พระเถระที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมพระไตรปิฎก
๑. พระจุนทะ เป็นพระเถระรูปหนึ่งที่มีความปรารถนาดีต่อศาสนา ท่านเป็นน้อง ชายพระสารีบุตร(1)
ครั้งหนึ่ง เมื่อนิครนถ์นาฏบุตร(หัวหน้านักบวชนอกศาสนา) ได้สิ้นบุญไปใหม่ๆ ที่เมืองปาวา พระจุนทะได้เห็นความแตกแยกขัดแย้ง และระส่ำระสายในหมู่สาวกของนิครนถ์นาฏบุตร ที่ขัดแย้งกันในคำสอนของศาสดาของตนเอง จึงได้เข้าไปเล่าเหตุการณ์ให้พระอานนท์ฟัง แสดงความเป็นห่วงความมั่นคงแห่งพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ฟังเรื่องแล้วเห็นด้วย จึงได้พาไปเฝ้าพระศาสดา ทูลเรื่องให้ทรงทราบ และแสดงความเป็นห่วงว่า ขอการทะเลาะวิวาทอย่างนั้นอย่าเกิดมีในหมู่พระสาวกของพวกเราเลย เพราะไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของพหูชน เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า มีการขัดแย้งในธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้วแสดงให้ฟังหรือไม่ เช่นในหลักธรรมเกี่ยวกับ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ พระอานนท์ก็ทูลว่าไม่มี แล้วจึงทรงแนะว่า สาเหตุ แห่งการวิวาทมี ๖ ๑) โกรธ และผูกโกรธ
๒) ดูถูกผู้อื่น-ตีเสมอ
๓) อิจฉา-ตระหนี่
๔) โอ้อวด-เจ้ามายา
๕) ปรารถนาลามก-เห็นผิด
๖) ถือแต่ความเห็นของตนอย่างแน่น ไม่สละคืน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่เคารพในพระรัตนตรัย ไม่เคารพในการศึกษา ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท ก่ออธิกรณ์ทั้ง ๔ ขึ้น จะระงับได้ก็โดยวิธีการ ๗ อย่างที่เรียกว่า วิธีระงับอธิกรณ์ คือ ระงับต่อหน้า-ให้สติ-ให้แก่คนบ้า-ปรับตามรับสารภาพ-เอาเสียงข้างมาก-ลงโทษคนกลับกลอก และแบบประนีประนอมกัน แล้วทรงแสดงหลักที่ทำให้สามัคคีกัน ๖ ประการ (สาราณียธรรม) คือ
๑) ทำอะไรในระหว่างเพื่อนนักบวชก็ทำด้วยเมตตา
๒) พูดอะไรในระหว่างเพื่อนนักบวชก็พูดด้วยเมตตา
๓) คิดอะไรในระหว่างเพื่อนนักบวชก็คิดด้วยเมตตา
๔) มีลาภอะไรเกิดขึ้นก็แบ่งปัน ไม่บริโภคคนเดียว
๕) มีศีลคือระเบียบเสมอกัน
๖) มีทิฏฐิคือความเห็นเสมอกันตรงกัน นี่คือความหวังดีของพระจุนทะ จนทำให้พระพุทธเจ้าแสดงแนวทางแห่งการระงับความขัดแย้ง และให้เกิดสามัคคีไว้(2)
๒. พระสารีบุตร เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าคู่กับพระโมคคัลลานะ ท่านได้แสดงความปรารถนาดีที่ขอให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัย เพื่อให้พระศาสนาตั้งมั่นและดำรงอยู่สิ้นกาลนาน พระพุทธองค์ก็ทรงรับหลักการ แต่ทรงมีข้อแม้ว่า ให้ถึงกาลเสียก่อน ให้มีพระมาก ลาภสักการะมาก มีอาสวัฏฐานียธรรมปรากฏในหมู่สงฆ์เสียก่อนแล้วจะทรงบัญญัติพระวินัย(3)
มีข้อความในสังคีติสูตร(4)และทสุตตรสูตร(5) ได้แสดงถึงตัวอย่างการจัดหมวดธรรมเป็นหมวดหมู่โดยพระสารีบุตรซึ่งทรงสดับแล้วทรงประทานสาธุการ ทรงให้ชื่อว่า สังคีติ เป็นแนวการแห่งการรวบรวมพระธรรมวินัย ข้อความในทสุตตรสูตรก็เช่นกัน แสดงแนวการรวบรวมธรรมเป็นหมวดหมู่ เป็นแม่บทของคัมภีร์อังคุตตรนิกายในกาลต่อมา คือ เริ่มด้วยธรรมหมวด ๑ ถึงหมวด ๑๐ ตามลำดับ ๓. พระโสณะโกฏิกัณณะ เป็นศิษย์ของท่านพระมหากัจจายนะ อยู่ในแคว้นอวันตี ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าอาราธนาให้ท่านกล่าวธรรมให้ทรงสดับ ท่านโสณะรับพระดำรัส สวดธรรมเป็นหมวดแปดรวม ๑๖ ครั้ง ด้วยสรภัญญะ เมื่อจบแล้วพระพุทธองค์ทรงประทานสาธุการ ทรงชมว่า จำได้ดี กล่าวได้สละสลวย ได้เนื้อถ้อยกระทงความ(6)
