ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บวงสรวงเทวดา เพื่อ อะไร ? และ ต้องเตรียมเครื่องบวงสรวง อย่างไร ?  (อ่าน 105237 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สำหรับ ชาวพุทธอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ เราก็ไปมาหลายที่ ๆ เป็นวัดก็เห็นมีพราหณ์ บ้าง เจ้าพ่อร่างทรง เจ้าแม่ร่างทรงบ้าง มาเพื่อทำพิธิ บวงสรวง แล้ว ก็เลยเกิดความสงสัยว่า

   เราจะบวงสรวง เทวดาทำไม ?
   ทำเวลาไหน ?

   เครื่องบวงสรวง ที่เทวดาไม่ชอบ จะมีโทษแก่เราหรือไม่ ?

   คือทราบว่า เทวดา มีกายเป็นทิพย์ จะมาบริโภคอาหารหยาบ หรือ ? ความเข้าใจส่วนนี้ ทำอย่างไร จึงจะถูกต้อง กันคะ

บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28530
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

การบวงสรวงและเครื่องบวงสรวง ตามคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


การบวงสรวง
"...การบวงสรวงเป็นการเชิญเทวดาทั้งหมด อาราธนาพระ แม้แต่บารมีของพระพุทธเจ้าลงมาทั้งหมด และพรหมทั้งหมด การบวงสรวงแบบนี้ถ้าลูกหลานยังไม่สามารถจะเห็นบุคคลผู้มาได้ ก่อนที่จะฟังเสียงของฉัน จุดธูป จุดเทียน แล้วก็เปิดเครื่องได้ยินเสียงบวงสรวงหรือชุมนุมเทวดาแล้ว ก็จงคิดว่า พระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ทั้งหมดที่ฉันเชิญมาเวลาบันทึกเสียงนี้ มีกี่องค์ก็ตาม พวกเธอทั้งหลายแสดงความนอบน้อมว่า

   ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพในทุกท่าน แล้วก็ขอ ทุกท่านจงสงเคราะห์ให้จิตใจของพวกเราทั้งหมดตกอยู่ในสัมมาทิฏฐิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี มีธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเห็นธรรมนั้นด้วยเถิด แล้วขอให้คุ้มครองอะไรบ้างก็ว่ากันไปตามใจนึก

    แต่ว่าอย่าไปเกณฑ์ให้ท่านเล่นหวยเล่นการพนันหรือไปลักไปปล้นกัน ท่านไม่เอาด้วย เท่านี้ก็เกิดความสุข ท่านจะช่วยได้ตามความสามารถหรือที่เรียกว่า ไม่เกินอำนาจของกรรม นี้ว่ากันถึงเรื่องบวงสรวงนะว่ามันดียังไง"

เครื่องบวงสรวง
เครื่องบวงสรวงแบบครบถ้วน ซึ่งใช้กับ วัด สถานที่ราชการ บริษัท ห้างร้าน โรงงาน หรือบ้านที่มีฐานะพอทำได้ หลวงพ่อท่านแนะนำไว้ดังนี้

  1. บายศรี (ทำเป็นชั้นๆ ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชั้น)
   2. ไก่ 1 ตัว (วางไว้ทิศเหนือของโต๊ะ)
   3. หมู 3 หัว (วางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ อย่าวางผิดทิศนะ ถ้าวางผิดทิศต้องมีเรื่องแน่)
   4. ขนมต้มแดง และขนมต้มขาว
   5. ข้าวปากหม้อ ไข่ลูกยอด (ไข่ใส่ยอดบายศรี)
   6. กล้วยน้ำว้าสุก 1 หวี
   7. มะพร้าวอ่อน
   8. ถั่วราชมาส (ถั่วเขียวคั่ว)
   9. ถ้าเป็นบ้านก็ควรจะมี ปลาแป๊ะซะอีก 1 ตัว เพื่อพระภูมิเจ้าที่


