ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ระหว่าง วิทยาศาสตร์ กับ พุทธศาสน์ อะไรเป็นที่พึ่ง ได้มากกว่ากัน  (อ่าน 5375 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sayamol

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 95
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
บางท่าน ว่าเราอยู่ได้ ด้วย วิทยาศาสตร์ ใช้ชีวิตด้วย วิทยาศาสตร์ คือ สิ่งที่พิสูจน์ได้แน่นอน

แต่บางท่าน ก็ว่า เรามีชีิวิตเต็มได้ ด้วย พุทธศาสน์ แท้ที่จริง

  วิทยาศาสตร์ กับ พุทธศาสน์ ต่างกันอย่างไร มีความเหมือนกันหรือไม่

  :c017:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 09, 2011, 11:26:48 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
จริงใจ อ่อนน้อม พรั่งพร้อมด้วยความรู้
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
แนะนำให้อ่านลิงค์นี้ครับ

ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร(๑)
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=896.0

การสอนพระพุทธศาสนาแก่เยาวชน
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=895.0

"ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น"
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=2143.0

การระลึกชาติ แบบ ฟิสิกส์ใหม่
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1042.0

วิทยาศาสตร์สมาธิ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=894.0

วิวัฒนาการของโลก จากความเห็นทางวิทยาศาสตร์
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=893.0


   บอกตรงๆว่า ลิงค์ข้างบนผมเป็นคนโพสต์ทั้งหมด เหนื่อยมากครับ เจตนาที่โพสต์อยากให้ครูวิทยาศาสตร์นำไปสอนศิษย์ มีสมาชิกท่านหนึ่งนามว่า "ครูนภา" เป็นครูวิทย์ ที่เอ่ยนาม ก็น่าจะเข้าใจเจตนานะครับ ว่าผมขอรบกวนช่วยแสดงความเห็นสักนิด ผมเหนื่อยล้าเต็มทน
    :'( :'( :'( :03: :03: :03:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
หลวงปู่ดูลย์พูดถึงไอสไตน์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2011, 11:14:08 am »
0


หลวงปู่ดูลย์พูดถึงไอสไตน์

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช สวนสันติธรรม ชลบุรีเล่าถึงเรื่องที่หลวงปู่ดูลย์เคยพูดถึงไอสไตน์ ไว้ว่า...

“...หลวงปู่ดูลย์เคยบอกเรื่องประหลาดนะ...หลวงปู่ดูล ย์เนี่ย อยู่บ้านนอกอยู่ป่าอยู่เขามาตลอดชีวิต...ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์อะไร... ท่านวิจารณ์ไอสไตน์ได้นะ...ท่านคงพิจารณาของท่านเอง...ท่านบอกไอสไตน์น่ะมัน เก่งนะ...มันเก่ง... มันสามารถพิจารณาไปถึงนิพพานได้

แต่เค้าไม่เห็นประโยชน์...เค้าไม่รู้ว่าจะ ใช้ประโยชน์อะไร เค้าเลยไม่เอา...

ท่านวิจารณ์อย่างนี้....อย่างสิ่งที่ปิดบังนิพพานไว้ ก็มี รูปนาม ขันธ์ 5 กับสมมติ

บัญญัติ...ไอสไตน์เก่งนะ ถึงขนาดมองว่าสิ่งที่ตัวเราที่แท้จริงนี่เป็นแค่เศษธ ุลี
ในจักรวาล...เล็กนิดเดียวไม่มีนัยยะอะไร...แต่ความสำ คัญตัว สำคัญมั่นหมาย
ขึ้นมา ว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ...มนุษย์ก็เลยแยกตัวเองออกจากส ิ่งที่แวดล้อมอยู่...


เกิดเรา เกิดเขา เกิดสิ่งแวดล้อมขึ้นมา...ไอสไตน์มองไปเห็นได้อย่างนี ้ว่า จริงๆตัวตนที่แท้จริงเราไม่มีหรอก เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ชั่วขณะ

เท่านั้น... สัมพัทธ์..ชั่วขณะ แล้วก็ดับสลาย...นี่หลวงปู่ดูลย์ท่านวิจารณ์นะ
ประหลาด เรายังไม่เคยอ่านเลย..อีกองค์นะ วิจารณ์เรื่องเบอร์มิวด้า..ประหลาด
นะ พระอยู่ในป่า ไม่เคยรู้หนังสือ...


