ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ว่าด้วย คำสาปแช่ง และ วาจาศักดิ์สิทธิ์  (อ่าน 38 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29588
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ไขข้อสงสัย..แช่งคนอื่นบาปไหม

คำพูดเป็นสิ่งที่เรียกกลับคืนมาไม่ได้ และไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผลของการพูดออกไปแบบนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นกับใครเลยนอกจากตัวเราเอง

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการสาปแช่งเอาไว้ว่า..

   “การกระทำใดที่ไม่ดี การกระทำนั้น ย่อมไม่ควรทำ โดยเฉพาะการกระทำที่จะทำให้บุคคลอื่นเป็นทุกข์ เดือดร้อน กังวลใจ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง"

    “คำด่า คำสาปแช่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาหรือต้องการที่จะได้ฟัง ได้ยินข้องเกี่ยว หรือข้องแวะ ใครที่มักจะทำตนให้อยู่ในสิ่งไม่ดีเหล่านี้ คือ พูดไม่ดี คิดไม่ดี และชอบสาปแช่งผู้อื่น บุคคลผู้นั้นก็คิดผิด และทำผิดด้วยการกระทำของเขาอยู่แล้ว ชีวิตของเขาก็จะถูกผูกมัดด้วยคำสาปแช่ง คำด่า ถูกผูกมัดด้วยกรรมที่ไม่ดีเหล่านั้นอยู่แล้ว”

ดังนั้นใครก็ตามที่พูดใส่ร้าย เสียดสีหรือสาปแช่งให้ร้ายคนอื่นก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้น เพราะการพูดไม่ดีเหล่านี้เป็นคำหยาบอย่างหนึ่ง เป็นวจีทุจริตที่จะต้องได้รับผลแห่งการกระทำตามมาอย่างแน่นอน

วจีทุจริต คือ การประพฤติชั่วทางวาจา ทั้งการพูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด และพูดเพ้อเจ้อ รวมถึงการสาปแช่งผู้อื่นด้วย ซึ่งผลกรรมที่เกิดจากวจีทุจริตตามที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎกคือ จะตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต อย่างเบาที่สุดแม้ได้เกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่จะมีเสียงที่ประหลาดหรือเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีคนคบหาสมาคมด้วย ไปไหนก็มีแต่คนไม่ชอบ มีแต่คนคอยนินทา เรียกว่ามีความทุกข์ตลอดทั้งชาตินี้และชาติหน้า เพราะไปว่าเค้าไว้ก่อน ทำให้ตัวเราไม่เป็นที่รักของคนอื่น

@@@@@@@

บางคนด่าคนอื่น แช่งคนอื่นโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย แปลว่าเราทำผิดจนชิน จนไม่รู้ว่าผิดด้วยซ้ำ ซึ่งการทำผิดจนชินแบบนี้ อย่าคิดว่าไม่ผิด ไม่บาปอย่างเด็ดขาด เพราะผลกรรมจะตามทันไปทั้งชาตินี้และชาติหน้าก็ไม่ดี ทำให้มีความทุกข์สารพัดอย่างด้วย

ส่วนคนที่ถูกแช่ง ถามว่าจะเป็นไปตามที่โดนแช่งหรือไม่ คำตอบคือ ‘ไม่’ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นทำผิดด้วยหรือไม่ ถ้าผิดก็ย่อมต้องมีผลแห่งการกระทำนั้นเกิดขึ้น ตามกฎแห่งกรรม ตามเหตุปัจจัยที่เขาได้ทำไว้ จะหนักหรือเบาก็เป็นไปตามความผิดบาปที่เกิดขึ้นนั่นเอง แต่จะไม่เกิดขึ้น ไม่เป็นไปตามที่โดนแช่งนั่นเอง

ทีนี้ถ้าถามว่าเวลาดูข่าวในทีวี หรือเห็นคนทำชั่วแล้ว เราดันเผลอไปแช่งคนชั่วนั่นเข้าให้ ถามว่าผิดบาปหรือไม่ คำตอบก็คือ กรรมอยู่ที่เจตนา ถ้าเราไม่ได้มีเจตนาที่จะแช่งชักหักกระดูกก็ย่อมไม่ได้รับผลแห่งการกระทำนั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเจตนาแช่งอย่างชัดเจน กรรมก็ไม่มีทางไปตกอยู่ที่ใครนอกจากตัวเราเอง

สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ทั้งคนแช่งและคนที่ถูกแช่งต่างก็ได้ผลแห่งการกระทำของตน คนแช่งก็ได้ผลจากวจีทุจริตที่ไปแช่งเขา ส่วนคนถูกแช่งก็ได้รับผลแห่งการกระทำที่ได้ทำไว้ เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นการดีกว่า ถ้าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน อะไรที่ไม่ดีก็อย่าให้ออกจากปากของเรา ถ้อยคำที่ออกจากปากควรเป็นคำดี ๆ ที่มีคุณค่า มีสาระ เป็นวจีสุจริตจะดีที่สุด..
 

(ไม่ปรากฏนามผู้เขียน)



ขอขอบคุณ :-
LINE TODAY | เผยแพร่ 01 ก.ค. 2563 เวลา 00.00 น.
https://today.line.me/th/v3/article/e1VeQl





#แช่งคนอื่นบาปไหม
คนมีองค์ · หมื่นรู้ มิสู้ ปล่อยวาง · 22 สิงหาคม 




 :96: :96: :96:

พระพุทธเจ้าได้พูดถึงการสาปแช่งเอาไว้ว่า... การกระทำใดที่ไม่ดี การกระทำนั้นย่อมไม่ควรทำ โดยเฉพาะการกระทำที่จะทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ เดือดร้อน กังวลใจ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง

คำด่า คำสาปแช่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาหรือต้องการที่จะได้ยินได้ฟัง ข้องเกี่ยวหรือข้องแวะ ใครที่มักจะพูดไม่ดีคิดไม่ดีและสาปแช่งผู้อื่น บุคคลผู้นั้นก็จะถูกผูกมัดด้วยคำสาปแช่ง ด้วยกรรมที่ไม่ดีอยู่แล้ว

ดังนั้น ใครที่ชอบพูดใส่ร้าย เสียดสี หรือสาปแช่งให้ร้ายคนอื่น ก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้น เพราะถือเป็นคำหยาบอย่างหนึ่ง เป็น"วจีทุจริต"

#วจีทุจริต คือ การประพฤติชั่วทางวาจา ทั้งการพูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ รวมถึงการสาปแช่งผู้อื่น ผลกรรมที่ได้คือ จะตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต แม้ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีเสียงที่ประหลาด หรือเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีคนคบหาสมาคมด้วย มีแต่คนไม่ชอบ มีแต่คนคอยนินทา เรียกว่า มีความทุกข์ตลอดชาตินี้และชาติหน้า

@@@@@@@@

#บางคนด่าคนอื่นแช่งคนอื่นโดยไม่รู้สึกอะไรเลย แปลว่า ทำผิดจนชิน จนไม่รู้ตัวว่าผิด การกระทำแบบนี้อย่าคิดว่าไม่ผิดไม่บาป เพราะผลกรรมจะตามติดทั้งชาตินี้และชาติหน้า ทำให้มีทุกข์สารพัดอย่าง

#ส่วนคนที่โดนแช่งจะเป็นไปตามคำที่แช่งหรือไม่ คำตอบคือไม่ แต่จะมีผลกรรมตามการกระทำของตน จะหนักหรือเบาก็ขึ้นอยู่กับการกระทำนั้น แต่จะไม่เป็นไปตามคำที่แช่งมา

#แต่ถ้าหากไม่มีเจตนาแช่งใคร ผลก็จะไม่เกิด แต่ถ้ามีเจตนาชัดเจน กรรมก็จะไม่มีทางตกไปอยู่ที่ใครนอกจากตัวเอง

#สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ ทั้งคนแช่งและคนที่โดนแช่ง ต่างก็ได้รับผลของการกระทำของตน คนแช่งก็ได้รับผลแห่งวจีทุจริต คนที่โดนแช่งก็ได้รับผลของการกระทำที่ทำไว้

#เพราะฉะนั้นต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนจะดีกว่า อะไรที่ไม่ดีอย่าให้ออกจากปากหรือจะพิมพ์ข้อความไม่ดีออกจากความคิดก็ตาม ก็อย่าให้ออกมาเลย สิ่งที่ควรมีควรแสดงออกมาควรเป็นคำพูดที่ดีความคิดที่ดี มีประโยชน์ มีสาระ เป็น"วจีสุจริต" ดีที่สุด



ขอบคุณที่มา : โพสต์ของ หมื่นรู้ มิสู้ ปล่อยวาง
https://www.facebook.com/groups/321315474573629/posts/24534737286138110/





ถ้าเคยสาปแช่งใคร แต่วันนี้เราอภัยแล้ว จะทําอย่างไรกับค่าสาปแช่งเราในวันนั้น.?
ดังตฤณ Dungtrin Fan Club | 20 พฤษภาคม 2020




 :96: :96: :96:

บางคนมีความรู้สึกว่าตัวเองปากศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าแช่งใครไปแล้ว มักจะมีผลตามนั้น อันนี้พอพูดถึงเรื่องนี้ มันต้องพูดถึงสิ่งลึกลับที่พิสูจน์เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ทราบได้เป็นสากล เพราะว่าเราจับทุกคนเป็นมาเป็นตัวตั้ง แล้วก็มาทดลองหาข้อสรุปกันไม่ได้แบบวิทยาศาสตร์นะครับ

แต่เราพูดอย่างนี้ก็แล้วกันว่า สิ่งใดก็ตามเราทำไปแล้ว มันจะเกิดผลหรือไม่เกิดผลอะไรก็แล้วแต่ มันจะมีประสิทธิภาพน้อย หรือประสิทธิภาพมาก ไปลบล้างไม่ได้ แต่มันสามารถเจือจางได้ ด้วยของใหม่คือ ของเก่ากับของใหม่ผสมกันได้

เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบ เหมือนกับบาปเก่าเป็นก้อนเกลือ แล้วถ้าเราใส่น้ำเติมเข้าไป ยิ่งมากเท่าไหร่ หนึ่งแก้วมันก็เจือจางระดับหนึ่ง ยังเค็มอยู่ แต่ถ้าหนึ่งโอ่ง แม้เกลือจะยังอยู่เป็นก้อนเล็กๆ นั้น แต่ก็แทบจะไม่ได้รสเค็ม ฉันใด ก็ฉันนั้น

ถ้าหากว่า เราไม่สบายใจ ที่เคยไปก่อบาปก่อกรรมอะไรไว้ เคยไปแช่งใครเขาไว้ ก็หัดที่จะชื่นชม หรือว่าอวยพร ทำในสิ่งที่มันเป็นตรงกันข้ามกัน เคยทำบาปไว้อย่างไร ก็ทำบุญให้เป็นตรงกันข้ามกันแบบนั้น

@@@@@@@

อย่างถ้าคุณสวดอิติปิโสด้วยความเข้าใจว่า เราสรรเสริญ เรากล่าวคำยกย่อง พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ว่ามีคุณวิเศษอย่างไรบ้าง ถ้าใจเกิดความเบิกบาน เกิดความชุ่มชื่น  เกิดความรู้สึกสว่างโล่ง ก็จำลักษณะจิตลักษณะใจแบบนั้น ไปอวยพร หรือว่าไปพูดดี ให้เกิดความรู้สึกดีๆ กับคนที่เราเคยสาปแช่ง หรือว่าไม่ต้องเคยสาปแช่งก็ได้คนทั่วไปก็ได้

ทำให้มากๆ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า เรามีฤทธิ์ เรามีอำนาจ ในการทำให้คนอื่นรู้สึกดี เรามีความสามารถ ทำให้ชีวิตคนอื่น มีความสว่างขึ้นนิดหนึ่งทันทีที่เราพูดไป ตัวนี้แหละ ที่มันเริ่มจะหมือนกับน้ำที่มาละลายเกลือ เหมือนกับความสามารถที่เป็นความสว่าง มาขับไล่ของเดิมที่มันเป็นความมืดนะครับ ยิ่งสว่างมากขึ้นเท่าไหร่ ความมืดยิ่งหายไปมากขึ้นเท่านั้น

อันนี้ก็เหมือนกับถ้าเรามีความสามารถในการอวยพรคนได้แล้ว เพื่อจะแก้ความรู้สึกผิด ก็อาจจะไปอวยพรให้เขาเกิดอะไรที่มันดี ที่มันเป็นไปในทางเจริญนะครับ

ทีนี้มาทำความเข้าใจกันในขั้นสุดท้ายว่า คนเราเนี่ยไม่เป็นไปตามปากของใคร ยกเว้นแต่ว่า บาปของเขา บุญของเขา มันจะให้ผลตามนั้นอยู่แล้ว สอดคล้องกับคำอวยพร หรือคำสาปแช่งของเราอยู่แล้ว การสาปแช่งของเรา มันเป็นพลังชนิดหนึ่งในธรรมชาติ การอวยพรของเรา ก็เป็นพลังชนิดหนึ่งในธรรมชาติเช่นกัน ธรรมชาติด้านมืด หรือธรรมชาติด้านสว่าง ซึ่งมันไม่ได้มีผลขนาดที่จะเป็นมือไม้ไปบิดชีวิตของเขา ให้มันเพี้ยนไป หรือบิดเบี้ยวไปจากที่มันควรจะเป็นได้แต่มันมีผลทางใจ ที่ทำให้มันเกิดแรงอัด

 
@@@@@@@

หรืออย่างถ้ามีวาจาสิทธิ์ อันเกิดจากการสะสมตบะบารมีมา พูดคำไหน ทำคำนั้นได้ตลอดชีวิต คนพวกนี้ เวลาที่สาปแช่งใครอะไรออกไป บางทีมันเป็นพลัง ซึ่งถ้าหากว่า ผู้รับพลังปะทะมีบุญอ่อน ไม่มีกำแพง บางทีมันก็อาจจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นมาได้จริงๆ แต่อันนี้ส่วนใหญ่ต้องระดับที่ว่า ผู้บำเพ็ญตบะมาทั้งชีวิต บำเพ็ญคุณงามความดีมา

ในขณะที่ผู้ถูกสาปแช่ง ไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรเลย ไม่ได้มีกำแพงที่จะมาขวาง บางทีมันก็คล้ายๆกับเราชกด้วยหมัด ถ้าหมัดของเรามีกำลัง แล้วคนที่รับหมัด ไม่ได้มีกำลังต่อต้าน บางทีมันก็ล้มไปได้ ก็เปรียบเทียบอย่างนั้นก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่ว่าเราพูดอะไรไป มันจะเป็นไปตามนั้นได้ทุกครั้ง หรือว่าเป็นอย่างนั้นได้จริงเสมอไป มันมีเหตุปัจจัยอะไรหลายๆอย่างนะครับ

ซึ่งคุณแค่ทำไว้ในใจว่า เราจะเป็นผู้รักษาศีล เป็นผู้ให้มหาทาน เป็นผู้ให้ความปลอดภัยแบบไม่จำกัด ตรงนี้เนี่ย มันก็จะรู้สึกถึงพลังความปลอดภัย ที่ออกไปจากจากตัวเรา ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใคร แม้ด้วยพลังวาจาที่เป็นทุจริต อันนี้ถ้าทำตลอดชีวิตที่เหลือ มันก็จะช่วยให้ความรู้ผิด หรือว่าอะไรที่นึกว่า มันจะไปเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า มันเจือจางลงได้นะครับ

มันหายไปได้ คือ อย่าไปกังวลมาก เพราะว่าถ้ารู้สึกผิด หรือกังวลมากๆเนี่ย บางทีมันก็มีจิตต่อเนื่องที่ไปผูกไว้ ตัวความกังวลมันเป็นสายใยด้านมืดชนิดหนึ่ง



ขอบคุณที่มา : โพสต์ของ ดังตฤณ Dungtrin Fan Club
https://www.facebook.com/DungtrinFanClub/posts/บางคนมีความรู้สึกว่าตัวเองปากศักดิ์สิทธิ์-เพราะว่าแช่งใครไปแล้ว-มักจะมีผลตามนั้น/3100869536618849/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 22, 2025, 07:23:12 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29588
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่าด้วย การสาปแช่ง และ วาจาศักดิ์สิทธิ์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2025, 08:13:16 am »
0
.

ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา โดย Johann Christoph Haffner ราว ค.ศ. 1700


“คำสาปแช่ง” ในจารึกสมัยอยุธยา คนสาปแช่งเรื่องอะไรบ้าง.?