    ถ้าชาวบ้านธรรมดา มีฐานะพอสมควรตั้งแต่จนถึงปานกลางนะ ใช้หมูชิ้นหนึ่ง แต่ชิ้นหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล อย่าลืมนะต้องมีปลาแป๊ะซะอีกตัวนะ เพื่อพระภูมิเจ้าที่ เพราะพิธีตั้งเป็นเรื่องท่านท้าวมหาราชท่าน


อ้างอิง
คัดจาก หนังสือ "สมบัติพ่อให้ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน" หน้า 237 และ 242
board.palungjit.com/f61/การบวงสรวงและเครื่องบวงสรวง-145809.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28530
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ทำไมต้องมีการบวงสรวงครับ

การประกอบพิธีบวงสรวง มีจุดมุ่งหมาย เพื่ออะไรครับ อยากทราบจริง ๆ ครับ (ขอบคุณครับ)
ตั้งกระทู้ โดย : คนวัด - [26 January 2554 - 22:01:33]


ตอบกระทู้  โดย : ธรรมยาตรา
    เรื่องของการบวงสรวง ถ้ามองกันในแง่ที่เข้าใจในปัจจุบัน หรือในทัศนะของนักปราชญ์กระดาษ ก็ดูจะเป็นเรื่องงมงายเกินไป แต่ถ้าจะพูดกันตามมุมของท่านที่ฝึกทางจิตใจจนจิตมีความสว่างพอใช้งานได้ แม้แต่เพียงฌานโลกีย์และฝึกด้านวิชชา ๓ ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่มีผลไม่น้อย

    การที่เอาเรื่องนี้มาพูดก็เพราะเรื่องที่จะรู้จักท่านขุนด่านก็มาจาก เรื่องบวงสรวงเป็นปัจจัย คำว่าปัจจัยแปลว่าเครื่องอาศัย จะอาศัยทางวัตถุหรือทางจิตก็ตาม ต้องอาศัยแล้วเรียกปัจจัยทั้งสิ้น จะลืมบอกไปเสียแล้วว่าวันนี้ตรงกับวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๔ มาพูดกันเรื่องบวงสรวงต่อไป

    ฉันพบเรื่องบวงสรวงครั้งแรกตอนปลายเดือนกรกฏาคม ๒๔๘๐ วันหนึ่ง หลวงพ่อปานท่านมีธุระจะอัญเชิญพระพุทธรูปไปไว้ที่วัดเขาสะพานนาค มีคุณหลวงวิริยะฯ และคุณหลวงกิจฯ ทั้งสองท่านนี้มีบรรดาศักดิ์คือราชทินนามเต็มว่าอย่างไรฉันไม่ทราบ เพราะเห็นหลวงพ่อท่านเรียกว่าคุณหลวงวิริยะ คุณหลวงกิจ เท่านั้น ก็เลยทราบชื่อท่านเพียงเท่านี้ ท่านทั้งสองมารับพระพุทธรูป หลวงพ่อท่านมีบัญชาให้ฉันไปนิมนต์พระมาในพิธีบวงสรวง ท่านเลือกเฉพาะพระที่ทรงฌานทั้งหมดรวม ๔ องค์

    ฉันกับสองลิงคงนั่งดูพิธีบวงสรวง ฉันสงสัยเรื่องของการบวงสรวงว่าที่ท่านทำนั้นมีผลเพียงใด จึงเรียนถามหลวงพ่อก่อนพิธีบวงสรวงว่า การบวงสรวงเชิญใครกันครับ ท่านบอกว่าเชิญท้าวมหาราชทั้งสี่ มีท้าวเวสสุวัณ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปปักษ์ และบริวารทั้งหมด



