ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระเขี้ยวแก้ว ณ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง  (อ่าน 15776 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ประวัติพระเขี้ยวแก้ว ณ วัดหลิงกวง

    ผู้เขียนได้ค้นคว้าหาประวัติตามเอกสารบันทึกของ นายถัง เป่ากั๋ว ที่พิมพ์แจกในคราว ที่อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐาน ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ และในหนังสือที่ นายเดา ชูเรน รองประธานและเลขาธิการใหญ่ พุทธสมาคมแห่งประเทศจีน ได้เล่าไว้พอจะสรุปได้ดังนี้ว่า

    “พระเขี้ยวแก้วที่อยู่ในเมืองจีน ประชา ชนชาวจีนมักเรียกว่า “พระทันตธาตุฟาเหียน” เพราะ หลวงจีนฟาเหียน ได้อัญเชิญพระทันตธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) องค์นี้มาสู่จีน มีผู้กล่าวว่า พระทันตธาตุองค์นี้ได้ประดิษฐานครั้งแรกไว้ ที่อาณาจักรโบราณแห่งหนึ่ง ชื่อว่า อูไดยานา ปัจจุบันอยู่ในเขตของประเทศปากีสถาน

    หลังจากอาณาจักรนี้แล้วก็เคลื่อนย้าย มาอยู่ในแคว้น โคตัน (ทุกวันนี้คือ จังหวัด ไฮเตียน มณฑลซินเกียง) ต่อมาคริสต์ศตวรรษ ที่ ๕ หลวงจีนฟาเหียน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในสมัย ราชวงศ์จี๋ (Qi) ซึ่งอยู่ภาคใต้ของประเทศ จีน ได้เดินทางไปเอาพระทันตธาตุจาก เมืองโคตัน มาไว้ที่ เมืองนานกิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์จี๋ (ท่านได้ออกเดินทางจาริกไปยัง ประเทศอินเดียและลังกา พ.ศ. ๙๔๒ - ๙๕๗)



    หลังจากนั้น ประเทศจีนก็รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสมัย ราชวงศ์ซุ่ย (Sui) พระทันตธาตุหรือพระเขี้ยวแก้วก็เลยย้ายมาประดิษฐาน ณ เมืองหลวงใหม่ คือเมืองฉางอัน (ซีอาน) ต่อจากนั้นมา จีนก็ตกอยู่ในภาวะยุ่งเหยิงวุ่นวาย มีการรบกันภายในประเทศ ระหว่าง กันเองเป็นเวลาถึง ๕ ราชวงศ์

    ดังนั้น พระเขี้ยวแก้วได้ถูกย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง กลับไปกลับมาหลายเมือง จนกระทั่งสุดท้ายได้มาประดิษฐานอยู่ที่ เมืองเยนกิง (คือเมืองปักกิ่ง ในปัจจุบัน) บนภูเขา ซีซัน ในสมัย ราชวงศ์เหลียว ซึ่งอยู่ภาคเหนือของประเทศจีน

    จากจดหมายเหตุในสมัย จักรพรรดิเดาซอง ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์หนึ่งในราชวงศ์เหลียว เล่มที่ ๒๒ บันทึกไว้เกี่ยวกับการประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วไว้ที่ พระเจดีย์เจาเซียน ในเดือนปีที่ ๘ ของปีที่ ๗ ของเหียนย่ง ค.ศ. ๑๐๗๑ (พ.ศ. ๑๖๑๔) ซึ่งได้บันทึกไว้ในประวัติของพระเขี้ยวแก้วที่แน่นอน ก่อนที่จะมาประดิษฐาน ณ เมืองปักกิ่ง



