.
ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา โดย Johann Christoph Haffner ราว ค.ศ. 1700
“คำสาปแช่ง” ในจารึกสมัยอยุธยา คนสาปแช่งเรื่องอะไรบ้าง.?
เคยสงสัยไหม ในจารึกสมัยอุยธยา ปรากฏ “คำสาปแช่ง” ว่าอะไร.?
มีข้อมูลระบุว่า คำสาปแช่งในจารึกสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นการสาปแช่งหลังข้อความที่กล่าวถึงกัลปนา (หมายถึง ที่ดินหรือสิ่งอื่น ๆ ที่เจ้าของอุทิศประโยชน์แก่วัดหรือศาสนา-ผู้เขียน) เช่น หากใครนำของวัดไปเป็นของคนอื่น หรือนำข้าพระ (ผู้ที่มูลนายยกให้เพื่อรักษาวัดและปฏิบัติพระสงฆ์-ผู้เขียน) ไปเป็นของตน หรือทำให้ข้าพระพ้นจากสถานะ ก็ขอให้คนนั้นตกนรกหมกไหม้
ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา โดย Struys Jan Janszoon ค.ศ. 1681อย่างใน “จารึกศิลาจารึกหลังพระพุทธรูปปางลีลา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม” ก็มีข้อความสาปแช่งที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานี้ ว่า
“ใครมาอ้างหลังของพระเจ้าแลย่ำยีบีฑา จุ่งเอาลูกเต้าเผ่าพันธุ์ใส่แมกผกาข้าพระเจ้าแสนอธรรมดายนี้ จุ่งผู้นั้นตกนรกแสนกัลป์อย่ารู้เกิด(อย่า)ให้รู้ทานตนพยาทรก่อนใดไส้ อย่าให้เอาเขามาเกิดทันเห็นพระเจ้าสักอัน ฯ”
ภาพโคลงภาพ “สร้างกรุงศรีอยุธยา” เขียนโดย นายอิ้ม ในสมัยรัชกาลที่ 5 (ภาพจากหนังสือ “พระราชพงศาวดาร เล่ม ๑ ฉบับพิมพ์ ร.ศ. ๑๒๐ พ.ศ. ๒๔๔๔) โดยกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการไม่เพียงแค่จารึกดังกล่าว แต่ “ศิลาจารึกอักษรขอม ภาษาไทย ณ กรุงพุกาม (ทวาย)” ก็มีข้อความสาปแช่งให้คนที่คิดจะเอาที่นาหรือข้าทาสไปจากวัดที่กัลปนาไว้ตกนรก ดังข้อความว่า
“…ผิมหาบุรุษผู้ใด (ก็ดี) และเอานานี้ออกจากพระพุทธเจ้า (ขอท่านทั้งหลาย) นี้ พระพุทธเจ้าเกิดมาเท่าทรายทั้งสี่สมุทร จงท่านผู้นั้นอย่าพบ อย่าเห็น อย่าได้ฟัง อย่าได้ยิน จงพระจตุโลกบาลทั้งสี่แลอินทราธิราช (บันดาล) โดยโทษนั้น (จม) ไปยังมหา (อวิจี) นรก ดุงดังเทพทัณฑ์นั้น อนึ่ง จงท่านผู้เขียนนั้นจง ถึงแก่กรรมบ่รู้จักกี่ร้อยนัย อนึ่งโจรปล้น ท้าวพระยาริบ (เรือน) ไฟไหม้ ไปในน้ำจงจระเข้ขบชีวาเอาผิไปป่าจงงูขบช้างแทง เสือเอาชีวีสรีระบัดนั้น บาปจงตกแก่ผู้เบียนนาพระเจ้านั้นเทอญ…”
เห็นได้ว่าคำสาปแช่งในจารึกสมัยนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาและความเชื่อนั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม :-
• คำยืมภาษาเขมรที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง
• ปราสาทตาเมือนธม จ. สุรินทร์ อายุเกือบ 1,000 ปี แหล่งอุดมจารึกแห่งอีสานใต้
• “ถ้าไม่มีคนไทยคนไหนจะอ่านจารึกได้ ผมนี่แหละจะต้องอ่านจารึกให้ได้” : ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร
ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : ปดิวลดา บวรศักดิ์
เผยแพร่ : วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 30 กรกฎาคม 2568
website :
https://www.silpa-mag.com/history/article_156283อ้างอิง : ศานติ ภักดีคำ. ประวัติศาสตร์อยุธยาจากจารึก : จารึกสมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ : สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, 2561.