    ถามท่านว่าเชิญมาทำไม ท่านบอกว่าท่านทั้งสี่บอกท่านไว้ว่าเมื่อมีงานสำคัญเกิดขึ้นขอให้บอกท่าน โดยท่านแนะนำพิธีการไว้ เมื่อบอกแล้วทุกท่านจะมาช่วย ฉันยิ่งแปลกใจใหญ่ เรียนถามท่านว่าเมื่อเชิญแล้วท่านทั้งสี่พร้อมด้วยบริวารมาหรือเปล่าครับ ท่านหันมาถามว่าแกไม่เคยเห็นหรือ ฉันเคยเชิญมาหลายครั้งแล้ว แกไม่เคยเห็นท่านหรือ ความจริงเคยเห็นท่านเชิญเหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยู่ในวงการ

    เมื่อเห็นท่านเชิญก็เดินเลยไปเสีย คิดว่าเป็นเรื่องมายืนว่าคาถาสวดมนต์ธรรมดา ไม่มีอะไรนอกไปจากธรรมดาของพระ เมื่อเอะอะก็สวดมนต์ดะ สวดเพื่อสงเคราะห์คนฟังบ้าง สวดเพื่อสงเคราะห์กระเป๋าตนเองบ้าง ที่สวดเพื่อสงเคราะห์กระเป๋าตนเองมีปริมาณมากกว่าสวดเพื่อสงเคราะห์คนฟัง ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเคยอยู่ร่วมในวงการของพระ จะสังเกตไม่ยากพวกสวดเพื่อสงเคราะห์กระเป๋าตนเองมีลีลาการสวดหลายแบบ

     พิธีนี้ใช้บทนั้น พิธีนี้ใช้บทนี้ พอสวดกลับมาก็ตรวจตราซองที่ใส่เงิน บ้านนี้ได้เท่านี้หว่า บ้านนี้ให้เท่าไร บ้านไหนให้น้อยคิดด่าส่ง ที่ออกปากด่าเสียก็ไม่น้อย บางรายไปบังสุกุล เจ้าภาพให้น้อย เท่าที่เคยเห็น เจ้าภาพถวายเงิน ๑ สลึง น้ำตาล ๑ ห่อ สบง ๑ ตัว

     พอออกจากวัดไปบังสุกุลพวกเอาน้ำตาลที่เขาถวายมาวางไว้ที่ตรอกวัดเป็นแถว พวกจัญไรพวกนี้เป็นพวกทำลายพระศาสนาแท้ ๆ ไม่มีใครเหลียวแลเสียบ้างเลย น่าจะตรวจใบสุทธิ ทราบว่าใครเป็นอุปัชฌาย์แล้วจับอุปัชฌาย์สึกเสีย จะได้ไม่บวชส่งเดชเพื่อหวังเฉพาะค่าจ้างแรงงาน จะได้ปกครองสัทธิวิหาริกตามพระวินัย เลวจริง ๆ ที่ไม่มีใครสนใจพระธรรมวินัยกันเลย

      สำหรับท่านที่สวดเพื่อสงเคราะห์ ท่านสวดตามแบบที่ท่านประชุมตกลงกันและไม่หวังผลตอบแทน ได้หรือไม่ได้ ให้หรือไม่ให้ก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวคือสวดให้ฟังเล่นเพลิน ๆ พอมีผลทางใจบ้าง ไม่ใช่ไม่มีผลเลย เพราะคนฟังธรรมเพลิน แม้ไม่รู้เรื่องก็สามารถไปสวรรค์ชั้นกามาวจรได้



      มาพูดถึงเรื่องบวงสรวงกันต่อไป เมื่อฉันถามท่านว่าเขามากันหรือเปล่า ท่านก็ย้อนถามฉันว่าไม่เคยเห็นหรือ ความจริงตอนนั้นฉันบวชยังไม่ถึง ๑๕ วัน มัวตั้งท่าตั้งอารมณ์คุมสมาธิท่าเดียว ยังไม่ได้ฝึกพิเศษ ก็ตอบท่านว่าไม่เคยเห็นและไม่เคยสนใจ ท่านร้องว่า ทุด! นี่เป็นศัพท์ที่ท่านผู้ใหญ่ชอบใช้เมื่อเห็นพลพรรคไม่เป็นเรื่อง แล้วท่านก็บอกว่า