ทีนี้หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ไอสไตน์ไม่รู้มรรค...และก็ไม่รู้จะใช้ประโยชน์อะไร รู้จัก
แต่ประโยชน์ที่จะเอาออกมาทำงานทางโลก...เพราะฉะนั้น มรรคที่ไอสไตน์เสนอขึ้นมามันกลายเป็นมรรคของคริสต์...บอกว่ามนุษย์เ ป็นเศษธุลีของจักรวาล...ไม่มีความสำคัญอะไร มีแต่ความสำคัญตัวว่าใหญ่เหลือเกิน มีอัตตามาก สร้างปัญหาขึ้นมาเยอะแยะ...

เพราะฉะนั้นให้มนุษย์นี้รักเพื่อนบ้านรักคนอื่นซะ...ใช้มรรคของคริสต์...คือใช ้ความรัก...แต่มรรคของพุทธใช้ความ “รู้”...คนละวิถีกัน วิถีแห่งทางพ้นทุกข์ก็ไม่เหมือนกัน ตามสติปัญญาตามสภาพแวดล้อมแต่ละสังคม


ที่มา  www.junjaowka.com/webboard/showthread.php?t=62012
ขอบคุณภาพจาก www.dhammajak.net/,http://imacsoroban.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ไอน์สไตน์พูดถึงศาสนาพุทธ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2011, 11:19:59 am »
0
ไอน์สไตน์พูดถึงศาสนาพุทธ


มีหลายท่านเข้าใจว่า ธรรมะกับวิทยาศาสตร์เป็นคนละเรื่องกัน

แต่ตามความเห็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่า เป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพียงแต่วิทยาศาสตร์สมัยนี้ ยังไม่ละเอียดอ่อนเพียงพอที่จะเข้าถึงหรืออธิบายธรรมะได้


“ในเมื่อธรรมะคือสภาวะความจริงของธรรมชาติ หากเราจะพูดเรื่องนี้ในกรอบของเซต (set) แล้ว วิทยาศาสตร์เป็นเพียงเซตย่อย (subset) ของเซตใหญ่ ที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง” (24 January 2007, Dayvil)

ปริศนาคำพูดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต ถึงแม้อัลเบิร์ต ไอสไตล์ ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบตำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม แต่ไอสไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ

ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนา อาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหา ในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง “The Human Side” ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

“The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogmas and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that would cope with modern scientific needs, it would be Buddhism.”

(May 19th, 1939, Albert Einstein’s speech on “Science and Religion” in Princeton, New Jersey, U.S.A.)”

“ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....

ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา”

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพันธภาพ ศาสนาเดียวที่จะเหลืออยู่ในโลกอนาคต ก็คือ ศาสนาที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการตามกฎของธรรมชาติ เหมือนกับที่ไอสน์ไตน์เขาพูดไว้ว่า

“ศาสนาที่เหลืออยู่ในโลก ก็คือศาสนาที่สามารถเผชิญกับความต้องการของโลกแห่งยุคปัจจุบัน”

แต่......กว่าจะถึงเวลานั้นเกรงว่า............โลกจะไม่เหลือผู้คนให้นับถือศาสนา



ที่มา http://board.postjung.com/562065.html
ภาพจาก http://board.postjung.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