    ในปี ค.ศ. ๑๙๐๐ (พ.ศ. ๒๔๔๓) พระเจดีย์เจาเซียนได้รับความเสียหายด้วยปืนใหญ่ โดยกองกำลังของฝ่ายพันธมิตรชาติตะวันตก ของผู้นิยมลัทธิจักรวรรดินิยม ๘ ประเทศ หลังจากนั้น มีพระภิกษุที่อยู่ภายในวัดได้มาทำ ความสะอาดบริเวณรอบพระเจดีย์ แล้วได้พบพระเขี้ยวแก้วบรรจุอยู่ในหีบศิลาอย่างถาวร อยู่ภายในห้องใต้ดินขององค์พระเจดีย์

    บนตลับไม้กฤษณานั้นมีการระบุไว้ว่า ถูกนำมายัง ณ สถานที่นี้ในปี ค.ศ. ๙๖๓ (ปี พ.ศ. ๑๕๐๖) โดยพระภิกษุชื่อ ซ่านฮุยในยุคราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเป็นผู้ได้รับการขนานนามว่า “อาจารย์ผู้เก็บความลับ” ตลับไม้กฤษณานี้ได้ รักษามาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งด้านข้างและด้านใน กล่องนั้นเป็นลายมือของหลวงจีนซ่านฮุย ซึ่งในตลับไม้นี้มี พระเขี้ยวแก้ว อยู่ด้านบน



    ในที่สุด พระเขี้ยวแก้ว ซึ่งได้ซ่อนเร้น มาเป็นเวลานานถึง ๘๓๐ ปี ก็ได้ปรากฏขึ้น อีกในโลกมนุษย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ทางพุทธ สมาคมแห่งประเทศจีน จึงได้อัญเชิญมาให้ประชาชนสักการบูชาที่ วัดกวงจี่ เป็นการชั่วคราว ณ อาคารสรีระ เมืองปักกิ่ง

    เมื่อทางการได้สร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ ณ วัดหลิงกวง แล้วเสร็จ จึงมีพิธีบรรจุพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วในพระมหาเจดีย์ไว้เป็นการถาวร เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๗ ทางพุทธสมาคมแห่งประเทศจีนได้จัดพิธีฉลองอันยิ่งใหญ่ ได้มีพระเถรานุเถระจากจีนหลายเมือง ผู้แทนพุทธสมาคมจากต่างประเทศ และทูตานุทูตจากทวีปเอเซีย ๙ ประเทศ มาร่วมในงานพิธีนี้ด้วย

    นับเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ที่พระเขี้ยวแก้วได้ถูกอัญเชิญไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่นในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ทางรัฐบาลพม่าและพุทธสมาคมของ พม่าได้ขออัญเชิญพระทันตธาตุไปให้ชาวพม่า ได้สักการบูชาเป็นเวลาหลายเดือน



    จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๙๙ พระเขี้ยวแก้ว ได้ถูกอัญเชิญกลับจากประเทศเมียนม่าร์ ผ่าน ทางยูนนานในเส้นทางที่จะไปปักกิ่ง จึงได้หยุด พักที่ยูนนานเป็นเวลา ๓ เดือน เพื่อให้ผู้ที่จะเดินทางมากราบไหว้บูชาตามจุดต่างๆ เช่นที่ คุนหมิง, สิบสองปันนา, ดีดอง, เจงมา, และ ลี่เจียง เป็นต้น

    บรรดาพุทธศาสนิกชนนับพันคน จากหลายเชื้อชาติในมณฑลยูนนาน ได้มีโอกาส สักการบูชาพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งเป็นโอกาสอันประเสริฐสุด ที่จะส่งผลให้เกิดความปีติยินดีเสมือนแสงสว่างที่สดใส ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นอันดี ที่จะเกิดความสามัคคีกันมากขึ้น ระหว่างชนชาติต่างๆ ในมณฑลยูนนาน

    พระเขี้ยวแก้วของจีนนี้ ถือเป็นสมบัติ อันล้ำค่าที่สูงสุดของชาวจีน เฉกเช่นเดียวกับ พระบรมสารีริกธาตุอื่นๆ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่เพียงแต่พุทธศาสนิกชนของจีนเท่านั้น แต่รวมถึงพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ก็ให้ความเคารพนับถือเช่นเดียวกัน