      เอาอย่างนี้สิ เมื่อพวกฉันเชิญ แกคอยนั่งดูนะว่ามีใครมาบ้าง หรือไม่แน่ใจว่าจะเห็นได้ เมื่อฉันเชิญจบสวด ๕ ครั้งแล้ว แกบอกในใจว่า ขอเชิญท่านท้าวมหาราช ทั้ง ๔ หรือองค์ใดองค์หนึ่ง ขอให้ท่านกรุณาไปพบในขณะที่ท่านทำสมาธิ จะเป็นเวลาเท่าไหร่ก็ได้ แต่แกต้องตั้งอารมณ์ให้เป็นสมาธิจริง ๆ นะจะเห็นท่านได้ ต้องการสี่องค์หรือองค์ไหนก็ตามจงทำตามนี้นะ ฉันรับปากท่านว่าจะทำตามนั้น

      เรื่องสงสัยยังไม่หมด คือ พระองค์ นิดเดียวที่ท่านจะมอบไปวัดเขาสะพานนาค ถามท่านว่า เขาบอกว่าจะช่วยงานใหญ่และสำคัญ ก็เวลานี้หลวงพ่อจะมอบพระองค์เล็กนิดเดียวให้วัดเขาสะพานาค เขาจะมาหรือครับ ท่านถามว่าแกเห็นว่าเรื่องอาราธนาพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเล็กนักหรือ พอท่านถามก็ตกใจ และคิดว่าเราเลวมากเสียแล้วที่เห็นเรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเล็ก ท่านสั่งให้ขอขมาพระพุทธเจ้าทันที

      ลูกหลานจำให้ดีนะ พระพุทธรูปในเมื่อเขาสร้างแทนองค์พระพุทธเจ้า เราเอารูปพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นปุถุชนเหมือนกันแต่ท่านมีบารมีมากกว่า ทำบุญมาดีกว่า ท่านจึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เอามาวางไว้ในที่ๆ ไม่สมควร

      ฉันคิดว่ากฎหมายอาจจะลงโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ เขาร่างกันไว้ตามนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ฉันคิดเอาเอง และก็คิดว่าน่าจะมีกฎหมายบังคับ เพราะถ้าท่านบุญไม่ถึงจริง ๆ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ เว้นแต่บุญของท่านจะไปยับยั้งลงเมื่อไรเท่านั้นเอง 


      ก็พระพุทธรูปในเมื่อเขาสร้างแทนองค์พระพุทธเจ้า เมื่อเราปรามาสจะไม่มีโทษหรือ ที่เขาซื้อขายกันนั้นเขาไม่ได้ซื้อขายพระพุทธเจ้า เขาขายวัตถุ ตามที่เขาเข้าใจเพราะฉันเคยเห็นเจ้าของร้านค้าพระพุทธรูปที่เป็นจีนเคยขาก ถุยลงในที่ ๆ มีพระพุทธรูปวางอยู่นั่นเป็นเรื่องของคนขาย แต่เราพุทธศาสนิกชน เราทำอย่างนั้นไม่ได้



การบวงสรวงคือ พิธีการทางพุทธศาสนา
     ที่ท่านโบราณคณาจารย์ได้กระทำ เพื่อเป็นการยอมรับนับถือท่านผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ในชีวิต มีพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์สาวก เทพไท้เทวา คุณบิดามารดา อาจารย์ทุกๆพระองค์ ทุกๆชาติ รวมทั้งพระภูมิเจ้าที่ ท่านท้าวจาตุรมหาราชทั้ง ๔ ท่านพระยายมราช เคารพท่านผู้เป็นใหญ่ในทั้ง ๓ โลก