 :96: :96: :96:

เคยสงสัยไหม ในจารึกสมัยอุยธยา ปรากฏ “คำสาปแช่ง” ว่าอะไร.?

มีข้อมูลระบุว่า คำสาปแช่งในจารึกสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นการสาปแช่งหลังข้อความที่กล่าวถึงกัลปนา (หมายถึง ที่ดินหรือสิ่งอื่น ๆ ที่เจ้าของอุทิศประโยชน์แก่วัดหรือศาสนา-ผู้เขียน) เช่น หากใครนำของวัดไปเป็นของคนอื่น หรือนำข้าพระ (ผู้ที่มูลนายยกให้เพื่อรักษาวัดและปฏิบัติพระสงฆ์-ผู้เขียน) ไปเป็นของตน หรือทำให้ข้าพระพ้นจากสถานะ ก็ขอให้คนนั้นตกนรกหมกไหม้



ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา โดย Struys Jan Janszoon ค.ศ. 1681


อย่างใน “จารึกศิลาจารึกหลังพระพุทธรูปปางลีลา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม” ก็มีข้อความสาปแช่งที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานี้ ว่า

“ใครมาอ้างหลังของพระเจ้าแลย่ำยีบีฑา จุ่งเอาลูกเต้าเผ่าพันธุ์ใส่แมกผกาข้าพระเจ้าแสนอธรรมดายนี้ จุ่งผู้นั้นตกนรกแสนกัลป์อย่ารู้เกิด(อย่า)ให้รู้ทานตนพยาทรก่อนใดไส้ อย่าให้เอาเขามาเกิดทันเห็นพระเจ้าสักอัน ฯ”



ภาพโคลงภาพ “สร้างกรุงศรีอยุธยา” เขียนโดย นายอิ้ม ในสมัยรัชกาลที่ 5 (ภาพจากหนังสือ “พระราชพงศาวดาร เล่ม ๑ ฉบับพิมพ์ ร.ศ. ๑๒๐ พ.ศ. ๒๔๔๔) โดยกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ


ไม่เพียงแค่จารึกดังกล่าว แต่ “ศิลาจารึกอักษรขอม ภาษาไทย ณ กรุงพุกาม (ทวาย)” ก็มีข้อความสาปแช่งให้คนที่คิดจะเอาที่นาหรือข้าทาสไปจากวัดที่กัลปนาไว้ตกนรก ดังข้อความว่า

“…ผิมหาบุรุษผู้ใด (ก็ดี) และเอานานี้ออกจากพระพุทธเจ้า (ขอท่านทั้งหลาย) นี้ พระพุทธเจ้าเกิดมาเท่าทรายทั้งสี่สมุทร จงท่านผู้นั้นอย่าพบ อย่าเห็น อย่าได้ฟัง อย่าได้ยิน จงพระจตุโลกบาลทั้งสี่แลอินทราธิราช (บันดาล) โดยโทษนั้น (จม) ไปยังมหา (อวิจี) นรก ดุงดังเทพทัณฑ์นั้น อนึ่ง จงท่านผู้เขียนนั้นจง ถึงแก่กรรมบ่รู้จักกี่ร้อยนัย อนึ่งโจรปล้น ท้าวพระยาริบ (เรือน) ไฟไหม้ ไปในน้ำจงจระเข้ขบชีวาเอาผิไปป่าจงงูขบช้างแทง เสือเอาชีวีสรีระบัดนั้น บาปจงตกแก่ผู้เบียนนาพระเจ้านั้นเทอญ…”

เห็นได้ว่าคำสาปแช่งในจารึกสมัยนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาและความเชื่อนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม :-

    • คำยืมภาษาเขมรที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง
    • ปราสาทตาเมือนธม จ. สุรินทร์ อายุเกือบ 1,000 ปี แหล่งอุดมจารึกแห่งอีสานใต้
    • “ถ้าไม่มีคนไทยคนไหนจะอ่านจารึกได้ ผมนี่แหละจะต้องอ่านจารึกให้ได้” : ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร




ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : ปดิวลดา บวรศักดิ์
เผยแพร่ : วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 30 กรกฎาคม 2568
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_156283
อ้างอิง : ศานติ ภักดีคำ. ประวัติศาสตร์อยุธยาจากจารึก : จารึกสมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ : สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, 2561.





นักภาษาแกะจารึก ‘ถวายข้าทาส’ เห็นพาวเวอร์หญิง-เจอคำแช่งแรง ‘ให้เป็นหนอนในกองขี้หมา’

นักภาษาศาสตร์แกะจารึก เล่ามุม ‘ถวายข้าทาส’ ชี้หญิงก็เป็นใหญ่ สายตระกูลฝ่ายแม่มีพาวเวอร์สืบทอดราชสมบัติ – ขุดเจอคำแช่งแรงเว่อร์ ‘ขอให้เป็นหนอนในกองขี้หมา’

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร (วังท่าพระ) เขตพระนคร กรุงเทพฯ เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดเวทีแถลงข่าว ‘ค้นความหลากหลาย ไท-ไทย’ เพื่อสร้างความเข้าใจถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ซึ่งก่อร่างมาเป็นประเทศไทย ตลอดจนลดอคติทางวัฒนธรรม อันเป็นสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งหลายประการในสังคมไทย

บรรยากาศเวลา 10.00 น. มีการเสวนา ‘ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และชาติพันธุ์ของผู้คนในดินแดนไทย’ ซึ่งเป็นการเปิดผลการวิจัยล่าสุด ได้แก่ การค้นพบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพันธุกรรมศาสตร์ทางโบราณคดี สอดคล้องสัมพันธ์กับการศึกษาวิจัยอื่นๆ ที่ดำเนินการโดยสาขาวิชาต่างๆ ของคณะฯ ซึ่งช่วยตอบคำถามทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของผู้คนบนดินแดนไทย สะท้อนว่า ไทยเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และ วัฒนธรรมเป็นอย่างมาก มีการอยู่ร่วมกันของผู้คนที่แตกต่าง ซึ่งหลอมรวมทางวิถีชีวิตมาร่วมกันอย่างยาวนาน

โดยนำเสนอมุมมองทั้ง 4 ด้านดังนี้ ด้านโบราณคดีโดย ศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช และอาจารย์ ดร.นฤพล หวังธงชัยเจริญ จากภาควิชาโบราณคดี, ด้านภาษาและจารึก โดย ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา ภาควิชาภาษาตะวันออก, ด้านมานุษยวิทยา โดย ผศ.ดร.ดำรงพล อินทร์จันทร์ ภาควิชามานุษยวิทยา, ด้าน ประวัติศาสตร์ศิลปะ โดย รศ.ดร.ประภัสสร์ ชูวิเชียร ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ดำเนินรายการโดย น.ส.วรรณศิริ ศิริวรรณ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวไทย (อสมท.) อดีตศิษย์เก่า





ในตอนหนึ่ง ผศ.ดร.กังวลกล่าวว่า ในเรื่องเกี่ยวกับตัวอักษรและจารึก ได้สนับสนุนผลการวิจัยของ ศ.ดร.รัศมี ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือช่วงก่อนที่จะมีตัวอักษรใช้ ส่วนช่วงประวัติศาสตร์ เมื่อมีตัวอักษรใช้ในการบันทึก

ทฤษฎีที่ว่ากันต่อมา คือเรารับตัวอักษรมาใช้ช่วงประมาณปี 1,000 อักษรแบบ ‘ปัลลวะ’ หลังศึกษา มีข้อมูลประกอบมากขึ้น พบว่ามีตัวอักษรที่เก่าไปกว่านั้นคือมากกว่า 1,000 ปี ภาษาที่เราพบสมัยแรกๆ มีการหยิบยืมตัวอักษรจากอินเดียมา ซึ่งต้องพัฒนาหลายร้อยปี จึงจะเขียนภาษาของตัวเองได้ ภาษาแรกๆ ที่รับมา นอกจากสันสกฤตแล้ว ยังมีมอญโบราณ และเขมรโบราณ ซึ่งยังไม่ได้มีแค่นั้น





จากงานวิจัยที่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เราไม่สามารถสืบย้อนการใช้ภาษาไปจนถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้ เพราะจำกัดอยู่เท่าที่มีหลักฐาน การศึกษาด้านโบราณคดีหรือจารึกจะต้องมีหลักฐาน แม้จะมีการกล่าวอ้างว่า ตัวอักษรแบบกระเบื้องจาน สามารถย้อนได้ไปถึง 6,000-8,000 ปี แต่ว่ามันไม่มีหลักฐานที่ชี้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับภาษาในปัจจุบันได้




“การที่คณะโบราณคดีบอกว่าจารึกแบบนี้อ่านแล้วแปลแบบนี้ แน่ใจได้อย่างไรว่าอ่านถูก ไปเข้าทรงมาหรือ จริงๆ แล้วพิสูจน์ง่ายมาก ของที่ขุดค้นพบใหม่ มันถูกทับถมหลายร้อยพันปี ถ้าเราไปค้นพบตัวอักษรหรือจารึก แล้วมันสอดคล้องกับสิ่งที่เราได้เรียนได้สอนในปัจจุบัน เท่ากับว่า มันถูกต้องแล้ว แต่ถ้าขุดไปเจอตัวอักษรประหลาดๆ อ่านไม่ได้ นั่นแสดงว่าที่เราสอนนั้นผิด

หลายสิบปีที่ผ่านมา มีการขุดค้นพบหลักฐาน ใหม่ๆ และสอดคล้องกับหลักฐานที่เราแปลได้ แสดงว่ามันค่อนข้างถูกต้อง 99%”





“ผมว่าตัว ‘จารึก’ จะบอกความรู้สึกนึกคิด ที่เขาคิดในขณะนั้นได้ดีที่สุด จารึกที่ถูกเขียนไว้บ่งบอกว่าเรื่องนั้นๆ เขากำลังคิดอะไร เช่น เราเจอกรุพระ ที่เขียนว่า ‘ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค’ ตอนแรกไม่เข้าใจว่าเขียนเพื่ออะไร แล้วเราไปเห็นว่าเขาเอาไปฝังรวมกลุ่มกัน เราก็ตีความว่ามันอาจจะเป็นการสืบทอดศาสนาหรือเปล่า ตีความจากเนื้อหาที่เขาเขียนด้วยส่วนหนึ่ง”

“เขารู้สึก คิด และมีความตั้งใจเกี่ยวกับโลกหน้า เขียนเพื่อการบุญตามความเชื่อตามศาสนา ที่ว่าพุทธศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี เขาอาจจะเขียน เพื่อให้คนรุ่นหลัง พบว่า บริเวณนี้เคยมีพุทธศาสนาปรากฏอยู่ ที่ชัดเจนมากคือเรื่องโลกนี้-โลกหน้า ภาษาสันสกฤตในจารึกโบราณ สมมติเขาทำบุญถวายสิ่งนี้ เขาจะเขียนบอกเล่าว่าเขาเป็นใคร ไม่ได้เขียนว่าทำบุญด้วยสิ่งนี้ 1 ชิ้น เขาจะเล่าเลยว่า ตั้งแต่ต้นวงศ์เป็นใคร ครองเมืองเรื่อยมา เหมือนอย่างปราสาทสด๊กก๊อกธม ก็เล่าว่าใหญ่มาจากไหน เล่าย้อนไป 250 ปี”

ผศ.ดร.กังวลกล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกัน คนที่อยู่ร่วมสมัย ‘ทวารวดี’ เวลาเขียน เขียนแต่คาถา ส่วนตัวสันนิษฐานว่ากลัวพุทธศาสนาจะหายไปหรือไม่ ไม่ได้เขียนถึงกษัตริย์แม้แต่พระองค์เดียว จนกระทั่งปัจจุบันเราจึงเขียนถึงประวัติศาสตร์ทวารวดีไม่ได้เลย





“ข้อจำกัดก็มี คือเข้าไม่ได้เขียนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ฉะนั้น ข้อความที่เขียนบอกเล่าเรื่องราว มันจะบอกทุกโจทย์ที่เราศึกษาได้ ศิลปะแบบนี้ปรากฏช่วงไหน ความคิดเหล่านี้ได้จากศิลาจารึกเป็นส่วนมาก”

ผศ.ดร.กังวลกล่าวด้วยว่า ค่อนข้างชัดว่า คนเมื่อ 1,000-2000 ปีที่แล้ว คิดถึงเรื่องความตายชัดเจน ปรากฏในคำสาปแช่งที่ว่า ขอให้มันผู้นั้นตกนรก แล้วบอกชื่อขุมนรกด้วย ความเชื่อสะท้อนออกมา ‘ถ้าเกิดมันผู้นี้ เอาของ…ไปใช้ ก็ขอให้มันตกนรก ถ้าช่วยดูแลทะนุบำรุง ขอให้ขึ้นสวรรค์





“มันมีคำสาปแช่งด้วยว่า ‘ขอให้ตกนรก ตราบเท่าที่พระจันทร์และพระอาทิตย์ยังมีอยู่’ ที่น่าสนใจ ที่ปราสาทตาเมือนธม มันมีคำสาปแช่งไว้ว่า ‘ขอให้ตกนรกตราบเท่าที่พระศิวะยังมี 3 ตา พระนารายณ์ยังมี 4 มือและพระพรหมยังมี 4 หน้า’

แต่มีจารึกอีก 2 หลักที่ไม่แน่ใจว่าสัมพันธ์กันอย่างไรอันหนึ่งที่กัมพูชา และที่พม่า พูดคำสาปแช่งเหมือนกัน คือ ‘ขอให้มันพร้อมกับเผ่าพงศ์ จงตกนรก พอหมดกรรม ขอให้ไปเป็นหนอนในกองขี้หมา'” ผศ.ดร.กังวลเผย

ผศ.ดร.กังวลกล่าวว่า สำหรับคนรุ่นหลัง ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเองว่า เมื่อเรียน เข้าใจแล้วว่ากว่าจะมาเป็นเรา ต่อไปจะเป็นอย่างไร คนไทยมาจากไหน เราถามเยอะแล้ว แต่คนไทยจะไปไหน ? เรื่องเกี่ยวกับศิลาจารึก กว่าจะมาเป็น ก. ไก่ ในปัจจุบันเป็นมาอย่างไร บางครั้งตัวหลักฐานที่จะพบใหม่เริ่มน้อยลงๆ แต่สิ่งที่เราสนใจตอนนี้ คือ ที่ผ่านมาเราดูรอบด้านหรือยัง ลองวิเคราะห์จากหลักฐานเก่าที่มี

“เอาง่ายๆ จารึกวัดพระงาม ที่ จ.นครปฐม มีคำว่า ‘โจตะกา’ ของทวาย แปลว่า นกคุ่ม ผมตื่นเต้น คนเมื่อ 1,400 ปีที่แล้ว เขาปล่อยนกปล่อยปลา แต่หลังจากที่มีการเผยแพร่ไปแล้ว เมื่อมานั่งคิดใหม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่า มันเลือนหายไปนิดเดียว ถ้าไม่มีสระโอ แต่เป็นสระเอ ‘เจตะกา’ ความหมายเปลี่ยนเลย มันแปลว่า ข้ารับใช้ หรือทาส





ดังนั้น เป็นความรับผิดชอบของคนที่จะศึกษา รุ่นใหม่ๆ เดิมที่เคยเชื่ออย่างนั้น เพราะมันมีหลักฐานแค่นั้น เราจึงต้องใช้หลายแนวคิด” ผศ.ดร.กังวลกล่าว

ในช่วงท้าย ผศ.ดร.กังวลกล่าวเสริมถึงความรู้เรื่อง การสืบทอดทางฝ่ายผู้หญิง ซึ่งในตัวจารึกเอง เวลาจะ ‘ถวายข้าทาส’ มักจะบอกว่าเป็นลูกของนางอะไร ไม่ได้บอกชื่อผู้ชาย เราเห็นถึงความเข้มแข็งของการสืบทอดทางฝ่ายผู้หญิงในจารึก กระทั่งในหมู่พราหมณ์

“การอ้างสิทธิ์สืบทอดราชสมบัติ นอกจากจะอ้างฝ่ายพ่อแล้ว เขาจะต้องอ้างฝ่ายแม่ด้วย เช่นในอดีต รุ่นทวดของแม่เคยเป็นน้องของกษัตริย์องค์นี้ แล้วก็ไล่สายมาจนถึงสิทธิที่เขาจะได้ขึ้นครองราชย์ หรืออย่างเรื่องในปราสาทสด๊กก๊อกธม คนที่จะทำพิธีกรรมได้ ต้องเป็นผู้ชาย ต้องบวชเป็นพราหมณ์ แต่วิธีการสืบทอดถ้าเชื่อแบบพราหมณ์ ใครก็ตามที่ไม่มีลูกชาย จะต้องตกนรก

แต่พอมาเป็นบ้านเรา คนที่สืบทอด ต้องเป็นลูกชายของพี่สาวหรือน้องสาวเท่านั้น วิธีสืบทอดไม่เหมือนกับทางอินเดีย วิธีการของบ้านเรา มีการสืบทอดทางฝ่ายหญิงเป็นใหญ่ ซึ่งเข้าไปมีอิทธิพล แม้กระทั่งในแง่รัฐศาสนา” ผศ.ดร.กังวลกล่าว


 

ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/local/religious/news_4895608
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 - 20:31 น.   

