


หลวงพ่อฤๅษีท่านได้กล่าวถึงท้าวเวสสุวรรณไว้ดังนี้
.....ตาม ปกติฉันนอน ๒๒.๐๐ น. และตื่น ๑.๓๐ น. เป็นปกติ ทำวัตรสวดมนต์แบบย่อ ๆ พอเวลาใกล้ ๒ น. ฉันก็เริ่มทำสมาธิ พอถึง ๔ น. ฉันก็ดูตำรา ๕ น. ฉันก็กลับทำสมาธิใหม่ เพื่อรักษาอารมณ์เวลาออกบิณฑบาตตามแบบฉบับของพระโบราณ ปฏิปทาของพระสมัยใหม่ท่านทำกันอย่างไรฉันไม่รู้ ด้วยฉันแก่แล้ว และมานั่งเป็นฤๅษีหัวล้านอยู่ในป่าห่างเมืองหลวงตั้ง ๓๐๐ ก.ม.เศษ จะรู้เรื่องของพระในเมืองหลวงได้อย่างไร
วิธี ที่เข้าฌานก่อน แล้วคลายอารมณ์มาสู่อุปจารฌานหรือปฐมฌาน แล้วออกบิณฑบาต แบบนี้ท่านเรียกว่าพระโปรดสัตว์ เพราะท่านที่ใส่บาตรมีผลมาก ได้บุญแรง มีลาภง่าย ยิ่งได้พระอริยเจ้าท่านเข้าผลสมาบัติ คือ พิจารณาวิปัสสนาญาณก่อน เมื่อจิตสะอาดดีแล้ว เข้าฌานเต็มกำลังแล้วคลายออก ทรงอยู่เพียงอุปจารฌานฌานหรือปฐมฌานอย่างนี้อานิสงส์ยิ่งมาก บุญมาก ลาภสูง
ที่ท่านพอตื่นมาก็ร้องเพลงหรือนึกถึงคนรัก นึกถึงสถาน ที่หรือวิธีหากิน ซักซ้อมความคล่องเพื่อลาภสักการะ อย่างนี้ท่านไม่เรียกพระโปรดสัตว์ ท่านเรียกว่าไปให้สัตว์โปรด ด้วยท่านไม่มีอะไรดีที่จะให้บรรดาท่านที่สงเคราะห์เลย นี่ว่ากันตามแบบพระโบราณไม่ทันสมัยนะ สำหรับท่านที่ทันสมัย มีลาภ มียศ มีคนสรรเสริญ มีกามสุขสมบูรณ์ ท่านอาจจะมีความเห็นไปอีกอย่างหนึ่ง และทำให้พระทันสมัยขึ้น อาจจะมีผลดีกว่าที่ฉันว่าอย่างนี้ ได้ฟังแล้วอย่าถือเอาไปเป็นแบบแผนนะ ประเดี๋ยวจะหาพระครึ ๆ อย่างฉันพูดไม่ได้เรื่อง เลยไม่มีโอกาสทำบุญ
พูด เลยเรื่องไปเสียแล้วอีกกระมัง มาเข้าประเด็น คำว่าประเด็นหมายความว่าอย่างไรฉันไม่รู้เรื่อง เคยเข้าในเมืองหลวงเห็นเขาพูดกันฉันก็เลยพูดบ้าง มันเข้าท่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาแบบเก่าดีกว่านะ พูดว่าเรามาเข้าเรื่องที่ค้างไว้ดีกว่า อย่างนี้ฟังง่ายดีนะ
ขณะที่หลวงพ่อปานท่านเชิญท้าวมหาราชทั้ง ๔ พอหลวงพ่อท่านหยุดนิ่ง ฉันไม่ประสงค์องค์อื่น อยากรู้จักท้าวเวสสุวรรณองค์เดียว เห็นช่างภาพเขาเขียนรูปท่านเป็นยักษ์ ไม่ใช่ยักยอก เป็นยักษ์มีเขี้ยวยาว มีกระบองยาวคล้ายพลองลูกเสือ ท่าทางน่ากลัว ก็เลยอยากเห็นยักษ์ ตามข่าวที่เล่าลือกัน เขาว่าท่านมีอานุภาพมาก
ฉันเลยขอเห็นท่านท้าวเวสสุวรรณองค์เดียว กรุณามาให้เห็นเวลา ๒ น. ฉันก็เข้าสมาธิ เรื่องของสมาธิ เข้าเพียงหายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็จมเบ้า (เต็มอัตรา) คำว่าจมเบ้าเป็นภาษาเด็กเลี้ยงควาย เกรงว่าจะหายสาบสูญไปเสีย ก็เลยเอามาพูดไว้ เพื่อรักษาศัพท์วัฒนธรรมเลี้ยงควาย เมื่อถึงเวลา ๒ น. ตรง ฉันก็คลายออกมาสู่อุปจารสมาธิเป็นอารมณ์ที่พอจะเห็นนิมิตได้
เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลา ๒ นาฬิกาเพียงเป๋งแรก ทั้ง ๆ ที่หลับตา ก็มองเห็นชายคนหนึ่ง นุ่งผ้าขาว ห่มผ้าสไบเฉียงขาว ถือไม้พลองยาวแค่หัว เดินลิ่ว ๆ มาทางทิศเหนือ แกเดินเร็วเหลือเกิน ไม่ถึงนาทีก็มาถึงที่ฉันอยู่แล้ว ใจฉันบอกเลยว่าท่านผู้นี้คือท่านท้าวเวสสุวรรณ ดูท่านแล้ว ท่านมายืนห่างจากฉันสัก ๒ วา ท่านไม่มีเขี้ยว หน้าตาท่านสวย ผิวสวย ทรงงามมาก.....
ที่มา...จากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน