ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “ดอยเสมอดาว = ดาวเสมอดอย”...ทะเลหมอกชวนฝันแห่งเมือง “น่าน” (ชมภาพ)  (อ่าน 2103 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ทะเลหมอก ดอยเสมอดาว

“ดอยเสมอดาว = ดาวเสมอดอย”...ทะเลหมอกชวนฝันแห่งเมือง “น่าน”
โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
       
    เช้าวันอากาศหนาวเหน็บ     
    บางจังหวะเวลาที่สายลมพัดวูบไหวโชยปะทะ มันช่างหนาวยะเยือกกรีดลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของร่างกาย     
    ยอดดอยเสมอดาวในเช้าวันนี้ ขาวโพลนไปด้วยม่านหมอกปกคลุมหนาทึบราวกับจะกลืนกินร่างกายของผมที่เดินลุยฝ่ามันไป ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงของค่ำคืนที่ผ่านมา ยอดดอยเสมอดาวฟ้าใสกระจ่าง เต็มไปด้วยมวลหมู่ดาวทะเลดาวที่ดารดาษพร่างพราวเต็มฟ้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้เข้าใจว่าทำไมดอยแห่งนี้ถึงชื่อว่า “ดอยเสมอดาว”



ดอยเสมอดาว ขุนเขาทรงเสน่ห์แห่งเมืองน่าน

        สิ่งประหลาดที่เสาดินนาน้อย-คอกเสือ     
       หลังเที่ยวปั่นจักรยาน ไหว้พระ แอ่วเมืองน่านแล้ว ในวันรุ่งขึ้นผมกับน้องสองสาวใช้ตัวเมืองน่านเป็นจุดตั้งต้นในการเดินทางสู่ “ดอยเสมอดาว” ที่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อ.นาน้อย จ.น่าน
       
       หลังเข้าสู่ อ.นาน้อย ในระหว่างทางสู่ดอยเสมอดาวมีธรรมชาติประหลาดทางธรณีวิทยาให้ตื่นตาตื่นใจกัน 2 แห่งด้วยกัน เริ่มจาก “เสาดินนาน้อย” (หรือ “ฮ่อมจ๊อม”) และ “คอกเสือ” ที่ตั้งใกล้ๆ กัน (ห่างกันราว 800 เมตร) ใน ต.เชียงของ และเป็นส่วนหนึ่งของ อช.ศรีน่าน



คอกเสือ

       เสาดินนาน้อยและคอกเสือเป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาคล้าย “แพะเมืองผี” ที่แพร่ ตามข้อมูลวิชาการใน (เอกสารนำเที่ยวของ ททท.) ระบุว่า ที่นี่น่าจะมีอายุราว 10,000-30,000 ปี และเคยเป็นก้นทะเลมาก่อน ก่อนจะการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในยุคเทอร์เชียรีตอนปลาย แล้วถูก ดิน น้ำ ลม กัดเซาะ เกิดเป็นธรรมชาติรูปร่างประหลาด
       
       สำหรับคอกเสือนั้น มีลักษณะเป็นหลุมดินกว้าง มีบันไดทางเดินลงไปดูประติมากรรมดินที่เด่นไปด้วยแนวกำแพงกินยักษ์และภูเขาดินทรงเจดีย์ให้ได้ตื่นตาตื่นใจกับการสรรค์สร้างของธรรมชาติ เหตุที่บริเวณนี้เรียกว่าคอกเสือ เนื่องมาจากในอดีตแถบนี้มีเสืออาศัยอยู่จำนวนมาก พวกมักจะออกมาไล่กินวัวควาย และหมูที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ เหล่าชาวบ้านจึงช่วยกันไล่ต้อนเสือให้ลงไปในหลุมดินแล้วช่วยกันปาก้อนหินและไม้แหลมขว้างใส่เสือจนตาย