tcarisa

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 524
  • ก้าวน้อย แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
ว่าผมขอรบกวนช่วยแสดงความเห็นสักนิด ผมเหนื่อยล้าเต็มทน
ขอแสดงความเห็นแทน นะคะ สำหรับพวกเรา ที่โพสต์ไม่เก่ง คือ ไม่รู้จะโพสต์อะไร นั้นจึงชอบอ่าน มากกว่าคะ
ที่เว็บ มัชฺฌิมา แบบลำดับ ถ้าว่าที่โพสต์บ่อย ๆ ก็น่าจะมีไม่กี่ท่าน เป็นกำลังใจคะ ถึงตอนนี้ไม่ค่อยจะโพสต์อะไร
เนือ้เรื่องที่มีให้ติดตาม ก็มีมากจริง ๆ คะอ่าน มา 1 ปีแล้วไม่หมดเลยคะ กำลังตามอ่านเรื่องเก่า โดยเฉพาะเรื่องกรรมฐาน นะคะ เพราะว่าที่นี่เว็บนี้ จะแตกต่างจากที่อื่น ตรงที่ว่า

   1. สอนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เผยแผ่ กรรมฐาน สนับสนุน วัดราชสิทธาราม

   2. การดำเนินการของเว็บนั้น เป็นแบบให้เปล่า

   3. มีครูอาจารย์ คอยตอบคำถาม  ( อันนี้สำคัญมากคะ เพราะท่านจัดเป็น บุคคลากร ที่หายากคะ โดยเฉพาะอาจารย์สอนกรรมฐาน ที่ใช้ระบบ IT นี้ มีน้อยนักนะคะ )

   4. มีสมาชิก ร่วมกันตอบปัญหา ในเวลาอันรวดเร็ว มีข้อเด่น ประจำตัว

   5. ทุกท่านล้วนทำงาน เพื่อพระศาสนา ให้กับพระกรรมฐาน

   6. เป็นเว็บที่มีเอกลักษณ์ ที่ไม่ต่อย ตี กับสำนักต่าง ๆ ดูเหมือนจะเป็น มิตร กับทุกสำนัก ไำม่ว่าจะเป็นแนว ปัญญา พลังจิต พระเครื่อง เสก เป็นต้น

   7. มีข่าวสารที่อัพเดท ไวมาก และเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะ บอร์ดแจ้งข่าวสาร

   8. มีกลุ่มผู้ภาวนา แน่นอน ถึงแม้ ครูอาจารย์ จะไม่ได้อยู่ประจำ

   9. ที่สำคัญมีเนื้อหา ให้กับเด็ก ๆ เข้ามาอ่านด้วย อันนี้ต้องยกประโยชน์ ให้กับ FWD mail พวกเด็ก ๆ ได้เข้ามาศึกษา อ่านกันบ่อยขึ้น อย่างน้อยอ่านวันละครั้ง ก็ค่อย ซึมซาบกันไป

   10. ความตั้งใจของพระอาจารย์ ทีีจะอำนวยความสะดวกในเรื่องเว็บ ถึงกับ ยอมเช่า โฮสต์ ถึง 3 โฮสต์ มี
้hosting web กระทู้ hosting web โพสต์ฝากภาพ และ hosting วิทยุออนไลน์

   11. มีสืื่อธรรม ทุกรูปแบบ

   12. ทำสำคัญที่สุด ทุกท่าน มีปณิธาน ด้านการภาวนา


   และอีกมากที่ยังไม่กล่าว เกรงว่า จะตัวลอย ซะก่อน คะ




  ว่าข้อดีไปแล้ว ที่นี้ขอแสดงความเห็น ข้อเสียบ้างนะคะ

 1. ทีมงานมัชฌิมา นอกจาก คุณ natthaponson และ ธรรมธวัช แล้ว ไม่ค่อยมีการโพสต์ ตอบปัญหา

 2. พระอาจารย์ คงจะตอบปัญหา มีปัญหาคั่งค้าง ซี่งส่วนตัวก็ส่งเมล ถามท่านแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบ

 3. คนโพสต์ มีน้อยกว่า คนอ่าน

 4. เวลาที่มีคนเข้าชมเว็บ อย่างที่โรงเรียน เด็กเข้าอ่านพร้อม ๆ กัน ประมาณ 30 ก็จะช้าลงทันที

 5. ไม่ทราบพระอาจารย์ตอนนี้ อยู่แห่งหนใด ใครเป็นผู้ดูแลท่าน

 6. กองทุน สำนักงานเผยแผ่ นี้ใครเป็นสนับสนุนหลัก หรือ พระอาจารย์เป็นผู้ดูและทั้งหมด