.



ลือสะพัดชายแดนไทย-ลาว น้ำท่วมกรุงเทพฯ เหตุผิดคำสาบานพระแก้วมรกตของศักดินาในอดีต

นครพนม - ใบปลิวว่อนชายแดนไทย-ลาวด้านจังหวัดนครพนม ต้นฉบับพิมพ์เป็นภาษาลาว ระบุเหตุน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะผิดคำสาบานพระแก้วมรกตของศักดินาในอดีต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วง 1-2 วันนี้ที่ จ.นครพนม ได้มีใบปลิวเนื้อหาเป็นภาษาลาว ระบุน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะคำสาบานในอดีต แจกจ่ายแพร่สะพัดในตลาดโต้รุ่ง ร้านคาเฟ่อินเทอร์เน็ต และยังแปลข้อความในใบปลิวจากภาษาลาวเป็นภาษาไทยโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กต่อๆ กัน

สำหรับข้อความในใบปลิวดังกล่าว ระบุหัวข้อตั้งคำถามน้ำท่วมกรุงเทพฯ เป็นเพราะคำสาบานในสมัยอดีตจริงหรือไม่ ด้วยเหตุใดพระแก้วมรกตของลาวจึงไปอยู่ในประเทศไทย

ข้อความเล่าย้อนไปในอดีตว่า ภายหลังเจ้าอนุวงศ์ได้เสียชัยให้กับสยาม (กรุงเทพฯ) แล้ว ศักดินาสยามก็พยายามจะเอาพระแก้วมรกตไปสถิตไว้อยู่ประเทศไทย พวกเขาได้ใช้ความพยายามหลายวิธี แต่ไม่สามารถยกพระแก้วมรกตขึ้นได้ ฉะนั้น ศักดินาสยามจึงให้หมอดูลาว 5 คนเพื่อไปอ้อนวอนช่วย

โดยมีเหตุผลอ้างอิงว่า ปัจจุบันนั้นเมืองลาวเกิดความวุ่นวายไม่สงบ ฉะนั้น จึงขออัญเชิญพระแก้วมรกตนี้ย้ายไปสถิตที่กรุงเทพฯ ถ้าหากว่าวันใดเมืองลาวมีความสงบ จะอัญเชิญพระแก้วมรกตไปสถิตสถานไว้ที่เมืองลาวเหมือนเดิม



ใบปลิวพิมพ์ด้วยอักษรลาว ที่ว่ากันว่าฝั่งลาวมีอยู่ทุกครัวเรือน


ข้อความยังระบุต่อไปว่า เพื่อเป็นการยืนยันศักดิ์ศรีของศักดินาสยามในเวลานั้น พวกเขาได้สาบานไว้ว่า

“ถ้าหากประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามคำสาบานดังกล่าวนี้ ขอให้มีมหันตภัย 5 อย่างเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยดังนี้”

    (1) ขอให้น้ำท่วมบ้านท่วมเมือง,
    (2) ขอให้ประเทศไทยไม่มีความสงบ เจริญรุ่งเรือง การเมืองให้มีความสับสนวุ่นวาย,
    (3) อาณาจักรเดียวขอให้แบ่งเป็นหลายชาติ ความเป็นเอกราชขอให้พังทลาย,
    (4) ราชบัลลังก์ขอให้ถูกโค่นล้ม,
    (5) ดินส่วนหนึ่งขอให้จมลงทะเล

เมื่อศักดินาสยามได้ยืนยันคำสาบานดังกล่าวแล้ว หมอดูลาวทั้ง 5 คนจึงพร้อมกันอัญเชิญพระแก้วมรกตตามจุดประสงค์ของไทย จากนั้นศักดินาสยามจึงสามารถยกเอาพระแก้วมรกตของลาวไปประดิษฐานอยู่ที่กรุงเทพฯจนถึงปัจจุบันนี้

@@@@@@@

นอกจากนี้ ในท้ายข้อความในใบปลิวยังอ้างว่า หนังสือฉบับนี้เอามาจากหอสมุดของแขวงหลวงพระบาง ต้นฉบับเป็นภาษาลาว ลงวันที่ 12/2/2010

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวลือสะพัดต่อเนื่องว่า มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ของไทย อาจเกี่ยวข้องกับคำสาปหรือคำสาบานของไทยและลาว แต่ยังไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรยืนยันที่อ้างว่ามีบันทึกอยู่ในหอสมุดแห่งชาติลาว

กระทั่งมีผู้นำใบปลิวจากฝั่งลาวมาเผยแพร่ดังกล่าว ผู้นำใบปลิวมาเผยแพร่ยังระบุว่าชาวลาวมีใบปลิวข้อความเนื้อหาข้างต้นแทบทุกครัวเรือน




ขอบคุณ : https://mgronline.com/local/detail/9540000140061
เผยแพร่ : 3 พ.ย. 2554 , 10:41 | โดย : MGR Online


.



ไขปริศนาคำสาป หินฟู งูใหญ่ ช้างเผือก และฆ้องสันติภาพโลก สู่ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศลาว
บทความพิเศษ ชุด ตามรอยเวียงจันทน์



 :25: :25: :25:

     “ประเทศลาวต้องคำสาปมาเป็นระยะเวลากว่า ๑,๐๐๐ ปี ทำให้ประเทศยากจน ไม่พัฒนา เพิ่งจะพ้นคำสาปเมื่อไม่นานมานี้เมื่อมี ๔ ปัจจัยเข้ามา ได้แก่ หินฟูน้ำ พญางูใหญ่ ช้างเผือก และฆ้องสันติภาพโลก”

เสียงบรรยายของชบา ไกด์สาวชาวลาวบนรถบัสขณะมุ่งสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อส่งพวกเรา ในนามของสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเดินทางมาจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งแต่วันที่ ๓ – ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ กลับสู่ฝั่งไทย ณ จังหวัดหนองคาย ได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันขึ้นมาในบัดดล...เรื่องของคำสาปอาจจะเป็นหนึ่งประวัติศาสตร์ ตำนาน หรือเพียงความเชื่อ เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา

แต่นี่คืออีกหนึ่งรูปแบบ วิธีคิดอันน่าสนใจ ไม่แตกต่างจากคนไทย ซึ่งดูแล้วจะให้คุณมากกว่าโทษ

ด้วยเวลาอันน้อยนิด ไม่สามารถสอบถามรายละเอียดจากไกด์ชบาได้มากกว่านี้ ฉันจึงต้องกลับมาศึกษา สืบค้น ประมวลและสรุป ออกมาเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวคำสาปของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

@@@@@@@

ย้อนรอยตำนานคำสาปของท้าวศรีโคตรตะบอง

กาลครั้งหนึ่งเมืองเวียงจันทน์เกิดความเดือดร้อน มีช้างป่าจำนวนล้าน ๆ ตัว มาบุกรุกทำลายเรือกสวนไร่นาและบ้านเรือน เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงประกาศหาคนดีมาปราบช้าง โดยตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากผู้ใดปราบช้างได้จะได้รับพระราชทานพระราชธิดาแห่งเวียงจันทน์เป็นคู่ครอง

ครานั้นเอง ท้าวศรีโคตรผู้มีอาวุธวิเศษเป็นพระตะบองเพชร ผู้มีวิชาเก่งกล้าหาผู้ใดเปรียบ รับอาสาปราบช้าง สำหรับท้าวศรีโคตรนี้สันนิษฐานว่าอาจเป็นชาวกูย ซึ่งเป็น ๑ ในกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองที่เก่งเรื่องช้าง ปราบช้างมาแต่โบราณ มาจากแถบดินแดนศรีโคตรบูรณ์ จึงเรียกว่า ท้าวศรีโคตร

และยังมีประวัติศาสตร์บอกเล่าอีกว่า ท้าวศรีโคตรทรงฤทธานุภาพ ฆ่าไม่ตาย และสามารถลากท่อนซุงขนาดใหญ่มาทำกระบอง เพื่อปราบช้างป่านับล้านตัวให้กับ “อาณาจักรเวียงจันทน์” จนเป็นที่มาของ “อาณาจักรล้านช้าง”

เมื่อท้าวศรีโคตรปราบช้างสำเร็จ เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงพระราชทานพระราชธิดา พร้อมสร้างปราสาทให้ ต่อมาเจ้าเมืองเวียงจันทน์ระแวงกลัวว่า ท้าวศรีโคตรจะแย่งบัลลังก์ จึงใช้อุบายต่าง ๆ เพื่อที่จะกำจัดท้าวศรีโคตร แต่ไม่สำเร็จ ท้าวศรีโคตรฟันแทงไม่เข้า จึงคิดอุบายหลอกให้พระราชธิดาไปถามท้าวศรีโคตร

ในที่สุดท้าวศรีโคตรก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ด้วยคมหอกทางทวารหนัก ก่อนเสียชีวิตท้าวศรีโคตรได้ร่ายมนต์สาปแช่งนครเวียงจันทน์ให้พบกับความพินาศล่มจม หากจะเจริญก็ให้เป็นแค่ “ให้ฮุ่งเพียงช้างพับหู ฮุ่งเพียงงูแลบลิ้น” และจะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อมีหินฟูน้ำ งูใหญ่ และช้างเผือก



สมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดสถานีรถไฟท่านาแล้ง และฉายพระรูปร่วมกับท่านบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศ และคณะ


ไขปริศนาคำสาป

ปัจจุบันคนลาวเชื่อว่าคำสาปของท้าวศรีโคตรถูกลบล้างลงแล้ว โดยมีเรื่องราวความสัมพันธ์กับประเทศไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอันสำคัญ

    (๑) “หินฟูน้ำ” ถูกตีความว่า หมายถึงสะพาน เป็นการเปรียบถึงการที่หินซึ่งอยู่ใต้น้ำได้ฟูลอยขึ้นมาอยู่เหนือน้ำ และสะพานที่กล่าวถึงก็คือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งสร้างขึ้นแห่งแรกที่จังหวัดหนองคาย

    (๒) “ช้างเผือก” ถูกบางคนตีความว่า หมายถึงฝรั่งหรือชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศลาวเป็นจำนวนมาก มีโครงการลงทุนของประเทศต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายโครงการ

แต่สำหรับช้างเผือกในความหมายของไกด์ชบาลึกซึ้งกว่านั้น ช้างเผือกในที่นี้หมายถึง ผู้มีบุญบารมีหรือมีบุญญาธิการเข้ามาในประเทศลาว นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งนับเป็นประวัติศาสตร์สำคัญและมีนัยหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของลาว ดังข้อมูลจาก http://info.gotomanager.com/news/details. aspx?id=78808 ที่กล่าวไว้ว่า

มองในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในพระราชพิธีเปิดใช้สะพานอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ พระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเสด็จฯ ไปเป็นองค์ประธานร่วมกับหนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศ แห่ง สปป. ลาว (ในขณะนั้น) ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์และเปิดหน้าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง ๒ ประเทศในบริบทใหม่ จากที่เคยระแวงซึ่งกันและกันในช่วงสงครามอินโดจีน กลายเป็นมิตรประเทศคู้ค้าและหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น พระราชพิธีเปิดสะพานจัดขึ้นบริเวณกึ่งกลางสะพาน ซึ่งถือเป็นเขตแดนร่วมกันของทั้ง ๒ ประเทศ

มองในมิติเศรษฐกิจ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๑ ถือปฐมบทที่ทำให้นโยบายในการปรับยุทธศาสตร์ประเทศของ สปป.ลาว จากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล (Land Lock) ไปสู่ประเทศ ที่เป็นจุดเชื่อมต่อ (Land Link) เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะหลังจากได้มีการเปิดใช้สะพานดังกล่าวเป็นต้นมา ภายใน สปป.ลาวได้มีการก่อสร้างโครงข่ายคมนาคมทางบกที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งแนวเหนือ-ใต้และตะวันออก-ตะวันตกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    • จากสะพานมิตรภาพแห่งแรกที่หนองคาย ได้มีการเปิดใช้สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ ๒ ที่จังหวัดมุกดาหาร เชื่อมกับแขวงสะหวันนะเขต ในอีก ๑๐ กว่าปีต่อมา

    • มีการเปิดเส้นทางหมายเลข ๙ เชื่อมระหว่างมุกดาหาร-สะหวันนะเขต และเมืองเว้ของเวียดนาม

    • มีการเปิดใช้เส้นทางสาย R3a ที่เชื่อมระหว่าง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ไปจนถึงเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ต่อขึ้นไปถึงเมืองโม่หานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีเส้นทางอย่างดีวิ่งขึ้นไปถึงเมืองคุนหมิง มลฑลหยุนหนัน

    • รวมถึงมีการประกาศโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๓ และ ๔ ที่ จ.นครพนม และ จ.เชียงราย ฯลฯ

    • แต่หากมองในมิติของความเชื่อ การเกิดขึ้นของสะพานมิตรภาพและเส้นทางรถไฟเส้นนี้ถือเป็นการล้างคำสาปที่คนลาวเชื่อและยึดถือมาตลอดกว่าพันปีลงไปได้อย่างสิ้นเชิง

 

สมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดสถานีรถไฟท่านาแล้ง และฉายพระรูปร่วมกับท่านบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศ และคณะ


    (๓) “พญางูใหญ่” ไกด์ชบาเล่าว่า “งูใหญ่เข้าเมืองคือมีรถไฟเข้ามา จากหนองคาย – เวียงจันทน์ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดงาน” ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ฉันได้สืบค้น รายละเอียดคือ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่างไทย-ลาว เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้แก่

สถานีรถไฟท่านาแล้ง ตั้งอยู่บ้านดงโพสี หาดทรายฟอง นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นสถานีรถไฟแห่งแรกของประเทศลาว อยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางของสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ ๑ เป็นระยะทาง ๓.๕๐ กิโลเมตร

สร้างขึ้นตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทย-ลาว เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า และผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าออก (ข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org)

    (๔) ฆ้องสันติภาพโลก

เติมเต็มด้วยปริศนาข้อที่ ๔ : หินฟูน้ำ งูใหญ่ และช้างเผือก คือ คำสาปของท้าวศรีโคตรตะบองที่ฉันสืบค้นพบจากเอกสารข้อมูลต่าง ๆ แต่นอกเหนือจากนี้ ไกด์ชบาได้กล่าวถึงการไขปริศนาคำสาปข้อที่ ๔ นั่นคือ ฆ้องสันติภาพโลก

    “ลาวล้างคำสาปข้อที่ ๔ ข้อสุดท้าย คือ การได้รับฆ้องสันติภาพโลก โดยลาวเป็นประเทศที่ ๔ ถัดจากเวียดนาม ซึ่งที่ผ่านมาเคยเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ แต่เราสามารถรักษาเสถียรภาพและความสงบของประเทศไว้ได้”
    ไกด์ชบากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ส.ป.ป.ลาวได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองแห่งสันติภาพประจำปี ๒๕๕๑ โดยทางคณะกรรมการสันติภาพโลกของประเทศอินโดนีเซียได้มอบฆ้องสันติภาพโลกให้กับประเทศลาว เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ ปัจจุบันฆ้องสันติภาพโลกตั้งอยู่บริเวณเดียวกับประตูชัย ติดกับสวนสาธารณะ นึกแล้วให้รู้สึกเสียดาย ทั้งที่ฉันได้มีโอกาสไปถ่ายรูปกับประตูชัย แต่ด้วยยังไม่รู้ข้อมูลจึงไม่ได้สนใจเดินไปยลฆ้องสันติภาพโลกนี้

วันนี้เมืองเวียงจันทน์และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวหลุดพ้นจากคำสาปแล้ว จะด้วยความเชื่อหรือเหตุผลกลใดก็ตาม ภาพที่ปรากฏแก่ชาวโลกคืด ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลาวมีความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้า บนรากฐานแห่งอัตลักษณ์ชนชาติลาวอย่างรวดเร็วและชัดเจน






ขอขอบคุณ :-
website : https://www.nuac.nu.ac.th/?p=2710
บทความพิเศษ ชุด ตามรอยเวียงจันทน์ โดย :-
- พรปวีณ์ ทองด้วง นักประชาสัมพันธ์ สถานอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวร
- ละอองดาว โฉมสี นักศึกษาฝึกงานสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
   ๘ มีนาคม ๒๕๖๐

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
http://www.travellerfreedom.com
http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=78808
http://www.baanjompra.com/webboard/thread-3008-1-1.html
http://palungjit.org/threads
https://www.facebook.com/laomongthai
http://www.baanmaha.com/community/threads/36625
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000036217
http://www.ounon19.com/Aide_de_camp52_1.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 23, 2025, 07:50:43 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29588
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่าด้วย คำสาปแช่ง และ วาจาศักดิ์สิทธิ์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2025, 08:16:54 am »
0
.

