธเจ้าเองนั้นตามพุทธประวัติท่านที่อ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นสมัยนี้ซึ่งสมัยที่วิทยาศาสตร์กำลังขึ้นหน้าอยู่ พระองค์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ผู้ประเสริฐที่สุด
 
เพราะว่าพระองค์ได้ปฏิบัติตามหลักการของวิทยาศาสตร์เรื่อยตลอดมา.. เริ่มต้นด้วยกำหนดเป้าหมาย แล้วก็ทดลองปฏิบัติดู โดยใช้วิธีของอาจารย์ต่างๆ ของศาสตราจารย์ต่างๆ ที่มีอยู่ขณะพุทธกาลนั้น เอามาลองปฏิบัติด้วยพระองค์เอง..

เราจะเห็นว่าทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างบำเพ็ญทุกรกิริยา ลองตามวิธีของอาจารย์หรือตามความรู้ที่มีอยู่ทุกอย่าง เมื่อผลที่ได้ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์พระองค์ก็ต้องหา วิธีอื่น และด้วยวิธีการนั้นเองที่ทำให้พระองค์ตรัสรู้
 
ดังนี้ จะเห็นได้ว่า พระองค์ท่านได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์...สมัยนี้จะต้องทำ ทุกๆ ปัญหาไป ขั้นต้นก็ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ ขั้นที่สองก็ดูว่า คนอื่น เขาทำอะไรแล้วบ้าง ขั้นที่สามอะไรที่เห็นว่าอาจจะเป็นไปได้ก็ลองปฏิบัติดู ถ้าวิธีดำเนินการต่างๆ ที่พร่ำสอนกันมาไม่ได้ผล เราก็ต้องหาวิธีใหม่ นี้เป็นหลักการของวิทยาศาสตร์

ดังนั้นพระพุทธองค์นั้น กระผมนึกว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกได้

ทีนี้ปัญหาเมื่อกี้นี้เอง ที่ผมถามท่านประธานกรรมการมูลนิธิว่า.. นักวิทยาศาสตร์ที่มีเชื่อเสียงมีประวัตินานอย่างมากก็ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีเศษๆเท่านั้น และก็ไม่มีมากนัก พอจะนับตัวได้ และก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ค่อยเด่นอะไรนัก
 
แต่พระพุทธเจ้าของเรานี้ตั้ง ๒๕๐๐ ปีกว่ามาแล้ว ท่านไปเอาหลักการของวิทยาศาสตร์มาจากไหน เมื่อกี้นี้อาจารย์บุญมีก็ตอบผมว่า ก็ท่านเป็นสัพพัญญูนี่ ท่านรู้แจ้งเห็นจริงนี่ ท่านตรัสรู้โดยพระองค์เองนี่ ถ้าเอาเวลาเข้ามาเปรียบเทียบกันเข้าแล้ว

ก็พอจะเห็นได้ว่า วิทยาศาสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์นี้ล้าหลังกว่าพระพุทธศาสนาและพระพุทธเจ้า ตั้ง ๑,๐๐๐ กว่าปี เพราะว่า หลักการของพระพุทธศาสนาเอง .

หลักการที่พระพุทธองค์ได้ปฏิบัติมานี้ เป็นหลักการที่นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องใช้อยู่ทุกวัน.. ทุกเวลา.. ทุกวินาที และยังจะต้องใช้ตลอดไป …

นอกจากหลักการตรงกันแล้ว ยังมีธรรมะข้ออื่นอีกหลายข้อที่เป็นธรรมะข้อใหญ่ๆ ตรงกับที่นักวิทยาศาสตร์ใช้อยู่ทุกวันนี้ เช่นในเรื่องลักษณะของพระธรรมทั่วๆไป ลักษณะ ๓ ประการ คือ
 
ประการที่หนึ่ง ท่านได้แสดงธรรมเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ไม่อำพราง
ประการ ที่สอง ประกอบด้วยเหตุผลซึ่งผู้ฟังสามารถพิจารณาเองได้
ประการ ที่สาม มีปาฏิหาริย์ คือเกิดผลอัศจรรย์ที่ผู้ปฏิบัติตามจะได้รับ
 
อันนี้เป็นหลักการของทฤษฎี กฎเกณฑ์การศึกษาการวิเคราะห์วิจัย ทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน คือวิทยาศาสตร์จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทฤษฎีนั้นๆ จะต้องเป็นการสามารถเพิ่มพูนความรู้ คนที่ศึกษาทางวิทยาศาสตร์จะรู้แจ้งเห็นจริง ว่าเป็นอย่างนั้นเสมอไป แล้วก็ประกอบด้วยเหตุผล

เหตุผลนั้นก็เป็นไปตามหลลักการของวิทยาศาสตร์ซึ่งผู้รับไปพิจารณาเองได้ และ อย่างที่สามก็คือเกิดผลแก่ผู้ที่ปฏิบัติตาม
 
ผู้ที่ปฏิบัติตามอย่างนั้นแล้วจะเกิดผลเช่นเดียวกันอย่างแน่นอนลักษณะทั่วๆ ไปของพระธรรมกับของวิทยาศาสตร์จึงตรงกันอย่างไม่มีคลาดเคลื่อนเลย
 
พูดถึงพระธรรมโดยทั่วไปแล้ว พระธรรมก็เหมือนกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้นยังมีลักษณะทั่วไปที่ตรงกัน อีกอันหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นทฤษฎีเป็นกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว..ย่อมทนต่อการพิสูจน์ได้เสมอ ย่อมไม่พ้นการสมัยหรือไม่ประกอบด้วยการ นี่ก็ตรงกับลักษณะทั่วไปของพระธรรมเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งที่ผมใคร่จะกล่าวถึง ก็คือกฎแห่งกรรม
 
กฎแห่งกรรมซึ่งเป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง
ทางวิทยาศาสตร์ก็มีเหมือนกัน แต่ช้ากว่าของพุทธศาสนาราว ๒,๐๐๐ ปี.. คือกฎของเซอร์ ไอเซค นิวตัน (ผมรู้เอาเองว่า ตรงกับกฎแห่งกรรม)

นิวตันเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่ง กฎนี้กล่าวโดยบทสรุปง่ายๆ ได้ดังนี้ ทฤษฎีหรือกฎอันนี้เราใช้กันทั่วไปทางวิทยาศาสตร์ คือ เวลาเรากระทำอะไร ไปอย่างหนึ่งหรือเราใช้พลังงานไปอย่างหนึ่งกับวัตถุสิ่งใด จะมีผลสะท้อนกลับมาในทิศทางที่ตรงกันข้าม ด้วยพลังงานเท่ากับที่เราใช้กระทำไปกับสิ่งนั้น

สมมติ ว่า เรากระแทกปังหรือทุบปังลงไปที่โต๊ะ ที่เราเอามือทุบโต๊ะปังนี้ ..ตามกฎของนิวตันจะอธิบายได้ว่าขณะเดียวกันกับที่เราใช้กำลัง สมมติว่า ๑๐ ปอนด์ต่อ ๑ ตารางนิ้ว ทุบปังลงไปที่โต๊ะนี่จะมีพลังงานสะท้อนขึ้นมา ๑๐ ปอนด์ต่อตารางนิ้วเท่าที่เราทุบงไป แต่ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่เรากระทำ จึงทำให้มือเราเจ็บและจะอธิบายหลักกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาก็คงจะอธิบายได้ กระมังว่า กรรมที่เราทุบโต๊ะ ทำให้มือเรารับกรรมสนองพลอยเจ็บไปด้วยอย่างนี้เป็นต้น

ผมเข้าใจว่าตรงกัน เพียงแต่ทางวิทยาศาสตร์เห็นได้ง่ายกว่ามาก
เรื่องผลที่ได้รับก็เช่นกัน อาจช้าไป อาจไม่เท่ากัน อย่างเราเอาหัววิ่งเข้าชนกำแพงตามกฎของนิวตันจะเท่ากับกำแพงวิ่งเข้าชนหัว เราแรงเช่นกัน

แต่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม ทำให้หัวเราเจ็บบางทีขณะนั้นหัวเราเจ็บไม่เท่าไรหรอกครับ เพียงแต่โน แต่ช้ำ แต่ความกระทบกระเทือนที่เกิดขึ้นภายหลังนั้น อาจมีผลสะท้อนตามมาอีกได้ เช่น โรคประสาทเป็นต้น
 

อย่างในกฎแห่งกรรมตามหลักพุทธศาสนา บางคนถึงได้บ่นว่าทำดีไม่ได้ดี
 
คำว่าได้ดีคงหมายความว่า ต้องได้ดีทันทีที่ทำ ต้องตอบสะท้อนเหมือนกับกฎของนิวตันจึงจะสมอยาก การจะไปได้ดีบ้างบางส่วนตามกาลเวลานั้นชักไม่ชอบใจ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 23, 2010, 04:34:17 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28595
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๒)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 04:43:47 pm »
0
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๒)
ปาฐกถา โดย ศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์
โพสท์ในกระทู้ลานธรรม มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ โดย อ.วิชิต ธรรมรังษี -  [18 มี.ค. 2547]

ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีตัวอย่างที่พอเห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่งก็คือ.เรื่อง ระเบิดเวลา พอเรากดสวิทช์ปั๊บ นั้นแหละเราทำงานแล้วครับ เรากดสวิทช์แล้ว แต่เวลานั้นก็ค่อยๆเคลื่อนไปๆไปจนถึงเวลาที่เราตั้งไว้จึงจะระเบิด ซึ่งอาจจะเป็นวันหนึ่ง หรืออาจจะไม่กี่นาที หรืออาจจะเป็นชั่วโมงๆก็ได้

ทำไมไม่ได้ผลของกรรมทันที อาจจะมาในรูปอื่นได้หลายอย่าง ทางวิทยาศาสตร์..ก็มาในรูปอื่นได้เหมือนกัน สมมติว่าเราเอาสสารเปลี่ยนเป็นพลังงาน ซึ่งเท่ากับเปลี่ยนมวลเป็นพลังงาน แต่รวมความแล้วก็เหมือนกับหลักของพระพุทธศาสนา...



