ย่านสำพะนี อยู่รอบๆ วัดพุทไธศวรรย์ จ. พระนครศรีอยุธยา
“ราชอาณาจักรสยามแห่งแรก” มุ่งระดับโลกยกระดับอยุธยาให้เป็น 1 ใน 10 เมืองท่องเที่ยวดีที่สุดของโลก เป็นภารกิจ 1 ใน 3 ด้านหลักของคณะทำงานด้านการสร้างรายได้ และกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ประชารัฐของรัฐบาล ประกอบด้วยบูรณะโบราณสถาน, จัดแสงสี, ต้นไม้ร่มรื่น, ขี่จักรยาน, สัญจรทางน้ำ, รถรางไฟฟ้า, โซนนิ่ง, จุดแวะพัก, การแสดง, ความปลอดภัย, พิพิธภัณฑ์, ฯลฯ
จุดขายสำคัญที่ไทยไม่เคยยกย่อง ได้แก่ อยุธยา ราชอาณาจักรสยามแห่งแรกของไทย ได้รับการขนานนามจากชาวยุโรป โดยมีหลักฐานทั้งที่เป็นเอกสารและแผนที่ทำโดยชาวยุโรปยุคนั้น (อ. ศรีศักร วัลลิโภดม บอกไว้นานแล้วในหนังสือกรุงศรีอยุธยาของเรา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2527)
ก่อนยุคอยุธยา ในไทยยังไม่มีอาณาจักร เพราะบ้านเมืองต่างๆ รวมตัวทางการเมืองขนาดระดับรัฐอิสระที่มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ ไม่มีที่ใดเป็นศูนย์กลาง แล้วแผ่อำนาจปกครองเหนือรัฐอื่นๆ [สุโขทัย ราชธานีแห่งแรกของไทย เป็นประวัติศาสตร์เพิ่งสร้างสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แปลว่า ประวัติศาสตร์ยกเมฆ เพราะไม่เคยมีหลักฐานรองรับสนับสนุน และเป็นรัฐเล็กๆ แห่งหนึ่งมีขอบเขตแคบๆ บริเวณลุมน้ำน่าน-ยม ใต้สุดนครสวรรค์ แค่นั้น]

ความเป็นมาของอยุธยาราชอาณาจักรสยามแห่งแรก ล้วนเป็นเครื่องกระตุ้นให้มีการเดินทางท่องเที่ยวไปท้องที่ต่างๆ เพราะเกี่ยวข้องกับผู้คนนานาชาติพันธุ์ที่อยู่ภาคพื้นสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ แล้วยังเกี่ยวดองกับบ้านเมืองโดยรอบ เช่น ลพบุรี, สุพรรณบุรี, เพชรบุรี, สุโขทัย ฯลฯ จนถึงลุ่มน้ำโขง กับลุ่มน้ำสาละวิน
แต่ไทยโชคไม่ดี เพราะหน่วยงานของรัฐและมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องวิชาความรู้ประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะอยุธยา ล้วนแข็งตัวเป็นซากฟอสซิลที่ไปกันได้ดีกับรัฐราชการ (ใส่เครื่องแบบสีกากี) ใต้อำนาจเผด็จการทหาร แต่ไปกันไม่ได้กับโลกที่ไม่เหมือนเดิม และต้องการผลักดันอยุธยาเป็น 1 ใน 10 เมืองท่องเที่ยวดีที่สุดในโลก เทียบชั้นเกียวโต เมืองประวัติศาสตร์คลาสสิคของญี่ปุ่น
“ราชอาณาจักรสยาม” เป็นนามที่ชาวยุโรปเรียกกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรกและแห่งแรกของไทย มีพยานหลักฐานหลายอย่าง เช่น เอกสาร, แผนที่ [แผนที่ราชอาณาจักรสยาม เขียนโดย บาทหลวงปลาชิด เดอ แซ็งต์ เอแลน นักบวชชาวฝรั่งเศส พิมพ์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1686) สมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ]
เพิ่มจุดขายท่องเที่ยวอยุธยาอยุธยาถ้าจะทำเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก (ตามที่คณะทำงานภาคเอกชนของรัฐบาลบอกล่าสุด) ต้องสร้างจุดขายเพิ่มอีกให้มากกว่าที่รู้กันทั่วไปขณะนี้ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมีมากและหลากหลาย ทั้งในเกาะเมืองและนอกเกาะเมือง แต่ทางการแช่แข็งไว้ไม่กี่แห่งและไม่กี่ประเภทนานมากหลายสิบปีแล้ว ในเกาะเมือง มีเฉพาะวัด กับ วัง แต่ไม่มีชุมชนย่านการค้า, ถนน, คลอง ซึ่งมีมากและเต็มเกาะ ฯลฯ
นอกเกาะเมือง มีเฉพาะวัดใหญ่ๆ ไม่กี่แห่ง เช่น วัดพนัญเชิง, วัดใหญ่ชัยมงคล, วัดไชยวัฒนาราม ฯลฯ แต่ไม่มีมัสยิด, ชุมชน, ย่านการค้านานาชาติ, คลอง, ซ่อง, แหล่งทำนา-อาหาร, ฯลฯ โดยเฉพาะย่านการผลิตสิ่งของ ซึ่งมีทุกทิศโดยรอบพระนคร และมีเอกสารยุคอยุธยาบันทึกไว้ จะยกตัวอย่างดังนี้

