แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - raponsan
|
หน้า: [1] 2 3 ... 731
|
2
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย | นำพาให้พบกับแสงสว่างส่องใจ
|
เมื่อ: มิถุนายน 17, 2025, 11:23:43 am
|
.  ขยายความ : ไม่ย่อท้อใฝ่โพธิญาณ ๒. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ๓. สติปัฏฐานสังยุต , ๑. อัมพปาลิวรรค หมวดว่าด้วยพระธรรมเทศนาที่อัมพปาลีวัน
๑. อัมพปาลิสูตร ว่าด้วยพระธรรมเทศนาที่อัมพปาลีวัน [๓๖๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพปาลีวัน เขตกรุงเวสาลี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเดียว(๑-) เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ สติปัฏฐาน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเดียวเพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ” พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดี ต่างชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค
อัมพปาลิสูตรที่ ๑ จบ______________________________________ (๑-) ทางเดียว หมายถึง (๑) เป็นทางที่บุคคลผู้ละการเกี่ยวข้องกับหมู่คณะไปประพฤติธรรมอยู่แต่ผู้เดียว (๒) เป็นทางสายเดียว ที่พระพุทธเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น เป็นทางของผู้เดียว คือพระผู้มีพระภาค เพราะทรงทำให้เกิดขึ้น (๓) เป็นทางปฏิบัติในศาสนาเดียว คือพระพุทธศาสนา (๔) เป็นทางดำเนินไปสู่จุดหมายเดียว คือพระนิพพาน (ที.ม.อ. ๓๗๓/๓๕๙)  พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สุตฺต. สํ. มหาวารวคฺโค สติปฏฺฐานสํยุตฺตํ , อมฺพปาลิวคฺโค ปฐโม
[๖๗๘] เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ อมฺพปาลิวเน ฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ ภิกฺขโวติ ฯ ภทนฺเตติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ ฯ ภควา เอตทโวจ ฯ
[๖๗๙] เอกายนฺวายํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ฯ ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา ฯ กตเม จตฺตาโร ฯ
[๖๘๐] อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ฯ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ฯ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ฯ ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ฯ
[๖๘๑] เอกายนฺวายํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ฯ ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานาติ ฯ
อิทมโวจ ภควา ฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติ ฯ
อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค สติปัฏฐานสังยุตต์ อัมพปาลีวรรคที่ ๑ อรรถกถาอัมพปาลิสูตรที่ ๑ พึงทราบวินิจฉัยในอัมพปาลิสูตรที่ ๑ แห่งสติปัฏฐานสังยุต. บทว่า อมฺพปาลิวเน ได้แก่ ในสวนมะม่วงอันหญิงผู้เข้าไปอาศัยรูปเลี้ยงชีพ ชื่ออัมพปาลี ปลูกไว้. สวนมะม่วงนั้นจึงได้เป็นสวนของนางอัมพปาลี. นางอัมพปาลีนั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส จึงสร้างวิหารไว้ ณ ที่นั้น มอบถวายแด่พระตถาคต.
บทว่า อมฺพปาลีวเน นี้ ท่านกล่าวหมายถึง วิหารนั้น. บทว่า เอกายนฺวายํ ตัดบทเป็น เอกายโน อยํ แปลว่า นี้เป็นทางเดียว. ในบทเหล่านั้น บทว่า เอกายโน แปลว่า ทางเดียว. ทางมีชื่อมากว่า มรรค ปันถะ ปถะ ปัชชะ อัญชสะ วฏุมะ อายนะ นาวา อุตตรเสตุ กุลละ ภิสิสังกมะ ดังนี้(๑-)____________________________ (๑-) ขุ. จูฬ. เล่ม ๓๐/ข้อ ๕๖๘ในที่นี้ ท่านกล่าวถึงทางนี้นั้น โดยชื่อ อยนะ. เพราะฉะนั้น ในบทว่า เอกายนฺวายํ ภิกฺขเว มคฺโค พึงเห็นความอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเดียว ไม่เป็นทางสองแพร่ง. บทว่า มคฺโค ชื่อว่า มรรค ด้วยอรรถอะไร. ด้วยอรรถเป็นเครื่องแสวงหานิพพาน และด้วยอรรถอันผู้มีความต้องการนิพพาน พึงแสวงหา.
บทว่า สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ได้แก่ เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลายผู้มีจิตเศร้าหมองแล้ว ด้วยมลทินมีราคะเป็นต้นและด้วยอุปกิเลสมีอภิชฌาวิสมโลภะเป็นต้น. บทว่า โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ความว่า เพื่อก้าวล่วงคือเพื่อละความโศกและความพร่ำเพ้อ. บทว่า ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ความว่า เพื่อความสิ้นไป คือเพื่อความดับแห่งทุกข์และโทมนัสทั้งสองเหล่านี้ คือทุกข์อันเป็นไปทางกายและโทมนัสอันเป็นไปทางจิต.
บทว่า ญายสฺส อธิคมาย ความว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ ท่านเรียกว่า ญาย. ท่านอธิบายว่า เพื่อบรรลุ คือเพื่อถึงอริยมรรคนั้น.
@@@@@@@
จริงอยู่ มรรคคือสติปัฏฐานอันเป็นโลกิยะ เป็นส่วนเบื้องต้นนี้อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อบรรลุถึงโลกุตรมรรค. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ญายสฺส อธิคมาย ดังนี้. บทว่า นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ท่านอธิบายว่า เพื่อทำให้แจ้ง คือเพื่อให้ประจักษ์แก่ตนแห่งอมตธรรมอันได้ชื่อว่านิพพาน เพราะเว้นจากเครื่องร้อยรัดคือตัณหา. จริงอยู่ มรรคนี้ยังสัจฉิกิริยาให้สำเร็จ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ดังนี้.
ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคุณของเอกายนมรรคด้วยบท ๗ บท. หากถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคุณของเอกายนมรรคนั้น. ตอบว่า เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายเกิดอุตสาหะ.
จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้นครั้นฟังการกล่าวถึงคุณแล้วเกิดความอุตสาหะว่า นัยว่า มรรคนี้...
ย่อมกำจัดอุปัทวะ ๔ คือ ความโศกอันเผาหัวใจ ๑ ปริเทวะอันเป็นความพร่ำเพ้อ ๑ ทุกข์อันเป็นความไม่สำราญทางกาย ๑ โทมนัสอันเป็นความไม่สำราญทางใจ ๑.
ย่อมนำซึ่งคุณวิเศษ ๓ คือ ความบริสุทธิ์ ๑ อริยมรรค ๑ นิพพาน ๑
จักสำคัญเทศนานี้ ควรถือเอา ควรเรียน ควรทรงไว้ และมรรคนี้ควรทำให้เกิด. @@@@@@@
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคุณเพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดอุตสาหะ ดุจพ่อค้าผ้ากัมพลเป็นต้นกล่าวถึงคุณของผ้ากัมพลเป็นต้นฉะนั้น. บทว่า ยทิทํ เป็นนิบาต. มีความเท่ากับ เย อิเม. บทว่า จตฺตาโร ได้แก่ กำหนดจำนวน. ด้วยการกำหนดจำนวนนั้น ท่านแสดงกำหนดสติปัฏฐานว่า ไม่ต่ำ ไม่สูงไปจากนี้.
บทว่า สติปัฏฐานา ได้แก่ สติเป็นที่ตั้ง ๓ คือ สติเป็นโคจรบ้าง ความที่ศาสดาล่วงปฏิฆะและตัณหา ในเมื่อสาวกทั้งหลายปฏิบัติสามอย่างบ้าง ตัวสติบ้าง. จริงอยู่ สติเป็นโคจร ท่านกล่าวว่า สติปัฏฐานในพระบาลีมีอาทิว่า(๒-) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความเกิดและความดับของสติปัฏฐาน ๔ พวกเธอจงฟัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความเกิดของกาย เพราะอาหารเป็นเหตุเกิด กายจึงเกิดดังนี้. กายเป็นที่ตั้งอย่างนั้นไม่ใช่สติ แม้ในบาลีมีอาทิว่า สติอุปฏฺฐานญฺเจว สติ จ ดังนี้.(๓-)____________________________ (๒-) สํ. มหา. เล่ม ๑๙/ข้อ ๘๑๙ (๓-) ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๗๒๗มีความว่า ชื่อว่าปัฏฐานะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง. ถามว่า อะไรตั้ง. ตอบว่า สติ. ความตั้งแห่งสติชื่อว่าสติปัฏฐาน ดุจที่ตั้งแห่งช้างและที่ตั้งแห่งม้าเป็นต้น.
สติปัฏฐาน ๓ ท่านกล่าวว่า สติปัฏฐาน เพราะความที่ศาสดาล่วงปฏิฆะและตัณหา ในเมื่อสาวกทั้งหลายปฏิบัติ ๓ ส่วน ในบทนี้ว่า(๔-) พระอริยะย่อมเสพธรรมใด เมื่อเสพธรรมใด ศาสดาย่อมควรเพื่อสั่งสอนคณะ.____________________________ (๔-) ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๖๓๓มีความว่า ชื่อปัฏฐานะ เพราะควรให้ตั้งไว้. อธิบายว่า เพราะควรให้เป็นไป. ควรให้ตั้งไว้ด้วยอะไร. ด้วยสติ. การตั้งไว้ด้วยสติ. ชื่อว่าสติปัฏฐาน ก็สตินั้นแล ท่านกล่าวว่า สติปัฏฐานในบาลีมีอาทิว่า สติปัฏฐาน ๔ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์.(๕-)____________________________ (๕-) ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๒๘๗ ม. อุ. เล่ม ๑๙/ข้อ ๑๓๘๑มีความว่า ชื่อปัฏฐาน เพราะอรรถว่าตั้งไว้. อธิบายว่า ย่อมเข้าไปตั้งไว้ คือยึดหน่วงเหนี่ยวไว้เป็นไป. สตินั่นแล ชื่อสติปัฏฐาน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าสติ เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องระลึกถึง. ชื่อปัฏฐานะ เพราะอรรถว่าเข้าไปตั้งไว้ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสติปัฏฐาน เพราะสติด้วย เป็นที่ตั้งด้วย. ท่านประสงค์สติปัฏฐานนี้ ในที่นี้. ผิอย่างนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงทำให้เป็นพหูพจน์ว่า สติปัฏฐานา เพราะสติมีอยู่มาก. จริงอยู่ สติมีมาก โดยความต่างแห่งอารมณ์. เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร บทว่า มคฺโค จึงเป็นเอกพจน์ เพราะมีอย่างเดียว โดยอรรถว่ามรรค. จริงอยู่ สติเหล่านั้นแม้มี ๔ อย่างก็ถึงความเป็นอันเดียวกัน โดยอรรถแห่งมรรค.
ดังที่ท่านกล่าวว่า บทว่า มคฺโค ชื่อว่ามรรค ด้วยอรรถอย่างไร ด้วยอรรถว่าแสวงหาพระนิพพาน และด้วยอรรถว่าอันผู้มีความต้องการพระนิพพานพึงแสวงหา. แม้สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ยังกิจให้สำเร็จในอารมณ์ทั้งหลายมีกายเป็นต้น ในเวลาต่อมาย่อมบรรลุนิพพาน ผู้ต้องการนิพพานทั้งหลายย่อมแสวงหา จำเดิมแต่ต้นด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานแม้ ๔ ท่านเรียกว่าทางเอก. เทศนาพร้อมทั้งอนุสนธิย่อมมีโดยการสืบต่อถ้อยคำแห่งสติ ด้วยประการฉะนี้แล. @@@@@@@ บทว่า กตเม จตฺตาโร คือ ถามประสงค์จะให้ตอบ. บทว่า กาเย คือ รูปกาย. บทว่า กายานุปสฺสี ความว่า ภิกษุผู้มีปกติพิจารณาเห็นกาย หรือว่าพิจารณาเห็นกายอยู่. ก็ภิกษุนี้ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ด้วยสามารถแห่งอนุปัสสนา ๗ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น หาพิจารณาเห็นโดยความเป็นของเที่ยงไม่ ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ หาพิจารณาเห็นโดยความเป็นสุขไม่ ย่อมพิจารณาเห็นโดยความมิใช่ตน หาพิจารณาเห็นโดยความเป็นตนไม่ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมยินดีหามิได้ ย่อมคลายกำหนัด ย่อมกำหนัดหามิได้ ย่อมดับ ย่อมเกิดขึ้นหามิได้ ย่อมสละคืน ย่อมยึดถือหามิได้.
พึงทราบว่า ภิกษุนั้น เมื่อพิจารณาเห็นกายนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาเสียได้ เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ย่อมละสุขสัญญา เมื่อพิจารณาเห็นโดยความมิใช่ตน ย่อมละอัตตสัญญา เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละความยินดี เมื่อคลายกำหนัด ย่อมละราคะ เมื่อดับ ย่อมละเหตุเกิดทุกข์ เมื่อสละคืน ย่อมละความยึดมั่นเสียได้ดังนี้.
บทว่า วิหรติ คือ เคลื่อนไหวอยู่. บทว่า อาตาปี ชื่อว่าอาตาปะ เพราะอรรถว่าย่อมเผากิเลสทั้งหลายในภพสาม. บทนี้เป็นชื่อของความเพียร ชื่อว่าอาตาปี เพราะอรรถว่ามีความเพียร. บทว่า สมฺปชาโน ความว่า ภิกษุผู้ประกอบด้วยญาณกล่าว คือ สัมปชัญญะ. บทว่า สติมา ความว่า ผู้ประกอบด้วยสติกำหนดที่กาย. ก็เพราะภิกษุนี้กำหนดอารมณ์ด้วยสติแล้ว จึงพิจารณาเห็นด้วยปัญญา.
@@@@@@@
แต่ธรรมดาว่า การพิจารณาเห็น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้เว้นสติ.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลเรากล่าวสติว่า จำปรารถนาในที่ทั้งปวง. ฉะนั้น กายานุปัสสนาสติปัฏฐานย่อมเป็นอันตรัสแล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้ ในที่นี้ว่า กาเย กาเยนุปสฺสี วิหรติ เป็นอาทิ. อีกอย่างหนึ่ง เพราะความสังเขปเกินไป ย่อมทำอันตรายแก่ภิกษุผู้ไม่มีความเพียร คือผู้ไม่มีสัมปชัญญะย่อมลุ่มหลงในการกำหนดเอาสิ่งที่เป็นอุบาย และในการหลีกเว้นสิ่งที่มิใช่อุบาย ผู้ลืมสติย่อมไม่สามารถในการสละสิ่งที่มิใช่อุบาย และในการกำหนดเอาสิ่งที่เป็นอุบายได้.
ด้วยเหตุนั้น กัมมัฏฐานนั้นจึงไม่ถึงพร้อมแก่ภิกษุนั้น เพราะฉะนั้น กัมมัฏฐานนั้นย่อมถึงพร้อมด้วยอานุภาพแห่งธรรมเหล่าใด พึงทราบว่า ข้อนี้ท่านกล่าวว่า มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ดังนี้ เพื่อแสดงธรรมเหล่านั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน และองค์แห่งความเพียรแก่ภิกษุนั้นแล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงองค์แห่งการละ จึงตรัสว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิเนยฺย ความว่า กำจัดแล้วด้วยการกำจัดชั่วคราว หรือด้วยการกำจัดในการข่มไว้. บทว่า โลเก คือ ในกายนั้นเท่านั้น. ก็กายท่านประสงค์เอาว่า โลก ด้วยอรรถว่าแตกสลายในที่นี้.
ก็เพราะภิกษุนั้น มิใช่ละอภิชฌาและโทมนัสได้ในเพราะพิจารณาเพียงกายอย่างเดียว แม้ในเวทนาเป็นต้น ก็ละได้เหมือนกัน. ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในวิภังค์ว่า(๖-) อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ก็เป็นโลก. อนึ่ง ข้อนั้น ท่านกล่าวโดยนัยขยายเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะความที่กายนั้นเนื่องอยู่ในโลก ก็ท่านกล่าวว่า ในข้อนั้น โลกเป็นไฉน โลกนั้นคือกาย.(๖-) นี้เป็นความหมายในข้อนี้ ผู้ศึกษาพึงเห็นสัมพันธ์อย่างนี้ว่า ละอภิชฌาและโทมนัสในโลกนั้นเสียได้.____________________________ (๖-) อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๔๔๐ในบทว่า เวทนาสุ นี้ มีเวทนาสาม. เวทนาเหล่านั้นเป็นโลกิยะทั้งนั้น แม้จิตก็เป็นโลกิยะ ธรรมทั้งหลายก็อย่างนั้น เหมือนบุคคลพึงพิจารณาเห็นเวทนาโดยประการใด ภิกษุนี้ เมื่อพิจารณาเห็นโดยประการนั้น พึงทราบว่า เวทนานุปัสสี. ในจิตและธรรมทั้งหลายก็มีนัยนี้.
@@@@@@@
ถามว่า เวทนา บุคคลพึงพิจารณาเห็นอย่างไร. ตอบว่า พึงพิจารณาเห็นสุขเวทนาโดยความเป็นทุกข์ก่อน ทุกขเวทนาโดยความเป็นลูกศร อทุกขมสุขโดยความไม่เที่ยง. สมดังที่ตรัสไว้ว่า(๗-) ภิกษุใดเห็นสุข โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นทุกข์ โดยความเป็นของเสียดแทง ความไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีอยู่ ได้เห็นสิ่ง นั้นโดยความไม่เที่ยง ภิกษุนั้นแล ชื่อว่า เห็นชอบ เป็นผู้สงบ จักเที่ยวไป. ควรพิจารณาเห็นเวทนาเหล่านั้นทั้งหมดว่า เป็นทุกข์บ้าง. ดังที่ตรัสว่า(๘-) เราเห็นว่า สิ่งที่เสวยแล้วทั้งหมดนั้นอยู่ในทุกข์.และควรพิจารณาเห็นโดยความเป็นสุขและทุกข์บ้าง. สมดังที่ท่านกล่าวว่า(๙-) ดูก่อนวิสาขะผู้มีอายุ สุขเวทนาแลเป็นสุขเพราะความตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะความแปรปรวน.____________________________ (๗-) สํ. สฬา. เล่ม ๑๘/ข้อ ๓๖๘ (๘-) สํ. สฬา. เล่ม ๑๘/ข้อ ๓๙๑ (๙-) ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๕๑๑ทั้งหมดควรให้พิสดาร. ก็และควรพิจารณา แม้ด้วยสามารถแห่งอนุปัสสนา ๗ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น. ควรพิจารณาตามซึ่งจิต แม้ในธรรมว่า ด้วยจิตด้วยสามารถแห่งประเภทอันเป็นความต่างกัน มีอารัมมณปัจจัย อธิปติปัจจัย สหชาตปัจจัย ภูมิ กรรม วิบากและกิริยาจิตเป็นต้น และประเภทแห่งจิตมีราคะเป็นต้น อันเป็นอนุปัสสนา มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นก่อน. ควรพิจารณาเห็นธรรม ด้วยสามารถแห่งสามัญญลักษณะพร้อมด้วยลักษณะแห่งสุญญตธรรม แห่งอนุปัสสนา ๗ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น และแห่งประเภทมีอาทิว่า กามฉันทะ มีอยู่ในภายใน ดังนี้. ที่เหลือมีนัยกล่าวไว้แล้ว.
นี้เป็นความสังเขปในที่นี้. แต่พึงทราบความพิสดารโดยนัยที่กล่าวไว้แล้ว ในอรรถกถาสติปัฏฐาน ทีฆนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์.
จบอรรถกถาอัมพปาลิสูตรที่ ๑
|
|
|
5
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย | นำพาให้พบกับแสงสว่างส่องใจ
|
เมื่อ: มิถุนายน 12, 2025, 11:59:06 am
|
.  ขยายความ : มีสติปัญญาที่ข้อต่อ ๑. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค , ๒. ยมกวรรค หมวดว่าด้วยคู่
๑. ปฐมปุพเพสัมโพธสูตร ว่าด้วยความดำริก่อนตรัสรู้ สูตรที่ ๑
[๑๓] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนเราเป็นโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ได้มีความคิดดังนี้ว่า
‘อะไรหนอเป็นคุณ(๑-) อะไรเป็นโทษ(๒-) ของจักขุ (ตา) อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากจักขุ ฯลฯ โสตะ (หู) ฯลฯ ฆานะ (จมูก) ฯลฯ ชิวหา (ลิ้น) ฯลฯ กาย อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษของมโน (ใจ) อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากมโน ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า ‘สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยจักขุเกิดขึ้น นี้เป็นคุณของจักขุ สภาพที่จักขุไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษของจักขุ ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะ(๓-) ในจักขุ นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากจักขุ
สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยโสตะ ฯลฯ
สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยฆานะ ฯลฯ
สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยชิวหาเกิดขึ้น นี้เป็นคุณของชิวหา สภาพที่ชิวหา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษของชิวหา ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ(๔-) ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะในชิวหา นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากชิวหา
สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยกาย ฯลฯ
สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยมโน นี้เป็นคุณของมโน สภาพที่มโนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษของมโน ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะในมโน นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากมโน’ ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดเรายังไม่รู้คุณโดยความเป็นคุณ โทษโดยความเป็นโทษ และเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกจากอายตนะภายใน ๖ ประการนี้ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ตราบนั้นเราก็ยังไม่ยืนยันว่า ‘เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิ-ญาณอันยอดเยี่ยมในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์’
@@@@@@@
แต่เมื่อใดเรารู้คุณโดยความเป็นคุณ โทษโดยความเป็นโทษ เครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกจากอายตนะภายใน ๖ ประการนี้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ เมื่อนั้นเราจึงยืนยันว่า ‘เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์’ อนึ่ง ญาณทัสสนะ(๕-) เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ‘วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก”
ปฐมปุพเพสัมโพธสูตรที่ ๑ จบ________________________________ (๑-) คุณ (อัสสาทะ) หมายถึงสภาวะที่อร่อยหรือสภาวะที่สุขกายและสุขใจที่เกี่ยวข้องกามคุณ(องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๑๐/๒๘๘, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๐/๒๘๘) (๒-) โทษ (อาทีนวะ) หมายถึงสภาวะที่ไม่อร่อย มีทุกข์กายและทุกข์ใจซึ่งมีธรรมเป็นเหตุ(องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๑๐/๒๘๘, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๐/๒๘๘) (๓-) ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะ หมายถึงนิพพาน (องฺ.ติก.อ. ๒/๑๐๔/๒๕๗) (๔-) ฉันทราคะ หมายถึงความกำหนัดที่ไม่รุนแรง (ฉันทะ) และความกำหนัดที่รุนแรง (ราคะ)(วิ.อ. ๓/๓๒๙/๕๗๒, ขุ.ม.อ. ๘/๑๐๕) (๕-) ญาณทัสสนะ หมายถึงปัจจเวกขณญาณ ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน คือ สำรวจรู้มรรคผล กิเลสที่ละได้แล้ว และนิพพาน (องฺ.ติก.อ. ๒/๑๐๔/๒๕๗) ๒. ทุติยปุพเพสัมโพธสูตร ว่าด้วยความดำริก่อนตรัสรู้ สูตรที่ ๒
[๑๔] “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนเราเป็นโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ได้มีความคิดดังนี้ว่า ‘อะไรหนอเป็นคุณ อะไรเป็นโทษของรูป อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากรูป อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษของสัททะ อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากสัททะ ฯลฯ คันธะ ฯลฯ รส ฯลฯ โผฏฐัพพะ อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษของธรรมารมณ์ อะไรเป็นเครื่องสลัดออกจากธรรมารมณ์’
ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า ‘สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยรูปเกิดขึ้น นี้เป็นคุณของรูป สภาพที่รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษของรูป ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะในรูป นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากรูป
สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยสัททะ ฯลฯ คันธะ ฯลฯ รส ฯลฯ โผฏฐัพพะ ฯลฯ สภาพที่สุขโสมนัสอาศัยธรรมารมณ์เกิดขึ้น นี้เป็นคุณของธรรมารมณ์ สภาพที่ธรรมารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษของธรรมารมณ์ ธรรมเป็นที่กำจัดฉันทราคะ ธรรมเป็นที่ละฉันทราคะในธรรมารมณ์ นี้เป็นเครื่องสลัดออกจากธรรมารมณ์’
@@@@@@@
ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดเรายังไม่รู้คุณโดยความเป็นคุณ โทษโดยความเป็นโทษ และเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกจากอายตนะภายนอก ๖ ประการนี้ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ตราบนั้นเราก็ยังไม่ยืนยันว่า ‘เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์’
แต่เมื่อใด เรารู้คุณโดยความเป็นคุณ โทษโดยความเป็นโทษ เครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกจากอายตนะภายนอก ๖ ประการนี้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ เมื่อนั้นเราจึงยืนยันว่า ‘เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์’
อนึ่ง ญาณทัสสนะเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ‘วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก”
ทุติยปุพเพสัมโพธสูตรที่ ๒ จบ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
ยมกวคฺโค ทุติโย
[๑๓] ปุพฺเพ เม ภิกฺขเว สมฺโพธาย อนภิสมฺพุทฺธสฺส โพธิสตฺตสฺเสว สโต เอตทโหสิ โก นุ โข จกฺขุสฺส อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณํ โก โสตสฺส ฯเปฯ โก ฆานสฺส ฯ โก ชิวฺหาย ฯ โก กายสฺส ฯ โก มนสฺส อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณนฺติ ฯ
ตสฺส มยฺหํ ภิกฺขเว เอตทโหสิ ยํ โข จกฺขุํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ จกฺขุสฺส อสฺสาโท ยํ จกฺขุํ อนิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ อยํ จกฺขุสฺส อาทีนโว โย จกฺขุสฺมึ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ จกฺขุสฺส นิสฺสรณํ ฯเปฯ
ยํ ชิวฺหํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ ชิวฺหาย อสฺสาโท ยา ชิวฺหา อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา อยํ ชิวฺหาย อาทีนโว โย ชิวฺหาย ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ ชิวฺหาย นิสฺสรณํ ฯเปฯ
ยํ มนํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ มนสฺส อสฺสาโท โย มโน อนิจฺโจ ทุกฺโข วิปริณามธมฺโม อยํ มนสฺส อาทีนโว โย มนสฺมึ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ มนสฺส นิสฺสรณํ ฯ
{๑๓.๑} ยาวกีวญฺจาหํ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ อชฺฌตฺติกานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ นาพฺภญฺญาสึ ฯ
เนว ตาวาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจญฺญาสึ ฯ
ยโต จ โขหํ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ อชฺฌตฺติกานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสึ ฯ
อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจญฺญาสึฯ
ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ ฯ
ปฐมํ ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
[๑๔] ปุพฺเพ เม ภิกฺขเว สมฺโพธาย อนภิสมฺพุทฺธสฺส โพธิสตฺตสฺเสว สโต เอตทโหสิ โก นุ โข รูปานํ อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณํ โก สทฺทานํ ฯเปฯ โก คนฺธานํ ฯเปฯ โก รสานํ ฯ โก โผฏฺฐพฺพานํ ฯ โก ธมฺมานํ อสฺสาโท โก อาทีนโว กึ นิสฺสรณนฺติ ฯ
ตสฺส มยฺหํ ภิกฺขเว เอตทโหสิ ยํ โข รูเป ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ รูปานํ อสฺสาโท ยํ รูปา อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา อยํ รูปานํ อาทีนโว โย รูเปสุ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ รูปานํ นิสฺสรณํ ฯ
ยํ สทฺเท คนฺเธ รเส โผฏฺฐพฺเพ ยํ ธมฺเม ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อยํ ธมฺมานํ อสฺสาโท ยํ ธมฺมา อนิจฺจ ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา อยํ ธมฺมานํ อาทีนโว โย ธมฺเมสุ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ อิทํ ธมฺมานํ นิสฺสรณํ ฯ
{๑๔.๑} ยาวกีวญฺจาหํ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ พาหิรานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ นาพฺภญฺญาสึ ฯ
เนว ตาวาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมา สมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจญฺญาสึ ฯ
ยโต จ โขหํ ภิกฺขเว อิเมสํ ฉนฺนํ พาหิรานํ อายตนานํ เอวํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต ยถาภูตํ อพฺภญฺญาสึ ฯ
อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ ปจฺจญฺญาสึ ฯ
ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ อยมนฺติมา ชาตินตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ ฯ
ทุติยํ ฯ
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สฬายตนสังยุตต์ ยมกวรรคที่ ๒ ๑. สัมโพธสูตรที่ ๑
ยมกวรรคที่ ๒ อรรถกถาสัมโพธสูตรที่ ๑-๒ ยมกวรรคที่ ๒ สูตรที่ ๑ และสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อชฺฌตฺติกานํ ได้แก่ ชื่อว่า อัชฌัตติกะ โดยที่เป็นภายใน. ก็ความที่อายตนะเหล่านั้นเป็นภายใน พึงทราบได้ก็เพราะฉันทราคะความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจมีกำลังเกินประมาณ.
จริงอยู่ อายตนะภายในเหมือนภายในเรือนของพวกมนุษย์ อายตนะภายนอกเหมือนอุปจารใกล้ๆ เรือน คือ ฉันทราคะในภายในเรือนของพวกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยลูกเมีย ทรัพย์และข้าวเปลือกมีกำลังเกินประมาณ. พวกมนุษย์ไม่ให้ใครๆ เข้าไปในที่นั้น.
มีผู้กล่าวว่า จะประโยชน์อะไรด้วยเหตุเพียงเสียงภาชนะมีประมาณน้อยนี้ ฉันทราคะมีกำลังเกินประมาณในอายตนะภายใน ๖ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
อายตนะเหล่านั้นท่านเรียกว่า ภายใน เพราะฉันทราคะมีกำลังนี้ด้วยประการฉะนี้.
@@@@@@@
แต่ในอุปจารใกล้ๆ เรือน ไม่มีกำลังอย่างนั้น. มนุษย์ก็ดี สัตว์สี่เท้าก็ดีที่เที่ยวไปในที่นั้น ไม่มีใครห้ามเลย แม้จะไม่ห้ามก็จริง ถึงอย่างนั้น เมื่อไม่ปรารถนาก็ไม่ให้จับแม้เพียงตระกร้าขนดิน.
ดังนั้น พวกเขาเหล่านั้นจึงไม่มีฉันทราคะมีกำลังเกินประมาณในที่นั้น. แม้ในรูปเป็นต้น ก็ไม่มีฉันทราคะที่มีกำลังเกินประมาณในที่นั้นเหมือนกัน ฉะนั้น ท่านจึงเรียกอายตนะเหล่านั้นว่า ภายนอก.
แต่เมื่อว่าโดยพิสดาร อายตนะทั้งภายในและภายนอกได้กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค. คำที่เหลือในสูตรทั้ง ๒ มีนัยดังกล่าวแล้ว ในหนหลังนั่นแล.
จบอรรถกถาสัมโพธสูตรที่ ๑-๒ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
อุปจาร เฉียด, จวนเจียน, ที่ใกล้ชิด, ระยะใกล้เคียง, ชาน, บริเวณรอบๆ ; ดังตัวอย่างคำที่ว่า อุปจารเรือน อุปจารบ้าน แสดงตามที่ท่านอธิบายในอรรถกถาพระวินัยดังนี้ อาคารที่ปลูกขึ้นร่วมในแค่ระยะน้ำตกที่ชายคาเป็นเรือน, บริเวณรอบๆ เรือนซึ่งกำหนดเอาที่แม่บ้านยืนอยู่ที่ประตูเรือนสาดน้ำล้างภาชนะออกไปหรือแม่บ้านยืนอยู่ภายในเรือนโยนกระด้ง หรือไม้กวาดออกไปภายนอกตกที่ใด ระยะรอบๆ กำหนดนั้นเป็นอุปจารเรือน
บุรุษวัยกลางคนมีกำลังดี ยืนอยู่ที่เขตอุปจารเรือน ขว้างก้อนดินไป ก้อนดินที่ขว้างนั้นตกลงที่ใด ที่นั้นจากรอบๆ บริเวณอุปจารเรือน เป็นกำหนดเขตบ้าน, บุรุษวัยกลางคนมีกำลังดีนั้นแหละ ยืนอยู่ที่เขตบ้านนั้นโยนก้อนดินไปเต็มกำลัง ก้อนดินตกเป็นเขตอุปจารบ้าน; สีมาที่สมมติเป็นติจีวราวิปปวาสนั้น จะต้องเว้นบ้านและอุปจารบ้านดังกล่าวนี้เสีย จึงจะสมมติขึ้น คือ ใช้เป็นติจีวราวิปปวาสสีมาได้ ; ดู ติจีวราวิปปวาสสีมา ด้วย
|
|
|
6
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย | นำพาให้พบกับแสงสว่างส่องใจ
|
เมื่อ: มิถุนายน 09, 2025, 07:47:31 am
|
.  ขยายความ : วิเคราะห์ขันธ์ วิเคราะห์คน ๒.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ สุตฺต. สํ. ขนฺธวารวคฺโค
[๒๔๒] เอกํ สมยํ ภควา อยุชฺฌายํ วิหรติ คงฺคาย นทิยา ตีเร ฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ
เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว อยํ คงฺคา นที มหนฺตํ เผณปิณฺฑํ อาวเหยฺย ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว เผณปิณฺเฑ สาโร ฯ เอวเมว โข ภิกฺขเว ยงฺกิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ฯเปฯ ยํ ทูเร สนฺติเก วา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว รูเป สาโร ฯ
[๒๔๓] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว สรทสมเย ถุลฺลผุสิตเก เทเว วสฺสนฺเต อุทเก อุทกปุพฺพุฬํ อุปฺปชฺชติ เจว นิรุชฺฌติ จ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว อุทกปุพฺพุเฬ สาโร ฯ เอวเมว โข ภิกฺขเว ยา กาจิ เวทนา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา ฯเปฯ ยา ทูเร สนฺติเก วา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว เวทนาย สาโร ฯ
[๒๔๔] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ฐิเต มชฺฌนฺติเก กาเล มรีจิ ผนฺทติ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ฯเปฯ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว มรีจิกาย สาโร ฯ เอวเมว โข ภิกฺขเว ยา กาจิ สญฺญา ฯเปฯ
[๒๔๕] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี สารปริเยสนํ จรมาโน ติณฺหํ กุธารึ อาทาย วนํ ปวิเสยฺย โส ตตฺถ ปสฺเสยฺย มหนฺตํ กทลิกฺขนฺธํ อุชุํ นวํ อกุกฺกุชกชาตํ ตเมนํ มูเล ฉินฺเทยฺย มูเล เฉตฺวา อคฺเค ฉินฺเทยฺย อคฺเค เฉตฺวา ปตฺตวฏฺฏึ วินิพฺภุชฺเชยฺย โส ตตฺถ ปตฺตวฏฺฏึ วินิพฺภุชฺชนฺโต เผคฺคุํปิ นาธิคจฺเฉยฺย กุโต สารํ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว กทลิกฺขนฺเธ สาโร ฯ เอวเมว โข ภิกฺขเว เย เกจิ สงฺขารา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา ฯเปฯ เย ทูเร สนฺติเก วา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว สงฺขาเรสุ สาโร ฯ
[๒๔๖] เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว มายากาโร วา มายาการนฺเตวาสี วา จาตุมฺมหาปเถ มายํ วิทํเสยฺย ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ปสฺเสยฺย นิชฺฌาเยยฺย โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขาเยยฺย ตุจฺฉกญฺเญว ขาเยยฺย อสารกญฺเญว ขาเยยฺย กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว มายาย สาโร ฯ เอวเมว โข ภิกฺขเว ยงฺกิญฺจิ วิญฺญาณํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ฯเปฯ ยํ ทูเร สนฺติเกวา ตํ ภิกฺขุ ปสฺสติ นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ตสฺส ปสฺสโต นิชฺฌายโต โยนิโส อุปปริกฺขโต ริตฺตกญฺเญว ขายติ ตุจฺฉกญฺเญว ขายติ อสารกญฺเญว ขายติ กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว วิญฺญาเณ สาโร ฯ
เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก รูปสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ เวทนายปิ ฯ สญฺญายปิ ฯ สงฺขาเรสุปิ ฯ วิญฺญาณสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ วิราคา วิมุจฺจติ ฯ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ ฯเปฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาตีติ ฯ
@@@@@@@
อิทมโวจ ภควา อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา
[๒๔๗] เผณปิณฺฑูปมํ รูปํ เวทนา ปุพฺพุฬูปมา มรีจิกูปมา สญฺญา สงฺขารา กทลูปมา มายูปมญฺจ วิญฺญาณํ เทสิตาทิจฺจพนฺธุนา ฯ
ยถา ยถา นิชฺฌายติ โยนิโส อุปปริกฺขติ ริตฺตกํ ตุจฺฉกํ โหติ โย นํ ปสฺสติ โยนิโส ฯ
อิมญฺจ กายํ อารพฺภ ภูริปญฺเญน เทสิตํ ปหานํ ติณฺณํ ธมฺมานํ รูปํ ปสฺสถ ฉฑฺฑิตํ ฯ
อายุ อุสฺมา จ วิญฺญาณํ ยทา กายํ ชหนฺติมํ อปวิฏฺโฐ ตทา เสติ ปรภตฺตํ อเจตนํ ฯ
เอตาทิสายํ สนฺตาโน มายายํ พาลลาปินี วธโก เอโก อกฺขาโต สาโร เอตฺถ น วิชฺชติ ฯ
เอวํ ขนฺเธ อเวกฺเขยฺย ภิกฺขุ อารทฺธวีริโย ทิวา วา ยทิ วา รตฺติ สมฺปชาโน ปฏิสฺสโต ฯ
ปชเห สพฺพสํโยคํ กเรยฺย สรณตฺตโน จเรยฺยาทิตฺตสีโสว ปตฺถยํ อจฺจุตํ ปทนฺติ ฯ
 พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค , ๓. เผณปิณฑูปมสูตร ว่าด้วยอุปมาด้วยกลุ่มฟองน้ำ
[๙๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา เขตเมืองอยุชฌา ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย • แม่น้ำคงคานี้พึงพัดฟองน้ำกลุ่มใหญ่มา บุรุษผู้มีตาดีก็จะพึงเห็น เพ่งพิจารณาฟองน้ำกลุ่มใหญ่นั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่งพิจารณาฟองน้ำกลุ่มใหญ่นั้นโดยแยบคาย ฟองน้ำก็จะพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในฟองน้ำจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม ภิกษุเห็น เพ่งพิจารณารูปนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณารูปนั้นโดยแยบคาย รูปก็จะปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในรูปจะมีได้อย่างไร
• เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกในสารทฤดู ฟองน้ำเกิดขึ้นและดับไปบนผิวน้ำ บุรุษผู้มีตาดีก็พึงเห็น เพ่ง พิจารณาฟองน้ำนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่ง พิจารณาฟองน้ำนั้นโดยแยบคาย ฟองน้ำก็จะพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลยสาระในฟองน้ำนั้นจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม ภิกษุเห็น เพ่งพิจารณาเวทนานั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณาเวทนานั้นโดยแยบคายเวทนาก็จะปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในเวทนาจะมีได้อย่างไร
• เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่ พยับแดดระยิบระยับในเวลาเที่ยง บุรุษผู้มีตาดีก็จะพึงเห็น เพ่ง พิจารณาพยับแดดนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่งพิจารณาพยับแดดนั้นโดยแยบคาย พยับแดดก็จะปรากฏเป็นของว่างเปล่า ฯลฯ สาระในพยับแดดจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน ฯลฯ
• บุรุษผู้ต้องการแก่นไม้เที่ยวเสาะแสวงหาแก่นไม้ ถือขวานที่คมเข้าไปสู่ป่าเขาเห็นต้นกล้วยใหญ่ ตรง กำลังรุ่น ไม่มีแก่นในป่านั้นจึงตัดโคน ตัดปลาย แล้วปอกกาบออก เขาปอกกาบออกแล้ว ไม่ได้แม้กระพี้ในต้นกล้วยนั้น จะได้แก่นแต่ที่ไหนเล่า บุรุษผู้มีตาดีก็จะเห็น เพ่งพิจารณาต้นกล้วยนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่ง พิจารณาต้นกล้วยนั้นโดยแยบคาย ต้นกล้วยก็จะพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นมิได้เลย แก่นในต้นกล้วยจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม ภิกษุเห็น เพ่งพิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย สังขารก็จะปรากฏเป็นของว่าง เปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในสังขารทั้งหลายจะมีได้อย่างไร
• นักมายากลหรือลูกมือนักมายากลแสดงมายากลที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง บุรุษผู้มีตาดีก็จะพึงเห็น เพ่ง พิจารณามายากลนั้นโดยแยบคายได้ เมื่อเขาเห็น เพ่งพิจารณามายากลนั้นโดยแยบคาย มายากลก็จะพึงปรากฏเป็นของว่าง เปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในมายากลจะมีได้อย่างไร แม้ฉันใด วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ไกลหรือใกล้ก็ตาม ภิกษุเห็น เพ่ง พิจารณาวิญญาณนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเห็น เพ่งพิจารณาวิญญาณนั้นโดยแยบคาย วิญญาณก็จะปรากฏเป็นของว่าง เปล่า หาสาระมิได้เลยสาระในวิญญาณจะมีได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา..แม้ในสัญญา..แม้ในสังขาร ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ว่า ‘หลุดพ้นแล้ว’ รู้ชัดว่า ฯลฯ ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป” @@@@@@@
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดาได้ตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
“พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ทรงแสดงแล้วว่า ‘รูปอุปมาด้วยกลุ่มฟองน้ำ เวทนาอุปมาด้วยฟองน้ำ สัญญาอุปมาด้วยพยับแดด สังขารอุปมาด้วยต้นกล้วย และวิญญาณอุปมาด้วยมายากล ภิกษุเพ่งพิจารณาเห็นขันธ์ ๕ นั้นโดยแยบคายด้วยประการใดๆ ขันธ์ ๕ นั้น ก็ปรากฏเป็นของว่างเปล่าด้วยประการนั้นๆ
การละธรรม ๓ ประการซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้ทรงมีปัญญาดุจแผ่นดินทรงปรารภกายนี้ แสดงไว้แล้ว ท่านทั้งหลาย จงดูรูปที่บุคคลทิ้งแล้ว เมื่อใด อายุ ไออุ่น และวิญญาณละกายนี้ เมื่อนั้นกายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง นอนเป็นเหยื่อของสัตว์อื่น ปราศจากเจตนา ความสืบต่อเป็นเช่นนี้
นี้เป็นมายากลสำหรับหลอกลวงคนโง่ ขันธ์ ๕ เปรียบเหมือนเพชฌฆาต เราบอกแล้ว สาระในขันธ์ ๕ นี้ไม่มี
ภิกษุผู้ปรารภความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลายอย่างนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน
ภิกษุเมื่อปรารถนาบทอันไม่จุติ(๑-) พึงละสังโยชน์(๒-) ทั้งปวง ทำที่พึ่งแก่ตน ประพฤติดุจบุคคลถูกไฟไหม้ศีรษะฉะนั้น”
เผณปิณฑูปมสูตรที่ ๓ จบ____________________________________________ (๑-) บทอันไม่จุติ ในที่นี้หมายถึงพระนิพพาน (สํ.ข.อ. ๒/๙๕/๓๕๓) (๒-) สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์กับทุกข์ มี ๑๐ ประการ คือ (๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่า เป็นตัวของตน (๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย (๓) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต (๔) กามราคะ ความติดใจในกามคุณ (๕) ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ หรือพยาบาท ความคิดร้าย (๖) รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรม (๗) อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม (๘) มานะ ความถือตัว (๙) อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน (๑๐) อวิชชา ความไม่รู้จริง (สํ.สฬา.อ. ๓/๕๓-๖๒/๑๔, องฺ.ทสก. (แปล) ๒๔/๑๓/๒๑, อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๙๔๐/๕๙๒)
|
|
|
8
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ศีลเสมอแล้วเจอกัน ไม่ใช่ความจริง | ยังมีปัจจัยอื่นๆอีก
|
เมื่อ: มิถุนายน 05, 2025, 01:29:46 pm
|
. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ๓. ปฐมสังวาสสูตร ว่าด้วยการอยู่ร่วมกัน สูตรที่ ๑
[๕๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จทางไกลระหว่างเมืองมธุรากับเมืองเวรัญชา คหบดีและคหปตานีเป็นจำนวนมากก็ได้เดินทางไกลระหว่างเมืองมธุรา กับเมืองเวรัญชา
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จลงข้างทาง ประทับนั่งที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง คหบดีและคหปตานีเหล่านั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับคหบดีและคหปตานีเหล่านั้นดังนี้ว่า
"คหบดีและคหปตานี การอยู่ร่วมกัน ๔ ประการนี้ การอยู่ร่วมกัน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี ๒. สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา ๓. สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผี ๔. สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา"
(๑) สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างไร.?
คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ เสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย(๑-) อันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่อันเป็นมลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน
แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ เสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่อันเป็นมลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างนี้แล
(๒) สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างไร.?
คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ เสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่อันเป็น มลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน
ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างนี้แล
(๓) สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างไร.?
คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน
ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ เสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่ อันเป็นมลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผีเป็นอย่างนี้แล
(๔) สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างไร.?
คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์
แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์ สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างนี้แล
คหบดีและคหปตานี การอยู่ร่วมกัน ๔ อย่างนี้แล
@@@@@@@
• สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่ายเป็นผู้ทุศีล ตระหนี่ ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผีมาอยู่ร่วมกัน • สามีเป็นผู้ทุศีล ตระหนี่ ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ ส่วนภรรยาเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ(๒-) ปราศจากความตระหนี่ ภรรยานั้นชื่อว่าเป็นเทวดาอยู่ร่วมกับสามีผี • สามีเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ส่วนภรรยาเป็นผู้ทุศีล ตระหนี่ ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ ภรรยานั้นชื่อว่าเป็นผีอยู่ร่วมกับสามีเทวดา
• ส่วนสามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ สำรวมระวัง ดำเนินชีวิตโดยธรรม เจรจาคำไพเราะอ่อนหวานต่อกัน มีความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก มีความประพฤติเสมอกัน ทั้ง ๒ ฝ่าย รักใคร่ ไม่คิดร้ายต่อกัน ทั้ง ๒ ฝ่ายประพฤติธรรมในโลกนี้ มีศีลและวัตรเสมอกัน เสวยอารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมเพลิดเพลินบันเทิงใจในเทวโลก
ปฐมสังวาสสูตรที่ ๓ จบ________________________________ (๑-) สุราและเมรัย หมายถึงสุรา ๕ อย่าง คือ สุราแป้ง สุราขนม สุราข้าวสุก สุราใส่เชื้อ และสุราผสม เครื่องปรุง เมรัย ๕ อย่าง คือ เครื่องดองดอกไม้ เครื่องดองผลไม้ เครื่องดองน้ำอ้อย เครื่องดองน้ำผึ้ง และเครื่องดองผสมเครื่องปรุง (ขุ.ขุ.อ. หน้า ๑๗-๑๘) (๒-) รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ในที่นี้หมายถึง คฤหัสถ์เมื่อเห็นภิกษุเที่ยวบิณฑบาตยืนที่ประตูเรือนของตน เป็นผู้นิ่ง ไม่ออกปากขอ ก็รู้ความหมายได้ว่า ท่านกำลังขอ ซึ่งเป็นการขออย่างพระอริยะ เมื่อรู้แล้วก็คิดว่า พวกเราหุงต้มได้ แต่ภิกษุเหล่านี้หุงต้มไม่ได้ แล้วท่านจะหาภัตได้ที่ไหน จึงจัดแจงไทยธรรมถวายภิกษุนั้น (องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๓๖-๓๗/๒๑)
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ สุตฺต. องฺ. (๒) : จตุกฺกนิปาโต
[๕๓] เอกํ สมยํ ภควาอนฺตรา จ มธุรํ อนฺตรา จ เวรญฺชํ อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน โหติ ฯ
สมฺพหุลาปิ คหปตี จ คหปตานิโย จ อนฺตรา จ มธุรํ อนฺตรา จ เวรญฺชํ อทฺธานมคฺคปฏิปนฺนา โหนฺติ ฯ
อถโข ภควา มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล -นิสีทิ ฯ
อทฺทสํสุ โข เต -คหปตี จ คหปตานิโย จ ภควนฺตํ อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล นิสินนํ ทิสฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ ฯ
เอกมนฺตํ นิสินฺเน โข เต คหปตี จ คหปตานิโย จ ภควา เอตทโวจ จตฺตาโรเม คหปตโย สํวาสา กตเม จตฺตาโร ฉโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ ฉโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ เทโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ เทโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ ฯ
{๕๓.๑} กถญฺจ คหปตโย ฉโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ อิธ คหปตโย สามิโก หติ ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี กาเมสุ มิจฺฉาจารี มุสาวาที สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐายี ทุสฺสีโล ปาปธมฺโม มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ
ภริยาปิสฺส โหติ ปาณาติปาตินี อทินฺนาทายินี กาเมสุ มิจฺฉาจารินี มุสาวาทินี สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐายินี ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตนเจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข คหปตโย ฉโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ ฯ
{๕๓.๒} กถญฺจ คหปตโย ฉโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ อิธ คหปตโย สามิโก โหติ ปาณาติปาตี ฯเปฯ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐายี ทุสฺสีโล ปาปธมฺโม มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ ภริยา จ ขฺวสฺส โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุ มิจฺฉารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรตา สีลวตี กลฺยาณธมฺมา วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสิกปริภาสิกาสมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข คหปตโย ฉโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ ฯ
{๕๓.๓} กถญฺจ คหปตโย เทโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ อิธ คหปตโย สามิโก โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต กาเมสุ มิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต มุสาวาทา ปฏิวิรโต สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรโต สีลวา กลฺยาณธมฺโม วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ ภริยา จ ขฺวสฺส โหติ ปาณาติปาตินี ฯเปฯ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐายินี ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข คหปตโย เทโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ ฯ
{๕๓.๔} กถญฺจ คหปตโย เทโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ อิธ คหปตโย สามิโก โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต ฯเปฯ สุราเมรย-มชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรโต สีลวา กลฺยาณธมฺโม วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ ภริยาปิสฺส โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา ฯเปฯ สุราเมรยมชฺช- ปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรตา สีลวตี กลฺยาณธมฺมา วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข คหปตโย เทโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ ฯ
อิเม โข คหปตโย จตฺตาโร สํวาสาติ ฯ
@@@@@@@
อุโภ จ โหนฺติ ทุสฺสีลา กทริยา ปริภาสกา เต โหนฺติ ชานิปตโย ฉวา สํวาสมาคตา ฯ
สามิโก โหติ ทุสฺสีโล กทริโย ปริภาสโก ภริยา สีลวตี โหติ วทญฺญู วีตมจฺฉรา สาปิ เทวี สํวสติ ฉเวน ปตินา สห ฯ
สามิโก สีลวา โหติ วทญฺญู วีตมจฺฉโร ภริยา โหติ ทุสฺสีลา กทริยา ปริภาสิกา สาปิ ฉวา สํวสติ เทเวน ปตินา สห ฯ
อุโภ สทฺธา วทญฺญู จ สญฺญตา ธมฺมชีวิโน เต โหนฺติ ชานิปตโย อญฺญมญฺญํ ปิยํ วทา อตฺถา สมฺปจุรา โหนฺติ ผาสุกํ อุปชายติ
อมิตฺตา ทุมฺมนา โหนฺติ อุภินฺนํ สมสีลินํ อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน สมสีลพฺพตา อุโภ นนฺทิโน เทวโลกสฺมึ โมทนฺติ กามกามิโนติ ฯ
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑ ๓. สังวาสสูตรที่ ๑ อรรถกถาปฐมสังวาสสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยในปฐมสังวาสสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :- บทว่า สมฺพหุลาปิ โข คหปตี จ คหปตานิโย จ ความว่า คฤหบดีและคฤหปตานีเป็นอันมาก เมื่อไปทำอาวาหมงคลหรือวิวาหมงคล ก็ได้เดินทางไปทางนั้นเหมือนกัน. บทว่า สํวาสา ความว่า การอยู่ร่วมกันการอยูร่วมเป็นอันเดียวกัน. บทว่า ฉโว ฉวาย ความว่า ชื่อว่าชายผี เพราะตายด้วยความตายแห่งคุณ อยู่ร่วมกับหญิงผี เพราะตายด้วยความตายแห่งคุณเหมือนกัน.
บทว่า เทวิยา สทฺธึ ความว่า ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาโดยคุณทั้งหลาย. บทว่า ทุสฺสีโล คือ สามีเป็นคนไม่มีศีล. บทว่า ปาปธมฺโม คือ มีธรรมลามก. บทว่า อกฺโกสกปริภาสโก ความว่า ด่าด้วยเรื่องสำหรับด่า ๑๐ ด่าว่าด้วยแสดงภัยคุกคาม. บัณฑิตพึงทราบเนื้อความในบททั้งปวงอย่างนี้.
บทว่า กทริยา ได้แก่ ตระหนี่เหนียวแน่น. บทว่า ชานิปตโย แปลว่า ภริยาสามี. บทว่า วทญฺญู ได้แก่ รู้อยู่ซึ่งความหมายคำของยาจก. บทว่า สญฺญตา ได้แก่ ประกอบด้วยความสำรวมในศีล. บทว่า ธมฺมชีวิโน ได้แก่ ชื่อว่าธรรมชีวี เพราะตั้งอยู่ในธรรมเลี้ยงชีพ.
บทว่า อตฺถา สมฺปจุรา โหนฺติ ความว่า พวกคนเหล่านั้นย่อมได้ประโยชน์ กล่าวคือความเจริญเป็นอันมาก. บทว่า ผาสุกํ อุปชายติ ความว่า เกิดอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก. บทว่า กามกามิโน ได้แก่ ผู้ยังมีความใคร่ในกามอยู่.
จบอรรถกถาปฐมสังวาสสูตรที่ ๓
|
|
|
9
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ศีลเสมอแล้วเจอกัน ไม่ใช่ความจริง | ยังมีปัจจัยอื่นๆอีก
|
เมื่อ: มิถุนายน 05, 2025, 09:35:33 am
|
. สมชีวิสูตรที่ ๑ - ครองรักให้ยั่งยืน
ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง หวังจะพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพไซร้ ทั้งสองเทียว พึงเป็นผู้ • มีศรัทธาเสมอกัน • มีศีลเสมอกัน • มีจาคะเสมอกัน • มีปัญญาเสมอกัน
ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่นกุลบิดา_______________________________________ พระสูตร : สมชีวิสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๑/๕๕/๖๐ ขอบคุณที่มา : https://uttayarndham.org/dhamma-daily/4513@@@@@@@
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
[183] สมชีวิธรรม 4 (หลักธรรมของคู่ชีวิต, ธรรมที่จะทำให้คู่สมรสชีวิตสมหรือสม่ำเสมอกลมกลืนกัน อยู่ครองกันยืดยาว - qualities which make a couple well matched) 1. สมสัทธา (มีศรัทธาสมกัน - to be matched in faith) 2. สมสีลา (มีศีลสมกัน - to be matched in moral) 3. สมจาคา (มีจาคะสมกัน - to be matched in generosity) 4. สมปัญญา (มีปัญญาสมกัน - to be matched in wisdom)
องฺ.จตุกฺก. 21/55/80.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ สุตฺต. องฺ. (๒): จตุกฺกนิปาโต
[๕๕] เอกํ สมยํ ภควา ภคฺเคสุ วิหรติ สุํสุมารคิเร เภสกฬาวเน มิคทาเย ฯ
อถโข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน นกุลปิตุโน คหปติสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิ ฯ
อถโข นกุลปิตา จ คหปติ นกุลมาตา จ คหปตานี เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข นกุลปิตา คหปติ ภควนฺตํ เอตทโวจ ยโต เม ภนฺเต นกุลมาตา คหปตานี ทหรสฺเสว ทหรา อานีตา นาภิชานามิ นกุลมาตรํ คหปตานึ มนสาปิ อติจริตา กุโต ปน กาเยน อิจฺเฉยฺยาม มยํ ภนฺเต ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุนฺติ ฯ
นกุลมาตาปิ โข คหปตานี ภควนฺตํ เอตทโวจ ยโตหํ ภนฺเต นกุลปิตุโน คหปติสฺส ทหรสฺเสว ทหรา อานีตา นาภิชานามิ นกุลปิตรํ คหปตึ มนสาปิ อติจริตา กุโต ปน กาเยน อิจฺเฉยฺยาม มยํ ภนฺเต ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุนฺติ ฯ อากงฺเขยฺยุํ เจ คหปตโย อุโภ ชานิปตโย ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํอุโภว อสฺสุ สมสทฺธา สมสีลา สมจาคา สมปญฺญา เต ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺติ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺตีติ ฯ
อุโภ สทฺธา วทญฺญู จ สญฺญตา ธมฺมชีวิโน เต โหนฺติ ชานิปตโย อญฺญมญฺญํ ปิยํ วทา อตฺถา สมฺปจุรา โหนฺติ ผาสุกํ อุปชายติ อมิตฺตา ทุมฺมนา โหนฺติ อุภินฺนํ สมสีลินํ อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน สมสีลพฺพตา อุโภ นนฺทิโน เทวโลกสฺมึ โมทนฺติ กามกามิโนติ ฯ
@@@@@@@
[๕๖] อากงฺเขยฺยุํ เจ ภิกฺขเว อุโภ ชานิปตโย ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺ จ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อุโภว อสฺสุ สมสทฺธา สมสีลา สมจาคา สมปญฺญา เต ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺติ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺตีติ ฯ
อุโภ สทฺธา วทญฺญู จ สญฺญตา ธมฺมชีวิโน เต โหนฺติ ชานิปตโย อญฺญมญฺญํ ปิยํ วทา อตฺถา สมฺปจุรา โหนฺติ ผาสุกํ อุปชายติ อมิตฺตา ทุมฺมนา โหนฺติ อุภินฺนํ สมสีลินํ อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน สมสีลพฺพตา อุโภ นนฺทิโน เทวโลกสฺมึ โมทนฺติ กามกามิโนติ ฯ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ๕. ปฐมสมชีวีสูตร ว่าด้วยผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอกัน สูตรที่ ๑
[๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เภสกฬามฤคทายวัน เขตกรุงสุงสุมารคีระ(๑-) แคว้นภัคคะ ครั้นในเวลาเช้าพระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนกุลปิตาคหบดี ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว ลำดับนั้น นกุลปิตาคหบดีและนกุลมาตาคหปตานี (๒-) พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ข้าพระองค์นำนกุลมาตาคหปตานีมา ข้าพระองค์ไม่เคยคิดที่จะประพฤตินอกใจนกุลมาตาคหปตานี ไหนเลยจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า พวกข้าพระองค์ปรารถนาที่จะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”
แม้นกุลมาตาคหปตานีก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่นกุลปิตาคหบดีหนุ่มนำหม่อมฉันผู้ยังเป็นสาวมา หม่อมฉันไม่เคยคิดที่จะประพฤตินอกใจนกุลปิตาคหบดี ไหนเลยจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า พวกข้าพระองค์ปรารถนาที่จะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คหบดีและคหปตานี ถ้าสามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่าย หวังจะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ทั้ง ๒ ฝ่ายพึง มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นย่อมได้พบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”
สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ สำรวมระวัง ดำเนินชีวิตโดยธรรม เจรจาคำไพเราะอ่อนหวานต่อกัน มีความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก มีความประพฤติเสมอกันทั้ง ๒ ฝ่าย รักใคร่ ไม่คิดร้ายต่อกัน ทั้ง ๒ ฝ่าย ประพฤติธรรมในโลกนี้ มีศีลและวัตรเสมอกัน เสวยอารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมเพลิดเพลินบันเทิงใจในเทวโลก
ปฐมสมชีวีสูตรที่ ๕ จบ
____________________________________________ (๑-) หมายถึงชื่อนครหลวงแห่งแคว้นภัคคะที่พระพุทธเจ้าจำพรรษาที่ ๘ (๒-) หมายถึงพราหมณ์ผู้เคยเป็นบิดา เป็นลุง และเป็นอาของพระตถาคตอย่างละ ๕๐๐ ชาติ และพราหมณีผู้เคยเป็นมารดา เป็นป้า และเป็นน้าของตถาคตอย่างละ ๕๐๐ ชาติ (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๕๕-๕๖/๓๕๐) @@@@@@@
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ๖. ทุติยสมชีวีสูตร ว่าด้วยผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอกัน สูตรที่ ๒
[๕๖] ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่ายหวังที่จะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ทั้ง ๒ ฝ่ายพึง มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นย่อมได้พบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ สำรวมระวัง ดำเนินชีวิตโดยธรรม เจรจาคำไพเราะอ่อนหวานต่อกัน มีความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก มีความประพฤติเสมอกันทั้ง ๒ ฝ่าย รักใคร่ ไม่คิดร้ายต่อกัน ทั้ง ๒ ฝ่ายประพฤติธรรมในโลกนี้ มีศีลและวัตรเสมอกัน เสวยอารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมเพลิดเพลินบันเทิงใจในเทวโลก
ทุติยสมชีวีสูตรที่ ๖ จบ
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑ ๕. สมชีวิสูตรที่ ๑ อรรถกถาปฐมสมชีวสูตรที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยในปฐมสมชีวสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :- บทว่า เตนฺปสงฺกมิ ความว่า ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปหาเพื่ออะไร.? ตอบว่า เพื่อทรงอนุเคราะห์. แท้จริง พระตถาคตเมื่อเสด็จไปแว่นแคว้นนั้น ย่อมเสด็จไปเพื่อทรงสงเคราะห์คนทั้งสองนี้เท่านั้น.
ได้ยินว่า นกุลบิดาได้เป็นบิดาของพระตถาคตมาแล้ว ๕๐๐ ชาติ เป็นปู่ ๕๐๐ ชาติ เป็นอา ๕๐๐ ชาติ. แม้นกุลมารดาก็ได้เป็นมารดามา ๕๐๐ ชาติ เป็นย่า ๕๐๐ ชาติ เป็นน้า ๕๐๐ ชาติ คนเหล่านั้นได้ความรักเพียงดังบุตร จำเดิมแต่เวลาตนเห็นพระศาสดา จึงเข้าไปหาแล้วเกิดเป็นโสดาบันด้วยปฐมทัสนะ (การเห็นครั้งแรก) เหมือนแม่โคเห็นลูกโคแล้วติดในลูกโค ร้องอยู่ว่า หนฺตาต หนฺตาต ดังนี้.
ในนิเวศน์ เขาจึงได้จัดอาสนะไว้ถวายแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จเข้าไปหาเพื่ออนุเคราะห์คนเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อติจริตา ได้แก่ ประพฤตินอกใจ. บทว่า อภิสมฺปรายญฺจ ได้แก่ และในโลกหน้า. บทว่า สมสทฺธา ได้แก่ เป็นผู้เสมอ เป็นเช่นเดียวกันด้วยศรัทธา. แม้ในศีลเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.
จบอรรถกถาปฐมสมชีวสูตรที่ ๕
@@@@@@@
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑ ๖. สมชีวิสูตรที่ ๒
ทุติยสมชีวิสูตรที่ ๖ ทรงแสดงแก่พวกภิกษุอย่างเดียว.
บทที่เหลือในบททั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น.
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑ ๖. สมชีวิสูตรที่ ๒ จบ.
|
|
|
10
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ศีลเสมอแล้วเจอกัน ไม่ใช่ความจริง | ยังมีปัจจัยอื่นๆอีก
|
เมื่อ: มิถุนายน 05, 2025, 07:27:00 am
|
. ศีลเสมอแล้วเจอกัน ไม่ใช่ความจริงเวลาที่ใครพูดประโยคนี้ขึ้นมาว่า "ศีลเสมอแล้วเจอกัน" ทำให้ในใจผมคิดอยู่เสมอว่า นี่มันกล่าวตู่พระพุทธเจ้าชัดๆ เพราะมีการไปขยายความซ้ำอีกว่า เป็นเพราะตอนนี้ศีลเราเสมอกันแล้วจึงได้มาเจอกัน.. ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงไปตามประโยคนี้ แล้วเอาไปใช้ในชีวิตแบบข้างๆ คูๆ กลายเป็นว่า การที่คบหาใครเป็นเพื่อนเป็นแฟนได้ ร่วมทำธุรกิจกันได้ เพราะต่างมีศีลเสมอกัน ในวันนี้นี่เอง
แล้วความจริงในเรื่องการพบการเจอนี่ ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ควรมาพูดเพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วเอาไปสร้างเป็นคอนเท้น ซึ่งถามว่าบาปไหม ตอบว่า ไม่ควรทำเช่นนี้มากกว่า เพราะเป็นการสร้างเจตนาให้คนเข้าใจผิด
เพียงแค่ มีศีลเพียงอย่างเดียว แล้วทำให้ได้พบเจอกันนั้นไม่เป็นความจริงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีปรากฏใน..
สมชีวิสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๑/๕๕/๖๐
• เพราะมีศรัทธา เสมอกัน • เพราะมีจาคะ เสมอกัน • เพราะมีศีล เสมอกัน • เพราะมีปัญญา เสมอกัน
จึงทำให้ได้มาพบกัน..และ ไม่ใช่เพราะในปัจจุบันนี้มีทั้ง 4 ข้อนี้ แล้วทำให้เรามาพบเจอกันนะ อันนี้ยิ่งเข้าใจผิดแบบยากที่จะให้อภัย
@@@@@@@
ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา ต้องมีมาจากอดีตชาติร่วมกันมาก่อนแล้วเป็นเหตุ และ ปรากฏเป็นผล ทำให้ ณ ปัจจุบันได้พบกัน..ต่อมา.. ครั้นปัจจุบันเมื่อพบเจอกันแล้ว ยังมี 4 ข้อนี้เสมอกันอีก ครั้นเมื่อเราทั้งสองละจากโลกนี้ไปแล้ว ในสัมปรายภพ ก็ทำให้เราได้พบกันอีก
เห็นกลไกการทำงานของโลกจิตวิญญาณ หรือยัง..
1. ศรัทธา เสมอกัน หมายถึง มีความเคารพนับถือไปในสิ่งเดียวกันเหมือนกัน 2. จาคะ เสมอกัน หมายถึง มีใจสละออกไม่ตระหนี่ถี่เหนียว รู้จักบริจาคเป็นทาน 3. ศีลเสมอกัน หมายถึง มีการปฏิบัติตนตามศีลธรรมอันดีงามเหมือนกัน 4. ปัญญาเสมอกัน หมายถึง มีความคิดความอ่านเหมือนกันในการดำเนินชีวิต หรือ แก้ไขปัญหาชีวิตด้วยปัญญาเหมือนกัน
ทั้ง 4 ข้อ เคยทำร่วมกันมาแต่อดีตชาติ ถ้าปัจจุบันยังปฏิบัติเหมือนกันอีกในสัมปรายภพก็ได้พบกันอีกอย่างแน่นอน เคยเห็นบางคู่รักหรือไม่ ในปัจจุบันมีความคิดเห็นคนละทาง อีกคนมีศีลอีกคนไม่เอาศีลเลย แต่ที่ปัจจุบันมาอยู่ใช้ชีวิตร่วมกันเพราะมีอานิสงส์จากอดีตชาติที่มี 4 ข้อร่วมกันมา
@@@@@@@
มีอีกบทหนึ่ง ที่ยืนยันได้ว่าเพราะมี 4 ข้อดังกล่าวมาจากอดีตจึงทำให้มาพบกันในปัจจุบัน และทรงเปรียบเทียบคู่ชีวิตที่พบกันว่า หากปัจจุบันพบกันแล้วมีสิ่งเสมอกันกับไม่เสมอกันนั้นด้วย กล่าวคือ บางคู่รักที่พบกัน เปรียบเหมือน
1. เทพธิดาอยู่กับเทพบุตร คือ มีศีลธรรมทั้งคู่ตามหลักสมชีวิสูตร 2. เทพธิดาอยู่กับศพ คือ ผู้หญิงมีศีลมีธรรมแต่ผู้ชายไม่มีศีลธรรมใดๆ เลย 3. เทพบุตรอยู่กับศพ คือ ผู้ชายมีศีลมีธรรม แต่ผู้หญิงหามีธรรมใดๆ ไม่ 4. ศพอยู่กับศพ คือ ทั้งชายและหญิงคู่นี้หามีศีลมีธรรมใดๆ เลยไม่
แต่การที่เขาได้มาพบกันล้วนเป็นเพราะในอดีตชาติมีสมชีวิสูตรมาร่วมกันมาก่อนนั้นเอง นี่คือความจริง ที่เราท่านควรรู้และเข้าใจถึงความจริงในข้อนี้ เพื่อมิให้หลงประเด็นคิดว่ามีศีลข้อเดียวแล้วทำให้ได้พบเจอกันThank to : https://www.thansettakij.com/blogs/lifestyle/horoscope/629198คอลัมน์ ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ | 05 มิ.ย. 2568 | 03:30 น.
|
|
|
12
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "สังวรวินัย" เป็นเครื่องระวังและขจัดกายทุจริตและวจีทุจริต
|
เมื่อ: มิถุนายน 03, 2025, 08:50:00 am
|
. "สังวรวินัย" เป็นเครื่องระวังและขจัดกายทุจริตและวจีทุจริตสองบทว่า อริยธมฺมสฺส อโกวิโท ความว่า ไม่ฉลาดในอริยธรรมอันแยกออกเป็น สติปัฏฐาน เป็นต้น. ก็ชื่อว่า วินัยมี ๒ อย่าง แต่ละอย่างในแต่ละประเภท มี ๕ เพราะความไม่มีวินัยทั้ง ๒ นั้น อันนี้ท่านเรียกว่า อวินีต ในคำว่า อริยธมฺเม อวินีโต นี้.
@@@@@@@
วินัย ๒ อย่าง จริงอยู่ วินัยนี้มี ๒ อย่างคือ ๑. สังวรวินัย ๒. ปหานวินัย และวินัยแต่ละอย่างในวินัยแม้ทั้ง ๒ นี้ แยกออกเป็น ๕. จริงอยู่ แม้สังวรวินัย มี ๕ คือ ๑. สีลสังวร ๒. สติสังวร ๓. ญาณสังวร ๔. ขันติสังวร และ ๕. วิริยสังวร.
แม้ปหานวินัย ก็มี ๕ อย่างเหมือนกัน คือ ๑. ตทังคปหาน ๒. วิกขัมภนปหาน ๓. สมุจเฉทปหาน ๔. ปฏิปัสสัทธิปหาน และ ๕. นิสสรณปหาน.
@@@@@@@
สังวรวินัยทั้ง ๕ นั้น สังวรที่ตรัสไว้ว่า
(๑) ภิกษุเข้าถึงด้วยปาฏิโมกข์สังวรนี้ นี้เรียกว่า สีลสังวร. (๒) สังวรที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุย่อมรักษาจักขุนทรีย์ คือถึงการสำรวมในจักขุนทรีย์ นี้เรียกว่า สติสังวร. (๓) สังวรที่ตรัสไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนอชิตะ กระแส(ตัณหา) เหล่าใด ในโลกมีอยู่ สติย่อมเป็นเครื่องห้ามกระแสเหล่านั้น เราตถาคตกล่าวสติว่าเป็นเครื่องระวังกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้นอันบุคคลย่อมละด้วยปัญญา." นี้เรียกว่า ญาณสังวร.
(๔) สังวรที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุย่อมอดทนต่อหนาวและร้อน นี้เรียกว่า ขันติสังวร. (๕) สังวรที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุย่อมหยุดกามวิตกที่เกิดขึ้นแล้วไว้ได้ นี้เรียกว่า วิริยสังวร. @@@@@@@
อนึ่ง สังวรนี้แม้ทั้งหมด ท่านเรียกว่า สังวร เพราะเป็นเครื่องระวังกายทุจริตและวจีทุจริต เป็นต้น ที่ตนต้องระวังตามหน้าที่ของตน และเรียกว่า วินัย เพราะเป็นเครื่องขจัดกายทุจริตและวจีทุจริต เป็นต้น ที่ตนต้องขจัดตามหน้าที่ของตน.
สังวรวินัย พึงทราบว่า แยกออกเป็น ๕ ดังอธิบายมานี้ก่อน.ขอขอบคุณ :- ภาพจาก : pinterest ที่มา : อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายวรรค มูลปริยายสูตร ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวง https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=1&p=2#หลักการใช้_สาธุ_ศัพท์
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
[243] สังวร 5 (ความสำรวม, ความระวังปิดกั้นบาปอกุศล) สังวรศีล (ศีลสังวร, ความสำรวมเป็นศีล) ได้แก่ สังวร 5 อย่าง คือ
1. ปาฏิโมกขสังวร (สำรวมในปาฏิโมกข์ คือ รักษาสิกขาบทเคร่งครัดตามที่ทรงบัญญัติไว้ในพระปาติโมกข์)
2. สติสังวร (สำรวมด้วยสติ คือ สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้น ระวังรักษามิให้บาปอกุศลเข้าครอบงำ เมื่อเห็นรูป เป็นต้น) = อินทรียสังวร
3. ญาณสังวร (สำรวมด้วยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมีตัณหาเป็นต้นเสียได้ ด้วยใช้ปัญญาพิจารณา มิให้เข้ามาครอบงำจิต ตลอดถึงรู้จักพิจารณาเสพปัจจัยสี่) = ปัจจัยปัจจเวกขณ์
4. ขันติสังวร (สำรวมด้วยขันติ คือ อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย ถ้อยคำแรงร้าย และทุกขเวทนาต่างๆ ได้ ไม่แสดงความวิการ)
5. วิริยสังวร (สำรวมด้วยความเพียร คือ พยายามขับไล่ บรรเทา กำจัดอกุศลวิตกที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไปเป็นต้น ตลอดจนละมิจฉาชีพ เพียรแสวงหาปัจจัยสี่เลี้ยงชีวิตด้วยสัมมาชีพ ที่เรียกว่าอาชีวปาริสุทธิ) = อาชีวปาริสุทธิ
ในคัมภีร์บางแห่งที่อธิบายคำว่าวินัย แบ่งวินัยเป็น 2 คือ สังวรวินัย กับ ปหานวินัย และจำแนกสังวรวินัยเป็น 5 มีแปลกจากนี้เฉพาะข้อที่ 1 เป็น สีลสังวร. (ดู สุตฺต.อ. 1/9 ; สงฺคณี.อ. 505)
อ้างอิง : วิสุทฺธิ. 1/8 ; ปฏิสํ.อ. 16 ; วิภงฺค.อ. 429
|
|
|
13
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย | นำพาให้พบกับแสงสว่างส่องใจ
|
เมื่อ: มิถุนายน 02, 2025, 12:44:59 pm
|
.  ขยายความ : กระแสเกิดและดับ (ปฏิจจสมุปบาท ,ปัจจยาการ หรือ อิทัปปัจจยตา) อ้างอิงจาก :-
- พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปฏิจจสมุปบาท - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ https://84000.org/tipitaka/read/?4/1/1 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=16&item=1&items=1&preline=0&pagebreak=0 - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์ อภิธรรมมาติกา ปัจจยจตุกกะ https://84000.org/tipitaka/read/?35/274/185 ความหมายของปฏิจจสมุปบาท
[340] ปฏิจจสมุปบาท มีองค์หรือหัวข้อ 12 (การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น)
1/2. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี 3. สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี 4. วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี 5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี 6. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี 7. ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี 8. เวทนาปจฺจยา ตณฺหา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี 9. ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี 10. อุปาทานปจฺจยา ภโว เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี 11. ภวปจฺจยา ชาติ เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี 12. ชาติปจฺจยา ชรามรณํ เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ. ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้
แสดงตามลำดับ จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา
@@@@@@@
องค์ หรือหัวข้อ 12 นั้น มีความหมายโดยสังเขป ดังนี้
1. อวิชชา ความไม่รู้ คือไม่รู้ในอริยสัจ 4 หรือตามนัยอภิธรรม ว่า อวิชชา 8 2. สังขาร สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร 3 หรือ อภิสังขาร 3 3. วิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ 6 4. นามรูป นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ หรือตามนัยอภิธรรมว่า นามขันธ์ 3 + รูป ขันธ์ 5 (ข้อ 2, 3, 4) ; ดู รูป 2, 28 ; มหาภูต หรือ ภูตรูป 4 อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป 24 ; รูป 2 5. สฬายตนะ อายตนะ 6 ได้แก่ อายตนะภายใน 6 6. ผัสสะ ความกระทบ, ความประจวบ ได้แก่ สัมผัส 6 7. เวทนา ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา 6 8. ตัณหา ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา 6 มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์) ดู ตัณหา 3 ด้วย 9. อุปาทาน ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน 4 10. ภพ ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ 3 อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม ตรงกับ อภิสังขาร 3) กับ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ ตรงกับ ภพ 3) 11. ชาติ ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ 12. ชรามรณะ ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)
@@@@@@@
ทั้ง 12 ข้อ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นวงจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล้อหรือวงจรแห่งภพ) และมีข้อควรทราบเกี่ยวกับภวจักรอีก ดังนี้
ก. อัทธา คือ กาล 3 ได้แก่ 1) อดีต = อวิชชา สังขาร 2) ปัจจุบัน = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ 3) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)
ข. สังเขป หรือ สังคหะ 4 คือ ช่วง หมวด หรือ กลุ่ม 4 ได้แก่ 1) อดีตเหตุ = อวิชชา สังขาร 2) ปัจจุบันผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา 3) ปัจจุบันเหตุ = ตัณหา อุปาทาน ภพ 4) อนาคตผล = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)
ค. สนธิ 3 คือ ขั้วต่อ ระหว่างสังเขปหรือช่วงทั้ง 4 ได้แก่ 1) ระหว่าง อดีตเหตุ กับ ปัจจุบันผล 2) ระหว่าง ปัจจุบันผล กับ ปัจจุบันเหตุ 3) ระหว่าง ปัจจุบันเหตุ กับ อนาคตผล
ง. วัฏฏะ 3 ดู วัฏฏะ 3
จ. อาการ 20 คือองค์ประกอบแต่ละอย่าง อันเป็นดุจกำของล้อ จำแนกตามส่วนเหตุ และส่วนผล ได้แก่ 1) อดีตเหตุ 5 = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ 2) ปัจจุบันผล 5 = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา 3) ปัจจุบันเหตุ 5 = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ 4) อนาคตผล 5 = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา อาการ 20 นี้ ก็คือ หัวข้อที่กระจายให้เต็ม ในทุกช่วงของสังเขป 4 นั่นเอง
ฉ. มูล 2 คือ กิเลสที่เป็นตัวมูลเหตุ ซึ่งกำหนดเป็นจุดเริ่มต้นในวงจรแต่ละช่วง ได้แก่ 1) อวิชชา เป็นจุดเริ่มต้นในช่วงอดีต ส่งผลถึงเวทนาในช่วงปัจจุบัน 2) ตัณหา เป็นจุดเริ่มต้นในช่วงปัจจุบัน ส่งผลถึงชรามรณะในช่วงอนาคต
พึงสังเกตด้วยว่า การกล่าวถึงส่วนประกอบของภวจักรตามข้อ ก. ถึง ฉ. นี้ เป็นคำอธิบายในคัมภีร์รุ่นหลัง เช่น อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นต้น
@@@@@@@
การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท ให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบายอริยสัจข้อที่ 2 (สมุทัยสัจ) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท ที่แสดงแบบนี้ เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท)
การแสดงในทางตรงข้ามกับข้างต้นนี้ เป็น นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้อธิบายอริยสัจข้อที่ 3 (นิโรธสัจ) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลายสืบทอดกันไป ตัวบทของปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมนี้ พึงเทียบจากแบบอนุโลมนั่นเอง เช่น
1/2. อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ 3. สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ 12. ชาตินิโรธา ชรามรณํ เพราะชาติดับ ชรามรณะ (จึงดับ)
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติ ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ. ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
นี้เป็นอนุโลมเทศนาของปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ส่วนปฏิโลมเทศนา ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะ เป็นต้น ดับ เพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ อย่างเดียวกับในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาทนี้ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ อิทัปปัจจยตา (ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย) ธรรมนิยาม (ความเป็นไปอันแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ และ ปัจจยาการ) (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน) เฉพาะชื่อหลังนี้เป็นคำที่นิยมใช้ในคัมภีร์อภิธรรม และคัมภีร์รุ่นอรรถกถา.
ขอขอบคุณ :- ที่มา : https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปฏิจจสมุปบาท อ้างอิง : วินย. 4/1/1 ; สํ.นิ. 16/1/1 ; อภิ.วิ. 35/274/185 ; วิสุทธิ. 3/107 ; สงฺคห. 45.
ปฏิจจสมุปบาทวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีปฏิจจสมุปบาท (/ปะติดจะสะหฺมุบบาด/) (บาลี : Paṭiccasamuppāda ปฏิจฺจสมุปฺปาท ; สันสกฤต : प्रतित्यसमुद्पाद ปฺรติตฺยสมุทฺปาท) แยกเป็น ปฏิจจ แปลว่า อาศัยกันและกัน, สมุปบาท แปลว่า เกิดร่วมกัน,
ปฏิจจสมุปบาท จึงแปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้นร่วมกัน หมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากสิ่งอื่น ทุกสิ่งต่างอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นหรือปรากฎลักษณะขึ้น
เช่น ฝน ย่อมเกิดขึ้นหรือแสดงลักษณะ จากเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทั้งการระเหยของน้ำ การแปรสภาพเมฆ การกระทบความเย็น จนควบแน่นจนตกลงมาเป็นฝน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าฝนไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ,
@@@@@@@
ปฏิจจสมุปบาทเป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ
• เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี • เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี • เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี • เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ หรือ อายตนะ จึงมี • เพราะสฬายตนะ หรือ อายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี • เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี • เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี • เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี • เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี • เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี • เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี • ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
@@@@@@@
การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา หรือเรียกว่าปฏิจสมุปบาทสายเกิด ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการเกิดทุกข์
หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา หรือเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทสายดับ (นิโรธก็เรียก) ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการดับทุกข์
ในหนึ่งรอบจะแบ่งออกเป็นวัฏฏะ 2 ช่วง ช่วงที่ 1 อวิชชาเป็นกิเลส สังขารเป็นกรรม วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนาเป็นวิบาก ช่วงที่ 2 ตัณหา อุปาทานเป็นกิเลส ภพเป็นกรรม ชาติ ชรามรณะเป็นวิบาก เมื่อจำแนก ปฏิจจสมุปบาทเป็น 2 ช่วงเช่นนี้ ปฏิจจสมุปบาทจะใกล้เคียงกับสัญลักษณ์ อินฟินี้ตี้ "8" มากกว่า สัญลักษณ์ งูกินหาง "0"
@@@@@@@
ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์
• ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะ ชาติ (การเกิดอัตตา "ตัวตน" คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ • ชาติ จะดับไปได้เพราะ ภพ (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ • ภพ จะดับไปได้เพราะ อุปาทาน (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ • อุปาทาน จะดับไปได้เพราะ ตัณหา (ความอยาก) ดับ • ตัณหา จะดับไปได้เพราะ เวทนา (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉย ๆ) ดับ • เวทนา จะดับไปได้เพราะ ผัสสะ (การสัมผัส) ดับ • ผัสสะ จะดับไปได้เพราะ สฬายตนะ (อายตนะใน 6 + นอก 6) ดับ • สฬายตนะ จะดับไปได้เพราะ นามรูป (รูปขันธ์) ดับ • นามรูป จะดับไปได้เพราะ วิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ดับ • วิญญาณ จะดับไปได้เพราะ สังขาร (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-เจตสิก) ดับ • สังขาร จะดับไปได้เพราะ อวิชชา (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ
@@@@@@@
สมุทยวาร-นิโรธวาร
การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงให้เห็น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่าง ๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สอง (สมุทัยสัจจ์) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจสมุปบาทที่แสดงแบบนี้เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท
(ดังแสดงสองตัวอย่างที่ผ่านไป เป็น อนุโลมเทศนา และ ปฏิโลมเทศนา ของอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับ)
การแสดงตรงกันข้ามกับข้างต้นนี้ เรียกว่า นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สาม (นิโรธสัจจ์) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย สืบทอดกันไป เช่น
เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติ ดับชรามรณะ (จึงดับ) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ
ดังนี้เรียกว่า อนุโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท
ส่วนปฏิโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะเป็นต้น ดับเพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ Thank to :- URL : https://th.wikipedia.org/wiki/ปฏิจจสมุปบาท Photo : pinterest
 ‘ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท’
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ สุตฺต. ม. มูลปณฺณาสกํ
{๓๔๖.๑} โส เอวํ ปชานาติ เอวํ กิริเมสํ ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ สงฺคโห สนฺนิปาโต สมวาโย โหติ ฯ วุตฺตํ โข ปเนตํ ภควตา โย ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสตีติ ฯ
ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา โข ปนิเม ยทิทํ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ ฉนฺโท อาลโย อนุนโย อชฺโฌสานํ โส ทุกฺขสมุทโย โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ โส ทุกฺขนิโรโธติ ฯ
เอตฺตาวตาปิ โข อาวุโส ภิกฺขุโน พหุกตํ โหติ
@@@@@@@
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
ปฏิจจสมุปปันนธรรม
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า ‘ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท’
อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม ความพอใจ ความอาลัย ความยินดี ความหมกมุ่นฝังใจในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ชื่อว่า ทุกขสมุทัย การกำจัดความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ การละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ชื่อว่า ทุกขนิโรธ
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ภิกษุได้ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมากแล้ว
|
|
|
14
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จงรักศัตรูของเจ้า จงทําความดีแก่เขา..ผู้จงเกลียดจงชังเจ้า
|
เมื่อ: มิถุนายน 02, 2025, 09:48:01 am
|
. อะไร.? คือ ความรัก | God is Love and Love is Godการที่จะเข้าใจความรักนั้นไม่ง่าย เพราะธรรมชาติอันแท้จริงและความยิ่งใหญ่ของความรักนั้น ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นค่าพูดได้ มันเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ที่บริสุทธิ์ และละเอียดอ่อนมากยากที่จะระบายออกมาเป็นลักษณะท่าทางและภาษาพูดได้ ผู้ที่มีความรักย่อมรู้ได้โดยการสัมผัสด้วยตนเองเท่านั้น เพราะเกินความสามารถของชิวหาหรือปากกา ที่จะพรรณนาลักษณะความรักนั้นได้
จริงๆ แล้ว ความรักเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งสําหรับพระเป็นเจ้า อย่างที่คัมภีร ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า God is love หมายถึง พระเป็นเจ้า คือ ความรัก, และความรัก คือ พระเป็นเจ้า, การที่จะเอาความยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าลงมาสู่มิติของมนุษย์ธรรมดานั้น เป็นไปไม่ได้เลยในการที่จะพรรณนาความงดงามตระการตาของความรักในภาษามนุษย์ได้
คนทุกคนมีความปรารถนาที่จะมีความสุข และความสุขก็คือผลที่ใจมีสมาธิ หรือใจมีอารมณ์เป็นเอกัคคตา ทรัพย์สมบัติของสมาธิและความสุขของใจนั้น เราสามารถจะได้มาโดยทางความรัก, เพราะคุณสมบัติ คือ ความ สงบ ความสุข และความสว่างของใจย่อมมีได้โดยธรรมชาติแห่งความรัก
เมื่อใดก็ตามที่ความรักหายไป เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างภายในโลกย่อมตกอยู่ในความทุกข์ ความเดือดร้อน และความเข้าใจผิด ซึ่งเป็นต้นเหตุของการทะเลาะวิวาท อันเกิดขึ้นไม่ว่าในครอบครัวในบ้าน ในประเทศ ระหว่างประเทศและภายในชาติเดียวกัน, ดังปรากฏ อยู่ทั่วไปในโลกและในชาติทุกวันนี้
@@@@@@@
พระเป็นเจ้าหรือความรัก ย่อมเห็นสรรพสัตว์เป็นอย่างเดียวกัน ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว ในพระเนตรของ พระองค์แล้ว ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีเผ่าพันธุ์ ไม่มีลัทธิศาสนา, ทุกคนเป็นลูกของพระองค์ ใครก็ตามที่เข้าใจความจริงอันนี้ เขาผู้นั้นไม่สามารถที่จะเกลียดชังคนใดคนหนึ่งได้ ดังที่พระเยซู กล่าวว่า “จงรักซึ่งกันและกัน”
เราคงลืมความหมายอันแท้จริงของค่า กล่าวนี้ เราสามารถจะรักกันและกันได้ ก็ต่อเมื่อเราเห็นพระเป็นเจ้าอยู่ในตัว เราทุกคน เราจึงจะรักซึ่งกันและกัน เราไม่ได้รักบุคคล แต่เรารักพระเป็นเจ้าภายในตัวเราแต่ละคน เมื่อเราพบพระองค์ในภายในคนทุกๆ คน ปัญหาเรื่องความสูงความต่ำก็ไม่เกิดขึ้น, ปัญหาเรื่องตัวกูของกูก็ไม่เกิดขึ้น ปัญหาเรื่องความโกรธแค้นก็ไม่เกิดขึ้น
ดังนั้น การที่จะให้มีความรักซึ่งกันและกันเกิดขึ้นในสังคม เราจะต้องมีความรักดังกล่าวนั้น คือ รักพระเป็นเจ้าซึ่งประทับอยู่ในภายในเรา, และเราก็จะพบว่า เราทุกคนเป็นลูกของพระบิดาองค์เดียวกัน.
ในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูตรัสว่า “ท่านคงจะได้ยินคําพูดที่กล่าวสืบๆ กันมาแต่ก่อนว่า ท่านจงรักเพื่อนบ้านของท่าน และจงเกลียดศัตรูของ ท่าน, แต่ข้าพเจ้าจะพูดกับเจ้าว่า จงรักศัตรูของเจ้า จงให้พรแก่ศัตรูของเจ้า แก่ผู้สาปแช่งเจ้า จงทําความดีแก่เขาผู้จงเกลียดจงชังเจ้า และจงสวดอ้อนวอนให้พระเป็นเจ้าทรงประทานพรแก่พวกเขา ผู้ด่าว่าเจ้าและรบกวนเจ้า".
@@@@@@@
ความรักมีอยู่ ณ ที่ใด ชีวิตก็มีความสดชื่น ณ ที่นั้น , ที่ที่ความรักสูญสิ้นไป ชีวิต ณ ที่นั้นก็ไร้ค่า, จริงๆ แล้ว คนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่เป็นคนที่มีความรักที่แท้จริงได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาผู้นั้นมีประกายแสงแห่งความรักแห่งสวรรค์ปรากฏอยู่ในภายในตัวเขา
พระเป็นเจ้าในรูปแบบแห่งความรักย่อมประทับอยู่ในคนทุกๆคน บุคคลทั้งหลายผู้มีนัยน์ตาอันเปิดแล้ว คือ เห็นคนทุกๆ คนว่าเป็นปรากฏการณ์ของพระเป็นเจ้า เหมือนปรากฏการณ์ของแสงอาทิตย์ หรือเหมือนลูกคลื่น ในมหาสมุทร, เขาผู้เห็นเช่นนั้นเท่านั้นย่อมรู้ว่าประกายแห่งความรัก อย่างเดียวเท่านั้นที่ได้ทําให้พวกเขาเกิดมาเป็นมนุษย์ได้
เมื่อเขาได้รู้แจ้งอย่างนี้แล้ว ใครเล่าจะสูงใครเล่าจะต่ำ หรือคนย่อมดํารงอยู่ในตําแหน่งหรือฐานะต่าง ๆ ของชีวิตและอยู่ในประเทศต่างๆ ทั้งหมดนี้คน ก็คือคนผู้เป็นลูกของพระเป็นเจ้า ย่อมเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้า, ความแตกต่างกันของวรรณะ เชื้อชาติ ประเทศ หรือลัทธิ ศาสนา ไม่มีความสําคัญแต่อย่างใด สําหรับบุคคลผู้มีคุณสมบัติแห่งความรัก เขาย่อมรู้ว่าในสวรรค์มีพระเป็นเจ้าหนึ่งเดียว ในพื้นโลกมีครอบครัวเดียว คือ ครอบครัวมนุษย์.
มีนักปราชญ์ชาวเปอร์เซียชื่อ เมา นารูม กล่าวไว้ว่า “กระแสความรักจากพระเป็นเจ้า ผู้หนึ่งเดียวเท่านั้น ไหลผ่านไปทั่วสากลพิภพ เมื่อท่านเห็นหน้าของบุคคลคนหนึ่ง ท่านคิดอะไรหรือ.? ท่านมองดูเขาผู้นั้นว่าไม่ใช่คนๆ หนึ่งหรือ.? แต่เขาผู้นั้นเป็นกระแสธารแห่งแก่นแท้ของความรัก(พระเป็นเจ้า) ซึ่งกระแสแห่งความรักนั้นแทรกซึมและซึมซาบอยู่ในตัวเขาผู้นั้น".
@@@@@@@
ความรักนั้นมันเป็นตัวของมันเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่หรืออาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย, มันเป็นมหาสมุทรแห่งศรัทธา เป็นความแข็งแกร่ง และเป็นพลังแห่งความอดทน, มันถ่ายทอดความสดชื่น ความเย็น และความสงบสู่หัวใจและชีวิตของผู้มีความรัก ความรักประกอบด้วยคุณค่าอันสูงส่ง และแท้จริง เป็นอมตะ
สิ่งต่างๆ ในโลกปรากฏว่าสวยสดงดงามก็ต่อเมื่อ มันมีความรักอยู่ในหัวใจเท่านั้น โดยกระแสธารแห่งความรัก บรรยากาศทั้งหมดจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความเพลิดเพลิน. ประกายแสงสว่างของพระเป็นเจ้าย่อมเห็นได้ในความรักนั้นเท่านั้น
ความรักเป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่และสง่างามที่สุดในบรรดาขุมทรัพย์ทั้งหลาย, ปราศจากความรักเสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเหี่ยวแห้งไม่มีอะไรเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความรัก. เขาผู้ที่ไม่มีความรักอยู่ในหัวใจ ไม่ควรเรียกผู้นั้นว่ามนุษย์เลย
นักปราชญ์ของไทยคนหนึ่งคือ สุนทรภู่ ท่านกล่าวว่า “ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่ สิ้นสุดความรักสมัครสมาน แม้นเกิดในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสมิคลาดคลาย.”ขอขอบคุณ ที่มา : วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๓ ก.ค.-ก.ย. ๒๕๔๕ บทความเรื่อง “ความรัก” โดย สนั่น ไชยานุกุล (ยกมาแสดงบางส่วน) ภาคีสมาชิก สํานักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน บรรยายในการประชุมสํานักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕
|
|
|
15
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย | นำพาให้พบกับแสงสว่างส่องใจ
|
เมื่อ: มิถุนายน 01, 2025, 11:58:47 am
|
.  ขยายความ : เทวดาสงสัย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ สุตฺต. สํ. สคาถวคฺโค
ตติยํ ชฏาสุตฺตํ
[๖๐] อนฺโตชฏา พหิชฏา ชฏาย ชฏิตา ปชา ตํ ตํ โคตม ปุจฺฉามิ โก อิมํ วิชฏเย ชฏนฺติ ฯ
[๖๑] สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ
เยสํ ราโค จ โทโส จ อวิชฺชา จ วิราชิตา ขีณาสวา อรหนฺโต เตสํ วิชฏิตา ชฏา ยตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ อเสสํ อุปรุชฺฌติ ปฏิฆรูปสญฺญา จ เอตฺถ สา ฉิชฺชเต ชฏาติ ฯ
@@@@@@@
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
๓. ชฏาสูตร ว่าด้วยความยุ่ง
[๒๓] เทวดาทูลถามว่า หมู่สัตว์ยุ่งทั้งภายใน ยุ่งทั้งภายนอก ถูกความยุ่งพาให้นุงนังแล้ว ข้าแต่พระโคดม เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ว่า ใครพึงแก้ความยุ่งนี้ได้
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า นรชนผู้มีปัญญา เห็นภัยในสังสารวัฏ ดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญจิตและปัญญา(๑-) มีความเพียร มีปัญญาเครื่องบริหารนั้นพึงแก้ความยุ่งนี้ได้
บุคคลเหล่าใดกำจัดราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว บุคคลเหล่านั้นสิ้นอาสวะแล้ว เป็นพระอรหันต์ พวกเขาแก้ความยุ่งได้แล้ว นาม(๒-) ก็ดี รูปก็ดี ปฏิฆสัญญาก็ดี รูปสัญญาก็ดี(๓-) ดับไม่เหลือในที่ใด ความยุ่งนั้นก็ย่อมขาดหายไปในที่นั้น(๔-)เชิงอรรถ (๑-) เจริญจิตและปัญญา หมายถึงเจริญสมาธิและวิปัสสนา (สํ.ส.อ. ๑/๒๓/๔๙) (๒-) นาม หมายถึงอรูปขันธ์ ๔ (คือ เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ) (สํ.ส.อ. ๑/๒๓/๕๐) (๓-) ปฏิฆสัญญา หมายถึงกามภพ รูปสัญญา หมายถึงรูปภพ (สํ.ส.อ. ๑/๒๓/๕๐) (๔-) ดูเทียบคาถาข้อ ๑๙๒ หน้า ๒๗๒-๒๗๓ ในเล่มนี้
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต สัตติวรรคที่ ๓ ,ชฏาสูตรที่ ๓ อรรถกถาชฏาสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยในชฏาสูตรที่ ๓ ต่อไป :-
บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งคาถาว่า อนฺโตชฏา ดังต่อไปนี้. บทว่า ชฏา เป็นชื่อของตัณหาเพียงดังข่าย.
จริงอยู่ ตัณหานั้นชื่อว่าชฏา เพราะอรรถว่าเป็นดุจชัฏ กล่าวคือข่ายแห่งกิ่งไม้ทั้งหลายมีกิ่งไม้ไผ่เป็นต้น ด้วยอรรถว่าเกี่ยวประสานกันไว้ เพราะเกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปารมณ์เป็นต้นด้วยสามารถแห่งอารมณ์ทั้งต่ำและสูง.
ก็ตัณหานี้นั้น เทพบุตรเรียกว่า ชัฏ (แปลว่ารก) ทั้งภายใน ชัฏทั้งภายนอก เพราะเกิดขึ้นในบริขารของตนและบริขารของผู้อื่น ทั้งในอัตภาพของตนและอัตภาพของผู้อื่น ทั้งในอายตนะภายในและอายตนะภายนอก. หมู่สัตว์ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏ คือตัณหานั้นอันเกิดขึ้นอย่างนี้.
อธิบายว่า ต้นไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้นยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือกิ่งของไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้นฉันใด ปชาคือหมู่สัตว์แม้ทั้งหมดนี้ก็ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือตัณหา ถูกตัณหานั้นผูกพันแล้วฉันนั้น. ก็เพราะหมู่สัตว์ถูกตัณหาผูกพันแล้วอย่างนี้ ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงขอทูลถามพระองค์ว่า ตํ ตํ โคตม ปุจฺฉามิ ดังนี้ แปลว่า ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์.
@@@@@@@
บทว่า โคตม คือ เทวดาย่อมเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระโคตร. บทว่า โก อิมํ วิชฏเย ชฏํ แปลว่า ใครพึงถางชัฏนี้. ความว่า เทพบุตรนั้นทูลถามว่า ใครพึงถาง คือใครสามารถเพื่อจะถางชัฏ (ตัณหา) อันรกรุงรังซึ่งตั้งอยู่ในโลกธาตุทั้ง ๓ นี้ได้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงวิสัชนาเนื้อความนี้แก่เทพบุตรนั้น จึงตรัสว่า สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ นรชนผู้มีปัญญา ตั้งมั่นแล้วในศีล อบรมจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ เป็นผู้มีความเพียร มีปัญญารักษาตนรอด ภิกษุนั้นพึงถางชัฏ (ตัณหา) นี้ได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีเล ปติฏฺฐาย ได้แก่ ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีล. ก็ในบทนี้พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อันเทวดาทูลถามถึงชัฏ คือ ตัณหาที่ผูกพันนระไว้ พระองค์จึงเริ่มคำว่า ศีล มิได้ทูลถามอย่างอื่น ก็มิได้ตรัสอย่างอื่น. เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงศีลในที่นี้ ก็เพื่อทรงแสดงถึงที่พึ่งของนระผู้ถางชัฏ คือตัณหาที่ผูกพันไว้.
บทว่า นโร ได้แก่ สัตว์. บทว่า สปญฺโญ ได้แก่ ผู้มีปัญญาโดยปฏิสนธิมาด้วยปัญญาอันเป็นไตรเหตุอันเกิดแต่กรรม. บทว่า จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ ได้แก่ ยังสมาธิและปัญญาให้เจริญอยู่. จริงอยู่ ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสมาบัติ ๘ ไว้ด้วยหัวข้อแห่งจิต ตรัสวิปัสสนาไว้โดยชื่อว่าปัญญา. @@@@@@@
บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร. จริงอยู่ ความเพียร ตรัสเรียกว่า อาตาปะ เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องเผากิเลสทั้งหลายให้เร่าร้อน. ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสของนระนั้นมีอยู่ เหตุนั้น นระผู้มีความเพียรนั้นจึงชื่อว่า อาตาปี แปลว่า ผู้มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสให้เร่าร้อน.
ในบทว่า นิปโก นี้ ตรัสเรียกปัญญาว่าเนปกะ. อธิบายว่า นระผู้ประกอบด้วยปัญญา ชื่อว่าเนปกะนั้น. ทรงแสดงปาริหาริยปัญญา ด้วยบทว่า นิปโก นี้. อธิบายว่า ปัญญาอันเป็นเหตุที่บุคคลพึงบริหารให้สำเร็จกิจทั้งปวง โดยนัยว่า นี้เป็นกาลสมควรเพื่อเรียน (อุเทศ) นี้เป็นกาลสมควรเพื่อสอบถาม (ปริปุจฉา) เป็นต้น ชื่อว่า ปาริหาริยปัญญา.
ในปัญหาพยากรณ์นี้ ปัญญามา ๓ วาระ. ในปัญญาเหล่านั้น ปัญญาที่หนึ่ง ชื่อว่า สชาติปัญญา (ปัญญามีมาพร้อมกับการเกิด) ปัญญาที่สอง ชื่อว่า วิปัสสนาปัญญา. ปัญญาที่สาม ชื่อว่า ปาริหาริยปัญญา อันเป็นเครื่องนำไปในกิจทั้งปวง.
บทว่า ภิกฺขุ มีวิเคราะห์ว่า ผู้ใดย่อมเห็นภัยในสงสาร เหตุนั้น ผู้นั้นจึงชื่อว่าภิกษุ.(๑-)____________________________ (๑-) คำว่า ภิกขุ ในที่นี้ท่านไม่ได้อธิบายไว้ (อรรถกถาบาลี หน้า ๖๒) @@@@@@@
บทว่า โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ ความว่า ภิกษุนั้นพึงถางชัฏนี้ได้ ได้แก่ภิกษุนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยคุณทั้งหลายมีสีลาทิคุณเป็นต้นเหล่านี้.(๒-)
อธิบายว่า ภิกษุอาศัยแผ่นดินคือศีล แล้วยกศาสตราคือวิปัสสนาปัญญาอันตนลับดีแล้วด้วยศิลาคือสมาธิ ด้วยมือคือปาริหาริยปัญญาอันกำลังคือความเพียร ประคับประคองแล้ว พึงถาง พึงตัด พึงทำลายซึ่งชัฏคือตัณหาอันประจำอยู่ในสันดานแห่งตนนั้นแม้ทั้งหมด เปรียบเหมือนบุรุษผู้ยืนบนแผ่นดินยกศาสตราอันตนลับดีแล้ว พึงถางกอไผ่ใหญ่ ฉะนั้น.____________________________ (๒-) ผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๖ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างและวิริยะ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเสกขภูมิด้วยคำมีประมาณเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงพระมหาขีณาสพผู้ถางชัฏ (ตัณหา) แล้วดำรงอยู่ จึงตรัสคำว่า เยสํ ราโค จ โทโส จ อวิชฺชา จ วิราชิตา ขีณาสวา อรหนฺโต เตสํ วิชฺชิตา ชฏา. ราคะก็ดี โทสะก็ดี อวิชชาก็ดี อันบุคคลเหล่าใด กำจัดได้แล้ว บุคคลเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งอัน บุคคลเหล่านั้นสางได้แล้ว.
@@@@@@@
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงพระขีณาสพผู้ถางซึ่งชัฏคือตัณหาอย่างนี้แล้วดำรงอยู่ เมื่อจะทรงแสดงโอกาสเป็นเครื่องถางชัฏอีก จึงตรัสคำว่า ยตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ อเสสํ อุปรุชฺฌติ ปฏิฆรูปสญฺญา จ เอตฺถ สา ฉิชฺชเต ชฏา. นามก็ดี รูปก็ดี ปฏิฆสัญญา และรูปสัญญาก็ดี ย่อมดับไม่เหลือในที่ใด ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งนั้น ย่อมขาดไปในที่นั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นามํ ได้แก่ อรูปขันธ์ ๔. ในบทว่า ปฏิฆรูปสญฺญา นี้ ท่านถือเอากามภพด้วยอำนาจแห่งปฏิฆสัญญา ถือเอารูปภพด้วยอำนาจแห่งรูปสัญญา. เมื่อภพทั้ง ๒ เหล่านั้นทรงถือเอาแล้ว อรูปภพก็เป็นอันถือเอาแล้วโดยสังเขปแห่งภพนั่นแหละ. ในบทว่า เอตฺเถสา ฉิชฺชเต ชฏา นี้ แปลว่า ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งย่อมขาดไปในที่นั้น คือว่าตัณหาอันเป็นเครื่องยุ่งเหยิงนี้ ย่อมขาดไปในที่เป็นที่สิ้นสุดลงแห่งวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ คือว่าอาศัยพระนิพพานแล้วย่อมขาด ย่อมดับไป ดังนี้ นี้เป็นอรรถอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ดังนี้แล.
จบอรรถกถาชฏาสูตรที่ ๓
|
|
|
16
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย | นำพาให้พบกับแสงสว่างส่องใจ
|
เมื่อ: มิถุนายน 01, 2025, 11:11:40 am
|
.  ขยายความ : กถังกถี และ อกถังกถี
กถังกถีกถา (บาลีวันละคำ 1,727) บาลีภาษาก็มีเล่นคำ กถังกถีกถา อ่านว่า กะ-ถัง-กะ-ถี-กะ-ถา แยกศัพท์เป็น กถังกถี + กถา
(๑) “กถังกถี”
บาลีเขียน “กถํกถี” อ่านว่า กะ-ถัง-กะ-ถี รากศัพท์มาจาก –
1) กถํ (คำอุปสรรค = อย่างไร) + กถํ + อี ปัจจัย, ลบนิคหิตที่ กถํ คำหลัง (กถํ > กถ) : กถํ + กถํ = กถํกถํ > กถํกถ + อี = กถํกถี แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีความสงสัยว่านี้เป็นอย่างไร นี้เป็นอย่างไร”
2) :- ก) กถํ (คำอุปสรรค = อย่างไร) + กถา (ถ้อยคำ) : กถํ + กถา = กถํกถา แปลตามศัพท์ว่า “การกล่าวว่านี้เป็นอย่างไร” (saying how?) หมายถึง สงสัย, ไม่แน่ใจ, ไม่ปลงใจ (doubt, uncertainty, unsettled mind) ข) กถํกถา + อี ปัจจัย, ลบสระหน้า คือ อา ที่ (ก)-ถา (กถา > กถ) : กถํกถา > กถํกถ + อี = กถํกถี แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีความสงสัยว่านี้เป็นอย่างไร”
“กถํกถี” หมายถึง มีความสงสัย, ไม่ยุติ, ไม่แน่นอน (having doubts, unsettled, uncertain)
มีคำเรียกพระอรหันต์ว่า “อกถํกถี” แปลว่า “ผู้ไม่มีความสงสัย” (free from doubt) คือ ไม่ต้องตั้งคำถามว่าชีวิตนี้คืออะไร สุขทุกข์เกิดมีได้อย่างไร และจะหลุดพ้นไปจากวังวนของชีวิตได้อย่างไร ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์สิ้นกิเลสอันเป็นต้นตอของความสงสัยทั้งปวงแล้ว
@@@@@@@
(๒) “กถา”
รากศัพท์มาจาก กถฺ (ธาตุ = กล่าว) + อ ปัจจัย + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์ : กถฺ + อ = กถ + อา = กถา แปลตามศัพท์ว่า “เรื่องอันท่านกล่าวไว้”
“กถา” ในภาษาบาลีใช้ในความหมายดังนี้ (1) การพูด, การคุย, การสนทนา (talk, talking, conversation) (2) ถ้อยคำ, เทศนา, ปาฐกถา (speech, sermon, discourse, lecture) (3) เรื่องยาวๆ (a longer story) (4) คำพูด, ถ้อยคำ, คำแนะนำ (word, words, advice) (5) การอธิบาย, การขยายเนื้อความ (explanation, exposition) (6) การสนทนาหรืออภิปราย (discussion) กถํกถี + กถา = กถํกถีกถา แปลตามศัพท์ว่า “ถ้อยคำของผู้มีความสงสัยว่านี้เป็นอย่างไร”
“กถํกถีกถา” เขียนแบบไทยเป็น “กถังกถีกถา” อ่านว่า กะ-ถัง-กะ-ถี-กะ-ถา หมายถึง คำพูดของคนที่ตนเองก็ยังไม่รู้ว่า เรื่องจริงหรือความจริงเป็นอย่างไร แต่ก็เอามาพูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว
คำนี้ยังไม่มีเก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
@@@@@@@
ชวนอภิปราย
ทุกวันนี้มีเครื่องมือสื่อสารหลากหลายชนิดหลายช่องทาง ทั้งสื่อสารมวลชนและสื่อเฉพาะวงการหรือสื่อส่วนตัว และมีเรื่องราวหลากหลายที่ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อดังกล่าว เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อเหล่านี้... - เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ออกมาจากปากของคนที่รู้ความจริ งและรู้เรื่องจริงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น และบอกความจริงทั้งหมด.? - หรือว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเพียงคำพูดของคนที่ตนเองก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือความจริงเป็นอย่างไร แต่ก็เอามาพูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว.? - หรือแม้จะรู้จริง แต่ก็บอกความจริงไม่หมด.? - หรือที่ร้ายกว่านั้น-ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างหนึ่ง แต่ก็เอามาบอกเราเป็นอีกอย่างหนึ่ง.?
@@@@@@@
"ดูก่อนภราดา.! : ถ้าท่านเชื่อว่าความจริงบางเรื่องน่ารังเกียจที่จะนำมาพูด : ก็จงเชื่อเถิดว่าการเอาความไม่จริงมาพูดน่ารังเกียจกว่าหลายเท่า"Thank to : https://dhamtara.com/?p=668125 กุมภาพันธ์ 2017 | tppattaya2343@gmail.com(หยิบฉวยด้วยวิสาสะมาจากคำของพระคุณท่าน Bm. Chaiwut Pochanukul) 25-2-60
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สุตฺต. ขุ. ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปทคาถา-อุทานํ-อิติวุตฺตก-สุตฺตนิปาตา
[๒๓๓] ๖ วุตฺตํ เหตํ ภควตา วุตฺตมรหตาติ เม สุตํ ติสฺโส อิมา ภิกฺขเว เอสนา กตมา ติสฺโส กาเมสนา ภเวสนา พฺรหฺมจริเยสนา ฯ อิมา โข ภิกฺขเว ติสฺโส เอสนาติ ฯ เอตมตฺถํ ภควา อโวจ ฯ
ตตฺเถตํ อิติ วุจฺจติ กาเมสนา ภเวสนา พฺรหฺมจริเยสนา สห อิติ สจฺจปรามาโส ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมุสฺสยา สพฺพราควิรตฺตสฺส ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโน เอสนาปฏินิสฺสฏฺฐา ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมูหตา เอสนานํ ขยา ภิกฺขุ นิราโส อกถงฺกถี ติ ฯ
อยมฺปิ อตฺโถ วุตฺโต ภควตา อิติ เม สุตนฺติ ฯ ฉฏฺฐํ ฯ
@@@@@@@
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๖. เอสนาสูตรที่ ๒ [๒๓๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมา แล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหา ๓ ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ การแสวงหากาม ๑ การแสวงหาภพ ๑ การแสวงหาพรหมจรรย์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหา ๓ ประการนี้แล ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า การแสวงหากาม การแสวงหาภพ กับการแสวงหาพรหมจรรย์ การยึดมั่นว่าจริงดังนี้ เป็นที่ตั้งแห่งทิฐิที่เกิดขึ้น การแสวงหาทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งทิฐิ พระอรหันต์ผู้ไม่ยินดีแล้ว ด้วยความยินดีทั้งปวง ผู้น้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา สละ คืนเสียแล้ว ถอนขึ้นได้แล้ว ภิกษุเป็นผู้ไม่มีความหวัง ไม่มีความสงสัย เพราะความสิ้นไปแห่งการแสวงหาทั้งหลาย ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๖
@@@@@@@
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต ปฐมวรรค เอสนาสูตรที่ ๒ อรรถกถาทุติยเอสนาสูตร ในทุติยเอสนาสูตรที่ ๖ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า พฺรหฺมจริเยสนา สห ความว่า พร้อมกับด้วยการแสวงหาพรหมจรรย์ ก็ด้วยการลบวิภัตติออกเสีย ศัพท์ว่า พฺรหฺมจริเยสนา นี้จึงเป็นศัพท์นิเทศ.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า พฺรหฺมจริยเอสนา นี้เป็นปฐมาวิภัตติ (แต่) ลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ มีคำอธิบายดังต่อไปนี้ กามเอสนา ภวเอสนา รวมกับ พฺรหฺมจริยเอสนา จึงเป็นเอสนา ๓ อย่าง.
ในบรรดาเอสนาเหล่านั้น เพื่อจะทรงแสดงพรหมจริยเอสนาโดยสรุป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ไว้ว่า อิติ สจฺจปรามาโส ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมุสฺสยา การยึดมั่นว่าจริง ดังนี้ เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิที่เกิดขึ้น ดังนี้.
@@@@@@@
คำนั้นมีอธิบายดังนี้
การยึดมั่นว่าสิ่งนี้เป็นจริงอย่างนี้ด้วยประการอย่างนี้ ชื่อว่า อิติสจฺจปรามาโส พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอาการคือ ความเป็นไปแห่งทิฏฐิไว้ว่า “สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเป็นโมฆะ” ทิฏฐินั่นแหละชื่อว่า ทิฏฺฐิฏฺฐานา เพราะเป็นเหตุแห่งอนัตถะทุกอย่าง.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า(๑-)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวโทษที่จะพึงตำหนิว่า มีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่งดังนี้ และมีคำอธิบายว่า มิจฉาทิฏฐิเหล่านั้นแหละทั้งที่เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งเป็นที่เกิดขึ้น โดยเป็นที่เกิดแห่งกิเลส มีโลภะเป็นต้น ทิฏฐิทั้งหลายที่ยึดมั่นผิดๆ ว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเป็นโมฆะ ดังนี้
เป็นทั้งเหตุแห่งอนัตถะทุกอย่าง เป็นทั้งเหตุแห่งการก่อทุกข์คือกิเลส จึงชื่อว่าพรหมจริยเอสนา ด้วยบทแห่งพระคาถาว่า อิติสจฺจปรามาโส ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมุสฺสยา นี้ พึงทราบว่า เป็นอันพระองค์ทรงแสดงพรหมจริยเอสนาไว้แล้วโดยอาการแห่งการเป็นไป และโดยความสำเร็จ.____________________________ (๑-) องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๙๓ @@@@@@@
บทว่า สพฺพราควิรตสฺส ความว่า พระอรหันต์ผู้คลายความกำหนัดจากกามราคะและภวราคะทั้งหลายทั้งปวง ตั้งแต่นั้นไป ก็ชื่อว่าผู้หลุดพ้นเพราะธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เพราะพ้นในเพราะพระนิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา.
บทว่า เอสนา ปฏินิสฺสฏฺฐา ความว่า กามเอสนาและภวเอสนาเป็นอันท่านสลัดออกแล้ว คือละแล้วโดยประการทั้งปวง.
บทว่า ทิฏฺฐิฏฺฐานา สมูหตา ความว่า เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิ กล่าวคือพรหมจริยเอสนา และถูกถอนขึ้นด้วยปฐมมรรคนั่นเอง.
บทว่า เอสนานํ ขยา ความว่า เพราะสิ้นไป คือเพราะดับไปโดยไม่เกิดขึ้นแห่งการแสวงหาทั้ง ๓ อย่างเหล่านี้.
ตรัสเรียกว่า ภิกษุ เพราะทำลายกิเลสได้แล้ว. ตรัสเรียกว่า นิราโส เพราะหาความหวังมิได้โดยประการทั้งปวง. และตรัสเรียกว่า อกถังกถี เพราะละการกล่าวถ้อยคำว่าอย่างไร ด้วยความสงสัยที่เป็นทิฏฐิได้แล้ว.
จบอรรถกถาทุติยเอสนาสูตรที่ ๖
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๑ สุตฺต. ขุ. มหานิทฺเทโส
[๒๘๐] ปสํสมิจฺฉํ วินิฆาติ โหตีติ ปสํสมิจฺฉนฺติ ปสํสํ โถมนํ กิตฺตึ วณฺณหาริยํ อิจฺฉนฺโต สาทิยนฺโต ปตฺถยนฺโต ปิหยนฺโต อภิชปฺปนฺโต ฯ วินิฆาติ โหตีติ
ปุพฺเพว สลฺลาปา กถํกถี วินิฆาติ โหติ ชโย นุ โข เม ภวิสฺสติ ปราชโย นุ โข เม ภวิสฺสติ กถํ นิคฺคหํ กริสฺสามิ กถํ ปฏิกฺกมฺมํ กริสฺสามิ กถํ วิเสสํ กริสฺสามิ กถํ ปฏิวิเสสํ กริสฺสามิ กถํ อาเวธิยํ กริสฺสามิ กถํ นิพฺเพธิยํ กริสฺสามิ กถํ เฉทํ กริสฺสามิ กถํ มณฺฑลํ กริสฺสามีติ เอวํ
ปุพฺเพว สลฺลาปา กถํกถี วินิฆาติ โหตีติ ปสํสมิจฺฉํ วินิฆาติ โหติ ฯ
@@@@@@@
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส
[๒๘๐] คำว่า เมื่ออยากได้ความสรรเสริญ ย่อมเป็นผู้ลังเลใจ มีความว่า เมื่ออยากได้ ความสรรเสริญ คือ เมื่ออยากได้ ยินดี ปรารถนา ชอบใจ รักใคร่ ความสรรเสริญ คือ ความชม ความมีเกียรติ ความยกย่องคุณ.
คำว่า ย่อมเป็นผู้ลังเลใจ คือ ก่อนแต่โต้ตอบ ย่อมเป็นผู้มีความสงสัยลังเลใจ คือ ก่อนแต่โต้ตอบ ย่อมเป็นผู้สงสัย ลังเลใจอย่างนี้ว่า เราจักมีชัย หรือไม่หนอ หรือเราจักปราชัย เราจักข่มเขาอย่างไร จักทำลัทธิของเราให้เชิดชูอย่างไร จักทำ ลัทธิของเราให้วิเศษอย่างไร จักทำลัทธิของเราให้วิเศษเฉพาะอย่างไร จักทำความผูกมัดเขาอย่างไร จักทำความปลดเปลื้องอย่างไร จักทำความตัดรอบวาทะเขาอย่างไร เราจักขนาบวาทะเขาไว้อย่างไร
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่ออยากได้ความสรรเสริญ ย่อมเป็นผู้ลังเลใจ.
@@@@@@@
อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวัคคิกะ , ๘. ปสูรสุตตนิเทสนิทเทส อรรถกถาปสูรสุตตนิทเทสที่ ๘
บทว่า ปสํสมิจฺฉํ วินิฆาติ โหติ ความว่า เมื่อปรารถนาความสรรเสริญเพื่อตน เป็นผู้มีถ้อยคำอย่างไรที่จะกล่าวก่อน โดยนัยเป็นต้นว่า เราจักข่มเขาอย่างไรหนอ ชื่อว่าย่อมเป็นผู้ลังเลใจ.
บทว่า อปาหตสฺมึ ความว่า ในเมื่อวาทะของตนถูกผู้พิจารณาปัญหา ค้านโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านกล่าวคำปราศจากอรรถะ ท่านกล่าวคำปราศจากพยัญชนะ. บทว่า นินฺทาย โส กุปฺปติ ความว่า นรชนนั้นย่อมขัดเคือง ในเมื่อวาทะถูกเขาคัดค้าน และเพราะความติเตียนที่เกิดขึ้น.
บทว่า รนฺธเมสิ ความว่า แสวงหาความผิดของผู้อื่นนั่นแล. บทว่า โถมนํ ได้แก่ กล่าวสรรเสริญ. บทว่า กิตฺตึ ได้แก่ กระทำให้ปรากฏ. บทว่า วณฺณหาริยํ ได้แก่ ยกย่องคุณความดี.
บทว่า ปุพฺเพว สลฺลาปา ความว่า ก่อนที่จะโต้ตอบกันนั่นแหละ ชื่อว่า กถังกถา เพราะอรรถว่า คำนี้อย่างไร คำนี้อย่างไร ชื่อว่า กถังกถี เพราะอรรถว่ามี กถังกถา ถ้อยคำว่าอย่างไร.
|
|
|
17
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อาหารต้านโควิด เสริมภูมิคุ้มกันโรคภัย พร้อมเมนูแนะนำ
|
เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2025, 07:41:32 am
|
. อาหารต้านโควิด เสริมภูมิคุ้มกันโรคภัย พร้อมเมนูแนะนำรู้หรือไม่ว่าอาหารบางชนิดก็มีวิตามินและเกลือแร่ที่สามารถช่วยต้านทานโรคโควิด-19 ได้ โดยช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และต้านไวรัสชนิดต่างๆ ด้วยการนำพืชผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์บางชนิดมาประกอบในอาหารหลัก 5 หมู่ ที่นอกจากช่วยให้ร่างกายแข็งแรง สามารถป้องกันและลดความรุนแรงของโรคได้แล้ว ยังสามารถหาซื้อได้ง่ายในท้องตลาดอีกด้วย
@@@@@@@
อาหารต้านโควิด มีอะไรบ้าง
ข้อมูลจากโรงพยาบาลพญาไทและคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยว่าอาหารต้านโควิดจะมีวิตามินและเกลือแร่สำคัญ ที่มีส่วนช่วยในเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ที่เราควรรู้จักไว้ และควรรับประทานนั้น มีดังต่อไปนี้
วิตามินซี
เป็นวิตามินที่แนะนำให้รับประทานเยอะที่สุด เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ โดยวิตามินซีจะมีส่วนช่วยให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ วิตามินซีมีมากในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะขาม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ รวมถึงฝรั่ง และในผักใบเขียว อาทิ ผักโขม บรอกโคลี
วิตามินดี
ช่วยให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ ด้วยการออกไปสัมผัสแดดวันละ 15 นาที เพื่อให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี นอกจากนี้เรายังสามารถรับวิตามินดีได้จากการรับประทานอาหารประเภท เนื้อสัตว์ ไข่ นม เนื้อปลา ไข่แดง เป็นต้น ภาพจาก iStock สังกะสี
เป็นเกลือแร่ที่โดดเด่นในเรื่องคุณสมบัติช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในอาหารหลากหลายชนิด ทั้งอาหารทะเล ผัก เนื้อสัตว์ และธัญพืช
วิตามินบี 6
มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองตามปกติ และทำให้ระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง การบริโภควิตามินบี 6 ในปริมาณที่เพียงพอมีความสำคัญต่อสุขภาพที่ดีและอาจป้องกันและรักษาโรคเรื้อรังได้ อาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง ได้แก่ ไก่ ทูน่า ปลาแซลมอน มันฝรั่ง กล้วย ไข่แดง ข้าวกล้อง รำข้าว ถั่วลูกไก่ และถั่วต่างๆ เป็นต้น
วิตามินอี
เป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอีเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ประโยชน์ของวิตามินอีคือป้องกันการแตกของเม็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือด ต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการอักเสบ สามารถพบได้จากอาหารธรรมชาติหลายอย่าง เช่น ไข่ พืช ผัก ผลไม้ อาหารจำพวกถั่ว นอกจากนี้ยังมีอยู่ในน้ำมันที่มีส่วนผสมของถั่ว อาทิ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น ภาพจาก iStock เมนูอาหารต้านโควิด หาซื้อง่าย ทำเองได้ไม่ยาก
สำหรับเมนูอาหารต้านโควิดที่แนะนำโดยนักโภชนาการ จากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้แก่
1. แกงจืดผักโขมหมูสับ 2. น้ำตกหมู 3. พริกหวานสามสีผัดไข่ 4. บรอกโคลีผัดไก่ 5. ปลานิลสามรส 6. ส้มตำไทย 7. หมูมะนาวยอดคะน้า 8. ไข่ตุ๋นไก่สับ 9. เต้าหู้ราดหน้าหมูสับแครอท 10. มะเขือยาวผัดโหระพา 11. ไข่ลูกเขย 12. ฟักตุ๋นมะนาวดอง 13. ไข่ยัดไส้ 14. ต้มเลือดหมู 15. ต้มยำปลาทู 16. ต้มจืดตำลึงเต้าหู้ไข่ 17. ปลานึ่งขิง 18. ข้าวผัดหอยลาย
เมนูเหล่านี้ทำจากอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยต้านโรคโควิดได้ โดยสามารถซื้อวัตถุดิบจากในตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตมาประกอบเองเพื่อความสดใหม่หรือจะซื้อสำเร็จรูปมารับประทานเพื่อความสะดวกก็ได้เช่นกัน ภาพจาก iStock นอกจากนี้ควรเน้นการรับประทานอาหารที่สะอาด มีสารอาหารครบถ้วน เน้นพืชผักในสัดส่วนที่สูงกว่าอาหารอื่น ประกอบกันกับการออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ รวมถึงการเลิกพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การอยู่ในพื้นที่แออัดโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย และไม่ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันตนเองจากการระบาดของโควิด-19 ในรอบใหม่นี้ได้Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/286091527 พ.ค. 2568 17:43 น. | ไลฟ์สไตล์ > สุขภาพและความงาม | ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
18
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดไร่ขิงจัดระเบียบใหญ่! ยกเลิกจุดธูป-ย้ายตู้บริจาค หวังคืนความศรัทธา
|
เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2025, 07:06:20 am
|
. วัดไร่ขิงจัดระเบียบใหญ่! ยกเลิกจุดธูป-ย้ายตู้บริจาค หวังคืนความศรัทธาวัดไร่ขิงยกเลิกกิจกรรมที่ไม่จำเป็น ปรับพื้นที่สักการะให้เป็นระเบียบ คืนความศักดิ์สิทธิ์ให้วัด
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 วัดไร่ขิง พระอารามหลวง ในอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ภายใต้การดูแลของพระราชวชิรสุตาภรณ์ (หลวงพ่อแก้ว) ได้มีการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อความเป็นระเบียบและความโปร่งใสในวัด การเปลี่ยนแปลงสำคัญประกอบด้วยการยกเลิกจุดธูปหน้าอุโบสถ การจัดเก็บตู้รับบริจาคทั้งหมด และการปรับย้ายจุดจำหน่ายวัตถุมงคลให้อยู่บริเวณด้านหน้าของวัดเท่านั้น รวมถึงการรื้อโคมไฟที่ไม่จำเป็นออกไป วัดไร่ขิงจัดระเบียบครั้งใหญ่ ยกเลิกจุดธูป-ย้ายตู้บริจาค หวังคืนความศรัทธาขณะเดียวกัน ร้านกาแฟหมอเตย ซึ่งเคยให้บริการในวัด ได้ยุติกิจการลงไปแล้ว ปัจจุบันจึงเหลือเพียงร้านค้าสวัสดิการของวัดเท่านั้น ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ต่างคาดหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้คนแยกแยะระหว่างการดำเนินการของบุคคลกับความศักดิ์สิทธิ์ของวัด และกลับมาสักการะหลวงพ่อไร่ขิงด้วยความเลื่อมใสเช่นเคย วัดไร่ขิงจัดระเบียบครั้งใหญ่ ยกเลิกจุดธูป-ย้ายตู้บริจาค หวังคืนความศรัทธาThank to : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/249746 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 30 พ.ค. 2568 ,19:53 น.
|
|
|
19
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา! ภาพเงาสะท้อนอัศจรรย์มหาเจดีย์คู่แฝด วัดป่ามัชฌิมวาส
|
เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2025, 07:01:11 am
|
. ฮือฮา! ภาพเงาสะท้อนอัศจรรย์มหาเจดีย์คู่แฝด วัดป่ามัชฌิมวาสโซเชียลฮือฮา! ภาพเงาสะท้อนเจดีย์ วัดป่ามัชฌิมวาสกาฬสินธุ์ น่าอัศจรรย์มหาเจดีย์คู่แฝดบนท้องฟ้าหลังฝนตก คนแห่สาธุล้นหลาม
วันที่ 30 พ.ค. 2568 เกิดกระแสการแชร์ภาพน่าตื่นตาตื่นใจ ที่ถูกเผยแพร่โดย เพจวัดป่ามัชฌิมวาส ในพื้นที่บ้านดงเมือง ตำบลลำพาน อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ โพสต์ภาพท้องฟ้าหลังฝน ที่ถ่ายเอาไว้ เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2568 เวลา 23.40 น.
โดยหลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นและกดแชร์เป็นจำนวนมาก บางคนบอกว่า “เคยถ่ายภาพแบบนี้ได้เหมือนกัน” ขณะที่บางคนบอกว่า “เงาด้านหลังเหมือนอยู่บนสวรรค์เลย” ขณะที่คนอีกจำนวนมากต่างแสดงความคิดเห็นสาธุเป็นเสียงเดียวกัน ภาพเงาสะท้อนเจดีย์ น่าอัศจรรย์มหาเจดีย์คู่แฝดบนท้องฟ้าอย่างไรก็ตามภาพดังกล่าว ถูกตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า เป็นแสงไฟที่สะท้อนจากพระมหาเจดีย์ภายในวัดขึ้นบนฟ้า และเกิดการหักเหของแสงเนื่องจากเกิดขึ้นหลังฝนตก ฮือฮาภาพเงาสะท้อนมหาเจดีย์คู่แฝดบนท้องฟ้า มหาเจดีย์ วัดป่ามัชฌิมวาส กาฬสินธุ์ขอบคุณ : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/249749 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 30 พ.ค. 2568 ,21:02 น.
|
|
|
20
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย | นำพาให้พบกับแสงสว่างส่องใจ
|
เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2025, 09:30:46 am
|
. แก่นธรรมในสังยุตตนิกายสิ่งที่เรียกว่า “แก่น” หรือ “หัวใจ” ของธรรมในสังยุตตนิกายทั้ง ๕ เล่ม พอจะประมวลได้ดังนี้
๑. การคลายสงสัย
ข้อนี้แสดงไว้ชัดในสคาถวรรค แสดงถึงมนุษย์หรือเทวดาในกระแสโลก (โลกียะ) ย่อมจะเต็มไปด้วยความสงสัย เรียกว่า พวก "กถังกถี" ชอบถามปัญหา บางพวกก็ประเภท สู่รู้ อวดรู้
พระพุทธองค์และพระสาวกซึ่งอยู่ในสภาวะที่อยู่เหนือกระแส (โลกุตตระ) จึงเป็นผู้ตอบปัญหาได้ชัด เพราะตัดความสงสัยได้แล้ว จึงเรียกว่า พวก "อกถังกถี" (ไม่มีปัญหา) ตัวอย่างเทวดาสงสัยถามว่า "หมู่สัตว์ยุ่งทั้งภายใน ยุ่งทั้งภายนอก ถูกความยุ่งพาให้นุงนังแล้ว ท่านพระโคดม เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ว่า ใครจะแก้ความยุ่งนี้ได้.?”
พระพุทธองค์ตอบว่า "นรชนผู้มีปัญญา เห็นภัยในสังสารวัฏ ดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญจิตและปัญญามีความเพียรมีปัญญาเครื่องบริหารนั้นพึงแก้ความยุ่งนี้ได้" (สํ.ส. ๑๕/๒๓/๒๐ มจร.)
@@@@@@@
๒. กระแสเกิดและดับ
ได้แก่ กระแสธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎปัจจยาการ หรือ อิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ เป็นการแสดงปฏิจจสมุปบาท สายเกิดทุกข์ และสายดับทุกข์ ๒ แนว ดังนี้
สายเกิดทุกข์ สายดับทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท คือ ธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น (สํ.นิ.(แปล ๑๖/๑/๑ มจร.) (สํ.นิ.(แปล) ๑๖/๒๓/๔๐ มจร.)
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นปฏิจจสมุปบาท” (ม.มู. ๑๒/๓๔๖/๓๕๙)
@@@@@@
๓. วิเคราะห์ขันธ์ วิเคราะห์คน
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ได้บอกให้เรารู้จักวิเคราะห์ขันธ์ ๕ , การเข้าใจขันธ์ ๕ ดี ก็คือ การเข้าใจคนดี ดังคำของนางวชิราภิกษุณีที่ว่า “เพราะรวมองค์สัมภาระทั้งหลายเข้า คำว่า รถ ย่อมมีฉันใด เพราะรวมขันธ์ทั้ง ๕ เข้า การสมมุติว่า เป็น สัตว์ (คน) ก็มี ฉันนั้น”
ท่านจึงให้วิเคราะห์ขันธ์ ๕ ให้ดี ก็จะเห็นว่า • รูปนั้น เป็นดุจกลุ่มฟองน้ำ • ในขณะที่เวทนาเป็นดุจฟองน้ำที่เกิดจากฝนตก เกิดและดับไปบนผิวน้ำ • สัญญาเป็นดุจพยับแดด • สังขารเป็นดุจต้นกล้วยที่ไร้แก่น • วิญญาณเป็นดุจมายากล ที่นักมายากลแสดง ควรเห็นการเกิดและความดับของขันธ์ เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด อันนำไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลส ๔. มีสติปัญญาที่ข้อต่อ
สฬายตนวรรคแสดงให้เห็นอิทธิพลของการกระทบ (ผัสสะ) ระหว่างข้อต่อภายนอกกับภายใน เรียกว่า อายตนะ ถ้าปล่อยให้ “ตัวกู” “ของกู” เกิด ก็จะเกิดทุกข์ แต่ถ้าไม่ให้ “ตัวกู” “ของกู” เกิด ที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิ เขาก็ไม่เกิดทุกข์
ดังนั้น ทางเลือก จึงมี ๒ คือ - สักกายทิฏฐิสมุทยคามินีปฏิปทา แนวทางปฏิบัติที่ให้ "ตัวกูของกู" เกิด จนจิตวุ่น - สักกายทิฏฐินิโรธคามินีปฏิปทา แนวปฏิบัติที่ไม่ให้ "ตัวกูของกู" เกิด , "ขณะเกิดผัสสะ เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องกับสิ่งที่มากระทบ และใจกระทบกับธรรมารมณ์" , จิตจึงสงบเย็น ไม่วุ่น ท่านจะเลือกทางไหน.?
@@@@@@@
๕. ไม่ย่อท้อใฝ่โพธิญาณ
คนเราที่ไม่ถึงเป้าหมายรวดเร็ว เพราะเราเดินทางไม่ถูก พระพุทธองค์ได้ตรัสโพธิปักขิยธรรม ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ก็เพื่อให้เราเดินทางถูก และเดินทางสะดวก ถึงอาสวักขยญาณ หรือ โพธิญาณโดยเร็ว
• เริ่มด้วยเจริญสติปัฏฐานให้ต่อเนื่อง มีความเพียรสม่ำเสมอดุจสายพิณที่ไม่ตึงไม่หย่อน มีความใฝ่รู้ใฝ่คิด ทำจริง คิดรอบครอบ ก็จะเกิดความสำเร็จ • ในขณะเดียวกัน ก็พัฒนาพลังอินทรีย์ของตัวเอง ให้เจริญเต็มที่ทั้งด้านศรัทธา-ความเพียร-สติ-สมาธิ-และปัญญา • จากนั้นใช้โพชฌงค์เป็นเครื่องมือในการวิจัยธรรมจนเห็นแจ้ง ตามหลักมรรคมีองค์ ๘ คือ เห็นถูก คิดถูก พูดถูก การงานถูก อาชีพถูก พยายามถูก มีสติระลึกถูก และมีสมาธิถูก
@@@@@@@
แก่นธรรมเหล่านี้ย่อมจะช่วยส่งให้เรามีจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรม ,ญาณ คือ ความรู้แจ้ง ปัญญาความรอบรู้ทันอารมณ์ มีวิชชาชั้นสูงในตนเอง มีแสงสว่างส่องใจ ให้ดำเนินชีวิตในทางที่ถูกอยู่เสมอ นี่คือ แก่นธรรมในสังยุตตนิกายขอบคุณที่มา :- ภาพจาก pinterest บทความ "แก่นธรรมในสังยุตตนิกาย" โดย พระสุธีวรญาณ จากหนังสือเก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 หน้า 145-156 http://oldweb.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_13.htm
|
|
|
21
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทรงเห็นอานิสงส์การสร้างพระธรรม และเชื่อว่า ๑ อักษรธรรม คือ ๑ พระพุทธรูป
|
เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2025, 07:03:09 am
|
. มองคุณค่า และ จิตสำนึกของคนไทย จากพระไตรปิฎกผู้เขียนดีใจที่ได้เห็นพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เสร็จสมบูรณ์แล้วและกำหนดให้มีการสมโภชในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ที่ดีใจเพราะเห็นว่าเป็นงานของสถาบันที่ผมเคยศึกษาเล่าเรียนมาซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้น งานครั้งนี้จึงถือเป็นงานสนองพระราชประสงค์โดยแท้
กล่าวถึงพระไตรปิฎก ชาวพุทธต่างรู้จักกันดีว่าเป็นคัมภีร์สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นแหล่งบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้เราจะยังไม่ชัดเจนว่า คำว่า พระไตรปิฎก นั้นเกิดมีขึ้นเป็นปฐมตั้งแต่เมื่อใด แต่ก็พออนุมานกันได้ว่า
น่าจะมีคำนี้ใช้ตั้งแต่สมัยของพระเจ้าอโศก เหตุที่อนุมานเช่นนั้นเพราะถือตามหลักฐานในสังคายนา ครั้งที่ ๒ ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งที่กล่าวถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ผู้ปรารภให้เกิดการทำสังคายนาครั้งนั้น คือ พระยสะ กากัณฑบุตร ว่า "ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร" แปลว่า "ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา"
แม้จะมีหลายท่านพยายามตีความว่า คำว่า "มาติกา" คือ หัวข้อในพระวินัย หรือ สิกขาบท นั้นเอง แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเลย เพราะหากตีความเช่นนั้น คำว่า "วินัย" ก็น่าจะคลุมความถึงมาติกาได้แล้ว ฉะนั้น มาติกา จึงน่าจะมีความหมายพิเศษ มาติกา คือ หัวข้อ เอ.เค. วอร์เดอร์ อธิบายว่า ได้แก่ บัญชีหัวข้อเรื่อง ซึ่งเสนอแต่เฉพาะหัวข้อองค์ธรรมไว้เป็นชุด (INDIAN BUDDHISM หน้า ๑๐) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในช่วงสังคายนาครั้งที่ ๒ ได้แบ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็น ๓ หมวด คือ หมวดวินัย หมวดธรรม และหมวดมาติกา
หมวดมาติกานี้เองได้วิวัฒนาการมาเป็นอภิธรรมปิฎกในยุคของสังคายนาครั้งที่ ๓ ว่ากันว่า นิกายพาหุศรุติยะหรือนิกายพหุสสุติกะได้นำคำ มาติกา ไปใช้เป็นปิฎกหนึ่ง เรียกว่า มาติกาปิฎก
ถึงตอนนี้ก็พอสรุปสันนิษฐานกันได้ระดับหนึ่งว่า คำว่า พระไตรปิฎก มีขึ้นเมื่อคราวทำสังคายนาครั้งที่ ๓ อันแสดงให้เห็นว่า ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ นั้น นอกจากจะทำตามอย่างสังคายนา ๒ ครั้งแรกแล้ว สิ่งที่แปลกใหม่ก็คือ การจัดกลุ่มและเรียกชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าใหม่ว่า วินัยปิฎก สุตตปิฎก (สุตตันตปิฎก) และอภิธรรมปิฎก
@@@@@@@
พระไตรปิฎก มาจากคำสันสกฤตว่า ตฺริปิฎก ซึ่งตรงกับคำบาลีว่า ติปิฎก หรือ เตปิฏก ซึ่งเป็นตัวแทนพระธรรมที่เรากล่าวขอถึงเป็นสรณะนั่นเอง ชาวพุทธบนแผ่นดินไทยรู้จักพระไตรปิฎกมาเป็นเวลา ๒,๐๐๐ ปีเศษ คือ นับตั้งแต่เวลาที่พระพุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙ ส่วนชาวพุทธไทยผู้เป็นบรรพบุรุษของคนไทยอย่างเราก็รู้จักพระไตรปิฎกเมื่อราว พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ ยืนยันเรื่องนี้ไว้ว่า
"...เบื้องตะวันตกสุโขทัยนี้มีอรัญญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทาน แก่พระสังฆราชปราชญ์เรียนพระไตรปิฎก หลวก (รู้หลัก,ฉลาด) กว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองนครศรีธรรมราชมา..."
นอกจากรู้จักพระไตรปิฎก คนไทยยังศึกษา (เรียนและสอน) และเขียนหนังสืออธิบายหลักธรรมในพระไตรปิฎกอีกด้วย เตภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง คือ หนังสืออธิบายหลักธรรมเล่มแรกที่เกิดจากน้ำมือของคนไทย และคนไทยคนแรกที่แต่งหนังสือดังกล่าวก็คือ พญาลิไทย (พระมหาธรรมราชาที่ ๑)
หนังสือเล่มนี้มิใช่มีความสำคัญเพียงแต่เป็นหนังสือหรือวรรณคดีไทยเล่มแรกเท่านั้น ดูเหมือนจะใช้เป็นคู่มือในการปกครองประเทศด้วยโดยมุ่งให้ประชาชนได้รู้จักความดีความชั่วแล้วดำเนินชีวิตไปตามทางความดีที่เรียกว่า "กุศลกรรมบถ" ซึ่งเป็นทางช่วยให้สังคมมีความสงบสุข
ฉะนั้น หากจะเทียบกับพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งนิยมแต่งหนังสืออธิบายขยายความคำสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นใหม่แล้วกำหนดเรียกว่า "สูตร" เตภูมิกถาเล่มนี้ก็น่าจะจัดเป็นสูตรสูตรหนึ่งได้ เรียกว่า "เตภูมิกสูตร" (แต่เมื่อวิเคราะห์ดูอีกทีตามประวัติศาสตร์คัมภีร์พุทธศาสนา จะพบว่า ในระยะหลังท่านก็ใช้คำแทนชื่อสูตรหลายคำเช่น ชาดก และ กถา ฉะนั้น เตภูมิกถา ก็น่าจะจัดเป็น เตภูมิกสูตร ได้)
ชาวพุทธไทยก็เหมือนกับชาวพุทธทั่วโลก คือ ถือพระไตรปิฎก เป็นสิ่งสำคัญ และนับถือพระไตรปิฎกเหมือนนับถือพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
@@@@@@@
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์จริงจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว ปรากฏให้เห็นก็มีแต่พระรูปของพระองค์ที่ปฏิมากรจินตนาการขึ้นมาให้กราบไหว้กัน แต่เราก็ถือเสมือนว่าพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ เราจึงสร้างโบสถ์ วิหาร หรือ ศาลา หลังใหญ่โตสวยงามให้เป็นที่ประทับของพระองค์ และเข้าเฝ้าถวายสักการะบูชากล่าวคำสรรเสริญสดุดีวันละ ๒ เวลา คือ เช้า กับ เย็น ซึ่งเราเรียกระเบียบปฏิบัตินี้ว่า ทำวัตรเช้า และ ทำวัตรเย็น
วัตร ก็คือ ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือ ข้อปฏิบัติที่ทำกันจนเป็นธรรมเนียม คงจะเลียนแบบมาจากวัตตขันธกะ ในพระวินัยปิฎกนั่นเอง ซึ่งถือว่า การทำความเคารพครูอาจารย์นั้นเป็นวัตรอย่างหนึ่ง การที่เราไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในโบสถ์ วิหาร หรือศาลาการเปรียญ ก็คือ ไปแสดงความเคารพพระองค์ บรรพบุรุษของเรากำหนดให้ทำเป็นธรรมเนียม ฉะนั้น จึงเรียกว่า ทำวัตร พระรูปใดไม่ทำก็ไม่ถือว่ามีความผิด แต่ก็ถือว่าปฏิบัติหน้าที่ของพระไม่สมบูรณ์
พระสงฆ์ คือ โอรสหรือลูกของพระพุทธเจ้า เมื่อเคารพพระบิดาแล้วก็ต้องเคารพลูกด้วย เราแสดงความเคารพออกมาด้วยการสร้างวัดวาอารามและถวายอาหารบิณฑบาต คนไทยนับถือพระสงฆ์เป็นขวัญชีวิต และ พลังใจ ฉะนั้น เวลามีทุกข์มีร้อนจึงมักขอให้คุณพระช่วย หรือเมื่อพ้นจากความทุกข์ร้อนได้ก็มักจะบอกว่า พระมาโปรด
ส่วนด้านพระธรรมเล่า เราก็ปฏิบัติต่อพระธรรมเสมือนเป็นสิ่งมีชีวิต ธรรมดาสิ่งมีชีวิตย่อมต้องการที่อยู่อาศัยเครื่องนุ่งห่มรวมทั้งอาหารการกิน เมื่อพระธรรมถูกจัดแบ่งเป็นพระไตรปิฎกและถูกจารเป็นตัวอักษรลงในใบลาน เราก็ถือใบลานนั้นเป็นประหนึ่งมีชีวิตชีวา
เราจึงปฏิบัติต่อพระธรรมในลักษณะต่าง ๆ คือ หาผ้ามาห่อ โดยผ้าห่อนั้นต้องปักลวดลายอย่างวิจิตรบรรจง จากนั้นก็ หาเชือกมาผูก จากนั้นก็นำไปใส่หีบที่จัดทำไว้อย่างดี ใช่เพียงแต่เท่านั้น เรายังสร้างตู้บรรจุอีก แล้วนำไปตั้งประดิษฐานไว้ในหอหรือมณฑป ซึ่งเรานิยมเรียกกันว่า หอไตร ซึ่งก็เป็นคำย่อของคำว่า หอไตรปิฎก นั้นเอง จะเห็นได้ว่า การกระทำดังกล่าวของเรา ก็คือ การกระทำต่อสิ่งเคารพที่เรารู้สึกว่ามีชีวิต ชาวพุทธไทยได้ปฏิบัติต่อพระธรรมอย่างนี้มานานแล้วและสืบต่อเรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์ ในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งสุดท้าย (พ.ศ. ๒๕๑๐) ชาวพุทธไทยต้องสะเทือนใจหลายเรื่อง นับตั้งแต่เสียใจเรื่องบ้านเมืองถูกทำลาย การบาดเจ็บล้มตายของผู้คน จนกระทั่งถึงวัดวาอารามและพระพุทธรูปถูกทำลายรวมทั้งพระไตรปิฎกด้วย ในคัมภีร์สังคีติยวงศ์ที่แต่งโดยพระพิมลธรรม ผู้เป็นชาวอยุธยาและได้รู้ได้เห็นได้ทุกข์วิโยคกับภัยสงครามครั้งนั้นด้วยมีกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
"...พระธรรมวินัย ไตรปิฎก เมื่อไม่มีการรักษาเสียแล้วก็วินาศไปต่าง ๆ คือ พวกมิจฉาทิฏฐิยื้อแย่งเอาผ้าห่อและเชือกรัดไปบ้าง ตัวปลวกกินยับเยินไปบ้าง และพินาศสูญไปต่าง ๆ โดยที่พลัดลงดินเปียกน้ำผุไปเสียบ้างก็มี ภายหลังภิกษุทั้งหลายเห็นพระธรรมยังเหลืออยู่น้อย มีจิตกอปรด้วยศรัทธา ได้รวบรวมพระธรรมเหล่านั้นไว้ แต่พระธรรมวินัยบางคัมภีร์ที่ยังมั่นคงอยู่ก็มี บางคัมภีร์ก็ได้เหลืออยู่ผูก ๑ กว่าบ้าง ๒ ผูกเศษบ้าง เต็มคัมภีร์บ้าง ครึ่งคัมภีร์บ้าง บริบูรณ์บ้าง ไม่บริบูรณ์บ้าง บังเกิดอากูลต่าง ๆ กัน ...เลือกรวบรวมได้ตามสติกำลังนำมาเก็บไว้ยังสำนักตน..." (สังคีติยวงศ์, หน้า ๔๐๗)
@@@@@@@
และพระธรรมที่เลือกรวบรวมมาได้นั้น ก็เป็นประโยชน์ต่อชาวอยุธยา ผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งมหันตทุกข์ ดังมีบันทึกไว้ต่อมาว่า
"...ฝ่ายทายกผู้ถวายปัจจัยที่เหลือตายอาศัยเคยสะสมกุศลธรรมไว้แต่ก่อน ๆ มีทรัพย์เหลืออยู่บ้างเล็กน้อย ได้อาหารอันชาวชนบทเขานำมาบ้าง (คือแลกเปลี่ยน) และได้อาหารมาด้วยกำลังแขนของตนบ้าง ด้วยเดชกุศลธรรมปางก่อนของตนด้วย ด้วยเหตุการทำทานด้วยภูมิผลสืบในพระศาสนาก็มีอินทรีย์ (ร่างกาย) บริบูรณ์ใคร่จะฟังพระสัทธรรมเทศนาด้วยน้ำใจใสศรัทธาบางสมัยก็ได้ไปสู่สำนักภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น วิงวอน (ขอให้แสดงธรรม)
ภิกษุเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นผู้มีการศึกษามามากหรือมีการศึกษามาน้อยก็ตาม ก็ปรารถนาลาภสักการะเพื่อจะรักษาชีวิตตนก็รับสำแดงธรรม จึงได้เลือกพระธรรมที่ตนเก็บมาได้พิจารณาดูก็สำแดงพระสัทธรรมเทศนาแก่คนเหล่านั้นด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ตามความรู้เห็นที่ตนได้ศึกษามา
ทายกเหล่านั้น ครั้นได้ฟังธรรมเทศนาแล้วและกำลังยังโศกมากด้วยความพลัดพรากจากลูกหลานและเครือญาติ ได้ท่วมทับอยู่ด้วยญาติวิโยค เมื่อระลึกถึงญาติเหล่านั้น ที่มีศรัทธาอ่อนก็มี มีศรัทธามากก็มี ให้บังเกิดความสังเวชใจมาก เมื่อระลึกถึงทุกข์ภัยของตน ก็ได้เลือกเก็บพระพุทธรูปและพระธรรมมาทำบุญฉลองแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติทั้งหลาย ชนบางจำพวกได้ให้ลูกและหลานของตนบรรพชาในพระพุทธศาสนา ต่อมา เพราะได้ทำบุพกรรมไว้ ภิกษุเหล่านั้นก็มีพวกมาก มีอันเตวาสิกมาก บริบูรณ์ด้วยจตุปัจจัยทั้งหลายมีใจคอเอิบอิ่มก็ได้ยังความอุตสาหะให้เกิดขึ้นแล้ว พากันแสวงหาพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา ได้แลเห็นพระพุทธรูปทั้งหลายมีอวัยวะน้อยใหญ่แตกหักพังทำลายบ้างอากูลต่าง ๆ พินาศเสียหายบ้าง ทั้งกุฎีวิหารสีมาพระพุทธสถูปก็ได้พินาศต่าง ๆ จึงพากันเกิดความสังเวชสลดใจกลั้นน้ำตามิได้ เพราะความรักพระพุทธศาสนาเหลือล้น มีหทัยหวั่นไหวอยู่ จึงพร้อมกับอันเตวาสิกเก็บรวบรวมพระพุทธรูปทั้งหลายไปไว้ในสถานอันควร
พระธรรมวินัยเหล่าใด ที่ยังเหลืออยู่จากความฉิบหายมีมากน้อยเท่าใด ก็ขนพระธรรมวินัยเหล่านั้นไปตามที่มีอยู่นั้น ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นได้พากันนำไปไว้ในสถานของตน ชนทั้งหลายค่อยมีอาหารบริบูรณ์ขึ้น ได้พากันสร้างบ้านปลูกเรือนขึ้นในหมู่บ้านเก่า (เดิม) และในไร่นาที่ดินเก่าที่เคยอยู่มาก่อนตามที่ต่าง ๆ
ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ฉันอาหารบิณฑบาตต่าง ๆ ก็พากันทำกระท่อมพะเพิงในวัดเก่าอยู่กับสหายและนิสิตทั้งหลายของตนและได้ปลูกกุฎิขึ้นแล้วพากันจำพรรษาอยู่ในกุฎินั้น..." จากข้อความที่กล่าวไว้ในสังคีติยวงศ์นี้ สะท้อนให้เห็นจิตสำนึกของชาวพุทธไทยที่ห่วงใยพระไตรปิฎก ทุกคราวที่มีการสร้างบ้านเมือง พระมหากษัตริย์ไทยจะไขว่คว้าหาพระไตรปิฎกมาเป็นหลักสำหรับฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
คราวสร้างกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราชรับสั่งให้หาพระไตรปิฎกมาจากเมืองนครศรีธรรมราช แต่เนื่องจากทรงครองราชย์ชั่วเวลาอันสั้น (๑๕ ปี) ไม่ทรงมีเวลาในการจัดให้มีการชำระอักขระ จึงตกเป็นภาระของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระอนุชา
@@@@@@@
สังคีติยวงศ์บันทึกเรื่องราวครั้งนี้ไว้ว่า
"สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ พระองค์นั้น ทรงทราบว่าพระไตรปิฎก คือ พระพุทธวจนะทั้งหลายมีอักษรอันวิปลาสฉิบหายแล้ว ก็มีพระหฤทัย ไหวหวั่นด้วยความรักพระศาสนาอย่างยิ่งจึงทรงดำริว่า ควรเราทั้งหลายจะทำพระพุทธวจนะให้เจริญ พระพุทธวจนะเป็นของที่หาที่เปรียบมิได้ มีอักษรพิรุธ ฉบับหายเสียแล้วก็จะไม่มีที่พึ่งแล น่าสังเวช กุลบุตรทั้งหลายผู้เกิดมาภายหลังในพระพุทธศาสนาเมื่อไม่รู้คุณและโทษ ก็จะพากันมืดมัวมากด้วยโทสะและโมหะ
ลุพระพุทธศักราช ๒๓๓๑ แล้วปีวอก จึงได้ทรงหารือเหตุการณ์นั้นด้วยพระราชาคณะทั้งหลาย มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน พระราชาคณะมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานครั้นเล็งเห็นเหตุการณ์นั้นแล้วก็รับพระราชโองการว่าสาธุ แล้วจึงมาเลือกสรรได้ภิกษุทั้งหลาย ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิตได้ ๓๒ นาย
พระเถระเจ้าทั้งหลายได้ยกเหตุการณ์นั้นของสมเด็จพระบรมกษัตราธิราชเจ้าทั้ง ๒ พระองค์ ทำสังคายนาพระธรรมวินัยในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ณ วัดพระศรีสรเพชุดาราม
ครั้งนั้นก็บันดาลอัศจรรย์มีมืดมนอนธการ เมฆคำรามกึกก้อง ลมพายุพัดต้องหนาวเย็นจัดเหลือที่จะเย็น มิอาจที่ว่าจะทนทานได้ตลอดวันและคืน สมเด็จพระราชาเจ้าได้ทรงอนุเคราะห์และถวายเตาเพลิงให้ภิกษุทั้งหลายผิง
ภิกษุทั้งหลายพากันโสมนัสแล้วอาราธนาเทวดาทั้งหลายเพื่อให้อนุเคราะห์ต่อพระธรรมวินัยในเถรสมาคม พระเถรเจ้าทั้งหลายนั้นครั้นปรึกษากันแล้วจึงปันหมู่ภิกษุออกเป็น ๔ กอง ให้ทำพระพุทธวจนะ คือ พระธรรมพระวินัยที่มีอักษรพิรุธมีประการต่าง ๆ เป็นสิถิลและธนิตเป็นอาทิแลให้เขียนแก้ที่โบราณเขียนไว้โดยความพลั้งเผลอให้ทำเสียให้ดีตามสติกำลังด้วยจิตบริสุทธิ์เลื่อมใส แม้จะยากลำบากก็ตาม
ครั้งนั้น พระภิกษุทั้งหลาย ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิต ๓๒ นาย ก็พากันลงมือสังคายนาพระวินัยปิฎกก่อน (แล้วจึงสังคายนาพระสูตรและพระอภิธรรม) ...แล้วจึงได้จารพระพุทธพจน์นั้นให้บริสุทธิ์ตามสติกำลัง...
พระเถระเจ้าทั้งหลาย สร้างพระธรรมวินัยโดยเหตุและวิธีต่าง ๆ ยังธรรมวินัยนั้น ๆ ให้สำเร็จไปและให้เขียนไว้ตราบเท่ากาลสำเร็จลงได้ การสร้างพระธรรมวินัยนั้น ๆ สำเร็จหลายพันผูกทำให้อักษรงามบริบูรณ์กว่าแต่ก่อนตามกำลังความสามารถที่ทำได้สิ้นวันและคืนนับได้ปีเศษ
สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ พระองค์ได้ให้บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจตุปัจจัยทั้งหลายมีประการต่าง ๆ ใช่แต่เท่านั้นได้พระราชทานเครื่องวิจิตรต่าง ๆ เครื่องหอมกรุ่นต่าง ๆ เครื่องลาดต่าง ๆ จีวรผ้าโกสัยและกัปปาสิกสีงามต่าง ๆ ถลกบาตร สายบาตร สายโยก เหล็กไฟและล่วม แว่นกระจกและล่วม ฝักกำมลอ สักลาด และพัสดุต่าง ๆ ควรแก่สมณสารูป เรืองามต่าง ๆ มีเครื่องครุภัณฑ์ประดับงามวิจิตร เขียนทองทาทองต่าง ๆ และโปรดเกล้าฯ ให้มีการฉลองบุญใหญ่เป็นการพระกุศลกรรมมีประการต่าง ๆ มีพระอาการเลื่อมใสทรงปีติโสมนัสในพระพุทธศาสนา ทรงดำรงกองบุญมีอเนกประการ ได้ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายเพื่อพระสัพพัญญุตญาณ
สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ พระองค์นั้นได้ทรงสดับอานิสงส์ต่าง ๆ ที่มาในคัมภีร์ทั้งหลายคือ พระอานิสงส์วิหารทาน ๑ พระอานิสงส์ถวายอุโบสถาคารสถาน (โรงอุโบสถ) ๑ อานิสงส์ถวายเครื่องรองรับพระธาตุที่ฝังในเจติยสถาน ๑ อานิสงส์การสร้างมณฑปบรรจุพระธาตุและพระธรรม ๑ อานิสงส์การจารพระไตรปิฎกพุทธ-วจนะ ๑ แล้วโปรดให้สร้างตามเรื่องที่ได้ทรงสดับมานั้น..." (สังคีติยวงศ์, หน้า ๔๔๕)
@@@@@@@
หากจะถามต่อไปว่าทำไมหรือ.? พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าโลก และสมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงอุทิศพระองค์และพระราชทรัพย์เพื่อพระไตรปิฎกถึงมากมายเพียงนั้น
คำตอบคงมิใช่เพียงเพื่อรักษาพระพุทธศาสนาเท่านั้น เรื่องนี้มีทางให้พิจารณาเพิ่มเติมได้อีก ๒ ประเด็น คือ - ทรงเห็นอานิสงส์การสร้างพระธรรม กับ - ทรงเชื่อว่า อักษรที่บรรจุพระธรรมแต่ละตัวนั้น มีค่าเทียบเท่าพระพุทธรูป ๑ พระองค์ กล่าวถึงการสร้างพระธรรมก่อน สังคีติยวงศ์ได้กล่าวถึงอานิสงส์ต่าง ๆ ไว้ สรุปได้ คือ
๑. อานิสงส์ถวายมณฑปสำหรับบรรจุตู้พระธรรม จะทำให้ไปเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิครองทวีปทั้ง ๔ และมีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร ๒. อานิสงส์ถวายใบลานสำหรับจารพระธรรม จะทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ มีรูปร่างสวยงามปราศจากทุกข์ทั้งปวง ๓. อานิสงส์การจาร(เขียน)พระธรรมลงในใบลาน จะทำให้มีปัญญามากได้เจโตปริยญาณ (รู้ใจผู้อื่น) ๔. อานิสงส์การทาชาดและหรดาลเพื่อให้พระธรรมสวยงาม จะทำให้มีรัศมีกายสวยงาม ๕. อานิสงส์ปิดทองพระธรรม จะทำให้มีจิตใจสะอาดผ่องใส และมีสีกายงามดั่งทอง ๖. อานิสงส์ถวายผ้าห่อ จะทำให้ได้เรือนคลัง ๘๔,๐๐๐ หลัง ๗. อานิสงส์ถวายสายรัด จะทำให้รักษาสมบัติของตนเองไว้ได้ ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่แล้วจะไม่เสียหาย
๘. อานิสงส์ถวายข้าคนให้รักษามณฑปพระธรรม จะทำให้มีราชบุรุษห้อมล้อมเป็นปริมณฑลได้ ๓๖ โยชน์ และหากเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะมีผลตามมาดังนี้ ๘.๑ มีปราสาทที่ประทับ ๘๔,๐๐๐ องค์ ๘.๒ มีแก้วมณี ๘๔,๐๐๐ ดวง ๘.๓ มีพระราชโอรส ๑,๐๐๐ พระองค์ ล้วนองอาจในการสงคราม ๘.๔ มีม้าทั้งสิ้น ๘๔,๐๐๐ ม้า ๘.๕ มีพระบรรจถรณ์ (ที่บรรทม) แก้ว ๗ ประการ ๘๔,๐๐๐ แท่น ๘.๖ มีคลังผ้า ๘๔,๐๐๐ หลัง ๘.๗ มีผ้าเนื้อละเอียด คือ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าเปลือกไม้
ส่วนความเชื่อเรื่องอักษรแต่ละตัวมีค่าเทียบเท่าพระพุทธรูป สังคีติยวงศ์ก็กล่าวไว้ว่า
"แม้ว่าอักษรแต่ละตัว ๆ ก็ทรงคุณเสมอด้วยพระพุทธรูปแต่ละองค์ ๆ เพราะเหตุนั้น สาธุชนผู้บัณฑิต พึงจารึกพระไตรปิฎกไว้ ก็เป็นอันชื่อว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายมีประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ ยังทรงพระชนม์อยู่ เมื่อพระไตรปิฎกยังดำรงอยู่ (ตราบใด) ผลคือ อักษรดังพระพุทธรูป จะพึงดำรงอยู่เสมอ (ตราบนั้น) เพราะเหตุนั้น ให้สาธุชนพึงจารด้วยตนเอง และให้ผู้อื่นจารพระธรรมลงไว้ในใบลาน และบรรจุไว้ในพระเจดีย์ อักษรแห่งพระไตรปิฎกทั้งหลายท่านประมาณไว้ว่า ๔๐๐ โกฎิ ๗๒ อักษร พระไตรปิฎกเหล่าใดที่ได้บรรจุไว้แล้ว ปิฎกเหล่านั้นก็ได้ชื่อว่าเหมือนสร้างพระปฏิมากรไว้ ๔๐๐ โกฎิ ๗๒ พระองค์"
@@@@@@@
ผู้เขียนเชื่อว่าประเด็นทั้ง ๒ นี้ จะต้องเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนพระราชศรัทธาของพระมหากษัตริย์และพระอนุชา เป็นที่น่าสังเกตว่า สังคีติยวงศ์กล่าวเน้นถึงการสร้างตู้พระธรรมเป็นพิเศษดังจะเห็นได้จากข้อความว่า
"โดยวาระพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษบุคคลใดในพระศาสนานี้ จะเป็นหญิงก็ดี ชายก็ดี กษัตริย์ หรือ พราหมณ์ พ่อค้า ศูทร คนพาลและบัณฑิตก็ตาม มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ถวายตู้สำหรับบรรจุพระธรรมแล้ว มหาผล มหาอานิสงส์จักมีแก่ชนทั้งหลายจำพวกนั้น เหมือนกับพระสารีบุตรผู้บังเกิดศรัทธาในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าปุสสะผู้ทรงพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ถวายตู้บรรจุพระธรรม..."
และสรุปอานิสงส์ของการสร้างตู้บรรจุพระธรรมไว้ ๑๑ ประการ คือ ๑. ได้สั่งสมกุศลมูลไว้มากในพระพุทธศาสนา ๒. จะไม่ตายอย่างคนหลงสติ ๓. หากไปเกิดในหมู่มนุษย์สามัญจะมีผลตามมาดังนี้ ๓.๑ มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้สิ่งสมปรารถนา ๓.๒ มีกลิ่นกายหอมฟุ้ง ๓.๓ มีผิวพรรณสวยงาม ๓.๔ มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติและบริวาร ๔. หากไปเกิดเป็นกษัตริย์จะมีผลตามมาดังนี้ ๔.๑ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิครองทวีปทั้ง ๔ ๔.๒ มีแก้ว ๗ ประการเกิดมาเป็นของคู่บุญ ๔.๓ ปราสาทที่ประทับจะมีแสงแก้วสว่างไสวไกลถึง ๑๒ โยชน์ ๔.๔ แวดล้อมด้วยนารีแสนนางปานประหนึ่งนางฟ้า ๔.๕ มีปราสาท ๘๔,๐๐๐ องค์ให้ประทับ ๔.๖ จะเสด็จไปทางใดก็แวดล้อมด้วยเหล่าเสนามาตย์พร้อมทั้งขบวนรถ ขบวนช้าง ขบวนม้า และขบวนทหารราบ ติดตามเป็นขบวนใหญ่ถึง ๗ โยชน์ ๕. หากไปเกิดเป็นเทวดา จะได้เป็นพระอินทร์ครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ถึง ๗ ครั้ง ๖. หากเกิดเป็นมนุษย์อีก จะได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๓๖ ชาติ ๗. (จากนั้น) ก็จะได้เกิดเป็นพระราชาปกครองประเทศอีกหลายชาติ ๘. ต่อมา เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะมีผลตามมาดังนี้ ๘.๑ ได้รับเกียรติในที่ทุกสถาน ๘.๒ มีสติปัญญาหลักแหลม ๘.๓ มีอวัยวะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สะอาดผ่องใส ๘.๔ มีจิตบริสุทธิ์ (คิดในสิ่งที่ดี) ๙. จะได้พบพระพุทธเจ้าแล้วออกบวชและบรรลุมรรคผลในที่สุด ๑๐. จะได้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก ๑๑. หากปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ก็จะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้บำเพ็ญบารมีต่อไป
เห็นอานิสงส์เกี่ยวกับการสร้างพระธรรม คือ พระไตรปิฎกที่กล่าวไว้ในสังคีติยวงศ์อย่างนี้แล้ว ก็พลันหวนระลึกถึงสัทธรรมปุณฑรีกสูตร พระสูตรสำคัญสูตรหนึ่งของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน พระสูตรนี้แต่งเป็นภาษาสันสกฤต สันนิษฐานว่าน่าจะแต่งราว พ.ศ. ๖๐๐-๘๐๐
ในบทที่ ๑๘ มีกล่าวถึงอานิสงส์ของการทรงจำ อ่าน สอน และคัดลอกพระธรรมไว้ว่า
"... กุลบุตรหรือกุลธิดาผู้ทรงจำ อ่าน สอน และคัดลอกพระธรรมบทนี้ จะมีตาประกอบพร้อมด้วยคุณลักษณะ ๘๐๐ แจ่มใส เห็นชัด และเห็นโลกทั้งหมด เห็นลึกลงไปถึงใต้อเวจีและเห็นสูงขึ้นไปถึงที่สุดภพ... จะมีหูประกอบพร้อมด้วยคุณลักษณะ ๘๐๐ แจ่มใส ฟังได้ชัดได้ยินเสียงต่าง ๆ ได้ไกล... จะมีจมูกประกอบพร้อมด้วยคุณลักษณะ ๘๐๐ แจ่มใส รับกลิ่นได้ชัด... จะมีลิ้นประกอบพร้อมด้วยคุณลักษณะ ๘๐๐ แจ่มใส รับรสได้ดี เปล่งเสียงได้ไพเราะ... จะมีกายประกอบพร้อมด้วยคุณลักษณะ ๘๐๐ แจ่มใส สะอาด..." (สัทธรรมปุณฑรีกสูตร บทที่ ๑๘)
การกล่าวถึงอานิสงส์ของการทรงจำ และการสร้างพระธรรมทั้งที่ปรากฏในสังคีติยวงศ์และสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ผู้เขียนยังไม่เคยพบเลยในพระไตรปิฎกและอรรถกถาฝ่ายบาลี มาพบก็แต่ในคัมภีร์รุ่นหลัง โดยเฉพาะแนวความเชื่อเรื่องอักษรจารึกพระธรรมแต่ละตัวมีค่าเท่ากับพระพุทธรูป ๑ องค์นั้นพบมากที่สุดในคัมภีร์ประเภทปกรณ์วิเสส อาทิ โสตัตถกี มหานิทาน ปัญญาสชาดก และสังคีติยวงศ์ จึงทำให้น่าศึกษาว่าระหว่างมหายานกับเถรวาท นิกายไหนให้กำเนิดแนวความเชื่อนี้
@@@@@@@
กลับมาเรื่องพระไตรปิฎกต่อ หลังจากรัชกาลที่ ๑ มาแล้ว รัชกาลต่อ ๆ มาก็ทรงให้ความสำคัญต่อพระไตรปิฎก จึงทำให้เกิดพระไตรปิฎกฉบับหลวง ฉบับทองน้อย ฉบับทองใหญ่ เป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ (ร.๑ - ร. ๕) พระไตรปิฎกบันทึกเป็นอักษรขอมทั้งหมด
ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของขอมที่มีต่อแผนดินผืนนี้ในอดีต จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงศักดิ์ศรีของความเป็นไท จึงรับสั่งให้ปริวรรตจากอักษรขอมมาเป็นอักษรไทยแล้วพิมพ์เป็นเล่มสมุด พระไตรปิฎกชุดนี้แหละต่อมาก็คือพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ
ตกสมัยรัชกาลที่ ๘ จึงมีการแปลเป็นภาษาไทยทำให้เรามีพระไตรปิฎกฉบับแปลไทยเป็นครั้งแรก ต่อมาเราได้มีพระไตรปิฎกแปลไทยอีกฉบับหนึ่งจัดทำโดยสำนักพิมพ์ ส.ธรรมภักดี เป็นสำนวนเทศนาโวหารได้รับความนิยมพอสมควรเพราะนักเทศน์สามารถถือขึ้นอ่านบนธรรมาสน์ได้เลย
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ หรือ ๒๕๒๘ ก็มีพระไตรปิฎกแปลไทยอีกสำนวนหนึ่งจัดทำโดยมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย พระไตรปิฎกฉบับนี้มีพิเศษตรงที่แปลอรรถกถาของแต่ละสูตรแล้วพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียวกับพระไตรปิฎก
จนกระทั่งมาถึง พ.ศ. ๒๕๔๒ เรามีพระไตรปิฎกสำนวนไทยขึ้นอีกฉบับหนึ่ง ก็คือพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ของเรานี่เอง
เท่าที่เล่ามาพอจะเห็นได้ว่า คนไทยได้แสดงคุณค่าและจิตสำนึกของตัวเองออกมาในการรักษาสืบต่อพระไตรปิฎก แต่คนไทยยังเห็นคุณค่าทางการศึกษาน้อยมาก ในสถาบันการศึกษาทั้งหลายแม้จะมีวิชาพระไตรปิฎกอยู่ก็เรียนกันฉาบฉวยเต็มที มหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกแห่งซึ่งต้องเป็นหลักในเรื่องนี้ก็ตกอยู่ในลักษณะเดียวกัน.
