ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนาน : มหาศิลาเปรต  (อ่าน 9846 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29305
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« เมื่อ: กันยายน 18, 2013, 11:17:11 am »
0

ตำนานพระพุทธบาทสี่รอย (ฉบับล้านนา)
พระครูพุทธบทเจติยารักษ์ (พระครูบาพรชัย ปิยะวัณโณ)
วัดพระพุทธบาทสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

ความเป็นมาของมหาศิลาเปรต

ย้อนไปในอดีตกาลอันไกลโพ้น นับได้ ๙๒ กัป ที่ล่วงมาแล้ว ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง สมัยนั้นนั่นแล ทรงพระนามว่า “พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า”เสด็จอุบัติขึ้นในโลก เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ ให้ล่วงพ้นวัฏสงสาร
เฉกเช่นเดียวกับพระสมณโคดมพุทธเจ้าของเราในปัจจุบันสมัยนี้

ในครั้งนั้นบังเกิดมีพระสาวกองค์หนึ่งในพระวิปัสสีพุทธเจ้ามีฐานะเป็นพระสังฆนายก ปกครองพระภิกษุเถรานุเถระเป็นอันมาก แต่พระสังฆนายกองค์นี้ กลับแสวงหาปัจจัยทั้งสี่ อันได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัย มากเกินสมควร ได้มีคำสั่งออกไปทั่วสังฆมณฑลว่า

   “วัดของเรานี้ไม่เหมือนวัดอื่นๆ ด้วยเป็นที่ชุมนุมของพระมหาเถระเจ้าทั้งหลายอยู่เป็นเนืองนิตย์ ฉะนั้นขอให้พระภิกษุทั้งหลาย จงนำเอาปัจจัยสี่อันเป็นของสงฆ์ทั้งหลาย อันได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย รวมทั้งแก้วแหวนเงินทองทั้งปวงมาให้แก่วัดของเรา เพื่อว่าเราจะได้นำมาถวายทาน แก่พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายต่อไป”


 :96: :96: :96:

เมื่อพระภิกษุทั้งหลายได้รับคำสั่งของพระสังฆนายกดังนี้แล้ว ต่างก็ล้วนลำบากใจ แต่ไม่กล้าทักท้วงคัดค้าน ด้วยเกรงจะมีความผิด คงได้แต่จำใจนำของมามอบให้ที่วัดของพระสังฆนายก จนเต็มโบสถ์เต็มวิหารไปหมด

ท้ายที่สุดเมื่อพระสังฆนายกองค์นั้นได้มรณภาพลงไปแล้ว ก็ได้ตกนรก จมลงไปหมกไหม้อยู่ในอบายภูมิทั้ง ๔ ตลอดกาลนาน ด้วยผลกรรมที่ได้เบียดเบียนพระสงฆ์ทั้งหลายให้ต้องได้รับความลำบาก เมื่อชดใช้กรรมในนรกแล้ว อดีตพระสังฆนายกองค์นั้นก็ได้เกิดมาเป็นเปรต มีนามว่า “มหาศิลาลวงใหญ่” (เปรตหิน) พูดวาจาใดใดไม่ได้ ด้วยสรีระกลายเป็นหิน



[ภาพรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ ที่ล่วงมาแล้วในภัทรกัปนี้]


พระพุทธเจ้ากกุสันโธ เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต และทรงเมตตาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ เหนือหินมหาศิลาเปรตเป็นรอยแรก โดยทรงเมตตาประทานให้เอง

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกาลเวลาได้ล่วงเลยมาถึง ๙๒ กัป ลุถึงสมัย “พระพุทธเจ้ากกุสันโธ” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑ ในมหาภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ได้เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรตแล้ว จึงทรงประทับรอยพระบาทไว้เหนือก้อนหินมหาศิลาเปรตนั้นเป็นรอยแรก

และทรงมีพระมหากรุณาตรัสสอนมหาศิลาเปรต และให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “อัปปะกิจโจ อัปปะกิจโจ”
ซึ่งหมายถึง เป็ยนักบวชควรทำตนเป็นผู้มีภาระน้อย เพราการมีภาระมากไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผลนิพพาน จะกลายมาเป็นมารมาผูกมัดจิตใจ ทำให้ตนต้องได้ตกอยู่ในอบายภูมิ


(มีต่อ)
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 18, 2013, 03:04:38 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

saiphone

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 134
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 18, 2013, 09:08:35 pm »
0
ตำนานพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ นั้น น่าจะเชื่อได้ยากเพราะไม่มีหลักฐาน

และในพระไตรปิฏก ไม่ได้แสดงไว้เรื่องเหล่านี้
บันทึกการเข้า
พระธรรม นำให้ ส่วางไสว ในดวงจิต

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 18, 2013, 09:19:57 pm »
0
ขอแรงผู้รู้  ช่วยค้นหา พระสูตร ที่มี...เนื้อหาที่เกี่ยวกับ...พระพุทธเจ้า กล่าวถึง พระพุทธเจ้าองค์ก่อน

     เพื่อขยายความ เพื่อแก้ วิจิกิจฉา
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29305
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 19, 2013, 07:55:13 am »
0
[วัดพระพุทธบาทสี่รอย บริเวณทางขึ้น]


พระพุทธเจ้าโกนาคมโน เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรตและทรงเมตตาประทับรอยพระพุทธบาทเป็นรอยที่ ๒ โดยทรงประทานให้เอง ซ้อนรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ

ภายหลังที่พระพุทธเจ้ากกุสันโธได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็มาถึงสมัยของ พระพุทธเจ้าโกนาคมโนพระองค์ก็ได้เสด็จมาที่มหาศิลาเปรต ให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “สัลละหุกะวุตติ” ไปตลอด จะได้หลุดพ้นจากความเป็นเปรตในภายภาคหน้า จากนั้นพระพุทธเจ้าโกนาคมโนก็ได้ประทับรอยพระบาทซ้อนไว้ ในรอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันโธเป็นรอยที่ ๒ (ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารอยที่ ๑)


 st12 st12 st12

พระพุทธเจ้ากัสสโป เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต และทรงเมตตาประทับรอยพระพุทธบาท เป็นรอยที่ ๓ โดยประทานให้เอง ซ้อนรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๒ พระองค์ ในมหาภัทรกัปนี้

ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าโกนาคมโน ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็มาถึงสมัย พระพุทธเจ้ากัสสโป ซึ่งพระองค์ก็ได้เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต ด้วยเหตุผล ๒ ประการ คือ เพื่อทรงชี้แนวทางตรงไปสู่พระนิพานหนึ่ง และเพื่อให้มหาศิลาเปรตนั้น พ้นจากปิติวิสัย (ภูมิแห่งเปรต) อีกประการหนึ่ง

พระพุทธเจ้ากัสสโป จึงเสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรตเป็นพระองค์ที่ ๓ และได้ทรงมีระพุทธดำรัสตรัสชี้แนะให้มหาศิลาเปรตนั้น ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “อัปปะคัพโภ อัปปะคัพโภ” ด้วยทรงมีพระมหากรุณาให้พ้นจากความเป็นหิน แล้วจึงได้ทรงประทับรอยพระบาท ซ้อนไว้ในรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ ปรากฏเป็นรอยที่ ๓ ขึ้นมา (ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารอยพระพุทธบาททั้ง ๒ รอย)


[รอยพระพุทธบาทที่ประทับซ้อนกันของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์]

พระพุทธเจ้าโคตโม (พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต ณ เวภารบรรพต (วัดพระพุทธบาทสี่รอย ในปัจจุบันนี้) และทรงเมตตาประทับรอยพระพุทธบาทเป็นรอยที่ ๔ โดยประทานให้เอง ซ้อนรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ในมหาภัทรกัปนี้

ภายหลังจากที่พระพุทธเจ้ากัสสโป ได้เสด็จดับขันธปรินิพานไปแล้ว ก็มาถึงพุทธสมัยแห่งพระศาสนาของ พระพุทธเจ้าโคตโม (พระสมณโคดม) ได้เสด็จจาริกประกาศธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ไปตามสถานที่ต่างๆ พร้อมด้วยพุทธสาวก ๕๐๐ องค์ อันมี พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอานนท์ เป็นต้น

จนกระทั่งเสด็จมายัง ปัจจันตยประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ถึงเทือกเขาตอนเหนือของประเทศชื่อ เวภารบรรพต (สถานที่แห่งนี้) และได้แวะเสวยจังหันอยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อพระพุทธองค์เสวยจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั่น ก็ได้ทรงทราบด้วยพระญาณสมบัติว่า ในเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ก่อนในภัทรกัปนี้ประทับอยุ่บนก้อนหินก้อนใหญ่ พระองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพุทธเจ้าโกคมโน พระพุทธเจ้ากัสสโป


[ภาพแสดงการประทับซ้อนรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ในมหาภัทรกัป]

ในวาระนั้น พระพุทธเจ้าโคตโมได้มีพระพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่า
    “ดูกร อานนท์ ก้อนศิลาอันงามวิเศษ ที่เป็นเหตุแห่งการโปรดสัตว์ทั้งหลายยังปรากฏมีอยู่ฤา”
พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก จึงกราบทูลว่า
    “ภันเต ภะคะวา ก้อนหินนี้มีรอยพระพุทธบาทใหญ่ ๓ รอยงดงามยิ่งนัก เหมือนรอยพระพุทธบาทของพระศาสดาพระพุทธเจ้าข้า”

จากนั้น พระพุทธเจ้าโคตโมจึงได้ตรัสถึงอดีตกาลที่ได้ผ่านมาแล้วแต่ปางบรรพ์ แก่พระอานนท์และพุทธสาวกว่า
    “ดูกรอานนท์ ก้อนศิลานี้มิใช่ศิลาแท้จริงดอก แต่เป็นก้อนอสุราที่กลับกลายเป็นก้อนศิลา (เป็นศิลาเปรต) ศิลานี้เคยเป็นพุทธสาวกในพระพุทธเจ้าวิปัสสี
      สมัยนั้นท่านเป็นพระสังฆนายก ถืออำนาจบาตรใหญ่ บังคับเอาของของคนอื่นมาเป็นของตน ตนเองเป็นพระภิกษุ แต่มักมาก ถือว่าตนเองฉลาด คิดว่าตนเองได้ของมาโดยบริสุทธิ์โดยมิได้คำนึงถึงความผิดถูกตามพระธรรมวินัย ถือว่าตนเองเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าและเป็นใหญ่ เอาของของสงฆ์มาใช้ตามอำเภอใจ จึงทำให้เป็นศิลาเปรตอยู่ในบัดนี้
     พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาลได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ ทุกพระองค์ และแม้พระศรีอริยเมตไตรย ก็จะเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้และจักประทับรอยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว (คือ ประทับลบทั้งสี่รอยให้เหลือรอยเดียว)


     :25: :25: :25:

    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแก่สาวกทั้งหลายเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จประทับพระบาทซ้อนรอยพระบาท ของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ แล้วก็ทรงอธิษฐานว่า
    "ในเมื่อกูตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็จักนำเอาพระธาตุของกูตถาคตมาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทนี้ ในเมื่อกูตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒,๐๐๐ ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ก็จักปรากฏแก่ปวงมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เพื่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลายจักได้มากราบไหว้และสักการะบูชา"

    เมื่อทรงอธิษฐานและทำนายไว้ดังนี้แล้ว จึงมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ จึงกำเนิดเป็นพระพุทธบาทสี่รอย เมื่อพระพุทธองค์ทรงประทับรอยพระพุทธบาทแล้ว ก็เสด็จไปเขตวันอาราม อันมีในเมืองสาวัตถีนั้นแล

    (มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 19, 2013, 08:04:38 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29305
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 20, 2013, 10:53:21 am »
0
[พระอุโบสถของวัดพระพุทธบาทสี่รอย]

เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ มาบรรจุไว้ที่พระพุทธบาทสี่รอย และเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานล่วงมาแล้ว ๒,๐๐๐ วัสสา (ปี) เทวดาทั้งหลายต้องการให้พระพุทธบาทสี่รอยปรากฏแก่คนทั้งหลาย ตามที่พระองค์ทรงอธิษฐานไว้

จึงเนรมิตเป็นรุ้ง(เหยี่ยว)ตัวใหญ่ บินลงมาจากเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้
ไปจับลูกไก่ของชาวบ้าน (พรานป่า) ที่อาศัยอยู่เชิงเขาเวภารบรรพต แล้วบินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขา พรานป่าโกรธมากจึงติดตามขึ้นไป คิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็ติดตามไปค้นหาดู แต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้นอีก เห็นแต่รอยพระพุทธบาทสี่รอย อันอยู่บนพื้นใต้ต้นไม้และเถาวัลย์

พรานป่าผู้นั้น จึงทำการสักการะบูชาเสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้านก็บอกเล่าแก่ชาวบ้านทั้งหลายคนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชา และเรียกขานพระพุทธบาทนั้นว่า “พระบาทรังรุ้ง (รังเหยี่ยว)”



[พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายหรือพระยาเม็งราย]



บูรพมหากษัตริย์ในอดีตของล้านนา และเชื้อพระวงศ์ และบูรพมหากษัตริย์ของไทย ที่เคยเสด็จไปกราบไหว้ และสักการบูชารอยพระพุทธบาทสี่รอย

ในสมัยนั้นมีพระยาตนหนึ่งชื่อว่า พระยาเม็งรายเสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ได้ทราบข่าวจึงมีพระราชศรัทธาประสงค์จะเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาทสี่รอย ครั้นแล้วได้เสด็จพร้อมด้วยพระราชเทวีและเสนาอำมาตย์พร้อมกับบริวารทั้งหลาย และเมื่อทรงกราบนมัสการเสร็จแล้ว พระองค์พร้อมด้วยพระราชเทวีและบริวารทั้งหลายจึงเสด็จกลับสู่เชียงใหม่ เสวยราชสมบัติตราบเมี้ยน (สิ้น) อายุขัยแล้ว พระโอรสและพระนัดดาที่สืบราชสมบัติต่อมา ก็เจริญตามรอยพระยุคลบาทก็ได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาทสี่รอบทุกพระองค์



[รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ที่ล่วงมาแล้ว ในภัทรกัป ประทับซ้อนกัน]


หลังจากนั้นมา พระบาทรังรุ้ง หรือ รังเหยี่ยว นี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็น “พระพุทธบาทสี่รอย”

มาในสมัยยุคหลัง คนทั้งหลายจึงเรียกขานกันว่า พระพุทธบาทสี่รอย เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึงสี่รอย คือ มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงมาแล้ว ในภัทรกัป นี้คือ
    ๑. รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันโธซึ่งเป็นรอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว ๑๒ ศอก
    ๒. รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมโนซึ่งเป็นรอยที่ ๒ ยาว ๙ ศอก
    ๓. รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสโปซึ่งเป็นรอยที่ ๓ ยาว ๗ ศอก
    ๔. รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตโม (องค์ปัจจุบัน)ซึ่งเป็นรอยที่ ๔ ยาว ๔ ศอก

เมื่อมาถึง พระยาธรรมช้างเผือก ผู้ครองนครเชียงใหม่พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน ก็เสด็จขึ้นไปกราบสักการบูชารอยพระพุทธบาทสี่รอย และได้สร้างครอบพระวิหารรอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราว โดยแต่เดิม ถ้าใครจะดูรอยพระพุทธบาทสี่รอยจะต้องใช้บันไดพาดขึ้นไปดู ซึ่งก็คงขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น

ดังนั้น พระยาธรรมช้างเผือก จึงรับสั่งให้สร้างแท่นยืนคล้ายๆ นั่งร้าน รอบก้อนหินที่มีพระพุทธบาทสี่รอย เพื่อที่ผู้หญิงจะได้เห็นรอยพระพุทธบาทด้วย และได้สร้างหลังคาชั่วคาราวมุงไว้



[พระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕]

ต่อมา พระชายาเจ้าดารารัศมี ได้เสด็จขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้มีศรัทธาสร้างวิหารเพื่อเป็นการสักการบูชารอยพระพุทธบาทไว้ ๑ หลังหลังเล็กถวายเป็นพุทธบูชา ปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้วทั้งหลัง จะเหลือไว้แต่ผนังวิหาร พื้นวิหาร และแท่นพระ ซึ่งยังเป็นของเดิมอยู่ ถ้าหากท่านมีโอกาสขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย ก็จะเห็นวิหารแห่งนี้


[พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]

นอกจากนี้ หลักฐานในกาลวัตถุที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่ง ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือโบราณ “คำให้การของขุนหลวงหาวัด” ซึ่งเป็นหนังสือบันทึกเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ต้นจนอวสาน ที่พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่ามีพระบัญชาให้อาลักษณ์บันทึกจากถ้อยรับสั่งของ เจ้าฟ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) ภายหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ไว้อย่างละเอียด

โดยตอนหนึ่ง ได้กล่าวถึงเมื่อคราวที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย(สมัยโบราณเรียก รอยพระบาทรังรุ้ง หรือ รอบพระบาทเขารังรุ้ง)ไว้อย่างชัดเจนว่า


