ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เวลาที่ ท้อใจ ทำอย่างไรดีคะ จึงจะไม่เกิดความย่อท้อ  (อ่าน 11108 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
บางที เราอยู่ในสังคม หมู่ญาติ เพื่อน สหธรรม ในการพยายาม ส่งเสริมคุณงาม ความดี และ หลักธรรม

ให้กับคนรอบด้าน ออกไป แต่บางครั้งก็ได้รับการเย้ยหยัน ว่าคร่ำครึบ้าง บางที ฟ้าใส ทำบุญก็จะโดนบรรดา

ญาติพี่น้อง ขัดขวาง ไม่ร่วมอนุโมทนา บางครั้งนำธรรมะมาฝาก ให้กับเขาเหล่านั้น แล้ว ถูกปฏิเสธ

จนรู้สึกว่า ท้อถอย กับการชักนำในฐานะ กัลยาณมิตร ต่อกัน จนกระทั่งใจก็บอกว่า ช่างห้วมัน ไม่ยุ่งแล้วเรา

ทุกครั้งที่ความรู้สึก ย่อท้อ แบบนี้บางทีก็เกิดขึ้นบ่อย ตามแรงกระทบ

อยากทราบว่ามีวิธีใด ในการทำใจให้ ไม่ย่อท้อหรือ ถอย บ้างคะ ถึงจะยืนหยัดในหลักธรรมได้คะ

 :25:
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28938
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ขอตอบแบบกำปั้นทุบดิน

ประการแรก การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของ "การพิจารณาดูกายดูจิตของตัวเอง"

การส่งจิตออกนอก ไปเพ่งโทษผู้อื่น ผลที่ตามมาก็คือ จิตจะเศร้าหมอง

ฉะนั้น ควรที่จะส่งจิตออกนอกหรือไม่  คุณฟ้าใสควรพิจารณาโดยแยบคาย


ประการที่สอง หากเจริญสติไม่ทัน จิตมันส่งออกไปแล้ว

หรือด้วยความจำเป็นบางอย่าง ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่แวดล้อม

ก็ควรถือว่า นี่คือ บททดสอบ "ธรรมะในใจ" ของคุณฟ้าใสเอง

การปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาของคุณฟ้าใส สามารถวัดผลได้ ก็ตอนนี้แหละครับ


สรุปก็คือ ให้เจริญสติครับ

ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
 :58: :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7263
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
คนท้อใจ นี่หน้าตา ระรื่นชื่นบาน เลยนะ อืม .....



ทุกครั้งที่เกิด ความท้อใจ หรือ หมด กำลังใจ ที่จะทำคุณงามความดี

ให้ย้อนกลับไปตั้งที่ นะโม สวดบท นะโม .... ( มีเรื่องในครั้้ง พุทธกาล  ใครพอจะพอโพสต์ เรื่องนี้ได้ ก็โพสต์หน่อยนะจ๊ะ ) พระพุทธองค์ ทรงตรัสเองเลยด้วยซ้ำว่า

เืมื่อใดที่จิตหดหู่ ทุรนทุราย มีความกลัว และ ท้อถอยแห่ง จิต ให้ สวดบท พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ไปเรื่อย ๆ จนกว่า ใจ จะหายจากความหดหู่ ทุรนทุราย เป็นต้น

ในบทนี้ ชื่อว่า บท ธชัคคสูตร ว่าด้วย ธงชัยของพระศาสนา

ยามใดที่ท้อแท้ ก็เริ่มต้นที่ พุทโธ ศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ จะทำได้เองโดยธรรมชาติแห่งจิต

ยามใดที่ปราโมทย์ ยินดี ก็พึงยัง คุณธรรม แห่ง พระกรรมฐาน ให้งอกงามไพบูลย์

ดังนั้นจะเห็นว่า พระพุทธานุสสติ มีแต่ได้ กับได้ เท่านั้นไม่มีเสีย นะจ๊ะ

ถ้านึกถึง ไม่ทัน ก็ นะโม .... สั้น ๆ  สวดไป สวดมา นั่นแหละ

นี่เป็นประการที่หนึ่ง นะจ๊ะ


ประการต่อมา เมื่อเราสังวรใจได้ หรือ ไม่ได้ พึ่งไปหา กัลยาณมิตร เช่น เว็บบอร์ดนี้ ก็มีกัลยาณมิตร อยู่มาก