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : บรรจบ บรรณรุจิ จากหนังสือ "เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก" โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 ,หน้า 265-276 http://oldweb.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_04.htmภาพจาก : pinterest
|
|
|
22
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ไม่ควรยินดีในทานแต่เพียงอย่างเดียว พึงเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวก
|
เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2025, 10:45:15 am
|
. ๖. ปีติสุตฺตวณฺณนา
[๑๗๖] ฉฏฺเฐ กินฺติ มยนฺติ เกน นาม อุปาเยน มยํ. ปวิเวกปีตินฺติ ปฐมทุติยชฺฌานานิ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนกํ ปีตึ. กามูปสญฺหิตนฺติ กามนิสฺสิตํ ทุวิเธ กาเม อารพฺภ อุปฺปชฺชนกํ.
อกุสลูปสญฺหิตนฺติ "มิคสูกราทโย วิชฺฌิสฺสามี"ติ สรํ ขิปิตฺวา ตสฺมึ วิรทฺเธ "วิรทฺธํ มยา"ติ เอวํ อกุสเล นิสฺสาย อุปฺปชฺชนกํ.
ตาทิเสสุ ปน ฐาเนสุ อวิรชฺฌนฺตสฺส "สุฏฺฐุ เม วิทฺธํ, สุฏฺฐุ เม ปหฏนฺ" ติ อุปฺปชฺชนกํ อกุสลูปสญฺหิตํ สุขํ โสมนสฺสํ นาม.
ทานาทีนํ อุปกรณานํ อสมฺปตฺติยา อุปฺปชฺชมานํ ปน กุสลูปสญฺหิตํ ทุกฺขํ โทมนสฺสนฺติ เวทิตพฺพํ.ที่มา : อรรถกถาเล่มที่ ๑๖ ภาษาบาลีอักษรไทย องฺ.อ. (มโนรถ.๓) https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=16&A=1514 อรรถกถาปีติสูตรที่ ๖ พึงทราบวินิจฉัยในปีติสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :- บทว่า กินฺติ มยํ ได้แก่ เราพึงเข้าถึง (ปวิเวกปีติ) ด้วยอุบายไร. บทว่า ปวิเวกปีตึ ได้แก่ ปีติที่อาศัยปฐมฌานและทุติยฌานเกิดขึ้น. บทว่า กามูปสญฺหิตํ ได้แก่ ทุกข์อาศัยกาม คืออาศัยกามสองอย่าง ปรารภกามสองอย่างเกิดขึ้น.
บทว่า อกุลลูปสญฺหิตํ ความว่า เมื่อคิดว่าเราจักยิงเนื้อสุกร เป็นต้น ดังนี้ ยิงลูกศรพลาดไป ทุกขโทมนัสอาศัยอกุศลอย่างนี้ว่า เรายิงพลาดไปเสียแล้วดังนี้ เกิดขึ้น ชื่อว่าประกอบด้วยอกุศล.
เมื่อยิงไม่พลาดไปในฐานะเช่นนั้น สุขโสมนัสเกิดขึ้นว่า เรายิงดีแล้ว เราประหารดีแล้วดังนี้ ชื่อว่าประกอบด้วยอกุศล.
แต่ทุกขโทมนัสที่เกิดขึ้นเพราะอุปกรณ์มีทาน เป็นต้น ยังไม่พร้อม พึงทราบว่าประกอบด้วยกุศล.
จบอรรถกถาปีติสูตรที่ ๖ อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ อุปาสกวรรคที่ ๓ , ๖. ปีติสูตร https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=176
|
|
|
23
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ไม่ควรยินดีในทานแต่เพียงอย่างเดียว พึงเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวก
|
เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2025, 09:28:43 am
|
. ไม่ควรยินดีในทานแต่เพียงอย่างเดียว พึงเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวก ปิติสูตร
[๑๗๖] ครั้งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี แวดล้อมด้วยอุบาสก ประมาณ ๕๐๐ คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า "ดูกรคฤหบดี ท่านทั้งหลายได้บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัช บริขาร ท่านทั้งหลายไม่ควรทำความยินดีด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า เราได้บำรุงภิกษุสงฆ์ ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร" "เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า พวกเราพึงเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ตามกาลอันสมควร ด้วยอุบายเช่นไร ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล"
@@@@@@@
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว ตามที่ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
"ดูกรคฤหบดี ท่านทั้งหลายได้บำรุงภิกษุสงฆ์ ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัช บริขาร" "เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า พวกเราพึงเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ตามกาลอันสมควร ด้วยอุบายเช่นไร ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล"
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยใด อริยสาวกย่อมเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้น ฐานะ ๕ ประการ ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น คือ สมัยนั้น... ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยกาม ๑ สุข โสมนัสอันประกอบด้วยกาม ๑ ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยอกุศล ๑ สุข โสมนัสอันประกอบด้วยอกุศล ๑ ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยกุศล ๑ ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยใด อริยสาวกย่อม เข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้น ฐานะ ๕ ประการนี้ ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น ฯ
@@@@@@@
พ. ดีละๆ สารีบุตร สมัยใด อริยสาวกย่อมเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้น ฐานะ ๕ ประการ ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น คือ สมัยนั้น... ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยกาม ๑ สุข โสมนัสอันประกอบด้วยกาม ๑ ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยอกุศล ๑ สุข โสมนัสอันประกอบด้วยอกุศล ๑ ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยกุศล ๑
ดูกรสารีบุตร สมัยใด อริยสาวกย่อมเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้น ฐานะ ๕ ประการนี้ ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น ฯที่มา : ปีติสูตร ,พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ ,พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=4812&Z=4837
ปิติสูตร ภาษาบาลี อักษรไทย
[๑๗๖] อถโข อนาถปิณฺฑิโก คหปติ ปญฺจมตฺเตหิ อุปาสกสเตหิ ปริวุโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อนาถปิณฺฑิกํ
คหปตึ ภควา เอตทโวจ ตุเมฺห โข คหปติ ภิกฺขุสงฺฆํ ปจฺจุปฏฺฐิตา จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจ เภสชฺชปริกฺขาเรน น โข คหปติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐิ กรณียา มยํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปจฺจุปฏฺฐิตา จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจ เภสชฺชปริกฺขาเรนาติ ตสฺมา ติห คหปติ เอวํ สิกฺขิตพฺพํ กินฺติ มยํ กาเลน กาลํ ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยามาติ เอวํ หิ โว คหปติ สิกฺขิตพฺพนฺติ ฯ
@@@@@@@
{๑๗๖.๑} เอวํ วุตฺเต อายสฺมา สารีปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ อจฺฉริยํ ภนฺเต อพฺภุตํ ภนฺเต ยาว สุภาสิตญฺจิทํ
ภนฺเต ภควตา ตุเมฺห โข คหปติ ภิกฺขุสงฺฆํ ปจฺจุปฏฺฐิตา จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจย-เภสชฺชปริกฺขาเรน น โข คหปติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐิ กรณียา มยํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปจฺจุปฏฺฐิตา จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรนาติ ตสฺมา ติห คหปติ เอวํ สิกฺขิตพฺพํ กินฺติ มยํ กาเลน กาลํ ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยามาติ เอวํ หิ โว คหปติ สิกฺขิตพฺพนฺติ ฯ
{๑๗๖.๒} ยสฺมึ ภนฺเต สมเย อริยสาวโก ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปญฺจสฺส ฐานานิ ตสฺมึ สมเย น โหนฺติ ยมฺปิสฺส กามูปสญฺหิตํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยมฺปิสฺส กามูปสญฺหิตํ สุขํ โสมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยมฺปิสฺส อกุสลูปสญฺหิตํ ทุกฺขํโทมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยมฺปิสฺส อกุสลูปสญฺหิตํ สุขํ โสมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยมฺปิสฺส กุสลูปสญฺหิตํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยสฺมึ
ภนฺเต สมเย อริยสาวโก ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหรติ อิมานิ ปญฺจสฺส ฐานานิ ตสฺมึ สมเย น โหนฺตีติ ฯ
@@@@@@@
สาธุ สาธุ สารีปุตฺต ยสฺมึ สารีปุตฺต สมเย อริยสาวโก ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปญฺจสฺส ฐานานิ ตสฺมึ สมเย น โหนฺติ ยมฺปิสฺส กามูปสญฺหิตํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยมฺปิสฺส กามูปสญฺหิตํ สุขํ โสมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยมฺปิสฺส อกุสลูปสญฺหิตํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยมฺปิสฺส อกุสลูปสญฺหิตํ สุขํ โสมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยมฺปิสฺส กุสลูปสญฺหิตํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ตมฺปิสฺส ตสฺมึ สมเย น โหติ ยสฺมึ
สารีปุตฺต สมเย อริยสาวโก ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหรติ อิมานิ ปญฺจสฺส ฐานานิ ตสฺมึ สมเย น โหนฺตีติ ฯที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ สุตฺต. องฺ. (๓): ปญฺจก-ฉกฺกนิปาตา https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=22&item=176&items=1
ปีติสูตร ว่าด้วยปีติ
[๑๗๖] ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกคหบดี มีอุบาสกประมาณ ๕๐๐ คนแวดล้อม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
คหบดี ท่านทั้งหลายได้บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชชบริขาร ท่านทั้งหลายไม่ควรทำความยินดีด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า ‘เราได้บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชชบริขาร’ เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า ‘พวกเราพึงบรรลุปีติที่เกิดจากวิเวก(๑-) อยู่ตามกาลอันควรด้วยอุบายอย่างไร’ ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล
@@@@@@@
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ตามที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ‘คหบดี ท่านทั้งหลายได้บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชชบริขาร เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า ‘พวกเราพึงบรรลุปีติที่เกิดจากวิเวกอยู่ตามกาลอันควร ด้วยอุบายอย่างไร’ ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยใดอริยสาวกบรรลุ ปีติที่เกิดจากวิเวกอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีฐานะ ๕ ประการ คือ ๑. ไม่มีทุกขโทมนัสอันประกอบด้วยกาม(๒-) ๒. ไม่มีสุขโสมนัสอันประกอบด้วยกาม ๓. ไม่มีทุกขโทมนัสอันประกอบด้วยอกุศล(๓-) ๔. ไม่มีสุขโสมนัสอันประกอบด้วยอกุศล ๕. ไม่มีทุกขโทมนัสอันประกอบด้วยกุศล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยใด อริยสาวกบรรลุปีติที่เกิดจากวิเวกอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีฐานะ ๕ ประการนี้” @@@@@@@
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดีละ ดีละ สารีบุตร สมัยใด อริยสาวกบรรลุปีติที่เกิด จากวิเวกอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีฐานะ ๕ ประการ คือ ๑. ไม่มีทุกขโทมนัสอันประกอบด้วยกาม ๒. ไม่มีสุขโสมนัสอันประกอบด้วยกาม ๓. ไม่มีทุกขโทมนัสอันประกอบด้วยอกุศล ๔. ไม่มีสุขโสมนัสอันประกอบด้วยอกุศล ๕. ไม่มีทุกขโทมนัสอันประกอบด้วยกุศล สารีบุตร สมัยใด อริยสาวกบรรลุปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกนั้น ย่อมไม่มีฐานะ ๕ ประการนี้”
ปีติสูตรที่ ๖ จบเชิงอรรถ (๑-) ปีติที่เกิดจากวิเวก ในที่นี้หมายถึง ปีติที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยปฐมฌานและทุติยฌาน (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๗๖/๖๘) (๒-) ทุกขโทมนัสอันประกอบด้วยกาม หมายถึง ทุกขโทมนัสที่เกิดขึ้นเพราะกาม ๒ ประเภท คือ วัตถุกาม และกิเลสกาม (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๗๖/๖๘) (๓-) ทุกขโทมนัสอันประกอบด้วยอกุศล หมายถึง เมื่อบุคคลทำอกุศลกรรม เช่น ยิงลูกศรไปด้วยคิดว่า จะฆ่าเนื้อและสุกร แต่เมื่อลูกศรผิดเป้าหมายไป ก็เกิดทุกขโทมนัสขึ้นว่า ‘เรายิงพลาด’ (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๗๖/๖๘)ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต , ๖. ปีติสูตร ว่าด้วยปีติ https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=22&siri=176ขอบคุณภาพจาก pinterest
|
|
|
24
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความเชื่อเรื่อง “เวทมนตร์คาถา” มูเตลูสมัยอยุธยา? นิยมทั้งราษฎรไปจนถึงราชสำนัก
|
เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2025, 07:24:27 am
|
. ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา โดย Johann Christoph Haffner ราว ค.ศ. 1700ความเชื่อเรื่อง “เวทมนตร์คาถา” มูเตลูสมัยอยุธยา? นิยมทั้งราษฎรไปจนถึงราชสำนัก นอกจากความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ฤกษ์ยาม เครื่องรางของขลัง และโชคลางแล้ว “เวทมนตร์คาถา” ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งในแขนงแห่ง “ไสยศาสตร์” ที่ปรากฏหลักฐานในสมัย “อยุธยา” เช่น สมัย สมเด็จพระมหาธรรมราชา สมเด็จพระนารายณ์ พระเจ้าเสือ โดยเวทมนตร์คาถาเป็นถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกขึ้นสำหรับบริกรรมเสกเป่าตามวิธีที่กำหนด อาจใช้เพื่อป้องกันตัว ใช้ทำร้ายผู้อื่น ใช้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ใช้รักษาโรคภัย ใช้ป้องกันภูติผี หรือใช้ทำเสน่ห์ ฯลฯ
เวทมนตร์คาถา และมนตร์ดำ สมัยอยุธยา
ในราชสำนักอยุธยา เวทมนตร์คาถาเป็นสิ่งสำคัญในพิธีกรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับฟ้าฝน ดังในสมัย สมเด็จพระมหาธรรมราชา เกิดภาวะฝนแล้ง ชาวบ้านทำนาไม่ได้ผล เชื่อกันว่าเทวดาเบื้องบนเป็นต้นเหตุให้เกิดฝนแล้ง สมเด็จพระมหาธรรมราชาจึงทรงแก้ไขด้วยการรับสั่งให้พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ 2 องค์ ประกอบพิธีกรรมแก้ไข ปรากฏในคำให้การชาวกรุงเก่า ความว่า
“บัดนี้เกิดภัยคือฝนแล้ง ราษฎรพากันอดอยาก ท่านอาจารย์ทั้ง 2 จะคิดประการใด จึงจะให้ฝนตกได้ พระอาจารย์ทั้ง 2 ก็อาสาว่า ถึงวันนั้นคืนนั้นจะทำให้ฝนตกให้ได้ แล้วพระอาจารย์ทั้ง 2 ก็ไม่กลับไปยังพระอาราม อาศัยอยู่ในพระราชวังตั้งบริกรรมทางอาโปกสิณ และเจริญพระพุทธมนต์ขอฝนด้วยอำนาจสมาธิและพระพุทธมนต์ของพระผู้เป็นเจ้าทั้ง 2 นั้น พอถึงกำหนดวันสัญญา ก็เกิดมหาเมฆตั้งขึ้นทั้ง 8 ทิศ ฝนตกลงมาเป็นอันมาก” ภาพประกอบเนื้อหา – ภาพวาดทิวทัศน์บริเวณ วัดพนัญเชิง อยุธยา จากรูปถ่าย วาดโดย M.Therondไสยศาสตร์ อย่าง เวทมนตร์คาถา ในสมัย “อยุธยา” ยังถูกนำมาใช้แก้หรือรักษาโรคร้ายต่าง ๆ เช่น เมื่อถูกผีเข้า หรือถูกคุณไสย ก็จำเป็นต้องแก้ไขด้วยเวทมนตร์ ด้วยการใช้หวายหวด โดยหวายนั้นต้องเสกเวทมนตร์คาถากำกับจึงจะได้ผล ดังที่ ลา ลูแบร์ บันทึกไว้ ความว่า
“ชาวสยามเป็นโรคคลั่งเพ้อบางอย่างเรียกผีเข้า อาการโรคที่เป็นนั้น บางทีก็พิลึกมาก เชื่อกันว่าเป็นด้วยถูกเวทมนตร์คุณไสย…เป็นอำนาจปีศาจแผลงฤทธิ์คือผีเข้า จำต้องแก้ทางขับผี จึงรักษาคนไข้ด้วยใช้หวดด้วยหวายอาคมลงคุณพระ หรือไปหาคนดีมีวิชา…”
เมื่อเวทมนตร์คาถาถูกนำมาใช้ในด้านดี เพื่อช่วยเหลือ แก้ไข หรืออำนวยสิ่งต่าง ๆ ให้เจริญขึ้นได้ฉันใด เวทมนตร์คาถาย่อมต้องถูกนำมาใช้ในด้านร้ายฉันนั้น หรือที่มักจะเรียกกันว่า “มนตร์ดำ” หรือ “คาถาดำ” นั่นเอง ซึ่งปรากฏให้เห็นว่ามีการนำเวทมนตร์คาถามาใช้ในด้านร้าย พบเห็นตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไปไปจนถึงในราชสำนัก
ดังในสมัย สมเด็จพระยอดฟ้า ปรากฏมีการใช้เวทมนตร์คาถาโดย “หมอผี” ในแผนการลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ของแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ปรากฏในพงศาวดาร ฉบับ วัน วลิต ความว่า “…พระสนมได้สมรู้ร่วมคิดกับหมอผี ใช้เวทมนตร์สะกดพระเจ้าแผ่นดินและลอบปลงพระชนม์ ทุกวันพระสนมจะนำหมอผีไปยังห้องพระบรรทมและขออยู่ลำพังกับพระเจ้าแผ่นดิน…และเมื่อหมอผีได้ใช้เวทมนตร์คาถาสะกดพระเจ้าแผ่นดินได้แล้ว พระสนมก็นำยาพิษมาถวาย…”
หมอผีในที่นี้ก็คือ ขุนวรวงศาธิราช โดย เยเรเมียส วัน วลิต อธิบายว่า “หมอผีก็อาศัยอยู่ในวังนั่นเอง และด้วยความช่วยเหลือของพระสนม ก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า พระขุนชินราช ซึ่งขัดกับความประสงค์ของขุนนางและประชาชนทั้งปวง…” ซากโบราณสถานวัดพระศรีสรรเพชญ์ ภายในพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา ด้านนอกวังนั้นเล่า มนตร์ดำก็ถูกนำมาใช้เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากพระไอยการลักษณะเบ็ดเสร็จ ก็มีการใช้เวทมนตร์คาถาอย่างแพร่หลาย จึงต้องมีกฎหมายควบคุม และกำหนดบทลงโทษผู้นำมนตร์ดำมาใช้ทำลายชีวิตหรือทรัพย์สินของคนในสมัยนั้นด้วยวิธีที่รุนแรง ดังเช่น
มาตรา 163 “ผู้ใดใส่ง้วนยาให้ท่านกิน ท่านเหงาเงื่องจะตายแล แก้รอดก็ดี อนึ่งผู้รู้กระทำให้ท่านปวดหัวมัวตาลำบากด้วยประการใด ๆ ก็ดี ท่านจับได้ ให้เอาตัวมันผู้นั้นมาง้วนยามาให้ท่านกินแลผู้กระทำท่านั้น ขึ้นขาหย่างประจารแล้วปลงลงทวนด้วยลวดหนัง 60 ที แล้วให้ไหมปลูกตัวเปนสินไหม พิไนย กึ่งแล้วส่งตัวจำไว้ ณ คุก โดยยถากำม ถ้าทำท่านตายให้ฆ่ามันเสีย”
มาตรา 165 “ผู้ใดให้ยาแก่ลูกท่านกินเปนบ้า ให้มันรักษาลูกท่าน ถ้ามันรักษาหายให้ทวนมันนั้น 30 ที ถ้ามันรักษามิหาย ให้ไหมปลูกตัวแล้วทวน 60 ที เอาขึ้นขาหย่างประจารแล้วจำไว ณ คุก”
มาตรา 168 “หญิงก็ดีชายก็ดีเปนชู้เมียกัน หญิงจะใคร่ให้ชายนั้นรัก ให้แม่มดพ่อหมอกระทำมนตร์ดนมกรูด ส้มป่อย สรรพการ เสน่ห์ ดั่งนั้น ท่านว่า หญิงทำแต่จะให้ชายรัก ชายทำแต่จะให้หญิงรัก หวังจะให้เปนประโยชน์ จำเริญแก่ตัวสืบไป แม้น ชาย หญิง ก็ดี เคราะห์ร้ายหากไข้เจ็บตาย จะใส่โทษแม่มดพ่อหมอนั้น มิได้เลย เปนกำมแก่ผู้ตายนั้น เทวดายังรู้จุติมนุษหฤๅจะอยู่ได้”
มาตรา 169 “ผู้ใดจะให้ผู้อื่นพิศวงงงงวยในตนแลปรกอบ กฤตยาคุณเปนยาแฝดด้วยสิ่งใด ๆ ให้ท่านกินก็ดี แลปั้นรูปฝังด้วยวิทยาคุณประการใด ๆ ก็ดี พิจารณาเปนสัจ ให้ทวน 60 ที เอาขึ้นขาหย่างประจารแล้วทะเวนบก 3 เรือ 3 วัน แล้วฆ่ามันเสีย ถ้าทำให้ชู้ผัวมันกิน รู้ด้วยประการใด ๆ พิจารณาเปนสัต ให้ลงโทษดุจเดียวแล้วส่งตัวให้ชายผัวตามแต่ใจมัน”
นอกจากนี้ ในกฎมณเฑียรบาล ก็มีการกล่าวถึงเวทมนตร์คาถา ในมาตรา 69 ความว่า “อนึ่งผู้ใดทำลูกกุญแจเรียนมนตร์คุณวุธิวิทยาคมเสดาะประตูวัง แลเปิดโขลนทวารเข้าไปในพระราชมณเฑียรสถาน ลักภาสาวใช้กำนัลแลลักพระราชทรัพย ให้ลงโทษโดยมหันตโทษแล้วให้ฆ่าเสีย ถ้าทรงพระกรรุณาบให้ฆ่าเสียไซ้ ให้ลงโทษ 5 สถาน โดยพระราชอาชาท่านกล่าวไว้”
เห็นได้ว่า มนตร์ดำเหล่านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการทำเสน่ห์ และการทำให้ผู้ที่เป็นศัตรูของตนล้มป่วยเจ็บไข้ หรือถึงขั้นมีอันเป็นไปเสียชีวิต
เวทมนตร์คาถาแสดงบุญญาบารมี
ในเรื่องการนำเวทมนตร์คาถามาใช้เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์อภินิหารนั้น กระทำไปเพื่อเป็นการข่มขวัญข้าศึกศัตรู หรือเพื่อแสดงบุญบารมีของกษัตริย์ เช่น
ในคำให้การชาวกรุงเก่า กล่าวถึงเหตุการณ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ อยุธยาตีเมืองเชียงใหม่ พระยาสีหราชเดโช แม่ทัพฝ่ายอยุธยา ใช้เวทมนตร์คาถาล่องหนหายตัวได้ ความว่า “พระยาสีหราชเดโชเห็นลาว [แต่ก่อนเรียกคนในภาคเหนือว่าลาว] นิ่งอยู่ไม่ออกมาสู้รบดังนั้น จึงถือดาบขึ้นหลังม้ากลั้นใจหายตัวควบไปควบมาให้ลาวแลเห็นแต่ดาบ กับได้ยินแต่เสียงมิได้เห็นตัว พวกลาวเห็นดังนั้นก็สะดุ้งตกใจกลัวพากันแตกหนีไปเป็นขบวน”
ขณะที่ สมเด็จพระนารายณ์ เองก็ทรงศึกษาศาสตร์เหล่านี้เช่นกัน ในสำนักของพระอาจารย์พรหม ดังในคำให้การชาวกรุงเก่า ความว่า “เป็นผู้ชำนาญในทางเวทมนตร์ มีอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้ เพราะฉะนั้นพระนารายณ์จึงมีบุญญาภินิหารและอิทธิฤทธิ์มาก วันหนึ่งเสด็จทรงเรือพระที่นั่งเอกชัยในเวลาน้ำขึ้น รับสั่งว่าให้น้ำลดแล้วทรงเอาพระแสงฟันลง น้ำก็ลดลงตามพระราชประสงค์ ครั้นน้ำลดลงแล้ว จึงรับสั่งให้น้ำขึ้นแล้วทรงพระแสงฟันลงอีก น้ำก็ขึ้นตามพระราชประสงค์ พระนารายณ์มีพระราชประสงค์อย่างไรก็เป็นไปตามทั้งสิ้น” ภาพลายเส้นฝีมือชาวยุโรป ริ้วกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค พิธีกรรมทางน้ำที่พระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาต้องเสด็จฯ มาประกอบพิธีเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของราชอาณาจักร พิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๒๖๒ (ภาพจาก “กรุงศรีอยุธยาในแผนที่ฝรั่ง” โดย ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช, ๒๕๔๙) กษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องมีอิทธิฤทธิ์ด้วยเวทมนตร์คาถา คือ สมเด็จพระเจ้าเสือ ดังในคำให้การชาวกรุงเก่า ความว่า “มีบุญญาภินิหารและอิทธิฤทธิ์ ชำนาญในทางเวทมนตร์กายสิทธิ์มาก เวลากลางคืนก็ทรงกำบังกายเสด็จประพาส ฟังกิจสุขทุกข์ของราษฎร และทรงตรวจตราโจรผู้ร้ายมิได้ขาด ทรงชุบเลี้ยงคนที่มีเวทมนตร์ ให้เป็นมหาดเล็กใกล้ชิดพระองค์ รับสั่งใช้ให้กำบังกายออกตรวจโจรผู้ร้ายในราตรี ถ้าทรงทราบว่าใครมีเวทมนตร์ดีแล้ว ให้มหาดเล็กลอบไปทำร้ายในเวลาหลับ ผู้ใดไม่เป็นอันตรายก็พามาเลี้ยงไว้เป็นข้าราชการ ผู้ใดที่โอ้อวดทดลองไม่ได้จริงก็ให้ลงพระราชอาญา”
นอกจากนี้ ในคำให้การขุนหลวงหาวัด (ฉบับหลวง) กล่าวถึงเวทมนตร์คาถาของสมเด็จพระเจ้าเสือ ขณะยังเป็นเจ้าพระยาศรีสุรศักดิ์ ไปลักพาตัวบุตรสาวของเจ้าพระยาราชวังสรรค์ ความว่า
“ครั้นเวลาสักสองยามเศษ จึงเจ้าพระยาศรีสุรศักดิ์นั้นกับบ่าวที่รักใคร่สนิทกัน จึงเข้าไปดูแยบคาย ครั้นได้ทีแล้วจึงเสกกรวดแล้วก็ปรายเข้าไปอันผู้คนทั้งนั้นก็หลับไปทั้งสิ้น เจ้าพระยาสุรศักดิ์จึงเข้าไปดับไฟแล้วก็เข้าไปอุ้มเอาลูกสาวมา”
เหล่านี้เป็นเรื่องราวของ “เวทมนตร์คาถา” หรือที่ยุคนี้นิยมใช้คำว่า “มูเตลู” เพียงบางส่วนที่ปรากฏในพงศาวดารหรือบันทึกสมัยอยุธยา นอกจากนี้ยังมีเรื่องผีสางเทวดา ฤกษ์ยาม เครื่องรางของขลัง และโชคลาง ฯลฯ ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนมีความเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น เพราะต่างก็เป็น “ศาสตร์” แห่ง “ไสย” เช่นเดียวกัน
อ่านเพิ่มเติม :-
• “ไสยศาสตร์” ความเชื่อของคนกรุงศรีฯ ในบันทึกฝรั่งที่ได้พบเห็น • พระปิ่นเกล้า วังหน้าสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงศึกษาไสยศาสตร์วิทยาคม ลือกันถึงขั้นหายตัวได้!?ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 6 สิงหาคม 2564 website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_72634อ้างอิง : จิตใส อยู่สุขี. (2539). การศึกษาความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของคนไทยจากเอกสารสมัยอยุธยา, ปริญญานิพนธ์ ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์ไทย) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
|
|
|
25
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 9 ตระกูลจีนกรุงธนบุรี ทุกวันนี้สืบสายเป็นสกุลใดบ้าง.?
|
เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2025, 07:15:05 am
|
จิตรกรรมพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช “ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์” ในศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ วัดสมณโกฎฐาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา9 ตระกูลจีนกรุงธนบุรี ทุกวันนี้สืบสายเป็นสกุลใดบ้าง.? (ตอนที่ 1)ความสัมพันธ์ไทย-จีน ยาวนานหลายร้อยปี หลักฐานหนึ่งที่ปรากฏชัดคือชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนหนึ่งสามารถสืบค้นรากเหง้าของตนได้ถึงสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งหลักๆ แล้วมี 9 ตระกูลด้วยกัน ตระกูลจีนกรุงธนบุรีเหล่านี้มีตระกูลใดบ้าง และทุกวันนี้เชื้อสายแผ่ขยายใช้นามสกุลอะไรกัน เรื่องนี้มีคำตอบในหนังสือ “ประวัติจีนกรุงสยาม A History of the Thai-Chinese” (สำนักพิมพ์มติชน) โดย เจฟฟรี ซุน และพิมพ์ประไพ พิศาลบุตร
อ่าน 9 ตระกูลจีนกรุงธนบุรี ทุกวันนี้สืบสายเป็นสกุลใดบ้าง? (ตอนที่ 2) ได้ท้ายบทความ ปรีดี พนมยงค์ สกุล “พนมยงค์”
หนึ่งในสมาชิกของสกุลนี้ที่คนไทยคุ้นชื่อกันดีคือ นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เขาเขียนบันทึกเล่าความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับ ก๊ก แซ่ตั้ง บรรพบุรุษฝ่ายชายของสกุลพนมยงค์ไว้ว่า ก๊กเป็นลูกของเส็ง เส็งเป็นลูกของเฮง เฮงไปเมืองไทยเมื่อเส็งยังเล็กอยู่ แม่ของเฮงเป็นอาของ “แต้อ๋อง” (จีนแต้จิ๋วเรียกพระเจ้าตากด้วยนามนี้) เฮงช่วยแต้อ๋องรบพม่าตาย
นายปรีดีเล่าตำนานในครอบครัวอีกว่า เฮงเข้ามาสยามในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ มาพักอยู่กับญาติฝ่ายจีนของพระเจ้าตากบริเวณคลองสวนพลู ข้างฝ่ายญาติของเฮงที่หมู่บ้านเอ้ตัง อำเภอเถ่งไฮ่ ไม่ได้รับข่าวคราวของเฮงนานหลายปี แม่ของเฮงจึงฝากจดหมายมากับนายเรือเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าตาก แสดงความชื่นชมยินดีที่พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ และถามข่าวคราวของเฮง
เมื่อพระเจ้าตากทรงทราบความ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตอบไปว่า เฮงได้สิ้นชีพในการรับใช้พระองค์ต่อสู้กับศัตรู และพระราชทานเงินพดด้วงจำนวนหนึ่งแก่ครอบครัวของเฮง
ในสมัยรัชกาลที่ 2 ด้วยการทำมาหากินที่ฝืดเคือง เส็ง (ลูกของเฮง) จึงส่งก๊กมาสยาม เมื่อก๊กเดินทางมาแล้วก็อยู่กรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง แล้วไปอยู่อยุธยา ประกอบอาชีพทำแป้งหมักแบบจีน เต้าหู้ เต้าเจี้ยว ตั้งแพขายอยู่ใกล้วัดพนมยงค์
ต่อมาเส็งแต่งงานกับ ปิ่น สาวอยุธยา ซึ่งทางบ้านฝ่ายหญิงเชื่อว่าพวกตนสืบสายจากพระนมที่ชื่อ ประยงค์ ผู้สร้างวัดพนมยงค์ สืบมาถึงรุ่นนายเสียง บิดาของนายปรีดี จึงไปจดทะเบียนนามสกุล “พนมยงค์” หนังสือ “ประวัติศาสตร์จีนกรุงสยาม เล่ม 1 สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์” (สำนักพิมพ์มติชน) ที่ส่วนหนึ่งเล่าเรื่องนี้ไว้สายสกุลของ “เจ้าคุณจอมมารดาเอม” ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
เจ้าคุณจอมมารดาเอม ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดา เจ๊สัวบุญมี บุตรเจ๊สัวอ๋องไซ ซึ่งประวัติตระกูลอ๋องสืบเชื้อสายจาก “อ๋องเฮงฉ่วน” ผู้ดูแลกรมท่ามาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก เจ๊สัวอ๋องไซคุมเรือไปค้าขายที่กัมปงโสม แต่การเดินทางไม่ปลอดภัยจึงร่นมารอดูเหตุการณ์ที่เมืองจันทบูร
เมื่อพระเจ้าตากทรงกรีธาทัพเข้าเมืองจันทบูร เจ๊สัวอ๋องไซก็นำเรือไปเทียบท่าถวายข้าว ซึ่งถือเป็นเสบียงสำคัญยามรบ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ๊สัวอ๋องไซเป็น “พระยารัตนราชเศรษฐี” ช่วยงานกรมท่าสมัยกรุงธนบุรี
ลูกชายคนหนึ่งของเจ๊สัวอ๋องไซ คือ เจ๊สัวบุญมี ตั้งบ้านเรือนอยู่ปากคลองบางกอกน้อย ครอบครัวที่สืบเชื้อสายจากเจ้าคุณจอมมารดาเอมอยู่ในราชสกุล กาญจนะวิชัย, วรวุฒิ, รัชนี, นวรัตน เป็นต้น พระยาจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์ (ลออ) (ภาพ : Wikimedia Commons)สกุล “ไกรฤกษ์”
ตระกูลจีนกรุงธนบุรีอีกตระกูลที่สำคัญ คือ ไกรฤกษ์ ต้นตระกูลเป็นลูกจีนแซ่หลิม ชื่อ เริก มีตำแหน่งเป็น “ขุนท่องสื่ออักษร” ล่ามในคณะทูตกรุงธนบุรีเมื่อ พ.ศ. 2324 เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ ก็ผลัดแผ่นดินเป็นรัชกาลที่ 1 แล้ว พระองค์ทรงพอพระทัยการทำงานของเริก จึงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็น “พระยาไกรโกษา” ที่จตุสดมภ์ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล
ทองจีน บุตรชายคนโตของพระยาไกรโกษา (เริก) ได้เป็นพระยาโชฎึกราชเศรษฐีในสมัยรัชกาลที่ 3 ลูกหลานรับราชการสืบมา กระทั่งเมื่อรัชกาลที่ 6 โปรดให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พระองค์ได้พระราชทานนามสกุล “ไกรฤกษ์” แก่ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ) อธิบดีกรมชาวที่ และ พระยาจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์ (ลออ) ซึ่งมีทายาทต่อมาถึงทุกวันนี้
ในสายตระกูลแซ่หลิมของพระยาไกรโกษา (เริก) ยังมีพระยาอินทรอากร บิดาของเจ้าจอมมารดาอำภาในรัชกาลที่ 2 ลูกหลานสืบมาในสกุล นิยะวานนท์ ราชสกุล ปราโมช และ กปิตถา
ญาติแซ่หลิมอีกแขนงหนึ่งที่ได้เป็นขุนพัฒนอากรสมัยรัชกาลที่ 3 มีบุตรชื่อฉ่ำ เป็นบิดาของพระยาพหลพลพยุหเสนา (กิ่ม) ต้นตระกูล พหลโยธิน
@@@@@@@
สกุล “จาติกวณิช”
ป้ายวิญญาณจีนสยามเก่าแก่ ที่บ้านโซวเฮงไถ่ ย่านตลาดน้อย กรุงเทพฯ ระบุชื่อ เซี้ยง แซ่โซว มาจากอำเภอไฮ่เถ่ง จังหวัดเจียงจิว มณฑลฮกเกี้ยน เป็นบิดาของจีนเกต และเป็นปู่ของหลวงอภัยวานิช (จาด) ต้นตระกูล จาติกวณิช
ตระกูลนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำย่านตลาดน้อย ซึ่งเป็นบริเวณที่ชุมชนฮกเกี้ยนขยายตัวมาจากกุฎีจีน มีศาลเจ้าโจวซือกง ที่สร้างสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นศูนย์กลางชุมชน ลูกหลานของหลวงอภัยวานิช (จาด) ตั้งเรือนอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน
จีนเซี้ยง แซ่โซว เป็นบรรพชนของนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นบรรพชนฝ่ายมารดาของนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีไทย
ตระกูลจีนกรุงธนบุรีอีก 5 ตระกูลหลักมีอะไรอีกบ้าง ติดตามต่อได้ใน 9 ตระกูลจีนกรุงธนบุรี ทุกวันนี้สืบสายเป็นสกุลใดบ้าง? (ตอนที่ 2)
อ่านเพิ่มเติม :
• “นามสกุล” สมัยรัชกาลที่ 6 แต่ละนามสกุลเป็นมาอย่างไร บ่งบอกถึงอาชีพ? • “5 นามสกุลแรกของไทย” เป็นนามสกุลของใคร • ร.7 ทรงเคืองพระทัย เหตุคณะผู้สำเร็จราชการไม่ให้พระราชโอรสบุญธรรมใช้นามสกุล “ศักดิเดชน์”ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 19 พฤษภาคม 2568 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_152979#google_vignetteอ้างอิง : พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร, สมชาย จิว และนิรันดร นาคสุริยันต์ แปลและเรียบเรียง. ประวัติศาสตร์จีนกรุงสยาม เล่ม 1 สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: มติชน, 2568
|
|
|
26
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พุทธศาสนา ๕ ยุค | หลังตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณี จะปฏิบัติตนเช่นไร.?
|
เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2025, 08:52:01 am
|
. อรรถกถาเล่มที่ ๓๓ ภาษาบาลีอักษรไทย | เถร.อ.๒ (ปรมตฺถที.๒) ๑๗. ตึสนิปาต | ๓๙๕. ๑. ปุสฺสตฺเถรคาถาวณฺณนา
"ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม" ติ อาห. ตตฺถ กตโม ปจฺฉิมกาโล? "ตติยสงฺคีติโต ปฏฺฐาย ปจฺฉิมกาโล" ติ เกจิ, ตํ เอเก นานุชานนฺติ.
สาสนสฺส หิ ปญฺจยุคานิ วิมุตฺติยุคํ, สมาธิยุคํ, สีลยุคํ, สุตยุคํ, ทานยุคนฺติ. เตสุ ปฐมํ วิมุตฺติยุคํ, ตสฺมึ อนฺตร-หิเต สมาธิยุคํ วตฺตติ, ตสฺมิมฺปิ อนฺตรหิเต สีลยุคํ วตฺตติ, ตสฺมิมฺปิ อนฺตรหิเต สุตยุคํ วตฺตเตว.
อปริสุทฺธสีโล หิ เอกเทเสน ปริยตฺติพาหุสจฺจํ ปคฺคยฺห ติฏฺฐติ ลาภาทิกามตาย.
ยถา ปน มาติกาปริโยสานา ปริยตฺติ สพฺพโส อนฺตรธายติ, ตโต ปฏฺฐาย ลิงฺคมตฺตเมว อวสิสฺสติ, ตทา ยถา ตถา ธนํ สํหริตฺวา ทานมุเข วิสฺสชฺเชนฺติ, สา กิร เนสํ จริมา สมฺมาปฏิปตฺติ. ตตฺถ สุตยุคโต ปฏฺฐาย ปจฺฉิม-กาโล, "สีลยุคโต ปฏฺฐายา"ติ อปเร.
@@@@@@@
เอวํ เถโร ปจฺฉิเม กาเล อุปฺปชฺชนกํ มหาภยํ ทสฺเสตฺวา ปุน ตตฺถ สนฺนิปติต-ภิกฺขูนํ โอวาทํ ททนฺโต "ปุรา อาคจฺฉเต "ติอาทินา ติสฺโส คาถา อภาสิ. ตตฺถปุรา อาคจฺฉเต เอตนฺติ เอตํ มยา ตุมฺหากํ วุตฺตํ ปฏิปตฺติอนฺตรายกรํ อนาคตํ มหาภยํ อาคจฺฉติ ปุรา, ยาว อาคมิสฺสติ, ตาวเทวาติ อตฺโถ. สุพฺพจาติ วจนกฺขมา โสวจสฺสการเกหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคตา, ครูนํ อนุสาสนิโย ปทกฺขิณคฺคาหิโน โหถาติ อตฺโถ. สขิลาติ มุทุหทยา.
เมตฺตจิตฺตาติ สพฺพสตฺเตสุ หิตูปสํหารลกฺขณาย เมตฺตาย สมฺปยุตฺตจิตฺตา. การุณิกาติ กรุณาย นิยุตฺตา ปเรสํ ทุกฺขาปนยนาการวุตฺติยา กรุณาย สมนฺนาคตา. อารทฺธวีริยาติ อกุสลานํ ปหานาย กุสลานํ อุปสมฺปทาย ปคฺคหิตวิริยา. ปหิตตฺตาติ นิพฺพานํ ปฏิเปสิตฺจิตฺตา. นิจฺจนฺติ สพฺพกาลํ. ทฬฺหปรกฺกมาติ ถิรวิริยา. ปมาทนฺติ ปมชฺชนํ กุลสานํ ธมฺมานํ อนนุฏฺฐานํ อกุสเลสุ จ ธมฺเมสุ
จิตฺตโวสฺสคฺโค. วุตฺตํ หิ :- "ตตฺถ กตโม ปมาโท, กายทุจฺจริเต วา วจีทุจฺจริเต วา มโนทุจฺจริเต วา ปญฺจสุ วา กามคุเณสุ จิตฺตสฺส โวสฺสคฺโค โวสฺสคฺคานุปฺปทาน, กุสลานํ ธมฺมานํ ภาวนาย อสกฺกจฺจกิริยตา" ติอาทิ.