ปราสาทประธาน ปราสาทตาเมือนธม


“คำสาปชัยวรมัน” ฤาเป็นเหตุให้เขมร อยากครอบครองปราสาทไทย

วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” ในปี พ.ศ.2568 นับเป็นความขัดแย้งที่ชัดเจนมากที่สุดในรอบทศวรรษก็ว่าได้ ปลุกกระแสสังคมให้สนใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งยังมีประเด็นประวัติศาสตร์ หลักฐานโบราณคดี ไปจนถึงความเชื่อจากตำนานให้กล่าวเชื่อมโยงถึงกัน


บรรยากาศการท่องเที่ยวที่ปราสาทตาเมือนธม


รู้จักปราสาทยุคขอมโบราณของไทย

เมื่อกล่าวถึงปราสาทสมัยอาณาจักรขอมโบราณที่อยู่ในดินแดนไทย และเป็นพื้นที่ที่มีกรณีพิพาทกับกัมพูชาในปัจจุบัน คือ “กลุ่มปราสาทตาเมือน” บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นโบราณสถานศิลปะขอมโบราณและเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ใน “ประเทศไทย” โดยมีข้อสันนิษฐานว่าในอดีตที่นี่เคยเป็นชุมชนโบราณ เพราะเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญระหว่างเมืองพระนครไปยังพิมายปุระ

ปราสาทตั้งอยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาประมาณ 100 เมตร เป็นเทวสถานขอมโบราณ ศิลปบาปวน ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยมาตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 2478

กรมศิลปากรยังได้ทำการบูรณะกลุ่มปราสาทตาเมือนจนสวยงาม กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจ.สุรินทร์ ซึ่งนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวชม มาทัศนศึกษาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โบราณวัตถุส่วนหนึ่งของกลุ่มปราสาทตาเมือนได้ถูกนำไปแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์



ภาพแกะสลักหินที่ปราสาทตาเมือนธม


กลุ่มปราสาทตาเมือน ประกอบไปด้วยปราสาท 3 หลัง ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน ได้แก่

     - ปราสาทตาเมือน (หรือปราสาทบายกรีม)
     - ปราสาทตาเมือนโต๊ด และ
     - ปราสาทตาเมือนธม

(๑) ปราสาทตาเมือน (ปราสาทบายกรีม) เป็นปราสาทหลังเล็กที่สุดในกลุ่ม ตัวปราสาทก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลาหรือที่พักสำหรับคนเดินทาง

(๒) ปราสาทตาเมือนโต๊ด เป็นปราสาทขนาดเล็กที่เชื่อว่าเป็นอโรคยาศาล หรือสถานที่รักษาพยาบาลของชุมชน สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นอโรคยาศาล 1 ใน 102 แห่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อช่วยอาณาประชาราษฎร์



ปราสาทตาเมือนโต๊ด


ปราสาทตาเมือนโต๊ด


(๓) ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด เป็นโบราณสถานสมัยบาปวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17

เอกลักษณ์ของปราสาทตาเมือนธม มี “สวยัมภูลึงค์” หรือ ศิวลึงค์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเคลื่อนย้ายไม่ได้ เป็นรูปเคารพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ซึ่งคนโบราณเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนองค์มหาเทพปรากฏที่ต้องบูชาและดูแลรักษา



สวยัมภูลึงค์ แห่งปราสาทตาเมือนธม


คำสาปในศิลาจารึกปราสาทตาเมือนธม

หนึ่งในประเด็นที่มีการกล่าวถึงกันหลากหลาย คือ “คำสาป” ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในอดีต ซึ่งต้องแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ คำสาปในศิลาจารึก ที่มักถูกอ้างอิงถึง เป็นศิลาจารึกที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งจารึกเมื่อ พ.ศ. 1563 ในสมัย “พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1” (ครองราชย์ พ.ศ. 1545–1593) ไม่ใช่พระเจ้าชัยวรมัน

ด้วยความเป็นปราสาทที่สมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ ปราสาทตาเมือนธม จึงมีการค้นพบศิลาจารึกหลายหลัก เมื่อรวมกับที่พบในบริเวณใกล้เคียง รวมได้จำนวน 14 หลัก



จารึกโบราณที่ปราสาทตาเมือนธม


โดยส่วนหนึ่งของศิลาจารึกมีเนื้อหากล่าวถึงการแต่งตั้งข้าราชการ ข้าทาส และการถวายเงินทองไว้ที่ฐานของพระศิวะ โดยท้ายจารึกระบุคำสาปแช่งว่า

    “ผู้ใดทำลายฐานของพระศิวะจะต้องตกนรกจนสิ้นกาลมหาโกฏิ” (ตกนรกตลอดกาล)

ผศ.ดร.สมบัติ มั่งมีสุขศิริ และ ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สรุปเนื้อความให้ทราบว่า

    "ห้ามมิให้ผู้ใดเอาทรัพย์สินของปราสาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตน คนที่ช่วยดูแลท่าน ขอพรให้ได้เสวยสุขในสวรรค์ ตราบเท่าที่พระพรหมยังมี 4 หน้า พระวิษณุยังมี 4 กร และพระศิวะยังมี 3 พระเนตร ส่วนคนที่ทำลายหรือลักทรัพย์ไปจากปราสาทตาเมือน ให้ได้ความทุกข์ในนรก ตราบเท่าที่พระพรหมยังมี 4 หน้า พระวิษณุยังมี 4 กร และพระศิวะยังมี 3 พระเนตร เช่นกัน"


(อ้างอิงจากไทยรัฐออนไลน์: ปราสาทตาเมือนมนต์คำสาปในจารึก https://www.thairath.co.th/news/politic/193752)

ดังนั้น หากสันนิษฐานจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จึงอาจมีการตีความหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับคำสาป "ชัยวรมัน" และ “สุริยวรมัน” (ที่ปรากฏในศิลาจารึกปราสาทตาเมือนธม ซึ่งระบุถึงการบริหารจัดการและการถวายทรัพย์สินแด่เทวสถาน โดยคำสาปมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากการถูกทำลายเท่านั้น)



ปราสาทประธานของปราสาทตาเมือนธม


“คำสาปชัยวรมัน” ตำนานความเชื่อที่อาจเป็นเหตุให้เขมรอยากได้ปราสาทไทย
[บางส่วนของบทความเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล]

ดังที่กล่าวไว้ว่า คำสาปที่อ้างถึงในบริบทของ "ชัยวรมัน" อาจมีการตีความคลาดเคลื่อน หากนำไปเชื่อมโยงกับคำสาปของ “พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1” ซึ่งบันทึกในศิลาจารึกที่ปราสาทตาเมือนธม ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และลงโทษผู้ทรยศหรือผู้ทำลาย ไม่ใช่คำสาปที่มุ่งเป้าไปที่ชาวเขมร

แล้ว “คำสาปชัยวรมัน” มีเรื่องราวเป็นอย่างไร.?

“คำสาปชัยวรมัน” เป็นตำนานเรื่องเล่าตามความเชื่อที่ไม่ปรากฏหลักฐานทางการ ว่าด้วยคำสาปขอมโบราณที่ยังคงสะท้อนแนวคิดความเชื่อนี้สืบต่อมาถึงชาวกัมพูชาบางกลุ่มยุคปัจจุบัน



ปราสาทตาเมือน ปราสาทหลังเล็กที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเมือน


ความเชื่อนี้เล่าถึงเมื่อประมาณ 700 ปีก่อนในช่วงปลายราชวงศ์พระนคร อาณาจักรขอมโบราณมีสมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 (หรือพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร) เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเชื้อสาย “สุริยวรมัน” ซึ่งเป็นผู้สืบสันตติวงศ์จากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 กษัตริย์ผู้รวบรวมอาณาจักรอย่างมั่นคง

พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติจากปี พ.ศ. 1870-1879 ถูกล้มอำนาจโดยชายธรรมดาผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า "แตงหวาน" ผู้รวบรวมกบฏชาวบ้านเข้ายึดอำนาจ และตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ในนาม “พระเจ้าตรอซ็อกผแอม” หรือ “สมเด็จพระองค์ชัย”พระเจ้าแผ่นดินแห่งเมืองพระนครหลวง กัมพูชา

มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ที่ครองราชย์ในช่วง พ.ศ. 1545-1593 ประมาณ 1,500 ปีก่อน ได้สร้างคำสาปเอาไว้ในศิลาจารึกว่า

    “ผู้ใดทรยศต่อเราและลูกหลาน จะตกอยู่ในความพินาศตลอดไป ถูกต่างชาติยึดครอง ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่พัฒนา ไม่มีวันชนะลูกหลานของเราได้ และจะเผชิญภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

คำสาปนี้ถูกเชื่อว่าเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ “แตงหวาน” ก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ และหลังจากนั้นประวัติศาสตร์กัมพูชาก็ดูเหมือนตกอยู่ในวงจรคำสาปตลอดมาไม่จบสิ้น



รูปปั้นพระเจ้าแตงหวาน (ภาพ : รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ)


ว่ากันว่า “คำสาปชัยวรมัน” มีทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่

1. ผู้ถูกสาปจะถูกทำลายจนสูญสิ้นด้วยลูกหลานของวรมัน
2. ผู้ถูกสาปจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้อื่นเสมอ ถูกสยามและฝรั่งเศสปกครอง
3. ผู้ถูกสาปจะเข่นฆ่าล้างผลาญกันเองตราบชั่วลูกชั่วหลาน เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดง
4. ผู้ถูกสาปจะต้องเป็นทาสของผู้อื่นตลอดไป
5. ผู้ถูกสาปจะต้องเผชิญกับหายนะและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
6. ลูกหลานของผู้ถูกสาปจะไม่มีวันรบชนะลูกหลานของชัยวรมัน
7. ผู้ถูกสาปจะล้าหลัง ไร้ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา


อย่างไรก็ตาม สำหรับ “คำสาปชัยวรมัน” เป็นเรื่องเล่าแบบตำนานตามความเชื่อที่แล้วแต่บุคคลจะมอง เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางการจากรัฐบาลกัมพูชา หรือนักวิชาการ แต่ก็ยังแสดงให้เห็นได้ว่า ความเชื่อนั้นคงมีอยู่ในหมู่ชาวกัมพูชาบางกลุ่ม



พิธีกรรมที่นครวัด (ภาพ : รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ)


โดยเฉพาะหากเชื่อมโยงเหตุการณ์ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2568 ที่มีพิธีลึกลับกลางปราสาทนครวัดที่ถูกอ้างว่าเป็น “พิธีถอนคำสาปชัยวรมัน” โดยมีคนแต่งดำ 8 คนเป็นตัวแทนทิศ ทำพิธีกรรมซับซ้อนโดยรอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเครื่องสังเวยและวัตถุประกอบพิธีมากมาย

แต่ทว่าในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เกิดฟ้าผ่าลงกลางปราสาทนครวัด ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 30 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา จนมีการร่ำลือว่าเป็นอาถรรพ์จากคำสาป

ดังนั้นในเมื่อความเชื่อของชาวกัมพูชาบางส่วน มองว่า “คำสาป” ฝังอยู่ในปราสาทขอมโบราณของไทย จึงอาจเป็นเหตุทำให้ผู้มีอำนาจบางคน หวังครอบครองปราสาทของไทย เพื่อทำพิธีลบล้าง และปลดคำสาปก็เป็นได้.!



ภาพจำลองเหตุการณ์ (สร้างสรรค์โดย AI )



Thank to : https://mgronline.com/travel/detail/9680000059063
เผยแพร่ : 23 มิ.ย. 2568 ,18:29 | ปรับปรุง : 23 มิ.ย. 2568 ,18:29 | โดย : ผู้จัดการออนไลน์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 23, 2025, 08:30:23 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29588
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่าด้วย คำสาปแช่ง และ วาจาศักดิ์สิทธิ์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2025, 09:07:51 am »
0
 :96: :96: :96:

แนวรบตาเมือนธม ปราสาทในคำสาป

โพสต์เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 13:16:21
บทความโดย : ทีมงาน
https://db.sac.or.th/inscriptions/news/detail/9848

   


 :96: :96: :96:
       
ปมขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นที่ปราสาทตาควาย ตาเมือนธม และปราสาทพระวิหาร ล้วนมาจากเส้นเขตแดนไม่ชัดเจน

เมื่อมีปัจจัยทางการเมืองมาเป็นตัวเร่ง ทำให้เปิดศึกระหว่างกัน จุดที่เกิดเหตุแต่ละครั้ง ล้วนเกิดใกล้โบราณสถานเก่าแก่ตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก มูลเหตุที่ขอมโบราณสร้างโบราณสถานบนภูหเขา ความเชื่อนี้มาจากศาสนาฮินดู ซึ่งมีพราหมณ์เป็นผู้กระทำพิธี

ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ปรากฏโบราณสถานขอมโบราณอย่างน้อย 4 แห่ง คือ ปราสาทตาควาย กลุ่มปราสาทตาเมือน ปราสาทพระวิหาร และปราสาทสดกก็อกธม

ปราสาทตาควายและตาเมือนอยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์ ปราสาทพระวิหารอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนปราสาทสดกก็อกธมอยู่ในจังหวัดสระแก้ว ปราสาทแต่ละแห่งอยู่ชิดชายแดนไทยกัมพูชา ถ้ามองในแผนที่ฝ่ายกัมพูชาจะเห็นว่าอยู่ในพระราชอาณาจักรกัมพูชา แต่ถ้าดูในแผนที่ประเทศไทย จะเห็นปรากฏอยู่ในเขตพระราชอาณาจักรไทย   

แผนที่ของกัมพูชา ถูกสร้างขึ้นสมัยเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส การขีดเส้นเขตแดน คล้ายวางทุ่นระเบิดเวลาไว้ ให้ไทยกับกัมพูชาระเบิดศึกแย่งพื้นที่กันอย่างจงใจ

การสู้รบที่แนวปราสาทตาเมือนธมในปัจจุบัน คล้ายกับกรณีเขาพระวิหารที่ผ่านมา คือ เกิดจากเส้นเขตแดนที่ยังไม่ชัดเจน


@@@@@@@

สำหรับที่ตั้งของปราสาทตาเมือนธมนี้ นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร เคยบอกไว้ว่า ปราสาทตาเมือนธม อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาประมาณ 100 เมตร เป็นเทวสถานขอมโบราณ ศิลปบาปวน กรมศิลปากรได้ขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ผ่านมากว่า 70 ปีแล้ว
         
กลุ่มปราสาทตาเมือนธม อยู่ในเขตหมู่บ้านหนองคันนา ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นเขตของกัมพูชา พื้นที่ของหมู่บ้านไพรเวงและบ้านกู่ ตำบลโคกมอญ อำเภอบัน–เตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย

พื้นที่ฝั่งไทยอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานจู่โจม 960 การเข้าชมโบราณสถาน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานทราบก่อน เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
         
สำหรับกลุ่มปราสาทตาเมือนธม มีโบราณสถาน 4 แห่งคือ บ้านมีไฟ หรือบ้านพักคนเดินทาง ตาเมือนโต้จ หรืออโรคยาศาล หรือโรงพยาบาล ตัวปราสาทตาเมือนธม และสะพานขอม

    สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ส่วนใหญ่สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