ชื่อว่าบวงสรวง คนส่วนมากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพิธีการของพราหมณ์
    บวงสรวงเป็นภาษาพราหมณ์สมัยพุทธกาลก็เป็นภาษาบาลี ส่วนภาษาไทยแปลว่า ยอมรับนับถือท่านผู้มีพระคุณ คือพระรัตนตรัย พรหม เทวา ผู้เป็นใหญ่ดูแลโลก ดูแลคุ้มครองผู้ที่มีบุญบารมี ไม่ให้ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุ จากผู้ร้าย จากภัยธรรมชาติ เป็นพิธีการบูชาพระคุณความดีของท่านที่มีคุณงามความดีต่อสรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก

จุดประสงค์ของการบวงสรวงมีมากมายหลายข้อ
     แล้วแต่จุดประสงค์ของแต่ละท่านที่จะบวงสรวงเพื่ออะไร ก็ตั้งจิตอธิษฐาน อัญเชิญท่านผู้เป็นใหญ่ ท่านผู้มีพระคุณ ถ้าศาสนาพราหมณ์ก็บูชา พระพรหม เทวาอารักษ์ ถ้าเป็นชาวพุทธก็อัญเชิญท่านผู้เป็นใหญ่สูงสุด คือองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสาวกทุกๆพระองค์เบื้องบนพระนิพพาน คุณบิดามารดาทุกๆชาติ เทพเจ้าพระพรหมเทวดาที่ดูแลคุ้มครองป้องกันทั้ง ๓ โลก

    เมื่อพระองค์ท่านเสด็จมาแล้วตามที่เราตั้งใจอัญเชิญด้วยความเคารพนับถือ ด้วย ใจจริง ขอให้ท่านช่วยเหลืองานใหญ่ๆ ที่เราจะทำ เช่นสร้างวัด สร้างบ้าน สร้างตึก เป็นต้น ก็ทำให้ ผีวิญญาณ คนสัตว์ ได้เห็นพระท่านมา ได้โมทนา ยินดี เมื่อได้เห็นแสงสว่างจากท่านผู้บริสุทธิ์ มีปัญญาบารมี มีความสุขสดชื่น โลกก็ไม่วุ่นวายเดือดร้อนจนเกินไป สรรพสัตว์ จะอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น



คุณประโยชน์ของการบวงสรวงมีมากมาย หลายข้อ สรุปเป็นข้อใหญ่ๆได้ดังนี้
     1. เป็นการปฏิบัติบูชา ด้วย กาย วาจาใจ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นการบูชาแบบพิธีการเทิดพระเกียรติของท่านผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ ไพศาล คือองค์พระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกทุกๆพระองค์ คุณพ่อ คุณแม่ทุกๆชาติ คุณครูอาจารย์ทุกๆชาติ เทพเทวาอารักษ์ผู้รักษาโลกนี้ทุกๆพระองค์

    2. เป็นการมอบกายถวายชีวิต เป็นลูกศิษย์ขององค์พระตถาคตเจ้าอย่างเป็นพิธีการ
     3. เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ทุกดวงจิตในโลกมนุษย์ ตั้งแต่ เปรต ผี วิญญาณพเนจร คน ให้พ้นทุกข์ พ้นอันตราย และให้โลกอยู่ร่มเย็นเป็นสุข จากอานิสงส์ผลบุญของการบวงสรวงที่สรรพสัตว์ได้โมทนากับกุศลผลบุญ


     4. สรรพสัตว์ทั้งหมดทุกดวงจิตวิญญาณ ทั้งผีและคนได้เห็นพระฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคย์ที่ได้โปรดเมตตาทรงเสด็จมาเป็นองค์ พระประธานของการบวงสรวง ก็มีจิตปีติ ยินดี สดชื่น เบิกบาน มีความสุข พ้นจากทุกข์บาปกรรม

     5. เป็นการสะเดาะเคราะห์ของโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย จากภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุต่าง ๆ ภัยเศรษฐกิจ ฯลฯ เนื่องจากบาปกรรมของ คน สัตว์ รวมทั้งภูต ผีวิญญาณมากมายหลายล้านที่คนมองไม่เห็น ผี คือจิตวิญญาณของคนที่ตายแล้ว แต่ไม่ไปไหนยังคงเวียนวนอยู่ในโลก เพราะความลุ่มหลงในร่างกายตนเอง ร่างกายคนรัก ทรัพย์สมบัติของตน จึงไม่พ้นจากการเป็นผี

