ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด
บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง "วิธีเจริญพิจารณาเพื่อ..การปล่อยวาง กับ หน้าที่" ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้
โดยปกติแล้ว บุคคลที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรม หรือ บุคคลผู้เริ่มศึกษาพระธรรมใดๆ จะพบเจอคำว่า "ปล่อยวาง" ซึ่งก็จะเกิดขัดแย้งในใจขึ้นเสมอๆว่า ทำไมต้องปล่อยวาง แล้วจะต้องปล่อยวางยังไง ทำอย่างไรถึงเรียกว่าปล่อยวาง บางคนพูดถึงแม้ว่า หากมีคนมาฆ่าเรา เราก็ต้องปล่อยให้เขาฆ่าหรือ อย่างนี้ใช่ไหมเรียกว่าปล่อยวาง หรือ เขามาทำร้ายลูกเมียตนก็ปล่อยวางให้เขาทำไป ซึ่งในส่วนนี้ๆจะมีแยกแยะระหว่าง คำว่า "หน้าที่" และ "ความปล่อยวาง" ซึ่งแยกเป้นส่วนๆ โดยจะเริ่มกล่าวดังต่อไปนี้ครับ
๑. วิธีปล่อยวาง
1. การระลึกรู้ตามพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเป็นเบื้องต้น
ภิกษุ ทั้งหลาย. !
สิ่งใด ไม่ใช่ของเธอ, สิ่งนั้น จงละมันเสีย;
สิ่งนั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๑/๒๑๙.
- การปล่อยวางใดๆนั้น ให้พึงเจริญสติ ระลึกพิจารณาในพุทธวจนะนี้เป็นเบื้องต้น เป็นประจำอยู่เนืองๆ
- เมื่อเรามีความพอใจยินดีสิ่งใดๆอยู่ คือ พอใจยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ธรรมมารมณ์ใดๆ จนเสพย์เสวยอารมณ์ในเวทนานั้นๆ เมื่อเกิดความโสมนัสเวทนา(สุขใจ)ใดๆ
- เมื่อสุขใจปุ๊บ ก็จะเสพย์เสวยอารมณ์ประกอบกับความสำคัญมั่นหมายเอาไว้ในใจ(สัญญา)ว่า สิ่งนี้คือสุข สิ่งนี้แหละที่พอใจยินดี สิ่งนี้แหละที่น่าใคร่ได้ปารถนา สิ่งนี้แหละที่ยินดีต้องการ ซึ่งเกิดประกอบกับความติดใจใคร่ได้ยินดี เช่น อยากได้แฟนสวย อยากได้เงินเยอะๆ อยากให้คนรักตนเอง เชื่อฟังตนเอง เกรงกลัวตนเอง ให้เกียรติตนเอง อยากมีบ้าน อยากมีรถ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้แบบเขา-เหมือนเขา อยากได้บ้าน รถ เงิน แฟนของเขา อยาก..ฯลฯ
- พออยากได้ ก็จะเกิดความต้องการทะยานอยากใคร่ได้ที่จะมี อยากที่จะเป็น ทะยานอยากต้องการใคร่ได้ที่จะเสพย์ เป็นต้น วิ่งไขว่คว้าหามาให้ได้เป็นตัณหา
- พอตัณหาเกิด เราก็จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเอาว่าสิ่งนี้มีอยู่ สิ่งนี้มีจริง สิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนี้มีตัวตน บุคคล สิ่งของจริง สิ่งน่าน่าใครได้ปารถนายินดีเป็นต้น เป็นอุปาทานสืบมา
- ก็เมื่อยิ่งเราไขว่คว้าต้องการจะหามาให้ได้ซึ่งสิ่งใดๆที่ไม่ใช่ของเรา สิ่งใดๆที่ไม่ใช่ของจริง สิ่งใดๆที่ไม่มีตัวตน สิ่งใดๆที่เราเข้าไปยึดถือตั้งเอามาเป็นตัวตนอุปาทานมากเท่าไร ก็ยิ่งตะเกียกตะกายดิ้นรนวิ่งเข้าไปสู่กองทุกข์มากเท่านั้น
เมื่อเกิดความต้องการปารถนาใคร่ได้ใดๆ แต่ไม่เป็นไปตามที่ใจเราปารถนาใคร่ได้ยินดี เราก็จะเกิดความอัดอั้นใจ กรีดใจ ขัดเคืองใจ ขุ่นมัวใจ หมองมัวใจ โศรกเศร้าเสียใจ ร่ำไรรำพัน คับแค้นกายใจ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ นี่เรียกว่าทุกข์ที่เกิดแก่ใจทั้งหลาย เป็นต้น
- ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงควรที่จะพึงเจริญสติระลึกรู้อยู่เนืองๆว่า สิ่งใดๆทั้งหลายที่เราปารถนาใคร่ได้อยู่นี้ๆ มันไม่ใช่ของเรา เราไม่อาจจะบังคับให้มันเป็นไปดั่งที่ใจเราต้องการได้ เพราะมันไม่มีตัวตนบุคลคลใดอันที่เราจะไปยื้อบังคับจับต้องมันให้เป็นไปดังใจได้ สิ่งนี้ๆไม่ใช่ของเรา
- ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งนี้ๆ..แม้ว่าเราจะสามารถไขว่คว้าหามาได้ แม้ว่าได้เสพย์สมดั่งใจปารถนานั่นแล้ว แต่ทว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งนี้ๆมันก็คงยังความเสื่อมสลาย สูญสลายไปเป็นธรรมดา มันไม่คงอยู่กับเราตลอดไป ต้องสูญสลายไปไม่ด้วยเหตุเพราะสภาพแวดล้อม ไม่ก็กาลเวลา หรือไม่ก็เพราะการดูแลรักษา ด้วยเพราะสิ่งนี้มันไม่เที่ยง ไม่คงอยู่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันไม่ใช่เรา และ ไม่ใช่ของเรา
เช่น
- เมื่อเรามีความปารถนา อยากได้แฟน หล่อๆ สวยๆ อยากได้เงินเยอะๆ อยากได้บ้านใหญ่ๆ หรูๆ อยากได้รถคันสวยแพง มัวเมาหมกอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตน สิ่งที่มีความแปรเปลี่ยนเสื่อมสลายเป็นปกติธรรมดา สิ่งที่ไม่ใช่ของเรา พยายามเสาะแสวงหามาให้ได้ แต่ไม่อาจที่จะเอื้อมคว้าเอาได้ ทีนี้ก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะไปปารถนาในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา ทุกข์เพราะไปปารถนาในสิ่งที่ไม่คงอยู่ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกข์เพราะไปหวังในสิ่งที่ไม่อาจจะบังคับให้เป็นไปดั่งใจได้ ทุกข์จากการตั้งอุปาทานในสิ่งที่ไม่มีตัวตน ทุกข์จากการตั้งอุปาทานในสิ่งที่มันไม่ใช่เรา ทุกข์จากการตั้งอุปาทานในสิ่งที่มันไม่ใช่ของเราดังนี้
- เมื่อเรารู้ความจริงว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ใช่เรา-มันไม่ใช่ของเราดังนี้แล้ว
- เมื่อเรารู้จักปล่อยวางโยนทิ้งไปเสีย ซึ่งความปารถนาใคร่ได้ยินดีที่เสพย์ในสิ่งที่ไม่ใช่เรา โยนทิ้งความปารถนาใคร่ได้ยินดีที่จะเสพย์ในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรานี้แล้ว
- ความทุกข์ย่อมไม่มีแก่กายและใจเรา ความสุขจากความไม่ทะยานอยากใคร่ได้ต้องการ ความสุขจากการที่เราไม่มัวเมาหมกอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ของเราก็จะเกิดขึ้น มีความวางเฉย นิ่งว่างอยู่ ไม่ระส่ำระส่ายดิ้นรนไขว่คว้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นตั้งอุปาทานในสิ่งใดๆ
ดังนั้นพึงเจริญพิจารณาอยู่เนืองๆดังพุทธวจนะนี้ว่า
สิ่งใด ไม่ใช่ของเธอ, สิ่งนั้น จงละมันเสีย;
สิ่งนั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ.
แม้พิจารณาให้เห็นตามจริงใน "สฬายตนะ" คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็พึงเจริญระลึกรู้ว่า มันไม่ใช่ของเรา
หากเป็นของเราย่อมบังคับให้เป็นดั่งที่ใจเราต้องการได้ บังคับให้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รส ไม่ตรึกนึกคิดทะยานในสิ่งใดๆได้
ก็เพราะสิ่งนี้ๆมันไม่เที่ยงเพราะมีความสุญสลายเป็นธรรมดาๆ
เราจึงไม่สามารถไปบังคับมันได้ว่า ขอตาฉันอย่าฝ้าฟางเลย ขอหูฉันอย่าหนวกไม่ได้ยินเลย เป็นต้น
ก็เพราะมันไม่มีตัวตน อันที่เราจะบังคับให้มันเป็นไปดั่งที่ใจเราต้องการปารถนาได้
ด้วยนั่นเพราะมันไม่ใช่เรา
ด้วยนั่นเพราะ มันไม่ใช่ของเรา
ดั่งพุทธวจนะนี้ในเบื้องท้ายที่ว่า
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อะไรเล่า ที่ไม่ใช่ของเธอ ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! จักษุ ไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย;
จักษุนั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และ
ความสุขแก่เธอ
(ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มโน ก็ได้
ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน).
