ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมทั้งปวง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นใหญ่  (อ่าน 5766 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

มูลสูตร

             [๑๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พึงถามอย่างนี้ว่า
             ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นมูล มีอะไรเป็นแดนเกิดมีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นที่ประชุมลง มีอะไรเป็นประมุข มีอะไรเป็นใหญ่มีอะไรยิ่งกว่า มีอะไรเป็นแก่น เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นว่าอย่างไร ฯ

             ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมแห่งข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นมูล มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคจักทรงจำไว้ ฯ

            พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกพึงถามอย่างนี้ว่า

        ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
             ธรรมทั้งปวง มีอะไรเป็นมูล
             มีอะไรเป็นแดนเกิด
             มีอะไรเป็นสมุทัย
             มีอะไรเป็นที่ประชุมลง
             มีอะไรเป็นประมุข
             มีอะไรเป็นใหญ่
             มีอะไรยิ่งกว่า
             มีอะไรเป็นแก่น

       เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า


       ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
             ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล
             มีมนสิการเป็นแดนเกิด
             มีผัสสะเป็นสมุทัย
             มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง
             มีสมาธิเป็นประมุข
             มีสติเป็นใหญ่
             มีปัญญาเป็นยิ่ง
             มีวิมุตติเป็นแก่น

      ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ ฯ

             จบสูตรที่ ๓



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  บรรทัดที่ ๗๑๙๘ - ๗๒๒๐.  หน้าที่  ๓๑๑ - ๓๑๒.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=7198&Z=7220&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=189
ขอบคุณภาพจาก http://igetweb.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 10:01:26 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ธรรมทั้งปวง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นใหญ่
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 14, 2012, 07:22:19 am »
0

      "อานนท์เอย ! พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า ธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว ขอให้ธรรมวินัยอันนั้น จงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป เธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่งเถิด อย่าได้มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย"
                                                           พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน อาจารย์วศิน อินทสระ




“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”

     มีพุทธพจน์แห่งหนึ่ง สรุปธรรมทั้งหมดไว้ดังนี้
        ๑. ธรรมทั้งปวง มีฉันทะเป็นมูล (ฉนฺทมูลกา)    
        ๒. ธรรมทั้งปวง มีมนสิการเป็นต้นกำเนิด (มนสิการสมฺภวา)    
        ๓. ธรรมทั้งปวง มีผัสสะเป็นที่ก่อตัวขึ้น (ผสฺสสมุทยา)    
        ๔. ธรรมทั้งปวง มีเวทนาเป็นที่ชุมนุม (เวทนาสโมสรณา)    
        ๕. ธรรมทั้งปวง มีสมาธิเป็นประมุข (สมาธิปมุขา)    
        ๖. ธรรมทั้งปวง มีสติเป็นเจ้าใหญ่ (สตยาธิปเตยฺยา)
        ๗. ธรรมทั้งปวง มีปัญญาเป็นยิ่งยอด (ปญฺญุตฺตรา)
        ๘. ธรรมทั้งปวง มีวิมุติเป็นแก่น (วิมุตฺติสารา)
        ๙. ธรรมทั้งปวง มีอมตะเป็นที่หยั่งลง (อมโตคธา)
        ๑๐. ธรรมทั้งปวง มีนิพพานเป็นที่สิ้นสุด (นิพพานปริโยสานา)

                                                   พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

ที่มา http://www.thammapedia.com/dhamma/dhamma.php
ขอบคุณภาพจาก http://igetweb.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 10:04:28 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ฉันทมูลกา สัพเพ ธัมมา..."ธรรมทั้งปวง มีฉันทะเป็นมูล"
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 09:52:26 am »
0



                 (๑) ฉันทมูลกา สัพเพ ธัมมา          ธรรมทั้งปวง มีฉันทะเป็นมูล

                  (๒) มนสิการสัมภวา สัพเพ ธัมมา     ธรรมทั้งปวง มีมนสิการเป็นต้นกำเนิด

                  (๓) ผัสสะสมุทยา สัพเพ ธัมมา      ธรรมทั้งปวง มีผัสสะเป็นเหตุเกิด

                  (๔) เวทนาสโมสรณา สัพเพ ธัมมา    ธรรมทั้งปวง มีเวทนาเป็นที่ชุมนุม

                  (๕) สมาธิปมุขา สัพเพ ธัมมา         ธรรมทั้งปวง มีสมาธิเป็นประมุข

                  (๖) สตาธิปเตยยา สัพเพ ธัมมา       ธรรมทั้งปวง มีสติเป็นใหญ่

                  (๗) ปัุตตรา สัพเพ ธัมมา         ธรรมทั้งปวง มีปัญญาเป็นยอดยิ่ง

                  (๘) วิมุตติสารา สัพเพ ธัมมา          ธรรมทั้งปวง มีวิมุตติเป็นเป็นแก่น

                  (๙) อมโตคธา สัพเพ ธัมมา           ธรรมทั้งปวงมีอมตะเป็นที่หยั่งลง

                 (๑๐) นิพพานปริโยสานา สัพเพ ธัมมา    ธรรมทั้งปวงมีนิพพานเป็นที่สุด


ทสกจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๔/๑๑๓
ขอบคุณภาพจาก http://igetweb.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