    กรมการศาสนาของจีนจึงได้มีการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปยังประเทศเมียนม่าร์ถึง ๓ ครั้ง คือในปี พ.ศ. ๒๔๙๘, ๒๕๓๗, ๒๕๓๙ และอีกหนึ่งครั้งในประเทศศรีลังกา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ รัฐบาลฮ่องกงได้จัดการต้อนรับพระทันตธาตุให้ประชาชนชม และสักการะเป็นวันแรกในวันวิสาขบูชา

    พระมหาเจดีย์ที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มีลักษณะทางสถาปัตยกรรม ผสมผสานของศิลปะสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง ไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนสายงาม คือสร้างเป็นพระเจดีย์ทรง ๘ เหลี่ยม ๑๓ ชั้น สูง ๕๑ เมตร บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๑๒ องค์ สมาคมพุทธศาสนาแห่งประเทศจีนได้อำนวยการสร้างมาแต่ พ.ศ. ๒๕๐๑ แล้วเสร็จในปี ๒๕๐๗ ใช้เวลาสร้างนานกว่า ๖ ปี



    ภายในเจดีย์นั้นเป็นพระราชวังใต้ดิน เจดีย์พระเขี้ยวแก้วชั้นแรกเป็นทางเข้าพระเจดีย์ผนังเจดีย์นั้นประดับด้วยก้อนอิฐ มีการแกะสลักบทสวดมนต์ไว้อีกด้วย ชั้นที่ ๒ เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งถูกวางอยู่ในพานบัวทองคำ รายล้อมไปด้วยสถูปทองคำเล็กๆ ๘ องค์

    เจดีย์ทองคำที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วไว้ภายในนั้น มีของล้ำค่าต่างๆ มากมาย เป็นของที่แต่ละมณฑลของชนกลุ่มน้อย และในประเทศต่างๆ นำมาถวาย ท่ามกลางสิ่งของที่นำมาถวายนั้น ยังรวมไปถึงพระพุทธรูปที่ประเทศไทยมอบให้แก่ประเทศจีนอีกด้วย


ขอบคุณภาพและขข้อมูลจาก
http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?fid=23&tid=236&action=printable
http://images.thaiza.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: พระเขี้ยวแก้ว ณ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 11, 2013, 12:05:25 pm »
0

พระเขี้ยวแก้ว ณ วัดมัลลิกา ดาลดา
หรือ วัดพระเขี้ยวแก้ว แห่งเมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา

พระเขี้ยวแก้ว
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระเขี้ยวแก้ว, พระทาฐธาตุ หรือ พระทันตธาตุ คือ พระธาตุส่วนที่เป็นเขี้ยวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งข้อมูลในคัมภีร์พระไตรปิฏกในลักขณสูตร ได้กล่าวถึง มหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึง ลักษณะของพระทาฐะหรือเขี้ยวของบุคคลผู้มีลักษณะแห่งมหาบุรุษว่า "เขี้ยวพระทนต์ทั้งสี่งามบริสุทธิ์" ข้อมูลนี้จึงทำให้ทราบและเป็นที่ยืนยันว่า พระเขี้ยวแก้วมีทั้งหมด 4 องค์

    ๑. พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนขวา ท้าวสักกะอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ พระเจดีย์จุฬามณี ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ๒. พระเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำขวา ประดิษฐานที่แคว้นกาลิงคะ (บางตำราเรียก กลิงครัฐ) แล้วจึงถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ลังกา (วัดพระเขี้ยวแก้ว (ศรีลังกา) ในปัจจุบัน)
    ๓. พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนซ้าย ประดิษฐาน ณ แคว้นคันธาระ แล้วเชื่อว่าถูกอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่เมืองฉางอัน ประเทศจีน (ซีอาน) โดยพระภิกษุฟาเหียนเมื่อคราวจาริกไปสืบพระศาสนายังอินเดีย ปัจจุบัน พระเขี้ยวแก้วองค์นี้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์ ณ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง
    ๔. พระเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำซ้าย ประดิษฐานในภพพญานาค

