เห็นด้วยครับ เพราะผมเองก็อยากถกประเด็น เรื่อง ที่พูดถูกหรือผิด ก่อนนะครับ
การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเพียง สุญญตา คือ ความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีศาสนา ไม่มีพุทธ ไม่มี .... และ ก็ไม่มี ...
1. คำตอบ ก็ คือ ไม่ถูก ทั้งหมด อาจจะถูกเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ นะครับ ไม่ใช่ปฏิเสธว่า ไม่ถูกเสียทั้งหมด
2. คำตอบ คือ ไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับ เพราะขัดกับหลักการของธรรม คือ ผู้ที่ถึงธรรม ควรเข้าถึงการละกิเลส การละสิ่งเสพติด ก็ควรเป็นส่วนหนึ่งของการละกิเลส ครับ
3. การปฏิบัติที่แท้จริง นั้น ต้องผ่านไปเป็นลำดับ มีการเข้าถึงไปตามลำดับ เริ่มตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ภูมิธรรมไปตามลำดับ การบรรลุธรรม ก็ต้องเข้าผ่านไปตามลำดับ การผ่านตามลำดับ ก็คือ ภาวนาและปฏิบัติธรรม กรรมฐาน ดังนั้น จะกล่าวว่าไม่มี เลยไม่ได้ เพราะรูปนามที่เป็นกายขันธ์ ก็ยังมีอยู ที่ไม่มีเป็นเพียงแต่การบรรลุธรรม ที่เรียกว่า คลายอุปาทาน ความยึดมั่น ถือมั่น ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา ซึ่งจากการศึกที่เว็บนี้มาระดับนี้เรียกว่า พระโสดาบัน เท่านั้น
ก็เบื้องต้นเท่านี้นะครับ ดังนั้น ขอท่านผู้รู้ทุกท่าน ชี้นำกันต่อนะครับ
1. ดังนั้นจะเห็นว่า ประเด็น จริง ๆ คือ ผู้ถามเห็นว่า ถูกก็มีส่วนหนึ่ง แต่ไม่ถูกทั้งหมด จากที่ผมอ่านข้อความ ก็คือ
การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเพียง สุญญตา คือ ความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีศาสนา ไม่มีพุทธ ไม่มี .... และ ก็ไม่มี ... ขอถอดประเด็น ดังนี้ ครับ
1. การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
2. ทุกอย่างเป็น สุญญตา คือความว่างเปล่า เท่านั้น
3. ในที่นี้ความว่างเปล่า ยกตัวอย่างว่า ไม่มีศาสนา ไม่มีพุทธ ไม่มี และก็ไม่มี
ผมจับ 3 ประเด็นนี้ ก็ยังไม่ได้ขอตอบ หรือ ถูก หรือ ผิด แต่ขอแสดงความเห็น ไปตามหัวข้อนะครับ
1. การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
อันนี้ไม่น่าจะใช่ การปฏิบัติ ก็คือ การทำตามอริยะมรรค มีองค์ 8 ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ ครับ ดังนั้นกล่าวว่าการปฏิบัติแท้จริง ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนั้นเป็นคำพูดที่ยังไม่ถูก เพราะการปฏิบัติที่แท้จริงต้องประกอบ ด้วย สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น สัมมาสมาธิ เป็นที่สุด
2.ทุกอย่างเป็น สุญญตา คือความว่างเปล่า เท่านั้น
อันนี้ผมว่า เป็นหลุดโลก แบบโลกียะวิสัย เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่ เข้า ใจ อรูปกรรมฐาน เป็น นิพพานกัน เช่น เวิ้งว้างว่างเปล่า หาประมาณมิได้ ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ไม่มีอะไรใด ๆ เลย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ อากาสนัญจายนะฌาน อากิญจัญญาตนะฌาน วิญญานัญจายตะฌาน และ เนวนาสัญญายตะฌาน ซึ่ง อรูปฌานทั้ง 4 ให้ความรู้สึกต่อจิตว่า ไม่มีอะไร เป็นเพียงแต่ความเปล่า ซึ่ง ไม่ใช่ความหมายของคำว่า สุญญตา
สุญญาตา เป็นผล จากการที่จิตเห็นธรรม ทั้งหลายทั้งปวง ว่าเป็น อนัตตา
การเห็นว่าเป็น อนัตตา คือ ตา เห็ฯ รูป สักว่า นั่นคือรูป ว่างจากเรา ว่างจากของเรา ว่างตัวตนของเรา เป็นต้น การเห็นว่าเป็นสักว่า ไม่ใช่เรา คือ คลายยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเรา ของเรา ทางจิตอย่างนี้
3.พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า เราเป็นพุทธะ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่า เราไม่ได้เป็นอะไร ตลอด 45 ปี พระองค์ตรัสเรียกพระองค์ว่า ตถาคต สัมมาสัมพุทธะ พุทธะ ศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย ครูผู้สอนเทวดาและมนุษย์ ดังนั้นจะป่วยการไปกล่าวกับบุคคลที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ว่าเราไมได้เป็นอะไร นั้นทำไม เพราะทุกคนเป็นตามที่ควรจะเป็น เพราะความเป็น นั้นเป็นสัจจะ แต่ภายในความไม่เป็นไม่ต้องกล่าวเพราะมองไม่เห็น ต้องภาวนาเท่านั้นถึงจะเห็น นะครับ
ก็คงช่วยในคำตอบได้ไม่มาก ก็ขอให้ท่านผู้รู้ท่านอื่นมาแสดงเหตุผลกันต่อไปนะครับ