นักภาษาแกะจารึก ‘ถวายข้าทาส’ เห็นพาวเวอร์หญิง-เจอคำแช่งแรง ‘ให้เป็นหนอนในกองขี้หมา’นักภาษาศาสตร์แกะจารึก เล่ามุม ‘ถวายข้าทาส’ ชี้หญิงก็เป็นใหญ่ สายตระกูลฝ่ายแม่มีพาวเวอร์สืบทอดราชสมบัติ – ขุดเจอคำแช่งแรงเว่อร์ ‘ขอให้เป็นหนอนในกองขี้หมา’
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร (วังท่าพระ) เขตพระนคร กรุงเทพฯ เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดเวทีแถลงข่าว ‘ค้นความหลากหลาย ไท-ไทย’ เพื่อสร้างความเข้าใจถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ซึ่งก่อร่างมาเป็นประเทศไทย ตลอดจนลดอคติทางวัฒนธรรม อันเป็นสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งหลายประการในสังคมไทย
บรรยากาศเวลา 10.00 น. มีการเสวนา ‘ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และชาติพันธุ์ของผู้คนในดินแดนไทย’ ซึ่งเป็นการเปิดผลการวิจัยล่าสุด ได้แก่ การค้นพบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพันธุกรรมศาสตร์ทางโบราณคดี สอดคล้องสัมพันธ์กับการศึกษาวิจัยอื่นๆ ที่ดำเนินการโดยสาขาวิชาต่างๆ ของคณะฯ ซึ่งช่วยตอบคำถามทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของผู้คนบนดินแดนไทย สะท้อนว่า ไทยเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และ วัฒนธรรมเป็นอย่างมาก มีการอยู่ร่วมกันของผู้คนที่แตกต่าง ซึ่งหลอมรวมทางวิถีชีวิตมาร่วมกันอย่างยาวนาน
โดยนำเสนอมุมมองทั้ง 4 ด้านดังนี้ ด้านโบราณคดีโดย ศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช และอาจารย์ ดร.นฤพล หวังธงชัยเจริญ จากภาควิชาโบราณคดี, ด้านภาษาและจารึก โดย ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา ภาควิชาภาษาตะวันออก, ด้านมานุษยวิทยา โดย ผศ.ดร.ดำรงพล อินทร์จันทร์ ภาควิชามานุษยวิทยา, ด้าน ประวัติศาสตร์ศิลปะ โดย รศ.ดร.ประภัสสร์ ชูวิเชียร ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ดำเนินรายการโดย น.ส.วรรณศิริ ศิริวรรณ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวไทย (อสมท.) อดีตศิษย์เก่า
ในตอนหนึ่ง ผศ.ดร.กังวลกล่าวว่า ในเรื่องเกี่ยวกับตัวอักษรและจารึก ได้สนับสนุนผลการวิจัยของ ศ.ดร.รัศมี ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือช่วงก่อนที่จะมีตัวอักษรใช้ ส่วนช่วงประวัติศาสตร์ เมื่อมีตัวอักษรใช้ในการบันทึก
ทฤษฎีที่ว่ากันต่อมา คือเรารับตัวอักษรมาใช้ช่วงประมาณปี 1,000 อักษรแบบ ‘ปัลลวะ’ หลังศึกษา มีข้อมูลประกอบมากขึ้น พบว่ามีตัวอักษรที่เก่าไปกว่านั้นคือมากกว่า 1,000 ปี ภาษาที่เราพบสมัยแรกๆ มีการหยิบยืมตัวอักษรจากอินเดียมา ซึ่งต้องพัฒนาหลายร้อยปี จึงจะเขียนภาษาของตัวเองได้ ภาษาแรกๆ ที่รับมา นอกจากสันสกฤตแล้ว ยังมีมอญโบราณ และเขมรโบราณ ซึ่งยังไม่ได้มีแค่นั้น