  “สมัยสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปรบที่เมืองหางพระองค์ทรงทราบว่ามีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขาเรียกว่า เขารังรุ้ง จึงได้เสด็จขึ้นไปนมัสการทรงเปลื้องเครื่องทรง ทั้งสังวาลย์และภูษาแล้ว ทรงถวายไว้ในรอยพระพุทธบาท และทำสักการบูชาด้วย ธง ธูป เทียน ข้าวตอกดอกไม้มีเครื่องทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงทำการพิธีสมโภชอยู่ถึง เจ็ดราตรี”

     ans1 ans1 ans1

    จากข้อความประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้เราได้ทราบข้อเท็จจริงในทางโบราณคดี เพิ่มเติมอีกประการหนึ่งว่า โดยแท้จริงแล้ว รอยพระพุทธบาทในประเทศไทยรอยแรก ที่คนไทยได้รู้จักและมักคุ้นนั้นก็คือ พระพุทธบาทสี่รอย อันประดิษฐานอยู่ ณ เขต อำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ ในปัจจุบันนี่เอง

    ในขณะที่ รอยพระพุทธบาท ที่ สระบุรี เขาสัจจพันธุ์ นั้นได้รับการค้นพบเจอในรัชสมัย พระเจ้าทรงธรรมซึ่งเป็นยุคหลังรัชสมัยแห่ง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถึงกว่า ๕ ทศวรรษ

จากสาส์นของ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยทรงบันทึกไว้ว่า พระพุทธบาทสี่รอย แห่งนี้ เป็นพระพุทธบาทเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย แม้กรุงศรีอยุธยาก็ยังจำลองรอยพระพุทธบาท ไปไว้ที่ ปราสาทนครหลวง (วัดจันทร์ลอย) จ.พระนครศรีอยุธยา


    (มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 20, 2013, 10:56:21 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กันยายน 20, 2013, 08:00:08 pm »
0
 gd1 st11 st12
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29305
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กันยายน 21, 2013, 09:57:02 am »
0
[ครูบาศรีวิชัย]

พระอริยสงฆ์ที่สำคัญของล้านนาและของประเทศไทย ที่เคยธุดงค์เพื่อไปกราบสักการบูชารอยพระพุทธบาทสี่รอย

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและได้รื้อพระวิหารที่ เจ้าพระยาธรรมช้างเผือก สร้างไว้ชั่วคราวนั้นเสียแล้วได้สร้างวิหารใหม่ครอบรอยพระพุทธบาทไว้
และได้ฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทสี่รอยเพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพระศาสนาสืบไปตลอดกาลนาน

ด้วยวัดพระพุทธบาทสี่รอยเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๔ พระองค์คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพุทธเจ้าโกนาคมโนพระพุทธเจ้ากัสสโป พระพุทธเจ้าโคตโม (องค์ปัจจุบัน) จึงนับได้ว่า เป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญมากเป็นที่สักการบูชาของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย



[อนุสาวรีย์พระรูปของครูบาศรีวิชัย บริเวณทางขึ้นพระวิหาร วัดพระพุทธบาทสี่รอย]

พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ครูบาอาจารย์ พระธุดงค์กรรมฐาน สาย ครูบาเจ้าศรีวิชัย หลายองค์ อาทิเช่น ครูบาหน้อย ชยวํโส วัดบ้านปง, ครูบาอิน อินฺโท วัดฟ้าหลั่ง,ครูบาอินแก้ว ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี,ครูบาบุญปั๋น ธมฺมปญฺโญ วัดร้องขุ้ม,ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ฯลฯ พระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล วัดพระธาตุศรีจอมทอง,ครูบาเทือง นาถสีโล วัดบ้านเด่น, ครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล เป็นต้น


[หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร]

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส สกลนครและพระธุดงค์กรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ได้แก่ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่,หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดป่าอรัญญวิเวก นครพนม,หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง หนองคาย,หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง เชียงใหม่,หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ เลย,หลวงปู่สิม พุทธจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่,หลวงปู่จาม, พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป และอีกหลายองค์ ในสายพระอาจารย์มั่น

 :96: :96: :96:

นอกจากนี้ยังมี หลวงปู่สี ฉนทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์ (ได้ยาอายุวัฒนะจากบริเวณป่าใกล้วัดพระพุทธบาทสี่รอย),หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวณฺโณ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร,



[หลวงพ่ออุตตมะ อุตฺตมรมฺโภ วัดวังก์วิเวการาม]

หลวงพ่ออุตตมะ อุตฺตมรมฺโภ วัดวังก์วิเวการาม(ไปธุดงค์ไปองค์เดียวเพื่อไปกราบนมัสการเมื่อ ๕๐ กว่าปีมาแล้ว ราว พ.ศ. ๒๔๙๐) และหลวงพ่อสมควร วัดถือน้ำ นครสวรรค์,หลวงปู่เมฆ วัดป่าขวางพระเลไลย์ สงขลา ได้เคยเดินธุดงค์ ขึ้นไปนมัสการมาแล้วและได้รับรองว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริง

 :25: :25: :25:

นอกจากนี้ยังได้รับคำยืนยันรับรองของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดอรัญญวิเวก จ.นครพนม ว่า รอยพระพุทธบาทดังกล่าวเป็นรอยพระพุทธบาทสี่รอยของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ในมหาภัทรกัปนี้จริงและเป็นสัญญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัปที่สำคัญสูงสุดในจักรวาลและรอยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่



[หลวงปู่สิม พุทธจาโร]


นอกจากนี้ หลวงปู่สิม พุทธจาโร ซึ่งเคยเดินขึ้นไปนมัสการมาแล้วเช่นกัน ดังธรรมเทศนาของท่านตอนหนึ่ง
(คัดลอกมาจาก หนังสือพุทธาจารานุสรณ์ ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่สิม พุทธจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่ พุทธศักราช ๒๕๓๖)
   “ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระบาทสี่รอยอยูในเขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขา หลวงปู่ผู้เทศน์ปูแล้วกราบไหว้มันเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนสี่เหลี่ยมขึ้นไปอยู่ข้างริมแม่น้ำ
     พระพุทธเจ้ากกุสันโธได้มาตรัสรู้ในโลกท่านก็มาเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ในยอดหินก้อนนั้น ยาวขนาด ๑๒ ศอก เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว พระพุทธเจ้าโกนาคมโน ก็มาตรัสรื้อขนสัตว์ไปอีก ก็นิพพานท่านก็มาเหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้ เป็นรอยที่สอง (ขนาดลดลงมา)มาถึงพระสัมสัมพุทธเจ้ากัสสโปมาตรัสรู้ท่านก็มาเหยียบไว้ได้ ๓ รอย
     และพระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ก่อนที่ท่านจะนิพพานก็เหยียบรอยพระบาทไว้ในหินก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่าพระพุทธบาทสี่รอย