     6. เป็นงานพุทธาภิเษก ด้วยการขอพระบารมี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เมตตาให้วัตถุมงคล ทุกชนิดมีพลังพระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ เพื่อปกปักรักษา ป้องกันอันตราย และช่วยให้ผู้ได้วัตถุมงคลไปบูชา มีจิตก้าวหน้า เข้าถึงพระธรรม ได้รวดเร็ว



ขั้นตอนพิธี
    1. ควรทำปีละครั้ง นิยมทำตอนเช้า ไหว้พระกล่าวอัญเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า คุณบิดามารดา คุณครูอาจารย์ เทพพรหมผู้เป็นใหญ่ดูแลโลก รวมทั้งท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระภูมิเจ้าที่ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระโภสพ รุกขเทวดา ทั่วชั้นฟ้า ชั้นดินทุกๆพระองค์ ขออันเชิญมาทั้งหมด
    2. กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย
    3. กล่าวขอขมาต่อพระรัตนตรัย
    4. ตั้งจิตอธิษฐานปฏิญาณตนเป็นพุทธมามะกะ
    5. กล่าวขอพรในสิ่งที่ปรารถนา แล้วแต่ท่านตั้งใจจะทำอะไร ถวายสังฆทาน ทำบุญวิหารทาน ธรรมทาน
    6. ทำสมาธิ ๕ นาที
    7. ถวายสังฆทาน ทำบุญ
    8. แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลขอฝากไปกับพระฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปยัง นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ขอให้สรรพสัตว์ ทุกดวงจิตหลุดพ้นจากภัยอันตราย มีความสุขสดชื่น และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดโดยสิ้นเชิง



ความคิดเห็นที่ 7 โดย : อศจ2495
    การบวงสรวงเกิดจากความกลัวของมนุุษย์ที่มีต่อสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวสิ่งเหล่านั้นจะมาทำอันตรายจึงต้องบวงสรวงสังเวยด้วยเครื่องเซ่นเพื่อให้ พอใจ ชอบใจ จะได้ไม่ทำอันตรายแก่ตัวเองจุดประสงค์มีแค่นี้เอง แต่ความเป็นจริงในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาไม่น่าจะมีการสอนให้มีการบวงสรวงสังเวย มีแต่ในศาสนาพราหมณ์เท่านั้น

     พระพุทธศาสนาสอนคนให้ เชื่อมั่นตัวเอง เชื่อในศักยภาพความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่ามนูษย์อีกแล้วครับท่าน ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ดังตัวอย่าง ที่เขาเล่ากันว่า มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ข้างทาง สุนัขขี้ใส่ คนเห็นก็ตัดกิ่งไม้ปิด คนหลังมาก็ทำเหมือนกันจากกิ่งไม้ กลายเป็นดอกไม้ พวงมาลัย ผ้าสามสี

     สุดท้ายก็สร้างเป็นศาล ใครผ่านไปมาก็ยกมือไหว้ วันหนึ่งก็มีสองหนุ่มผ่านมาเห็น ก็ท้ากันว่า เอ็งแน่หรือเปล่า หากแน่เอ็งลองไปฉี่ใส่ศาลดูซิรับรองโดนเจ้าเล่นงานแน่ เจ้าเพื่อนไม่เชื่อเลยฉี่ใส่ กลับถึงบ้าน นอนไม่หลับป่วยไปหลายวัน