จากงานวิจัยที่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เราไม่สามารถสืบย้อนการใช้ภาษาไปจนถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้ เพราะจำกัดอยู่เท่าที่มีหลักฐาน การศึกษาด้านโบราณคดีหรือจารึกจะต้องมีหลักฐาน แม้จะมีการกล่าวอ้างว่า ตัวอักษรแบบกระเบื้องจาน สามารถย้อนได้ไปถึง 6,000-8,000 ปี แต่ว่ามันไม่มีหลักฐานที่ชี้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับภาษาในปัจจุบันได้
“การที่คณะโบราณคดีบอกว่าจารึกแบบนี้อ่านแล้วแปลแบบนี้ แน่ใจได้อย่างไรว่าอ่านถูก ไปเข้าทรงมาหรือ จริงๆ แล้วพิสูจน์ง่ายมาก ของที่ขุดค้นพบใหม่ มันถูกทับถมหลายร้อยพันปี ถ้าเราไปค้นพบตัวอักษรหรือจารึก แล้วมันสอดคล้องกับสิ่งที่เราได้เรียนได้สอนในปัจจุบัน เท่ากับว่า มันถูกต้องแล้ว แต่ถ้าขุดไปเจอตัวอักษรประหลาดๆ อ่านไม่ได้ นั่นแสดงว่าที่เราสอนนั้นผิด
หลายสิบปีที่ผ่านมา มีการขุดค้นพบหลักฐาน ใหม่ๆ และสอดคล้องกับหลักฐานที่เราแปลได้ แสดงว่ามันค่อนข้างถูกต้อง 99%”
“ผมว่าตัว ‘จารึก’ จะบอกความรู้สึกนึกคิด ที่เขาคิดในขณะนั้นได้ดีที่สุด จารึกที่ถูกเขียนไว้บ่งบอกว่าเรื่องนั้นๆ เขากำลังคิดอะไร เช่น เราเจอกรุพระ ที่เขียนว่า ‘ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค’ ตอนแรกไม่เข้าใจว่าเขียนเพื่ออะไร แล้วเราไปเห็นว่าเขาเอาไปฝังรวมกลุ่มกัน เราก็ตีความว่ามันอาจจะเป็นการสืบทอดศาสนาหรือเปล่า ตีความจากเนื้อหาที่เขาเขียนด้วยส่วนหนึ่ง”
“เขารู้สึก คิด และมีความตั้งใจเกี่ยวกับโลกหน้า เขียนเพื่อการบุญตามความเชื่อตามศาสนา ที่ว่าพุทธศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี เขาอาจจะเขียน เพื่อให้คนรุ่นหลัง พบว่า บริเวณนี้เคยมีพุทธศาสนาปรากฏอยู่ ที่ชัดเจนมากคือเรื่องโลกนี้-โลกหน้า ภาษาสันสกฤตในจารึกโบราณ สมมติเขาทำบุญถวายสิ่งนี้ เขาจะเขียนบอกเล่าว่าเขาเป็นใคร ไม่ได้เขียนว่าทำบุญด้วยสิ่งนี้ 1 ชิ้น เขาจะเล่าเลยว่า ตั้งแต่ต้นวงศ์เป็นใคร ครองเมืองเรื่อยมา เหมือนอย่างปราสาทสด๊กก๊อกธม ก็เล่าว่าใหญ่มาจากไหน เล่าย้อนไป 250 ปี”
ผศ.ดร.กังวลกล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกัน คนที่อยู่ร่วมสมัย ‘ทวารวดี’ เวลาเขียน เขียนแต่คาถา ส่วนตัวสันนิษฐานว่ากลัวพุทธศาสนาจะหายไปหรือไม่ ไม่ได้เขียนถึงกษัตริย์แม้แต่พระองค์เดียว จนกระทั่งปัจจุบันเราจึงเขียนถึงประวัติศาสตร์ทวารวดีไม่ได้เลย
“ข้อจำกัดก็มี คือเข้าไม่ได้เขียนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ฉะนั้น ข้อความที่เขียนบอกเล่าเรื่องราว มันจะบอกทุกโจทย์ที่เราศึกษาได้ ศิลปะแบบนี้ปรากฏช่วงไหน ความคิดเหล่านี้ได้จากศิลาจารึกเป็นส่วนมาก”