@@@@@@@
อปฺปมาทนฺติ อปฺปมชฺชนํ, โส ปมาทสฺส ปฏิปกฺขโต เวทิตพฺโพ. อตฺถโต หิ อปฺปมาโท นาม สติยา อวิปฺปวาโส, อุปฏฺฐิตาย สติยา เอว เจตํ นามํ. อยํ เหตฺถ อตฺโถ:- ยสฺมา ปมาทมูลกา สพฺเพ อนตฺถา,
อปฺปมาทมูลกา จ สพฺเพ อตฺถา, ตสฺมา ปมาทํ ภยโต อุปทฺทวโต ทิสฺวา อปฺปมาทญฺจ เขมโต อนุปทฺทวโต ทิสฺวา อปฺปมาทปฏิปตฺติยา สิขาภูตํ สีลาทิกฺขนฺธตฺตยสงฺคหํ สมฺมา-ทิฏฺฐิอาทีนํ อฏฺฐนฺนํ องฺคานํ วเสน อฏฺฐงฺคิกํ อริยมคฺคํ ภาเวถ, อมตํ นิพฺพานํ ผุสนฺตา สจฺฉิกโรนฺตา อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปาเทถ, ทสฺสนมคฺคมตฺเต อฏฺฐตฺวา อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ อุปฺปาทนวเสน วฑฺเฒถ, เอวํ โว อปฺปมาทภาวนา สิขาปตฺตา ภวิสฺสตีติ.
เอวํ เถโร สมฺปตฺตปริสํ โอวทติ. อิมา เอว จิมสฺส เถรสฺส อญฺญาพฺยากรณ-คาถา อเหสุนฺติ.
ปุสฺสตฺเถรคาถาวณฺณนา นิฏฺฐิตา.
อรรถกถาปุสสเถรคาถา(ยกมาแสดงบางส่วน) พระเถระเมื่อจะแสดงถึงกาลนั้นนั่นแหละโดยสรุป จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ดังนี้. ก็ปัจฉิมกาลในคำนั้นเป็นไฉน? อาจารย์บางพวกตอบว่า ตั้งแต่ตติยสังคายนามา จัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์บางพวกไม่รู้คำนั้นเลย จริงอยู่ ยุคแห่งพระศาสนามี ๕ ยุค คือวิมุตติยุค สมาธิยุค ศีลยุค สุตยุคและทานยุค.
บรรดายุคเหล่านั้น ยุคแรกจัดเป็นวิมุตติยุค, เมื่อวิมุตติยุคนั้นอันตรธานแล้ว สมาธิยุคก็เป็นไป, แม้เมื่อสมาธิยุคนั้นอันตรธานแล้ว ศีลยุคก็เป็นไป, แม้เมื่อศีลยุคนั้นอันตรธานแล้ว สุตยุคก็เป็นไปทีเดียว.
ก็ผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ประคับประคองปริยัตติธรรมและพาหุสัจจะให้ดำรงอยู่ได้ โดยอย่างเดียวหรือสองอย่าง เพราะค่าที่ตนมุ่งถึงลาภ เป็นต้น.

ก็ในคราวใด ปริยัตติธรรมมีมาติกาเป็นที่สุดย่อมอันตรธานไปทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาจักเหลือก็เพียงเพศเท่านั้น ในคราวนั้นคนทั้งหลายจะพากันรวบรวมเอาทรัพย์ตามมีตามได้แล้ว เสียสละโดยมุ่งให้ทาน,
เล่ากันว่า การปฏิบัตินั้นจัดเป็นสัมมาปฏิบัติครั้งสุดท้ายของคนเหล่านั้น. บรรดายุคเหล่านั้น ตั้งแต่สุตยุคมาจัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า ตั้งแต่ศีลยุคมาจึงจัดเป็นปัจฉิมกาลก็มี.
@@@@@@@
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรา อาคจฺฉเต เอตํ ความว่า ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติที่เรากล่าวแล้วแก่พวกท่านทั้งหลายนั้น ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน คือ จักมาจนถึงในกาลนั้นนั่นแล
บทว่า สุพฺพจา ได้แก่ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ คือประกอบพร้อมด้วยธรรมอันกระทำให้เป็นผู้ว่าง่าย. อธิบายว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในคำสั่งสอนของครูทั้งหลาย คือมีปกติรับโอวาทเบื้องขวา.
บทว่า สขิลา ได้แก่ มีใจอ่อนโยน. บทว่า เมตฺตจิตฺตา ได้แก่ มีจิตประกอบพร้อมด้วยเมตตามีอันนำประโยชน์เข้าไปให้สัตว์ทั้งปวงเป็นลักษณะ. บทว่า การุณิกา ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยกรุณา คือประกอบพร้อมแล้วด้วยความกรุณา มีการประพฤติปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์เหล่าอื่น.
บทว่า อารทฺธวีริยา ได้แก่ มีความเพียร เพื่ออันละเสียซึ่งอกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม. บทว่า ปหิตตฺตา ได้แก่ มีจิตอันส่งตรงไปเฉพาะพระนิพพาน. บทว่า นิจฺจํ ได้แก่ ตลอดกาลทั้งปวง. บทว่า ทฬฺหปรกฺกมา ได้แก่ มีความเพียรมั่นคง. บทว่า ปมาทํ ได้แก่ ความประมาท คือการไม่ตั้งไว้ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย. สมดังที่ตรัสไว้ว่า :- "ในข้อนั้น ความประมาทเป็นไฉน, การปล่อยจิตไป การตามเพิ่มให้ซึ่งความปล่อยจิตในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต หรือในกามคุณ ๕ หรือการทำการบำเพ็ญกุศลธรรมโดยไม่เคารพ ดังนี้เป็นต้น."
บทว่า อปฺปมาทํ ได้แก่ ความไม่ประมาท, ความไม่ประมาทนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยตรงกันข้ามจากความประมาทเถิด. ก็โดยความหมาย ชื่อว่าความไม่ประมาท ก็คือการไม่อยู่ปราศจากสติ, และคำนั้นเป็นชื่อของการเข้าไปตั้งสติไว้มั่นคง.
@@@@@@@
จริงอยู่ ในข้อนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้
เพราะสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมีความประมาทเป็นมูล และสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมีความไม่ประมาทเป็นมูล
ฉะนั้น ท่านทั้งหลายพึงเห็นความประมาทโดยความเป็นภัย คือโดยความเป็นอุปัทวะแล้ว และพึงเห็นความไม่ประมาทโดยความปลอดภัย คือ โดยไม่มีอุปัทวะแล้ว พึงเจริญอัฏฐังคิกมรรค คืออริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้นที่สงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ มีศีลขันธ์เป็นต้น อันเป็นยอดแห่งข้อปฏิบัติ ด้วยความไม่ประมาทเถิด, ท่านจะถูกต้อง คือกระทำให้แจ้ง ซึ่งอมตธรรมได้แก่พระนิพพานให้เกิดขึ้นในสันดานของตนได้, ครั้นเข้าถึงทัสสนมรรค (โสดาปัตติมรรค) แล้วก็เจริญด้วยการทำมรรค ๓ เบื้องบนให้บังเกิดขึ้นอีก ท่านบำเพ็ญภาวนาจักถึงที่สุดยอดได้ก็ด้วยความไม่ประมาทด้วยประการฉะนี้แล.
พระเถระกล่าวสั่งสอนบริษัทที่ถึงพร้อมแล้วอย่างนี้แล. ก็คาถาพยากรณ์ความเป็นพระอรหัตเหล่านี้ทั้งหมดได้มีแล้วแก่พระเถระนี้แล.
จบอรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ ๑ _______________________________________ อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติงสนิบาต, ๑. ปุสสเถรคาถา อรรถกถาเถรคาถา ติงสนิบาต, อรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ ๑ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=395ขอบคุณภาพจาก pinterest
|
|
|
27
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปัญจอันตรธาน
|
เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2025, 07:41:13 am
|
. ปัญจอันตรธาน ความเชื่อเรื่องพระพุทธศาสนา จะมีอายุได้แค่ 5 พันปี มาจากมหายานครับ ฝ่ายหีนยาน ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่าเถรวาท เผลอรับเอามาเมื่อไหร่ ไม่มีคนบันทึกไว้
พระนักเทศน์รุ่นเก่า ก่อนเทศน์ท่านบอกศักราช วันนั้น เดือนนั้น พ.ศ.เท่านั้น และจะยังคงเหลือปีอีกเท่านั้น
การบอกศักราช เหมือนบอกวันเวลา เตือนสติญาติโยมว่า ยิ่งนับวัน เวลาก็ยิ่งเหลือน้อย ให้เร่งทำบุญ ก่อนที่จะไม่เหลือเวลาให้ทำบุญ
จนเมื่อ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงจัดระบอบสังฆมณฑลตามวิธีใหม่ จึงทรงเปลี่ยนวิธีบอกศักราช ให้เลิกเรื่องพุทธกาล 5 พันปี เสียที เพราะไม่มีแก่นสารอันใด
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พุทธศาสนาจะเจริญหรือจะเสื่อม ก็เพราะบุคคล 4 จำพวก คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
พ.ศ.2500 มีคนรื้อฟื้นเรื่องกึ่งพุทธกาล ขึ้นมาพูดกันอีก ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล สงสัยก็กราบเรียนถาม พระนิรันตรญาณมุนี วัดเทพศิรินทร์ ท่านเจ้าคุณถวายวิสัชนามาเป็นหนังสือชื่อ สารัตถสังคหะ
@@@@@@@
หนังสือเล่มนั้น มีเรื่อง ปัญจอันตรธาน คือความเสื่อม 5 ประการ
1. ปริยัติอันตรธาน คือ ความรู้เสื่อม 2. ปฏิบัติอันตรธาน ความประพฤติเสื่อม 3. ปฏิเวธอันตรธาน ความหลุดพ้นเสื่อม 4. ลิงคอันตรธาน ความเป็นระเบียบเสื่อม 5. ธาตุอันตรธาน การมีวัตถุธาตุต่างๆเสื่อม
1. ปริยัติอันตรธานนั้น ถ้าพระสงฆ์ไม่เอาใจใส่เล่าเรียนพระไตรปิฎกแล้ว ความรู้ก็จะเสื่อม ความรู้เสื่อมจะเริ่มแต่ปลายมาต้น คือ พระอภิธรรมจะเสื่อมก่อน พระวินัยจะเสื่อมตาม แล้วในที่สุดพระสูตรก็จะเสื่อมสูญ
2. ปฏิบัติเสื่อม ถ้าต่อไปพระสงฆ์ไม่รู้จักปฏิบัติวิปัสสนาธุระ จนเกิดมรรคผลได้แล้ว ก็จะรักษาได้แต่ศีลอย่างเดียว แล้วก็จะค่อยๆเสื่อมลงทุกทีๆ จนปฏิบัติอันตรธาน
3. ปฏิเวธ...นั้น ถ้าไม่มีพระอรหันต์แม้เพียงขั้นต้นคือโสดาบัน แล้ว ก็แปลว่า ปฏิเวธอันตรธาน
4. ลิงคอันตรธาน ความประพฤติของพระสงฆ์ ถ้าไม่สำรวมให้สมกับความนับถือของคน เช่น กิริยาหลุกหลิกไม่เรียบร้อย นุ่งห่มสีต่างๆ ตามชอบใจเมื่อใด เมื่อนั้นลิงคอันตรธานก็จะเกิดขึ้น
ข้อนี้เอง ที่ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่า ต่อไปพระสงฆ์จะมีแต่ผ้าเหลืองห้อยหู
5. ธาตุอันตรธาน เมื่อสิ่งทั้งปวงเสื่อมสูญไปแล้ว ธาตุทั้งหลาย แม้จะเป็นสถานที่สักการบูชา ก็จะไม่มี เพราะเหลืออยู่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
@@@@@@@
หนังสือเล่มนี้ บอกว่า พระนันทาจาริยาเจ้าแห่งลงกา เป็นผู้อธิบายไว้ ไทยเราคงได้คตินี้มา ถ้าอ่านด้วยการพิจารณาก็จะเห็นได้ว่า เป็นการทำนายด้วยเหตุผล ถ้าเป็นเช่นนั้น จะเกิดผลเช่นนั้น
ม.จ.หญิงพูนพิศมัยท่านว่า ถ้าเรากล้าพอจะสู้ความจริง ก็จะเห็นว่า คำที่พระลังกาทำนาย ได้เกิดขึ้นแล้วไม่ใช่น้อยๆ ในนามของอุบาสกอุบาสิกา
ขอเชิญชวนให้คนไทยได้ช่วยกันเล่าเรียนให้ถูกต้องตามพุทธประสงค์ เพื่อจะได้ช่วยกันรักษาไว้ซึ่งพระบวรพุทธศาสนา อันชาวโลกโดยมากยอมยกให้ว่า ไทยมีอยู่อย่างถูกต้องมากกว่าในที่อื่นๆ
อ่านเรื่องปัญจอันตรธาน ของท่านหญิงพูนพิศมัย ก็ได้ความคิด วันนี้เป็นวันที่ 4 ของปี พ.ศ.2556 ตามความเชื่อเก่าๆเราเหลือเวลาของพุทธศาสนาน้อยลงไป
แต่ในเมืองไทย ก็ยังไม่มีวี่แวว พุทธศาสนาจะเสื่อมโทรม อันตรธาน หันไปทางไหน เห็นแต่ความรุ่งเรืองไพบูลย์
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งด้านที่รกรุงรัง และด้านที่กลั่นกรองเรียงร้อยหมดจดงดงาม หรือวัตถุสถาน แบบสงบงามเรียบง่าย หรือแบบที่ใหญ่โตโอฬาร สนองศรัทธาญาติโยม
ด้านศาสนจักร ดูไปคงไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ที่น่าห่วงก็คือด้านอาณาจักร ซีกเศรษฐกิจแนวโน้มดี และจะดียิ่งๆขึ้นไป แต่ซีกการเมืองเท่านั้น ที่ยังถอยหลังลงคลอง
โลกเขาศิวิไลซ์กันไปถึงไหนต่อถึงไหน นักการเมืองไทยยังรบกันอยู่ได้เรื่องเดียว คือเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลเพื่อช่วยคน คนเดียว.
Thank to : https://www.thairath.co.th/news/politic/3177835 ม.ค. 2556 05:00 น. | กิเลน ประลองเชิง
|
|
|
28
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วันอัฏฐมีบูชา ความศรัทธาก่อนการสูญสิ้นใน “ปฐมสมโพธิกถา”
|
เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2025, 07:25:19 am
|
. พระพุทธเจ้า ประทับสีหไสยา เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานวันอัฏฐมีบูชา ความศรัทธาก่อนการสูญสิ้นใน “ปฐมสมโพธิกถา”วันอัฏฐมีบูชา เป็นหนึ่งในวันที่ปรากฏเหตุการณ์สำคัญในพุทธศาสนา เนื่องด้วยเป็นวันคล้ายวันถวายพระเพลิงแด่พุทธสรีระพระพุทธเจ้า หลังเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ 8 วัน ซึ่งตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 (เดือนวิสาขะ) หรือวันแรม 8 ค่ำ เดือน 7 ในปีอธิกมาส ซึ่งวันอัฏฐมีบูชา พ.ศ. 2568 ตรงกับวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม
ความสำคัญของ “วันอัฏฐมีบูชา” นอกจากจะเป็นวันที่แสดงความระลึกถึงองค์พระศาสดา อีกแง่หนึ่งก็ยังเป็นการสร้างความตระหนักให้แก่บุคคลที่ยังคงมีชีวิตอยู่ให้ดำรงชีวิตโดยตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ดังปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสไว้ก่อนเสด็จปรินิพพาน เนื่องด้วยทุกสรรพสิ่งนั้นมิมีความเที่ยงแท้ สามารถกำเนิดขึ้น ดำรงอยู่และสูญสลายไปได้โดยตลอด
เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าที่พระพุทธสรีระของพระองค์ก็มีวันเสื่อมสูญ แม้จะหลงเหลือพระบรมสารีริกธาตุให้ผู้ศรัทธาได้กราบไหว้ แต่กระนั้นพระบรมสารีริกธาตุเหล่านั้นก็ย่อมมีวันที่จะสูญไปได้เช่นกัน ดังที่ได้มีการกล่าวถึงไว้ในเหตุการณ์การอันตรธานของพระบรมสารีริกธาตุ ในวรรณคดีเรื่อง ปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ 29
ปฐมสมโพธิกถา เป็นพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ ที่ทรงแปล ชำระจากต้นฉบับภาษาบาลี ซึ่งต้นฉบับนี้มิได้มีการระบุให้ทราบว่าใครเป็นผู้แต่ง หรือแจ้งว่าแต่งตั้งแต่เมื่อใด ทราบเพียงแค่มีต้นฉบับอยู่เพียง 2 ฉบับ มีเนื้อหาอยู่ 22 ตอน
@@@@@@@
เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนำมาชำระใหม่ ได้มีการตัดบางเรื่องออกและเขียนเพิ่มเสริมลงไป จึงทำให้ปฐมสมโพธิกถานี้ มีทั้งสิ้น 29 ตอน หรือ 29 ปริเฉท
เหตุที่ ปฐมสมโพธิกถา ซึ่งถือได้ว่าเป็นคัมภีร์ที่ให้ความรู้ในเรื่องของพระพุทธเจ้าและพุทธศาสนา ได้รับการยกย่องเป็น “วรรณคดีในประเภทพระพุทธศาสนา” เนื่องด้วยภาษาที่ใช้ในพระนิพนธ์นั้น เป็นภาษาที่ได้มีการขัดเกลา เลือกสรรมาแล้วเป็นอย่างดี ทำให้เกิดความไพเราะจับใจแก่ผู้อ่าน ทั้งยังเป็นประโยชน์ในแง่ของการให้ความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปฐมสมโพธิกถา เป็นหนึ่งในวรรณคดีที่มีคุณค่ามากเรื่องหนึ่ง
ในจำนวน 29 ตอน หรือ 29 ปริเฉทนั้น จะมีอยู่ปริเฉทหนึ่งที่กล่าวถึงการเสื่อมสูญ 5 ประการ อันประกอบไปด้วย ความเสื่อมสูญแห่งปริยัติ 1 ความเสื่อมสูญแห่งปฏิบัติ 1 ความเสื่อมสูญแห่งปฏิเวธ 1 ความเสื่อมสูญแห่งเครื่องหมายภิกษุสงฆ์ 1 และ ความเสื่อมสูญแห่งพระบรมสารีริกธาตุ 1
เรื่องที่ปรากฏใน ปริเฉทที่ 29 อันตรธานปริวรรต อันเป็นปริเฉทสุดท้ายนั้น จะกล่าวถึงการเสื่อมสูญ 5 ประการ ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลังการถวายพระเพลิงพุทธสรีระของพระพุทธเจ้าได้เป็นระยะเวลานานแล้ว โดยจะมีการเกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับขั้น ใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากจึงจะถึงยังขั้นสุดท้ายที่เป็นการอัตรธานหมดสิ้นซึ่งทุกสิ่ง “โทณพราหมณ์จัดแบ่งพระบรมธาตุ” จิตรกรรมฝาผนังวัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯภายหลังจากถวายพระเพลิงพุทธสรีระของพระพุทธเจ้าแล้ว “โทณพราหมณ์” ก็ได้จัดแบ่งพระบรมธาตุออกเป็น 8 ส่วนเท่าๆกัน มอบให้แด่กษัตริย์ เจ้าผู้ครองนครต่างๆที่ได้มาอัญเชิญไปบูชา แต่ก็มีบางส่วนที่ไปอยู่ภายในเมืองเทวดา พรหม และนาคด้วยเช่นกัน
ทว่าต่อมา “พระมหากัสสปเถระ” เกรงว่าพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ยังนครต่างๆ ในอนาคตอาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ จึงปรึกษากับ “พระเจ้าอชาตศัตรู” อัญเชิญพระธาตุจากเมืองต่างๆ มารวมกันด้วยฤทธิ์ แล้วนำไปประดิษฐานยังเจดีย์ที่พระเจ้าอชาตศัตรูสร้าง
กระทั่งพระศาสนาได้ล่วงไป 218 ปี ถึงรัชสมัยของ “พระเจ้าธรรมาโศกราช” หรือ “พระเจ้าอโศก” พระองค์นั้นทรงมีศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงสร้างพระเจดีย์ไว้ทั่วชมพูทวีปและทรงต้องการที่จะได้พระบรมธาตุมาประดิษฐาน จึงได้ออกค้นหาอยู่นานจนพบในที่สุด และได้ทรงจัดสมโภชพระบรมธาตุตามที่ตั้งพระทัยไว้ พระบรมสารีริกธาตุจึงยังคงดำรงอยู่ควบคู่ไปกับความศรัทธาที่มีมาอย่างยาวนานผ่านหลายยุคหลายสมัย
@@@@@@@
ด้วยระยะเวลาที่ผันผ่านมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ในที่สุดก็บังเกิดความเสื่อมสูญขึ้น ทั้งความศรัทธา ความเชื่อต่างๆ ที่ไหลผ่านกาลเวลาจนถึงจุดที่เสื่อมสลายลง การเสื่อมสลายนั้นล้วนเป็นไปตามลำดับขั้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงขั้นท้ายสุดที่มนุษย์นั้นไร้ซึ่งความศรัทธาในพุทธศาสนาแล้ว พระบรมสารีริกธาตุก็จะมารวมกันและเผาไหม้อัตรธานไปในที่สุด
การเสื่อมสูญที่ปรากฏนี้ จึงเป็นการสะท้อนถึงหลักธรรม “ความไม่ประมาท” “ความไม่เที่ยงแท้” ได้เป็นอย่างดีว่าสรรพสิ่งในโลกนั้นล้วนแต่ไม่จีรัง ล้วนมีความเสื่อม จนกระทั่งอันตรธานไปในที่สุด แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ยังต้องเผชิญกับความเสื่อมสูญนี้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเป็นการเสื่อมสูญทางสังขารก็ดี หรือกระทั่งความเสื่อมสลายของศรัทธา ความเชื่อในพระธรรม คำสั่งสอนก็ดี ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์คือ มีการเกิดขึ้น การคงอยู่ และการสูญไป
แม้ในช่วงของการเกิดขึ้นและคงอยู่นั้นจะมีความแตกต่างกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วปลายทางของทุกสรรพสิ่งนั้นล้วนเหมือนกันคือ “ความเสื่อมสลายและอันตรธานหายไป” พระพุทธเจ้า ประทับสีหไสยา เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานอ่านเพิ่มเติม :-
• “สนทนากับเทวดา” วัตรปฏิบัติประจำวันของ “พระพุทธเจ้า” หมายถึงกิจอะไร? • “สูกรมัททวะ” พระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า คืออะไรแน่ ?!? • “พระพุทธเจ้า” ปรินิพพานที่ใด ใช่ตามที่มหาปรินิพพานสูตรว่าไว้จริงหรือ?ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : พร่างพนานต์ ช่วงพิทักษ์ เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 6 มิถุนายน 2561 website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_17624
|
|
|
29
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 ทริคง่ายๆ จัดการความเครียดด้วยตัวเอง
|
เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2025, 07:11:47 am
|
. 5 ทริคง่ายๆ จัดการความเครียดด้วยตัวเอง"ความเครียด"เป็นสภาวะของอารมณ์ของคนที่ต้องเจอกับปัญหาต่างๆ เกิดความไม่สบายใจ วิตกกังวล รู้สึกกดดัน หลายครั้งที่เรามักจะเครียดโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะคนเรามักจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดไม่เหมือนกัน เพราะเมื่อเกิดความเครียดเราจะแสดงออกมาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และพฤติกรรม บางคนหงุดหงิดง่าย บางคนป่วยง่าย บางคนนอนไม่หลับ
วันนี้เราจะมาเผยวิธีง่ายๆ กำจัดความเครียด หากเรารู้วิธีจัดการและบรรเทาความเครียดต่างๆ เหล่านั้นได้ อย่างน้อยก็ช่วยให้เราพร้อมรับมือกับความเครียดได้มากขึ้นกันค่ะ
@@@@@@@
1. ออกกำลังกาย คลายเครียด
ถ้าเรารู้ตัวว่ากำลังเครียดอยู่ เราควรยืดเส้นสาย เดินขึ้นลงบันได เพื่อให้เราหลุดโฟกัสเรื่องเครียดบ้าง และออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายปลดปล่อยสารเคมีที่ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนความสุขออกมา อาจจะไม่ต้องถึงขั้นออกกำลังกายอย่างหนัก แค่เดินเล่น ขยับร่างกายนิดๆ หน่อยๆ ก็ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและสบายตัวมากขึ้นแล้ว
2. นั่งสมาธิ ฝึกจิต ลดเครียด
การจมอยู่กับความเครียดอาจทำให้เราไม่อยากทำอย่างอื่นเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาง่ายๆ เมื่อรู้สึกวิตกกังวลมากเกินไป ลองฝึกสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระ ฝึกกำหนดลมหายใจ จะช่วยให้เราสามารถคิดและพิจารณาสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีสติ ช่วยลดความวุ่นวายในใจ และช่วยให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่แย่ได้อย่างมีความสุข
3. จัดสรรเวลาในชีวิตประจำวัน
ใครๆ ก็อยากมี Work Life Balance ที่นอกจากจะจัดสรรเวลาการทำงานได้แล้ว ก็ยังสามารถจัดการเวลาชีวิตส่วนตัวได้อีกด้วย หลังจากนั้นควรจะหยุดคิดเรื่องงาน ไม่ควรนำงานไปทำในขณะที่ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ให้โฟกัสเรื่องครอบครัว นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นี่เป็นอีกวิธีที่จัดการกับความเครียด และช่วยให้เรามีความสมดุลและความสุขในการใช้ชีวิต
4. ผ่อนคลายด้วยการดูหนัง ฟังเพลง
เราต้องเอาตัวเองออกมาจากความเครียดก่อน เช่น การนอนดูหนัง ฟังเพลงสบายๆ หรือออกไปหากิจกรรมทำ ดีกว่านั่งจมกับความคิดเครียดๆ นอกจากจะช่วยให้สมองปลอดโปร่งแล้ว อาจจะทำให้เรากลับมาคิดแก้ไขปัญหาหรือเรื่องที่เราเครียดอยู่ได้อีกด้วย 5. ปรับเปลี่ยนความคิด
เมื่อเราตกอยู่ในความวิตกกังวลมากๆ มันอาจกลายเป็นความเครียดสะสม จนส่งผลให้เรารู้สึกทุกข์ใจ วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้คือลองปรับมุมมองของเรา โดยการมองเห็นปัญหาในมุมมองอื่นๆ อาจจะช่วยให้เราเห็นและแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น รวมถึงการยอมรับความผิดพลาดของเรา และตั้งใจที่จะแก้ไขมัน อาจจะทำให้เราหายเครียด รวมถึงไม่รู้สึกทุกข์ใจได้เร็วขึ้นขอขอบคุณ :- บทความสุขภาพ : 5 ทริคง่ายๆ จัดการความเครียดด้วยตัวเอง | โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ https://www.princsuvarnabhumi.com/articles/5-simple-tricks-to-manage-stress-yourself
|
|
|
30
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โรคอารมณ์สองขั้ว หรือ ไบโพลาร์ (Bipolar Disorder)
|
เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2025, 07:04:35 am
|
. โรคอารมณ์สองขั้ว หรือ ไบโพลาร์ (Bipolar Disorder)เคยรู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์แปรปรวน อารมณ์ร้าย สลับกับอารมณ์ดี จนส่งผลกระทบต่อการทำงาน หรือกระทบกับความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้างบ้างไหม ? เคยสงสัยไหมว่าอาการแบบนี้ถือว่าเป็นโรคไบโพลาร์หรือไม่ หายเองได้ไหม ต้องไปหาหมอหรือเปล่า ? บทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับโรคไบโพลาร์ให้มากขึ้น
โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว (bipolar disorder) คืออะไร ?
“โรคไบโพล่าร์” (Bipolar Disorder) หรือโรคอารมณ์สองขั้ว คือโรคความผิดปกติทางอารมณ์แบบหนึ่งที่เกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุล ทำให้ผู้ป่วยเกิดการแสดงออกของอารมณ์ที่ผิดปกติเป็นสองขั้ว คือ ซึมเศร้ามาก และคึกคักพุ่งพล่านมาก จึงเรียกโรคโบโพล่าร์ว่า “โรคอารมณ์สองขั้ว” ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวสนุกเดี๋ยวซึม อย่างที่หลาย ๆ คนชอบเข้าใจกัน
จากการศึกษาพบผู้ป่วยไบโพลาร์มากถึง 1.5-5 % ของประชาชนทั่วไป พบผู้ป่วยบ่อยที่สุดในช่วงอายุ 15-19 ปี และอายุ 20-24 ปี โดยผู้ป่วยมีอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี มากถึง 50% โดยไบโพล่าเกิดจาก สาเหตุดังนี้
1. ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ได้แก่ สารนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) สารเซโรโทนิน (Serotonin) และสารโดปามีน (Dopamine) ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์
2. พันธุกรรม ปัจจุบันยังไม่ทราบรูปแบบที่ชัดเจนของการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ แต่พบผู้ป่วยมักมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคไบโพลาร์เช่นเดียวกัน
3. วิกฤตชีวิต เช่น สูญเสียคนรัก ตกงาน เครียดเรื้อรัง หรือเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์อย่างรุนแรง อาการอย่างไรจึงจะเรียกว่าไบโพล่าร์ ?
ผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์มักจะไม่รู้ตัวเองในช่วงที่เป็น เพราะอาการของไบโพล่าร์มี 2 ระยะ คือ
ระยะแมเนีย (Manic Episode) ผู้ป่วยจะมีความมั่นใจในตัวเอง คิดเร็ว ทำเร็ว ทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย นอนน้อยลง ใช้เงินฟุ่มเฟือย ทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง ลงทุนแบบไม่ยั้งคิดจนอาจก่อหนี้สินมากมาย ก้าวร้าว มักก่อเรื่องทะเลาะวิวาท เช่น
- รู้สึกคุณค่าตัวเองสูงเกินจริง บางครั้งคิดว่าตนเองเป็นใหญ่ - ไม่หลับไม่นอน กระสับกระส่าย อยู่ไม่สุข - พูดมาก พูดไม่หยุด - คิดฟุ้งซ่าน จะทำโน่นทำนี่ คิดทำการใหญ่โต - วุ่นวาย กิจกรรมมาก อาจใช้จ่ายผิดปกติมาก - สัมพันธภาพกับผู้อื่นเสีย
ระยะซึมเศร้า (Depressive Episode) ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ซึมเศร้า เบื่อหน่าย ท้อแท้ ไม่อยากทำอะไร ขาดสมาธิ แยกตัว อยากอยู่นิ่ง ๆ อยากนอนทั้งวัน หรืออาจมีอาการนอนไม่หลับ บางครั้งกินมากหรือเบื่ออาหาร รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า อาจมีความคิดอยากฆ่าตัวตายเกิดขึ้น เช่น
- หมดความสนใจและความเพลิดเพลินลงมาก - เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก ใน 1 เดือน - ไม่หลับหรือหลับมากไป - อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง - รู้สึกผิดหรือไร้ค่า ร้องไห้ง่าย - สมาธิลดลง ลังเลใจ ตัดสินใจอะไรไม่ได้ - คิดอยากตาย หรือการฆ่าตัวตาย
@@@@@@@
โรคไบโพล่าร์รักษาถูกทาง ก็หายได้
เนื่องจากนี่เป็นโรคที่เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองผิดปกติ การรักษาไบโพล่าร์หลัก ๆ จึงจำเป็นต้องได้รับยาโดยแพทย์จะให้ทานยาเพื่อปรับอารมณ์ให้คงที่ขึ้นอยู่กับชนิดของไบโพล่าร์ที่ผู้ป่วยเป็น แต่สิ่งสำคัญที่ควรทำควบคู่กันเพื่อผลดีในระยะยาวคือการทำจิตบำบัด หรือกิจกรรมบำบัด เพราะจิตแพทย์จะสามารถค้นหาว่าอะไรคือสาเหตุที่ผู้ป่วยเกิดโรคไบโพล่าร์นอกเหนือจากกรรมพันธุ์ และจิตแพทย์ยังสามารถแนะนำวิธีดูแลผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ให้กับครอบครัวหรือคนใกล้ชิดในการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยได้อีกด้วย
ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ และที่สำคัญที่สุดคือการทานยารักษาอย่างต่อเนื่อง ห้าม หยุดยาเอง หรือลดยาโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้โรครุนแรงกว่าเดิม และต้องเริ่มกระบวนการรักษาใหม่ตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าป่วยควรหันมาดูแลตัวเอง ห้ามอดนอน ควบคุมเวลานอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง พยายามหาวิธีแก้ปัญหา ลดความเครียด และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟ ห้ามใช้สารเสพติด สุรา ร่วมด้วย
โรคอารมณ์สองขั้ว หรือ ไบโพลาร์ คือโรคความผิดปกติทางอารมณ์แบบหนึ่งที่เกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุล จำเป็นต้องได้รับยาโดยแพทย์ แต่สิ่งสำคัญที่ควรทำควบคู่กันเพื่อผลดีในระยะยาวคือการทำจิตบำบัด หรือกิจกรรมบำบัด การรับมือกับการที่มีคนในบ้านเป็นไบโพลาร์ ครอบครัวและคนไกล้ตัวจึงสำคัญมาก สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ไบโพลาร์นั้นเป็นเพียงอาการป่วยรูปแบบหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ผู้ที่ป่วยไม่ได้แปลว่าเป็นบ้าหรือน่ารังเกียจ โดยโรคไบโพลาร์นี้สามารถรักษาให้หายได้ และผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้อย่างมีความสุขค่ะ ขอขอบคุณ :- ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข กรมสุขภาพจิต บทความสุขภาพ โรคอารมณ์สองขั้ว หรือ ไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ https://www.princsuvarnabhumi.com/articles/content-bipolar-disorder
|
|
|
31
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รัฐล้มเหลว (failed state) คืออะไร.?
|
เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2025, 01:04:13 pm
|
. รัฐล้มเหลว (failed state) คืออะไร.?รัฐล้มเหลว (failed state) หมายถึง รัฐที่ขาดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ทางด้านความมั่นคงขั้นพื้นฐาน และการพัฒนาประเทศ เช่น ความสามารถในการธำรงรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยภายใน ประกอบกับการบริหารปกครองประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
รัฐล้มเหลวมีลักษณะทั่วไป คือ รัฐที่มีรัฐบาลแต่ไม่สามารถ - จัดเก็บภาษี - บังคับใช้กฎหมาย - รับประกันความมั่นคง - ควบคุมเขตแดน - จัดสรรเจ้าหน้าที่ทั้งในทางการเมืองหรือทางแพ่ง และ - การบำรุงรักษาไว้ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานใด ๆ ได้
เมื่อปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น ก็จะมีแนวโน้มที่ส่งผลให้ - เกิดการทุจริต - การก่ออาชญากรรม - การแทรกแซงของผู้มีอิทธิพลทั้งในภาครัฐและเอกชน - เกิดการลี้ภัยอพยพย้ายถิ่นฐานโดยไม่สมัครใจ - ความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และ - การแทรกแซงทางการทหารจากทั้งภายในและภายนอกรัฐตามมา
@@@@@@@
คำ ๆ นี้เริ่มปรากฎให้เห็นช่วงคริสตทศวรรษที่ 1990 เพื่ออธิบายสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในประเทศโซมาเลีย หลังจากการรัฐประหารโค่นล้มอำนาจ ไซอัด บาร์รี (Siad Barre) ที่เป็นผู้นำเผด็จการใน ค.ศ. 1991 ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ภายในประเทศ
ในช่วงต้น ค.ศ. 2020 ซีเรีย ซูดาน ซูดานใต้ โซมาเลีย พม่า มาลี เยเมน ลิเบีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก สาธารณรัฐแอฟริกากลาง อัฟกานิสถาน และ เฮติ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่เป็นรัฐล้มเหลว
ขณะที่ เลบานอน กับ แอฟริกาใต้ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่สุ่มเสี่ยงเป็นรัฐล้มเหลวในอนาคต ฯ
ตัวชี้วัดอย่าง "ดัชนีรัฐล้มเหลว" ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่ออธิบายถึงระดับความสามารถในการบริหารปกครองประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพิจารณาว่า รัฐนั้นเป็นรัฐล้มเหลวหรือไม่อย่างไร
ในปี ค.ศ. 2023 กองทุนเพื่อสันติภาพ ซึ่งเป็นองค์กรที่วิจัยปรากฎการณ์ในด้านนี้ได้ระบุว่ามี 12 ประเทศที่ถูกจัดหมวดหมู่ใน "ดัชนีรัฐเปราะบาง" ให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่สุ่มเสี่ยงเป็นรัฐล้มเหลวมากที่สุด การกำหนดให้รัฐใดนั้น "ล้มเหลว" อาจเป็นการตัดสินใจที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และมีผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
@@@@@@@
คำนิยามและประเด็นปัญหา
คำว่า "รัฐล้มเหลว" ถือกำเนิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1990 ท่ามกลางบริบทของสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในประเทศโซมาเลีย หลังจากการรัฐประหารโค่นล้มอำนาจผู้นำเผด็จการ ไซอัด บาร์รี (Siad Barre) ใน ค.ศ. 1991
วลีดังกล่าว ได้รับความสนใจจากสื่อในช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าแทรกแซงสถานการณ์ใน โซมาเลีย เมื่อปี ค.ศ.1992 เพื่อใช้แสดงออกถึง ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อำนาจอธิปไตยของกลุ่มประเทศยากจนจะล่มสลาย จนไปสู่สภาวะอนาธิปไตยหลังยุคสิ้นสุดของสงครามเย็น
ดังที่ โรเบิร์ต แคปแลน (Robert David Kaplan) ได้นำเสนอเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบใน ไลบีเรีย และ เซียร์ราลีโอน ซึ่งเป็นการเตือนภัยให้เห็นเกี่ยวกับ "อนาธิปไตยที่กำลังจะเกิดขึ้น" ในหลาย ๆ ประเทศ หลายภูมิภาค ทั่วโลก
ในทฤษฎีการเมืองของ มัคส์ เวเบอร์ (Max Weber) รัฐที่ทำหน้าที่รักษาและผูกขาดอำนาจในการใช้ความรุนแรงอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้ขอบเขตอำนาจอธิปไตยของตน เมื่ออำนาจดังกล่าวพังทลายลง (เช่น ผ่านการมีอยู่ของ พวกขุนศึก กองกำลังกึ่งทหาร ตำรวจที่ทุจริต องค์กรติดอาวุธ หรือ กลุ่มผู้ก่อการร้าย) การดำรงอยู่ของรัฐจะกลายเป็นที่น่าสงสัย และรัฐก็กลายเป็น รัฐล้มเหลว
ความยากลำบากในการพิจารณาว่า รัฐบาลรักษา "การผูกขาดการใช้กำลังโดยชอบด้วยกฎหมาย" ซึ่งรวมถึงปัญหาของคำจำกัดความของ "ชอบด้วยกฎหมาย" หรือไม่ หมายความว่ายังไม่ชัดเจนว่ารัฐสามารถกล่าวได้ว่า "ล้มเหลว" เมื่อใด ปัญหาความชอบธรรมสามารถแก้ไขได้ด้วยการทำความเข้าใจว่าเวเบอร์ตั้งใจอะไร
@@@@@@@
เวเบอร์อธิบายว่า มีเพียงรัฐเท่านั้นที่มีปัจจัยการผลิตที่จำเป็นสำหรับความรุนแรงทางร่างกาย ซึ่งหมายความว่ารัฐไม่ต้องการความชอบธรรมในการบรรลุการผูกขาดในการใช้ความรุนแรง ( โดยพฤตินัย ) แต่จะจำเป็นต้องมีหากจำเป็น (โดยนิตินัย)
โดยทั่วไปแล้ว คำนี้หมายความว่า รัฐไม่มีประสิทธิภาพ และไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายของตนได้อย่างเท่าเทียมกัน หรือจัดหาสินค้าและบริการขั้นพื้นฐานแก่พลเมืองของตนได้ ข้อสรุปว่า สถานะล้มเหลวหรือล้มเหลว สามารถสรุปได้จากการสังเกตลักษณะต่างๆ และการรวมกันดังกล่าว
ตัวอย่างของลักษณะดังกล่าว รวมถึง - แต่ไม่จำกัดเฉพาะ - การมีอยู่ของการก่อ ความไม่สงบ การทุจริตทางการเมือง ที่รุนแรง อัตราอาชญากรรมที่ล้นหลาม ซึ่งบ่งบอกถึงกำลังตำรวจที่ไร้ความสามารถ
ระบบราชการที่ไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ และไม่มีประสิทธิภาพ ความไร้ประสิทธิภาพของตุลาการ การแทรกแซงทางทหารในการเมือง และการรวมอำนาจ โดยผู้มีบทบาทระดับภูมิภาคในลักษณะที่เป็นคู่แข่งหรือขจัดอิทธิพลของหน่วยงานระดับชาติ
ปัจจัยการรับรู้อื่นๆ อาจเกี่ยวข้องด้วย แนวคิดที่สืบทอดมาของ "เมืองที่ล้มเหลว" ก็ได้เปิดตัวเช่นกัน โดยมีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่า แม้ว่ารัฐอาจทำงานได้โดยทั่วไป แต่การเมืองในระดับย่อยอาจล่มสลายในแง่ของโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และนโยบายทางสังคม พื้นที่หรือเมืองบางแห่งอาจอยู่นอกการควบคุมของรัฐ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐที่ไม่ได้รับการควบคุม โดยพฤตินัย ไม่มีคำจำกัดความที่สอดคล้องกันหรือเชิงปริมาณของ "สถานะล้มเหลว" อยู่ ลักษณะที่เป็นอัตนัยของตัวชี้วัดที่ใช้ในการอนุมานความล้มเหลวของรัฐได้นำไปสู่ความเข้าใจที่คลุมเครือเกี่ยวกับคำนี้
นักวิชาการบางคนมุ่งเน้นไปที่ความสามารถและประสิทธิผลของรัฐบาลในการตัดสินว่า รัฐล้มเหลวหรือไม่ ดัชนีอื่นๆ เช่น ดัชนีรัฐเปราะบาง ของกองทุนเพื่อสันติภาพ ใช้การประเมินลักษณะทางประชาธิปไตยของสถาบันของรัฐเพื่อใช้ในการพิจารณาระดับความล้มเหลวในที่สุด
นักวิชาการคนอื่นๆ มุ่งความสนใจไปที่ความชอบธรรมของรัฐ ในธรรมชาติของรัฐ ในการเติบโตของความรุนแรงทางอาญาในรัฐ ในสถาบันที่สกัดกั้นทางเศรษฐกิจ หรือ ถึงขีดความสามารถของรัฐในการควบคุมอาณาเขตของตน
@@@@@@@
Robert H. Bates กล่าวถึงความล้มเหลวของรัฐว่าเป็น "การระเบิดของรัฐ" โดยที่รัฐเปลี่ยน "เป็นเครื่องมือในการปล้นสะดม" และรัฐสูญเสียการผูกขาดโดยใช้กำลังอย่างมีประสิทธิภาพ
Charles T. Call พยายามที่จะละทิ้งแนวคิดเกี่ยวกับความล้มเหลวของรัฐโดยสิ้นเชิง โดยให้เหตุผลว่าแนวคิดนี้ส่งเสริมความเข้าใจที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความหมายของความล้มเหลวของรัฐ ในทางกลับกัน คอลกลับใช้ "กรอบการทำงานช่องว่าง" เป็นทางเลือกในการประเมินประสิทธิผลของการบริหารงานของรัฐ กรอบการทำงานนี้สร้างขึ้นจากการวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้ของเขาเกี่ยวกับแนวคิดความล้มเหลวของรัฐ ซึ่งมีการสรุปอย่างกว้างๆ มากเกินไป
คอลจึงยืนยันว่า มักใช้ทฤษฎีนี้อย่างไม่เหมาะสมเพื่ออธิบายสถานการณ์ของรัฐต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอยู่ภายใต้บริบทระดับชาติที่หลากหลายและไม่มีปัญหาที่เหมือนกัน การใช้การประเมินดังกล่าวเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบาย Call posits จะต้องรับผิดชอบต่อการกำหนดนโยบายและผลลัพธ์ที่ไม่ดี
@@@@@@@
ด้วยเหตุนี้ กรอบการทำงานที่เสนอของ Call จึงพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับความล้มเหลวของรัฐผ่านการประมวลผล "ช่องว่าง" สามประการในการจัดหาทรัพยากรที่รัฐไม่สามารถระบุได้เมื่ออยู่ในกระบวนการล้มเหลว ได้แก่ ขีดความสามารถ เมื่อสถาบันของรัฐขาดความสามารถอย่างมีประสิทธิผล ส่งมอบสินค้าและบริการขั้นพื้นฐานแก่ประชากร
การรักษาความปลอดภัย เมื่อรัฐไม่สามารถให้การรักษาความปลอดภัยแก่ประชาชน ภายใต้การคุกคามของกลุ่มติดอาวุธ และความชอบธรรมเมื่อ "ส่วนสำคัญของชนชั้นสูงทางการเมืองและสังคมของตน ปฏิเสธกฎเกณฑ์ที่ควบคุมอำนาจ และการสะสมและการกระจายความมั่งคั่ง"
แทนที่จะพยายามหาปริมาณระดับความล้มเหลวของรัฐ กรอบช่องว่างให้ขอบเขตสามมิติที่เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและสังคมในรัฐด้วยวิธีการวิเคราะห์ที่มากขึ้น การเรียกร้องไม่จำเป็นต้องแนะนำว่ารัฐที่ได้รับความเดือดร้อนจากความท้าทายของช่องว่างทั้งสามควรถูกระบุว่าเป็นรัฐที่ล้มเหลว แต่นำเสนอกรอบการทำงานเป็นทางเลือกแทนแนวคิดความล้มเหลวของรัฐโดยรวม
แม้ว่า Call จะตระหนักดีว่า แนวคิดเรื่องช่องว่างในตัวเองมีข้อจำกัด เนื่องจากรัฐมักเผชิญกับความท้าทายด้านช่องว่างตั้งแต่สองข้อขึ้นไป ข้อเสนอแนวความคิดของเขานำเสนอวิธีการที่เป็นประโยชน์สำหรับการระบุความท้าทายภายในสังคมได้แม่นยำยิ่งขึ้น และการกำหนดนโยบายที่มีแนวโน้มว่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพื่อให้ผู้มีบทบาทภายนอกและต่างประเทศนำไปปฏิบัติ
@@@@@@@
การวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางในการทำความเข้าใจแนวคิด 'รัฐที่ล้มเหลว' และใช้เพื่อแจ้งการตัดสินใจเชิงนโยบายระดับชาติและระดับนานาชาติ ได้รับการหยิบยกขึ้นมาในการวิจัยโดย Morten Bøås และ Kathleen M. Jennings จากกรณีศึกษา 5 กรณี ได้แก่ อัฟกานิสถาน โซมาเลีย ไลบีเรีย ซูดาน และบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ของไนจีเรีย
Bøås และ Jennings ให้เหตุผลว่า "การใช้ป้ายกำกับ 'รัฐที่ล้มเหลว' เป็นเรื่องการเมืองโดยเนื้อแท้ และตั้งอยู่บนพื้นฐานการรับรู้ของตะวันตกเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติตะวันตกและ ความสนใจ" พวกเขายังเสนอแนะอีกว่าผู้กำหนดนโยบายของชาติตะวันตกถือว่าป้าย "ล้มเหลว" มาจากรัฐเหล่านั้น ซึ่ง "ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เป็นทางการของรัฐถูกมองว่า เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของชาติตะวันตก"
นอกจากนี้ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความหน้าซื่อใจคดในหมู่ผู้กำหนดนโยบายของชาติตะวันตก: รูปแบบเดียวกันของการรับรู้ความผิดปกติที่นำไปสู่บางรัฐที่ถูกตราหน้าว่า ล้มเหลว กลับพบกับความไม่แยแสหรือถูกเร่งรัดโดยเจตนาในรัฐอื่น ๆ ที่ความผิดปกติดังกล่าวได้รับการประเมินว่า เป็นประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของชาติตะวันตก
ในความเป็นจริง "คุณลักษณะของการทำงานของรัฐนี้ไม่เพียงได้รับการยอมรับเท่านั้น แต่ยังได้รับการอำนวยความสะดวกในระดับหนึ่งด้วย เนื่องจากจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยสำหรับธุรกิจและทุนระหว่างประเทศ กรณีเหล่านี้ไม่ได้ถูกตราหน้าว่า 'รัฐที่ล้มเหลว '
อ่านทั้งหมดได้ที่ :- https://th.wikipedia.org/wiki/รัฐล้มเหลว ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ้ค พรรคประชาชน - People's Party https://www.facebook.com/groups/624624994798005/posts/1775498553043971/
|
|
|
32
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สัพเพ ปุถุชชนา อุมมัตตกา : “ปุถุชนทั้งหลายมีภาวะวิกลจริต”
|
เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2025, 10:40:38 am
|
แหล่งที่มา :-
วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ปีที่ 53 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2551 J Psychiatr Assoc Thailand Vol. 53 No. 3 July - October 2008
ความเข้าใจแนวพุทธเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิตใจ จําลอง ดิษยวณิช พบ., M.S. Buddhist Understanding of Mental Affliction Chamlong Disayavanish M.D., M.S.
