ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อน้องสาว มาถามดิัฉันว่า "พี่เราเกิดเป็นคนไทย ชาติต่อไปก็เป็นคนไทยใช่ไหมคะ"  (อ่าน 7470 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ratree

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 102
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เมื่อน้องสาว มาถามดิัฉันว่า "พี่เราเกิดเป็นคนไทย ชาติต่อไปก็เป็นคนไทยใช่ไหมคะ"

ในฐานะี่พี่ก็เป็นผู้ชอบปฏิบัติธรรม มาช่วยตอบให้หายสงสัยหน่อยคะ เถอะว่า เราไม่เคยเกิดเป็นชาวอินเดีย
หรือ เขมร หรือ ลาว ใช่หรือไม่คะ มีพระสูตรบทไหน ที่ระบุว่า เมื่อเราเกิดจะได้ชาติประเทศแบบเดิมทุกครั้้ง
หรือไม่ หรือว่าพอชาติต่อไป เิกิดเป็นคนอเมริกา ชาติต่อมาเป็นญี่ปุ่น

ตอบหน่อยนะคะคุณพี่

ดิฉันก็อึ้ง เพราะไ่ม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน ก็ยังสงสัยเหมือนกันว่า เราเองได้เกิดเป็นอินเดียมาหรือป่าว หรือเคยเกิดเป็นชาวป่าอยู่แอฟริกา มาบ้างหรือไม่

ใครรู้ช่วยอธิบายหน่อยเถิดคะ

 :c017:
บันทึกการเข้า

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เอ.....แล้วถ้า.....อีก๕๐๐๐๐๐๐ปีต่อมา บนแผนที่โลก...ไม่มีชื่อคำว่าประเทศไทยอยู่ล่ะ......เธอคนนั้นคงไม่ได้มาเกิดหรือจุติ....กระมั๊ง,หรือว่าประเทศไทยในอีก๕๐๐๐๐๐๐ปีหรือกลัปป์ที่๕หลังจากนี้ เป็นประเทศที่อัตคัดขัดสนล่ะ...เธอคนนั้นจะลงมาเกิดหรือจุติมั๊ย............
                           :hee20hee20hee: :hee20hee20hee: :hee20hee20hee:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เมื่อน้องสาว มาถามดิัฉันว่า "พี่เราเกิดเป็นคนไทย ชาติต่อไปก็เป็นคนไทยใช่ไหมคะ"

พี่ี่ผู้ชอบปฏิบัติธรรม ช่วยตอบให้หายสงสัยหน่อยเถอะนะคะ ดิฉันอึ้ง เพราะไ่ม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน

ก็ยังสงสัยเหมือนกัน ใครรู้ช่วยอธิบายหน่อยเถิดคะ


สังสารวัฏฏ์ เวียนว่ายตายเกิด เหตุนั้นล้วนมาจากอุปาทานขันธ์อย่างนี้ กล่าวคือ

-   รูป (ร่างกาย) สำคัญว่าเป็นชาย / หญิง, รูปงาม, ฐานะ, สกุลวงศ์, เผ่าพงษ์, เชื้อชาติพันธุ์ เที่ยงแท้

    อย่างนั้นจริง


-   เวทนา (สุข / ทุกข์ / ไม่สุขไม่ทุกข์) สำคัญว่านั่นอารมณ์เป็นสิ่ง ชอบใจ (อิฏฐารมณ์), ไม่ชอบใจ

    (อนิฏฐารมณ์) เที่ยงแท้อย่างนั้นจริง

-   สัญญา (จำได้หมายรู้) สำคัญว่านั่นเรา, ของเรา, เป็นเรา ดำรงอยู่ยั่งยืน เที่ยงแท้อย่างนั้นจริง

-   สังขาร (ปรุงแต่งอารมณ์) สำคัญในผัสสะแห่งอายตนะทั้งปวงว่า ใช่, เหมาะควร, พอใจเป็นสุข เที่ยงแท้

    อย่างนั้นจริง


-   วิญญาณ (รับรู้อารมณ์) สำคัญหมายเป็นหนึ่งเดียวกับกายว่า เรา, ตัวตนของเรา เที่ยงแท้อย่างนั้นจริง


หากคิดครวญถามว่า เป็นคนไทย พูดภาษาไทย รักษ์ดำรงอยู่เยื้องนี้แหละคนไทย ก็ผิด โลก คือ ก้อนดินก้อน

ธาตุแปรเปลี่ยนยักย้ายรูปทรง สัญฐาน มนุษย์เผ่าพงษ์ชาติพันธุ์ก่อเกิดดับสลาย ไปตามวัฏจักร ดังนั้นมันไม่มี

สัญชาติเชื้อชนธำรงมั่นนิจนิรันดร์ มนุษย์ยังคงมี แต่มีให้เกาะเกี่ยวพุทธศาสนาหยั่งกุศลให้พานพบพระพุทธเจ้า

พระปัจเจกพุทธเจ้า, พระอรหันตสาวก / สาวิกา, อุบาสก / อุบาสิกา ผู้นั่งใกล้พระพุทธศาสนาเป็นปรัชญ์ชน

ดำรงศีลสัตย์ อธิษฐานอย่างนี้ไปทุกภพชาตินะครับ จึงจะถือว่าถูกต้อง ถูกต้องที่ตามไขว่คว้าเกิดเห็น