     ต่อมามีฝรั่งคนหนึ่งผ่านมา ไม่รู้เรื่องอะไร ปวดฉี่ จึงฉี่หน้างศาล กลับถึงบ้านนอนหลับสบาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเหตุไร คนสองคนนี้ จึงมีผลต่างกัน คือคนหนึ่ง ป่วย อีกคนไม่เป็นอะไรเลย ก็เพราะใจนั่นเอง เจ้าคนไทยพอฉี่ใส่ศาลก็ไปนอนจิตนาการ ว่าเจ้าจะมาหักคอบ้าง ทำร้ายตัวเองบ้าง คิดสารพัดจนเจ็บป่วย ส่วนเจ้าฝรังแก่ไม่รู้เรื่องและไม่คิดอะไรเลย จึงไม่เป็นอะไร เห็นไมขอรับว่า อยู่ที่ใจ หากใจเข้มแข็งเสียอย่าง ไม่มีอะไรทำเราได้


ความคิดเห็นที่ 9 โดย : กอศ.ยศ.ทร.
    การบวงสรวง คือพิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เทพยดา เป็นต้น ด้วยเครื่องสักการะมีดอกไม้ เป็นต้น และเครื่องสังเวยมี หัวหมู เป็ด ไก่ ขนมต้มแดง-ต้มขาว เป็นต้น โดยมีจุดประสงค์ ๓ ประการ คือ
    ๑. เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกปักรักษา อำนวยโชคลาภ และสิริมงคล
    ๒. เพื่อบูชาคุณความดีและตอบแทนอุปการคุณ
    ๓. เพื่อเป็นเทวตาพลีตามหลักศาสนา


ที่มา http://www.navy.mi.th/navedu/webboard/ex11_32.php?q_id=647
ขอบคุณภาพจาก http://topicstock.pantip.com/,http://cdn.gotoknow.org/,http://www.phranorn.com/,http://www.kanesorn.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28530
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
สำหรับ ชาวพุทธอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ เราก็ไปมาหลายที่ ๆ เป็นวัดก็เห็นมีพราหณ์ บ้าง เจ้าพ่อร่างทรง เจ้าแม่ร่างทรงบ้าง มาเพื่อทำพิธิ บวงสรวง แล้ว ก็เลยเกิดความสงสัยว่า

   เราจะบวงสรวง เทวดาทำไม ?
   ทำเวลาไหน ?

   เครื่องบวงสรวง ที่เทวดาไม่ชอบ จะมีโทษแก่เราหรือไม่ ?

   คือทราบว่า เทวดา มีกายเป็นทิพย์ จะมาบริโภคอาหารหยาบ หรือ ? ความเข้าใจส่วนนี้ ทำอย่างไร จึงจะถูกต้อง กันคะ


   เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล คนที่เห็น กับคนที่ไม่เห็น ความเชื่อความศรัทธามีต่างกัน เรื่องนี้ถือเป็นปัจจัตตัง
   เรื่องความเป็นไปของโลกมนุษย์ สวรรค์ และพรหม เป็นอจินไตย ปุถุชนอย่าได้คิดหาคำตอบให้เสียเวลา
   ชาวพุทธทุกท่านแยกแยะได้ว่า สิ่งใดเป็นกุศล หรือไม่เป็นกุศล จะปฏิบัติตามหรือไม่อย่างไร

   อย่างไรก็ตาม ที่ผมนำบทความในสายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาให้อ่าน เพราะทราบว่า กลุ่มนี้มีบารมีเยอะ
ผมเคยสัมผัสมาแล้ว คนปรารถนาพุทธภูมิจะมีบารมีเยอะมาก บางคนมีตาทิพย์เห็นแม้กระทั้งมนุษย์ต่าวดาว
โดยไม่ต้องนั่งหลับตา หรือต้องทำสมาธิแต่อย่างใด(ขณะเดินไปมาก็เห็น)

   คำถามที่ไม่ได้ตอบ ขอให้พิจารณาเอาเอง ขอตอบในภาพรวมเท่านั้น
   ขอคุยเท่านี้นะครับ

    :49:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28530
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

กระทู้แนะนำ
วิธีการ..'เพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้เทวดา'..ที่อยู่ใกล้ตัวเรา
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=8014.0
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