 7. การจัดกิจกรรม เช่นการอบรมกรรมฐาน มีจำนวนน้อยวัน และเวลา น้อยเกินกว่าที่จะเดินทางไปร่วมด้วย
     ซึ่งถ้าเดินทางจากลำปาง จัดพบกลุ่มกรรมฐาน 6 ชม. จึงยังไม่มีใครสนใจที่จะไปร่วมด้วย
 
 8. กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีการฝึกลำดับ เพิ่มระดับลูกศิษย์ เป็นห้อง ๆ แต่ละส่วนจึงมีผู้ปฏิบัติไม่เท่ากัน จึงทำให้เกิด ข้อเปรียบเทียบ ในกลุ่มว่า คนนี้ปฏิบัติไปได้มาก หรือ น้อย ซึ่งก็เป็นปัญหาในกลุ่มเหมือนกัน บางคนก็ท้อ เพราะว่าปฏิบัติไล่ตามเพื่อนไม่ทัน มีเพื่อนครูหลายท่านไปขึ้นกรรมฐาน ทีวัดราชสิทธาราม กันมาตอนนั้นไป ประมาณ 15 คน แต่ตอนนี้ มีทุกระดับ ใน 15 คน คือ อยู่ขั้นแรกเหมือนเดิม อยู่ห้องพระยุคล ห้องพระสุข ห้องพระอานาปาน มีการเข้าสะกดกรรมฐาน ที่วัดราชสิทธารามกันด้วย หลายคน และก้ไม่ได้เข้าด้วยอีกหลายคน สรุป กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีการแบ่งระดับผู้ภาวนาไม่เสมอกัน ซึ่งแตกต่างจากเวลาไปภาวนาวิปัสสนา ที่วัดท่ามะโอ แล้ว เราได้ภาวนาเสมอกันในส่วนของวิปัสสนา
 
   ในข้อนี้ มีลูกศิษย์กรรมฐาน หลายท่านออกปากว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เป็นกรรมฐานที่ยากมาก ๆ

  9. กัลยาณมิตร คือ ครูอาจารย์ด้านกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้นหายากจริง ๆ ถึงแม้เราจะไปที่ สุสานไตรลักษณ์มาบ้างแล้ว แต่รายบละเอียดของกรรมฐาน ก็มีผู้เข้าใจน้อย ดังนั้นเมืื่อติดในด้านกรรมฐาน ด้วยความเกรงใจ เราจึงต้องไปที่วัดราชสิทธาราม ซึ่งอยู่ กทม เป็นระยะทางที่ไกลมาก เพราะเดินทางเป็น วัน คืน ไปกลับ

  10. เอกสารกรรมฐาน ถึงมีอยู่มาก แต่อ่านแล้วก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ หรือเข้าใจ เพราะกรรมฐาน มัชฌิมา เป็นกรรมฐาน ปฏิบัติไม่ใช่ กรรมฐาน ปริยัติ จึงเป็นที่้ท้อแท้ ของคนหลายคนที่กำลังสนใจปฏิบัติ

  11. สำคัญที่สุด คือ พระอาจารย์ ผู้สอนกรรมฐาน ( อันนี้ให้ความสำคัญสูงมาก ) ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งต้องรีบเรียนด้วย ต้องศึกษาและ ให้ความเคารพ  ทั้ง 10 หัวข้อนี้เราให้น้ำหนักมากที่สุด และ สำคัญอย่างมาก ๆ

  เท่านี้ก่อนนะคะ ถ้าต้องการให้แสดงความเห็น ไม่อยากจะเืชื่อว่า คุณลุงปุ้ม จะบ่นว่าล้าแล้ว

  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
เราเป็นหน่ออ่อน ที่รอการเติบโต
จึงขอสั่งสมบารมีธรรม เพื่อพระนิพพาน