      st12 st12 st12

     ยังมีพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาตรัสรู้แล้วมาโปรดเวไนยสัตว์ ก็มาเหยียบไว้อีก เรียกว่าแผ่นดินที่เราเกิดนี้ นับว่าเป็นแผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด แผ่นดินนี้เรียกว่า ภัทรกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้ห้าพระองค์
     พระพุทธเจ้าองค์ใดมาตรัสสอนก็ตาม ก็สอนให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลายบำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา ละกิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง อันเก่านี้แหละ เมื่อใดปฏิบัติภาวนาบารมีเต็มแล้ว ก็รู้แจ้งพระนิพพาน เมื่อรูปนามแตกดับแล้วไปสู่พระนิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกอันแสนทุรกันดารนี้อีกต่อไป”


    (มีต่อ)
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กันยายน 22, 2013, 10:07:33 am »
0
O
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29305
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กันยายน 22, 2013, 01:16:08 pm »
0
[พระประธานในพระอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสี่รอย]

สถานที่ประดิษฐานของพระพุทธบาทสี่รอยดั้งเดิม ที่มีผู้รู้บางท่านสันนิษฐานไว้

มีผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า ความจริงแล้ว หินก้อนนี้อยู่ที่ป่าหิมพานต์ แต่นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า หินนั้นได้ตั้งอยู่ ณ ที่นี้ ส่วนผู้ที่จะกล่าวแก้ ก็ควรที่จะบอกว่า ป่าก็ดี เขาก็ดีที่มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ไม่ขาดทั้งกลางวันกลางคืนที่แห่งนั้น จึงได้ชื่อว่า ป่าหิมพานต์ ธรรมชาติของเปรตทั้งหลายไม่เคยมีตัวตนในเมืองมนุษย์ แต่ธรรมชาติของเปรตทั้งหลาย ย่อมเกิดเป็นตัวเป็นตนในป่าหิมพานต์เท่านั้น

หากแต่พระอริยสาวกที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ ได้อัญเชิญมาด้วยกำลังฤทธิ์ เพื่อที่จักให้เป็นที่กราบไหว้ และสักการะบูชาแก่ชาว “ตามิละ” (ลัวะ) พวกชาวเขา ลัวะ และคนยาง หากมารักษาและสักการะรอยพระพุทธบาทแล้ว
ฝนฟ้าก็จะตกต้องตามฤดูกาลเป็นอันดี ด้วยพุทธานุภาพ และแม้ในกาลอนาคตพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาท ไว้ที่หินก้อนนี้อีกเป็นรอยที่ ๕

จนล่วงไปอีกราว ๒๐๐๐ ปี หินก้อนนี้ก็จะแตกสลายลง บังเกิดเป็นมนุษย์ขึ้น ซึ่งมนุษย์คนนี้จะได้บวชในพระพุทธศาสนา สำเร็จมรรคผลนิพพานในสมัยพระศาสนา แห่งพระศรีอริยเมตไตรยพระพุทธเจ้านั่นแลฯ



[พระพุทธรูปในพระอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสี่รอย]

    ยังมีพระผู้รอบรู้พระไตรปิฎกองค์หนึ่ง ถามว่า
    “พระบาท ๔ รอยนี้จะเจริญรุ่งเรืองเมื่อใด”

    ผู้ที่จะกล่าวแก้ปัญหาควรกล่าวว่า
    “ดูกรท่านทั้งหลาย อันบาลีแห่งพระพุทธเจ้า กล่าวไว้ว่า ปฐมเบื้องต้น มัชฌิมะเบื้องกลาง ปัจฉิมะเบื้องปลาย เหตุบาลีว่า อาทิ กัลยาณัง งามในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง งามในท่ามกลาง ปริโยสานกัลยาณัง งามในที่สุดงามในที่แล้ว (ที่สุด) แห่งศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธบาท ๔ รอย จะเจริญรุ่งเรืองงามในท่ามกลางศาสนาจริงแลฯ”

    ดังนั้น ก็นับว่า พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญเป็นที่สักการบูชามาช้านาน ถ้าหากว่าผู้ใดมีจิตศรัทธาที่จะขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย ก็ควรมีจิตศรัทธาเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อไปถึงแล้วก็ควรที่จะสำรวม กาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ ก็ชื่อว่า รักษาศีล ก็ทำให้เกิดสมาธิ มีจิตใจที่ตั้งมั่น ทำให้เกิดปัญญา และจักได้ชื่อว่าเจริญตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง



[นายนิรยบาล-ผู้เฝ้าปากทางสู่นรก : อยู่บริเวณรอยหินแยก (จากฟ้าผ่า)ด้านข้างพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาท]


การที่มีคนศรัทธาเดินทางขึ้นไปกราบรอยพระพุทธบาท ก็เหมือนกับว่ามีดวงจิตดวงใจอยู่ในสมาธิภาวนามีพุทธานุสติเกิดขึ้นในจิตใจ และประกอบไปด้วย ความศรัทธา และความเพียร ขันติ ความอดทน การที่ขึ้นไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ถนนหนทางไม่สู้จะสะดวกเท่าไร เป็นทางขึ้นเขาทางเดินแคบ ขึ้นได้สะดวกก็ช่วงฤดูแล้ง ช่วงฤดูฝนก็ลำบาก จึงเป็นการวัดถึงจิตใจของพุทธศาสนิกชนว่า จะมีคนที่ศรัทธาและวิริยะที่จะขึ้นไปกราบไหว้ และสักการะเพียงใด ถ้าหากว่าใครได้ไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทแล้ว ก็นับว่าเป็นสิริมงคล และจะได้รับผลานิสงส์เป็นอย่างมาก