@@@@@@@
เอกสารอ้างอิง
1. สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต (ภาษาไทย). เล่ม 21 ข้อ 157 หน้า 168. 2. de Silva P. An introduction to Buddhist psychology. 3rd ed. London: Macmillan; 2000. 3. Nyanatiloka. Buddhist dictionary: manual of Buddhist terms and doctrines. 4th rev ed. Kandy: Buddhist Publication Society; 1988. 4. Mezzich JE, Berganza CE. International psychiatric diagnosis. In: Sadock BJ, Sadock VA, editors. Comprehensive textbook of psychiatry. Vol 1. 8th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2005: 1034-52. 5. จําลอง ดิษยวณิช, พริ้มเพรา ดิษยวณิช, ความเครียด ความวิตกกังวล และสุขภาพ, เชียงใหม่: โรงพิมพ์ แสงศิลป์; 2545.
6. Edlin G, Golanty E, Brown KM. Health and wellness. London: Jones and Barlett Publishers; 1999. 7. McBride JL, Borrks AG, Pilkington L. The relationship between a patient's spirituality and health experiences. Family Medicine 1998; 30:122-6. 8. Vaillant GE, Vaillant CO. Normality and mental health. In: Sadock BJ, Sadock VA, editors. Comprehensive textbook of psychiatry. Vol 1. 8th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2005: 583-97. 9. Sadock BJ. Signs and symptoms in psychiatry. In: Sadock BJ, Sadock VA, editors. Comprehensive textbook of psychiatry. Vol 1. 8th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2005: 847-59. 10. Offer D, Sabshin M. Normality. In: Harold IK, Alfred MF, Benjamin JS, editors. Comprehensive textbook of psychiatry. Vol. 1. 3rd ed. Baltimore: Williams & Wilkins; 1980: 608-13.
11. จําลอง ดิษยวณิช, พุทธศาสนาและจิตเวชศาสตร์ 12. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรม พุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ 13 กรุงเทพฯ: บริษัทเอส.อาร์.พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์ จํากัด; 2005. 13. Sayadaw U Pandita. On the path to freedom: a mind of wise discernment and openness. Selangor (Malasia): Buddhist Wisdom Center; 1995. 14. Koster F. Liberating insight: introduction to Buddhist psychology and insight meditation. Chiang Mai: Silkworm Books; 2004. 15. Story F. (The Anagarika Sugatananda). Buddhist mental therapy. In: Nimalasuria A, editor. Buddha the healer: the mind and its place in Buddhism. Kandy: Buddhist Publication Society; 1980: 23-41.
16. Goodwin KF, Ghaemi S. Mood disorders. In: Gelder MG, Lopez-lbor JJ, Andreasen N, editors. New Oxford textbook of psychiatry. Vol. 2. New Oxford University Press; 2004; 677-82. 17. Clifford T. Tibetan Buddhist medicine & psychiatry: the diamond healing. Delhi: Motilal Banarsidass Publishers; 2001. 18. Sadock BJ, Sadock VA. Synopsis of psychiatry: behavioral sciences/clinical psychiatry. 10th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2007. 19. American Psychiatric Association. Diagnostic and statistical manual of mental disorders. 4th ed. Text revision (DSM-IV-TR). Washington, DC: American Psychiatric Association; 2000. 20. Shahrokh NC, Hales RE, editors. American psychiatric glossary. 8th ed. Washington, DC: American Psychiatric Association; 2003.
21. Venerable Mahasi Sayadaw. The great discourse on the turning of the wheel of dhamma (Dhammacakkappavattana sutta). Bangkok: Buddhadhamma Foundation; 1996. 22. Pio E. Buddhist psychology: a modern perspective. New Delhi: Abhinav Publications; 1988. 23. จําลอง ดิษยวณิช, จิตวิทยาของความดับทุกข์ เชียงใหม่ : กลางเวียงการพิมพ์ ; 2544. 24. Trungpa Chögyam. The heart of the Buddha. New Delhi: Shambhala South Asia Editions; 1999. 25. พุทธทาสภิกขุ, ธรรมบรรยายระดับมหาวิทยาลัยเล่ม 2. กรุงเทพมหานคร: การพิมพ์พระนคร, 2519.
26. Ranasinghe SM. The science and the art of Buddhism. 3d ed. Dehiwela (Sri Lanka): Global Graphics & Printing (Pvt) Ltd; 2004. 27. จําลอง ดิษยวณิช, จิตวิเคราะห์แนวพุทธเพื่อ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น, วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่ง ประเทศไทย 2535; 37:170-81. 28. Lama Anagarika Govinda. The psychological attitude of early Buddhist philosophy. 2nd ed. London: Rider & Company; 1969. 29. Fromm E. Psychoanalysis and religion. 8th ed. New York: Bantan Books; 1967. 30. Venerable U Silānanda. The four foundations of mindfulness. Boston: Wisdom Publication; 1990.
31. จําลอง ดิษยวณิช, วิปัสสนากรรมฐาน และ เชาวน์อารมณ์, พิมพ์ครั้งที่ 3. เชียงใหม่ : โรงพิมพ์ แสงศิลป์; 2006. 32. Venerable Ledi Sayadaw. The manuals of dhamma. Maharastra: Vipassana Research Institute; 1999. 33. Venerable Mahasi Sayadaw. Sallekha sutta (a discourse on the refinement of character). 2nd ed. Bangkok: Buddha dhamma Foundation; 1997.
|
|
|
33
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สัพเพ ปุถุชชนา อุมมัตตกา : “ปุถุชนทั้งหลายมีภาวะวิกลจริต”
|
เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2025, 10:23:09 am
|
โรคสามชนิด
โรค คือ สิ่งที่ตรงข้ามกับสุขภาพ โรค คือ ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับคนเรา และมีมากมายหลายอย่าง อย่างไรก็ตามโรคสามารถจําแนกออกได้ เป็นสามชนิด คือ(25-)
1. โรคทางกาย (Physical disease) มีโรค ทางร่างกายหลายอย่าง เช่น โรคตา หู จมูก ปอด หัวใจ ไต และอื่นๆ ในพุทธศาสนาสาเหตุของโรคทางร่างกาย เกิดจากความไม่สมดุลของธาตุหลักทั้งสี่ คือ ธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) ธาตุน้ํา (อาโปธาตุ) ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) และ ธาตุลม (วาโยธาตุ) การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล การ ขาดการออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ การบาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุทางร่างกาย การถ่ายทอดทางพันธุกรรม การติดเชื้อ รวมทั้งความคิดและอารมณ์(26-) โรคทางกายมักจะได้รับการรักษาโดยแพทย์ทางกาย หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขา(5-)
2. โรคทางจิต (Mental disease) บางที เรียกว่า ความแปรปรวนทางจิตใจ เป็นความเจ็บป่วยที่มีการแสดงออกทางจิตใจหรือพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับ ความทุกข์ทรมานใจและหน้าที่การงานที่เสียไป มักมี สาเหตุมาจาก ความผิดปกติทางชีวภาพ สังคม จิตใจ กรรมพันธุ์ หรือสารเคมี สามารถวัด (ประเมิน) ได้จาก การเบี่ยงเบนไปจากแนวคิดของภาวะปกติ (18-20-) โรคแต่ละ อย่างมีลักษณะเฉพาะของอาการแสดงและอาการต่างๆ
โรคทางจิตใจชนิดนี้รวมถึงโรคประสาทจิตเภทและโรคจิตอื่นๆ ความแปรปรวนทางอารมณ์ ความแปรปรวน เกี่ยวกับการปรับตัว บุคลิกภาพแปรปรวน และปัจจัย ทางจิตใจที่มีผลต่อสภาวะทางร่างกาย (แต่เดิมเรียกว่า โรคทางกายเหตุจิต) โรคชนิดนี้มักได้รับการรักษาและการจัดการโดยจิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและจิตเวชศาสตร์
3. โรคทางจิตวิญญาณ (Spiritual disease) ตามคําสอนในพุทธศาสนา โรคทางจิตวิญญาณเกิด จากอาสวะกิเลสที่หมักหมม หรืออนุสัยกิเลสซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดภายในจิตใจ กิเลสเหล่านี้ถูกเก็บ สั่งสมไว้ในจิตไร้สํานึกหรือภวังคจิต เช่น ความโลภ (โลภะ) ความโกรธ (โทสะ) และความหลง (โมหะ) ดังนั้นโรคทางจิตวิญญาณจึงเหมือนกับโรคทางใจหรือ ความผิดปกติทางจิตใจที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้
เมื่ออนุสัยกิเลสซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้าจากภายนอก หรือภายในก็จะ ลอยตัวจากจิตไร้สํานึก และมาปรากฏในจิตสํานึกกลายเป็นปริยุฏฐานกิเลสหรือกิเลสอย่างกลาง ซึ่ง บางทีเรียกว่า นิวรณ์ 5 ทําให้เกิดกามฉันทะ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุธัจจะ กกุจจะ และวิจิกิจฉา สุดท้ายนิวรณ์ 5 อาจเปลี่ยนเป็นวีติกมกิเลสหรือกิเลสอย่างหยาบ ที่แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมทางกายและทางวาจา เช่น การทําร้ายผู้อื่น การลักขโมย การประพฤติผิด ในกาม การพูดปด การพูดคําหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเพ้อเจ้อ รวมทั้งการดื่มสุราและการใช้สารเสพติด (11,21,27-)
@@@@@@@
ความจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องโรคทั้งสามอย่างไว้ ในเรื่องของทุกข์ในอริยสัจสี่ดังนี้ - โรคทางกาย ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บและความตาย - โรคทางจิตใจ ได้แก่ ความเศร้าโศก ความพิไร รําพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น - โรคทางจิตวิญญาณ ได้แก่ อุปาทานขันธ์ 5 หรือขันธ์ 5 ที่ประกอบด้วยอุปาทาน
โรคชนิดนี้สัมพันธ์กับแนวคิดของความยึดมั่นใน “อัตตา (ego)” และ “ตัวตน (self)” ซึ่งท้ายที่สุดก็จะนํา ไปสู่ความเห็นแก่ตัว(5,28-) เป็นความยึดมั่นว่ามีตัวเรา ของเรา ตัวเธอ ของเธอและสัตว์บุคคลอยู่ พูดกันจริงๆ แล้ว โรคทางจิตวิญญาณและโรคทางจิตใจ มีความสัมพันธ์ ซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด และบ่อยครั้งโรคชนิดแรก มักเป็นสาเหตุหลักของโรคชนิดหลัง เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า มีโรคอยู่สองชนิดคือ โรคทางกายและ โรคทางใจ ความหมายเดิมของโรคทางใจในคําสอนนี้ก็คือ โรคทางจิตวิญญาณนั่นเอง
ในผลงานสําคัญ เรื่อง “จิตวิเคราะห์และศาสนา” อีริค ฟรอมม์ (Erich Fromm) กล่าวว่า นักจิตวิเคราะห์ ไม่เพียงแต่เป็นแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเป็นแพทย์ทางจิตวิญญาณด้วย(27,29-) ขอบเขตของจิตวิเคราะห์ไม่จํากัด อยู่แต่เพียงการรักษาความผิดปกติทางจิตใจและจิตพยาธิวิทยา แต่ยังขยายไปสู่พัฒนาการทาง จิตวิญญาณเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
@@@@@@@
แนวปฏิบัติเชิงพุทธต่อการรักษาความผิดปกติทางจิตใจ
มีค่ากล่าวในสัจพจน์ (axiom) เป็นบาลีว่า(13,15-) “สัพเพ ปุถุชชนา อุมมัตตกา” (จากวิภังค์อรรถกถา) แปลว่า “ปุถุชนทั้งหลายมีภาวะวิกลจริต” ปุถุชน หมายถึง คนปกติหรือคนธรรมดาที่มี ภาวะปกติหรือสุขภาพจิตตามเกณฑ์เฉลี่ยในบริบทของจิตเวชศาสตร์ตะวันตก
อย่างไรก็ตามในพุทธศาสนา ปุถุชน หมายถึง สามัญชนที่ยังมีกิเลสหนา หรือผู้ที่มิได้เป็นพระอริยบุคคล มีลักษณะเฉพาะ คือ ตัณหาหรือความอยากในสิ่งต่างๆ ซึ่งตามความเชื่อของของตน จะมีเรื่องของความสวยงาม ความเที่ยงแท้ ความสุข และความมีตัวตนอยู่ด้วย ในทางตรงกันข้าม ตามความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้กลับมีลักษณะของความน่าเกลียด ความไม่เที่ยงแท้ ความทุกข์ และความไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ความยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้เกิดจากอาสวะ อนุสัย และสังโยชน์ที่ผูกมัดให้สัตว์โลกอยู่ในวงจรของการเวียนตายเวียนเกิดหรือของความทุกข์ (1,15,27-)
ด้วยเหตุนี้จึงมีคํากล่าวว่า “สติปัฎฐานสามารถเอาชนะภาวะวิกลจริตได้” (13-) จากมหาสติปัฐานสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเอก เพื่อ ความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อชนะความเศร้าโศก และความพิไรรําพัน เพื่อดับความทุกข์กายและ ความทุกข์ใจ เพื่อบรรลุอริยมรรคและอริยผลและ เพื่อกระทําพระนิพพานให้แจ้ง ทางสายเอกนี้คือ สติปัฏฐานสี่” (30-) การเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนว สติปัฏฐานสี่สามารถนําไปสู่ความดับทุกข์และการขจัดกิเลสได้โดยสิ้นเชิง
@@@@@@
ดังนั้น ความผิดปกติทางจิตใจ หรือ อุมมัตตกะ (ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้จํากัดอยู่แต่เฉพาะโรคจิต หรือภาวะวิกลจริตเท่านั้น) โดยเฉพาะโรคทางใจ ตามความหมายที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ สามารถขจัด ได้โดยการเจริญสติปัฏฐานสี่ (30,31-) ตามทรรศนะทางพุทธศาสนา สาเหตุสําคัญของความผิดปกติทางจิตใจหรืออุมมัตตกะ คือ อวิชชาหรือโมหะ หรือ วิปัลลาส
คําว่า “วิปัลลาส” ในภาษาบาลีแปลว่า อาการประสาทหลอน อาการหลงผิด ความบิดเบือน ความวิตถาร หรือความเห็นผิด (17,32-) คํานี้ยังหมายถึง ความเชื่อในสิ่งที่ถูกว่าผิด และความเชื่อในสิ่งที่ ผิดว่าถูก วิปัลลาสมีอยู่ 3 อย่าง คือ (1) สัญญาวิปัลลาส (2) จิตตวิปัลลาส (3) ทิฏฐิวิปัลลาส
ในบรรดาวิปัลลาสทั้ง 3 อย่างนี้ สัญญาวิปัลลาสมีอยู่ 4 อย่าง คือ (1) สัญญาวิปัลลาสเห็นสิ่งที่น่าเกลียดว่าเป็น สิ่งที่สวยงาม (2) สัญญาวิปัลลาสเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นสิ่งที่เที่ยง (3) สัญญาวิปัลลาสเห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็น สิ่งที่เป็นสุข (4) สัญญาวิปัลลาสเห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็น สิ่งที่มีตัวตน
@@@@@@@
สัญญาวิปัลลาสสามารถกําจัดได้โดยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ ดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า 1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติตาม ดูกาย ใช้ในการขจัดสัญญาวิปัลลาสที่เห็นว่าสิ่งที่ น่าเกลียด (อสุภะ) เป็นสิ่งที่สวยงาม (สุภะ) 2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติตาม ดูเวทนา ใช้ในการขจัดสัญญาวิปัลลาสที่เห็นว่าสิ่งที่ เป็นทุกข์ (ทุกขัง) เป็นสิ่งที่เป็นสุข (สุขัง) 3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติตาม ดูจิต ใช้ในการขจัดสัญญาวิปัลลาสที่เห็นว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นสิ่งที่เที่ยง (นิจจัง) 4. ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติตาม ดูธรรม ใช้ในการขจัดสัญญาวิปัลลาสที่เห็นว่าสิ่งที่ไม่มี ตัวตน (อนัตตา) เป็นสิ่งที่มีตัวตน (อัตตา)
แนวปฏิบัติแบบพุทธในการรักษาความผิดปกติทางจิตใจ มุ่งไปที่บูรณาการของบุคลิกภาพทั้งหมดของบุคคลในระดับที่สูงกว่า โดยผ่านการฝึกอบรม ในเรื่องของอธิศีล อธิจิต และอธิปัญญา
การเจริญวิปัสสนากรรมฐานสามารถนําไปสู่ความเข้าใจในหลักการของพุทธศาสนาเกี่ยวกับสามัญลักษณะ ซึ่งได้แก่ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ทุกขัง (ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้) และอนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตน หรือความไม่ สามารถบังคับบัญชาได้) ความหยั่งเห็นในสามัญลักษณะ (พระไตรลักษณ์) จะทําให้เกิดปฐมนิเทศใหม่ของความคิดและยังนําไปสู่การปล่อยวางของแนวคิดในเรื่อง “อัตตา” หรือ “ตัวตน” ได้ในระดับหนึ่งจนถึงดีที่สุด
สัจพจน์ที่เป็นบาลีว่า “ปุถุชนทั้งหลายมีภาวะ วิกลจริต” หมายความว่า คนธรรมดาทั้งหมดมีอาการ ของโรคจิตหรือความแปรปรวนทางจิตใจ
คําว่า "วิกลจริต" ในที่นี้ไม่เหมือนกับความเป็นบ้า อาการวิกลจริต หรือ โรคจิตในจิตเวชศาสตร์สมัยใหม่ ตามทรรศนะทางพุทธศาสนา คําว่า "วิกลจริต" หรือความแปรปรวนทาง จิตใจในสัจพจน์นี้สัมพันธ์กับกลุ่มของกิเลสที่เรียกว่า "สังโยชน์" (12-)
@@@@@@@
สังโยชน์มีอยู่ 10 ชนิด คือ
ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ คือ สังโยชน์เบื้องต่ํา 5 คือ 1) สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่าเป็น ตัวตน 2) วิจิกิจฉา ความสงสัย 3) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นในศีลพรตอย่างงมงาย 4) กามราคะ ความกําหนัดในกาม และ 5) ปฏิฆะ ความโกรธ
ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ คือ สังโยชน์ เบื้องสูง 5 คือ 6) รูปราคะ ความติดใจในอารมณ์แห่ง รูปฌาน 7) อรูปราคะ ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน 8) มานะ ความถือตัว 9) อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน และ 10) อวิชชา ความไม่รู้จริง (ความโง่)
ปุถุชนหรือคนธรรมดา คือ ผู้ที่อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย ของภาวะปกติ และมีสังโยชน์ทั้ง 10 ชนิดอยู่ภายในจิตใจ ซึ่งทําให้แยกบุคคลประเภทนี้ออกจากอริยบุคคลหรืออริยชน
อริยบุคคล หมายถึง บุคคลผู้ประเสริฐ หรือผู้ที่เข้าถึงคุณธรรมอันบริสุทธิ์สี่ขั้น ได้แก่ 1) โสดาบัน หรือผู้ถึงกระแส คือ ผู้ที่ได้ทําลายสังโยชน์สามอย่างแรก ให้หมดไป 2) สกทาคามี หรือผู้กลับมาอีกครั้งเดียว คือ ผู้ที่ได้ทําลายสังโยชน์สองอย่างถัดมาให้อ่อนกําลังลง 3) อนาคามีหรือผู้ไม่เวียนกลับมาอีก คือ ผู้ที่ทําลาย สังโยชน์เบื้องต่ําห้าอย่างแรกให้หมดไป และ 4) อรหันต์ หรือผู้หักแห่งสงสารแล้ว คือ ผู้ที่ทําลายสังโยชน์ เบื้องสูงที่เหลืออีกห้าอย่าง คือ ความติดในอารมณ์แห่ง รูปฌาน ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา
ฉะนั้น ผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ความผิดปกติทางจิตใจหรือโรคทางใจ (ซึ่งบางทีเรียกว่า โรคทางจิตวิญญาณ) จะถูกทําลายลงโดยสิ้นเชิง
-จบ-
|
|
|
34
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สัพเพ ปุถุชชนา อุมมัตตกา : “ปุถุชนทั้งหลายมีภาวะวิกลจริต”
|
เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2025, 10:01:13 am
|
1. กามุมมัตตกะ
ภาวะวิกลจริตชนิดนี้เกี่ยวข้อง กับราคะ กามตัณหา แรงขับทางเพศหรือโลภะ ตาม หลักอภิธรรม (วิภังค์อรรถกถา) และทฤษฎีทางการแพทย์ ความไม่สมดุลของสารน้ํา (humoral imbalance) เป็น สาเหตุอย่างหนึ่งของความวิกลจริต ปัญหาทางจิตใจ และอารมณ์ที่สัมพันธ์กับทฤษฎีสารน้ํา (humural theory) ตามที่นําเสนอโดยกาเลน (Galen) ประมาณศตวรรษที่สอง ได้อธิบายว่า
ภาวะซึมเศร้ารุนแรง (melancholia) เป็นผลมาจากการมีน้ําดีสีดํามากเกินไป และภาวะคลุ้มคลั่ง หรือภาวะฟุ้งพล่าน (mania) เกิดจากการมีน้ําดีสีเหลือง มากเกินไป ทฤษฎีเกี่ยวกับสารน้ําที่ทําให้เกิดโรคต่างๆ ยังรวมถึงธาตุลม (air or wind) น้ําดี (bile) และเสมหะ (phlegm)
โดยทั่วไปเชื่อว่าโรคของธาตุลมเกิดจากการที่ มีตัณหา ราคะ และกามุปาทานมากเกินไป นอกจากความตื่นเต้น และความเศร้าเสียใจแล้ว อาการของความผิดปกติทางจิตที่เกิดจากธาตุลมจะ มีลักษณะดังนี้
ผู้ป่วยพูดมากหรือพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในใจ ขาดสมาธิ และไม่สามารถทําอะไรให้ เสร็จเป็นชิ้นเป็นอันได้ อาจร้องไห้ตลอดเวลา แต่แล้วก็กลับเป็นโกรธทันทีโดยไม่มีเหตุผล ผู้ป่วยจะหงุดหงิด กระวนกระวาย และถูกดึงโดยสิ่งเร้าได้ง่าย ความปวดร้าวทางจิตใจที่ได้รับ จะทําให้สูญเสียสิ่งสนับสนุนของสุขภาพ สองอย่าง คือ อาหารและพฤติกรรม เพราะความเศร้าโศก ผู้ป่วยจะไม่ยอมทานอาหาร และการอดอาหารจะทําให้ธาตุลมเพิ่มขึ้น การนอนไม่หลับจะไปเพิ่มความปั่นป่วนของธาตุลม เพราะอาการนี้ถือว่า เป็นโรคของธาตุลม
ความผิดปกติทางจิตใจแบบนี้สอดคล้องกับ ความแปรปรวนทางอารมณ์ (mood disorder) ในจิตเวชศาสตร์ปัจจุบัน ในช่วงระยะคลุ้มคลั่งผู้ป่วยจะแสดงอารมณ์สนุกสนานครื้นเครง ความคิดแล่นเร็ว นอนไม่หลับ ความภูมิใจแห่งตนเพิ่มขึ้น และมี ความคิดว่าตนยิ่งใหญ่ในทางตรงกันข้ามผู้ป่วยที่มีอารมณ์ ซึมเศร้าจะแสดงพลกําลังและความสนใจในสิ่งต่างๆ ลดลง ความรู้สึกสํานึกผิด ขาดสมาธิ เบื่ออาหาร เบื่อชีวิต หรือบางรายถึงกับทําร้ายตนเอง อาการแสดงและอาการอื่นๆ ได้แก่ ระดับของการเคลื่อนไหว ความสามารถทางความคิดและความจํา การนอนหลับ และกิจกรรมทางเพศลดลง
ความแปรปรวนเหล่านี้มักทําให้เกิดความเสียหายต่อการกระทําหน้าที่ทางสัมพันธภาพระหว่างบุคคล สังคม และอาชีพ การงาน ผู้ป่วยที่แสดงอารมณ์ซึมเศร้าชัดเจน เรียกว่า ความแปรปรวนของอารมณ์ซึมเศร้าอย่างรุนแรง (major depressive disorder) หรือภาวะซึมเศร้าแบบขั้วเดียว (unipolar depression) ส่วนผู้ป่วยที่มีทั้งอาการคลุ้มคลั่ง และอาการซึมเศร้า หรือผู้ป่วยที่มีอาการคลุ้มคลั่งอย่างเดียว เรียกว่า ความแปรปรวนทางอารมณ์ แบบสองขั้ว (bipolar mood disorder)
2. โกธัมมัตตกะ
คือ ความวิกลจริตที่เกี่ยวข้องกับความโกรธ ความเกลียด แรงขับทางก้าวร้าวหรือโทสะ ตามทฤษฎีสารน้ําความแปรปรวนทางจิตเวชแบบนี้ เกิดจากน้ําดีที่ทําให้ผู้ป่วยมีลักษณะของความรุนแรง และความหยาบคาย นําดีมักจะสัมพันธ์กับความก้าวร้าว และความโกรธ ดังนั้นโทสะและความเกลียดชังจะทําให้ มีการผลิตน้ําดีเพิ่มมากขึ้น
ความจริงอาการวิกลจริตที่เกิดจากน้ําดียังเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของธาตุลมด้วย ทําให้เกิดอาการโรคจิตที่มีพฤติกรรมทางเพศรุนแรง และก้าวร้าว” ผู้ป่วยจะพูดหยาบคายรุนแรงและก้าวร้าว ต่อผู้อื่น รบกวนและทําลายข้าวของ และอาจทําร้าย ถึงขั้นฆ่าผู้อื่นได้ มีอารมณ์โกรธที่คงอยู่นาน หมกมุ่น อาการตื่นเต้นที่รุนแรงและการเคลื่อนไหวที่แปลกๆ แต่เรื่องในอดีตที่คอยรบกวนและตึงเครียดอย่างรุนแรง บางเวลาผู้ป่วยอาจเกิดการเคลื่อนไหวที่ไม่มีจุดหมาย ผู้ป่วยพวกนี้อาจต้องได้รับการควบคุมด้วยการผูกมัดและหรือการใช้ยา
@@@@@@@
3. โมหุ้มมัตตกะ
ภาวะวิกลจริตชนิดนี้สัมพันธ์ กับความโง่ ความหลง อวิชชาหรือโมหะ ซึ่งมีส่วนทําให้ การผลิตของเสมหะเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยที่มีอาการวิกลจริต เนื่องจากมีปริมาณของเสมหะเพิ่มขึ้นมักจะแสดงลักษณะ แยกตัวเองอย่างรุนแรง เงียบเฉย ไม่เคลื่อนไหวและ ดื้อเงียบ ผู้ป่วยประเภทนี้ไม่ยอมรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ํา อาจกลอกตาขึ้นข้างบนหรือมีท่าทางสับสน
รูปแบบของภาวะวิกลจริตที่สัมพันธ์กับทฤษฎีสารน้ํา คือ ธาตุลม น้ําดี และเสมหะ มีลักษณะสอดคล้อง กับการจําแนกความแปรปรวนทางจิตสมัยใหม่ตัวอย่าง เช่น ใน DSM-IV-TR (Diagnostic and statistical manual of mental disorders, fourth edition, text revision) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2000. โรคจิตที่เกิดจากธาตุลมคล้ายกับโรคความแปรปรวนทางอารมณ์ (mood disorders) ดังอธิบายมาแล้ว และโรคจิตเภทตามแบบฉบับ (classical schizophrenia) 1) (18,19 -)
จิตเภทมีลักษณะเฉพาะ คือ ความผิดปกติหรือความแปรปรวนของความคิด มีการแปลความหมายของความจริงผิดไปจากเดิม มักมีอาการหลงผิดและอาการประสาทหลอนร่วมด้วยยังมีการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์แสดง (affect) เช่น สองฝักสองฝ่าย บีบคั้น เรียบหรือไร้อารมณ์และ ไม่เหมาะสม และมีพฤติกรรมแยกตัวเอง ก้าวร้าว แปลก และพิลึกพิลั่น อาการของจิตเภทมีผลเสียต่อความคิด ความรู้สึก พฤติกรรม รวมทั้งหน้าที่ทางสังคมและอาชีพการงาน
อาการโรคจิตชนิดก้าวร้าวที่เกิดจากน้ําดี สามารถ เปรียบเทียบได้กับโรคจิตเภทชนิดตัวแข็งทื่อแบบตื่นเต้น วุ่นวาย (catatonic type, excited) ซึ่งแสดงออกโดย การเคลื่อนไหวที่มากเกินไป พฤติกรรมรุนแรงและก้าวร้าว และมีความเสี่ยงที่จะทําร้ายตนเองหรือผู้อื่นได้ ในทางตรงกันข้ามอาการวิกลจริตที่เกิดจากเสมหะจะคล้ายกับ โรคจิตเภทชนิดตัวแข็งทื่อแบบแยกตัวเอง (catatonic type, withdrawn) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือ ไม่มีการเคลื่อนไหว เลย ตัวแข็งทื่อแบบหุ่นที่ปั้นด้วยขี้ผึ้ง จะดัดให้อยู่ใน ท่าใดก็ได้ (waxy flexibility) นิ่งเฉย ไม่ยอมพูด และ มีอาการต่อต้านที่ชัดเจน
4. ทิฏฐมมัตตกะ
อาการวิกลจริตชนิดนี้ สัมพันธ์กับความเห็นที่ผิด ตัวอย่าง บางครั้งมี ภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้น บางคนก็ตําหนิว่าเกิดจาก การกระทําของภูตผีปีศาจ หรือสิ่งที่มีอํานาจเหนือมนุษย์ มีการบูชายัญ และพิธีบวงสรวงเพื่อเอาใจภูติผีและ เทพเจ้า บางคนอาจไปอาบน้ําศักดิ์สิทธิ์เพื่อชําระล้างบาปและเคราะห์ร้ายของตน
มิจฉาทิฏฐิหรือความเห็นผิดยังรวมถึงสัสสตทิฏฐิ ซึ่งเป็นความเชื่อว่าวิญญาณหรืออัตตาเป็นสิ่งที่ เที่ยงแท้ถาวร และยังคงสภาพอยู่ชั่วนิจนิรันดร ภายหลัง ความตาย ความเชื่อนี้จะต้องแยกจากอุจเฉททิฏฐิ ซึ่งเป็นความเชื่อว่าสัตว์ บุคคล หรือตัวตนจะสูญสิ้น ไปหมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยเวลาตาย ความเชื่อที่ ผิดอีกอย่างหนึ่งคือสีลัพพตปรามาส คือ ความยึดมั่น ในศีลพรต และพิธีกรรมบางอย่างว่าเป็นทางที่จะนําไป สู่ความดับทุกข์ รวมทั้งวิธีการปฏิบัติใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่ มรรคมีองค์ 8 ว่าเป็นทางดับทุกข์ได้
เมื่อความเห็นผิดเหนียวแน่นและรุนแรง สิ่งนี้ อาจกลายเป็นอาการหลงผิด (delusion) ได้ (18-20-) อาการหลงผิดเป็นความเชื่อที่ผิด ซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานของ ความเป็นจริงจากภายนอก เป็นความเชื่อที่เหนียวแน่นและคงอยู่นาน แม้จะมีหลักฐานที่ตรงกันข้ามอย่าง ชัดเจน ตัวอย่างอาการหลงผิดแบบคิดว่าตนยิ่งใหญ่ (grandiose delusion) เป็นความเชื่อที่มากเกินขอบเขต เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ อํานาจ ความรู้ เอกลักษณ์ หรือ สัมพันธภาพพิเศษกับเทพเจ้าหรือบุคคลที่มีชื่อเสียง
อาการหลงผิดแบบมีคนปองร้าย (persecutory delusion) มีเนื้อหาหลักที่สําคัญคือตนเอง (หรือบางคนที่อยู่ใกล้ชิด กับตน) กําลังถูกโจมตีข่มขู่ ปองร้าย ฉ้อโกง วางยาพิษ หรือถูกวางแผนร้ายร่วมกัน อาการหลงผิดแบบมีอะไรคอยควบคุม (delusion of control) คือ มีความเชื่อว่า ความรู้สึก แรงขับ ความคิดหรือการกระทําไม่ได้เกิดจากตนเองแต่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลังบางอย่าง จากภายนอก อาการหลงผิดหรือความเชื่อที่ผิดนี้มัก พบในจิตเภท หรือโรคจิตอื่นๆ อารมณ์แปรปรวนที่มี ลักษณะโรคจิตร่วมด้วยและโรคจิตที่เกิดจากการใช้สารบางอย่าง
@@@@@@@
5. ปิตุมมัตตกะ
โรคจิตชนิดนี้มักเกิดจาก โรคทางกาย (organic disorders) 1318 เช่น ลมบ้าหมู (โรคลมชัก) ไข้ไทฟอยด์ มาลาเรีย สมองอักเสบ และ การบาดเจ็บทางสมอง ใน DSM-IV-TR เรียกโรคในกลุ่มนี้ว่า “ความแปรปรวนทางจิตใจที่เนื่องมาจาก โรคทางร่างกาย (a mental disorder due to a general medical condition)”19 ความแปรปรวนทางจิตใจ ในการ จําแนกนี้มีลักษณะเฉพาะ คือ การมีอาการทางจิตที่ ตัดสินได้ว่า เป็นผลทางสรีรวิทยาโดยตรงของโรคทาง ร่างกาย
กลุ่มของความผิดปกติทางจิตใจแบบนี้รวมถึงความแปรปรวนที่สัมพันธ์กับซิฟิลิส สมองอักเสบ ฝีหรือการบาดเจ็บในสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคลมชัก เนื้องอกในกะโหลกศีรษะ ความผิดปกติ เกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ pellagra ภาวะขาดวิตามิน การติดเชื้อ ตามระบบ (เช่น ไข้ไทฟอยด์ มาลาเรีย) โรคเอดส์ โรคเกี่ยวกับภาวะเสื่อมของระบบประสาทส่วนกลาง (เช่น multiple sclerosis) สภาพของโรคทางร่างกายทั่วไป อาจก่อให้เกิดอาการตัวแข็งทื่อ (catatonia)
ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือ การไม่เคลื่อนไหวของร่างกาย และการเกร็งตัว ของกล้ามเนื้ออันเป็นผลจากโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) หรือการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม (เช่น เกิดจากเนื้องอกในสมอง) อาการโรคจิตที่เกิดจาก การขาดสารอาหารบางอย่างก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้
6. สุรุมมัตตกะ
โรคจิตชนิดนี้สัมพันธ์กับ การใช้สารพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราและสารเสพติด ชนิดต่างๆ กลุ่มนี้คล้ายกับ alcohol-related disorders หรือ substance use disorders (ซึ่งสมัยก่อนเรียกว่า การติดยาหรือการพึ่งยา) ใน DSM-IV-TR19 เหล้า ยาที่ ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และสารอื่นๆ (เช่น ฝุ่น ยาหลอนประสาท กัญชา ยาบ้า และสารระเหย) อาจก่อ ให้เกิดภาวะเป็นพิษและกลุ่มอาการจากการถอนยา นอกเหนือจากอาการโรคจิต อารมณ์แปรปรวนและอาการวิตกกังวล
@@@@@@@
7. พยสนุมมัตตกะ
ความผิดปกติทางจิตใจ ชนิดนี้เกิดจากเคราะห์ร้ายหรือโชคร้าย เช่น การสูญเสีย คนรัก ของรัก หรือสมาชิกในครอบครัว และการสูญเสีย เงินทอง ทรัพย์สินและชื่อเสียง ความผิดปกติในกลุ่มนี้ ยังรวมการสูญเสียเนื่องจากโรค (เช่น การถูกตัดขา ทั้งสองข้าง) และความเสื่อมโทรมของสุขภาพ การสูญเสีย สมาชิกในครอบครัว ญาติพี่น้องและมิตรสหาย การลักขโมย การจู่โจมทําร้าย โรคระบาด ไฟไหม น้ําท่วมหรือพายุ สามารถทําให้เกิดความเศร้าโศก ความพิไรรําพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และ ความคับแค้นใจ
การสูญเสียในรูปแบบต่างๆ มักเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของความแปรปรวนทางอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะซึมเศร้าและความแปรปรวนเกี่ยวกับการปรับตัว บางครั้งการสูญเสียคนรัก เกิดขึ้นทันทีทันใดและรุนแรงมากจนกระทั่งทําให้เกิด อาจปรากฏออกมาเป็นโรคทางจิตเวชที่แตกต่างกัน ความผิดปกติอย่างรุนแรงอย่างในกรณีของปฏาจารา
ปฏาจาราเกิดในครอบครัวร่ํารวยที่เมืองสาวัตถี เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเกิดมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่รับใช้อยู่ในบ้าน จนสุดท้ายก็หนีตามกันไป ตามประวัติเธอได้ประสบกับการสูญเสีย อย่างใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน ทั้งกับสามี ลูกน้อยสองคน บิดามารดา และพี่ชาย ในช่วงเวลาอันสั้น สุดท้ายเธอได้เกิดอาการของโรคจิต ที่เรียกว่า “brief psychotic disorders” (การจําแนก ความแปรปรวนทางจิตใจตาม DSM-IV-TR)
เธอเดินไปเรื่อยโดยไม่รู้ตัวว่าผ้านุ่งห่มหลุดจากตัว ชาวบ้านที่เห็นต่างก็หลีกหนีด้วยการขว้างปาเศษขยะและโปรยขี้ฝุ่นบนตัวเธอ จนกระทั่งระดมปาด้วยก้อนดิน โดย มหาพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า เธอได้คืนสติขึ้นมาและ ความเศร้าโศกก็หายไป ปฏาจาราได้บวชเป็นภิกษุณี และบรรลุเป็นพระอรหันต์ในเวลาอันสมควร (22,23-)
8. ยักขุมมัตตกะ
ความวิกลจริตชนิดนี้ เกิดจากปีศาจ (ยักษ์) ผีร้าย หรือวิญญาณร้าย ปีศาจ หรือวิญญาณร้ายที่ทําให้เกิดอาการวิกลจริตเป็น ผลจากการที่ผีร้ายเข้าไปสิ่งในร่างคนและควบคุม การกระทําทุกอย่างทั้งทางกาย วาจาและใจ การแปลความหมายทางจิตวิทยาของคําว่า “ปีศาจ” หรือ “ภูติผี” ในระดับหนึ่งนั้น ถือว่าเป็นเรื่องของบุคคลาธิษฐานของความชั่วภายในจิตใจที่ถูกโยนออกไปสู่ภายนอก
เป็นพลังมืดหรือพลังเชิงลบภายในตัวเรานั่นเอง ที่เรายอมรับไม่ได้และพยายามจะออกมาสู่จิตสํานึก จึงต้องใช้กลไกทางจิตแบบการโยนออกไปภายนอก (projection) และสุดท้ายก็มีการพุ่งเข้าหาตนเอง (introjection) จุง(Jung) อธิบายว่า ปีศาจร้ายเหล่านี้มาจากจิตไร้สํานึกรวม (collective unconscious) และสิ่งที่อยู่ในจิตไร้สํานึก คือ สิ่งที่เข้ามาสิงอยู่ในตัวเรา(17-)
อาการและการแสดงของความผิดปกติทางจิตใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตเภท (schizophrenia) และ ความแปรปรวนที่เป็นภาวะคล้ายถูกผีสิง (dissociative trance disorder) ตาม DSM-IV-TR1 ตัวอย่าง ในภาวะ คล้ายถูกผีสิงจะมีการแทนที่เอกลักษณ์ของบุคคลที่คุ้นเคยโดยเอกลักษณ์ใหม่ เนื่องจากอํานาจของ วิญญาณร้าย ปีศาจ พลังลึกลับ เทพเจ้าหรือบุคคลอื่นๆ และสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวแบบซ้ําๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือแม้แต่พฤติกรรมที่ก้าวร้าว ภาวะผีสิงมักจะเกิด ร่วมกับอาการลืมตัวในช่วงระยะที่ร่างใหม่กําลังควบคุม พฤติกรรมเดิมของคนๆ นั้น
(ยังมีต่อ..)