“ทักขิไนยบุคคล” ให้หยั่งกุศลดำรงตนเป็นผู้ฉลาด กระทั่งหยั่งอุปนิสัยถึงพระนิพพาน นั่นแหละครับ ถูก

ต้องที่สุด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 02, 2011, 12:02:47 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

pongsatorn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมยังเชื่อมั่น ในการภาวนา ความเป็นคนไทย อยู่บ้างครับ เพราะไม่ได้มองไปไกล หลายชาติมาก ๆ แต่มองสักประมาณ ไม่เกิน 10 ชาติ เราเองก็น่าจะเป็นคนไทย เรื่องราวจึงรู้สึกผูกพันกับชาวสุวัณณภูมิ อยู่นะครับ

แต่การจะเกิดเป็นอะไรนั้น มันขึ้นอยู่กับว่า จิตผูกพันกับอะไรในระหว่างที่เรียกว่า อาสันนกรรม ถ้าผูกพักกับทรัพย์ก็ไปเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ไปผูกกับจีวรก็ไปเกิดเป็นตัวเล็น อันนี้มองจากพระสูตรชาดกนะครับ

เชื่อว่า กรรม เป็นเหตุปรุงแต่งในบุญและกรรม ที่เรากระทำไว้

เชื่อเถอะครับ คนทำกรรมไม่ดี ไม่มีความสบายใจ

คนทำกรรมดี ก็ย่อมเชื่อมั่นในความดี ย่อมมีแต่ความสบายใจครับ

 :34:
บันทึกการเข้า

sompong

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 218
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
น่าจะส่วนนะครับ ดูเรื่องที่คนระลึกชาติ ได้ส่วนมาก ก็ไม่ไกลเรื่อง ไกลตัวกันเลย ประวัติของพระพุทธเจ้าที่เป็นชาดก ก็ไม่มีกล่าวว่าเป็น พวกกรีก ยิปซี อียิปต์ เลยนะครับ

 ???
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28906
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
:welcome:ได้เวลามาคุยเป็นเพื่อนแล้วครับ ;)

ในกาลแห่งอนาคตอันไกลไม่อาจประมาณได้ อาจไม่มีโลกใบนี้ อาจมีโลกใบใหม่เกิดขึ้น

คนไทย ประเทศไทย เป็นเพียงสมมุติบัญญัติเท่านั้น ในโลกหน้าอาจไม่มีประเทศไทย

แม้แต่ศาสนาพุทธ ก็ไม่ได้มีทุกกัปป์ มีพุทธันดร แทรกเป็นช่วงๆ

(พุทธันดร คือ ช่วงเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้า และไม่มีคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)

การเกิดมาได้พบพุทธศาสนาว่ายากแล้ว แต่การเกิดเป็นมนุษย์ยิ่งยากกว่า

ขอให้เพื่อนๆ อ่านบทความนี้ครับ




มนุษย์,ผู้มีใจสูง

   สัตว์โลกที่ชื่อว่า  มนุษย์  เพราะอรรถว่าเป็นเหล่ากอแห่งพระมนู 
ก็พระโบราณาจารย์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า  สัตว์โลกทั้งหลายที่ชื่อว่า
มนุษย์ เพราะเป็นผู้มีใจสูง.

   มนุษย์เหล่านั้นมี  ๔  จำพวกคือ  พวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป  ๑ 
พวกมนุษย์ชาวอมรโคยาน (อปรโคยานทวีป) ๑  พวกมนุษย์อุตตรกุรุ ๑ 
พวกมนุษย์ชาวปุพพวิเทหะ  ๑


   ในสังยุตตนิกาย กล่าวความเกิดเป็นมนุษย์แสนยาก ความว่า
   แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า  ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคทรง
ช้อนไว้ที่ปลายพระนขามีประมาณน้อย  เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่ 
ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ที่ปลายพระนขา (เล็บ)
ย่อมไม่ถึงซึ่งการนับ  การเปรียบเทียบ  หรือแม้ส่วนเสี้ยว
 
   ดูกรภิกษุทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน  สัตว์ที่จุติในพวกมนุษย์
แล้วกลับมาเกิดในพวกมนุษย์  มีน้อย  โดยที่แท้  สัตว์ที่จุติจาก
มนุษย์ไปแล้ว  กลับไปเกิดในนรก  มีมากกว่า  ฯลฯ.


   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกัน  สัตว์ที่จุติจากมนุษย์
ไปแล้ว  จะกลับมาเกิดในพวกมนุษย์  มีน้อย  โดยที่แท้  สัตว์ที่
จุติจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน 
มีมากกว่า  ฯลฯ. 

            ปฏิปทาให้มาเกิดเป็นมนุษย์
   สิกขาบท  ๕  อย่าง  ศีล ๕
   ๑.  ปาณาติปาตา  เวรมณี    [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์] 
   ๒. อทินนาทานา  เวรมณี   [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์]
   ๓. กาเมสุมิจฉาจารา  เวรมณี  [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม] 
   ๔. มุสาวาทา  เวรมณี  [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ]
   ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา  เวรมณี  [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้น 
      จากการดื่มน้ำเมา  คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท] 

   
ในภูมกสูตร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสความว่า
   สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปาวาริกอัมพวัน
ใกล้ เมืองนาฬันทา
   ครั้งนั้นแล นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ มีคณโฑน้ำติดตัว
ประดับพวงมาลัยสาหร่าย อาบน้ำทุกเช้าเย็น บำเรอไฟ พราหมณ์เหล่านั้น
ชื่อว่า ยังสัตว์ที่ตายทำกาละแล้วให้เป็นขึ้น ให้รู้ชอบ ชวนให้  เข้าสวรรค์
   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้า สามารถกระทำให้สัตว์โลกทั้งหมด เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติ 
โลกสวรรค์ได้หรือ

   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
   ดูกรนายคามณี ถ้าอย่างนั้น เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ปัญหาควร
แก่ท่านด้วยประการใด ท่านพึงพยากรณ์ปัญหา ข้อนั้นด้วยประการนั้น
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

   บุรุษในโลกนี้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท
มีความเห็นผิด หมู่มหาชนมาประชุมกันแล้ว  พึงสวดวิงวอน สรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบผู้นั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงสุคติโลก
สวรรค์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้า
ถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะเหตุการสวดวิงวอน เพราะเหตุการสรรเสริญ
หรือเพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบดังนี้หรือ ฯ


   คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
   พ. ดูกรนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อนหนาใหญ่
ลงในห้วงน้ำลึก หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน
สรรเสริญ ประนมมือ  เดินเวียนรอบหินนั้นว่า

   ขอจงโผล่ขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นเถิดท่านก้อนหิน
ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหิน ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือพึงขึ้นบก เพราะเหตุการ
สวดวิงวอน สรรเสริญประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ฯ 


   คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
   พ. ดูกรนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษคนใดฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
มากไปด้วย อภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชนพึงมา
ประชุมกันแล้วสวด  วิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษ
นั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป  จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
   ซึ่งความจริงบุรุษนั้นเมื่อตาย พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ  วินิบาต นรก ฯ

   ดูกรนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษในโลกนี้
เว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท
ปิสุณาวาจา  ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่
พยาบาท มีความเห็นชอบหมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน
สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบ  บุรุษนั้นว่า

   ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
   บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต  นรก เพราะ
เหตุการสวดวิงวอน สรรเสริญ หรือเพราะเหตุการประนมมือเดิน 
เวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ฯ 
   คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

   พ. ดูกรนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษลงยังห้วงน้ำลึกแล้ว 
พึงทุบหม้อเนยใสหรือหม้อน้ำมัน ก้อนกรวดหรือก้อนหินที่มีอยู่
ในหม้อนั้น พึงจมลง เนยใสหรือน้ำมันที่มีอยู่ในหม้อนั้นได้ลอยขึ้น
หมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน แล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดิน
เวียนรอบเนยใสหรือน้ำมันนั้นว่าขอจงจมลงเถิดท่านเนยใสและน้ำมัน
ขอจงดำลงเถิดท่านเนยใสและน้ำมัน ขอจงลงภายใต้เถิดท่านเนยใส
และน้ำมัน ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เนยใสและน้ำมันนั้น
พึงจมลง พึงดำลง พึงลงภายใต้ เพราะเหตุการสวดวิงวอนสรรเสริญ
หรือเพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ฯ


   ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ 
      พ. ดูกรนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษใดเว้นจาก
ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา
ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท
มีความเห็นชอบ หมู่มหาชนจะพากันมาประชุมแล้วสวดวิงวอน
สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษ  นี้เมื่อ
ตายไป จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
 
   แต่ความจริง บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
   ในตมสูตรได้กล่าวถึงบุคคล ๔ จำพวก ความว่า
         
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวก
เป็นไฉน คือ    
                        ผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไปจำพวก ๑
                        ผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑
         ผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไปจำพวก ๑
         ผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑



   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร         
   บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล
ตระกูลช่างสาน  ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือ
ในตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูล เข็ญใจ มีข้าว น้ำและ
โภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่งห่ม
ได้โดยฝืดเคือง

   อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก
เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือพิการไปแถบหนึ่ง
ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควร


   เขาซ้ำประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจาและด้วยใจ
ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง       
อบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปอย่างนี้แล ฯ   
     
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไปเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล
ตระกูลช่างสาน ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือตระกูล
คนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูลเข็ญใจ มีข้าว น้ำและโภชนะน้อย
เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่งห่มได้โดยฝืดเคือง


   อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก
เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือเป็นคนพิการไป
แถบหนึ่ง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้
ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควร
แต่เขาประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ ครั้นประพฤติ
สุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้วมีสว่างต่อไป อย่างนี้แล ฯ     
   
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล
ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล อันเป็นตระกูล
มั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้ที่น่า
ปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์สินเหลือล้น


   อนึ่ง เขามีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มี
ผิวพรรณงามยิ่งนัก เป็นผู้มีปรกติได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ
ระเบียบดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป
แต่เขาประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติทุจริต
ด้วยกาย วาจา และใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต
นรก บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้วมีมืดต่อไปอย่างนี้แล ฯ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 02, 2011, 09:27:34 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28906
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
**ผู้เรียบเรียงอยากจะยกตัวอย่างอีกเรื่องให้เห็นในยุคปัจจุบัน
เรื่องที่บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้วมีมืดต่อไป คือ

   ได้ยินว่า  การเกิดที่จะได้อย่างยากในยุคปัจจุบันมี ๔ อย่างคือ

   เกิดมาเป็นมนุษย์ ยากอย่างที่หนึ่ง

   เกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่ในแดนของพุทธศาสนา ยากอันดับสอง

   เกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่ในแดนของพุทธศาสนา และอยู่ในสมัย
ที่พุทธองค์มีพระชนม์ชีพอยู่  ยากอันดับสาม.

   เกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่ในแดนของพุทธศาสนา  อยู่ในสมัย
ที่พุทธองค์มีพระชนม์ชีพอยู่  และได้พบพระพุทธองค์ได้ฟังเทศนา
จากพุทธองค์  ยากอันดับสี่.


   ในยุคปัจจุบัน  ประเทศไทยเราถือว่า ในอยู่แดนของพุทธศาสนา
และเราได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว  ถือว่า เรายังโชคดีที่ยังอยู่
ในเกณฑ์การเกิดยาก อันดับสอง  เพราะยังมีหลักธรรมให้ประพฤติ
ปฏิบัติได้  แต่สิ่งที่น่าห่วงก็คือ  การศึกษาหลักธรรมในปัจจุบัน  มี
บางท่านเห็นผิดไปจากความเดิม   อันเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย


   เหมือนดั่งคำอาจารย์ที่ว่า  จับงูที่หาง  จะถูกงูกัดตาย    หรือ
ดังความว่า บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้วมีมืดต่อไป  ฉะนี้เป็นต้น

   ฉะนั้น  ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา  ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
จึงควรขวนขวายหาความรู้ในหลักธรรม  โดยความสุขุมรอบคอบ
พิจารณาไตร่ตรอง  ใคร่ครวญ  สอบถาม  เทียบเคียง กับบัณฑิตและ
ครูบาอาจารย์ 

   สิ่งหนึ่งที่จะพึงให้เราสังเกตุได้ว่า การศึกษาในธรรมของเรา
มาถูกทางหรือเปล่า คือ สังเกตุในจิตใจของตัวเราว่า เรามีความ
โลภอยากได้  มีความโกรธอาฆาต  และหลงไปกับสิ่งต่าง ๆ น้อย
หรือมากกว่าเดิม เช่น  มีมิจฉาทิฏฐิ  ดื้อรั้น  ถือดี  ขัดเคืองใจง่าย 
ไม่ฟังคำเตือนของกัลยาณมิตร ถือว่า เราเดินทางผิด
 
   แต่ถ้าหากศึกษาธรรมแล้ว  เริ่มเข้าใจสภาวความจริงของธรรมชาติ
ว่า  ทุกสิ่งในโลกทั้งหมดล้วน  เกิดขึ้น  ตั้งอยู่ และดับไป  ทุกสิ่งล้วน
อาศัยเหตุอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น  ไม่มีอะไรเป็นอยู่คงอยู่ด้วยตัวมันเอง
โดยไม่อาศัยปัจจัยปรุงแต่งขึ้น   สิ่งที่เราเห็นหรือสัมผัสในขณะนั้น
ก็เพราะสิ่งนั้นอาศัยเหตุ อาศัยปัจจัยจึงมีขึ้น  เมื่อหมดปัจจัยอันปรุงแต่ง
ขึ้นแล้ว  สิ่งนั้นก็มิได้มีอยู่จริง   เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ให้สังเกตุจิตใจ
เราเองว่า เรามีโลภอยากได้จนเกินเหตุหรือเปล่า
 

      เราเป็นคนถือดีหรือเปล่า 
      เราเป็นคนโกรธง่ายหรือเปล่า
      เราหลงไปติดยึดกับสภาพแวดล้อมหรือเปล่า
      เรามีจิตใจอ่อนโยน มีสัมมาคารวะหรือเปล่า
      เรามีเมตตา กรุณา ต่อสรรพสิ่งทั้งหลายมากขึ้นหรือเปล่า

   หากเราสังเกตุแล้ว  เห็นว่า สิ่งที่ดีที่กล่าวมามีมากขึ้นในจิตใจ 
สิ่งที่ไม่ดีที่กล่าวมามีน้อยลงในจิตใจ   ถือว่า เราเดินทางถูก

   เมื่อเรามีความเห็นตรง  ก็จงพัฒนาจิตให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้น
เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏฏะ  อันเป็นกองทุกข์ทั้งสิ้น.
อย่าให้เหมือนคำว่า เข้าถ้ำสมบัติแล้วออกมามือเปล่า  อันจะเป็น
การเสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา**

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไปเป็นอย่างไร         
บุคคลบางคนในโลก เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล
ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล อันเป็นตระกูล
มั่งคั่ง มีทรัพย์มากมีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้ที่น่า
ปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์สินเหลือล้น


   อนึ่ง เขามีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มี
ผิวพรรณงามยิ่งนัก มีปรกติได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ
ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป
เขาย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติสุจริต
ด้วยกาย วาจา และใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้วมีสว่างต่อไปอย่างนี้แล

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
   ในจูฬกัมมวิภังคสูตร  สุภมาณพ  โตเทยยบุตร   ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  อะไรหนอแล 
เป็นเหตุ  เป็นปัจจัยให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่  ปรากฏความเลว
และความประณีต คือ  มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏมีอายุสั้น  มีอายุยืน 
มีโรคมาก  มีโรคน้อย  มีผิวพรรณทราม  มีผิวพรรณงาม  มีศักดาน้อย 
มีศักดามาก  มีโภคะน้อย  มีโภคะมาก  เกิดในสกุลต่ำ  เกิดในสกุลสูง 
ไร้ปัญญา  มีปัญญา  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  อะไรหนอแล  เป็นเหตุ 
เป็นปัจจัย  ให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่  ปรากฏความเลวและ
ความประณีต  ฯ

   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
   ดูกรมาณพ  สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม 
มีกรรมเป็นกำเนิด  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  กรรม
ย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้  ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษก็ตาม
เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง  เป็นคนเหี้ยมโหด  มีมือเปื้อนเลือด 
หมกมุ่นในการประหัตประหาร  ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต  เขาตายไป 
จะเข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม 
สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไป  ไม่เข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก
ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ในภายหลัง  จะเป็นคนมีอายุสั้น 


   ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้นนี้  คือ  เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์
ให้ตกล่วง  เป็นคนเหี้ยมโหด  มีมือเปื้อนเลือด  หมกมุ่นในการประหัต
ประหาร  ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต  ฯ

   ดูกรมาณพ  ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม 
บุรุษก็ตาม  ละปาณาติบาตแล้ว  เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต 
วางอาชญา  วางศาตราได้  มีความละอาย  ถึงความเอ็นดู 
อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่เขาตายไป 
จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อม
สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไป  ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ถ้ามา
เป็นมนุษย์เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ในภายหลัง  จะเป็นคนมีอายุยืน 


   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุยืนนี้  คือ ละปาณาติบาต
แล้ว  เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต  วางอาชญา วางศาตราได้
มีความละอาย  ถึงความเอ็นดู  อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลใน
สรรพสัตว์และภูตอยู่  ฯ
 
   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษ
ก็ตาม เป็นผู้มีปรกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ  หรือก้อนดิน  หรือ
ท่อนไม้  หรือศาตราเขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หาก
ตายไป  ไม่เข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  ถ้ามาเป็นมนุษย์ 
เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ในภายหลัง  จะเป็นคนมีโรคมาก 

   ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคมากนี้  คือ  เป็นผู้มีปรกติ
เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ  หรือ  ก้อนดิน  หรือท่อนไม้  หรือศาตรา  ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษก็
ตามเป็นผู้มีปรกติไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ  หรือก้อนดิน  หรือ
ท่อนไม้  หรือศาตราเขาตายไป  จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  เพราะ
กรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไป
ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ใน
ภายหลัง จะเป็นคนมีโรคน้อย 


   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคน้อยนี้  คือ  เป็นผู้มีปรกติ
ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ  หรือก้อนดินหรือท่อนไม้ หรือศาตรา ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตามบุรุษก็ตาม
เป็นคนมักโกรธ  มากด้วยความแค้นเคือง  ถูกเขาว่าเล็กน้อย  ก็ขัดใจ 
โกรธเคือง  พยาบาท  มาดร้าย  ทำความโกรธ  ความร้าย  และ
ความขึ้งเคียดให้ปรากฏ  เขาตายไป  จะเข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต 
นรก  เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้  หาก
ตายไป  ไม่เข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  ถ้ามาเป็น  มนุษย์  เกิด
ณ  ที่ใดๆ  ในภายหลัง  จะเป็นคนมีผิวพรรณทราม 


   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีผิวพรรณทรามนี้  คือ 
เป็นคนมักโกรธ  มากด้วยความแค้นเคืองถูกเขาว่าเล็กน้อยก็
ขัดใจ  โกรธเคือง  พยาบาท  มาดร้าย  ทำความโกรธ  ความร้าย
และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ  ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษ
ก็ตามเป็นคนไม่มักโกรธ  ไม่มากด้วยความแค้นเคือง  ถูกเขาว่า
มาก ก็ไม่ขัดใจ  ไม่โกรธเคือง  ไม่พยาบาท  ไม่มาดร้าย  ไม่ทำ
ความโกรธ  ความร้าย  และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ  เขาตายไป
จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อม
สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไป  ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ถ้า
มาเป็นมนุษย์  เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ในภายหลัง จะเป็นคนน่าเลื่อมใส 


   ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อเป็นผู้น่าเลื่อมใสนี้  คือ 
เป็นคนไม่มักโกรธ  ไม่มากด้วยความแค้นเคือง  ถูกเขาว่ามาก
ก็ไม่ขัดใจ ไม่โกรธเคือง  ไม่พยาบาท  ไม่มาดร้าย  ไม่ทำความ
โกรธ  ความร้าย ความขึ้งเคียดให้ปรากฏ  ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษ
ก็ตาม มีใจริษยา  ย่อมริษยา  มุ่งร้าย  ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ
ความเคารพ  ความนับถือ  การไหว้  และการบูชาของคนอื่น 
เขาตายไป  จะเข้าถึงอบาย  ทุคติวินิบาต  นรก  เพราะกรรมนั้น
อันเขาให้พรั่งพร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไปไม่เข้าถึง
อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  ถ้ามาเป็นมนุษย์  เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ใน
ภายหลังจะเป็นคนมีศักดาน้อย 