เป็นที่เชื่อกันว่า บนโลกมนุษย์ของเรานี้ มีพระเขี้ยวแก้วขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ 2 องค์ นอกจากนี้ พระเขี้ยวแก้วยังจัดเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ไม่แยกกระจัดกระจาย องค์มีลักษณะแข็งแกร่งรวมกันแน่น พุทธศาสนิกชนจึงมีความศรัทธาเลื่อมใสในองค์พระเขี้ยวแก้วเป็นอย่างมาก


ที่มา th.wikipedia.org/wiki/พระเขี้ยวแก้ว
ขอบคุณภาพจาก http://www.travellifethailand.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: พระเขี้ยวแก้ว ณ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 11, 2013, 12:20:59 pm »
0

พุทธศาสนิกชน​ชาว​จีน​ตั้ง​แถว​รอ​รับเสด็จ​สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

สานสัมพันธ์ไทย-จีน ผ่านพุทธศาสนา

ธง​ทิว​ปลิว​ไสว​ใน​สายลม​ฤดู​ใบไม้​ผลิ​ยาม​สาย​ที่​ วัด​ห​ลิง​ก​วง  กรุง​ปักกิ่ง  พุทธศาสนิกชน​ชาว​จีน​ตั้ง​แถว​ยาว​ตาม​ขั้น​บันได​​เฝ้าเสด็จ​สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ใน​โอกาส​เสด็จฯ​มาทรง​เป็น​ประธาน​ใน​พิธี​ประดิษฐาน​พระ​พุทธรูป​จำลอง “สมเด็จ​พระศาสดา”

“สมเด็จ​พระศาสดา”   เป็น​พระ​พุทธรูป​ตาม​ศิลปะ​แบบ​สุโขทัย ปาง​มารวิชัย พุทธ​ลักษณะ​พระศาสดา ซึ่ง​  องค์การ​พุทธศาสนิก​สัมพันธ์​แห่ง​โลก  (พ.ส.ล.) จัด​ทำ​ขึ้น​เพื่อ​ทูลเกล้า​ทูลกระหม่อมถวาย​แด่​พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เนื่อง​ใน​โอกาส​เฉลิม​พระชนมพรรษา  80  พรรษา  5  ธันวาคม 2550


สมเด็จพระศาสดาประดิษฐานที่วิหารในวัดหลิงกวง.

สำหรับ​พระศาสดา​องค์​นี้​เป็น​องค์​ที่​สาม​ที่​องค์การ​พุทธศาสนิก​สัมพันธ์​แห่ง​โลก​มอบ​ให้​จีน สอง​องค์​แรก​มอบ​ให้​วัด​ที่​เซี่ยงไฮ้ และ​วัด​ที่​สิบ​สอง​ปัน​นา ไป​เมื่อ​ปี​ที่​แล้ว​ตามลำดับ  พระ​พุทธรูป​องค์​นี้​สมเด็จ​พระ​เทพ​รัตนฯ ทรงพระกรุณา​โปรดเกล้า​โปรด​กระหม่อม​เสด็จพระราช ดำเนิน​ทรง​เท​ทองหล่อ​และ​ทรง​เป็น​องค์​ประธาน​ใน​พิธี​มหา​พุทธาภิเษก ณ   พระ​อุโบสถ​วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ 30 มกราคม 2552

จาก​นั้น​ทาง​พ.ส.ล.​จะ​อัญเชิญ​ไป​ประดิษฐาน ณ วัด หรือ​สถาน​ที่​สำคัญ​ทาง​ประวัติศาสตร์​ของ​พระพุทธศาสนา​ใน 19 ประเทศ