    ดังนั้นขอให้พุทธบริษัททั้งหลาย ที่ได้มากราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย หรือผู้ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ของพระพุทธบาทสี่รอยแล้ว ก็ใคร่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายว่า การที่พระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์เสด็จมาประทับรอยพระบาทในที่นี้ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย เพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน



[“นาคเกี้ยว” : บริเวณด้านข้างของพระอุโบสถใหม่ ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการฝังลูกนิมิต]


ดังนั้นการที่เราได้กราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ด้วยเครื่องสักการะบูชา มีดอกไม้ ธูปเทียน ก็ยังไม่ได้เจริญตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธองค์ทรงมุ่งหวังให้เราทั้งหลาย เจริญรอยตามพระพุทธองค์ด้วยการให้ทาน ถือศีล เจริญสมาธิภาวนา ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงโปรดให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย โดยเฉพาะการเจริญสมาธินั้น พระพุทธองค์เคยตรัสว่ามีอานิสงส์กว่าการให้ทาน ซึ่งเป็นหนทางสู่มรรคผลนิพพานโดยแท้จริง

วาระสุดท้ายนี้ ท่านผู้ใดได้อ่านประวัติความเป็นมาของพระพุทธบาทสี่รอยนี้แล้ว กรุณาใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ และให้ถึงศรัทธาในดวงจิตดวงใจ ให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่เดินทางขึ้นมากราบพระพุทธบาทสี่รอย อาตมาขอให้ท่านทั้งหลายที่ได้เดินทางขึ้นมากราบพระพุทธบาทสี่รอยนี้ หรือได้อ่านประวัติพระพุทธบาทสี่รอย จงประสบแต่ความสุขความเจริญ ก้าวหน้าใน ทาน ศีล ภาวนา มีปัญญารู้แจ้งใน อริยสัจสี่ พ้นจากกิเลสกองทุกข์ทั้งหลาย จงมีแด่ทุกท่านด้วยเทอญ....สาธุ

เจริญกุศลด้วยความนับถือ ธรรมะ พร และ เมตตา

พระครูพุทธบทเจติยารักษ์ (พระครูบาพรชัย ปิยะวัณโณ)
เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสี่รอย


พระครูพุทธบทเจติยารักษ์ (พระครูบาพรชัย ปิยะวัณโณ)

ที่มา : “พระพุทธบาทสี่รอย” : วัดพระพุทธบาทสี่รอย จ.เชียงใหม่, จัดพิมพ์ขึ้นเผยแพร่เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสมหามิ่งมงคลพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา, จัดพิมพ์โดย กองทุนดอกบัวกลางน้ำ, พิมพ์ครั้งที่ ๓๔, พ.ศ. ๒๕๕๐, หน้า ๑-๑๓

กิตติกรรมประกาศ : ขอขอบพระคุณ และร่วมอนุโมทนาบุญเป็นอย่างยิ่งกับ  “คุณลองภูมิ” ช่างภาพกิตติมศักดิ์ และกัลยาณมิตรตลอดกาลของข้าพเจ้า ที่มอบหนังสือเล่มนี้เป็นธรรมบรรณาการ และเอื้อเฟื้อภาพ “วัดพระพุทธบาทสี่รอย” เพื่อเป็นธรรมวิทยาทาน แก่เพื่อนๆ กัลยาณมิตร และญาติธรรมในลานธรรมจักร เนื่องในโอกาสที่ได้ไปเจริญภาวนา ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เมื่อปลายเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา สาธุ

ตำนานพระพุทธบาทสี่รอย (ฉบับล้านนา)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19820
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14761 โพสต์โดย คุณกุหลาบสีชา
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29305
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กันยายน 24, 2013, 01:27:01 pm »
0
ตำนานพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ นั้น น่าจะเชื่อได้ยากเพราะไม่มีหลักฐาน

และในพระไตรปิฏก ไม่ได้แสดงไว้เรื่องเหล่านี้

ขอแรงผู้รู้  ช่วยค้นหา พระสูตร ที่มี...เนื้อหาที่เกี่ยวกับ...พระพุทธเจ้า กล่าวถึง พระพุทธเจ้าองค์ก่อน

     เพื่อขยายความ เพื่อแก้ วิจิกิจฉา

 
ภาพจาก http://www.dmc.tv/


   ans1 ans1 ans1

   ตำนานหรือเรื่องราวความป็นมาของพระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นจริงหรือไม่ เรื่องนี้จนด้วยเกล้าไม่อาจยืนยันได้ แต่เรื่องพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ดังกล่าว มีปรากฏในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

  ในพระสูตรนี้กล่าวถึง ประวัติของพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ (พุทธวงศ์ที่ ๑ ถึง พุทธวงศ์ที่ ๒๕)
  เริ่มจากพระทีปังกรพุทธเจ้า จนถึงองค์สุดท้าย คือ พระโคตมพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) พระโคตมพุทธเจ้าได้รับคำพยากรณ์(ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า) จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆถึง ๒๔ พระองค์ มีพระนามดังนี้