ผศ.ดร.กังวลกล่าวด้วยว่า ค่อนข้างชัดว่า คนเมื่อ 1,000-2000 ปีที่แล้ว คิดถึงเรื่องความตายชัดเจน ปรากฏในคำสาปแช่งที่ว่า ขอให้มันผู้นั้นตกนรก แล้วบอกชื่อขุมนรกด้วย ความเชื่อสะท้อนออกมา ‘ถ้าเกิดมันผู้นี้ เอาของ…ไปใช้ ก็ขอให้มันตกนรก ถ้าช่วยดูแลทะนุบำรุง ขอให้ขึ้นสวรรค์
“มันมีคำสาปแช่งด้วยว่า ‘ขอให้ตกนรก ตราบเท่าที่พระจันทร์และพระอาทิตย์ยังมีอยู่’ ที่น่าสนใจ ที่ปราสาทตาเมือนธม มันมีคำสาปแช่งไว้ว่า ‘ขอให้ตกนรกตราบเท่าที่พระศิวะยังมี 3 ตา พระนารายณ์ยังมี 4 มือและพระพรหมยังมี 4 หน้า’
แต่มีจารึกอีก 2 หลักที่ไม่แน่ใจว่าสัมพันธ์กันอย่างไรอันหนึ่งที่กัมพูชา และที่พม่า พูดคำสาปแช่งเหมือนกัน คือ ‘ขอให้มันพร้อมกับเผ่าพงศ์ จงตกนรก พอหมดกรรม ขอให้ไปเป็นหนอนในกองขี้หมา'” ผศ.ดร.กังวลเผย
ผศ.ดร.กังวลกล่าวว่า สำหรับคนรุ่นหลัง ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเองว่า เมื่อเรียน เข้าใจแล้วว่ากว่าจะมาเป็นเรา ต่อไปจะเป็นอย่างไร คนไทยมาจากไหน เราถามเยอะแล้ว แต่คนไทยจะไปไหน ? เรื่องเกี่ยวกับศิลาจารึก กว่าจะมาเป็น ก. ไก่ ในปัจจุบันเป็นมาอย่างไร บางครั้งตัวหลักฐานที่จะพบใหม่เริ่มน้อยลงๆ แต่สิ่งที่เราสนใจตอนนี้ คือ ที่ผ่านมาเราดูรอบด้านหรือยัง ลองวิเคราะห์จากหลักฐานเก่าที่มี
“เอาง่ายๆ จารึกวัดพระงาม ที่ จ.นครปฐม มีคำว่า ‘โจตะกา’ ของทวาย แปลว่า นกคุ่ม ผมตื่นเต้น คนเมื่อ 1,400 ปีที่แล้ว เขาปล่อยนกปล่อยปลา แต่หลังจากที่มีการเผยแพร่ไปแล้ว เมื่อมานั่งคิดใหม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่า มันเลือนหายไปนิดเดียว ถ้าไม่มีสระโอ แต่เป็นสระเอ ‘เจตะกา’ ความหมายเปลี่ยนเลย มันแปลว่า ข้ารับใช้ หรือทาส
ดังนั้น เป็นความรับผิดชอบของคนที่จะศึกษา รุ่นใหม่ๆ เดิมที่เคยเชื่ออย่างนั้น เพราะมันมีหลักฐานแค่นั้น เราจึงต้องใช้หลายแนวคิด” ผศ.ดร.กังวลกล่าว
ในช่วงท้าย ผศ.ดร.กังวลกล่าวเสริมถึงความรู้เรื่อง การสืบทอดทางฝ่ายผู้หญิง ซึ่งในตัวจารึกเอง เวลาจะ ‘ถวายข้าทาส’ มักจะบอกว่าเป็นลูกของนางอะไร ไม่ได้บอกชื่อผู้ชาย เราเห็นถึงความเข้มแข็งของการสืบทอดทางฝ่ายผู้หญิงในจารึก กระทั่งในหมู่พราหมณ์
“การอ้างสิทธิ์สืบทอดราชสมบัติ นอกจากจะอ้างฝ่ายพ่อแล้ว เขาจะต้องอ้างฝ่ายแม่ด้วย เช่นในอดีต รุ่นทวดของแม่เคยเป็นน้องของกษัตริย์องค์นี้ แล้วก็ไล่สายมาจนถึงสิทธิที่เขาจะได้ขึ้นครองราชย์ หรืออย่างเรื่องในปราสาทสด๊กก๊อกธม คนที่จะทำพิธีกรรมได้ ต้องเป็นผู้ชาย ต้องบวชเป็นพราหมณ์ แต่วิธีการสืบทอดถ้าเชื่อแบบพราหมณ์ ใครก็ตามที่ไม่มีลูกชาย จะต้องตกนรก
แต่พอมาเป็นบ้านเรา คนที่สืบทอด ต้องเป็นลูกชายของพี่สาวหรือน้องสาวเท่านั้น วิธีสืบทอดไม่เหมือนกับทางอินเดีย วิธีการของบ้านเรา มีการสืบทอดทางฝ่ายหญิงเป็นใหญ่ ซึ่งเข้าไปมีอิทธิพล แม้กระทั่งในแง่รัฐศาสนา” ผศ.ดร.กังวลกล่าว ขอบคุณ :
https://www.matichon.co.th/local/religious/news_4895608วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 - 20:31 น.