    พระมหากษัตริย์ขอมโบราณ ปกครองอาณาจักรพระนคร ระหว่าง พ.ศ. 1724-1763 ศูนย์การปกครองอยู่ที่นครธม ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัด เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา

    เฉพาะตัวปราสาทตาเมือนธม น่าจะสร้างก่อนสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพราะศิลาจารึกตาเมือนธมระบุปีที่จารึกตรงกับ พ.ศ.1536 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1

@@@@@@@

ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ตัวปราสาทตาเมืองธม เป็นเทวสถานสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ส่วนอโรคยาศาล หรือโรงพยาบาล กับบ้านมีไฟนั้นสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
         
กลุ่มปราสาทตาเมืองธม ร่ายเรียงจากเส้นทางเข้าไปเยือนโบราณสถานแห่งแรกคือบ้านมีไฟ หลังนี้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก หลังนี้เป็นหนึ่งในจำนวน 121 แห่ง ที่สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
         
พระองค์โปรดให้สร้างรายเรียงกัน ตั้งแต่ปราสาทพระขรรค์ อาณาจักรพระนคร เรื่อยไปจนถึงปราสาทหินพิมายเท่ากับเป็นหลักฐานยืนยันเส้นทางโบราณตามจารึกของพระองค์
         
โบราณสถานหลังที่ 2 ชาวบ้านเรียกตาเมือนโต้จ แปลว่า ตาไก่เล็ก นักวิชาการเรียก อโรคยาศาล หรือโรงพยาบาล นับเป็น 1 ใน 102 แห่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างไว้ เพื่อช่วยเหลืออาณาประชาราษฎร์
         
ตัวปราสาทที่เหลืออยู่เชื่อว่า เป็นที่ประดิษฐานไภษัชชยคุรุไวฑูรยประภา ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในลัทธิมหายาน มีหน้าที่รักษาคนไข้ ส่วนตัวโรงพยาบาลที่คนไข้เข้ามารักษาตัว คงทำด้วยไม้ ย่อมพุพังไปตามกาล

         
@@@@@@@

ปราสาทตาเมือนธม มีศิลาจารึกจารเมื่อ พ.ศ.1563 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรพระนคร เนื้อหากล่าวถึงการแต่งตั้งข้าราชการ ข้าทาส และการให้สิ่งของ ช่วงท้ายของจารึกกล่าวถึงพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ประทานเงินทองไว้ที่ฐานของพระศิวะ และคำสาปแช่งผู้ทำลายฐานว่าให้ตกนรกจนสิ้นกาลมหาโกฏิ
         
คำว่า ตาเมือนธม เป็นภาษาเขมรแปลว่า ตาไก่ใหญ่ นอกจากเป็นที่สักการะของประชาชนชาวไทยในพื้นที่แล้ว ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวกัมพูชาอีกด้วย เห็นได้จากช่วงวันสงกรานต์ของทุกๆ ปี เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจะเปิดโอกาสทองให้ชาวกัมพูชาเข้ามาเยี่ยมชมได้อย่างเสรี
         
ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในกลุ่มโบราณสถานตาเมือน เป็นโบราณสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ศิลปะขอมสมัยบาปวนอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 17 ประกอบด้วยปราสาทประธานหันหน้าไปทางทิศใต้ ปราสาทบริวาร 2 องค์ บรรณาลัย 2 หลัง ระเบียงคด และสระน้ำด้านข้าง
         
ลึกเข้าไปในป่า ด้านทิศใต้ขององค์ปราสาท มีสะพานขอม เป็นแนวสะพานศิลาแลงยาวลึกเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชา ทอดตัวอยู่ในป่ารกทึบ ใกล้ๆสะพานมีแหล่งตัดหินของขอมโบราณ เผยให้เห็นเป็นหลุมลึกและกว้างเล็ก ใหญ่ต่างๆกัน
         
ใกล้ปราสาทตาเมือนธม มีหลักเขตแดนไทย–กัมพูชา 22 และ 22 B ส่วนหลักที่ 23, 24, 25 และ 26 เมื่อก่อนมีอยู่ แต่เดี๋ยวนี้หายไปแล้ว
         
@@@@@@@

สาเหตุที่หลักเขตแดนหายไป ต่างฝ่ายต่างโทษซึ่งกันและกัน
         
เสียงจากฝ่ายไทยบอกว่าช่วงกัมพูชาสู้รบกันเองทหารกัมพูชาฝ่ายที่ถูกไล่ล่าเข้ามาชิดชายแดนไทย ขยับหลักเขตเข้าไปในกัมพูชา เพื่อต้องการให้ฝ่ายไล่ล่าหยุดอยู่แค่หลักเขต เมื่อสงครามสงบก็ย้ายกันอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าย้ายไปไว้ที่ไหน
         
จึงต้องใช้หลักเขตสมมติขึ้นมาแทน เรียกว่าหลักเขตอ้างอิง มีหลัก 23 ทำจากเหล็กกลมทาสีน้ำเงินเข้ม ฝังดิน สูงประมาณ 2 ศอก เพื่อให้มองเห็นชัดเจน เจ้าหน้าที่ได้แกะเปลือกต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ เป็นเลข 23 กำกับไว้ด้วย
         
ปราสาทตาเมือนธม ปกติมีทหารของทั้งสองฝ่ายตั้งฐานประจันหน้ากันอยู่ ยามสงบสุขทั้งสองแวะเวียนเข้ามาทักทายกันอย่างมิตร แต่เมื่อมีคำสั่งลงมาจากเบื้องบน คนที่เคยคุยกันก็ต้องหันปากกระบอกปืนลั่นใส่กัน
         
อย่างที่ปรากฏมาตั้งแต่เช้าวันที่ 22 เมษายน 2554 ยังผลให้เกิดความสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย
         
ทางออกในเรื่องนี้ ผศ.ดร. กังวล คัชชิมา อาจารย์จากคณะเดียวกันยังย้ำข้อเสนอว่า บริเวณพื้นที่ที่ยังไม่ชัดเจนระหว่างไทยกับกัมพูชา ถ้ายังไม่อาจปักปันเขตแดนกันได้ชัดเจน ควรเอาพุทธศาสนามาช่วยแก้ปัญหา อย่างสร้างวัดในบริเวณนั้น เพื่อใช้เป็นพุทธสถานร่วมกัน เป็นต้น

“พระสงฆ์เมื่ออยู่ด้วยกัน อย่างไรก็คงไม่ยิงกันแน่ๆ”

ผศ.ดร.สมบัติ มั่งมีสุขศิริ อาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ตั้งข้อสังเกตว่า น่าแปลกใจที่จารึกปราสาทตาเมือนธม เนื้อหาบางส่วนบอกอาณาบริเวณของพื้นที่ปราสาท ว่าทิศไหน จดด้านใด เป็นจารึกที่เกิดจากการขัดแย้งของผู้ครอบครองพื้นที่ในสมัยก่อน และยังมีคำสาปแช่งกำกับไว้ด้วย
         
แม้เวลาจะผ่านมานับนาน ปราสาทก็ยังไม่อาจเป็นของใครได้อย่างชัดเจนคล้ายอยู่ในคำสาป.


_______________________________
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ 27 เมษายน พ.ศ. 255
ผู้เขียน : .....





คำสาปปราสาทตาเมือนธม "จงตกนรกขุมที่ลึกที่สุดสิ้นกาล" เอาไว้สาปใครไทยหรือเขมร?

ปราสาทตาเมือนธมมีจารึกสลักไว้เหมือนปราสาทหินโบราณทั่วๆ ไป เนื้อหาส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กัน คือ บอกว่าใครเป็นผู้สร้างปราสาท สร้างแล้วถวายให้พระเจ้าองค์ไหน ถวายแล้วให้ใครดูแล คนดูแลมีใครบ้าง และปิดท้ายด้วยคำสาปประมาณว่า "ถ้าใครทำลายปราสาทขอให้มันมีอันเป็นไป"

คำสาปตามปราสาทต่างๆ ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ก็ทำนองนี้ คือ หวังว่าผู้คนจะช่วยรักษาปราสาทให้ถาวรต่อไป อย่าคิดปล้นชิงของมีค่า หรือแม้แต่ปล่อยปละละเลย

ไม่มีรอกครับที่สาปแช่งให้ประเทศไหนๆ ล่มจม นั่นมันป็น 'นิยายสมัยใหม่' ที่แต่งขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเอง

@@@@@@@

'คำสาป' ของปราสาทตาเมือนธมก็เหมือนกัน มีแค่สองบรรทัด เนื้อความบอกแค่ว่า

1. สาปไว้ว่า "ข้าทาสที่อยู่ประจําเทวสถานนี้ ซึ่งพวกเขายุยงให้ข้าทาสที่อยู่ประจําเหล่านี้กระด้างกระเดื่องต่อบุตรหลานของ เตง ปิตเถฺว ข้าพเจ้าจึงปรารถนาให้พวกเขาตกนรกชั่วโกฏิกัลป์"

    เตง ปิตเถฺว ในที่นี้คือ เจ้าของที่ดินที่ใช้สร้างปราสาทตาเมือนธม ข้าทาสก็คือคนที่ถูก 
    เตง ปิตเถฺว ถวายให้เป็นผู้ทำงานรับใช้ปราสาทหรือเทวาลัยแห่งนี้ เพื่อไม่ให้ทาสเหล่าแข็งข้อหลังจากที่เขาตายไปแล้ว
    เตง ปิตเถฺว จึงสาปว่าถ้าไม่เชื่อฟังลูกหลานของข้า พวกเอ็งจะต้องตกนรกชั่วกัปชั่วกัลป์

2. สาปไว้ว่า "ขอผู้ทําลายฐานที่ก่อไว้นี้พร้อมกับญาติพวกพ้องทั้งปวงจงตกนรกขุมที่ลึที่่สุดสิ้นกาล ... มหาโกฏิ"

คำสาปนี้มีไว้แช่งผู้ที่ทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ ฐานที่ก่อไว้ครอบ (สวยัมภูลึงค์?) พระเป็นเจ้าประจำปราสาท คำสาปนี้เป็นฟอร์แมทเดียวกับตามปราสาทหรือจารึกต่างๆ ที่มักจะห้ามคนเอาไว้เนิ่นๆ ไม่ให้มาปล้นทำลายเทวาลัย เพราะของมีค่าและของถวายมันเยอะ และไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า


@@@@@@@

อย่างในสมัยเขมรโบราณ จารึกต่างๆ มักจะประกอบด้วยภาษาสันสกฤตเอาไว้สรรเสริญพระเจ้า พระราชา เชื้อพระวงศ์ และพรรณนาความงดงามของสวรรค์และเวียงวัง ส่วนที่เป็นภาษาเขมรมักจะกล่าวว่าใครเป็นผู้ตั้งจารึกไว้ ถวายอะไรบ้าง และปิดท้ายด้วยคำสาปแช่ง

เนื่องจากคำสาปแช่งนี้เป็นภาษาเขมร ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ไม่แตกหรือมีเจตนาแอบแฝง จึงมักจะโมเมว่าผู้ตั้งจารึกไม่ใช่คนเขมรหรอก แต่เป็นคนชาติอื่นที่ที่มีอารยธรรมเหนือกว่าคนเขมร แล้วเขียนคำแช่งเป็นภาษาเขมรก็เพื่อกดพวกเขมรเอาไว้

ความจริงก็คือ เจ้าในวังก็เป็นคนพูดเขมร ข้าราชบริพารก็เขมร ไพร่ฟ้า ข้าทาสก็เป็นเขมร แม้แต่รัฐประเทศราชก็ต้องเขียนเขมร เพราะเขมรเป็นภาษากลาง หรือ Lingua franca ของรัฐโบราณในดินแดนประเทศไทย กัมพูชา และลาวสมัยโบราณอยู่ช่วงหนึ่ง

ต่อมาเหลือแต่ตัวอักษรเขมรหรืออักษรขอมเท่านั้นที่เป็น Lingua franca ในทางวัฒนธรรม ส่วนภาษาเขมรที่เอาไว้พูดหมดความสำคัญลงไป และต่อมาแม้แต่อักษรขอมนันก็เหลือแค่ไทยที่ใช้ในฐานะอักษรทางศาสนานอกกัมพุชเทศ

ความเชื่อผิดๆ เรื่อง ขอม/เขมร ทำให้คนคิดว่าคำสาปที่สามัญธรรมดา มีอยู่ทั่วไป และไม่ได้แช่งใครเป็นการเฉพาะ กลายเป็นคำสาปแช่งชนชาติใดชนชาติหนึ่งไป เพื่อบอกว่า "เขมรมันชั่วจึงต้องถูกแช่ง"

ตั้งแต่ก่อนที่มันจะเป็นของโบราณแล้ว ผู้คนสามัญ เช่น ชนชั้นไพร่และท่าสก็ไม่ได้เห็นค่าของมันนอกจาก "เป็นที่เก็บของมีค่าของชนชั้นสูง" ดังนั้น พวกชนชั้นสูงจึงต้องแช่งเอาไว้เพื่อกันไม่ให้คนชั้นล่างทำลายสิ่งมีค่าทางจิตวิญญาณของพวกเขา





โปรดทราบว่า ศาสนาพราหมณ์นั้นแบ่งชนชั้นวรรณะ แม้การแบ่งวรรณะแบบอินเดียจะไม่ชัดเจนนักในกัมพูชา แต่ก็ยังมีการแบ่งเป็นชนชั้นเจ้าและชนชั้นทาส โดยที่ชนชั้นทาสมีค่าเป็นแค่สิ่งของที่ถูกซื้อ ถูกขาย และถูกถวายให้ใครก็ได้

ส่วนไพร่ก็ถูกบีบคั้นจาพวกชนชั้นเจ้าและขุนนางให้ทำนาแล้วเสียภาษีให้ชนชั้นสูงกว่า เท่านั้นไม่พอชนชั้นเจ้ายังเอาภาษีนั้นมาสร้างปราสาทแล้วยังเกณฑ์แรงงานไพร่ไปสร้างปราสาทอีก โดยที่ไพร่และทาสไม่มีส่วนในการเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนั้น

ชนชั้นสูงจึงรู้ดีว่าชนชั้นล่าง "ไม่ภักดีต่อตนแน่ๆ" จึงสาปเอาไว้เพื่อรู้หากมีโอกาสชนชั้นล่างต้องทำลายปราสาทและปล้นปราสาทแน่ๆ โดยเฉพาะปราสาทในแดนไกลเมืองหลวงอย่างปราสาทตาเมือนธม

เราจะเห็นได้ว่า ปราสาทหลายแห่งพังทลายลงมาอย่างน่าพิศวงทั้งๆ ที่ก่อด้วยหินก้อนใหญ่ๆ เช่น ปราสาทประธานของเขาพระวิหาร ที่ล้มลงเหมือนมีคนกวาดทิ้งด้วยมือยักษ์ แต่หากพิจารณาดีๆ จะพบว่า ยอดปราสาทที่ทำหน้าที่เหมือนเป็น 'สลัก' ที่ยึดปราสาทไว้ทั้งหลัง ถูกดึงออกด้วยกำลังคน อาจเป็นการผูกด้วยเชือกแล้วช่วยกันฉุดกระชากออกมา ให้ปราสาทล้มลง

มีหลายแห่งที่สภาพเป็นแบบนี้ มีผู้เชื่อว่าเพราะชนชั้นล่างทำการ 'ปฏิวัติโค่นล้ม' ชนชั้นสูงที่กดขี่พวกเขาแล้วทำการทำลายปราสาทอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการกดขี่แรงงานเสีย บ้างก็ว่าเป็นการปล้นหาสิ่งมีค่าที่ซ้อนในปราสาทด้วยการทำให้มันล้มลง


@@@@@@@

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความรู้สึกหวาดระแวงจนต้องสาปแช่งไว้บนก้อนหิน มีมาแต่ยุคโบราณแล้ว แต่สุดท้ายปราสาทพวกนี้ก็ถูกปล้นและทำลายโดยคนรุ่นหลังๆ อยู่ดี

แม้แต่สวยัมภูลึงค์ (ลึงค์ของพระเจ้าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ) ที่เป็นประธานในปราสาทตาเมือนธม ผมดูสภาพแล้วก็ยังอาจถูกเซาะทำลายจนเหลือแค่ฐานเตี้ยๆ แทนที่จะ 'ชูชัน' เหมือนสวยัมภูลึงค์ทั่วๆ ไป นั่นหมายความว่าคำสาปที่แช่งไว้ว่า  "ขอผู้ทําลายฐานที่ก่อไว้นี้พร้อมกับญาติพวกพ้องทั้งปวงจงตกนรกขุมที่ลึที่่สุดสิ้นกาล ... มหาโกฏิ" ได้ถูกล่วงละเมิดแล้ว

แต่เราไม่มีทางรู้ว่า "ผู้ทําลายฐานที่ก่อไว้นี้" ตกนรกหมกไหม้หรือเปล่า?

