ลักษณะ ของคนพาลที่สำคัญ คือคนพาลนั้นมักจะอ้างเหตุผลที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้ เพื่อให้ตนเป็นฝ่ายชนะ เหตุผลที่คนพาลหยิบยกนำมาอ้างนั้นจึงเป็นสิ่งที่มิได้ปฏิบัติจริง ฉะนั้นแล้วการถกเถียงกันเพื่อให้ตนเองชนะจึงไม่เกิดประโยชน์ เพราะตนเองชนะแต่นำสิ่งที่ตนเถียงแล้วไปปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่าง แท้จริงชนะไปก็เท่านั้น สู้ยอมเป็นผู้แพ้แต่สิ่งที่ตนนำเสนอด้วยเหตุและผลนำไปปฏิบัติได้จริงก็ไม่ ได้
ลักษณะของคนพาลนั้นเป็นคนฉลาด มีความสามารถพลิกแพลงรวมทั้งการมีเชาน์ไหวพริบมาก แต่ตามธรรมชาติของคนพาลนั้นย่อมขาดความเฉลียวใจเสมอ เพราะความเฉลียวนั้นจะทำให้คนพาลกลายเป็นไม่พลาลได้ ด้วยเหตุนี้การที่เราจะเอาชนะคนพาลได้นั้นเราต้องมีความเฉลียวในเหตุผลที่คน พาลยกมา คิดตามสิ่งที่คนพาลพูดแล้วลองพิจารณาว่าปฏิบัติตามที่คนพาลยกมาได้หรือไม่ ตามปกติแล้วเหตุและผลที่คนพาลยกมานั้นย่อมนำมาปฏิบัติไม่ได้จริงทั้งโลก สมมุติในคติการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 แลชะโลกแห่งความเป็นจริงคือการใช้ประสาทสัมผัสที่ 6
คนพาลจึงหนีไม่พ้นคนถือตัวกอร์ปด้วยมานะทิฐิเป็นที่ตั้ง ซึ่งคนปกติก็สามารถเป็นคนพาลได้หากได้รับอิทธพลแห่งมานะทิฐิเข้าครอบงำ มานะทิฐิจะเกิดได้มากกับผู้ที่มีความรู้มาก ผู้ที่มีความรู้จากตำราจะใช้วิธีการคิดหาเหตุผลด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นโดยการ ใชสมอง แต่ผู้ที่ปฏิบัติจนชำนาญจะใช้บทเรียนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนมาใช้เป็นคำตอบแทน ที่การใช้สมอง ฉะนั้นผู้มีปัญญามากจึงใช้สมองน้อยแล้วผู้มีปัญญาน้อยจะใช้สมองมาก นั่นหมายความว่าผู้มีปัญญาจะใช้เรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่ผู้ไร้ปัญญาจะใช้เรื่องสมมุติ ซึ่งอาจจะมาจากการคิด การคาดคะเน รวมทั้งการตั้งสมมุติฐานโดยไม่ลงมือพิสูจน์สิ่งนั้น
ดังนั้นลักษณะ ของคนพาลจึงเป็นคนฉลาดแต่ไม่มีปัญญา เพราะคนพาลจะเต็มไปด้วยเรื่องที่สมมุติขึ้น การหาเหตุผลมาหักล้างจะมาจากสิ่งที่ตนเองคิดขึ้นจากการคาดคะเน แต่ผู้มีประสบการณ์จากการปฏิบัติเหตุผลทีนำมาหักล้างจะมาจากเรื่องจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นจริงกับตนหรืออย่างน้อยเกิด ขึ้นกับคนอื่นแล้วตนเป็นผู้รับรู้ ด้วยเหตุนี้คนพาลจึงไม่สามารถเอาชนะคนปกติที่ไม่พาลได้ด้วยเหตุนี้ หากเราเป็นนักเรียนปริยัติ จึงจำเป็นที่จะต้องนำปริยัตินั้นไปปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงปฏิเวธให้ได้ เพราะตัวปฏิเวธจะเป็นตัวสนับสนุนหรือหักล้างปริยัติที่เรารู้มาได้อย่างมี ประสิทธิภาพที่สุด นี่จึงเป็นเหตุอีกประการที่ทำให้ผู้เรียนปริยัติอย่างเดียว ต่างจากผู้นำปริยัติไปปฏิบัติจนเกิดปฏิเวธอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการเรียนพุทธศาสนาความเข้าใจในปริยัติสำคัญมาก เราคนไทยเข้าใจสิ่งที่รู้มาให้เป็นภาษาไทย คนอังกฤษก็เข้าใจเป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเข้าใจให้เป็นภาษาบาลีหรือสันสฤต เข้าใจเป็นภาษาไทยนี่แหล่ะ ปฏิบัติให้ได้จะเกิดปฏิเวธเอง ปฏิเวธจะเป็นตัวชีวัดว่าปริยัติที่รู้มาถูกต้องหรือไม่
ดังนั้นการ ที่เรานำทฤษฎีมาปฏิบัติจนบังเกิดผลกับตนเอง จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากการเป็นคนพาลได้ เพราะคนพาลเป็นคนที่ไม่ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นคนพาลจึงมีลักษณะของการยึดติดความรู้ที่ตนมีเป็นอุปทานเป็นที่ตั้ง หากผู้ใดนำความรู้ในเรื่องใดแล้วเรื่องนั้นขัดแย้งกับสิ่งที่ตนรู้มาจะเกิด ความขัดแย้งขึ้นมาทันที นี่เป็นลักษณะเฉพาะของคนพาลที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในปัจจุบัน
http://www.dhumma.net/index.php?option=com_content&view=article&id=295&Itemid=312