.
ลือสะพัดชายแดนไทย-ลาว น้ำท่วมกรุงเทพฯ เหตุผิดคำสาบานพระแก้วมรกตของศักดินาในอดีตนครพนม - ใบปลิวว่อนชายแดนไทย-ลาวด้านจังหวัดนครพนม ต้นฉบับพิมพ์เป็นภาษาลาว ระบุเหตุน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะผิดคำสาบานพระแก้วมรกตของศักดินาในอดีต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วง 1-2 วันนี้ที่ จ.นครพนม ได้มีใบปลิวเนื้อหาเป็นภาษาลาว ระบุน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะคำสาบานในอดีต แจกจ่ายแพร่สะพัดในตลาดโต้รุ่ง ร้านคาเฟ่อินเทอร์เน็ต และยังแปลข้อความในใบปลิวจากภาษาลาวเป็นภาษาไทยโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กต่อๆ กัน
สำหรับข้อความในใบปลิวดังกล่าว ระบุหัวข้อตั้งคำถามน้ำท่วมกรุงเทพฯ เป็นเพราะคำสาบานในสมัยอดีตจริงหรือไม่ ด้วยเหตุใดพระแก้วมรกตของลาวจึงไปอยู่ในประเทศไทย
ข้อความเล่าย้อนไปในอดีตว่า ภายหลังเจ้าอนุวงศ์ได้เสียชัยให้กับสยาม (กรุงเทพฯ) แล้ว ศักดินาสยามก็พยายามจะเอาพระแก้วมรกตไปสถิตไว้อยู่ประเทศไทย พวกเขาได้ใช้ความพยายามหลายวิธี แต่ไม่สามารถยกพระแก้วมรกตขึ้นได้ ฉะนั้น ศักดินาสยามจึงให้หมอดูลาว 5 คนเพื่อไปอ้อนวอนช่วย
โดยมีเหตุผลอ้างอิงว่า ปัจจุบันนั้นเมืองลาวเกิดความวุ่นวายไม่สงบ ฉะนั้น จึงขออัญเชิญพระแก้วมรกตนี้ย้ายไปสถิตที่กรุงเทพฯ ถ้าหากว่าวันใดเมืองลาวมีความสงบ จะอัญเชิญพระแก้วมรกตไปสถิตสถานไว้ที่เมืองลาวเหมือนเดิม
ใบปลิวพิมพ์ด้วยอักษรลาว ที่ว่ากันว่าฝั่งลาวมีอยู่ทุกครัวเรือนข้อความยังระบุต่อไปว่า เพื่อเป็นการยืนยันศักดิ์ศรีของศักดินาสยามในเวลานั้น พวกเขาได้สาบานไว้ว่า
“ถ้าหากประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามคำสาบานดังกล่าวนี้ ขอให้มีมหันตภัย 5 อย่างเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยดังนี้”
(1) ขอให้น้ำท่วมบ้านท่วมเมือง,
(2) ขอให้ประเทศไทยไม่มีความสงบ เจริญรุ่งเรือง การเมืองให้มีความสับสนวุ่นวาย,
(3) อาณาจักรเดียวขอให้แบ่งเป็นหลายชาติ ความเป็นเอกราชขอให้พังทลาย,
(4) ราชบัลลังก์ขอให้ถูกโค่นล้ม,
(5) ดินส่วนหนึ่งขอให้จมลงทะเล
เมื่อศักดินาสยามได้ยืนยันคำสาบานดังกล่าวแล้ว หมอดูลาวทั้ง 5 คนจึงพร้อมกันอัญเชิญพระแก้วมรกตตามจุดประสงค์ของไทย จากนั้นศักดินาสยามจึงสามารถยกเอาพระแก้วมรกตของลาวไปประดิษฐานอยู่ที่กรุงเทพฯจนถึงปัจจุบันนี้
@@@@@@@
นอกจากนี้ ในท้ายข้อความในใบปลิวยังอ้างว่า หนังสือฉบับนี้เอามาจากหอสมุดของแขวงหลวงพระบาง ต้นฉบับเป็นภาษาลาว ลงวันที่ 12/2/2010
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวลือสะพัดต่อเนื่องว่า มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ของไทย อาจเกี่ยวข้องกับคำสาปหรือคำสาบานของไทยและลาว แต่ยังไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรยืนยันที่อ้างว่ามีบันทึกอยู่ในหอสมุดแห่งชาติลาว
กระทั่งมีผู้นำใบปลิวจากฝั่งลาวมาเผยแพร่ดังกล่าว ผู้นำใบปลิวมาเผยแพร่ยังระบุว่าชาวลาวมีใบปลิวข้อความเนื้อหาข้างต้นแทบทุกครัวเรือนขอบคุณ :
https://mgronline.com/local/detail/9540000140061เผยแพร่ : 3 พ.ย. 2554 , 10:41 | โดย : MGR Online
.