   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดาน้อยนี้  คือ  มีใจ  ริษยา 
ย่อมริษยา  มุ่งร้าย  ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ  ความเคารพ  ความ
นับถือการไหว้  และการบูชาของคนอื่น  ฯ 

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษ
ก็ตาม เป็นผู้มีใจไม่ริษยา  ย่อมไม่ริษยา  ไม่มุ่งร้าย  ไม่ผูกใจอิจฉา
ในลาภสักการะ  ความเคารพ  ความนับถือ  การไหว้  และการบูชา
ของคนอื่น  เขาตายไป  จะเข้าถึงสุคติ  โลกสวรรค์  เพราะกรรมนั้น
อันเขาให้พรั่งพร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์  ถ้ามาเป็นมนุษย์  เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ในภายหลัง  จะเป็น
คนมีศักดามาก 

   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดามากนี้  คือ  มีใจไม่ริษยา 
ย่อมไม่ริษยา  ไม่มุ่งร้าย  ไม่ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ  ความเคารพ 
ความนับถือการไหว้  และการบูชาของคนอื่น  ฯ 

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษก็ตาม
ย่อมไม่เป็นผู้ให้ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้ 
ที่นอน  ที่อาศัย  เครื่องตามประทีป  แก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตาย
ไป  จะเข้าถึงอบาย  ทุคติวินิบาต  นรก  เพราะกรรมนั้น อันเขาให้
พรั่งพร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไปไม่เข้าถึงอบาย  ทุคติ
วินิบาต  นรก  ถ้ามาเป็นมนุษย์  เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ในภายหลังจะเป็น
คนมีโภคะน้อย 

   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะน้อยนี้  คือ  ไม่ให้ข้าวน้ำ 
ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่อยู่อาศัยเครื่อง
ตามประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์  ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษก็ตาม
ย่อมเป็นผู้ให้ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้ 
ที่นอน  ที่อยู่อาศัย  เครื่องตามประทีป  แก่สมณะหรือพราหมณ์ 
เขาตายไป  จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่ง
พร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไป  ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 
ถ้ามาเป็นมนุษย์  เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ในภายหลัง  จะเป็นคนมีโภคะมาก

 
   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะมากนี้  คือ  ให้ข้าว 
น้ำ  ผ้า  ยาน  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่อยู่อาศัย 
แก่สมณะหรือพราหมณ์  ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม 
บุรุษก็ตามเป็นคนกระด้าง  เย่อหยิ่ง   ย่อมไม่กราบไหว้คน
ที่ควรกราบไหว้  ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ  ไม่ให้อาสนะ
แก่คนที่สมควรแก่อาสนะ  ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่
ทางไม่สักการะคนที่ควรสักการะ  ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ
ไม่นับถือคนที่ควรนับถือไม่บูชาคนที่ควรบูชา  เขาตายไป 
จะเข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  เพราะกรรมนั้น  อัน
เขาให้พรั่งพร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไป  ไม่เข้า
ถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  ถ้ามาเป็นมนุษย์  เกิด ณ ที่ใดๆ 
ในภายหลัง  จะเป็นคนเกิดในสกุลต่ำ

 
   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลต่ำนี้ คือ
เป็นคนกระด้าง  เย่อหยิ่ง  ย่อมไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้
ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ
ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง  ไม่สักการะคนที่ควรสักการะ
ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ  ไม่นับถือคนที่ควรนับถือ  ไม่บูชา
คนที่ควรบูชา  ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม 
บุรุษก็ตามเป็นคนไม่กระด้าง  ไม่เย่อหยิ่ง  ย่อมกราบไหว้คนที่
ควรกราบไหว้  ลุกรับคนที่ควรลุกรับ  ให้อาสนะแก่คนที่สมควร
แก่อาสนะ  ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง  สักการะคนที่ควร
สักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ  นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคน
ที่ควรบูชา  เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น
อันเขาให้พรั่งพร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไป  ไม่เข้าถึง
สุคติโลกสวรรค์  ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์เกิด  ณ  ที่ใดๆ  ในภายหลัง
จะเป็นคนเกิดในสกุลสูง 


   ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีสกุลสูงนี้  คือ 
เป็นคนไม่กระด้าง  ไม่เย่อหยิ่งย่อมกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ 
ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทาง
แก่คนที่สมควรแก่ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควร
เคารพ  นับถือคนที่ควรนับถือ  บูชาคนที่ควรบูชา  ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษ
ก็ตามย่อมไม่เป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า 
อะไรเป็นกุศล  อะไรเป็นอกุศล  อะไรมีโทษ  อะไรไม่มีโทษ  อะไร
ควรเสพ  อะไรไม่ควรเสพ  อะไรเมื่อทำ  ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล 
เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน  หรือว่าอะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์
เกื้อกูล  เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน  เขาตายไป  จะเข้าถึงอบาย  ทุคติ 
วินิบาต  นรก  เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ 
หากตายไป  ไม่เข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  ถ้ามาเป็นมนุษย์ 
เกิด  ณ ที่ใดๆ  ในภายหลัง  จะเป็นคนมีปัญญาทราม
 

