ได้ปฐมฌานแต่พระเยาว์
แลกาลเมื่อพระมหาบุรุษมีพระชนมพรรษา ๗ ปี เป็นกาลควรแก่
อภิสมัย ท้าวสุทโธทนสักกะกษัตริย์ ทรงเริ่มวัปปมงคลพิธีจรดพระนัง-
คัลแรกนาขวัญ ณ ที่ใหม่ พร้อมด้วยอุปหารพิธี ฟ้อนรำประโคมดนตรี
สังคีตเป็นนฤโฆษกาล พี่เลี้ยงนางนมทั้งหลายเชิญพระโพธิสัตว์เจ้า
พร้อมด้วยอเนกชนบริวารไปสถานที่แรกนานั้น ชาวพนักงานแวดวงภูมิ
สถานร่มต้นหว้าใหญ่ด้วยวิสูตร ลาดปัจจัตถรณะถวาย เป็นที่พระโพธิ-
สัตว์เสด็จประทับ ควรบันเทิงพระหฤทัยนัก พี่เลี้ยงและชนบริวารเห็นว่า
ร่มไม้หว้าเป็นคุตตาสถานไม่มีภัย ก็หลีกมานั่ง ณ สถานใกล้ ๆ เพลินดู
การมหรสพตามปรารถนา ครั้งนั้นควรจะเป็นอัศจรรย์ อันสัมโพธินิมิต
นิยมหากบันดาลให้เป็นไป พระมหาบุรุษมีความสงัดกายสงัดพระหฤทัย
เป็นวิเวกบท ทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิกำหนดลมอัสสาสะปัสสาสะเป็น
อารมณ์ ก็บรรลุฌานเป็นปฐม มีวิตก วิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก
แม้เพลาตะวันบ้าย เงาไม้หว้าก็คงสถิตเหมือนเมื่อเพลาเที่ยง ไม่คล้อย
เคลื่อนเลื่อนชายไปตามกาล ดำรงเป็นอจลสถาน ให้ประชุมชนได้เห็น
เป็นมหัศจรรย์ จนท้าวสุทโธทนสักกาธิบดีชนกนาถ ทรงเสื่อมใสบังคม
พระโอรสบูชาคุณธรรมทรงบุญฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ครั้นเสร็จวัปปมงคลกาล
แล้ว ก็เชิญเสด็จพระโพธิสัตว์กลับยังพระนิเวศน์ พระโพธิสัตว์แม้บรรลุ
ถึงมหรคตคุณพิเศษแล้ว แต่ยังไม่มีความแคล่วคล่องชำนาญ ฌานนั้น
ก็เสื่อมไป.