  ๑. พระทีปังกรพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นพราหมณ์นามว่า สุเมธ
  ๒. พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นพระมหากษัตริย์พระนามว่า วิชิตวี
  ๓. พระมงคลพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นพราหมณ์มีนามว่า สุรุจิ
  ๔. พระสุมนพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นพญานาคราชมีนามว่า อตุละ(เป็นนาค)
  ๕. พระเรวตพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นพราหมณ์นามว่า อติเทพ                         
  ๖. พระโสภิตพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นพราหมณ์นามว่า สุชาติ
  ๗. พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นยักษ์                         
  ๘. พระปทุมพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นราชสีห์
  ๙. พระนารทพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นชฏิล (ไม่ปรากฏนาม)
 ๑๐. พระปทุมุตรพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นชฎิลชื่อว่า รัฏฐิกะ
 ๑๑. พระสุเมธพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นมาณพมีนามว่า อุตระ                         
 ๑๒. พระสุชาตพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ (ไม่ปรากฏนาม)
 ๑๓. พระปิยทัสสีพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นมาณพชื่อว่า กัสสป
 ๑๔. พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นชฎิล มีนามว่า สุสิมะ
 ๑๕. พระธรรมทัสสีพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นท้าวปุรินททสักกเทวราช (เป็นพระอินทร์)
 ๑๖. พระสิทธัตถพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นดาบสชื่อว่า มงคล
 ๑๗. พระติสสพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นพระมหากษัตริย์พระนามว่า สุชาต
 ๑๘. พระปุสสพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า วิชิต
 ๑๙. พระวิปัสสีพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นพระยานาคราชมีนามว่า อตุละ(เป็นนาค)
 ๒๐. พระสิขีพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นกษัตริย์พระนามว่า อรินทมะ                         
 ๒๑. พระเวสสภูพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นกษัตริย์พระนามว่า สุทัสนะ
 ๒๒. พระกกุสันธพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นกษัตริย์ มีพระนามว่า เขมะ
 ๒๓. พระโกนาคมนพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นกษัตริย์พระนามว่า บรรพต
 ๒๔. พระกัสสปพุทธเจ้า สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นมาณพ มีชื่อปรากฏว่า โชติปาละ

 

ภาพจาก http://www.dmc.tv/


ส่วนพระศรีอริยเมตไตรย ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดจากพระโคตมพุทธเจ้านั้น มีอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ - พุทธวังสะ-จริยาปิฎก พุทธปกิรณกกัณฑ์ ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ขอยกมาแสดงบางส่วน

    ในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระกุกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ
    บัดนี้เราเป็นพระสัมพุทธเจ้า และจักมีพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า
    แม้พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นี้ ก็เป็นนักปราชญ์ อนุเคราะห์โลก
    บรรดาพระพุทธเจ้า ผู้เป็นธรรมราชาเหล่านี้ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าจักตรัสบอก มรรคานั้นแก่ผู้อื่นหลายโกฏิ แล้วจักเสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก ฉะนี้แล.

__________________________________________________
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=8563&Z=8606&pagebreak=0

    :25: :25: :25:

    เรื่องพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าโดยละเอียดอยู่ใน จักกวัตติสูตร
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1189&Z=1702&pagebreak=0

    (ยังมีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2013, 01:34:23 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29305
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กันยายน 25, 2013, 12:50:31 pm »
0

รอยพระพุทธบาท ริมฝั่งแม่น้ำนิมมทา (นัมมทานที) ตั้งอยู่ที่เกาะแก้วพิศดาร ปลายแหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต


ans1 ans1 ans1

ในพระไตรปิฎกไม่ปรากฏเรื่องรอยพระพุทธบาท  รอยพระพุทธบาทปรากฏอยู่ในชั้นอรรถกถา

    อรรถกถาปุณโณวาทสูตร(ยกมาแสดงบางส่วน)
    ........ในระหว่างทางมีแม่น้ำชื่อ นิมมทา ได้เสด็จไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น.
    นิมมทานาคราชถวายการต้อนรับพระศาสดาทูลเสด็จเข้าสู่ภพนาคได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว.
    พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่นาคราชนั้นแล้ว ก็เสด็จออกจากภพนาค.
    นาคราชนั้นกราบทูลขอว่า ได้โปรดประทานสิ่งที่พึงบำเรอแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.

    พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงบทเจดีย์ รอยพระบาท ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา.
    รอยพระบาทนั้น เมื่อคลื่นซัดมาก็ถูกปิด เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด.
    กลายเป็นรอยพระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่.


    เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้ว ก็เสด็จถึงภูเขาสัจจพันธ์ ตรัสกับพระสัจจพันธ์ว่า
    มหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทางอบาย เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย แล้วให้พวกเขาดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน.
    แม้ท่านพระสัจจพันธ์นั้น ก็ทูลขอสิ่งที่จะต้องบำรุง.
    พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้บนหลังแผ่นหินทึบ เหมือนประทับตราไว้บนก้อนดินเหนียวสดๆ ฉะนั้น.

_______________________________________________
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สฬายตนวรรค ปุณโณวาทสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=754


รอยพระพุทธบาท ภูเขาสัจจพันธ์ (เขาสุวรรณบรรพต) วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี



จากอรรถกถาปุณโณวาทสูตร แสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์ได้แสดงรอยพระบาทเอาไว้สองแห่งด้วยกัน คือ แม่น้ำนิมมทา และภูเขาสัจจพันธ์ ยังมีอีกอรรถกถาที่กล่าวถึงรอยพระพุทธบาท เป็นอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔

พุทธวรรควรรณนา เรื่องมารธิดา (ยกมาแสดงบางส่วน)

    พราหมณ์หาสามีให้ลูกสาว               
    ก็พระศาสดาทรงยังพระธรรมเทศนาให้ตั้งขึ้นที่กรุงสาวัตถีแล้ว ตรัสแก่พราหมณ์ ชื่อมาคันทิยะ ในแคว้นกุรุอีก.
    ทราบว่า ในแคว้นกุรุ ธิดาของมาคันทิยพราหมณ์ชื่อว่ามาคันทิยา เหมือนกัน ได้เป็นผู้มีรูปงามเลอโฉม.
    พราหมณ์มหาศาลเป็นอันมากและเหล่าขัตติยมหาศาลอยากได้นางมาคันทิยานั้น จึงส่งข่าวไปแก่มาคันทิยะว่า
    "ขอจงให้ธิดาแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด."
    แม้มาคันทิยพราหมณ์ก็ห้ามพราหมณ์มหาศาล และขัตติยมหาศาลเสียทั้งหมดเหมือนกันว่า
    "พวกท่านไม่สมควรแก่ธิดาของข้าพเจ้า."