มาถึงยุคปัจจุบัน คำสาปในปราสาทตาเมือนธมก็ยังอยู่ในรูปของจารึก และก็เช่นกันเราไม่รู้ว่าถ้ามีคน "มุ่งร้าย" ต่อปราสาทตาเมือนธม คนๆ นั้นจะถูกพลังแห่งคำสาปเล่นงานหรือไม่

ผมรู้ว่าประเทศไทยดูแลปราสาทตาเมือนธมอย่างดี ไม่ได้สักแต่ว่าอยากได้เป็นเจ้าของแต่ในนาม แล้วก็ปล่อยให้อยู่ในป่าในพงต่อไป เหมือนบางประเทศที่อยากจะเป็นเจ้าของปราสาทหินทั้งปวง แต่เงินจะยาไส้ยังไม่พอ แล้วจะมีปัญญาดูแล 'ปราสาทของพระผู้เป็นเจ้า' ได้อย่างไร?

ปล่อยทิ้งๆ ขว้างระวังถูกคำสาปเล่นงานเอานะโว้ย เพื่อนบ้าน

@@@@@@@

ส่วนคนไทยเรานั้นพร้อมเพรียงทุกประการทั้งคุณสมบัติและทรัพย์สมบัติที่จะเป็น 'ผู้ดูแล' ปราสาทของพระผู้เป็นเจ้า แถมยังเป็นพวกมือไม้อ่อนและเป็นพวกศรัทธาจริต แม้ไม่เห็นตัวเทพยดาฟ้าดิน แต่ก็เชื่อถือศรัทธากราบไว้อย่างนอบน้อม

ที่ปราสาทตาเมือนธมมี 'ตัวตน' ของพระเจ้าอยู่แท้ๆ คือ สวยัมภูลึงค์ แล้วคนไทยจะไม่รักและเคารพได้อย่างไร

ดังนั้น หากเราไหว้ดีพลีถูก อย่าว่าแต่พระเจ้าแห่งตาเมือนธมจะโปรดปรานคนไทยเราเลย ท่านยังอาจลงทัณฑ์พวกบังอาจที่อยากจะเป็นเจ้าของปราสาทไปด้วยความอยุติธรรมด้วย

อย่าเห็นตาเมือนธมเป็นแค่ปราสาท แต่ให้เป็นเทวาลัยของพระเจ้าที่จะช่วยปกปักษ์รักษาดินแดนของคนไทย ผู้นอบน้อมต่อสิ่งศักดิ์ด้วยใจจริง




บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพประกอบเรื่อง Nakhon Thom [Angkor Wat], Cambodia. Photograph, 1981, from a negative by John Thomson, 1866. / Wellcome Collection
ขอบคุณ : https://www.thebetter.co.th/news/world/32703
Jul, 15 2025
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 23, 2025, 09:16:03 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29588
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่าด้วย คำสาปแช่ง และ วาจาศักดิ์สิทธิ์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2025, 10:15:28 am »
0
.



รู้จักคำสาปปราสาทตาเมือนธม "แช่งให้ตกนรกสิ้นกาล" มีอยู่จริง! ถูกจารึกบนศิลา

ในช่วงนี้ ปราสาทตาเมือนธม กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนและการปะทะกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่จากทั้งสองฝ่าย หนึ่งในเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ “คำสาปแช่ง” ที่เชื่อว่าสถิตย์อยู่ภายในตัวปราสาท เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าไร้สาระ แต่ได้รับการบันทึกไว้จริงในศิลาจารึกโบราณ

ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์ แผ่นศิลาทรงใบเสมาขนาดกว้างไม่ถึง 30 ซม. สูงราว 60 ซม. ตั้งอยู่เงียบ ๆ ใต้ตู้กระจก แต่ข้อความโบราณที่จารึกบนแผ่นหินนั้น กลับเล่าเรื่องราวอำนาจ ความศรัทธา และ คำสาปแรงกล้า ที่ยังส่งเสียงสะท้อนมาถึงคนในยุคปัจจุบัน

จารึกปราสาทตาเมือนธม 5 เล่าถึงการพระราชทานที่ดินและคำสั่งสอนธรรมะแก่ขุนนางท้องถิ่นในสมัยพระเจ้าศรีสุริยวรมันที่ 1 และมีถ้อยคำ สาปแช่งผู้ที่ละเมิดสิทธิ์ในทรัพย์สินถวายเทพเจ้าให้ “ตกนรกสิ้นกาลมหาโกฏิ”


@@@@@@@

“เตง ปิตถะเว” กับคำสาปให้ตกนรก “สิ้นกาลมหาโกฏิ” บนจารึกตาเมือนธม

จารึกปราสาทตาเมือนธม 5  ค้นพบที่ บริเวณมุขสันกระสันปราสาทประธาน ปราสามตาเมือนธม บ้านหนองคันนาสามัคคี ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก ของจังหวัดสุรินทร์

ศิลาดังกล่าว จารึกด้วยภาษาสันสกฤต, เขมร ถูกสร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 1563 (ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าศรีสุริยวรมันที่ 1) มีทั้งหมด 3 ด้าน มี 40 บรรทัด

    ด้านที่ 1 มี 19 บรรทัด
    ด้านที่ 2 มี 19 บรรทัด และ
    ด้านที่ 3 มี 2 บรรทัด

@@@@@@@

โดยรายละเอียดพอสังเขปแปลเป็นภาษาไทย แต่ละด้านดังนี้

ด้านที่ 1 :-

พระเจ้าศรีชยสิงสวรมันมีรับสั่งให้ “กัมเสตงสภาบดี”  พร้อมคณะไปรังวัดและปักเขตที่ดินเมือง “สิทธิปุระ” เพื่อพระราชทานที่ดินนั้นเป็นรางวัลแก่ เตง ตวน ปิตถะเว ข้าราชการอีกคนหนึ่ง  -  นอกจากนี้ยังให้คณะเดียวกันช่วยสอนกฎหมายและหลักธรรม (“พระธรรมศาสตร์”) ให้ขุนนางท้องถิ่นฟังด้วย

ด้านที่ 2 :-

ผู้จารึกซึ่งลงชื่อว่า เตง ปิตถะเว ระบุว่าได้ยกสิทธิ์ในทรัพย์และทาสบางส่วนให้ “กัมรเตงชคัตศิวบาท” ภายใต้การดูแลของ “ตวน หวร” พร้อมกำหนดไม่ให้โอนทาสเดิมของเขาไปที่อื่น และ สาปแช่งคนที่ยุยงทาสให้ก่อความวุ่นวายว่าจะต้องตกนรก

ตอนปลายของด้านนี้ (บรรทัด 14 - 19) บันทึกว่าพระเจ้าศรีสุริยวรมันมอบเงินทองไว้ที่ฐานพระศิวะ และ สาปแช่งผู้ใดก็ตามที่มารื้อทำลายฐานนี้ให้ตกนรก “สิ้นกาลมหาโกฏิ” (นานนับไม่ถ้วน)

ด้านที่ 3 :-

จารึกส่วนนี้ชำรุดมาก แต่ยังพออ่านได้ว่า ลูกหลานของนางและภรรยาของเขาต้องช่วยกันดูแลรักษาฐานพระศิวะให้มั่นคงสืบต่อไป

สิ่งที่โดดเด่นในจารึกนี้ คือ คำสาปที่เขียนไว้เอง ระบุว่า หากใครมาขโมยทรัพย์หรือยุยงทาสให้กระด้างกระเดื่อง จะถูกสาปให้ “ตกนรกตลอดกาลมหาโกฏิ” ซึ่งเป็นภาษาที่รุนแรงและจริงจังมากในสมัยนั้น สะท้อนความเชื่อว่า ที่ดินและทรัพย์สินที่ถวายให้เทพเจ้า ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ต้องห้ามแตะต้องเด็ดขาด


@@@@@@@

"คำสาปจากชายแดน" ถูกนำมาสถิตย์ไว้ที่พิพิธภัณฑ์

จารึกนี้ถูกพบที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ในอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา และต่อมาถูกนำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ในตัวเมืองสุรินทร์

แม้จะเป็นเพียงแผ่นหินเล็ก ๆ ที่มีรอยแตกตรงฐาน แต่ก็เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ และความเชื่อของผู้คนเมื่อพันปีก่อน รวมถึงวิธีการ “ประกาศสิทธิ์” ผ่านศาสนาและกฎหมายในยุคนั้น

คำสาปในศิลาจารึกอาจไม่มีพลังพาใครตกนรกได้จริง แต่ก็ยังทำหน้าที่ “เตือน” ให้เราตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของความยุติธรรม และความสำคัญของการเคารพข้อตกลง - แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม




อ้างอิง : https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/3019
ขอบคุณ : https://www.tnnthailand.com/socialtalk/205499/
16 ก.ค. 2025 ,14:21 น | Social Talk





นักโบราณคดี แย้งไม่มีคำสาปแช่งกัมพูชา ในจารึกที่ปราสาทตาควาย

นักโบราณคดี แย้งไม่มีคำสาปแช่งกัมพูชา ในจารึกที่ปราสาทตาควาย อ่านจารึกมา 1,400 กว่าหลักทุกปราสาทไม่เจอ ฉะเขมรสร้างเรื่องฮุบจุดยุทธศาสตร์ที่ดี

จากกรณีที่มีข่าวออกมาว่า กัมพูชาต้องการยึดปราสาทตาควาย เพื่อต้องการทำลายจารึกที่อยู่ในปราสาท เนื่องจากเชื่อว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่1 ทรงทำคำสาปแช่งไว้ในศิลาจารึก สาปแช่งผู้โค่นล้ม และลบหลู่ราชวงศ์ รวมถึงพระเจ้าแตงหวานด้วย ที่โค่นล้มพระเจ้าชัยวรมันที่8 กษัตริย์องค์สุดท้ายเชื้อสายสุริยวรมัน

โดยข้อความจารึก ระบุว่า

   “ผู้ใดทรยศต่อเรา (สุริยวรมัน) และลูกหลาน จะตกอยู่ในความพินาศตลอดไป — ถูกต่างชาติยึดครอง ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่พัฒนา ไม่มีวันชนะลูกหลานของเราได้ และจะเผชิญภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

ซึ่งมีข่าวว่าที่กัมพูชา ต้องการยึดปราสาทต่างๆ ก็เพราะต้องการทำลายจารึก เพื่อลบคำสาปแช่ง







ผู้สื่อข่าว “อมรินทร์ทีวี” ได้ไปพูดคุยกับ ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา นักโบราณคดีและเป็นอาจารย์ประคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาเพียงแห่งเดียวของไทย ที่มีการเรียนการสอนในจารึก และผศ.ดร.กังวล เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกเขมรโบราณอันดับต้นๆ ของประเทศ เล่าให้ฟังว่าปราสาทต่างๆ เป็นข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชานั้น หลักๆ จะมีดังนี้

1. ปราสาทพระวิหาร ซึ่งพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เป็นผู้สร้าง เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ทำบุญ

2. ปราสาทโดนตวล ตั้งอยู่ที่ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ สร้างสมัยเดียวกัน มีการบอกเล่าเรื่องต่างๆ เป็นปราสาทประจำชุมชน

3. ปราสาทตาควาย หรือ กรอใบ พบใหม่ล่าสุด สร้างหลังจากพระวิหารและปราสาทโดนตวล สร้างด้วยหินทราย ยังไม่มีการศึกษาค้นควา ไม่มีตัวจารึก แต่นอกปราสาท ใกล้กัน พบศิลาจารึกที่น่าสนใจดังกล่าว

4. ปราสาทตาเมือนธม มีจารึก 14 หลัก อายุ 1,300 ปี มีความสำคัญมาก ปราสาทนี้มีทางสัญจรที่ดีกว่าที่อื่น จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ต้องการ

5. ปราสาทตาเมือนโต๊ส สร้างด้วยศิลาแรง โดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ทรงสร้าง เพื่อเป็นศาสนสถาน เป็นวัด เป็นโรงพยาบาล






ส่วนที่กัมพูชาต้องการปราสาทแต่ละปราสาท อ้างว่าเกิดจากคำสาปแช่งที่จารึกไว้ในปราสาทตาควาย และ สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ต้องการปราสาท เพราะต้องการทำลายจารึก เพื่อลบล้างคำสาปนั้น ตนเชื่อว่าไม่เป็นความจริง ในประเทศไทยมีไม่กี่คนที่จะสามารถอ่านจารึกในปราสาทได้ แต่ตนคือ 1 ในคนที่สามารถอ่านจารึกได้ ซึ่งศิลาจารึกประมาณ 1,400 กว่าหลัก ที่อยู่ตามปราสาทต่างๆ บริเวณพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านตาตนเองมาหมดแล้ว

ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตนเดินทางไปศึกษาค้นคว้า แต่ก็ยังไม่มีจารึกไหน ที่มีการสาปแช่งลูกหลานให้ไม่เจริญ แต่มีจารึกหนึ่งน่าสนใจ อยู่บริเวณใกล้กับปราสาทตาควาย จารึกเป็นภาษาสันสกฤต สาปแช่งคนที่ลักขโมย ประมาณว่า
    "ผู้ใดขโมยทรัพย์สิน ขอให้ตกนรก ตราบเท่าที่พระจันทร์และพระอาทิตย์ยังมีอยู่ หากได้เกิดใหม่ ก็ขอให้เกิดเป็นหนอนในขี้"
     ซึ่งเป็นคนสาปแช่งจากผู้อื่น แต่ไม่ใช่ของ พระเจ้าสุริยวรมันที่1

ที่ผ่านมากัมพูชา มีการสอนลูกหลานว่า ปราสาทเหล่านี้ เป็นสถานที่สำคัญของบ้านเมือง เพราะแต่ละที่มีประวัติความเป็นมา เป็นมรดกตกทอด มีอารยธรรม เขาจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาคืนให้ได้ ต่างคนก็ต่างแย่งกัน ตนมองว่าจริงๆแล้ว ไม่มีขอบเขตแน่นอนว่าเป็นของใคร เพราะสืบทอดมาจากคนกลุ่มเดียวกัน ทุกคนมีสิทธิ์เหมือนกัน ตนมองว่าควรจะช่วยกันรักษา มากกว่าการแย่งชิงกันแบบนี้




ขอบคุณ : https://www.amarintv.com/news/crime/521347
31 ก.ค. 68 , 22:45 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 23, 2025, 10:21:52 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29588
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่าด้วย คำสาปแช่ง และ วาจาศักดิ์สิทธิ์
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2025, 11:11:21 am »
0
.