บรรยากาศในหลุมคอกเสือ

      ส่วนเสาดินนาน้อยที่อยู่ห่างจากคอกเสือไปไม่ไกลนั้น มีพื้นที่ราว 20 ไร่ เมื่อผมได้เข้าไปเดินเที่ยวในนั้น มันเหมือนดังเดินหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งอันน่าตื่นตาตื่นใจของประติมากรรมธรรมชาติรูปทรงประหลาด เป็นเสา เป็นแท่ง เป็นภูเขาแหลมลูกเล็กๆ หรือเป็นแนวกำแพงดินยึกไปยักมา ซึ่งหลายจุดมีชื่อเรียกขาน ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำเสือโคร่ง เสาปู่เขียว เสาอี่บด ซอกถ้ำโพรงดินมนุษย์ยุคหิน เป็นต้น


เสาดินนาน้อย

       นอกจากประติมากรรมดินแล้ว ผมยังรู้มาว่าที่นี่มี “ต้นดิกเดียม” ต้นไม้ประหลาดที่หากเอามือไปเขี่ย สะกิด หรือลูบเบาๆ ที่ลำต้น กิ่งและใบของมันจะพลอยสั่นไหวตาม(ทั้งๆที่ไม่มีลมพัดแต่อย่างใด) คล้ายกับว่าต้นดิกเดียมถูกคนจั๊กจี้ มันจึงดิ้นสั่นไหวไปตาม นั่นจึงทำให้ผมเรียกเจ้าต้นไม้ชนิดนี้ว่า “ต้นไม้บ้าจี้” หลังจากไปยืนเกาลำต้นให้กิ่งใบมันสั่นไหวอยู่พักใหญ่
       
       ปรากฏการณ์ต้นไม้ประหลาดที่เสาดินนาน้อยและคอกเสือยังมีให้พบเจอกันอีกกับ “หญ้าเข็มนาฬิกา” ที่เป็นหญ้าชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับต้นแขมและต้นอ้อ



ดอกหญ้าเข็มนาฬิกา

       หญ้าชนิดนี้ดูผ่านๆเหมือนหญ้าทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความน่าสนใจของมันอยู่ตรงต้นหญ้าแห้ง ที่มีดอกแห้งเป็นเส้นแหลมเกาะกันเป็นกลุ่ม เมื่อดึงเส้นดอกแห้งออกมาจุ่มในน้ำ มันจะกลายเป็นหญ้าที่มีชีวิตหมุนติ้วไปตามเข็มนาฬิกาอย่างน่าพิศวง ซึ่งงานนี้ผมต้องขอยกเครดิตให้กับ พี่ “ถนิม ยะตุ้ย” เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ที่เป็นคนค้นพบความน่าอัศจรรย์ของหญ้าชนิดนี้โดยบังเอิญ เมื่อแกจะนำเส้นดอกหญ้าแห้งมาแคะฟัน ปรากฏว่าเมื่อเส้นดอกหญ้าถูกน้ำมันก็หมุนวนดังมีชีวิต เกิดเป็นจุดสนใจใหม่แห่งเสาดินนาน้อยขึ้นมา ชนิดที่หลายคนนำดอกหญ้าไปจุ่มน้ำให้มันหมุนวนเล่นกันเพลินทีเดียว


ผาชู้

       ผาชู้คู่ตำนานรัก 3 เส้ากับเสาธงชาติสายยาว       
       ก่อนที่ผมจะเดินทางขึ้นสู่ยอดดอยเสมอดาว บนเส้นทางก่อนถึงยอดดอยประมาณ 4 กม. เป็นที่ตั้งของ “ผาชู้” อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวไฮไลท์ของอุทยานฯศรีน่าน
       
       ผาชู้เป็นผาหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเด่น ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมทะเลหมอกอันงดงาม และจุดชมวิวชั้นดี สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของขุนเขาและสายน้ำน่านทอดตัวไหลคดเคี้ยว นอกจากนี้ที่ผาชู้ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร บ้านพักและจุดกางเต็นท์ให้นักท่องเที่ยวมาเลือกพักค้างแรมกันแบบใกล้ชิดธรรมชาติ