วัด​ห​ลิง​ก​วง​เป็น​วัด​สำคัญ​แห่ง​หนึ่ง​ใน​ประวัติศาสตร์    สร้าง​ขึ้น​ใน​สมัย​ราชวงศ์​ถัง หรือ​ใน​ราว​คริสต์ศตวรรษ​ที่ 8 เกี่ยวข้อง​กับ​การ​เผยแผ่​พระ​พุทธศาสนา​ก่อน​ขึ้น​ไป​ยัง​ทิศ​ตะวันออก เป็น​เส้นทาง​ความ​เจริญ​ของ​พุทธศาสนา​ฝ่าย​มหายาน และ​เป็น​ที่​ประดิษฐาน​พระ​บรม​สารีริกธาตุ​พระ​เขี้ยว​แก้ว

จาก​การ​ประชุม​หารือ​ทั้ง​สาม​ฝ่าย   ประกอบ​ด้วย​พุทธ​สมาคม​จีน (Buddhist Association of China) สถาน​เอกอัครราชทูต​ไทย ณ กรุง​ปักกิ่ง และ ​องค์การ​พุทธศาสนิก​สัมพันธ์​แห่ง​โลก   ตกลง​มอบ​พระศาสดา​ให้​แก่​วัด​ห​ลิง​ก​วง   เพื่อ​เป็น​หลักฐาน​ประวัติศาสตร์​แสดง​ถึง​การ​เจริญ​ไมตรี​ระหว่าง​ประชาชน​ทั้ง​สอง​ประเทศ



ท่านเจ้าอาวาสวัดหลิงกวงและพระสงฆ์ฝ่ายจีนที่เข้าร่วมประกอบพิธี.

พิธีกรรม​ใน​การ​ประดิษฐาน​พระศาสดา​นั้น มี​ทั้ง​การ​สวด​มนต์​ตาม​แบบ​เถรวาท  นำ​โดย​พระธรรม​ว​รา​จาร​ย์ วัดบวรนิเวศวิหาร และ​แบบ​มหายาน นำ​โดย​ ท่าน​เจ้าอาวาส​วัด​ห​ลิง​ก​วง

“หัวใจ​ของ​การ​มอบ​พระศาสดา​ให้​จีน​ยัง​เนื่อง​ใน​วโรกาส​ที่​พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว​ทรง​ครอง ราชย์​มา​เป็น​เวลา 60 กว่า​ปี ทรง​มี​พระ​ราช​กิจ​มากมาย​จน​ชาว​พุทธ​ทั่ว​โลก​ยอม​รับ​และ​เคารพ​อย่าง​สูง นับ​ได้​ว่า​เป็น​กษัตริย์​ของ​ชาว​พุทธ​โลก​มี​บทบาท​ใน​การ​อุปถัมภ์​ค้ำชู​ศาสนา เช่น ทรง​ออก​ผนวช และ​หลัก​ใน​การ​ปกครอง และ​เจริญ​ไมตรี​เป็น​หลัก​ทาง​พุทธศาสนา​ที่​คน​ทั่วไป​ยอม​รับ การ​มอบ​พระศาสดา​ครั้ง​นี้​จึง​เป็น​เรื่อง​ของ​ชาว​จีน​กับ​พุทธศาสนิกชน​ทั่ว​โลก”  พัลลภ  ไทย-อารีย์ เลขาธิการ​องค์​กา​ร พ.​ส.ล. กล่าว

อีก​นัยหนึ่ง​เมื่อ​พูด​ถึง​การ​สร้าง​สมเด็จ​พระศาสดา​นั้น เลขาธิการ​องค์กา​ร พ.​ส.ล.​อธิบาย​ว่า มิ​ใช่​เป็น​การ​ให้​หลง​ใหล​ใน​พระ​พุทธรูป  อย่างไรก็ตาม  ​ใน​สังคม​ไทย​ให้​ความ​เคารพ​ต่อ​พระ​พุทธรูป​อย่าง​มาก  แต่​ประเด็น​ถัด​มา​คือ​การ​นำ​ทุน​ที่​ได้​จาก​การ​สร้าง​พระ​ไป​เผยแพร่​ธรรมะ เช่น การ​แปล​หนังสือ​ทศพิธราชธรรม เป็น 5 ภาษา  จาก​นั้น​หาก​ยัง​มี​ทุนทรัพย์​เหลือ​จะ​จัด​ทำ​กองทุน​การ​กุศล​ต่อ​ผู้หญิง​และ​เด็กต่อ​ไป


พระเขี้ยวแก้วโบราณค้นพบใหม่อีกครั้งเมื่อปี พ.ศ.2443.

