หากเราเป็น พุทธศาสนิกชน และ เป็นพุทธบริษัท สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ ความเชื่อใน พระพุทธเจ้า
เรียกว่า ตถาคตโพธิศรัทธา เชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ดังนั้น เมื่อเราเชื่อมั่น ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้ว ก็มาทำความเข้าใจ ว่า พระพุทธเจ้า ตรัสูรู้อะไรในคืนนั้น
1. พระองค์ทรงตรัสรู้ ในญาณที่ 1 เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือญาณที่ระลึกชาติได้อย่างไม่มีทีิสิ้นสุด
ไม่มีประมาณ เป็น 9 แสนอสงไขยชาติ 1 แสนมหากัปป์
ในส่วนนี้ก็หมายความพระองค์ ทรงยืนยัน เรื่อง ตายแล้ว เกิด มีจริง ไปในตัวแล้ว ยืนยันว่า ชาติที่แล้ว
พระองค์เป็นใคร เป็นอะไรมาอย่างไร
2.จตูปปาตญาณ ญาณที่ล่วงรู้กรรมของสรรพสัตว์ ( อันจัดเป็นอจิณไตย แก่เรา ) พระองค์สามารถล่วงรู้กรรม
ว่า คน ๆ นี้ เคยทำกรรมอะไร เป็นอะไร ทำไมเพราะเหตุใด ต้องเป็นแบบนี้
ในส่วนนี้ ก็เป็นยืนยันแล้วว่า ชาติ ภพ อันเป็น ปุคคล นั้นมีจริง ไม่ใช่เป็น แต่เพียง ชาติ ภพ อันเป็นสภาวะ
เท่านั้น ที่จะมี
3.อาสวักขยญาณ ญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า ธรรมอันตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นธรรมที่ทำให้พ้น
จากกิเลส และ วัฏฏะ คือ ความเกิด ความแ่ก่ ความเจ็บ และ ความตาย
ดังนั้นในเรื่อง ของ ญาณ ความสามารถ ของพระพุทธเจ้า นั้นเราควรเชื่อ
ที่นี้ในญาณ อันเป็นธรรม ส่วนบุคคลเราก็พึงเชื่อ เพราะบรรดาพระสาวก คือพระสงฆ์ เป็นรัตนะอันประเสริฐ
อันเป็นหนึ่งใน ไตรรัตนะ นั้น เป็นพยานแห่งธรรม เป็นทายาทแห่งธรรม โดยความสมบูรณ์ โดยธรรมอัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ทั้งงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด สมบูรณ์ ด้วยอรรถ และ
พยัญชนะ เป็นธรรมอันจำแนกธรรม สรรพสัตว์ อันสามารถพ้นจาก วัฏฏะอันน่ากลัวนี้เสียได้
ดังนั้น ในเรื่องของญาณ ของพระศาสดา และ พระสาวก เราควรเชื่อไว้ดังนี้
ส่วนบุคคล ถือกำเนิดขึ้นมามีญาณ พิเศษ นั้นย่อมเป็นไปได้ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เพราะเป็นสิ่งที่เกิดได้ด้วย
แห่งกรรม และผลแห่งบุญ ผลแห่งวิชาอันเกิดจากการร่าย
โปรดไปอ่านกระทู้เรื่องนี้เิพิ่มเติม
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1607.0
ดังนั้น ถ้าบุคคลใด มี อิทธิ อันเกิดจากผลกรรม บุญ และ วิชาที่ร่าย มาด้วยแล้ว ก็พึงลุถึงแก่ความสิ้นสงสัย
อย่ามัวเพลิดเพลินในกามคุณ อันเจือด้วย ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ทุกข์ นินทา
อยู่เลย จงใช้ความสามารถที่มีนั้นเป็นไปเพื่อการเพียรเผากิเลส คือ อวิชชา ให้สิ้นไป พึงดำเนินตามรอยบาท
แห่งพระศาสดา ด้วย อริยมรรค อันเป็นทางสายเดียว เพื่อการทำทีสุดแห่งพรหมจรรย์ให้ถึงพร้อม เพื่อทำกิจ
อันเป็นกิจที่ควรทำให้จบเถิด เพราะกิจอื่นยิ่งกว่านี้มิได้มี เป็นกิจที่ควรทำ เป็นกิจอันพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
จักทรงยินดี และเป็นเป้าหมายที่แท้จริง
พึ่งต้ั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราสังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
วิสัชชนาไว้แต่เพียงเท่านี้
เจริญพร