ไขปริศนาคำสาป หินฟู งูใหญ่ ช้างเผือก และฆ้องสันติภาพโลก สู่ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศลาวบทความพิเศษ ชุด ตามรอยเวียงจันทน์
“ประเทศลาวต้องคำสาปมาเป็นระยะเวลากว่า ๑,๐๐๐ ปี ทำให้ประเทศยากจน ไม่พัฒนา เพิ่งจะพ้นคำสาปเมื่อไม่นานมานี้เมื่อมี ๔ ปัจจัยเข้ามา ได้แก่ หินฟูน้ำ พญางูใหญ่ ช้างเผือก และฆ้องสันติภาพโลก”
เสียงบรรยายของชบา ไกด์สาวชาวลาวบนรถบัสขณะมุ่งสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อส่งพวกเรา ในนามของสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเดินทางมาจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งแต่วันที่ ๓ – ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ กลับสู่ฝั่งไทย ณ จังหวัดหนองคาย ได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันขึ้นมาในบัดดล...เรื่องของคำสาปอาจจะเป็นหนึ่งประวัติศาสตร์ ตำนาน หรือเพียงความเชื่อ เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา
แต่นี่คืออีกหนึ่งรูปแบบ วิธีคิดอันน่าสนใจ ไม่แตกต่างจากคนไทย ซึ่งดูแล้วจะให้คุณมากกว่าโทษ
ด้วยเวลาอันน้อยนิด ไม่สามารถสอบถามรายละเอียดจากไกด์ชบาได้มากกว่านี้ ฉันจึงต้องกลับมาศึกษา สืบค้น ประมวลและสรุป ออกมาเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวคำสาปของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
@@@@@@@
ย้อนรอยตำนานคำสาปของท้าวศรีโคตรตะบอง
กาลครั้งหนึ่งเมืองเวียงจันทน์เกิดความเดือดร้อน มีช้างป่าจำนวนล้าน ๆ ตัว มาบุกรุกทำลายเรือกสวนไร่นาและบ้านเรือน เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงประกาศหาคนดีมาปราบช้าง โดยตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากผู้ใดปราบช้างได้จะได้รับพระราชทานพระราชธิดาแห่งเวียงจันทน์เป็นคู่ครอง
ครานั้นเอง ท้าวศรีโคตรผู้มีอาวุธวิเศษเป็นพระตะบองเพชร ผู้มีวิชาเก่งกล้าหาผู้ใดเปรียบ รับอาสาปราบช้าง สำหรับท้าวศรีโคตรนี้สันนิษฐานว่าอาจเป็นชาวกูย ซึ่งเป็น ๑ ในกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองที่เก่งเรื่องช้าง ปราบช้างมาแต่โบราณ มาจากแถบดินแดนศรีโคตรบูรณ์ จึงเรียกว่า ท้าวศรีโคตร
และยังมีประวัติศาสตร์บอกเล่าอีกว่า ท้าวศรีโคตรทรงฤทธานุภาพ ฆ่าไม่ตาย และสามารถลากท่อนซุงขนาดใหญ่มาทำกระบอง เพื่อปราบช้างป่านับล้านตัวให้กับ “อาณาจักรเวียงจันทน์” จนเป็นที่มาของ “อาณาจักรล้านช้าง”
เมื่อท้าวศรีโคตรปราบช้างสำเร็จ เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงพระราชทานพระราชธิดา พร้อมสร้างปราสาทให้ ต่อมาเจ้าเมืองเวียงจันทน์ระแวงกลัวว่า ท้าวศรีโคตรจะแย่งบัลลังก์ จึงใช้อุบายต่าง ๆ เพื่อที่จะกำจัดท้าวศรีโคตร แต่ไม่สำเร็จ ท้าวศรีโคตรฟันแทงไม่เข้า จึงคิดอุบายหลอกให้พระราชธิดาไปถามท้าวศรีโคตร
ในที่สุดท้าวศรีโคตรก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ด้วยคมหอกทางทวารหนัก ก่อนเสียชีวิตท้าวศรีโคตรได้ร่ายมนต์สาปแช่งนครเวียงจันทน์ให้พบกับความพินาศล่มจม หากจะเจริญก็ให้เป็นแค่ “ให้ฮุ่งเพียงช้างพับหู ฮุ่งเพียงงูแลบลิ้น” และจะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อมีหินฟูน้ำ งูใหญ่ และช้างเผือก
สมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดสถานีรถไฟท่านาแล้ง และฉายพระรูปร่วมกับท่านบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศ และคณะไขปริศนาคำสาป