ต้นจันทน์ผามีขึ้นเรียงรายบริเวณผาชู้

       สำหรับชื่อของผาชู้นั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ระบุว่า คำว่า “ชู้” ในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงชู้สาว แต่หมายถึงคนรัก ซึ่งที่นี่มีตำนานรัก 3 เส้าอันแสนรันทด ระหว่าง “เจ้าจ๋วง” หนุ่มรูปงามเจ้าแขวงเมืองศรีษะเกษ กับ“เจ้าจันทน์ผา”(เจ้าจันทร์) และสาว“เอื้อง”(เจ้าเอื้อง)
       
       เจ้าจันทน์ผาเป็นชายาของเจ้าจ๋วงอยู่แล้วแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ส่วนเอื้องเป็นสาวงามลูกสาวพรานป่าที่เจ้าจ๋วงมาพบรักในระหว่างออกล่าสัตว์และได้ครองคู่กันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่เจ้าจันทน์ผาซึ่งเห็นสามีตัวเองหายไปจะตามมาพบเจ้าจ๋วงอยู่กับสาวเอื้อง

       
        :96: :96: :96:

       เมื่อเกิดปัญหาความรักอีรุงตุงนัง 2 หญิง 1 ชาย ขึ้น ทำให้สุดท้ายหญิงสาวทั้งสองยื่นคำขาดให้เจ้าจ๋วงต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่ง เจ้าจ๋วงตัดสินใจไม่ได้เพราะรักทั้งคู่ จึงอธิษฐานว่า
       
       “...ถ้าความรักของเราทั้งสามเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นรักแท้ตราบชั่วนิรันดร์ ขอให้ร่างกายเรากลับกลายเป็นต้นไม้อยู่คู่กับโขดหินใหญ่แห่งนี้ตลอดกาล...”
       
       แล้วเจ้าจ๋วงก็กระโดดหน้าผาตาย เจ้าจันทน์ผาเห็นดังนั้นก็กระโดดหน้าผาตายตาม ทำให้เอื้องที่เกรงกลัวบาปกรรมกระโดดหน้าผาตายไปอีกคน       
       เจ้าจ๋วงเมื่อตายแล้วกลายเป็น “ต้นจ๋วง” หรือ “สนเขา” เจ้าจันทน์ผาร่างไปตายติดอยู่บนหิน กลายเป็น “ต้นจันทน์ผา” ส่วนร่างของสาวเอื้องตายไปติดอยู่บนต้นไม้กลายเป็น “ต้นเอื้อง” หรือ กล้วยไม้
       
       นี่แม้จะเป็นเพียงตำนาน แต่ว่าการที่บริเวณผาชู้มีต้นจันทน์ผาตามธรรมชาติขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากนั้น ถือเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ตำนานรัก 3 เส้าเรื่องผาชู้ดูสมจริงสมจังมากยิ่งขึ้น



สายธงชาติยาวที่สุดในเมืองไทยที่ผาชู้

       นอกจากตำนานรักอันลือลั่นตำนานนี้แล้ว ที่มาของชื่อผาชู้ยังมีข้อสันนิษฐานว่า มาจากคำว่า “เชิดชู” บ้าง มาจากคำว่า “ชูธง” บ้าง เพราะบนยอดผาชู้นั้น มีเสาธงชาติไทยชักธงชาติปลิวไสวตั้งอยู่       
       เป็นเสาธงชาติอันขึ้นชื่อเพราะมีสายชักธงชาติยาวที่สุดในประเทศไทยถึง 200 เมตร(ไป-กลับ) เลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของผาชู้ที่มีคนนิยมไปถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก       
       ยิ่งทุกวันนี้ปรากฏการมวลมหาประชาชนล้มล้างระบอบทักษิณเพื่อปฏิรูปประเทศมีธงชาติเป็นสัญลักษณ์ในการขับเคลื่อน นั่นก็ยิ่งทำให้เสาธงชาติแห่งผาชู้เพิ่มพลังความขลังมากยิ่งขึ้น