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เปรียบเหมือน อะไร ๆ ในแคว้นนี้
ที่เป็นหญ้า เป็นไม้ เป็นกิ่งไม้ เป็นใบไม้ ที่คนเขา
ขนไปทิ้ง หรือ เผาเสีย หรือทำตามปัจจัย; พวกเธอรู้สึก
อย่างนี้บ้างหรือไม่ว่า คนเขาขนเราไป หรือเผาเรา หรือ
ทำแก่เราตามปัจจัยของเขา ?
“ไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า !”
เพราะเหตุไรเล่า ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เพราะเหตุว่า ความรู้สึกว่า
ตัวตน (อตฺตา) ของตน (อตฺตนิยา) ของข้าพระองค์ไม่มีในสิ่งเหล่านั้น
พระเจ้าข้า !”
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ฉันใดก็ฉันนั้น :
จักษุ...โสตะ...ฆานะ...ชิวหา...กายะ...มโน ไม่ใช่ของเธอ
เธอจงละมันเสีย
สิ่งเหล่านั้น อันเธอละเสียแล้ว
จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ แล.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๑/๒๑๙.
2. การระลึกรู้พิจารณาละความปารถนาใคร่ได้ยินดีที่จะเสพย์ที่เป็นสัจธรรมเป็นเบื้องต้น
ความปารถนาใคร่ได้ยินดีที่จะเสพย์ในสิ่งที่ไม่เที่ยง-สิ่งที่ไม่มีตัวตน-สิ่งที่ไม่ใช่ของเรานี้ๆ ย่อมเป็นทุกข์
ความปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นตั้งอุปาทานสิ่งใด ไม่ปารถนาใคร่ได้ยินดีที่จะเสพย์ในสิ่งที่ไม่เที่ยง-สิ่งที่ไม่มีตัวตน-สิ่งที่ไม่ใช่ของเรานี้ ย่อมเป็นสุข
ดังนั้นพึงระลึกรู้พิจารณาอยู่เนืองๆดังนี้ว่า
- ปารถนาในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเราร้อย ก็ทุกข์ร้อย
- ปารถนาในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเราห้าสิบ ก็ทุกข์ห้าสิบ
- ปารถนาในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเราสิบ ก็ทุกข์สิบ
- ไม่ปารถนาในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเราเลย เราก็จะไม่ทุกข์เลย
ดังนั้นเราไม่ควรปารถนาใคร่ได้ยินดีที่จะเสพย์ในสิ่งใดๆ ไม่ควรไปติดข้องใจสิ่งใดๆ ที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเรา เพราะมันมีแต่ทุกข์ เพราะมันหาประโยชน์ใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์
ดังนั้นพึงเจริญพิจารณาอยู่เนืองๆดังนี้ว่า
- สิ่งใดๆที่ไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา แล้วเราเอากายเอาใจเข้าไปตั้งความปารถนาใคร่ได้ยินดีที่จะเสพย์ในสิ่งนั้นๆ มันก็มีแต่ทุกข์ หาสุขใดๆไม่ได้เลย
- อย่าไปติดข้องใจใคร่ได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา เพราะมันเป็นทุกข์
- เมื่อไหร่ที่เราไป ติดใจ-ข้องใจ ในสิ่งใดๆที่ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราปุ๊บ ก็ทุกข์เพราะความติดใจนั้นปั๊บทันที (ติดใจปุ๊บ ก็ทุกข์ปั๊บ)
- ละความติดข้องใจนั้นไปเสีย ปล่อยวางทิ้งไปเสียซึ่งสิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของรา เพราะมันหาประโยชน์ใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์
พิจารณาแนวทางทั้งข้อที่ 1 และ 2 สลับกันไปมาจิตจะรู้ความเอือมระอาในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
ซึ่งจะได้ผลดี 100% หากเจริญควบคู่กับ
1. มหาสติปัฏฐาน๔
2. สัมมาสมาธิ อันเป็นเครื่องช่วยสลัดซึ่งความฟุ้งซ่าน ความคิดพล่าน ติดใจ ความข้องใจ ความอยากใดๆได้
3. ศีล
4. พรหมวิหาร๔
5. กุศลกรรมบถ๑๐
(เจริญให้มากในข้อ 1-4 จะช่วยให้ปฏิบัติในข้อที่ 5 นี้ง่ายขึ้น เมื่อเจริญเป็นประจำย่อมยังประโยชน์ให้เข้าถึงใน โพชฌงค์๗)