คือกฎแห่งกรรม ผลสะท้อนจึงต้องมีอยู่วันยังค่ำ แต่จะสะท้อนมามากน้อยเมื่อไรเวลาเท่าไร จะต้องมีอยู่เสมอ อันนี้ก็ไปเข้าหลักใหญ่ของวิทยาศาสตร์อีกอันหนึ่ง


คือกฎที่เรียกว่า Law of Conservation of Mass (ลอร์ ออฟ คอนเซอร์เวชั่น ออฟ แมสส์) หมายความว่ามวลของสสารนี่ไม่สูญหายอะไรไปเลย ยังคงที่อยู่เสมอ แต่อาจเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้ กฎอีกอันหนึ่งเขาเรียกว่า Law of Conservation of Energy (ลอร์ ออฟ คอนเซอร์เวชั่น ออฟ เอเนอร์ยี่) หมายความว่าพลังงานจะต้องมีคงที่อยู่เสมอไป ไม่หมดหายไป แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงไป

แต่เดียวนี้หลักจากไอนสไตน์ ท่านทั้งหลายคงได้ยินชื่อแล้ว เป็นนักวิทยาศาสตร์และนักคำนวณชั้นยอดคนหนึ่ง เมื่อปีราวๆ ๒๔๔๘ (ค.ศ.๑๙๐๕) ได้พบความสัมพันธ์ระหว่างกฎ ๒ อันนี้ว่า
 
... พลังงานกับมวลของสสารเปลี่ยนกลับกลับมาได้ จากพลังงานเป็นสสารก็ได้ จากสสารเป็นพลังงานก็ได้ ทำไมผมเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ผมเพิ่งรู้เมื่อกี้นี่เองแหละครับ จากท่านอาจารย์ บุญมี เมธางกูร ประธานกรรมการอภิธรรมมูลนิธิ .. พระพุทธเจ้าท่านทรงพระดำรัสมาตั้งนานแล้ว ตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วว่า

พลังงานและสสารต่างก็เป็นรูป เมื่อต่างก็เป็นรูปแล้วก็ย่อมเปลี่ยนกันกลับไปกลับมาได้.. มีสมการอยู่อันหนึ่งของนายไอส์ไตน์ คือ พลังงานทั้งหมดเท่ากับน้ำหนักของสสาร คูณด้วยความเร็วของแสงยกกำลังสอง

ถ้าจะเปลี่ยนมวลเป็นพลังงาน สสารหนักหนึ่งกิโล จะได้พลังงานทั้งหมดที่สหรัฐ.สามารถผลิตได้ในหนึ่งปี อะไรก็ได้ครับ หนักหนึ่งกิโลเท่านั้นแหละ หลังจากนายไอส์ไตน์ค้นพบสมการอันนี้ ๔๐ ปีเศษ

จึงได้มีคนพิสูจน์ทดลองได้ในปลายสงครามโลกครั้งที่สองด้วยระเบิดปรมาณูลูก แรก แต่ลองนึกดูซิครับ ห่างกันแค่ ๒,๕๐๐ กว่าปี.. แต่มาตรงกันได้ อันนี้ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

แต่อย่างไรก็ตามแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่ง ใหญ่
ธรรมะใหญ่อีกอันหนึ่งที่ผมเห็นว่า มีหลักวิทยาศาสตร์ใกล้กันมากก็คือที่เรียกว่า.. สังสารวัฏฏ์ หรือ วัฏฏสงสาร ทางวิทยาศาสตร์มีปฏิกิริยาชนิดหนึ่งเรียกว่า.... ปฏิกิริยาลูกโซ่ เช็นรีแอคชั่น (chain reaction) พูดกันง่ายๆ

ขออนุญาตใช้ภาษาธรรมะหน่อยนะครับ คือว่ากรรมอีกอันหนึ่งทำให้เกิดผลอีกอันหนึ่ง
แล้วผลของอันนั้นกลับจะไปทำให้เกิดการกระทำอีกอันหนึ่ง

พูดตาม ภาษาเช็นรีแอคชั่น.. ของนักวิทยาศาสตร์ก็หมายความว่า ปรมาณูหนึ่งถูกยิงด้วยลูกกระสุนปรมาณูอีกอันหนึ่ง ปรมาณูแตกออกไปเป็นอนุภาคเศษของปรมาณู.. อนุภาคที่แยกออกไปสมมติว่าเป็น ๒ อัน

๒ อันนี้มันจะไปกระแทกปรมาณูที่อยู่ใกล้หรือที่อยู่ไกลออกไปหน่อย ทำให้แตกแยกออกไปอีกต่อเนื่องกันไป จาก ๑ เป็น ๒ จาก ๒ เป็น ๔ จาก ๔ เป็น ๘ เหมือนกับปฏิกิริยาที่เกิดในลูกโซ่
 
การกระทำกับห่วงลูกโซ่ห่วงหนึ่งจะมีผลสะท้อนไปถึงห่วงอื่นๆตลอดสายโซ่ ผลสะท้อนจะเกิดขึ้นเรื่อยไปจนกว่าจะหมดพลังงาน

บางครั้งเกิดมากจนกระทั้งไม่สามารถควบคุมได้ ถ้าอันไหนทำให้เกิดในอัตราที่ควบคุมได้แล้ว และค่อยๆปล่อยออกมาแล้ว อันนั้นจะเป็นพลังงานมหาศาลที่มีประโยชน์ในทางสันติมาก


อย่างที่เราใช้พลังงานปรมาณูต่างๆในทางสันติหลายอย่างได้ทั้งในทางการแพทย์ การอุตสาหกรรมก็โดยอาศัย เชนรีแอคชั่น หรือ ปฏิกิริยาลูกโซ่นี่ ให้อยู่ในระบบที่ต้องการด้วยการพยายามค่อยๆปล่อยให้มันเกิดทีละน้อยๆแล้วเอา ผลของพลังงานที่เกิดขึ้นนั้นไปใช้

หลักของการหลุดพ้นของพุทธศาสนาจากวัฏฏสงสารก็เหมือนกับควบคุมปฏิกิริยาลูก โซ่ แต่ผมว่าเหนือกว่า เพระว่าการที่จะทำให้หลุดพ้นออกไปจากวัฏฏสงสารได้นั้นปฏิบัติได้ยากมาก

ทางวิทยาศาสตร์เพียงแต่ควบคุมว่า ให้มันออกมาในปริมาณที่เราต้องการ..ในเมื่อเราต้องการเท่านั้นเอง ไม่ถึงกับหลุดพ้นไป เพราะฉะนั้นจึงเพียงใกล้เคียงกัน แต่ยังอ่อนกว่ากันมาก
 
ท่านทั้งหลายคงจะทราบมาแล้วว่า ..มีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกหลายคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องวัฒนาการหรือ ที่ เรียกว่า อีวอลูชั่น เป็นที่รับรองกันทั่วไปว่า ในโลกนี้ ชีวิตเริ่มต้นจากพลังงาน พลังงานนั้นมารวมกันเข้าก็ก็เกิดเป็นสสาร
 

สสารหลายๆล้านปีเข้าก็วิวัฒนาการเป็นสัตว์เล็กๆเซลล์เดียว.. จากเซลล์เดียวนั้นก็ค่อยๆวิวัฒนาการเรื่อยๆขึ้นมา ...จนกระทั้งมาถึงมนุษย์... อันเป็นสัตว์อันประเสริฐ แล้วมนุษย์นั้นก็วิวัฒนาการต่อไป (โดยมนุษย์ไม่ค่อยจะรู้ตัวนัก) ..

ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อมและสิ่งที่ควบคุมบีบบังคับ กฎนี้เป็นกฎใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์สาขาชีววิทยาทีเดียว

ผมเผอิญไปอ่านเรื่องของฝรั่งคนหนึ่ง ซึ่งสนใจในพุทธศาสนามาก แล้วมาพิจารณาด้วยตนเอง รู้สึกว่าเป็นความเห็นน่าทึ่งมาก เขาบอกว่า...

การที่สัตว์เซล์เดียวยืดตัวเข้าๆออกๆเคลื่อนที่ไป นั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อหาอาหารที่จะไปหล่อเลี้ยงชีวิตของมัน เพื่อความเจริญเติบโต หรือว่าเพื่อการสืบพันธุ์ เพิ่มพวกของมันเองให้มากขึ้น ครั้นเห็นว่าไม่เหมาะสมก็วิวัฒนาการให้มีครีบหางเป็นปลาขึ้นมา จากปลาหาอาหารลำบาก ก็มามีเท้า มีอะไรเกิดขึ้นกลายเป็นสัตว์บก


สัตว์บกยังหาอาหารยากลำบากอีก ยังไม่เหมาะสมอีก ก็มีปีกขึ้นมาเป็นสัตว์บิน สัตว์บินนั้นสู้ศัตรูไม่ได้อีก.. ก็เพิ่มเกราะให้หนาขึ้นๆอีก ทำอย่างนี้เพื่ออะไร ตามหลักวิทยาศาสตร์เห็นว่า.. อันแรกอันเดียวจุดประสงค์ส่วนใหญ่ของการวิวัฒนาหรืออีวอลูชั่นนี่ ..ก็เพื่อความอยาก อยากอะไร อยากอาหาร นักวิทยาศาสตร์เขาว่าอย่างนั้น

ผมก็อยากให้เกียรติคนที่เขาพูดถึงเรื่องนี้สักหน่อย เขาเขียนไว้เลยทีเดียวว่า...
ความอยากนั้นคือตัวตัณหาของพุทธศาสนานั้นเอง
 
เพราะฉะนั้นตัณหานี่เองที่ทำให้เกิดกฎแห่งวิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์ แล้วก็ถ้าหมดตัณหาเมื่อไร ก็ไม่มีการวิวัฒนาการเมื่อนั้น ผมถึงได้เห็นว่าตัณหานี่ถ้าเราตัดเสียได้เมื่อไร เราก็ไม่ต้องวิวัฒนาการเมื่อนั้น

ทีนี้หลักเกณฑ์ใหญ่ของ ... อีวอลูชั่น...ที่เราคิดว่า คนมาจากลิง หรือแยกสายมาจากลิงอะไรนี่นะครับ มันวิวัฒนาการเพราะอะไร และผมค่อนข้างจะคล้อยตามไปกับนายฝรั่งคนนั้นว่า
 