ดอยเสมอดาวฝั่งตะวันตก

       ดอยเสมอดาว = ดาวเสมอดอย       
       ผมกับน้องสองสาวเดินทางมาถึงดอยเสมอดาวในช่วงเย็นของวัน ก่อนที่ตะวันจะตกดิน พวกเราช่วยกันจัดเตรียมอาหาร ข้าวของ ส่วนเต็นท์ที่พักนั้นไม่ต้อง เพราะทางอุทยานฯเขากางเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วบนตีนดอยในบรรยากาศแสนเยี่ยม บนตีนดอยที่มองเข้าไปเห็น“ผาหัวสิงห์” ตั้งเด่นตระหง่าน
       
       สำหรับผาหัวสิงห์นั้นเป็นดังสัญลักษณ์ของดอยเสมอดาว มีลักษณะเป็นผาหินปูนที่มีรูปร่างเหมือนสิงโตนอนหมอบชูคอหันไปทางทิศตะวันออก หากใครต้องการขึ้นไปชมวิวบนผาหัวสิงห์ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ให้นำทางขึ้นไป ซึ่งด้านบนก็จะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ 360 องศา



ผาหัวสิงห์ สัญลักษณ์แห่งดอยเสมอดาว

      ในเย็นย่ำของวันนั้น หลังดวงตะวันลอยคล้อยต่ำทอแสงอ่อนๆ ผมใช้ช่วงจังหวะนี้เคลื่อนตัวไปสู่ฝั่งทิศตะวันตก เพื่อสัมผัสกับแสงตะวันยามโพล้เพล้ที่เปลี่ยนจากกราดเกรี้ยวมาเป็นอ่อนโยนนุ่มนวล ค่อยๆฉาบทออาบไล้ไร่ข้าวโพดและขุนเขาน้อยใหญ่ทางฝั่งนี้เป็นสีทองอร่าม โดยมีกระท่อมน้อยเดียวดายตั้งเด่นอยู่ 2 หลัง ดูคล้ายบ้านตุ๊กตาในวัยเยา       
       ครั้นเมื่อตะวันลับฟ้า แสงแห่งวันค่อยๆลาลับ ดอยเสมอดาวถูกแทนที่ด้วยม่านรัตติกาลที่โรยตัวเข้าคลี่คลุม



กางเต็นท์นอนท่ามกลางธรรมชาติที่ดอยเสมอดาว

       ค่ำคืนนี้บนม่านฟ้าเหนือยอดดอยเสมอดาว ท้องโปร่งใสเป็นใจ สามารถมองเห็นทะเลดาวระยิบระยับกว้างไกล โดยเฉพาะบน “ลานดูดาว” ทางยอดเนินฝั่งตะวันออก ที่เป็นจุดชมทะเลหมอก พระอาทิตย์ จุดชมวิว และจุดชมดาว ที่เมื่อจากตีนเนินมองแหงนขึ้นไปจะเห็นภาพของยอดดอยอยู่ไล่เลี่ยในระดับเดียวกับหมู่ดาวที่พร่างพราว


ราตรีที่ดอยเสมอดาว

      เป็น “ดอยเสมอดาว = ดาวเสมอดอย” ที่หากใครได้มายืนนับดาวกับคนรักหรือคนที่รู้ใจนั้น นับเป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกเหลือคณา แต่หากว่าใครที่มายืนชมดาวคนเดียว บางทีความรู้สึกที่ได้รับอาจแตกต่างออกไป กลายเป็นช่างว้าเหว่เปลี่ยวเหงา แม้ดวงดาวจำนวนมหาศาลบนฟากฟ้าก็มิอาจถมเต็มความเปลี่ยวเหงานั้นได้


ทะเลหมอกยามเช้า

       ทะเลหมอกชวนฝัน     
       แม้ค่ำคืนที่แล้ว ท้องฟ้าจะใสโปร่ง     
       แต่ยอดดอยเสมอดาวในเช้าวันนี้กลับขาวโพลนไปด้วยม่านหมอกปกคลุมหนาทึบ ชนิดที่ใครหลายคนเห็นแล้วอาจถอดใจว่า เช้านี้คงไม่ได้ยลทะเลหมอกที่ขึ้นชื่อของดอยแห่งนี้กันแล้ว