ให้พบปะ พูด คุย สนทนา กับ กัลยาณมิตร อย่า ไปหา พวกอธรรม เดี๋ยวคุณธรรม จะตก


ประการต่อมา เมื่อได้พูดคุย กับ กัลยาณมิตร แล้ว สิ่งสำคัญ ก็ควรจะได้ สติ แล้ว

กลับมาิพิจารณา มรณัสสติ คือ การระลึกความตายเสียบ้าง จักได้วางเรื่องไร้สาระ ลงบ้าง


ประการต่อมา เมื่อระลึกถึงความตายได้แล้ว พึงพิจา่รณา โดยการแผ่เมตตา ตามหลักการ การแผ่เมตตา

ให้ตัวเรามีสุขก่อนนะจ๊ะ เป็นต้น

เพียงเท่านี้ ก็เชื่อว่าจักคลายท้อถอยลง ได้แล้ว


เจริญพร

 ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เราอยู่ในสังคม หมู่ญาติ เพื่อน สหธรรม ในการพยายาม ส่งเสริมคุณงาม ความดี และ หลักธรรม

ให้กับคนรอบด้าน ออกไป แต่บางครั้งก็ได้รับการเย้ยหยัน  ขัดขวาง ไม่ร่วมอนุโมทนา  ถูกปฏิเสธ

จนรู้สึกว่า ท้อถอย จนกระทั่งใจมันรู้สึก ย่อท้อ เกิดขึ้นบ่อยตามแรงกระทบ

มีวิธีใด ในการทำใจให้ ไม่ย่อท้อ หรือ ถอย บ้างคะ ถึงจะยืนหยัดในหลักธรรมได้คะ

 :25:


            จากที่คุณ ฟ้าใส เกริ่นเล่ามา ผมเองก็ขอเล่าประสบการณ์เรื่องลักษณะนี้บ้างเพื่อเป็นวิทยาทานไว้ตรงนี้

ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งทำงานอยู่แผนกคลัง แม้ไม่คุ้นเคยกันนักแต่ทำงานก็เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวัน หากแต่

เพื่อนคนนี้จะสนิทกับเพื่อนผมที่ทำงานแผนกเบิกจ่าย ซึ่งเท่ากับเพื่อนคนนี้ผมรู้จักผ่านทางเพื่อนแผนกเบิกจ่ายอีก

ต่อหนึ่ง เราทั้งสามหมายมั่นจะไปขึ้นพระกรรมฐานที่วัดราชสิทธารามร่วมกัน โดยผมและเพื่อนแผนกเบิกจ่ายได้

ไปขึ้นพระกรรมฐานมาแล้วก่อนหน้า จึงชักชวนบอกต่อเพื่อนที่มีอุปนิสัยเดียวกันไปพบครูบาอาจารย์ร่วมกัน จาก

นั้นกำหนดหมายการเดินทางเอาไว้โดยมีเพื่อนที่จะร่วมเดินทางกันทั้งหมด 5-6 คน


          แต่แล้วด้วยวาสนาบุรพกรรมร่วมกันไม่มี ก่อนการเดินทางเพียง 1 สัปดาห์เศษ เพื่อนคนนี้ก็ประสบ

อุบัติเหตุกลายเป็นเจ้าชายนิทรา กว่าผมจะทราบเรื่องก็ 1 สัปดาห์ต่อมา ในวงสนทนาเพื่อนๆร่วมสหธรรมได้แต่

ปลงไม่พูดใดใดอีกเลย มีเพียงแต่ผมที่ไปสืบเสาะและปลีกเวลาไปเยี่ยมดูอาการ ผมได้ทำความรู้จักกับครอบครัว

ของเพื่อนที่ป่วยและอาสาขวนขวายที่จะหาวิธีการช่วยเหลือ โดยเข้าปรึกษาพระอาจารย์ ขณะที่ท่านมีกิจอยู่ที่วัด

ราชสิทธาราม พระอาจารย์ได้เมตตาอนุเคราะห์ไปเจริญนวหรคุณช่วยเหลือ แม้ว่าจะเหลือดวงจิตที่มหาศูนย์แต่ที่

หทัยนั้นไม่มี ท่านพระอาจารย์ก็อนุเคราะห์ตามจิตกลับ แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองกับดวงจิตของเขา เราจึง

ได้แต่ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม เพื่อนคนนี้อยู่ต่อมาได้ร่วม 3 เดือน ก็มีอาการติดเชื้อที่ปอดขั้นรุนแรงและเสีย