มันสืบเนื่องมาจากตัณหาดังในพุทธศาสนามากกว่าจะเกิดขึ้นเอง เพราะว่าความอยากจะยิ่งใหญ่เนื่องจากตัณหาอยากจะกิน อยากจะครองเป็นเจ้าโลกนั่นเอง เลยทำให้ตัวของมันเองวิวัฒนาการเรื่อยๆ ขึ้นไปจนกระทั้งน้ำหนักก็มากการเคลื่อนไหวก็อุ้ยอ้าย

เคยกินเพียงไม่กี่ร้อยกรัม ตัวใหญ่เข้าก็ต้องกินเป็นตัน ตัวใหญ่ขึ้นก็เป็นเป้ามากขึ้น ต้องมีการป้องกันตัวมากขึ้นจึงต้องเพิ่มเกราะให้ตัว เพิ่มร่างกายให้สูงใหญ่ เพิ่มอาวุธอะไรสำคัญๆติดตนให้มากขึ้น ทั้งนี้และทั้งนั้นเกิดมาจากตัณหาของสัตว์เหล่านั้นเอง และที่มนุษย์เรากำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารนี้

ผมเห็นว่าเนื่องจากความต้องการ ความอยากทั้งสิ้น อันนี้ก็อีกนั้นแหละผมเห็นว่าตรงกัน
หลักใหญ่อีกอันหนึ่งที่ผมเห็นว่าตรงกันมากทีเดียว เรื่องนี้ท่านผู้รู้ทั้งทางแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ได้พุดกันมาตลอดเวลา ก็คือไตรลักษณ์ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนิจจังนี่ ทางแพทย์ได้พูดกันมาตลอดเวลา.... และเมื่อกี้อาจารย์บุญมีก็ได้คุยให้ผมฟังว่า แพทย์หลายคนท่านก็เห็นด้วย แล้วท่านก็มาศึกษาอยู่ที่นี่ ว่าพรรค์นี้ไม่เที่ยง

ทีนี้ลองมาพิจารณาในแง่..ไม่ใช้ของแพทย์บ้างเรารู้จากแพทย์แล้วว่าร่างกาย ตั้งแต่เกิดมามีการเปลี่ยนแปลง

เป็นอย่างไร ผมเป็นอย่างไร ฟันฟางเป็นอย่างไร เนื้อหนังเหี่ยวย่นเป็นอย่างไร ..เราเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก ภายในวงแพทย์ก็บอกว่า เลือดประกอบด้วย เม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาวหลายชนิด
 
เม็ดโลหิตแดงเปลี่ยนใน ๑๒๐ วันเปลี่ยนใหม่หมดเลย เม็ดโลหิตขาวตั้งแต่วันหนึ่งจนถึง ๑๕ วันก็เปลี่ยนแล้วอย่างผิวหนังทั้งหมดที่เราเห็นนี่ก็ภายใน ๑๗ วัน เปลี่ยนหมดเลย ทั้งตัวหรือ กระดูกของเราที่เห็นเป็นของถาวรก็ยังเปลี่ยนอยู่เรื่อย อย่างนี้เป็นความไม่เที่ยง ความที่ต้องผันผวนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งตรงกันกับอนิจจัง
 
ทีนี้มาฟังในแง่ของนักวิทยาศาสตร์ทางพลังงานปรมาณูบ้าง เราจะเห็นว่า....เรื่องอณูหรือปรมาณูนี่ พระพุทธเจ้าได้ทรงพระดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนในชื่อ ของไตรลักษณ์ก่อนที่เราจะรู้เรื่องว่า ..สสารนี่มันประกอบด้วยปรมาณูหรืออณูอย่างไรตั้ง ๒,๐๐๐ ปีล่วงมาแล้ว.. ความรู้ทางปรมาณูของเราเพิ่งมีเด่นชัดในรอบศตวรรษนี้เองเท่านั้น

 
สำหรับในเรื่องของอนิจจังนี้ ถ้าเรามองลงไปในลักษณะของอนุภาคที่เล็กที่สุดทางวิทยาศาสตร์ที่ยังคงรักษา คุณสมบัติของมันได้ก็คือ ปรมาณู ที่จริงมีอนุภาคเล็กลงไปกว่านั้นอีก เล็กกว่าปรมาณูอีกซึ่งเป็นองค์ประกอบของปรมาณูนั้น คิดอย่างหยาบๆเราก็ว่ามีอยู่ ๓ อัน
 
คือ มีอีเลคตรอน มีโปรตรอน มีนิวตรอน และมีแกนเล็กๆเหมือนอย่างกับดวงอาทิตย์ในจักรวาลของดวงอาทิตย์ ซึ่งเราเรียกว่านิวเคลียส ข้างนอกแก่นมีอีเลคตรอนโคจรอยู่ อีเลคตรอนนี้มีน้ำหนักน้อยเท่ากับประมาณ ๑ ส่วนใน ๑,๘๐๐ ส่วนเศษๆของน้ำหนักของโปรตรอน คือหมายความว่า น้ำหนักของปรมาณูทั้งหมด

อนุโลมได้ว่ามาจากตัวนิวเคลียส อีเลคตรอนนี้เป็นสารซึ่งมีประจุไฟฟ้าลบ ส่วนโปรตรอนนั้นประจุไฟฟ้าบวกอยู่ในนิวเคลียส ในแกนกลางของมันนี้ยังมีนิวตรอนอีก ซึ่งไม่มีประจุไฟฟ้าเลย แล้วก็ทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่เฉยๆนะครับ เคลื่อนที่หรือหมุนอยู่ตลอดเวลา และเป็นไปอย่างมีระเบียบเสียด้วย

เหมือนอย่างพระจันทร์หรือโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ หมุนอยู่เรื่อยในวงโคจรที่มีระเบียบ นักวิทยาศาสตร์เขารู้เขาพิสูจน์มาแล้ว คุณสมบัติของการรวมตัว การแยกตัวทางเคมี ขึ้นอยู่กับอีเลคตรอนที่อยู่รอบนอกสุดของวงโคจร หัวเข็มหมุนหนึ่งหัวจะมีปรมาณูนับล้านๆปรมาณูทีเดียว


แต่ในปรมาณูนี้ ยังมีที่ว่างอีกตั้งแยะ คือนอกจากแกนกลางของมันนี้กับอีเลคตรอนที่วิ่งอยู่รอบๆแล้วยังมีที่ว่างอีก มากทีเดียว มีความว่างคล้ายๆกับไม่มีอะไรเลย มันว่างยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

โดยหลักเกณฑ์อันนี้ ว่าคล้ายกับความว่างในสุริยจักรวาลนั่นทีเดียว ถ้าเรามองลึกลงไปอย่างพระพุทธเจ้ามอง แม้แต่ผิวหนัง แม้แต่เซลล์ๆเดียวยังประกอบด้วยปรมาณูหลายล้านปรมาณู และในปรมาณูหนึ่งๆยังมีที่ว่างอยู่อีกมากมาย

ถ้าขยายปรมาณูหนึ่งให้เท่ากับลูกฟุตบอล เจ้าตัวแกนกลางที่ผมว่านิวเคลียสนั้น มันจะเท่ากับผงอันหนึ่ง ที่จะต้องส่องด้วยกล้องขยายจึงจะเห็น เราลองคิดดูว่า อ้ายแกนกลางอันนี้มันใหญ่กว่าตัวอีเลคตรอนที่มันวิ่งอยู่ข้างนอกเกือบสองพันเท่า

ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเป็นช่องว่างทั้งนั้น ถ้ายิ่งมองให้ลึกซึ้งถึงขนาดนั้น ก็จะยิ่งเห็นความไม่เที่ยงแท้ และที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในทัศนะของผมนั้นก็คือว่า …

ทำไมพระพุทธองค์ถึงได้ทรงตรัสรู้เรื่องนี้มาก่อนตั้งหลายพันปี แล้วทำไมพระองค์ถึงได้ทราบว่า ความไม่เที่ยงแท้ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพียงไหน เปลี่ยนแปลงอย่างเราเห็นได้… เปลี่ยนแปลงอย่างแพทย์เห็นได้ เปลี่ยนแปลงจนกระทั้งอย่างนักวิทยาศาสตร์เห็นได้ พิสูจน์ได้ ไม่ได้หยุดนิ่งละครับ วิ่งจี๋เลยทีเดียวอยู่ในนั้น

และอ้ายตัวแก่นกลางก็หมุนด้วย และถ้าเอาออกมา แกนกลางนั้นก็หมดสภาพของการเป็นปรมาณู เมื่อหมดสภาพของการเป็นปรมาณู เมื่อหมดสภาพของการเป็นปรมาณูแล้วอ้ายเจ้าเซลล์ที่ประกอบด้วยหลายๆล้าน ปรมาณูก็หมดสภาพด้วย

เพราะฉะนั้นมันมีอะไรเที่ยงล่ะ อีเลคตรอนมันถูกก่อกวนอยู่เสมอเท่าที่มันวิ่งอยู่ได้เพราะแรงดึงดูดระหว่าง ที่ตัวแกนของมัน และถ้าแรงดึงดูดนั้นถูกกระทบกระเทือน มันจะยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยตลอดเวลา มันจะอยู่เที่ยงคงที่ได้อย่างไร…

เพราะฉะนั้น สารที่มีกัมมันตภาพรังสี ก็หมายความว่าสารที่มันไม่ถาวรมันปล่อยรังสีออกมาเรื่อยๆแสดงว่ามันกำลัง สลาย สลายแล้วมันก็เปลี่ยนเป็นอีกอันหนึ่ง จากเรเดียมมาเป็นตะกั่ว อย่างนี้และตะกั่วนี่ทีแรกนักวิทยาศาสตร์ก็คิดว่ามันถาวรแล้วละ มันไม่เปลี่ยนอีกแล้ว ที่จริงมันก็เปลี่ยนช้าๆเหมือนกัน อาจเสียเวลาตั้งล้านปีกว่าจะหมด นักวิทยาศาสตร์เข้าใจอย่างนี้ในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง


ถ้ามองในแง่วิทยาศาสตร์ก็ตรงกับคำว่าอนิจจัง ที่เรียกว่ามันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปงอยู่ทุกเมื่อ ท้ายที่สุดอาจจะกลายเป็นพลังงาน อย่างพลังงานปรมาณูที่เรานำมาใช้ ก็จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หลักอีกอันหนึ่งที่ตรงกัน

เรื่องนี้ผมพูดลำบากมากทีเดียว อนัตตา ความไม่มีตัวตน แต่ก็อยากฝากไว้ให้ท่านลองไปคิดดู ผมเล่าถึงโครงสร้างของปรมาณูให้ท่านทั้งหลายฟังแล้ว ท่านไปลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน…

เพื่อให้เห็นชัดขึ้นอีก อยากจะขยายความในเรื่องโครงสร้างของปรมาณูว่า ถ้าแกนของปรมาณูนั้นขยายเท่าดวงอาทิตย์นะครับ เจ้าอีเลคตรอนนั่นเหมือนกับโลกเล็กๆวิ่งอยู่รอบ ดวงอาทิตย์ แล้วยังมีที่ว่างอีกเท่าไรละครับ

แต่ถ้าเปรียบตามส่วนสัดแล้วที่ว่างนั้น ยังว่างมากกว่าระยะทางโลกถึงดวงอาทิตย์ เดี๋ยวนี้กี่ล้านกิโลเมตรก็ไม่ทราบ นั่นแหละถ้าเปรียบขยายอย่างเท่าดวงอาทิตย์ ทั้งหมดในที่นี้มันเป็นที่ว่างทั้งนั้น
 

เพราะฉะนั้น ในร่างกายที่เราเห็นเป็นรูปร่างนี้แหละ ที่เราเชื่อว่าเป็นรูปต่างๆ หล่อบ้าง ไม่หล่อบ้าง แก่บ้าง ไม่แก่บ้าง อะไรอย่างนี้ ถ้ามองทางแพทย์ก็เพียงแต่ไม่น่ามอง ถ้ามองอย่าง นักวิทยาศาสตร์ปรมาณูยิ่งแล้วใหญ่ มันไม่มีอะไรเย มีแต่แกนเท่านั้นแหละ อย่างนี้แล้วจะเห็นว่า มันไม่มีอะไรที่จะยึดถือเลย

นี่ผมก็นึกวาดภาพในทางนั้นนะครับ แล้วผมก็อาศัยข้อคิดเห็นทางนั้น จะเห็นว่าในหลักอนิจจังก็ดี ในอนัตตาก็ดี หรือว่าสุญญตาก็ดี ถ้าจะหาเครื่องเปรียบเทียบ ถ้ารู้ทางวิทยาศาสตร์เสียบ้างละก็อ้ายที่เราจับต้อง

อ้ายที่เราเห็นน่ะ เราไปจับโดนอะไรเข้าผมก็ไม่ทราบ และอีกอันหนึ่งที่ผมเห็นว่าหลักเกณฑ์ของพุทะศาสนาเป็นหลักที่นักวิทยาศาสตร์ น่าเคารพนับถือมากจริงๆก็คือว่า

ในศาสนาอื่นๆนั้นมักจะบังคับทีเดียวว่า จะต้องเชื่อบัญญัติอย่างไม่ต้องโต้แย้ง ไม่ต้องพิสูจน์ ต้องเชื่ออย่างรับเอาเฉยๆทีเดียว จึงเรียกเป็นคนนับถือศาสนานั้นได้

 
สำหรับพุทธศาสนา ไม่มีหรอกครับ มีให้คิดเอาเอง ให้ปฏิบัติด้วยตนเอง เกิดผลปฏิบัติแก่ตนเองทั้งสิ้น จะเชื่อหรือไม่เชื่ออีกเรื่องหนึ่ง แต่หลักศาสนาอื่น
 
ยกตัวอย่างเช่นการสร้างโลก ในพุทธศาสนาไม่ได้บอกว่า
พระพุทธเจ้าหรือพระพรหมอะไรเป็นผู้สร้าง อย่างนี้เป็นต้น แต่ในศาสนาอื่นนั้นเป็นอย่างไร
ท่านทั้งหลายคงจะเห็นแล้วว่าได้กำหนดลงไปทีเดียวว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก
เมื่อเช้านี้ท่านอธิบดีกรมการศาสนายังเล่าให้ฟังทางวิทยุ ท่านบอกว่าไปเยี่ยม..

เยรูซาเล็มมา มัคคุเทศก์เขาบอกว่า ตรงนี้แหละศูนย์กลางของโลก มีลักษณะเป็นแอ่ง และแอ่งนี้เป็นที่ๆพระเยซูยันตัวผุดขึ้นมา เป็นแอ่งนิดเดียว ไม่เห็นมีอะไร เป็นหินธรรมดา
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28595
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๓)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 04:49:29 pm »
0
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๓)
ปาฐกถา โดย ศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์
โพสท์ในกระทู้ลานธรรม มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ โดย อ.วิชิต ธรรมรังษี -  [18 มี.ค. 2547]


กำเนิดของโลกนั้นเท่าที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเดี๋ยวนี้ เป็นมาจากการควบแน่น หรือการรัดตรึงตัวของพลังงาน รวมทั้งแก๊ซต่างๆเข้ามาผสมกัน จนกระทั้งเกิดมาเป็นสสาร สสารหลายอย่างได้รับความร้อน ความกดดัน แสงสว่าง ความชื้น และอื่นๆกลายเป็นสัตว์เซลล์เดียวขึ้น
 
หลักใหญ่อยู่ที่ว่า ไม่มีใครสร้าง เกิดขึ้นมาเองด้วยอาศัยเหตุต่างๆ และวิวัฒนาการต่อไป อย่างที่กล่าวมาแล้ว
 

ทีนี้ท่านอาจจะถามไปอย่างที่ผมเคยถามตัวเองเสมอ ถ้าอย่างนั้นแล้วความชื้นมาจากไหน พลังงานมาจากไหน แสงสว่างมาจากไหน

คำตอบ ก็มีว่า โลกของเราเป็นดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่งของดวงอาทิตย์ พลังงานและแสงสว่างเราได้จากดวงอาทิตย์ …
 
ถ้าถามต่อไปอีกหน่อยว่า ก็ดวงอาทิตย์ล่ะเกิดอย่างไร ก็ตอบได้อีกว่าดวงอาทิตย์อาทิตย์มันมีแก๊ซ และแกนเป็นแก๊ซที่กำลังอยู่ในภาวะที่ปั่นป่วนใหญ่ เป็นอนิจจังขนาดขยายหลายล้านๆเท่าทีเดียว คือว่าผันผวนพัวพันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปล่อยพลังงานและแสงสว่างออกมา

ถ้าถามต่อไปอีกว่า แล้วดวงอาทิตย์ละมาจากไหน แก๊ซในดวงอาทิตย์มาจากไหน ก็ตอบได้ว่า มาจากจักรวาล ดวงอาทิตย์ตั้งหลายพันเท่า ซึ่งมีตั้งหลายหมื่นจักรวาลเหลือเกิน เท่าที่ค้นพบได้เดี๋ยวนี้

ถ้าถามต่อไปอีกว่า จักรวาลอย่างนั้นน่ะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เลยไม่รู้จบรู้จนกัน ถ้าไม่ยอมจบและเป็นคนรู้จักกันก็พอหอมปากหอมคอ ถ้าคนไม่รู้จักกันบางทีอาจ..จะถึงเลือดตกยางออก..นักวิทยาศาสตร์กับนักวิทยา ศาสตร์นะครับ

ถ้าลองถามถึงแก่นขนาดนี้แล้ว ซึ่งถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ทีนี้นักวิทยาศาสตร์ถืออย่างเดียว
 
เวลาที่เขาจะอธิบายอะไรเท่าที่ความรู้และผลการทดลองที่พิสูจน์ถูกต้องพอบอก ได้ในขณะนี้เป็นอย่างนี้ จากนั้นเป็นเรื่องสมมุติฐาน เป็นเรื่องยังรอการพิสูจน์ทดลองทั้งสิ้นฉะนั้น เราจะเห็นว่า ที่พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดถึงว่า กำเนิดโกเป็นอย่างไร ผมก็นึกว่าดีแล้ว ท่านพูดแต่เพียงอิงไปอิงมา

ท่านไม่ได้ตอบปัญหาตรงๆเลย ผมนึกว่าถูกต้องแล้ว การรู้ว่ากำเนิดโลกเป็นอย่างไร กำเนิดมนุษย์เป็นอย่างไร ไม่เป็นทางแห่งความดับทุกข์ เพเราะฉะนั้นเสียเวลาเปล่าๆที่เราจะพิจารณาเรื่องนั้น เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์เหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์รู้แค่นี้ก็บอกว่ารู้แค่นี้

ต่อไปอาจจะรู้มากขึ้นแค่ไหนอย่างไรไม่มีการยืนยัน ไม่รับรอง และไม่บังคับให้คนอื่นเชื่อถือตาม เพราะไม่เป็นข้อเท็จจริงพิสูจน์ทดองยังไม่ได้ ทีนี้บางคนก็พยายามเหลือเกินที่จะว่า ทั้งที่ท่านไม่ได้พูด ท่านอาจจะเลียบๆเคียงๆไว้ทางโน้นไว้ทางนี้ อันนี้ผมว่า ยังไม่สมควรที่จะจัดอ้างเอาเข้าไปให้เป็นพระพุทธดำรัสหรอกครับ

เพราะฉะนั้นหลักการอันนี้เราจะเห็นว่าทำไมพุทธศาสนาจึงแตกต่างจากศาสนาอื่น ทำไมศาสนาพุทธจึงตรงกับวิทยาศาสตร์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักพระธรรมใหญ่ๆที่ผมได้พูดถึงแล้ว
 
ต่อไปนี้ ผมก็จะพูดถึงพระสงฆ์ในพุทธศาสนา..