๔. พระอานนท์ ท่านได้เป็นอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันหลังจากบวชได้ไม่นาน ต่อ มาได้รับเลือกจากพระสงฆ์ให้ทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐาก ก่อนรับหน้าที่พุทธอุปัฏฐาก ท่านได้ทูลขอพร ๘ ประการ จากพระพุทธเจ้า ดังนี้
ก. ฝ่ายปฏิเสธ
๑. ขอพระพุทธองค์อย่าได้ประทานจีวรอันประณีตแก่ข้าพระองค์
๒. ขอพระผู้มีพระภาคอย่าได้ประทานอาหารบิณฑบาตอันประณีตแก่ข้าพระองค์
๓. ขอพระผู้มีพระภาค อย่าโปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับเดียวกันกับพระองค์
๔. ขอพระองค์อย่าได้พาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์ ข. ฝ่ายขอร้อง ๕. ขอพระองค์ได้โปรดเสด็จไปในที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้
๖. ขอให้ข้าพระองค์นำบริษัทที่มาจากที่ไกล เข้าเฝ้าพระองค์ได้ในขณะที่มาแล้ว
๗. ถ้าความสงสัยของข้าพระองค์เกิดขึ้นเมื่อใด ขอให้ได้เข้าเฝ้าทูลถามได้เมื่อนั้น
๘. ถ้าพระองค์แสดงข้อความอันใดในที่ที่ข้าพระองค์ไม่อยู่ด้วย เมื่อกลับมาแล้วขอให้ทรงตรัสบอกข้อความนั้นแก่ข้าพระองค์ด้วย
แสดงถึงการที่ท่านทำหน้าที่โดยไม่เห็นแก่ลาภสักการะใด ๆ ทั้งสิ้น และขอโอกาสทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐากให้สมบูรณ์ โดยเฉพาะพรข้อที่ ๘ นั้น เป็นประโยชน์ต่อการทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยในครั้งที่ ๑ เป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงได้ตอบคำถาม เกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดในคราวสังคายนาครั้งที่ ๑ ที่เรียกว่า พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกในปัจจุบัน
สมัยนั้นการบันทึกไม่มี จึงต้องอาศัยการจดจำด้วยพลังสมองทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าพระอานนท์เป็นเครื่องบันทึกเสียงของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว นับว่าท่านได้มีส่วนสำคัญต่อการรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า สืบมาจนทุกวันนี้ ๕. พระอุบาลี เมื่อบวชแล้วได้บำเพ็ญตนสมกับที่ราชกุมารได้ถวายเกียรติเช่นกันคือ ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหันต์ และได้ทำหน้าที่ทรงจำพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นอย่างดี จนได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้า ในวินัยปิฎก เสนาสนขันธกะ(7)ได้แสดงไว้ว่า
พระพุทธองค์ทรงแสดงวินัยกถาสรรเสริญพระวินัยและยกย่องการเรียนพระวินัย ได้ทรงยกพระอุบาลีเป็นตัวอย่าง และทรงชักชวนให้พระภิกษุทั้งหลายเรียนพระวินัยในสำนักของพระอุบาลี อนึ่ง ในอุปาลิปัญจกะ(8) ได้แสดงคำถามของพระอุบาลีในพระวินัยแง่ต่าง ๆ ต่อพระ พุทธเจ้าพระองค์ได้ทรงแสดงพุทธมติข้อวินิจฉัยต่าง ๆ ตอบพระอุบาลี ซึ่งมีหัวข้อสำคัญถึง ๑๔ เรื่อง ดังนั้น ในคราวทำสังคายนาครั้งที่ ๑ พระอุบาลีจึงได้รับเลือกจากพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ตอบปัญหาในพระวินัยแล้วจัดเป็นหมวดหมู่ เรียกว่าพระวินันปิฎก จนกระทั่งปัจจุบันนี้