ปัจจุบันคนลาวเชื่อว่าคำสาปของท้าวศรีโคตรถูกลบล้างลงแล้ว โดยมีเรื่องราวความสัมพันธ์กับประเทศไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอันสำคัญ
(๑) “หินฟูน้ำ” ถูกตีความว่า หมายถึงสะพาน เป็นการเปรียบถึงการที่หินซึ่งอยู่ใต้น้ำได้ฟูลอยขึ้นมาอยู่เหนือน้ำ และสะพานที่กล่าวถึงก็คือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งสร้างขึ้นแห่งแรกที่จังหวัดหนองคาย
(๒) “ช้างเผือก” ถูกบางคนตีความว่า หมายถึงฝรั่งหรือชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศลาวเป็นจำนวนมาก มีโครงการลงทุนของประเทศต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายโครงการ
แต่สำหรับช้างเผือกในความหมายของไกด์ชบาลึกซึ้งกว่านั้น ช้างเผือกในที่นี้หมายถึง ผู้มีบุญบารมีหรือมีบุญญาธิการเข้ามาในประเทศลาว นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งนับเป็นประวัติศาสตร์สำคัญและมีนัยหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของลาว ดังข้อมูลจาก http://info.gotomanager.com/news/details. aspx?id=78808 ที่กล่าวไว้ว่า
มองในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในพระราชพิธีเปิดใช้สะพานอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ พระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเสด็จฯ ไปเป็นองค์ประธานร่วมกับหนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศ แห่ง สปป. ลาว (ในขณะนั้น) ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์และเปิดหน้าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง ๒ ประเทศในบริบทใหม่ จากที่เคยระแวงซึ่งกันและกันในช่วงสงครามอินโดจีน กลายเป็นมิตรประเทศคู้ค้าและหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น พระราชพิธีเปิดสะพานจัดขึ้นบริเวณกึ่งกลางสะพาน ซึ่งถือเป็นเขตแดนร่วมกันของทั้ง ๒ ประเทศ
มองในมิติเศรษฐกิจ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๑ ถือปฐมบทที่ทำให้นโยบายในการปรับยุทธศาสตร์ประเทศของ สปป.ลาว จากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล (Land Lock) ไปสู่ประเทศ ที่เป็นจุดเชื่อมต่อ (Land Link) เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะหลังจากได้มีการเปิดใช้สะพานดังกล่าวเป็นต้นมา ภายใน สปป.ลาวได้มีการก่อสร้างโครงข่ายคมนาคมทางบกที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งแนวเหนือ-ใต้และตะวันออก-ตะวันตกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
• จากสะพานมิตรภาพแห่งแรกที่หนองคาย ได้มีการเปิดใช้สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ ๒ ที่จังหวัดมุกดาหาร เชื่อมกับแขวงสะหวันนะเขต ในอีก ๑๐ กว่าปีต่อมา
• มีการเปิดเส้นทางหมายเลข ๙ เชื่อมระหว่างมุกดาหาร-สะหวันนะเขต และเมืองเว้ของเวียดนาม
• มีการเปิดใช้เส้นทางสาย R3a ที่เชื่อมระหว่าง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ไปจนถึงเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ต่อขึ้นไปถึงเมืองโม่หานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีเส้นทางอย่างดีวิ่งขึ้นไปถึงเมืองคุนหมิง มลฑลหยุนหนัน
• รวมถึงมีการประกาศโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๓ และ ๔ ที่ จ.นครพนม และ จ.เชียงราย ฯลฯ
• แต่หากมองในมิติของความเชื่อ การเกิดขึ้นของสะพานมิตรภาพและเส้นทางรถไฟเส้นนี้ถือเป็นการล้างคำสาปที่คนลาวเชื่อและยึดถือมาตลอดกว่าพันปีลงไปได้อย่างสิ้นเชิง
สมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดสถานีรถไฟท่านาแล้ง และฉายพระรูปร่วมกับท่านบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศ และคณะ (๓) “พญางูใหญ่” ไกด์ชบาเล่าว่า “งูใหญ่เข้าเมืองคือมีรถไฟเข้ามา จากหนองคาย – เวียงจันทน์ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดงาน” ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ฉันได้สืบค้น รายละเอียดคือ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่างไทย-ลาว เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้แก่
สถานีรถไฟท่านาแล้ง ตั้งอยู่บ้านดงโพสี หาดทรายฟอง นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นสถานีรถไฟแห่งแรกของประเทศลาว อยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางของสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ ๑ เป็นระยะทาง ๓.๕๐ กิโลเมตร
สร้างขึ้นตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทย-ลาว เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า และผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าออก (ข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org)
(๔) ฆ้องสันติภาพโลก
เติมเต็มด้วยปริศนาข้อที่ ๔ : หินฟูน้ำ งูใหญ่ และช้างเผือก คือ คำสาปของท้าวศรีโคตรตะบองที่ฉันสืบค้นพบจากเอกสารข้อมูลต่าง ๆ แต่นอกเหนือจากนี้ ไกด์ชบาได้กล่าวถึงการไขปริศนาคำสาปข้อที่ ๔ นั่นคือ ฆ้องสันติภาพโลก
“ลาวล้างคำสาปข้อที่ ๔ ข้อสุดท้าย คือ การได้รับฆ้องสันติภาพโลก โดยลาวเป็นประเทศที่ ๔ ถัดจากเวียดนาม ซึ่งที่ผ่านมาเคยเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ แต่เราสามารถรักษาเสถียรภาพและความสงบของประเทศไว้ได้”
ไกด์ชบากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
ส.ป.ป.ลาวได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองแห่งสันติภาพประจำปี ๒๕๕๑ โดยทางคณะกรรมการสันติภาพโลกของประเทศอินโดนีเซียได้มอบฆ้องสันติภาพโลกให้กับประเทศลาว เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ ปัจจุบันฆ้องสันติภาพโลกตั้งอยู่บริเวณเดียวกับประตูชัย ติดกับสวนสาธารณะ นึกแล้วให้รู้สึกเสียดาย ทั้งที่ฉันได้มีโอกาสไปถ่ายรูปกับประตูชัย แต่ด้วยยังไม่รู้ข้อมูลจึงไม่ได้สนใจเดินไปยลฆ้องสันติภาพโลกนี้
วันนี้เมืองเวียงจันทน์และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวหลุดพ้นจากคำสาปแล้ว จะด้วยความเชื่อหรือเหตุผลกลใดก็ตาม ภาพที่ปรากฏแก่ชาวโลกคืด ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลาวมีความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้า บนรากฐานแห่งอัตลักษณ์ชนชาติลาวอย่างรวดเร็วและชัดเจน
ขอขอบคุณ :-
website :
https://www.nuac.nu.ac.th/?p=2710บทความพิเศษ ชุด ตามรอยเวียงจันทน์ โดย :-
- พรปวีณ์ ทองด้วง นักประชาสัมพันธ์ สถานอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวร
- ละอองดาว โฉมสี นักศึกษาฝึกงานสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
๘ มีนาคม ๒๕๖๐
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
http://www.travellerfreedom.comhttp://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=78808http://www.baanjompra.com/webboard/thread-3008-1-1.htmlhttp://palungjit.org/threadshttps://www.facebook.com/laomongthaihttp://www.baanmaha.com/community/threads/36625http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000036217http://www.ounon19.com/Aide_de_camp52_1.htm