องค์พระสงฆ์นี้พระพุทธเจ้านั้นแหละก็เป็นพระสงฆ์องค์แรก ผมได้กล่าวแล้วว่า.. พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ประเสริฐที่สุดในโลกอย่างไร..ขอประทานอภัยด้วยนะครับ

..ถ้ามีการเกินไป แต่ผมก็จะไม่พูดอะไรมาก พระสงฆ์นี้ก็เหมือนกับว่า นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลัง นักวิทยาศาสตร์แรกๆได้แก่...

สมเด็จพระพุทธองค์และพระอรหันต์ต่างๆพระสงฆ์ในปัจจุบันก็เท่ากับนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังศึกษาอยู่ หรือกำลังปฏิบัติอยู่ขณะนี้นั้นเอง
เพราะ อะไร เพราะว่าพระวินัยหรือศีลนั้นก็เหมือนกับกฎเกณฑ์ทฤษฎีของวิทยาศาสตร์ที่ใช้ อยู่นี้ ทุกอย่างต้องมีมาตรฐาน
 
ทุกอย่างต้องมีระเบียบข้อบังคับ เพราะฉะนั้นการที่มีกฎระเบียบข้อบังคับให้ท่าพิสูจน์จนกระทั้งพิสูจน์ได้แน่ นอนมาหลายชั่วคนแล้วนี่มันก็กลายเป็น กฎเกณฑ์ เป็นหลักการ เป็นวิธีการ เป็นทฤษฎีขึ้นมา

ถ้าพูดทางพุทธศาสนา ศีลก็คือทฤษฎีและกฎเกณฑ์ต่างๆของนักวิทยาศาสตร์นั้นเองซึ่งนักวิทยาศาสตร์ ต้องใช้อ้างอิง จะต้องใช้ปฏิบัติ เพราะว่าเป็นที่พิสูจน์แน่นอนแล้วว่า เป็นรากฐานที่จะนำไปสู่การปฏิบัติพระธรรมให้ได้ดี หรือเป็นรากฐานแห่งการประพฤติดี เพื่อปฏิบัติให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้
 

ตามที่ผมได้พยายามเปรียบเทียบด้วยความรู้อันจำกัดดังได้กล่าวเรียนมาแล้วนี้
ก็ใคร่ขอสรุปอีกทีหนึ่ง คือหลักการวิทยาศาสตร์ตรงกับหลักการของพุทธศาสนา นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และประเสริฐที่สุดคือ พระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นหลักการใหญ่ๆ

เช่นกฎแห่งกรรม วัฏฏสงสาร ลักษณะทั่วไปของการวิวัฒนาการ และไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนิจจัง อนัตตา สุญญตา เป็นหลักการหรือทฤษฎีกฎเกณฑ์ของวิทยาศาสตร์

และท้ายที่สุดได้เปรียบเทียบไว้ ก็คือพระสงฆ์ คือนักวิทยาศาสตร์หรือผู้ที่กำลังศึกษาและปฏิบัติตนเพื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์
 
ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงมีความสัมพันธ์กับธรรมะและพุทธศาสนาอย่างใกล้ชิดกัน มากกว่าศาสนาใด

 
สุดท้ายนี้ ผมขอกราบเรียนว่า ผมมีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาคุยกับท่านทั้งหลายในวันนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ได้มีโอกาสแสดงทัศนะส่วนตัวให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์นั้นเป็น หลักการ เป็นวิชาที่มีการศึกษาและระเบียบวิธีปฏิบัติ เช่นเดียวกันกับพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่

แต่ยังด้อยกว่าพุทธศาสนามากนัก ในการที่พึ่งจะคลำไปถึงแค่สิ่งที่เป็นวัตถุเท่านั้น
ทางพุทธศาสนาได้ก้าวไปเหนือกว่านั้นมากมาย ท่านได้พูดถึงวัตถุอย่างละเอียดลออไม่น้อยกว่าวิทยาศาสตร์ และค้นพบก่อนตั้งกว่า ๒,๐๐๐ ปี

ทั้งยังได้ค้นพบสิ่งที่เหนือกว่าวัตถุหรือพลังงาน คือจิตที่ควบคุมวัตถุหรือควบคุมพลังงานอีกด้วย

สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจจะกล่าวตั้งแต่เริ่มต้นก็คือว่า ผมมีความรู้สึกกระดากและเกรงกลัวมากที่จะมาบรรยายในครั้งนี้ ถ้าไปพูดที่อื่นที่เป็นชุมนุมของพุทธศาสนิกชนธรรมดา หรือตามวัดวาอาราม


ผมก็ยังไม่ค่อยจะรู้สึกประหม่าและกระดากเท่ากับที่นี่ ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของนักอภิธรรมทั้งหลาย เพราะผมทราบดีว่าอภิธรรมนั้นเป็นธรรมะชั้นสูง แล้วก็มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งมากกว่า และอภิธรรมสามารถอธิบายอะไรๆได้หลายอย่างมากกว่า ผมจึงขอฝากความรู้สึกและขออภัยด้วย
 
ถ้าท่านเกิดความเบื่อหน่ายหรือไม่พอใจ ในขณะเดียวกันขอขอบคุณมากที่ให้เกียรติผมที่ให้โอกาสมาปรากฏตัวในที่นี้ และหวังว่าที่ผมได้พยายามในวันนี้ คงจะไม่ผิดหลักของอภิธรรม
 
หรืออย่างน้อยก็ไม่ผิดหลักของพุทธศาสนา และผมขออภัยโทษด้วย ถ้าผมพูดวิทยาศาสตร์ผิดไปจากวิทยาศาสตร์ ในความอารามที่อยากจะพยายามปรับวิทยาศาสตร์ให้เข้ากับพุทธศาสนา
 
ทั้งนี้ก็เพเราะผมเชื่อว่าในหลักการใหญ่ๆแล้วต้องตรงกันเสมอ ขอขอบพระคุณ
ขอเชิญติดตามต่อไปนะครับ ที่ท่านอาจารย์บุญมีกล่าวจบรายการ


วันนี้ผมไม่ไหวแล้วครับ ด้วยเจตนาเผยแผ่พระธรรม ที่ตั้งใจแล้วกระทำแล้ว จงเป็นพรสนองให้ท่านผู้อ่านที่รัก จงสามารถเป็นผู้รอดพ้น ความเห็นผิดได้ทั่วกันทุกๆคนนะครับ และช่วยกันส่งกระทู้นี้ไปยังคนที่ท่านรู้จักด้วย เพื่อพยุงพระศาสนาด้วยกันนะครับผม …
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28595
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๔)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 04:58:56 pm »
0
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๔)
ปาฐกถา โดย ศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์
โพสท์ในกระทู้ลานธรรม มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ โดย อ.วิชิต ธรรมรังษี -  [18 มี.ค. 2547]


ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร กล่าวสรุป
พระคุณเจ้าและท่านสาธุชนผู้มีเกียรติ
บัดนี้ท่านได้ฟัง ศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ ได้แสดงเรื่องของธรรมะกับวิทยาศาสตร์ จบลงแล้ว ท่านทั้งหลายผู้ซึ่งได้ติดตามฟังมาแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ก็ย่อมจะทราบว่า..

องค์ปาฐกได้แสดงให้เราได้เห็นถึงความสำคัญของธรรมะในพระพุทธศาสนาว่ามีความ เกี่ยวข้องสัมพันธ์ และมีความหนักแน่นในหลักการอันเป็นความจริงแท้ตรงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ อย่างไร และเป็นความจริงตรงกันข้อหนึ่ง......

ที่องค์ปาฐกได้แสดงไป ก็คือ ธรรมะนั้นย่อมจะไม่ต้องใช้สถานที่ ไม่ต้องอาศัยกาลเวลา ไม่ว่าจักรวาลนี้ ไม่ว่าจักรวาลอื่น ไม่ว่าเวลานี้หรืออีกหมื่นแสนปีข้างหน้า ความจริงมันเป็นอย่างไร มันจะยืนความจริงอยู่อย่างนั้น
 
วันนี้องค์ปาฐกได้ชี้ถึงความสำคัญให้เราฟัง... ให้เห็นว่าวิชาวิทยาศาสตร์ ก็เช่นเดียวกันกับธรรมะในข้อสำคัญคือ...

เมื่อนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์เรื่องอะไรได้ในหลักการหรือที่เป็นทฤษฎี เมื่อใด ที่ไหนแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็ย่อมจะทำบทพิสูจน์ให้ตรงกันกับเรื่องนั้นในเวลาอื่น ในที่อื่นด้วย ดังนี้เป็นต้น

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญไม่ใช้เล็กน้อยก็คือ.. ที่พูดถึงเรื่องการวิวัฒนาการของสัตว์ทั้งหลาย ผมเองก็เคยนึกตำหนิผู้ที่ได้แสดงตัวเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการ วิวัฒนาการของสัตว์มา..