บรรยากาศ​อัน​ร่มรื่น​และ​อบอวล​ไป​ด้วย​กลิ่น​ควัน​ธูป​ฟุ้ง​กำจาย​ทั่วไป​ภายใน​วัด​ห​ลิง​ก​วง   กับ​ความรู้สึก​กระตือรือร้น​ของ​พุทธศาสนิกชน​ที่มา​ร่วม​งาน​ใน​วัน​นั้น เป็น​ประจักษ์พยาน​แสดง​ให้​เห็น​ว่า​ศาสนา​พุทธ​ดำรง​อยู่​ได้​อย่าง​มั่นคง แม้​ใน​สาธารณรัฐประชาชนจีน​ที่​ปกครอง​ด้วย​ระบอบ​คอมมิวนิสต์

ภาพแกะสลักพระอรหันต์ 500 องค์.

ปรัชญาปารมิตาสูตรสลักบนกำแพงแห่งหนึ่งที่วัดหลิงกวง.

ความ​สำคัญ​ของ​วัด​ห​ลิง​ก​วงใน​อดีต​ที่​เป็น​เส้นทาง​ผ่าน​ของ​ศาสนา​พุทธ​นิกาย​มหายาน มิได้​มี​แต่​เพียง​อดีต​ที่​รุ่งเรือง​เท่านั้น หาก​แต่​ใน​ยุค​สมัย​ปัจจุบัน วัด​ห​ลิง​ก​วง​    ก็​เป็น​พื้นที่​ที่​แสดง​ถึง​การ​แลกเปลี่ยน​สัมพันธภาพ​ อัน​ดี​กับ​ชาว​พุทธ​จาก​ชาติ​อื่น

พระพุทธรูปจากศรีลังกา.

ดัง​จะ​เห็น​ได้​ว่า​มี​พระ​พุทธรูป​จาก​ศรี​ลังกา ประดิษฐาน​อยู่​หน้า​กำแพง​ที่​สลัก​รูป​พระ​อรหันต์​ภายใน​วัด  ใน​ส่วน​ที่​เกี่ยว​กับ​ไทย​นั้น   สมเด็จ​พระ​สังฆราช​   สกล​มหา​สังฆ​ปริณายก   ​เคย​ประทาน​พระ​พุทธรูป หล่อ​ด้วย​ทองแดง​องค์​หนึ่ง   ประดิษฐาน​เป็น​องค์​ประธาน​ใน​วิหาร​ประธาน​ของ​วัด เมื่อ​ปี พ.ศ.2532

รูป​เคารพ​ที่​แตก​ต่าง​กับ​ความ​เป็น​พุทธ​ต่าง​นิกาย​นั้น​ย่อม​แสดง​ถึง​การ​ที่​พุทธศาสนา​เข้าไป​สถิต​อยู่​ใน​ดิน​แดน​ต่าง​วัฒนธรรม​ทั่ว​โลก  และ   พ.ส.ล. ​ก็​เป็น​องค์กร​ของ​ชาว​พุทธ​หนึ่ง​ใน​ระดับ​นานาชาติ​ที่​เป็น​เวที​ใน​การ​แลกเปลี่ยน​ทัศนคติ​ระหว่าง​กัน   เพื่อ​ความ​เข้าใจ​ใน​แก่น​ธรรม​ทาง​พุทธศาสนา​อย่าง​แท้จริง.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/169460
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