ชีวิตในที่สุด สร้างความทุกระทมให้แก่พ่อแม่ลูกเมียอย่างมาก ผมอยู่ด้วยในขณะเหตุการณ์ที่ทุกคนตัดสินใจปลด

สายออกซิเจนออกตามคำแนะนำของแพทย์


          จากการสูญเสียผู้นำครอบครัวไป ทำให้แฟนเพื่อนผู้วายชนม์ต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรเพียงลำพัง เธอจึง

มาทำงานรับเหมาที่โรงงาน ซึ่งก็อยู่ใกล้แผนกที่ผมปฏิบัติงานอยู่ จากเท่าที่ผมสังเกตเห็นสีหน้าและแววตาเธอ

เศร้าสร้อยอยู่ระยะหนึ่ง ผมคิดว่าเธอเองคงทำใจได้และต่อสู้ต่อไปเพื่อลูก จนกระทั่งวันหนึ่งเธอโทรมาปรึกษาผม

ว่าได้ถูกหัวหน้างานในแผนกผมแทะโลมหมายคิดมิดีมิร้ายด้วยการกรั่นแกร้งเพียงเพราะเธอไม่ยอมต่อกิเลส

ตัณหาของเขาหาเรื่องหาราวให้เธอต้องถูกออกจากงาน เธอเสียใจมาก ผมได้แต่สวดมนต์อธิิษฐานเจริญ

กรรมฐานช่วยหวังให้เธออยู่รอดปลอดภัยมีคนช่วยเหลือให้สามารถผ่านวิกฤษที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้


          จากเรื่องนี้เป็นสิ่งเดียวในใจที่ผมทุ่มเทช่วยคนอื่นด้วยใจที่บริสุทธิ์ หวังให้ผู้อื่นเป็นสุข แต่คนบางคนมีใจ

มิใช่คนอาศัยกิเลสตัณหาครอบงำเบียดบังคนอื่นอย่างมิมีใจการุณเยื่องนี้ แถมเป็นผู้บังคับบัญชาผมด้วย ทุกครั้งที่

นึกถึงผมเศร้าใจทุกครั้ง และท้อแท้กับตัวเองในการกระทำความดี ผมเหมือนรู้สึกพ่ายแพ้ ไม่สามารถต่อกรกับ

พาลชนคนชั่วพวกนี้ได้ ประหนึ่งว่าโลกนี้คือบ้านของพวกเขา(คนพาล-หยาบช้า) เราอยู่ร่วมกับพวกเขา(คน

พาล-หยาบช้า) ไม่มีวันที่จะเอาชนะพวกเขาได้เลย โลกไม่เคยสิ้นคนเลว คนเลวไม่คิดว่าการกระทำชั่วช้าเป็น

ความผิด มีแต่คนดีคิดดีที่ทำชั่วไม่เป็นเท่านั้น ที่ต้องหลีกหนี้เหมือนโลกนี้ไม่มีผืนแผ่นดินให้คนดีได้เหยียบยืน คน

ดีเหมือนประหนึ่งไร้ค่าไม่มีความหมาย โลกไม่ได้เชิญให้มา เราวุ่นวายเอง มาช่วยพวกเขาเอง ความสุขความดีที่

คนชั่วไม่เห็นค่า แต่คนชั่วมีสุขมีเสพอยู่กับความเลวนั่นเป็นบรมสุขของพวกเขา เพราะอย่างนี้พระอาจารย์ท่านจึง

กล่าวไว้ให้พินิจอยู่บ่อยๆคือ "ตัวเราดี แล้วโลกนี้เดือดร้อนอะไร" ผมขอจบเรื่องเศร้าที่มิอาจลืมของผมตามกระทู้

คุณ ฟ้าใส เกริ่นไว้เพียงเท่านี้ และขอฝากคำกล่าวสอนของพระอาจารย์ไว้ในเครื่องหมายคำพูดให้เพื่อนๆตามคิด

ดู.........สวัสดีครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 01, 2010, 01:19:44 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

translate

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 105
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เมื่อจะท้อถอย ในเรื่องใด ๆ ก็ขอให้ภาพนี้เป็นตัวอย่างของคนที่ยังต้องสู้ครับ











 :25: :25:
บันทึกการเข้า

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 :'( :'( :'(

ซึ้งใจจริง กับความพยายามของคุณพ่อ ที่ต่อสู้

 :25: :25:
บันทึกการเข้า