 
เพระว่าผู้แสดงการวิวัฒนาการของสัตว์นั้นได้ยกเอาแต่เรื่องหลักการในการที่ สัตว์ดำเนินชีวิตต่อๆ กันมาเป็นลำดับๆว่าอาศัยอำนาจของสิ่งแวดล้อม กับการเวลาบังคับให้สัตว์นั้นเปลี่ยนแปลงสภาพจากอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง จากอีกอย่างหนึ่งเป็นต่อๆไป โดยอาศัยหลักในทางวัตถุอย่างเดียวเท่านั้น

แต่เมื่อได้ฟังท่านอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์แสดงไปเมื่อกี้นี้ท่านได้เล่าถึงว่า
มีนักวิทยาศาสตร์ผู้มีความรู้ความสามารถ ได้แสดงหลักการสำคัญอันหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า นักวิทยาศาสตร์จะมีความเข้าใจเรื่องนี้ได้

ที่ว่าอำนาจแห่งความปรารถนา อำนาจแห่งตัณหา คือความติดใจในอารมณ์ต่างๆที่เป็นหลักการในพระพุทธศาสนา เป็นตัวการทำให้สัตว์นั้นเปลี่ยนสภาพไปเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ จากสัตว์เซลล์เดียวกลายมาจนเป็นสัตว์หลายเซลล์ จากสัตว์น้ำกลายเป็นสัตว์บก เป็นลำดับ ๆไป

ผมเองก็ไม่เคยทราบว่า มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งพูดเรื่องนี้ เพราะคิดว่าเขาพูดแต่วัตถุ เคยอ่านตำรับตำราที่ว่าด้วยกฎแห่งการวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาวิน และกฎต่าง ๆ ของท่านเมนเดล

 
หรือของผู้อื่นที่ได้อธิบายเรื่องการวิวัฒนาการของสัตว์อีกหลายท่าน ก็ไม่เห็นได้แสดงถึงอำนาจจิตที่มีความสามรถค่อย ๆ บังคับให้รูปแต่ละชาติ ๆ ให้เปลี่ยนแปลงไป
 
นักวิทยาศาสตร์คนนี้นับว่ามีความสามารถเขามาถึงหลักการที่วางไว้ในพระพุทธ ศาสนาว่า อำนาจของเจตนาหรือความปรารถนาทำให้รูปเปลี่ยนไปได้

อำนาจของเจตนา อำนาจของความปรารถนาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซาก แล้วสั่งสมเก็บไว้ภายในจิตใจ ก่อให้เกิดอำนาจ ย่อมทำให้รูปนั้นเปลี่ยนไปทีละน้อย ๆ ซึ่งมีในปรมัตถธรรม ..
แยก กรรมชรูป อำนาจกรรมคือเจตนาหรือความปรารถนานี้ทำให้รูปเปลี่ยนจากสภาพอันหนึ่ง เป็นอีกอันหนึ่งขึ้นมาได้ สัตว์จึงได้วิวัฒนาการไป
 
ในพระพุทธศาสนาแสดง ถึงอำนาจของเจตนา อำนาจของตัณหา (ความยินดีติดใจในอารมณ์) ทำให้การวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นมาเป็นลำดับจากสัตว์เชลล์เดียวขึ้นมาจน กระทั่งเป็นสัตว์หลายเซลล์ ..


จากสัตว์ที่ไม่เจริญ.... ขึ้นมาเป็นสัตว์เจริญด้วยอำนาจแห่งความปรารถนา..คือตัณหาที่ติดอกติดใจใน อารมณ์ และเก็บสั่งสมเอาไว้และเมื่อสิ้นชีวิตลงไปแล้ว
 
อำนาจนั้นหาได้สูญสิ้นตามชีวิตลงไปด้วยไม่.. อำนาจนั้นยังคงอยู่ และอำนาจอันนี้เองได้สร้างสรรพสัตว์เปลี่ยนสภาพจากอย่างหนึ่งมาเป็นอีกอย่าง หนึ่ง เช่นอาจจะเปลี่ยนสภาพจากสัตว์น้ำ...ขึ้นมาเป็นสัตว์บก

โดยอาศัยอำนาจของเจตนาหรือความปรารถนาดังกล่าว
นักวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะศึกษาทางโลกทางวัตถุ เดี๋ยวนี้..ก็ได้เข้ามามีส่วนในเรื่องของชีวิตจิตใจ
 
มีความรู้ถึงว่าอำนาจ ของตัณหา ทำรูปให้เปลี่ยนแปลงไปได้
ถึงแม้จะเป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวที่แสดงเรื่องนี้ ก็น่าสรรเสริญในความคิดอ่านของเขา

นอกจากที่ท่านองค์ปาฐก..ได้แสดงถึงการวิวัฒนาการของสัตว์มาเรื่องหนึ่งแล้ว
ผมก็กล่าวถึงเรื่องอณู ปรมาณู ซึ่งในพุทธศาสนา ได้แสดงเรื่องอณูและปรมาณูมาแล้ว ๒,๕๐๐ ปีเศษ

และการแสดงเรื่องนี้ก็ไม่ได้แสดงเน้นหนักไปในแนวทางของวิชาวิทยาศาสตร์โดย ตรง.. แต่เป็นการแสดงเพื่อให้สัตว์ทั้งหลายผู้ซึ่งมีปัญญาได้เข้ามาค้นคว้าความ จริงถึงเรื่องของรูป คือเรื่องสสารและพลังงานว่า...

รูปทั้งหลายไม่เที่ยง รูปทั้งหลายเป็นทุกข์ คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และรูปทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ (คน,สัตว์ เกิดจากการประชุม) และบังคับบัญชาไม่ได้
ถ้าท่านได้ศึกษาปรมัตถธรรมแล้ว ก็จะทราบถึงเรื่องสสารว่า..

ถ้าแยกย่อยให้เล็กลงไปๆจนถึงอณู จนถึงปรมาณู และเมื่อถึงปรมาณูเล็กมากที่สุดแล้ว.. ยังมีรูปเล็กละเอียดพิศดารอีกเรียกว่า สุขุมรูป (มีอยู่ ๑๖ รูป)


ในเรื่องของปรมาณูนั้นได้แสดงไว้เป็นอันมากที่ว่าด้วยเรื่องของรูปมีอยู่ ทั่วๆไปในพระอภิธรรม...

ดังคาถาจาปินิคัณฑุ (อภิธานัปปทีปิกา ฉบับสิงหล) คาถาที่ ๑๙๔ และคาถาที่ ๑๙๕ ในภูมิภัณฑ์ ว่า …

ฉตตึส ปรมาณูน เมโก ณุจ ฉตึส เต
ตชชรี ตาปิ ฉตตึส รถเรณุจ ฉตึส เต
ลิกขา ตา สตต อูกา ตา ธญญมาโสติ สตต เต

๓๖ ปรมาณู เป็น ๑ อณู
๓๖ อณูเหล่านั้น เป็น ๑ ตัชชารี
๓๖ ตัชชารีเหล่านั้น เป็น ๑ รถเรณู
๗ ลิกขา เป็น ๑ ลิกขา
๗ อูกาเหล่านั้น เรียกว่า ธัญญามาส
เพื่อแสดงตามคำพูดที่คนไทยพูดกัน ก็กลับเสียดังนี้
๑ ธัญญามาส = ๗ อูกา
๑ อูกา = ๗ ลิกขา
๑ ลิกขา = ๓๖ รถเรณู
๑ รถเรณู = ๓๖ ตัชชารี
๑ ตุชชารี = ๓๖ อณู
๑ อณู = ๓๖ ปรมาณู

แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิได้ทรงแสดงเหมือนในวิชาวิทยาศาสตร์ว่า มีพลังงานและประจุไฟฟ้าอันไม่อยู่ในฐานะเสถียรภาพ ..แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างอะไร

เพราะในพระพุทธศาสนาแสดงว่า ทุก ๆ ปรมาณู มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีสี กลิ่น รส โอชะ เรียกว่า ...อวินิพโภครูป ๘

แต่อย่างไรก็ดี คำว่าธาตุ นั้นไม่ตรงกับวิชาวิทยาศาสตร์..ที่เอาคำว่าธาตุจากภาษาบาลีเขาไปใช้ และที่คนส่วนมากเข้าใจ
 
เช่น ธาตุน้ำ ไม่ใช่น้ำที่ดื่มหรือที่ใช้ซักผ้า
ธาตุน้ำ..เป็นตัวการยึดธาตุดินทั้งหลายให้ติดกัน ...
ธาตุน้ำในพระพุทธศาสนามองเห็นตัวไม่ได้ สัมผัสถูกต้องไม่ได้ ชั่งตวงไม่ได้ วัดไม่ได้ (เชิญอ่านเรื่องสสารและพลังงานในพระพุทธศาสนาในวารสารชื่อ “ชีวิต”)

 
นอกจากนั้นในพุทธศาสนายังได้แสดงถึงปรมาณูทั้งหมดเหล่านั้นว่า
ย่อมจะเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยความเร็วที่สูง ไม่ได้หยุดนิ่งเลย ด้วยอาศัยอำนาจของอุณหเตโชคือความร้อน

นอกจากนั้นในพุทธศาสนายังได้แสดงถึงปรมาณูทั้งหมดเหล่านั้นว่า ย่อมจะเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยความเร็วที่สูง ไม่ได้หยุดนิ่งเลย ด้วยอาศัยอำนาจของอุณหเตโชคือความร้อน

ยิ่งกว่านั้น ในพระพุทธศาสนา ได้แสดงถึงว่าปรมาณูทุกปรมาณูนั้นไม่มีติดกัน ..มีช่องว่างในระหว่างปรมาณู เรียกว่า ปริจเฉทรูป

 
ด้วยเหตุดังกล่าว ทุกปรมาณู..ที่ประกอบกันเป็นรูปเหล่านั้น.. ย่อมไม่เที่ยง....เพราะปรมาณูทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไป

ผู้ศึกษาพระสูตรก็ย่อมจะรู้ว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้วก็โต แล้วก็แก่ แล้วก็ตาย
แต่ผู้ที่มาศึกษาปรมัตถธรรม ก็จะเข้าถึงความไม่เที่ยงของปรมาณู.. ไม่ใช่เพียงแต่เห็นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เท่านั้น ที่เปลี่ยนแปลง
 
หากแต่ความไม่เที่ยงนั้นหมายถึงปรมาณูที่เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอทุกเวลา นาทีด้วย
อีกข้องหนึ่งที่ท่านองค์ปาฐก..ได้ชี้ให้เราได้เห็นคือคำว่า อนัตตา
 
ในหลัก ธรรมะ ความเป็นอนัตตานั้นไม่ได้หมายความว่า ..ไม่มีสิ่งใดเลย หรือทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปรมาณูแล้ว หายไปในอากาศ

 
หากแต่หมายความว่า คำว่า “คน” ไม่มี คำว่า ”สัตว์” ก็ไม่มี โต๊ะ เก้าอี้ สิ่งของต่าง ๆ ก็ไม่มี

สิ่งที่เราว่ามี คนก็ตาม สัตว์ก็ตาม โต๊ะ เก้าอี้ สิ่งของต่าง ๆ ก็ตาม อันที่จริงเป็นรูป..เรียกว่า “รูป” เรียกว่า ปรมาณู .. แล้วมาประชุมกันเท่านั้นเอง
 
และธรรมชาติที่เป็น นาม ซึ้งได้แก่จิตใจ อันเป็นตัวการที่ “รู้” อีกอย่างหนึ่ง...ที่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
 
และรูป ก็ดี นามก็ดี มีอยู่จริง ๆ.. มิใช่คน สัตว์ หรือสิ่งของ.. แต่ถ้ามีคำว่า คน สัตว์ สิ่งของขึ้นมา ..ก็หมายความว่าเราสมมุติชื่อขึ้น
 
เพราะ ฉะนั้น ..คำว่าอนัตตานั้นหมายถึงธรรมชาติ
รูปก็ ตาม นามก็ตามไม่ใช่คน.. ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของต่าง ๆ.. แต่เป็นรูปเป็นนาม.... และเปลี่ยนสภาพอยู่เรื่อย... บังคับมันไม่ได้

คือบังคับให้ปรมาณูหยุดนิ่งไม่ได้ ให้จิตมันหยุดนิ่งก็ไม่ได้ ด้วยธรรมชาติของมัน จะต้องเปลี่ยนสภาพอยู่ตลอดเวลา.. จึงชื่อว่าอนัตตา...

เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ จิตก็ไม่ใช่คน รูปก็เป็นสสารที่ประกอบกันด้วยปรมาณู ก็ล้วนแต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า.. รูปเป็นอนัตตา ..ไม่ได้เป็นคน

อีกเรื่องหนึ่งซึ้งเป็นเรื่องที่องค์ปาฐกได้แสดงไปตอนต้น.. ก็คือ
เรื่องที่เกี่ยวกับพลังงาน.. เพราะว่าในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้คำว่า พลังงานคือความสามารถที่จะทำงานได้

เราไม่ได้ใช้คำนี้ก็จริง... แต่ถ้าเอาเรื่องราวในพระพุทธศาสนาออกมาแล้วแสดงแล้ว... ก็จะเห็นว่าได้แสดงเรื่องพลังงาน..
 
เช่นในทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า.... แสงที่สะท้องจากสิ่งต่าง ๆ เข้ามากระทบตาให้เราเห็นแสดงนี้เป็นพลังงาน


ในพระพุทธศาสนาถือว่า แสง.. คือ หมายถึงตัวการที่สะท้อนจากรูปมากระทบตานั้น เป็นรูปารมณ์ แปลว่า เป็นรูป ไม่ได้ถือว่าแสงเป็นอำนาจหรือเป็นพลังงาน หากแต่เป็นรูปที่ละเอียดมาก
 
ในแสงนั้นย่อมมี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชะ เป็นอวินิพโภครูป ๘
เสียงก็เช่นเดียวกัน เสียงที่เป็นความสั่นสะเทือนของอากาศแล้วมากระทบหูเรา.. ก็อยู่ในฐานะเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม มี สี กลิ่น รส โอชะ และเป็นรูป ไม่ใช่เป็นพลังงาน
แม้แต่ความร้อน .. ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นพลังงาน.. แต่ในพุทธศาสนาถือว่าเป็นรูป

แต่อย่างไรก็ดี แม้จะถือว่าเป็นรูปที่เป็นรูปที่สืบต่อ ๆ (สันตติ) กันเข้ามากระทบตา กระทบหู การสืบต่อ ๆ กันเข้าไปกระทบน้ำ ก็ เหมือนกับการพูดว่า เป็นคลื่นนั่นเอง ดังนี้เป็นต้น
แม้ว่าในพระพุทธศาสนาจะไม่ได้พูดตรงๆ.. คือพลังงาน
 
เพราะภาษาพูดไม่เหมือนกัน แต่เรื่องราวทั้งหมดที่แสดงนั้น ย่อมมาสอดคล้องต้องกันกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งในเรื่องของพลังงานแล้ว เปลี่ยนเป็นรูปได้ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์
นักวิทยาศาสตร์เฉพาะอย่างยิ่งไอน์สไตน์ ซึ่งค้นคว้าได้ภายในไม่กี่สิบปีมานี้เอง ที่ว่าสสารกลายเป็นพลังงาน.. พลังงานกลายเป็นสสาร


แต่ในพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นรูป... สำหรับตัวการที่ทำให้เป็นไปต่าง ๆ นั้น... ในทางธรรมะใช้คำว่า สัตติ ..
 
ซึ่ง แปลว่า อำนาจ.. จึงไม่ใช่รูป ....และในที่บางแห่งใช้คำว่า พละ หมายถึงกำลัอำนาจ
ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า...

วิชาการอันเป็นปรมัตถธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้นั้น ....เกี่ยวข้องกลมกลืนกับเรื่องราวของวิชาวิทยาศาสตร์เป็นอันมาก ....


ผู้ที่มีความรู้วิชาการทางโลกมาก ๆ
ผู้ที่มี่เหตุผลต่าง ๆ เป็นของตนแล้ว
ก็จะเห็นได้ว่า เรื่องราวในพระพุทธศาสนากับเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์นั้น ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย มิหนำซ้ำยังกลมกลืนสอดคล้องกันเสียด้วย
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28595
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๕)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 05:10:03 pm »
0
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๕)
ปาฐกถา โดย ศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์
โพสท์ในกระทู้ลานธรรม มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ โดย อ.วิชิต ธรรมรังษี -  [18 มี.ค. 2547]


องค์ปาฐกยังได้ชี้ให้เห็นอีกประการหนึ่งก็คือ นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าเรื่องรูป เรื่องสสารและพลังงานนี้เป็นเวลานานมาแล้ว
 
แต่ทว่า จำนวนเวลาที่ยานานเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ซึ่งเดี๋ยวนี้เราถือว่า....ได้ค้นคว้าเรื่องของจิตหรือของ วิญญาณ และได้อนุโลมว่าเป็นวิชาวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี การค้นคว้าดังกล่าวนี้ก็เป็นการค้นคว้าที่เพิ่งจะถึง ก. ข. ก. กา เท่านั้น ..เพราะว่าตำราจิตวิทยาทุกเล่ม... ก็ยังไม่มีเล่มไหนที่พูดว่า จิตคืออะไร

 
ขณะเห็นขณะได้ยิน ขณะนอนหลัง ขณะที่กำลังผันนั้นจิตมัวทำอะไรกันบ้าง
ไม่ต้องพูดไปถึงจิต ในขณะตาย ในขณะเกิด เพียงแต่อธิบายถึงปรากฏการณ์ของจิต หรืออธิบายถึงพฤติกรรมที่แสดงออกของจิตเท่านั้น
 
แต่ในปรมัตถธรรมเราเรียนรู้ว่า จิตคืออะไร

เราเรียนรู้ว่า ในขณะที่เห็นได้ยิน ในขณะที่กำลังนอนหลังและในขณะที่กำลังฝันอยู่
ตลอดจน ขณะตาย ขณะเกิด จิตใจมันทำอะไรกันอยู่ทั้งรูปทั้งนามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงนั้นลึกซึ้ง ละเอียดอ่อนเหลือเกิน

เราศึกษากันด้วยความยากลำบาก แต่ทว่า เมื่อมี ความเข้าใจแล้ว เข้าถึงชีวิตจิตใจจริง ๆ แล้วก็สามารถตอบปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย กว้างขวาง

 
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำให้โลกเจริญขึ้นมาในทางวัตถุ ในทางสสาร
แต่นักวิทยาศาสตร์พระสัมมาสัมพุทะเจ้าได้แสดงให้เรารู้ในเรื่องของชีวิต อย่างลึกซึ้ง.. แล้วนำหนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่พ้นได้.. ตลอดกาลนิรันดรมาให้
 
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า... ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ประเสริฐ เพราะนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายในโลกนี้ ...ไม่อาจจะทำให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
อย่างที่องค์ปาฐกได้แสดงถึงอำนาจของกรรมทำให้เกิดการหมุนเวียน แต่ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดทำให้การหมุนเวียนนี้สะดุดหยุดลงได้เลย
 
ปาฐกถาของท่านในวันนี้...นับว่าได้ประโยชน์เป็นอันมาก
 
ดังนั้นผมจึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลายขอบคุณท่านปาฐก โดยปรบมือขึ้นอีกสักครั้งหนึ่ง..
ในนามของอภิธรรมมูลนิธิ.. ผมขอขอบคุณท่านศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค เป็นอย่างสูง กับขอมอบหนังสือปรมัตถธรรมชื่อ “แสง สว่างของชีวิต” มีจำนวน ๙ เล่มด้วยกัน กับอีกเล่มหนึ่งเป็นหนังสือชื่อชีวิต เป็นฉบับภาษาอังกฤษมอบให้แก่ท่าน

ได้มีท่านผู้มีเกียรติซักถามปัญหา และองค์ปาฐกได้ตอบดังต่อไปนี้

ถาม พระอาทิตย์สลายตัวด้วยหรือเปล่า ถ้าสลายตัวแล้วก็ขอคำอธิบายด้วยว่า มันสลายกันอย่างไร ?