๖. พระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะ เป็นพระเถระที่บวชเมื่อสูงอายุ เพราะต้องรับผิดชอบตระกูลสนองพระคุณพ่อแม่ของท่าน ท่านอุปสมบทโดยวิธีโอวาทานุสารณีอุปสัมปทา เมื่อบวชแล้วได้บำเพ็ญตนเป็นผู้มักน้อยสันโดษครองผ้าบังสุกุลจีวร ๓ ผืน เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร และอยู่ป่าเป็นวัตร ไม่คนองกายวาจาใจ เมื่อเข้าไปสู่ตระกูล และได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า มีคุณธรรมเบื้องสูง คือ มีความสามารถในการเข้าฌานเสมอกับพระองค์ ประพฤติตนเป็นตัวอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังตลอดชีวิต ในระยะกาลปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ท่านได้สดับคำของ สุภัททวุฑฒบรรพชิต ที่กล่าวจ้วงจาบพระพุทธองค์และพระธรรมวินัย จึงดำริที่จะทำการสังคายนาพระธรรมวินัยให้เป็นหลักพระศาสนา
หลังถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระศพแล้ว ได้ชักชวนพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ทำสังคายนาพระธรรมวินัย โดยมีท่านเป็นประธาน มีพระอานนท์เป็นผู้วิสัชชนาพระธรรม มีพระอุบาลีเป็นผู้วิสัชชนาพระวินัย ที่ถ้ำสัตต บรรณ คูหา ใกล้กรุงราชคฤห์ โดยความอุปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู ทำอยู่ ๗ เดือนจึงเสร็จ นับเป็นรูปแรกที่ได้รวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่ จนเกิดพระไตรปิฎกขึ้น พระพุทธวจนะสำคัญที่พระผู้มีพระภาคตรัสแก่พระมหากัสสปะเกี่ยวกับความเจริญและความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา มีปรากฏในกัสสปสังยุตต์ สังยุตตนิกาย ดังนี้
ดูกรกัสสปะ สัทธรรมปฏิรูป ไม่เกิดขึ้นในโลกเพียงไร การอันตรธานแห่งพระสัทธรรม ก็ไม่มีตราบนั้น เมื่อใดสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลก กัสสปะ เมื่อนั้น การสูญสิ้นแห่งพระสัทธรรมย่อมมี เหมือนทองแท้ย่อมไม่อันตรธาน ตราบเท่าที่ทองเทียมยังไม่เกิดขึ้น เมื่อทองเทียมเกิด ทองแท้ก็ย่อมหายไป ดูกรกัสสปะ ปฐวีธาตุ-อาโปธาตุ-เตโชธาตุ-วาโยธาตุ หาทำให้พระศาสนาเสื่อม ไปไม่ ที่แท้ โมฆบุรุษที่เกิดขึ้นในพระศาสนานี้ต่างหากที่ทำให้พระศาสนาเสื่อมหายไป ดุจ เรือจะจมลงก็เพราะต้นหน กัสสปะ การเสื่อมไปของพระสัทธรรม ย่อมไม่มีอย่างนี้แล
ดูกรกัสสปะ ธรรมฝ่ายต่ำ ๕ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเลอะเลือน เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
๑. ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา
๒. ไม่เคารพยำเกรงพระธรรม
๓. ไม่เคารพยำเกรงพระสงฆ์
๔. ไม่เคารพยำเกรงในการศึกษา
๕. ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ
ดูกรกัสสปะ ธรรม ๕ ประการนี้แลย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นไม่เลอะเลื่อน ไม่เสื่อมสูญ แห่งพระสัทธรรม (คือศาสนา) คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
๑. ยังเคารพยำเกรงในพระศาสดา
๒. ยังเคารพยำเกรงในพระธรรม
๓. ยังเคารพยำเกรงในพระสงฆ์
๔. ยังเคารพยำเกรงในการศึกษา
๕. ยังเคารพยำเกรงในสมาธิ
ธรรม ๕ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความตั้งมั่นไม่เลอะเลือน ไม่เสื่อมสูญ แห่งพระสัทธรรม(9)
อ้างอิง
[1] สามคามสูตร ใน ม.อุปริ (ไทย) ๑๔/๕๑/๔๙
[2] ดูรายละเอียด ม.อุ.(ไทย)๑๔/๕๑/๔๙
[3] ดูรายละเอียด วิ.มหา.(ไทย)๑/๘/๑๕
[4] ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๒๒๑-๑๖๓/๒๒๒-๒๘๗
[5] ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๖๔-๔๗๕/๒๘๘-๓๔๓
[6] ดูรายละเอียด ขุ.อุ.(ไทย)๒๕/๑๑๙/๑๖๐-๑๖๖
[7] วิ.จู.(ไทย) (๗/๒๘๔/๑๒๙)
[8] วิ.ป.(ไทย)๘/๑๑๖๑-๑๒๒๙/๔๔๓-๕๐๘
[9] สังยุตตนิกาย (๑๖/๕๓๒-๕/๒๖๓-๕)
ที่มา http://www.tlcthai.com/club/view_topic.php?club=buddhism&club_id=1278&table_id=1&cate_id=788&post_id=11639