จุดชมวิวทะเลหมอก

       แต่หลังจากนั้นไม่นาน ม่านหมอกรอบๆ ตัวค่อยๆ ลอยเลื่อนเลือนหาย เปิดทัศนียภาพเบื้องหน้าของจุดชมวิวบนบานดูดาวให้เห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลของเบื้องล่าง กับภาพทะเลหมอกอันหนาแน่นที่ลอยเป็นปุยดูนุ่มนวลชวนแหวกว่ายอยู่ในซอกหลืบของหุบเขาเป็นแนวยาว ยิ่งยามที่แสงตะวันสาดส่องโผล่ลอดทะเลแนวม่านเมฆเป็นเส้นลำ ยิ่งทำให้ทะเลหมอกแห่งนี้ดูงดงามราวภาพฝัน เป็นภาพฝันบนความจริงแห่งดอยเสมอดาวที่ผมเห็นแล้วช่างตราตรึงใจกระไรปานนั้น


บ้านเดียวดาย กลางขุนเขา
       
   ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน โทร.0 5473 1714 และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแพร่ (พื้นที่รับผิดชอบจังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์) โทร.0 5452 1118-9, 0 5452 1127 และ 0 5452 1119

ขอบคุณภาพและบทความ
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000155928
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 21, 2013, 06:57:00 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ผาชู้
     
       สำหรับชื่อของผาชู้นั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ระบุว่า คำว่า “ชู้” ในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงชู้สาว แต่หมายถึงคนรัก ซึ่งที่นี่มีตำนานรัก 3 เส้าอันแสนรันทด ระหว่าง “เจ้าจ๋วง” หนุ่มรูปงามเจ้าแขวงเมืองศรีษะเกษ กับ“เจ้าจันทน์ผา”(เจ้าจันทร์) และสาว“เอื้อง”(เจ้าเอื้อง)
       
       เจ้าจันทน์ผาเป็นชายาของเจ้าจ๋วงอยู่แล้วแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ส่วนเอื้องเป็นสาวงามลูกสาวพรานป่าที่เจ้าจ๋วงมาพบรักในระหว่างออกล่าสัตว์และได้ครองคู่กันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่เจ้าจันทน์ผาซึ่งเห็นสามีตัวเองหายไปจะตามมาพบเจ้าจ๋วงอยู่กับสาวเอื้อง

       
        :96: :96: :96:

       เมื่อเกิดปัญหาความรักอีรุงตุงนัง 2 หญิง 1 ชาย ขึ้น ทำให้สุดท้ายหญิงสาวทั้งสองยื่นคำขาดให้เจ้าจ๋วงต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่ง เจ้าจ๋วงตัดสินใจไม่ได้เพราะรักทั้งคู่ จึงอธิษฐานว่า
       
       “...ถ้าความรักของเราทั้งสามเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นรักแท้ตราบชั่วนิรันดร์ ขอให้ร่างกายเรากลับกลายเป็นต้นไม้อยู่คู่กับโขดหินใหญ่แห่งนี้ตลอดกาล...”
       
       แล้วเจ้าจ๋วงก็กระโดดหน้าผาตาย เจ้าจันทน์ผาเห็นดังนั้นก็กระโดดหน้าผาตายตาม ทำให้เอื้องที่เกรงกลัวบาปกรรมกระโดดหน้าผาตายไปอีกคน       
       เจ้าจ๋วงเมื่อตายแล้วกลายเป็น “ต้นจ๋วง” หรือ “สนเขา” เจ้าจันทน์ผาร่างไปตายติดอยู่บนหิน กลายเป็น “ต้นจันทน์ผา” ส่วนร่างของสาวเอื้องตายไปติดอยู่บนต้นไม้กลายเป็น “ต้นเอื้อง” หรือ กล้วยไม้
       
       นี่แม้จะเป็นเพียงตำนาน แต่ว่าการที่บริเวณผาชู้มีต้นจันทน์ผาตามธรรมชาติขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากนั้น ถือเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ตำนานรัก 3 เส้าเรื่องผาชู้ดูสมจริงสมจังมากยิ่งขึ้น


 :73:      thk56      :34:      thk56      :72:       thk56     :03:      thk56     ???           
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 21, 2013, 10:13:51 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