ตอบ เรื่องนี้ผมจะพยายามตอบให้ตรงเป้าสักหน่อย เท่าที่สามารถจะทำได้
ก่อนอื่นผมต้องขอชี้แจงสักเล็กน้อย นักวิทยาศาสตร์ก็มีหลายสาขา แล้วก็ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็แบ่งออกแยกออกละเอียดมากมาย.... สำหรับเรื่องดวงอาทิตย์นี้เป็นสาขาของดาราศาสตร์สาขาหนึ่ง

 
แต่คำถามนี้ก็อยู่ในหลักการใหญ่ทั่ว ๆ ไป เท่าที่ผมทราบมา ดวงอาทิตย์ก็ประกอบด้วยสสารอย่างที่ได้กล่าวแล้วคือพลังงานที่อยู่ใน ปรมาณู....ซึ่งอยู่ในภาวะที่เราเรียกว่า... เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลอยู่ตลอดเวลาทีเดียว
 
การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลนั้น ทำให้เกิดพลังงานขึ้นมา

.. คือถ้าพูดไป พระอาทิตย์ก็เป็นดวงไฟดวงใหญ่ ที่จริงเราเห็นอย่างที่ท่านประธานกรรมการมูลนิธิอธิบายนี้ เราเห็นแต่เพียงว่า คุณภาพหรือปรากฏการณ์ที่ออกมาเท่านั้น...
แต่ที่จริงนั้น ในนั้นประกอบไปด้วยปรมาณูมากมาย แล้วก็กำลังอยู่ในภาวะที่ปั่นป่วนมาก การปั่นป่วนนี้เขาอธิบายว่า

เนื่องจากว่าสสารอนุภาคต่าง กำลังสลายแตกออก รวมตัวกันเข้า เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่มากหลาย เป็นการสลายตัวจากปรมาณูอย่างหนึ่งไปอีกปรมาณูหนึ่ง


การรวมตัวของอนุภาค ของปรมาณูอันหนึ่ง เกิดปรมาณูอีกชนิดหนึ่งล้วนแต่ให้พลังงานอย่างมหาศาลทั้งนั้น พลังงานที่ให้ออกมานี้ เราจะเห็นออกเป็นแสดงสว่างเป็นความร้อน และเป็นแสงชนิดที่เรายังไม่ทราบทั้งหมดว่า จะมีผลดีหรือผลร้ายอย่างไร

พลังงาน ต่าง ๆ มาจากไหนเล่าครับ... ก็มาจากมวลของปรมาณูนั่นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อพลังงานเปลี่ยนเป็นแสงสว่างออกมา เป็นความร้อนส่งออกมา เป็นรังสีอื่น ๆ ส่งมาจากดวงอาทิตย์

ดวงอาทิตย์ก็จะค่อย ๆ สายตัวไปทีละน้อย ๆ แต่ระยะของเวลาสลายนั้นกว่าจะหมด ก็เห็นจะอีกหลายพันล้านปี


แต่เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์บางคน ก็รู้สึกจะวิตกกังวลเป็นอันมากว่า ....พระอาทิตย์นี้กำลังค่อย ๆ เย็นลง เนื่องจากมีพลังงานในรูปต่าง ๆ ปล่อยออกมาเรื่อย ๆ เย็นลง ๆ ทุกขณะ ประมาณ ๑ ถึง ๒ ดีกรี ต่อกี่พันปี ผมก็จำไม่ได้แล้วครับ....แต่หมายความว่า ..เสื่อมน่ะเสื่อมแน่ ...สลายน่ะสลายแน่..

เนื่องจากพลังงานออกมาเรื่องทั้งในรูปของแสง ของความร้อน ของรังสีต่าง ๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีวันหมดไป
 
แต่ผมขอฝากไว้เป็นข้อสังเกตอันหนึ่ง
จักรวาลที่โลกของเรารวมกันอยู่นี่.. คือสุริยจักรวาล ยังมีจักรวาลที่ใหญ่กว่านี้ อีกหลายหมื่นจักรวาล หลายแสนจักรวาล


เพราะฉะนั้นสุริยจักรวาลของเรา ก็มีเพียงแต่เป็นหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่ง ในมหาจักรวาล
ฉะนั้น ทุก ๆ อย่างก็เป็นไปตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้
 
คือทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง และอยู่ในภาวะที่สลายตัวเรื่องเสมอไป
ถึงแม้จะรวมตัวกันบ้าง ก็รวมกันชั่วขณะแล้วก็สลายไป เห็นจะพอแล้วนะครับ.
 
อาจารย์บุญมีเพิ่มเติม
ผมขอ เติมธรรมะ ในเรื่องที่ถามนี้สักนิดหนึ่งว่า
ในเรื่องของดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ และดาวฤกษ์คือดวงอาทิตย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้มีอยู่หลายแห่งในพระไตรปิฎก.
 
โลกของเรานี้ ดวงอาทิตย์ของเรานี้ วันหนึ่งจะไม่มี จะถูกทำลายพินาศไป สัตว์ทั้งหลายในโลกจะล้มหายตายสิ้น
 
แล้วในที่สุดจะไปก่อตัวรวมกันใหม่อีก สลายตัวกันหมดแล้วจะรวมกันอีก
ท่านแสดงไว้ว่า จักรวาลนั้น หมายถึงดวงอาทิตย์และมีดาวต่างๆ จำนวนมากล้อมรอบอยู่
พระ พุทธศาสนา ได้แสดงว่า จักรวาลนั้นมีเป็นอนันตัง คำว่าอนันตังแปลว่า นับจำนวนไม่ได้เลย...

ไม่ใช่หมายถึงดาวพระเคราะห์นับไม่ได้ หรือดวงอาทิตย์นับไม่ได้เท่านั้น นับจักรวาลก็ไม่ได้ว่าจักรวาลนี้จำนวนเท่าไร
 
ผมขอยกเรื่องมาแสดงประกอบสักหน่อย.. คือผู้อิทธิฤทธิ์มาก เหาะเหิรเดินอากาศได้ด้วยความเร็ว เท่ากับลุกธนูที่ยิงออกมาจากแหล่ง
 
โดยผู้ยิงคือนายพรานหนุ่มฉกรรจ์ ...ไม่ใช่นายพรานแก่เสียด้วยนะครับท่าน
มีฤาษี ๔ ตนนี้ ตกลงกันว่า เราจะลองเหาะไปดูในสากลจักรวาลนั้นว่า มันจะไปสิ้นสุดกันที่ไหน?
 
เมื่อตกลงกันดังนั้นแล้ว ฤาษี ๔ ตนก็หันหลังให้กันแล้วก็ออกเดินทาง ..โดยเหาะไปด้วยความเร็วในทิศทั้ง ๔ เดินทางตลอดวันตลอดคืน
 
จนกระทั่งฤาษีแก่ ลง ๆ แล้วก็ตายหมดทั้ง ๔ คนก็ไม่จบจักรวาลได้เลย.
ด้วย เหตุนี้ เมื่อมีใครมาถามว่า... จักรวาลนี้มันไปสิ้นสุดที่ไหน ..


ก็ยกเรื่องฤาษีนี้มาว่าให้ฟังเสร็จแล้ว...ก็ไม่ต้องตอบ คิดเอาเองก็แล้วกันว่าสิ้นสุดที่ไหน
แต่อย่างไรก็ดี โลกของเราก็ดี ..ดวงอาทิตย์ก็ดี... ไม่เที่ยง และเมื่อวันหนึ่งมาถึงเข้าก็ดับหมดไม่มีเหลือ

ถ้าเราต้องเกิดก็ไปเกิดในแสนโกฏิจักรวาลอื่น เพราะจักรวาลนี้ เมื่อถูกทำลายลงแล้ว ก็ไม่ใช่ทำลายจักรวาลนี้จักรวาลเดียวเท่านั้น ลงมันเสียศูนย์ถ่วงไป ๑ จักรวาล จักรวาลอื่นอีกเป็นอันมาก ก็พลอยด้วยเช่นกัน
 
ถ้าท่านได้มาศึกษาปรมัตถธรรม ก็จะเห็นความจริงว่า ในเรื่องของจักรวาลนี้..มีคำว่าเวหัปผลาอยู่คำหนึ่งว่า. .” ผู้ใดก็ตามทำกุศลชนิดที่เรียกว่ามีกำลังมาก.. ไปเกิดในเวหัปผลา จึงจะพ้นจากการทำลาย”
 
เพราะฉะนั้นเกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเทวดากี่ชั้น ๆ ก็อยู่ไม่ได้ นรกก็หมด เทวดาก็หมด แม้พรมชั้นต้น ๆ ก็ยังหมดต้องไปเกิดที่เวหัปผลาจึงจะพ้นไม่อย่างนั้น ก็จะต้องเกิดนอกแสนโกฏิจักรวาล

 
ถ้าท่านยังไม่เคยได้ศึกษาปรมัตถธรรม ...ขอเชิญมาศึกษาได้ที่นี่ ทุก ๆ วัน เสาร์และวันอาทิตย์ มีการบรรยายปรมัตถธรรมทั้งสองวัน.. ผู้บรรยายก็มีหลายท่าน แล้วก็มีหลายห้องเรียน หนังสืออย่างง่ายๆ ที่จะให้ท่านศึกษาได้ที่บ้านของท่านเองก็มีมากมาย
 
ขอเชิญท่านมาติดต่อเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตของท่านเองได้ทุก ๆ วันครับ ท้ายนี้ขอความสุขความสวัสดีจงบังเกิดขึ้นแด่ท่านสาธุชนได้โดยพร้อมเพียงกัน.

จบการปาฐกถาธรรม ในหัวข้อเรื่อง .. ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร
โดยศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์




กระผม ..วิชิต ธรรมรังษี ได้อาศัยความเคารพนับถือ และระลึกถึงพระคุณของท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร มาตลอดตราบเท่าทุกวันนี้.
 
จึงได้อาศัยความศรัทธานี้ นำเรื่องราวที่มีอยู่ในเทปการบรรยายในครั้งนั้น นำมาพิมพ์ให้ท่านท่านหลายได้ศึกษาหาความรู้โดยทั่วกันในครั้งนี้
 
นอกจากจะเป็นการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว ด้วยจิตที่บูชานับถือท่านพระอาจารย์บุญมี เมธางกูร
 
ในวาระวันที่ 15 มีนาคม ของทุกๆปี ถือกันว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน ผู้เป็นประทีปดวงเอกแห่งวงการพระอภิธรรม กระผมขอน้อมนำกุศลนี้ เป็นเครื่องบูชาสักการะ พระคุณ ของท่านพระอาจารย์บุญมี เมธางกูร ด้วยความเคารพสักการะยิ่งครับ.
 
แหละขอจงเป็นพลวะปัจจัย ส่งผลมายังท่านผู้ร่วมเดินทางไกลในวัฏฏสงสารทุกๆท่าน จงได้รับผลบุญที่กระผมทำนี้ ทำให้ท่านสามารถคลายความเห็นผิดได้โดยทั่วกันทุกท่านนะครับ...


กราบวันทาบูชาท่านอาจารย์ครับ
 
สิบห้ามีนาคมบรรจบ                  คราเอย
ผู้นำอภิธรรมนาวา                       ใหญ่ล้น
สั่งสอนข้ามวัฏฏะนา                     เวียนเกิด
สู่จุดหมายดับพ้น                         ถึงซึ่ง .พระนิพพาน


เทิดพระคุณเหนือเกล้า
วิชิต ธรรมรังษี

ที่มา  http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-93-01.htm

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