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แสดงความเห็นให้แล้ว นะคะ สำหรับคุณ Nathaponson
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2011, 12:26:02 pm »
0
เห็นด้วยกับ ครูอริสา คะ ตามนั้นเลยนะคะ พิมพ์ไม่ค่อยเก่ง คะ

ยังตามอ่านศึกษา ภาวนากันอยู่ ยังไม่ได้หนีหายไปไหน นะคะ เป็นกำลังใจให้กับทีมมัชฌิมา ที่ตั้งใจทำงาน รับใช้พระธรรม พระกรรมฐาน คะ


 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร

TC9

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 137
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
มาเสริมให้อีกนิด ครับ ในเรื่องการแสดงความเห็น

  ความเพียร เป็นสิ่งที่เกิดกับบุคคล

  แต่จะสวนทางกับ การขนคนไปกับเราด้วย ดังนั้นผลการปฏิบัติภาวนา จึงไม่เสมอกัน

  กรรมฐานวิปัสสนา มิใช่มุ่งสังคม หรือ ชำระสังคม แต่ มุ่งที่การชำระจิตใจของผู้ภาวนาเอง ( อันนี้เป็นความจริง )

ดังนั้นผู้ภาวนาส่วนใหญ่ มักจะเสียเวลากับการพากลุ่มพวกพ้อง เพื่อนฝูง ญาติมิตรไปสู่ฟากฝั่ง แห่ง พระนิพพาน

ตรงนี้ที่เป็นจุดที่ผู้ภาวนาส่วนใหญ่ จึงยังไม่ละ เพราะกรรมฐาน เมื่อปฏิบัติได้ระดับสูงขึ้นมาก็จะมองเห็นความจริงว่า แท้ที่จริง ก็มีแต่เพียงเราผู้เดียว ที่ต้องแหวกว่ายไปให้ถึงฟากฝั่ง คือ การไม่กลับมาเกิดอีก

  มีหลายคนที่หลงอยู่กับ มานะทิฏฐิ ว่าเราเก่ง เราเลิศ เราดี เราเยี่ยม

  แ่ต่่สุดท้าย พระกรรมฐาน ก็ย่อมกล่อมเกลา ความเป็นผู้ถือทิฏฐิ ส่วนนี้ออกไป แม้แต่ตัวเราเอง ก็ยังเป็นเพียงแค่ธาตุ ตามธรรมชาติ ที่ต้องอยู่ในกฏ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา

 ก็เป็นกำลังใจให้ครับ อย่าท้อถอย ถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติจริง ดังนั้นการที่จะใช้ชีิวิตอยู่ร่วมกันโดยความผาสุข ต้องยึดถือพระวินัย คือ ศีล และ ระเบียบ กฏ

  ส่วนภาวะด้านใน ต้องยึดถือธรรม

   :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0

ขอบคุณ...ครับครู

     ยกอ้างเด่นกระทู้            พจน์คม
ครูร่างเฟ้นมีชม                 ใช่น้อย
เป็นมิตรมิเลือนรมณ์          ไกลกู่
จึ่งยกหยิบโคลงถ้อย        มิแสร้งขอบคุณ.


                                                ธรรมธวัช.!



http://krunongkala.blogspot.com/2010/06/5.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 09, 2011, 08:50:32 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

วิชชุดา

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 275
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านหัวข้อ มา แล้ว มาอ่าน ความเห็น แสดงไว้เป็นคนละหัวข้อเลยคะ ถึงจะดูมีประโยชน์ในความเห็นแต่ ความเห็นไมตรงกับ กระทู้ที่ตั้งไว้เป็นบทความคะ

 อยากให้ยกหัวข้อออกไปแสดง อีกกระทู้ เพราะเสียดายหัวข้อกระทู้แสดงความเห็น ดี ๆ ที่เป็นประโยชน์คะ

เพราะถ้ามองจากหัวข้อก่อนเข้าอ่านแล้ว ก็จะไม่เห็นหัวข้อที่แสดงความเห็นนี้คะ

  :014: :13:
บันทึกการเข้า
ขอให้ทุกท่าน จงเป็นผู้มีความสุข กันทุกคนนะจ๊ะ