   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญาทรามนี้  คือ
ไม่เป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล 
อะไรเป็นอกุศล  อะไรมีโทษ  อะไรไม่มีโทษ  อะไรควรเสพ 
อะไรไม่ควรเสพ  อะไรเมื่อทำ  ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล 
เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน  หรือว่า  อะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน  ฯ

   ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม
บุรุษก็ตามย่อมเป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า 


   อะไรเป็นกุศล  อะไรเป็นอกุศล  อะไรมีโทษ  อะไรไม่มีโทษ 
อะไรควรเสพ  อะไรไม่ควรเสพ  อะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล
เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน  หรือว่าอะไรเมื่อทำย่อมเป็นไป  เพื่อประโยชน์
เกื้อกูล  เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน  เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 
เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไป 
ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ถ้ามาเป็นมนุษย์  เกิด ณ ที่ใดๆ  ในภายหลัง 
จะเป็นคนมีปัญญามาก 

   ดูกรมาณพ  ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญามากนี้  คือ  เป็นผู้เข้าไป
หาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า  อะไรเป็นกุศล  อะไรเป็น
อกุศล  อะไรมีโทษอะไรไม่มีโทษ  อะไรควรเสพ  อะไรไม่ควรเสพ 
อะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล  เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน 
หรือว่าอะไรเมื่อทำ  ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อ
ความสุขสิ้นกาลนาน  ฯ


อ้างอิง
#ขุทฺทก.อ. ๑/๖/๑๔๒; ม.อุ. ๑๔/๕๗๙-๕๙๖;ที.ปา. ๑๑/๒๘๖.
#สํ.สฬ. ๑๘/๕๙๘-๖๐๑; สํ.ม. ๑๙/๑๗๙๒-๑๗๙๓; องฺ.จตุกฺก.๒๑/๘๕
ที่มา สารานุกรม พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน



ในพระไตรปิฎกเท่าที่อ่านมาบางส่วน ผมยังไม่เห็นพระพุทธเจ้าบอกวิธีว่า ต้องทำอย่างไร หากต้องการเกิด

เป็นคนของประเทศนั้นประเทศนี้ และก็ไม่ได้บอกว่า ถ้าเกิดเป็นคนประเทศนี้แล้ว

ชาติต่อไปต้องเกิดเป็นคนในประเทศใด พระพุทธองค์ส่งเสริมให้ไม่เกิดมากกว่า คือ เข้าให้ถึงนิพพานนั่นเอง


ดังนั้น เราไม่ควรกำหนดหรือสนใจว่า ชาติหน้าเราจะเป็นคนไทยหรือไม่อย่างไร

เพราะเราไม่อาจรู้ว่า โลกหน้าจะเ้ป็นอย่างไร ที่สำคัญปัจจุบันเราก็ไม่อาจรู้เช่นกันว่า

เราจะถึงนิพพานหรือไม่อย่างไร เพื่อความปลอดภัยและไม่ตั้งอยู่ในความประมาท

เราต้องตั้งจิตอธิษฐานแบบกว้างๆไว้ก่อน ผมจึงขอแนะนำให้อธิษฐานแบบนี้ครับ



 คำอธิษฐาน กราบบูชาพระบรมสารีริกธาตุ (พระพุทธปฎิมา)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สวด 3 จบ)


ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง
 
ข้าพเจ้าขอกราบนอบน้อม บูชาพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ทรงเสียสละสั่งสมบารมีนับชาติมิถ้วน เพื่อตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

ประกาศธรรม นำเวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฎ

พร้อมกราบพระธรรม และพระอริยสงฆ์


ขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ด้วยอานิสงส์ผลแห่งบุญนี้

จงเป็นปัจจัยให้ได้ถึงซึ่งพระนิพพาน ได้พบสัตตบุรุษผู้รู้ธรรมอันประเสริฐ

มีกรรมสัมพันธ์ที่ดี  เป็นสัมมาทิฏฐิ ห่างไกลจากพาล มีโอกาสฟังธรรม

ประพฤติธรรม จนเป็นปัจจัยให้เจริญด้วยสติและปัญญาญาณ

ตามส่งชาตินี้และชาติต่อๆไป   จนถึงพระนิพพานในกาลอันควรเทอญ

แม้ยังต้องเกิดอีกในภพชาติใดๆ   ขอเกิดภายใต้ร่มเงาแห่งบวรพระพุทธศาสนา

และท่ามกลางกัลยาณมิตร



กรรมใดที่ได้ล่วงเกินต่อ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์

และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในอดีตชาติก็ตาม ปัจจุบันชาติก็ตาม

ขอกราบอโหสิกรรมทั้งหมดทั้งสิ้น



ขออุทิศกุศลผลบุญให้แด่ท่านผู้มีพระคุณ ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร

เทพยดาอารักษ์และผู้ปกปักรักษาดูแลข้าพเจ้าและครอบครัว

ตลอดจนท่านที่ขวนขวายในกิจที่ชอบในการดำรงรักษาไว้ซึ่ง

ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์

ทั้งที่เป็นมนุษย์และอมนุษย์ ขอให้ท่านทั้งหลายดังกล่าวนามมานั้น

จงมีแต่ความสุข ทั่วหน้ากันทุกท่านเทอญ

ที่มา   http://www.farmphun.com/stories/1dharma/530217_pray_for_corrected_wishes.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 03, 2011, 09:36:48 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สาูธุถ้ายังไม่สิ้นสุดกิเลส หากต้องเกิดมา ขอให้ได้รับฟังสัทธรรม และน้อมนำไปปฏิบัติ ในธรรมะแห่งพระพุทธศาสนา ขอให้เกิดมาอย่าได้พิกลพิการ ขอให้มีปัญญาดี ขอให้มีกัลยาณมิตร และอย่าได้อดได้อยาก ขอให้อยู่ใน
ประเทศอันมีพระราชาที่เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม เป็นบ้านเมืองที่มีแต่ความสงลร่มเย็น ด้วยเทอญ
 :25:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28906
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
กรรมนำเกิด
 
         เราเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว    ชาตินี้ก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่

กุศลกรรมให้ผลทำให้ได้เกิดเป็นมนุษย์      แต่อีกไม่นานเราก็ต้องเปลี่ยนภพ

เปลี่ยนชาติกันอีกแล้ว เราจะมีชีวิตยืนยาวอยู่อีกกี่ปี กี่เดือน กี่วัน ถ้าคิดว่าเรา

จะอยู่กันอีก ๑๐ ปี ก็เพียง ๓๖๕๐ วัน ถ้า ๒๐ ปี ก็เพียง ๗๓๐๐ วันเท่านั้นเอง

แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง     เราอาจจะตายวันนี้  พรุ่งนี้หรือเย็นนี้ก็ได้ เมื่อผล

ของกุศลกรรมที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์หมดสิ้นแล้ว

       การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นเพราะชวนวิถีจิต สุดท้ายก่อนตายคือ ก่อนจุติ

จิต (จิตที่ทำกิจเคลื่อนจากภพชาติ) เป็นกุศลทำให้พ้นจากการเกิดในอบาย-

ภูมิ    เมื่อรู้อย่างนี้บางคนคงจะตั้งใจว่า  เมื่อเวลาใกล้ตายจะทำให้จิตให้เป็น

กุศล  ซึ่งในความเป็นจริงกุศลจิตจะเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิด ไม่มีใคร

บังคับให้จิตเป็นกุศลได้   เพราะจิตเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วไม่ได้อยู่ใน

อำนาจบังคับบัญชาของใคร
 

        ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงเตือนให้พุทธบริษัท หมั่นเจริญกุศล 

เพราะกุศลเป็นเหตุให้ได้รับความสุข เมื่อหมั่นทำกุศลจนเป็นนิสัย   

โอกาสที่ชวนจิตสุดท้ายก่อนจุติ  (ตาย)  จะเป็นกุศลก็มีมากกว่าคนที่

ประกอบแต่อกุศลกรรมเป็นนิจ ดังนั้น หากชวนจิตขณะสุดท้ายเป็นกุศล  ก็จะ

เป็นเหตุให้ได้เกิดในสุคติภูมิ (ได้แก่ เกิดในมนุษย์โลก และสวรรค์ชั้นต่างๆ)


      ในทางตรงข้าม  ถ้าหากเราเป็นผู้ประมาท ประกอบอกุศลกรรมอยู่เสมอ

สะสมแต่อกุศลจิตจนเป็นอุปนิสัย    โอกาสที่ชวนจิตสุดท้ายจะเป็นกุศลย่อม

เป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นทุคติเป็นอันหวังได้ กล่าวคือ ย่อมไปเกิดในนรก

ภูมิ เปตวิสัย (ภูมิของเปรต) หรือ เดรัจฉานภูมิ


        เราไม่รู้ว่ากรรมใดจะทำให้เกิดปฏิสนธิจิตในภพหน้า    เพราะเราทำทั้ง

ความดีและความชั่วปะปนกันไป  กรรมหนึ่งในชาตินี้หรือชาติก่อนๆ มีโอกาส

ทำให้ปฏิสนธิจิตในชาติหน้าเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น   ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรง

สอนให้เจริญกุศลนานาประการ    เพราะเมื่อเจริญกุศลบ่อยๆ มากขึ้น  ย่อมมี

โอกาสได้รับผลของกุศล ซึ่งให้ผลเป็นสุข


อ้างอิง
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=5414
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=5415&PHPSESSID=c5cfeeb9a97574286e3f435067ee8966



พุทธศาสนาสอนให้อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตไม่ต้องไปกังวลให้มาก

เมื่อปัจจุบันดีแล้ว อนาคตก็ต้องดีด้วย ภพหน้าชาติหน้าไม่ควรตั้งความหวังแค่เกิดเป็นมนุษย์

อย่างน้อยเราควรหวังไว้ที่ เทวดา หรือ ตั้งให้สูงสุด ก็คือ นิพพาน น่าจะดีกว่า


 :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kira-d-note

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 119
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อธิษฐาน ขอให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา อยู่ในเขตขันธสีมา เจริญธรรมสัมมาทิฏฐิ
ได้ครูอาจารย์ ที่เป็นพระอริยะ มีเทวดาดูแลทุกสถาน ขอให้มีกายไม่พิกลพิการ มีปัญญาเรียนธรรมสมดั่งใจ
มีสินทรัพย์เพียงพอเพื่อชีวิต มีนิมิตดวงธรรมไม่จางหาย มีโอกาสได้เข้าถึงธรรมบารมี

สาธุ สาธุ สาธุ
 :25:
บันทึกการเข้า
แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