ย่านสำพะนี อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ (ปัจจุบันเป็นท้องที่ ต. สำเภาล่ม ใกล้วัดพุทไธศวรรย์) ยุคอยุธยามีโรงตีเหล็ก รับจ้างตีมีดพร้า กับมีวางขายด้วย พร้อมรับจ้างหล่อครกเหล็กกับสากเหล็ก [ไอ้เสมา คนตีเหล็กอยู่ย่านสำพะนี เป็นพระเอกนิยายอิงประวัติศาสตร์อยุธยา เรื่องขุนศึก ของไม้เมืองเดิม] “สำพะนี” เป็นชื่อขนมหวานอย่างหนึ่งของมุสลิม
ทุกอย่างสร้างใหม่ได้อย่างมีคุณภาพ แล้วดีด้วย เท่ากับเพิ่มจุดขายกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่จัดมหกรรมเทศกาลต่างๆ ในเขตโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์ของอยุธยา เท่ากับสนับสนุนให้ทำลายโดยไม่รู้ตัว เช่น วังโบราณ, วัดพระศรีสรรเพชญ์, วัดมงคลบพิตร, วัดมหาธาตุ, วัดราชบูรณะ ฯลฯ ในประเทศพัฒนาแล้วเขาไม่ทำกัน ถ้าจะทำเพื่อขายต้องเลี่ยงไปให้พ้น จะได้รักษาไว้ขายนานๆ ไม่ใช่ขายหนเดียว

ประวัติศาสตร์สังคมยุคอยุธยามีวิถี กิน ขี้ ปี้ นอน ร้องรำทำเพลง ของสามัญชนคนทั้งหลาย มีเอกสารเป็นพยานยืนยันครบถ้วน แต่ทางการที่เกี่ยวข้องตัดทิ้งไป ส่วนครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนวิชาความรู้เรื่องนี้ ก็ไม่เอาใจใส่ เพราะ “ดีแต่พูด” แล้วไม่ทำอะไรแม้กระทั่งประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ตนอยู่ สอดคล้องเข้ากันได้สนิทแนบแน่นกับรัฐบาลทหารเล่นขายของ ฯลฯ ในบทความ “เรื่องไม่เป็นเรื่อง” ของ วีรพงษ์ รามางกูร (มติชน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2559 หน้า 16) ดังต่อไปนี้
“การบริหารบ้านเมืองขณะนี้แม้จะอยู่ในภาวะ ‘รัฐประหาร’ มี ‘รัฐบาลทหาร’ แต่บรรยากาศก็เหมือนเด็กเล่นขายของหรือเล่นซ่อนหา เล่นขี่ม้าส่งเมือง หรือมอญซ่อนผ้า ดูไม่ค่อยจะมีใครเกรงใจใคร บางครั้งก็เหมือนเล่นจำอวดแข่งกับรายการสามน้า จะพูดอย่างไรก็ไม่มีใครถือสาหาความ ไม่เหมือนยามปกติ
ส่วนผลงานไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง จะมีการพัฒนาไปข้างหน้าหรือถอยหลังเข้าคลองก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะคนชั้นสูงในกรุงเทพฯ พอใจ คนชั้นล่างก็ไม่ว่าอะไร ห่วงแต่เรื่องปากเรื่องท้องก็หมดเวลาแล้ว ทุกวันนี้จึงได้ยินแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง”ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ
ที่มา : มติชนออนไลน์
เผยแพร่ : 18 มิ.ย. 59
http://www.matichon.co.th/news/179732