    ต่อมาวันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นมาคันทิยพราหมณ์เข้าไปภายในแห่งข่าย คือพระญาณของพระองค์ จึงทรงใคร่ครวญว่า "จักมีเหตุอะไรหนอ.?" ได้ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งมรรคและผลทั้ง ๓ ของพราหมณ์และนางพราหมณี.
    ฝ่ายพราหมณ์ก็บำเรอไฟอยู่เป็นนิตย์ภายนอกบ้าน.
    พระศาสดาได้ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จไปยังที่นั้นแต่เช้าตรู่.

    พราหมณ์ตรวจดูรูปสิริของพระศาสดา พลางคิดว่า
    "ขึ้นชื่อว่าบุรุษในโลกนี้ ที่จะเหมือนด้วยบุรุษคนนี้ไม่มี บุรุษคนนี้เป็นผู้สมควรแก่ธิดาของเรา เราจะให้ธิดาแก่บุรุษคนนี้"
    แล้วกราบทูลพระศาสดาว่า
     "สมณะ เรามีธิดาอยู่คนหนึ่ง เรายังไม่เห็นบุรุษผู้ที่สมควรแก่นาง จึงไม่ได้ให้นางแก่ใครๆ เลย ส่วนท่านเป็นผู้สมควรแก่นาง เราใคร่จะให้ธิดาแก่ท่าน ทำให้เป็นหญิงบำเรอบาท ท่านจงรออยู่ในที่นี้แหละ จนกว่าเราจะนำธิดานั้นมา."
    พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของเขาแล้ว ไม่ทรงยินดีเลย (แต่) ไม่ทรงห้าม.





    รอยพระบาทจะปรากฏเพราะทรงอธิษฐาน               
    ฝ่ายพราหมณ์ไปเรือนแล้ว บอกกะนางพราหมณีว่า
    "นางผู้เจริญ วันนี้ เราเห็นบุรุษผู้สมควรแก่ธิดาของเราแล้ว, พวกเราจักให้ธิดานั้นแก่เขา"
    ให้ธิดาตกแต่งกายแล้ว ได้พาไปยังที่นั้นพร้อมด้วยนางพราหมณี.
    แม้มหาชนก็ตื่นเต้น พากันออกไป (ดู).

    พระศาสดาไม่ได้ประทับยืนอยู่ในที่ที่พราหมณ์บอกไว้ ทรงแสดงเจดีย์ คือ รอยพระบาท ไว้ในที่นั้นแล้ว ได้ประทับยืนเสียในที่อื่น.

    ทราบว่า เจดีย์ คือ รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมปรากฏในที่ที่พระองค์ทรงอธิษฐานว่า
    "บุคคลชื่อโน้นจงเห็นเจดีย์ คือรอยเท้านี้" แล้วทรงเหยียบไว้เท่านั้น.
    ชื่อว่า ผู้ที่จะเห็นเจดีย์ คือ รอยพระบาทนั้นในที่ที่เหลือไม่มี.

    พราหมณ์ถูกนางพราหมณีผู้ไปกับตนถามว่า "บุรุษนั้นอยู่ที่ไหน"
    จึงบอกว่า "ฉันได้สั่งเขาไว้แล้วว่า ‘ท่านจงรออยู่ที่นี้’
    พลางมองหาอยู่ พบรอยพระบาทแล้ว จึงชี้ว่า นี้รอยเท้าของเขา."


     


    รอยเท้าเป็นเครื่องแสดงลักษณะของคน               
    นางพราหมณีนั้นกล่าวว่า "พราหมณ์นี้ ไม่ใช่รอยเท้าของบุคคลผู้บริโภคกาม"
    เพราะความที่นางเป็นคนฉลาดในมนต์เครื่องทำนายลักษณะ
    เมื่อพราหมณ์พูดว่า
    "นางผู้เจริญ เจ้าเห็นจระเข้ในตุ่มน้ำ สมณะนั้นเราบอกแล้วว่า ‘เราจักให้ธิดาแก่เขา’ ถึงเขาก็รับคำของเราแล้ว" กล่าวว่า
    "พราหมณ์ ท่านบอกอย่างนั้นก็จริง ถึงดังนั้น รอยเท้านี้เป็นรอยเท้าของผู้หมดกิเลสทีเดียว" ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ว่า :-

             ก็คนเจ้าราคะ พึงมีรอยเท้ากระหย่ง (เว้ากลาง)
             คนเจ้าโทสะ ย่อมมีรอยเท้าอันส้นบีบ (หนักส้น)
             คนเจ้าโมหะย่อมมีรอยเท้าจิกลง (หนักทางปลายเท้า)
             คนมีกิเลสเครื่องมุงบังอันเปิดแล้วมีรอยเท้าเช่นนี้ นี้.


     ทีนั้น พราหมณ์จึงบอกนางพราหมณีว่า
     "นางผู้เจริญ เจ้าอย่าอึงไป จงเป็นผู้นิ่งมาเถิด" ไปพบพระศาสดาแล้ว จึงแสดงแก่นางพราหมณีนั้นว่า
     "นี้คือบุรุษคนนั้น." แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า "สมณะเราจะให้ธิดา."
     พระศาสดาไม่ตรัสว่า "เราไม่ต้องการด้วยธิดาของท่าน"
     (กลับ) ตรัสว่า "พราหมณ์ เราจักบอกเหตุสักอย่างหนึ่งแก่ท่าน ท่านจักฟังไหม?"
     เมื่อพราหมณ์ทูลว่า "สมณะผู้เจริญ ท่านจงกล่าว ข้าพเจ้าจักฟัง.
     จึงทรงนำเรื่องอดีต ตั้งแต่ครั้งออกมหาภิเนษกรมณ์มาแสดงแล้ว. ฯลฯ

______________________________________
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=24&p=1
ภาพจาก
http://www.dmc.tv/
http://www.madchima.net/
http://i1104.photobucket.com/
http://kamontham.orgfree.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

waterman

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 302
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนาน : มหาศิลาเปรต
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กันยายน 25, 2013, 01:22:11 pm »
0
 st11
บันทึกการเข้า