ย้อนตำนาน "คำสาปชัยวรมัน" ยิ่งฟังยิ่งขนลุกตรงหลายข้อเลย

ย้อนตำนาน "คำสาปชัยวรมัน" ที่หลอกหลอนชาวกัมพูชามาถึงทุกวันนี้ ขนลุกต้นปี 68 ทำพิธีถอนคำสาป แต่โดนฟ้าผ่าเสียชีวิต 3 ศพ

ด้วยสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่ยังตึงเครียด ทำให้หลายคนอาจจะอยากรู้ว่า การปะทะกันครั้งนี้มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ ไทย จะชนะการศึก หรือเป็นไปได้หรือไม่ที่ กัมพูชา จะเป็นฝ่ายประกาศชัยชนะ และจากการประเมินสถานการณ์นั้น ต้องยอมรับจริงๆ ว่า กัมพูชา ไม่มีทางที่จะชนะไทยได้เลย ทั้งในด้านอาวุธ กำลังรบ และ ประวัติศาสตร์





วันนี้ ไทยนิวส์ จะพาไปย้อนรอยสำหรับความมั่นใจว่า "กัมพูชาไม่มีทางชนะไทยอย่างแน่นอน" เพราะหากว่ากันตามความเชื่อ คนโบราณที่ได้เอ่ยคำสาปแช่งไว้ด้วยความโกรธแค้น มักจะมีส่งผลทำให้คำสาปแช่งนั้นยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่น "คำสาปของพระเจ้าชัยวรมัน"

"คำสาปของพระเจ้าชัยวรมัน" ที่ทรงเอ่ยปากสาปแช่งผู้ที่จะทำลายอาณาจักรของพระองค์ ทำให้เกิดความเสื่อมถอยและความแตกแยก ซึ่งคำสาปนี้ถูกสลักอยู่ที่ ศิลาจารึก ซึ่งต้องแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ คำสาปในศิลาจารึก ที่มักถูกอ้างอิงถึง เป็นศิลาจารึกที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งจารึกเมื่อ พ.ศ. 1563 ในสมัย "พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1" (ครองราชย์ พ.ศ. 1545 - 1593) ไม่ใช่พระเจ้าชัยวรมัน





ทั้งนี้หากสันนิษฐานจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จึงอาจมีการตีความหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับคำสาป "ชัยวรมัน" และ "สุริยวรมัน" ซึ่งปรากฏในศิลาจารึกปราสาทตาเมือนธม ซึ่งระบุถึงการบริหารจัดการและการถวายทรัพย์สินแด่เทวสถาน โดยคำสาปมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากการถูกทำลายเท่านั้น)

สำหรับ "คำสาปชัยวรมัน" เป็นตำนานเรื่องเล่าตามความเชื่อที่ไม่ปรากฏหลักฐานทางการ ว่าด้วยคำสาปขอมโบราณที่ยังคงสะท้อนแนวคิดความเชื่อนี้สืบต่อมาถึงชาวกัมพูชาบางกลุ่มยุคปัจจุบัน ซึ่งความเชื่อนี้เล่าถึงเมื่อประมาณ 700 ปีก่อนในช่วงปลายราชวงศ์พระนคร อาณาจักรขอมโบราณมีสมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 (หรือพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร) เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเชื้อสายสุริยวรมัน ซึ่งเป็นผู้สืบสันตติวงศ์จากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 กษัตริย์ผู้รวบรวมอาณาจักรอย่างมั่นคง



ชายธรรมดาผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า แตงหวาน


พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติจากปี พ.ศ. 1870 - 1879 ถูกล้มอำนาจโดยชายธรรมดาผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า "แตงหวาน" ชายที่รวบรวมกบฏชาวบ้านเข้ายึดอำนาจ และตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ในนาม "พระเจ้าตรอซ็อกผแอม" หรือ "สมเด็จพระองค์ชัย" พระเจ้าแผ่นดินแห่งเมืองพระนครหลวง กัมพูชา

ก่อนจะมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ที่ครองราชย์ในช่วง พ.ศ. 1545 - 1593 หรือ ประมาณ 1,500 ปีก่อน ได้สร้างคำสาปเอาไว้ในศิลาจารึกว่า "ผู้ใดทรยศต่อเราและลูกหลาน จะตกอยู่ในความพินาศตลอดไป ถูกต่างชาติยึดครอง ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่พัฒนา ไม่มีวันชนะลูกหลานของเราได้ และจะเผชิญภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า"

@@@@@@@

เชื่อกันว่า คำสาปนี้ถูกเชื่อว่าเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ "แตงหวาน" ก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ และหลังจากนั้นประวัติศาสตร์กัมพูชาก็ดูเหมือนตกอยู่ในวงจรคำสาปตลอดมาไม่จบสิ้น ซึ่งว่ากันว่า "คำสาปชัยวรมัน" มีทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่

    1. ผู้ถูกสาปจะถูกทำลายจนสูญสิ้นด้วยลูกหลานของวรมัน
    2. ผู้ถูกสาปจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้อื่นเสมอ ถูกสยามและฝรั่งเศสปกครอง
    3. ผู้ถูกสาปจะเข่นฆ่าล้างผลาญกันเองตราบชั่วลูกชั่วหลาน เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดง
    4. ผู้ถูกสาปจะต้องเป็นทาสของผู้อื่นตลอดไป
    5. ผู้ถูกสาปจะต้องเผชิญกับหายนะและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
    6. ลูกหลานของผู้ถูกสาปจะไม่มีวันรบชนะลูกหลานของชัยวรมัน
    7. ผู้ถูกสาปจะล้าหลัง ไร้ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา





อย่างไรก็ตาม สำหรับ "คำสาปชัยวรมัน" เป็นเรื่องเล่าแบบตำนานตามความเชื่อที่แล้วแต่บุคคลจะมอง เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางการจากรัฐบาลกัมพูชา หรือนักวิชาการ แต่ก็ยังแสดงให้เห็นได้ว่า ความเชื่อนั้นคงมีอยู่ในหมู่ชาวกัมพูชาบางกลุ่ม โดยเฉพาะหากเชื่อมโยงเหตุการณ์ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2568 ที่มีพิธีลึกลับกลางปราสาทนครวัดที่ถูกอ้างว่าเป็น "พิธีถอนคำสาปชัยวรมัน"

ในพิธีกรรมดังกล่าว มีคนแต่งดำ 8 คนเป็นตัวแทนทิศ ทำพิธีกรรมซับซ้อนโดยรอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเครื่องสังเวยและวัตถุประกอบพิธีมากมาย ทว่าในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เกิดฟ้าผ่าลงกลางปราสาทนครวัด ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 30 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา จนมีการร่ำลือว่าเป็นอาถรรพ์จากคำสาป แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีรายงาเพิ่มเติมจากฝั่งกัมพูชาว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตเพิ่มหรือไม่ หรือคนในงานได้ออกมาเล่าเรื่องอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม หากสังเกตจาก คำสาปชัยวรมัน อาจจะมองได้ว่า หลายข้อล้วนตรงกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน เพราะตอนนี้ เขมรก็ยังไม่พัฒนาอะไรใดๆ ให้ตามทันโลกสมัย ล้าหลัง จนโดนหลายชาติในยุโรปถึงขั้นไม่คบค้าสมาคมด้วยแล้ว




 

Thank to : https://www.tnews.co.th/social/social-news/631817
By RYUSAKI |  25 ก.ค. 2568





ตำนาน "คำสาปชัยวรมัน" สาป "นายแตงหวาน" สาปไว้อย่างไร จากทาสสู่กษัตริย์ จริงหรือ?



 :96: :96: :96:

ตำนาน “นายแตงหวาน” จากทาสสู่กษัตริย์ กับจุดเปลี่ยนของชนชาติเขมร ที่ไม่ใช่ขอมโบราณอีกต่อไป

เรื่องราวของ “นายแตงหวาน” หรือที่ถูกเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า “พระเจ้าแตงหวาน” (เขมร: ត្រសក់ផ្អែម) เป็นหนึ่งในตำนานพื้นถิ่นที่ทรงอิทธิพลอย่างสูงต่อประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของชนชาติกัมพูชาในปัจจุบัน โดยตำนานนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงแค่การเปลี่ยนผ่านอำนาจเท่านั้น แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ว่า ชนชาติกัมพูชาปัจจุบันอาจไม่ใช่สายตรงของขอมโบราณดังที่เชื่อกันมา

นายแตงหวาน : จากทาสสู่ราชบัลลังก์

    1. พระเจ้าแตงหวาน หรือ “พระบาทศรีสุริโยพันธุ์ที่ 1” ครองราชย์ราวปี ค.ศ. 1290–1336 เป็นกษัตริย์ในช่วงปลายอาณาจักรขอมโบราณ
    2. เดิมเป็นชาวบ้านหรือทาสในพื้นที่ตอนใต้ของอาณาจักรขอม (ปัจจุบันคือบริเวณพนมเปญ)
    3. ในช่วงที่ราชวงศ์สุริยวรมันอ่อนแอ พระองค์รวบรวมกลุ่มชนชั้นล่าง ทาส และชาติพันธุ์อื่นที่ถูกกดขี่ ลุกขึ้นเป็นกลุ่มกบฏ
    4. สามารถโค่นล้มอำนาจเดิม และตั้งราชวงศ์ใหม่ในเขตจตุมุข ซึ่งกลายเป็นพนมเปญในภายหลัง

@@@@@@@

แต่งงานกับพระราชธิดา : กลยุทธ์เพื่อชอบธรรม

ตำนานระบุว่า เพื่อสร้างความชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์ พระเจ้าแตงหวานได้แต่งงานกับพระราชธิดาของกษัตริย์องค์ก่อน โดยได้รับการยอมรับผ่านพิธีกรรม “ช้างหลวงเลือกกษัตริย์” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมในวัฒนธรรมขอม

การตั้งราชธานีใหม่ และสร้างราชวงศ์แตงหวาน

หลังจากยึดอำนาจได้ พระองค์ได้ย้ายศูนย์กลางอำนาจจากเมืองพระนครหลวงไปยังเมืองใหม่ทางตอนใต้ ซึ่งกลายเป็นฐานของราชวงศ์ใหม่ที่ปกครองโดยลูกหลานของพระองค์ เช่น พระเจ้านิรวาณบท

คำสาปชัยวรมัน : คำสาปโบราณที่สั่นคลอนประวัติศาสตร์

หนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้เรื่องราวของนายแตงหวานมีน้ำหนักในตำนาน คือ “คำสาปชัยวรมัน” ที่มีบันทึกในศิลาจารึกว่า :-

    1. “ผู้ใดทรยศต่อเรา (สุริยวรมัน) และลูกหลาน จะตกอยู่ในความพินาศตลอดไป”
    2. “จะถูกต่างชาติยึดครอง”
    3. “จะไม่มีวันชนะลูกหลานของเราได้”

คำสาปนี้เชื่อกันว่าเริ่มส่งผลตั้งแต่วันที่แตงหวานขึ้นครองราชย์ เป็นสัญญะของโศกนาฏกรรมในประวัติศาสตร์กัมพูชา ทั้งการตกเป็นเมืองขึ้นและความล่มสลายทางวัฒนธรรม





เชื้อสายกัมพูชาปัจจุบัน : ไม่ใช่ขอมโบราณโดยตรง

    1. การเปลี่ยนผ่านยุคของพระเจ้าแตงหวานสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงชาติพันธุ์
    2. ชนชาติกัมพูชายุคใหม่เกิดจากการหลอมรวมของชาวขอม ทาส ชนชั้นล่าง และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น ชาวจาม
    3. วัฒนธรรมใหม่ในยุคราชวงศ์แตงหวานแตกต่างจากขอมโบราณที่เน้นชนชั้นสูงและพิธีกรรมทางศาสนา

การตั้งคำถามต่อความน่าเชื่อถือของตำนาน

แม้ตำนานของพระเจ้าแตงหวานจะทรงพลังในเชิงวัฒนธรรม แต่แง่มุมทางประวัติศาสตร์ยังเต็มไปด้วยข้อถกเถียง :-

    1. ขาดหลักฐานทางโบราณคดีที่ยืนยันตัวตนของพระองค์อย่างชัดเจน
    2. เอกสารส่วนใหญ่เป็นพระราชพงศาวดารภายหลัง ซึ่งอาจมีการบิดเบือนเพื่อเป้าหมายทางการเมือง
    3. มีข้อสันนิษฐานว่า ตำนานนี้อาจถูกสร้างเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจและประวัติศาสตร์ราชวงศ์ให้รองรับระบอบใหม่

สรุป : ตำนานที่สร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้ชนชาติเขมร

เรื่องเล่าของนายแตงหวานคือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากขอมโบราณสู่ชนชาติกัมพูชายุคใหม่ เป็นการลุกขึ้นของกลุ่มผู้ถูกกดขี่ และเป็นการสร้างราชวงศ์จากทาสสู่กษัตริย์ แม้จะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดรองรับในเชิงวิชาการ แต่อิทธิพลของตำนานนี้ยังฝังรากอยู่ในวัฒนธรรม สื่อสารถึงรากเหง้าใหม่ของชนชาติกัมพูชายุคปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง

@@@@@@@

อ้างอิง :-

1. ศิลปวัฒนธรรม
2. กษัตริย์ที่ชาวเขมรไม่อยากเอ่ยถึง พระเจ้าแตงหวาน : เทพ MOMENT
3. เกิดอาเพศ..! คำสาปวรมัน จากทาสสู่ราชา "เขมรกับคำสาปลี้ลับ! เบื้องหลังโชคร้ายที่ซ่อนในประวัติศาสต : เรื่องเล่าจากบันทึก
4. พระเจ้าแตงหวานกษัตริย์เขมร จากทาสขึ้นครองพระนคร จริงหรือ..! : เรื่องเล่าจากบันทึก



ขอบคุณ : https://www.sanook.com/news/9822290/?tbref=hp
S! News : สนับสนุนเนื้อหา | 29 ก.ค. 68 (18:40 น.)





เปิด 7 คำสาปชัยวรมัน ถึง คนปลูกแตงหวาน.!

ประวัติศาสตร์ เรื่องราว ที่กลายเป็นที่พูดถึง ณ ขณะนี้ คือเรื่องของ พระเจ้าชัยวรมันที่1 เรื่องคำสาประหว่าง "คนปลูกแตง" กับ "พระเจ้าชัยวรมัน"

จากสถานการณ์ชายแดนที่เกิดการเผชิญหน้าและปะทะกันหลายครั้ง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนทั้งสองฝั่ง จุดกระแสความสนใจไปยังประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ยาวนานและซับซ้อน

ล่าสุด บนสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการพูดถึง “คำสาปชัยวรมัน” และ “พระเจ้าแตงหวาน” ซึ่งเป็นประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในห้วงเวลาที่บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ

“พระเจ้าแตงหวาน” หรือที่รู้จักกันในพระนามว่า สมเด็จพระองค์ชัย หรือ พระเจ้าตระซ็อกประแอม คืออดีตชาวบ้านธรรมดาผู้มีอาชีพปลูกแตง ซึ่งลุกขึ้นเป็นผู้นำกบฏปลายยุค ราชวงศ์พระนคร โค่นล้ม พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 กษัตริย์องค์สุดท้ายที่สืบสายจากราชวงศ์สุริยวรมัน

แตงหวานสังหารกษัตริย์ และขึ้นครองราชย์แทนในปี ค.ศ. 1290 เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดจบของสายกษัตริย์สุริยวรมัน แต่ยังถูกเชื่อว่า เป็นจุดเริ่มต้นของ “คำสาป” ที่ถูกปลดปล่อย

@@@@@@@

คำสาปดังกล่าว เชื่อว่าถูกสลักไว้โดย พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 กษัตริย์ผู้รวมแผ่นดิน แห่งอาณาจักรขอมในศตวรรษที่ 11 โดยมีใจความว่า... “ผู้ใดทรยศต่อเราและลูกหลาน จะพบกับหายนะ ถูกต่างชาติยึดครอง และจะเผชิญภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

ซึ่งสรุปใจความมีทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่

1. ผู้ถูกสาปจะถูกทำลายจนสูญสิ้นด้วยลูกหลานของวรมัน
2. ผู้ถูกสาปจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้อื่นเสมอ
3. ผู้ถูกสาปจะเข่นฆ่าล้างผลาญกันเองตราบชั่วลูกชั่วหลาน
4. ผู้ถูกสาปจะต้องเป็นทาสของผู้อื่นตลอดไป
5. ผู้ถูกสาปจะต้องเผชิญกับหายนะและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
6. ลูกหลานของผู้ถูกสาปจะไม่มีวันรบชนะลูกหลานของชัยวรมัน
7. ผู้ถูกสาปจะล้าหลัง ไร้ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา

ซึ่งในเวลาต่อมา กัมพูชาก็เข้าสู่ยุคเสื่อมถอยเสียเอกราชหลายครั้ง ถูกล่าอาณานิคม และเผชิญกับโศกนาฏกรรมในยุคเขมรแดง ทำให้หลายคนโยงว่า “คำสาปชัยวรมัน” อาจกำลังสำแดงฤทธิ์

ซึ่งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เกิดเหตุฟ้าผ่าลงบนยอดปราสาทนครวัด หลังจากมีการประกอบพิธี “ถอนคำสาป” เพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำให้คำสาปโบราณนี้กลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง

ขณะที่สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด นักวิชาการบางส่วนชี้ว่า การย้อนมองประวัติศาสตร์ แม้ไม่ใช่คำตอบของปัญหาในวันนี้ แต่ก็อาจช่วยเตือนให้เราระวัง ว่าอำนาจที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมอาจนำพาหายนะในระยะยาว

ซึ่งในโลกออนไลน์ชาวเน็ตของเรา ตอนนี้ หลายคนมองว่า ฮุนเซน อาจเป็น พระเจ้าแตงหวานมาเกิดอีกครั้ง แต่ก็อยู่ที่ความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละคน

@@@@@@@

ตำนาน “พระเจ้าแตงหวาน” ประวัติศาสตร์อันเลือนลางและวุ่นวายก่อนเมืองพระนครถูกทิ้งร้าง
       
เรื่องราวกึ่งตำนาน ของ “นายแตงหวาน” หรือ พระเจ้าแตงหวาน เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายช่วงเวลาอันมืดมนและวุ่นวายของ อาณาจักรขอม แห่งเมืองพระนคร หรือ “พระนครหลวง” ซึ่งคือห้วงเวลาที่ราชอาณาจักรแห่งนี้จวนเจียนจะล่มสลาย
       
หลังสิ้นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724 – 1761?) อาณาจักรขอม เริ่มเสื่อมอำนาจลงท่ามกลางผลงานมากมายที่พระองค์ทิ้งไว้ ได้แก่ ปราสาท เทวาลัย ศาสนสถานต่าง ๆ ไม่เพียงเป็นประจักษ์พยานพระราชนิยมที่โปรดการก่อสร้างอย่างมโหฬารเท่านั้น หากยังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ย้ำเตือนว่าอาณาจักรของพระองค์จะอยู่ยืนยงไปอีกนาน แต่พระประสงค์ดังกล่าวไม่อาจเป็นจริงได้
   
เรื่องนี้ ศาสตราจารย์ มาดแลน จิโต ได้เล่าไว้ใน ประวัติเมืองพระนครของขอม (สนพ. มติชน : 2566 ; ศาสตราจารย์ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล แปล) ชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์กัมพูชาในยุคผู้ครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คือตั้งแต่ พระเจ้าอินทรวรมัน พระเจ้าชัยวรมนันที่ 8 เป็นต้นไปนั้นเต็มไปด้วยความเลือนลาง สับสนวุ่นวาย และความเสื่อมถอยทางอำนาจ
       
รวมถึงการ “แทรก” ตำนานมาอธิบายการเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ การรุกรานจากกองทัพอยุธยา ผลลัพธ์คือ กษัตริย์เขมรซึ่งเชื่อว่าเป็นลูกหลานของ “พระเจ้าแตงหวาน” ตัดสินใจทอดทิ้งราชธานีอันยิ่งใหญ่อย่าง เมืองพระนครหลวง ไปยังศูนย์กลางแห่งใหม่ทางใต้ของโตนเลสาบ จิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ ณ ช่วงเวลานั้น มีดังต่อไปนี้

   



บรรดาพระราชารุ่นหลังที่เมือง “พระนครหลวง”

“พระเจ้าศรีนทรวรมัน” ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 1838 ทั้งนี้ เนื่องจากพระสัสสุระ (พ่อตา) ของพระองค์คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ได้ทรงสละราชสมบัติ ไม่ว่าด้วยความเต็มพระทัยหรือไม่ก็ตาม
       
หลังจากพระเจ้าศรีนทรวรมัน จารึกขอมได้กล่าวถึงกษัตริย์อีก 2 องค์ ปรากฏว่าใน พ.ศ. 1850 พระเจ้าศรีนทรวรมันก็ทรงสละราชสมบัติพระราชทานแด่เจ้าชายองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระญาติ เจ้าชายองค์นี้ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า “พระเจ้าศรีนทรชัยวรมัน” พระองค์ครองราชย์อยู่จนถึง พ.ศ. 1870 และในปีนั้น “พระเจ้าชัยวรรมาทิปรเมศวร” ก็ขึ้นครองราชย์สมบัติ
     
มีหลักฐานน้อยมากเกี่ยวกับกษัตริย์ขอมรุ่นสุดท้ายของเมือง “พระนครหลวง” เหล่านี้
       
ภายใต้รัชกาลของบรรดากษัตริย์ขอมเหล่านี้ ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายคงจะเป็นศาสนาที่ประพฤติปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำภายในราชสำนัก ดังที่จารึกและของถวายที่พระเจ้าศรีนทรชัยวรมันได้ถวายแก่เทวาลัยมังคลารัถได้แสดงไว้
     
อย่างไรก็ดี พุทธศาสนาลัทธิเถรวาทก็มีความสำคัญยิ่งขึ้นทุกที พร้อมกับพุทธศาสนาลัทธินี้ ความรู้ในภาษาบาลีก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยในอาณาจักรขอม ปรากกฏว่า จารึกภาษาบาลีหลักแรกได้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 1852
     
หลังจากที่ภาษาสันสกฤตซึ่งได้มาจากเมืองกบิลปุระได้กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรรมาทิปรเมศวรแล้ว จารึกภาษาสันสกฤตในราชอาณาจักรขอมก็สุดสิ้นลง
     
@@@@@@@

ประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรเขมรหรือประเทศกัมพูชาในสมัยต่อมา ปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารเขมรหลายเล่ม ซึ่ง (ล้วน) แต่งขึ้นในต้นหรือกลางพุทธศตวรรษที่ 24
     
พระราชพงศาวดารเขมรฉบับที่เก่าที่สุดปรากฏอยู่แต่เพียงส่วนเดียว แต่งขึ้นใน พ.ศ. 2339 (สมัยรัชกาลที่ 1 ของไทย) ได้แปลเป็นภาษาไทย และพระราชาเขมรในขณะนั้นคือ “นักองค์เอง” ก็ได้ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
         
พระราชพงศาวดารเขมรอีกฉบับ คือ พระราชพงศาวดารเขมรฉบับออกญาวงศาสรรเพชญ (นง) ได้แต่งขึ้นในกลางพุทธศตวรรษที่ 24 โดยพระราชโองการของพระราชาเขมรคือ “นักองค์จันทร์” แต่งโดยขุนนางเขมรชื่อ “ออกญานง” แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสโดยนายดูดาร์ต์ เดอ ลาเกร (Doudart de lagree) และตีพิมพ์โดยนายฟรานซิส การ์นีเออร์ (Francis Garnier) แต่ระยะศักราชของพระราชพงศาวดารเขมรทั้ง 2 ฉบับไม่ตรงกัน และยังแตกต่างออกไปจากพระราชพงศาวดารเขมรอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งนายมูรา (Moura) ใช้
       
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับประวัติของเมืองพระนครหลวงในตอนนี้เรามีหลักฐานจากต่างประเทศมาประกอบ คือ หลักฐานทางด้านจีน ไทย เวียดนาม โปรตุเกส และสเปน
     
เราไม่สามารถทราบได้ว่า “พระเจ้าชัยวรรมาทิปรเมศวร” ทรงเกี่ยวดองกับ “พระเจ้านิรวาณบท” (นิพพานบท) ซึ่งเป็นพระราชาองค์แรกที่พระราชพงศาวดารเขมรกล่าวอ้างถึงอย่างไร

       
@@@@@@@

ตามตำนาน พระเจ้านิรวาณบททรงเป็นพระราชโอรสของ “คนทำสวน” ซึ่งได้ฆ่าพระราชาของตน ชาวสวนผู้นี้คือ “นายแตงหวาน” (Trasak Phaem) ผู้เป็นหัวหน้าสวนแตงหวาน
     
ตำนานที่มีชื่อเสียงของเขมรกล่าวว่า ชาวสวนผู้นี้มีนามว่านายแตงหวาน ได้ปลูกแตงหวานไว้ในไร่ของเขา เป็นแตงที่มีรสชาติโอชะมาก พระราชาที่ขึ้นครองราชย์อยู่ในขณะนั้นทรงโปรดปรานแตงชนิดนี้อย่างยิ่ง ได้ทรงสั่งให้ชาวสวนผู้นี้เก็บรักษาผลแตงทั้งหมดไว้ถวายเฉพาะพระองค์ และเพื่อจะมิให้ผู้ใดมาขโมยผลแตงเหล่านี้ไปได้ พระองค์ก็ได้พระราชทานหอกเล่มหนึ่งให้แก่นายแตงหวาน เพื่อจะได้ฆ่าขโมยทุกคนที่เข้ามาขโมยแตงในไร่
       
คืนหนึ่ง พระราชาอยากจะเสวยแตงหวานนี้มาก จึงเสด็จเข้าไปในไร่นั้น แต่ก็ทรงประสบเคราะห์กรรมเพราะนายแตงหวานไม่ทราบว่าเป็นพระองค์ จึงได้ประหารพระองค์เสีย
     
พระราชาทรงมีพระราชธิดาองค์หนึ่ง และก็ได้มีการใช้ช้างหลวงให้ไปเลือกผู้ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อ ช้างได้มาหยุดอยู่ต่อหน้านนายแตงหวานและแสดงความเคารพต่อเขา ชาวสวนผู้นี้จึงได้สมรสกับพระราชธิดาตามประเพณีที่ทำให้เป็นผู้ขึ้นครองราชสมบัติโดยการเปลี่ยนราชวงศ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
       
พระเจ้าแตงหวานได้ทรงขยายพระราชอำนาจของพระองค์ออกไปทั่วอาณาจักรเขมรที่ไม่ยอมอ่อนน้อม และต่อมาพระเจ้านิรวาณบทซึ่งเป็นพระราชโอรสก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อ พระราชพงศาวดารเขมรหลายฉบับได้กล่าวว่า พระเจ้านิรวาณบทได้เสด็จขึ้นครองราชใน พ.ศ. 1889 พระองค์และพระราชาเขมรที่สืบต่อลงมารุ่นแรก ๆ ก็ยังคงประทับที่ พระนครหลวง
     
เป็นการยากที่จะทราบได้ว่า พระราชาเขมรได้ทรงละทิ้งเมืองพระนครหลวงเมื่อใด ทั้งนี้ เพื่อย้ายไปประทับในลุ่มแม่น้ำโขงเพราะทรงต้องการที่จะหลุดพ้นจากการรุกรานของกองทัพไทย

       



ถ้าเราเชื่อตามพระราชพงศาวดารฉบับออกญานง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งพระนครศรีอยุธยาก็ได้ทรงยกทัพมาและยึดเมืองนครหลวงได้ใน พ.ศ. 1896 ภายในรัชกาลของพระราชโอรสของพระเจ้านิรวาณบท แต่ศักราชนี้อาจจะผิดก็ได้ เพราะในหนังสือพระราชพงศาวดารยึดถือปีนักษัตรเป็นเกณฑ์ เจ้าชายไทยได้ขึ้นครองราชย์ที่เมืองพระนครหลวง แต่ราว พ.ศ. 1901 เจ้าชายเขมรก็เข้ายึดเมืองพระนครหลวงคืนได้ และขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า “สุริยวงศ์ราชาธิราช”.
     
ตั้งแต่บัดนั้นมา การสงครามระหว่างเขมรกับไทยก็มีอยู่เกือบเป็นประจำ ราว พ.ศ. 1913 กองทัพไทยก็ได้ยกเข้าโจมตีประเทศกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง และเข้ายึดเมืองพระนครหลวงได้อีก ทำให้พระราชาเขมรที่ขึ้นครองราชย์อยู่สิ้นพระชนม์ และเจ้าชายไทยก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติ
       
จากพระราชพงศาวดารฉบับออกญานง เจ้าชายเขมรคือ พระยาญาติ (เจ้าพ้นหัวญาติ) ได้ประหารพระราชาไทยเสียและเข้ายึดราชสมบัติกลับคืน หลังจากเสวยราชย์ได้ 12 ปี พระยาญาติก็ตกลงพระทัยที่จะละทิ้งเมืองพระครหลวงและเสด็จไปสร้างราชธานีใหม่แถบลุ่มแม่น้ำโขง ชั้นแรกที่เมืองบาสัน (Basan) ในแถบเมืองสรีสันถาน (Sri Santhor) และต่อจากนั้นจึงย้ายไปประทับที่เมืองพนมเปญ

อย่างไรก็ดี พระราชพงศาวดารเขมรฉบับที่นายมูราใช้ก็ได้ให้ระยะเวลาเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนนี้ช้ากว่าที่กล่าวมาแล้วมาก

พระราชพงศาวดารเขมรฉบับที่นายมูราใช้ได้กล่าวว่า การขึ้นเสวยราชสมบัติของพระยาญาติและการละทิ้งเมืองพระนครหลวงเกิดขึ้นภายหลัง “สมเด็จพระบรมราชาที่ 2” (เจ้าสามพระยา) ทรงเข้ายึดเมืองพระนครหลวงไว้ได้ใน พ.ศ. 1974

@@@@@@@

นักประวัติศาสตร์อเมริกัน คือนายวอลเตอร์ส (O.W. Wolters) ได้ตีความใหม่จากหลักฐานทางด้านจดหมายเหตุจีนและเขมร และได้เสนอว่า หลังจากการรุกรานของกองทัพไทยใน พ.ศ. 1913 พระราชาเขมรก็คงจะได้เสร็จไปประทับที่เมืองบาสัน แต่ผู้ที่สืบต่อมาจากพระองค์คงจะเสร็จกลับมาประทับที่เมืองพระนครหลวงดังเดิม
     
ดูเหมือนว่าราชธานีเก่าแห่งนี้จะถูกละทิ้งโดยพระราชาขอมหลายครั้ง ก่อนที่จะถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอนเป็นครั้งสุดท้าย

เท่าที่เราสามารถทราบได้ในปัจจุบัน ก็เป็นการยากที่จะทราบได้ว่า เมืองพระนครหลวงมีสภาพเป็นอย่างไรในพุทธศตวรรษที่ 20-21 การละทิ้งราชธานีแห่งนี้อย่างแน่นอนเป็นครั้งสุดท้ายคงจะเกิดขึ้นภายหลังการรุกรานของกองทัพไทยใน พ.ศ. 1974 (ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา )

ศาสตราจารย์บวสเซอลีเย่ คิดว่า ในตอนนั้นเมืองพระนครหลวงคงจะถูกปล้นสะดม สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 คงจะได้ทรงนำเทวรูป เครื่องราชูปโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งประติมากรรมซึ่งอยู่ที่เกาะราชัยศรี (ปราสาทนาคพัน) ก็คงจะถูกขนไปโดยการเจาะกำแพงที่ล้อมรอบทางด้านทิศเหนือและใต้

     
@@@@@@@

ท่านได้เขียนเพิ่มเติมด้วยว่า ด้วยการกระทำให้เครื่องราชูปโภคและเครื่องประกันแห่งราชอำนาจต้องเปลี่ยนเจ้าของด้วยการเคลื่อนย้ายสิ่งเหล่านี้เข้ามาอยู่ยังพระนครศรีอยุธยา ก็หมายความว่า พระราชอำนาจของพระจักรพรรดิซึ่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทรงคิดว่าได้ทรงนำมาพระราชทานแด่ราชวงศ์ของพระองค์ และตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์นี้ (ราชวงศ์สุพรรณบุรี) ก็ได้เป็นผู้ครองราชอำนาจ ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้เคยทรงรวบรวมไว้ ณ บริเวณเมืองพระนครหลวงมาแต่ก่อน
   
เมือง “พระนครหลวง” คงจะถูกทอดทิ้งอย่างสมบูรณ์และในไม่ช้าก็กลายเป็นป่า ในขณะที่พระราชาเขมรได้เสด็จกลับมาประทับ ณ ที่นั้น อีกครั้งหนึ่งในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 22

กล่าวโดยสรุป หลังสิ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อาณาจักรขอม แห่งเมืองพระนครมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อมาอีก 5 พระองค์ (อินทรวรมันที่ 2, ชัยวรมันที่ 8, ศรีนทรวรมัน, ศรีนทรชัยวรมัน และ ชัยวรรมาทิปรเมศวร) ถัดจากนั้นจึงปรากฏพระนามกษัตริย์องค์แรกในพระราชพงศาวดารเขมร คือ พระเจ้านิรวาณบท ปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ก่อนปรากฏหลักฐานการทิ้งเมืองพระนครหลวงในสมัยพระยาญาติ หรือกลางพุทธศตวรรษที่ 20 โดยมีอยุธยาก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ของภูมิภาคแทน



อ้างอิง 
1. ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ม 1
2. กองบรรณาธิการวารสารศิลปวัฒนธรรม
เรียบเรียงข้อมูลโดย เพจเกร็ดประวัติศาสตร์ v2
ขอบคุณที่มา : Facebook ตะลอน ทั่วกรุง , 6 วัน 
https://www.facebook.com/suriyan.ananuaua/posts/เปิด-7-คำสาปชัยวรมัน-ถึง-คนปลูกแตงหวาน-ประวัติศาสตร์-เรื่องราว-ที่กลายเป็นที่พูด/2957020544508025/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