|
|
|
35
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ย้อนรอย กรรมวิธีสร้างพระสมเด็จฯ
|
เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2025, 07:10:31 am
|
. ย้อนรอย กรรมวิธีสร้างพระสมเด็จฯ ในการสร้างพระสมเด็จฯ นั้นประกอบด้วยปัจจัยหลัก 4 อย่าง คือ แม่พิมพ์พระ มวลสารวัตถุดิบ ช่าง และกรรมวิธีการสร้าง การทำความเข้าใจถึงปัจจัยเหล่านี้ อาจจะช่วยให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจถึงรูปลักษณะที่ควรจะเป็นของพระสมเด็จฯ รวมถึงยังสามารถเข้าใจถึงที่มาที่ไปขององค์พระสมเด็จฯ ในเชิงเหตุและผลตามหลักการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการอีกด้วย ในบรรดาปัจจัยทั้ง 4 อย่างนี้ กรรมวิธีการสร้างเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะมีรายละเอียดมากและหลักฐานอ้างอิงมีน้อย ในการทำความเข้าใจจึงต้องหาข้อมูลอ้างอิงจากปัจจัยอีก 3 ปัจจัยที่เหลือ
@@@@@@@
การรู้ถึงลักษณะของแม่พิมพ์พระบอกถึงกรรมวิธีการสร้างได้อย่างไร
• แม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ
แม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงมาตรฐานนั้นสร้างจากวัสดุที่มีความแข็ง เช่น หินสบู่ โดยจากการพบหลักฐานแผ่นแม่พิมพ์หินสบู่ที่มีการแกะลวดลายเพื่อสร้างงานศิลปกรรมในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4–5 มักพบว่าช่างจะแกะลวดลายลงในหินแผ่นเดียวกันจนเต็มเนื้อที่ โดยที่จะไม่มีการตัดแบ่งหินสบู่ออกเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อทำเป็นแม่พิมพ์ขนาดเล็กหนึ่งชิ้นต่อหนึ่งลวดลาย ซึ่งอาจจะเกิดจากความไม่สะดวกเนื่องด้วยความแข็งของหินสบู่ อีกทั้งยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น การแกะแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ จึงน่าจะทำในลักษณะใกล้เคียงกัน โดยเป็นการแกะลวดลายองค์พระแบบกลับด้าน โดยแกะทีละองค์เป็นจำนวนหลายองค์ลงบนแผ่นหินขนาดใหญ่พอควร
ลักษณะของแม่พิมพ์หินสบู่ที่มีขนาดใหญ่ มีผลโดยตรงต่อกรรมวิธีสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ โดยวิธีการที่เหมาะสมน่าจะเป็นการนำมวลสารผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ตามคติการสร้าง มาผสมตำโขลกให้เข้ากันตามสูตรที่กำหนดไว้ แล้วนำมาปั้นเป็นก้อนขนาดพอเหมาะ แล้วจึงกดประทับลงบนแม่พิมพ์ โดยก่อนที่จะกดน่าจะต้องมีการโรยหรือทาแม่พิมพ์ด้วยวัสดุที่ทำให้เนื้อวัตถุดิบไม่เกาะติดกับแม่พิมพ์ (ตรียัมปวาย เรียกว่าแป้งโรยพิมพ์) เพื่อให้ถอดองค์พระออกจากแม่พิมพ์ได้โดยง่ายและยังเป็นการยืดอายุแม่พิมพ์อีกด้วย
มวลสารพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้นเป็นวัตถุดิบที่ทรงคุณค่าผ่านพิธีกรรมที่พิถีพิถันเข้มขลัง โดยเฉพาะผงวิเศษ 5 ประการ อันประกอบด้วย ผงปัถมัง ผงอิธะเจ ผงมหาราช ผงพุทธคุณ ผงตรีนิสิงเห นั้นเกิดจากการที่ท่านเจ้าประคุณฯ ได้เขียนหัวใจพระคาถาต่างๆ ลงบนกระดานชนวนแล้วลบออก ทำซ้ำหลายขั้นตอนกว่าที่จะได้มา จึงควรที่จะต้องใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด อีกทั้งวัตถุดิบมวลสารที่เมื่อผสมน้ำมันตังอิ้วแล้วนั้น ถ้าทิ้งไว้นานจะเริ่มแข็งตัวทำให้นำมาใช้ไม่ได้อีก จึงต้องเตรียมไว้ในจำนวนที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป • แม่พิมพ์พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม
เมื่อคราวสร้างพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม เมื่อปี พ.ศ. 2413 นั้น นอกจากแม่พิมพ์หินสบู่ที่นำมาสร้างพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมด้วยแล้วนั้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอว่า น่าจะมีการสร้างพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมด้วยแม่พิมพ์ที่ทำจากไม้ด้วยเช่นกัน โดยแม่พิมพ์ชนิดนี้จะเป็นแม่พิมพ์ขนาดเล็กพอดีกับองค์พระ และที่สำคัญคือ การสร้างพระสมเด็จฯ ด้วยแม่พิมพ์ชนิดนี้นั้นเป็นการสร้างโดยการนำแม่พิมพ์กดลงบนเนื้อพระซึ่งแตกต่างจากการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่เป็นการกดเนื้อพระลงบนแม่พิมพ์ การที่บอกว่าเป็นแม่พิมพ์ไม้นั้น ก็ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
เหตุผลแรก ในการสร้างพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้น เสมียนตราด้วง ต้นตระกูลธนโกเศศ ต้องการสร้างพระจำนวนมากด้วยความเร่งรีบ เพื่อนำไปบรรจุในองค์พระเจดีย์ใหญ่ และน่าจะมีการสร้างแม่พิมพ์ขึ้นเป็นจำนวนมากพอสมควรเช่นกัน แม่พิมพ์ที่แกะจากไม้นั้นทำได้สะดวกรวดเร็วกว่าแม่พิมพ์ที่ทำจากหิน แต่อาจจะมีความคมชัดและความงดงามประณีตน้อยกว่า และเมื่อแกะแม่พิมพ์เสร็จแล้วยังสามารถตัดแบ่งไม้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดเล็กตามขนาดองค์พระได้สะดวก (แม่พิมพ์หินที่ใช้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น ค่อนข้างยากที่จะตัดแบ่งเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็กและยังไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น)
เหตุผลที่สอง เมื่อสังเกตพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมจำนวนหนึ่งแล้ว มักจะเห็นเป็นขอบปลิ้นบริเวณเส้นกรอบบังคับแม่พิมพ์ (เส้นกรอบสี่เหลี่ยมครอบซุ้มผ่าหวาย) ที่มักจะมีการตัดขอบองค์พระบริเวณแนวนั้นพอดี
ในขั้นตอนการแกะแม่พิมพ์ไม้นั้น ตามทฤษฎีของช่างสิบหมู่หรือช่างหลวง เส้นกรอบบังคับแม่พิมพ์เกิดจากการที่ช่างได้ขูดเส้นแนวตั้งและแนวนอนเป็นกรอบสี่เหลี่ยม เพื่อกำหนดโครงร่าง โดยจะแกะเส้นซุ้มผ่าหวายและองค์พระให้อยู่ภายในกรอบโครงร่างนี้ เมื่อแกะพระเสร็จแล้ว ช่างจะทำการตัดแม่พิมพ์ไม้แบ่งออกเป็นแม่พิมพ์กรอบสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก โดยมักจะตัดขอบแม่พิมพ์ไม้ตามแนวเส้นกรอบบังคับพิมพ์หรือกว้างกว่าเล็กน้อย
พระสมเด็จบางขุนพรหมจำนวนมากที่องค์พระเมื่อทำเสร็จแล้วจะมองไม่เห็นเส้นกรอบบังคับแม่พิมพ์ แต่มองเห็นเป็นขอบปลิ้นแทน แต่อาจมีบางองค์ที่ยังมีเส้นกรอบบังคับแม่พิมพ์ปรากฏให้เห็นอยู่ เช่น ที่มักเห็นในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์ใหญ่ หรือพระบางองค์ที่ช่างตัดขอบห่าง (อาจจะตัดห่างจากขั้นตอนการตัดขอบแม่พิมพ์ไม้ หรือตัดห่างจากขั้นตอนการตัดขอบองค์พระ) จึงทำให้รู้ว่า ช่างมีการขูดเส้นกรอบบังคับแม่พิมพ์ไว้เช่นกัน
ขอบปลิ้นที่มักจะมองเห็นบริเวณขอบองค์พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่เมื่อกดแม่พิมพ์ลงบนเนื้อพระที่รองรับอยู่เบื้องล่าง แรงกดด้วยมือจะทำให้แม่พิมพ์พระจมลงไปในเนื้อพระ เป็นลักษณะของการห่อแม่พิมพ์เอาไว้ จะมากน้อยแล้วแต่แรงกด เมื่อยกแม่พิมพ์ขึ้นจะเกิดแรงดึงจากเนื้อพระทำให้พระบางองค์ที่มีเส้นกรอบบังคับแม่พิมพ์เหลืออยู่เกิดเป็นสันนูนขึ้นมากกว่าเดิม (พระสมเด็จพระวัดระฆังฯ นั้นเส้นกรอบบังคับแม่พิมพ์จะมีความนูนอยู่ระดับหนึ่ง บางองค์จะนูนมากเป็นพิเศษ อาจจะเกิดจากการขูดเส้นของช่างหรืออาจจะเกิดจากการยุบตัวของพื้นผิวด้านใน บางท่านเรียกเส้นนี้ว่า เส้นลวดกันลาย)
และที่สำคัญมากคือบริเวณที่เป็นขอบแม่พิมพ์ที่เป็นระนาบต่างระดับไม่ถูกแม่พิมพ์กดลงไป โดยช่างมักจะใช้ของมีคมเช่นมีด ตัดขอบพระตามรอยขอบแม่พิมพ์นี้ เพื่อเอาเนื้อเกินบริเวณรอบองค์พระออกไป (อาจจะเป็นการตัดโดยการลากมีดจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งขององค์พระ หรือเป็นการลงมีดตัดลงไปตรงๆ พร้อมกันทั้งแนว บางครั้งพบว่ามีการลงมีดแบะออก ทำให้พื้นผิวหน้าพระแคบกว่าพื้นผิวด้านหลังองค์พระ) รอยปลิ้นที่เกิดขึ้นนี้ มาจากเนื้อบริเวณขอบแม่พิมพ์ที่ไม่ถูกแม่พิมพ์กดลงไป เมื่อถูกคมมีดตัดตามรอยขอบนี้จะทำให้เนื้อปลิ้นเข้ามาด้านในองค์พระ ถ้าช่างวางใบมีดให้ด้านล่างแบะออกด้านข้างก็จะทำให้รอยปลิ้นม้วนเข้าด้านในองค์พระมากขึ้น
เหตุผลประการที่สาม ลักษณะด้านหลังของพระสมเด็จวัดระฆังฯ ถ้าแบ่งตามทฤษฎีของนิรนาม ผู้ชำนาญการพระเครื่อง ที่เขียนอธิบายในหนังสือ พรีเชียส ของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ และหนังสืออาณาจักรพระเครื่องของอาจารย์ปรีชา เอี่ยมธรรมนั้น จะแบ่งออกเป็น 4 แบบคือ แบบหลังเรียบ หลังกระดาน หลังกาบหมาก และหลังสังขยา
แต่เมื่อพิจารณาลักษณะด้านหลังของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลักษณะของหลังเรียบ อาจจะมีลักษณะปลีกย่อยเป็นแบบอื่นบ้าง แต่โดยรวมแล้วต้องถือว่าเป็นลักษณะของหลังเรียบ เป็นเครื่องช่วยยืนยันว่าเป็นการกดแม่พิมพ์พระลงบนเนื้อพระที่อยู่ด้านล่างซึ่งวางอยู่บนวัสดุที่มีความราบเรียบ ไม่ใช่เป็นการกดพระจากด้านหลังไปด้านหน้าด้วยวัสดุที่แตกต่างกันเหมือนการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่จะทำให้ลักษณะด้านหลังองค์พระมีความแตกต่างกันออกไป
@@@@@@@
• การตัดขอบองค์พระ
อาจารย์ประจำ อู่อรุณ กรุณาให้ความเห็นว่า การตัดขอบของพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น เป็นไปได้ทั้งสองแบบ อาจจะเป็นการตัดจากด้านหลังไปด้านหน้าองค์พระ โดยตัดขณะที่ยังไม่แกะพระออกจากแม่พิมพ์ การตัดแบบนี้อาจจะทำให้ตัดได้ไม่สวยงามนัก อาจชิดไปหรือห่างไปเนื่องจากไม่เห็นองค์พระขณะตัด (มีความเป็นไปได้ว่าเช่นกันว่าอาจจะมีการทำเส้นบอกแนวให้ตัดบนแผ่นแม่พิมพ์หินสบู่) หรืออาจจะเป็นการตัดขอบจากด้านหน้าไปด้านหลังกรณีที่แกะพระออกจากแม่พิมพ์แล้ว
โดยก่อนที่จะตัดจะต้องรอให้เนื้อพระมีความหมาดตัวพอสมควร ถ้าตัดในขณะที่เนื้อพระเปียกไปหรือแห้งไปอาจจะทำให้รูปทรงออกมาผิดเพี้ยนมากเกินไป สำหรับการตัดขอบพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ถ้าวิเคราะห์แบบแม่พิมพ์ไม้ข้างต้นนั้นจะเป็นการตัดจากด้านหน้าองค์พระไปด้านหลัง
มีข้อสังเกตว่าบริเวณขอบด้านหลังของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้นมักจะไม่ปรากฏรอยปริกระเทาะ ส่วนในพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น บางองค์จะปรากฏให้เห็นรอยปริกระเทาะหรือที่บางท่านเรียกว่ารอยปูไต่ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอแนวทางในการอธิบายดังนี้ว่า พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่สร้างจากแม่พิมพ์ไม้นั้น เป็นการกดเนื้อพระโดยใช้แรงกดจากด้านหน้าองค์พระไปด้านหลังองค์พระ ในขณะที่พระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้นเป็นการกดเนื้อพระโดยใช้แรงกดจากด้านหลังองค์พระไปด้านหน้า เนื้อพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้นมีความแก่ปูนซึ่งมีคุณสมบัติในการยึดเกาะตัว
แต่เนื้อพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้นมีส่วนผสมของมวลสารต่างๆ มากมายซึ่งเมื่อผสมเข้าไปแล้วจะลดทอนคุณสมบัติในด้านการยึดเกาะตัวของปูนทำให้เกิดการปริกระเทาะได้ง่ายกว่า มีความเป็นไปได้ว่าการปริกระเทาะที่ขอบด้านหลังของพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น เกิดจากการตัดขอบองค์พระ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการตัดจากด้านหน้าไปด้านหลังหรือจากด้านหลังไปด้านหน้า น่าจะมีโอกาสทำให้เกิดการกระเทาะที่ด้านหลังองค์พระได้เช่นกัน • ลักษณะของพื้นผิวพระสมเด็จฯ เมื่อสร้างเสร็จ
อาจแบ่งได้เป็น 3 โซน กรณีของพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น
โซนที่หนึ่ง คือ พื้นผิวพระที่เกิดจากแรงกดบนเนื้อพระให้แนบสนิทกับผิวแม่พิมพ์ แรงกดประเภทนี้เริ่มต้นจากการกดลงตรงๆ จากด้านหลังพระโดยอาจจะใช้อุปกรณ์ช่วยกดเช่นแผ่นไม้กระดาน แต่เมื่อเนื้อพระลงไปในบล็อกแม่พิมพ์แล้วแรงกดจะมาจากทุกทิศทาง จากลักษณะของการออกแบบแม่พิมพ์ที่มีลักษณะเป็นแอ่งมีการลาดเทและกรอบบังคับพิมพ์ พื้นผิวในโซนนี้จะมีความเรียบแน่นตัวมากเป็นพิเศษ (การที่พบการปริกระเทาะเฉพาะที่ด้านหลัง ไม่พบที่ด้านหน้าองค์พระสมเด็จวัดระฆังฯ อาจจะเกิดด้วยสาเหตุนี้ก็ได้) ความเหนียวเกาะตัว และความละเอียดของเนื้อปูนวัตถุดิบ รวมถึงแรงกดไล่ฟองอากาศ มีผลโดยตรงกับความเรียบของพื้นผิว ในส่วนของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่ทำจากแม่พิมพ์ไม้นั้นการแน่นตัวของเนื้อพระจะแตกต่างกันมาก
โซนที่สอง คือ พื้นผิวด้านหลังองค์พระ กรณีพระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้น เป็นพื้นผิวที่เกิดจากแรงกดลงในทิศทางเดียว โดยกดผ่านอุปกรณ์ช่วยเช่นแผ่นไม้กระดานหรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดลักษณะเฉพาะต่างๆ เช่นแบบ หลังเรียบ หลังกระดาน หลังกาบหมาก และหลังสังขยา พื้นผิวด้านหลังจะได้รับแรงกดที่แน่นพอสมควรแต่ไม่เท่าพื้นผิวด้านหน้า เนื่องจากขณะกดจะมีการถ่ายแรงไปด้านข้างตามการปลิ้นตัวของเนื้อพระด้วย ในส่วนของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่ทำจากแม่พิมพ์ไม้นั้นจะมีความคล้ายกัน เนื่องจากขณะกดจะมีการถ่ายแรงไปด้านข้างเช่นกัน
โซนที่สาม คือพื้นผิวด้านข้างที่เกิดจากแรงตัดเฉือน พื้นผิวที่เกิดจากแรงแบบนี้จะไม่เกิดความแน่นตัวที่เกิดจากการตัด อาจจะเกิดรอยแยกจากการตัดหรือไม่เกิดก็ได้ การตัดพระจากด้านหน้าไปด้านหลัง หรือจากด้านหลังไปด้านหน้าสังเกตจากพื้นผิวด้านนี้ได้ไม่ยาก และสามารถที่จะสังเกตเห็นความเหนียวเกาะตัวและความละเอียดเดิมๆ ของเนื้อพระก่อนกดประทับลงบนแม่พิมพ์จากพื้นผิวโซนนี้ได้ชัดเจนกว่าโซนอื่น ในส่วนของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่ทำจากแม่พิมพ์ไม้นั้นจะมีความคล้ายกัน
เมื่อตัดขอบเสร็จแล้วจึงนำมาวางผึ่งไว้ให้แห้งตัวระยะหนึ่ง หลังจากนั้นอาจจะมีการรักษาผิวพระด้วยวัสดุที่ใช้ในการรักษาผิวพระเพื่อป้องกันการสึกหรอจากการโดนน้ำหรือเหงื่อ เช่นมีการลงรัก ซึ่งรักมีอยู่หลายประเภทเช่นรักดำ รักน้ำเกลี้ยง หรืออาจทาด้วยน้ำว่าน น้ำหมาก หรือยางไม้บางชนิด พระบางองค์อาจจะมีการปิดทองล่องชาด อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กรุณาให้ข้อมูลว่า ในสมัยก่อนพระสมเด็จฯ ที่มีการล่องชาดมักจะถูกมองว่าไม่แท้ แต่ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกัน
จากนั้นจึงนำเข้าสู่พิธีปลุกเสกใหญ่ด้วยคาถาชินบัญชรอันลือเลื่องของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตเป็นขั้นตอนต่อไป
@@@@@@@
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครู อีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน
พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ฐานแซม องค์ตำนาน ที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง เนื้อหนึกนุ่ม มีเม็ดพระธาตุปรากฏให้เห็นหลายจุด มีรอยรูพรุนเข็ม พื้นผนังองค์พระปรากฏรอยหนอนด้นที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อพระวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา สังเกตเห็นรอยขูดแม่พิมพ์เป็นจงอยปากนกที่มุมขวาล่างองค์พระ ตัดขอบพอดีกรอบบังคับแม่พิมพ์ เส้นกรอบบังคับแม่พิมพ์มีลักษณะนูนเด่นเป็นพิเศษ ด้านหลังเป็นแบบกระดาน มีขอบปริกระเทาะที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เพจเฟสบุ๊ค – พระสมเด็จศาสตร์อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติมwebsite : https://www.thairath.co.th/lifestyle/amulet/285819514 พ.ค. 2568 ,10:50 น. | ไลฟ์สไตล์ > พระเครื่อง | ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
37
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เสพข่าวมากเกินไป สุขภาพจิตพัง ระวัง Headline Stress Disorder
|
เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2025, 08:33:17 am
|
. เสพข่าวมากเกินไป สุขภาพจิตพัง ระวัง Headline Stress Disorderช่วงนี้เสพข่าวมากเกินไปรึเปล่า..เช็คด่วน เสพข่าวจนตาเป็นหมีแพนด้าแล้วใช่ไหม ? รู้ตัวอีกทีก็สว่างซะแล้ว!! ข่าวและเนื้อหาต่าง ๆ ที่เผยแพร่ในสื่อและโซเชียลมีเดีย สร้างความเศร้า ความเครียดไม่รู้ตัว ที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการเครียดสะสม หรือที่เรียกว่าอาการ “Headline Stress Disorder”
ภาวะ Headline Stress Disorder คือ ?
Headline stress disorder ไม่ใช่ชื่อโรคร้ายแรงใด ๆ แต่เป็นคำที่ใช้เรียกภาวะเครียดหรือวิตกกังวลมากที่เกิดขึ้นจากการเสพข่าวทางสื่อต่าง ๆ ที่มากเกินไป โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียที่เปิดให้คนอ่านข่าวได้ตลอด 24 ชม. จนเกิดเป็นความกังวลจนเกินพอดี หรือที่เรียกว่าอาการ Panic นั่นเอง
ส่งผลเสียอย่างไร ?
การเสพข่าวหดหู่มากไปสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจได้มากและหลายระบบ ซึ่งถ้าปล่อยไว้ อาจส่งผลต่อการเกิดโรคบางอย่างได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรควิตกกังวล หรือโรคซึมเศร้า อาการที่บ่งชี้ว่าอาจเกิดภาวะ Headline stress disorder เช่น
-ใจสั่น - แน่นหน้าอก - นอนไม่หลับ - วิตกกังวล - ซึมเศร้า - โกรธ ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นภาวะ Headline Stress Disorder ?
• คนที่เหนื่อยล้าทั้งทางจิตใจหรือร่างกายอยู่แล้ว เช่น อาจกำลังเครียดเรื่องงาน ครอบครัว การเรียน พักผ่อนไม่เพียงพอ เจ็บป่วย อยู่นั้น อารมณ์จะอ่อนไหวง่าย เมื่อมาเสพข่าวที่หดหู่ก็จะเครียดได้ง่าย • คนที่มีโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าอยู่แล้ว จะถูกกระตุ้นได้ง่ายจากการเสพข่าวที่หดหู่ • คนที่ใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์เยอะ ก็มีโอกาสที่จะรับรู้ข่าวทั้งที่จริงและปลอม ทั้งดีและร้ายได้เยอะ • คนที่ขาดวิจารณญาณในการเสพข่าว อาจจะเป็นด้วยวัย วุฒิภาวะ หรือบุคลิกภาพ มีแนวโน้มจะเชื่อพาดหัวข่าวในทันทีที่เห็นได้ง่าย
@@@@@@@ วิธีจัดการความเครียดจากการเสพข่าวหดหู่ทั่วไปด้วยตนเอง
1. จำกัดเวลาในการเสพข่าว เคร่งครัดกับเวลาที่กำหนดไว้ 2. หากเครียดมากอาจงดเสพข่าวหรือใช้สื่อสังคมออนไลน์ไปสักพัก 3. อย่าเชื่อพาดหัวข่าวที่เห็นในทันที เพราะพาดหัวข่าวมักใช้คำที่กระตุ้นอารมณ์เพื่อดึงดูดให้คนสนใจ แนะนำให้อ่านรายละเอียดของข่าวด้วย 4. ตรวจสอบข่าวก่อนจะเชื่อ อ่านข่าวจากสื่อที่เชื่อถือได้ เพราะปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์กันมาก 5. หากเป็นข่าวด่วนอาจรอสักหน่อยให้มีข้อมูลและความจริงมากขึ้นแล้วค่อยอ่านในรายละเอียดข่าว 6. พยายามมองหาสิ่งที่ดีในข่าวที่อ่านบ้าง ทุกอย่างมีทั้งด้านดีและร้ายเสมอ 7. อ่านข่าวที่ดีต่อใจบ้าง อย่าเสพแต่ข่าวที่หดหู่ 8. อย่าเสพข่าวก่อนนอน เพื่อให้สมองได้พักและหลับได้ดี 9. ทำกิจกรรมคลายเครียด ผ่อนคลายบ้าง อย่าเอาแต่ติดตามข่าวทั้งวัน เช่น การดูหนัง ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ เพื่อให้ชีวิตเกิดความบาลานซ์ 10. พูดคุยกับคนอื่นบ้าง การหมกมุ่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งคนเดียวจะยิ่งทำให้จมกับความคิดลบ ๆ ได้ง่าย 11. หากทำตามคำแนะนำข้างต้นแล้วยังเครียดมากอยู่ ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือ chatbot 1323 หรืออาจไปปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์
@@@@@@@
สุดท้ายอยากฝากไว้สักนิดว่าการรับรู้ข่าวสารเป็นเรื่องที่ดี แต่หากรับรู้มากเกินไปจะทำให้เกิดอารมณ์ร่วม ซึ่งข่าวบางข่าวอธิบายเหตุผลได้ไม่ครบ 100% เราจึงต้องมีสติ เพราะเรื่องราวที่เราได้รู้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด เราเลือกที่จะไม่อินกับมันได้ ถ้าหากเริ่มอินกับข่าวมากเกินไปลองหากิจกรรมอื่นทำเพื่อให้ผ่อนคลายลดอาการเครียดลงบ้างนะคะขอขอบคุณ :- ที่มา : กรมสุขภาพจิต บทความโดย : โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ https://www.princsuvarnabhumi.com/articles/headline-stress-disorder
|
|
|
38
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “ทำไมพระพุทธศาสนาในไทยจึงมี ๒ นิกาย” คำถามของฝรั่งต่อ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร
|
เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2025, 07:59:53 am
|
. “ทำไมพระพุทธศาสนาในไทยจึงมี ๒ นิกาย” คำถามของฝรั่งต่อ "หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร"ครั้งหนึ่ง มีฝรั่งอเมริกันคนหนึ่งซึ่งศึกษาพระพุทธศาสนาในไทยมาพอสมควร ได้ตั้งคำถามต่อเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณวชิโรดม (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) คำถามเป็นภาษาอังกฤษและตรงไปตรงมาแบบคนต่างชาติว่า “ทำไมพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจึงแบ่งออกเป็น ๒ นิกาย ทั้งที่มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกัน นิกายทั้งสองมีเป้าหมายต่างกันอย่างไร”
หลวงพ่อวิริยังค์ไม่ตอบทันที เพียงแต่ยิ้ม แล้วถามกลับด้วยคำถามง่าย ๆ ว่า “แล้วทำไมระบบการเมืองในอเมริกาจึงมี ๒ พรรค คือ พรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมแครต ทั้งที่เป็นประเทศเดียวกัน ทั้งสองพรรคมีเป้าหมายต่างกันไหม”
ฝรั่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ไม่ต่างครับ เป้าหมายคือพัฒนาประเทศให้เจริญและให้ประชาชนมีความสุข”
หลวงพ่อตอบกลับว่า “พระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่มี ๒ นิกาย ก็ไม่ต่างจากระบบการเมืองของอเมริกานั่นแหละ”
ฝรั่งยกมือไหว้แล้วกล่าวว่า “เข้าใจแล้วครับ”
@@@@@@@
วาทะอันเฉียบคมของหลวงพ่อวิริยังค์ สามารถจบคำถามของคนทั้งโลกไว้ในประโยคเดียวเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็เปิดประตูให้เห็นความจริงอีกขั้นหนึ่งว่า ความหลากหลายในพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเข้าใจว่าแก่นธรรมะมิได้แบ่งแยกด้วยชื่อนิกาย แต่เป็นมนุษย์ต่างหากที่ตีความและจัดรูปแบบต่างกันตามเวลา สถานที่ และจริตของผู้ปฏิบัติ
ในพระไตรปิฎก ไม่ได้มีบันทึกว่าพระพุทธเจ้าทรงจัดตั้ง “นิกาย” ขึ้นมาแต่อย่างใด พระองค์เพียงแต่ทรงแสดงธรรมโดยตรงแก่เวไนยสัตว์ตามจริต โดยไม่มีระบบ ไม่มีสังกัด ทรงวางไว้เพียงสิ่งเดียวก็คือ “ธรรมวินัย” และตรัสไว้ชัดเจนในมหาปรินิพพานสูตรว่า “ธรรมวินัยจักเป็นศาสดาแทนเรา” เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วราว ๓ เดือน ได้มีการประชุมพระสงฆ์ผู้เป็นพระอรหันต์จำนวน ๕๐๐ รูป ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา เมืองราชคฤห์ ในการสังคายนาครั้งที่ ๑ เพื่อรวบรวมคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ โดยเฉพาะธรรมะที่ได้ยินจากพระอานนท์และพระวินัยที่พระมหากัสสปะตรวจสอบจากการปฏิบัติของหมู่สงฆ์ พระเถระเหล่านั้นไม่ได้แก้ไข แต่ทบทวนเพื่อรักษาธรรมะของเดิมไว้ให้บริสุทธิ์ ไม่ให้แปรปรวนไปตามความเห็นส่วนตน
ต่อมาอีกราว ๑๐๐ ปี ได้เกิดกรณีความเห็นต่างในธรรมวินัยบางข้อ จนนำไปสู่การสังคายนาครั้งที่ ๒ ได้มีการประชุมพระสงฆ์ผู้เป็นพระอรหันต์จำนวน ๗๐๐ รูป ณ เมืองเวสาลี พระภิกษุกลุ่มหนึ่งต้องการผ่อนปรนเรื่องเล็ก ๆ เช่น การเก็บเงินไว้ใช้ การฉันอาหารเกินเวลา เป็นต้น ขณะที่อีกฝ่ายยืนยันในความเคร่งครัดตามธรรมวินัยเดิม ความเห็นต่างนี้เอง ที่กลายเป็นรอยแยกครั้งสำคัญของคณะสงฆ์ ที่เป็นออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ได้แก่ “สถวีระวาท” (ผู้ยึดตามพระวินัยเคร่งครัด) และ “มหาสังฆิกะ” (ผู้เน้นความยืดหยุ่น) ซึ่งต่อมากลายเป็นรากฐานของเถรวาทและมหายานในปัจจุบัน
เมื่อพระพุทธศาสนาแผ่ขยายไปยังอินเดียตอนเหนือ จีน ทิเบต ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะการปฏิบัติย่อมเปลี่ยนไปตามภาษา วัฒนธรรม และแนวคิดในแต่ละท้องถิ่น จึงเกิดการตีความใหม่ มีการแปลพระไตรปิฎกหลายภาษา และการเพิ่มคำอธิบาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความพยายามของผู้ศรัทธาที่ต้องการเข้าถึงธรรมะ แต่แปลความออกมาในแนวทางต่างกันไป
ในประเทศไทยเอง พระพุทธศาสนาเถรวาทได้ตั้งมั่นในยุคสุโขทัย แต่เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ มีการปฏิรูปคณะสงฆ์โดยรัชกาลที่ ๔ จนเกิดเป็น “ธรรมยุติกนิกาย” ซึ่งเน้นความเคร่งครัดในวินัย การสวดภาษาบาลีให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และการอ้างอิงพระไตรปิฎกตามแนวบาลี ขณะที่ “มหานิกาย” ซึ่งเป็นนิกายเดิม ยังคงมีจำนวนมากกว่าและยืดหยุ่นในบางจุดตามจารีตไทย
แม้ทั้งสองนิกายจะแตกต่างกันในรายละเอียดของการปฏิบัติ เช่น วิธีสวด การบวช หรือแนวทางการฝึกอบรม แต่ยึดมั่นในพระไตรปิฎกฉบับเดียวกัน ถือศีล ๒๒๗ ข้อเท่ากัน เคารพพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกัน และมีเป้าหมายสูงสุดร่วมกันคือ “นิพพาน”
@@@@@@@
นิกายจึงไม่ใช่การแบ่งแยกพระพุทธศาสนา เปรียบเสมือนเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาที่ต่างกัน แต่ทั้งหมดมุ่งสู่ยอดเขาลูกเดียวกัน นั่นคือ “ความหลุดพ้นจากกิเลส” ฉะนั้น เมื่อใดที่ยึดนิกายมาเป็นเครื่องแบ่งแยก แสดงว่า เมื่อนั้นอาจจะเดินออกจากทางสายกลางของพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวก็ได้
การที่หลวงพ่อวิริยังค์ ใช้คำถามเรื่องการเมืองอเมริกันมาเปรียบเทียบกับนิกายในพระพุทธศาสนา จึงไม่ใช่แค่การยกตัวอย่างเปรียบเปรย แต่เป็นการให้กรอบความคิดใหม่ว่า ความต่างกันไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่คือธรรมชาติของความคิดมนุษย์ซึ่งเป็นปุถุชนต่างหาก
ความต่างที่ไม่ละเมิดธรรมวินัย ย่อมไม่เป็นภัย ยิ่งกว่านั้น หากความต่างนี้ยังนำไปสู่ความสงบ เย็น และพ้นทุกข์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ควรเคารพเช่นกัน
ฉะนั้น ไม่ว่าจะยึดนิกายไหนก็ตาม ตราบใดที่ชาวพุทธยังเจริญภาวนาเพื่อลดอัตตา ปฏิบัติเพื่อฝ่าฟันกับกิเลส และยึดธรรมวินัยเป็นหลัก แสดงว่าได้อยู่ในกระแสของพุทธศาสนาโดยแท้จริง เพราะธรรมะไม่ได้แบ่งนิกาย แต่ใจของคนต่างหากที่ชอบแบ่งโน่นนี่นั่น นั่นเองขอขอบคุณ :- บทความ : คัดลอก เรียบเรียง และสรุปจากเรื่องเล่าจากแพทย์ไทยในอเมริกา เล่าให้คณะกฐินสามัคคีจากประเทศไทยฟัง ณ วัดราชธรรมวิริยาราม ๓ เมืองเอ็ดมันตัน รัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ถ่ายทอดต่อโดย มนต์ชัย เทียนทอง ภาพจาก : https://upload.wikimedia.org/ , https://cheewajit.com/
|
|
|
39
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ว่าด้วย จิตตก
|
เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2025, 11:15:34 am
|
.  พระอาจารย์ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาาณวชิโร) ในขณะนั้น (ภาพในอดีต) จิตตกภวังค์ คืออะไร.?ทีนี้ก็มาถึงเรื่องจิตตกภวังค์ ผู้ปฏิบัติสมาธิมักจะได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านใช้อธิบายสภาวะจิตขณะดำเนินไปสู่ความสงบ แต่เกิดเผลอสติทำให้วูบดิ่งลงไปอย่างเร็วชั่วขณะ เหมือนลิฟต์ดิ่งลงแบบไม่ชะลอลง บางขณะเหมือนจิตตกวูบลงมาจากที่สูง ชั่วขณะจิตหนึ่งก็สะดุ้งขึ้นมามีอาการเหมือนคนโงกง่วงวูบไปชั่วขณะก็สะดุ้งขึ้นมา
“แต่อย่างไรก็ตาม ก็อย่าไปใส่ใจว่าจะเป็นอะไร เพราะแม้จะอธิบายเป็นจิตตกภวังค์ หรือโงกง่วง ก็เป็นเพียงอาการหนึ่งของจิตที่ต้องรู้เท่านั้น” พระอาจารย์ญาณวชิระ
พอจิตตกลงไป ก็คือไม่รู้ นั่นแหละอวิชชาปรากฏ จะอธิบายให้ดูเป็นคำแปลกขึ้นมาในทางสมาธิ ก็เป็นเพียงอาการของจิตที่เผลอสติจึงปล่อยให้วูบไป ที่นำมาอธิบายไว้ก็เพื่อจะให้รู้ไว้เท่านั้น เมื่อมีการพูดถึงคำนี้ก็จะได้เข้าใจความหมายของภาษาที่ใช้สื่อสารกันในหมู่ผู้ปฏิบัติสมาธิ ไม่ใช่คำที่วิเศษออกไปแต่อย่างไร
“จิตตกภวังค์หรือจิตตก เพราะโงกง่วง ก็คือจิตเผลอสติ” พระอาจารย์ญาณวชิระ
จิตไม่อยู่กับปัจจุบันขณะ เป็นจิตมีโมหะ มีถีนมิททะ มีอุทธัจจะกุกกุจจะ จึงเผลอสติ รวมความก็คือเป็นจิตมีลักษณะแห่งอวิชชาไม่รู้ปัจจุบันขณะ เพราะไม่ตั้งมั่นในอารมณ์พระกรรมฐาน
อาการของจิตตกภวังค์กับอาการของจิตสัปหงกโงกง่วง จะมีอาการคล้ายๆ กัน คือ อาการเผลอเลอลืมสติ แต่ก็มีความต่างกัน คือ เมื่อมีความง่วงเราก็จะรู้สึกว่าง่วงนอนมาก พยายามฝืนความง่วง พอเผลอสติก็สัปหงกโงกง่วงไป ก็สะดุ้งสุดตัว
ส่วนจิตตกภวังค์ เมื่อกำหนดภาวนาไปพอเกิดเบาสบาย เพราะจิตกำลังรวมดวงดำเนินไปสู่ความสงบ เกิดเผลอสติเพราะอารมณ์เบาสบาย ขาดสติกำหนดองค์พระกรรมฐาน ขาดความรู้ตัวทั่วพร้อม ก็วูบลงสู่ภวังค์ชั่วขณะ คือ จิตตกลงสู่ภวังค์แบบขาดสติ จึงไม่มีสติเป็นเครื่องชะลอลง ก็สะดุ้งกลับขึ้นมา เหมือนเวลาจับเชือกหย่อนของหนักๆ ลง เราก็ค่อยๆ ชะลอลง ถ้าไม่ชะลอลง ปล่อยเชือกเสียก็ร่วงลงที่เดียว
“สติก็หมือนเชือก ที่คอยชะลอจิตขณะรวมดวงสู่ภวังค์” พระอาจารย์ญาณวชิระ พระอาจารย์ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาาณวชิโร) ในขณะนั้น (ภาพในอดีต) จิตตกภวังค์จึงเป็นคำเรียกสภาวะจิตนี้ในหมู่ผู้ปฏิบัติสมาธิ โดยนำคำว่า “ภวังคจิต” ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระอภิธรรม ที่อธิบายกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของจิต มาอธิบายสภาวะจิตขณะปฏิบัติสมาธิแล้ววูบไปชั่วขณะ บางทีก็อธิบายว่า จิตตกภวังค์ คือจิตตกลงสู่ภพเดิมของตนเอง หรือจิตดั้งเดิม ภพเดิมของจิตมีธรรมชาติเป็นปภัสสร
แต่การที่จิตตกภวังค์เข้าสู่ภพเดิมแบบกระทันหันจะเป็นเพียงชั่ววูบเดียว เพราะเผลอสติจิตจึงร่วงลงสู่ภพเดิม แล้วสะดุ้งขึ้นมา ไม่ใช่การเข้าสู่ภพเดิมแบบมีสติสมบูรณ์ อยู่กับสภาวะปัจจุบันขณะดำเนินไปสู่ความสงบ จิตตกภวังค์จะคล้ายๆ อาการสะดุ้งตื่นจากอาการสัปหงกโงกง่วง วูบหลับไปแล้วสะดุ้งตื่น บางทีก็เหมือนได้นอนตื่นหนึ่ง จิตก็จะมีกำลังขึ้นมา มีความตื่นตัวเหมือนนอนอิ่ม
เพียงแต่จิตตกภวังค์ใช้อธิบายอาการสภาวะจิตขณะปฏิบัติสมาธิแล้วจิตวูบไปเพราะเผลอสติชั่วขณะหนึ่งก็ยกจิตขึ้นมาแล้วกำหนดองค์ภาวนาต่อไป ความต่างกันระหว่างความโงกง่วงกับจิตตกภวังค์ คือ เมื่อภาวนาไปเกิดความง่วงซึ่งเกิดจากความอ่อนเพลียของร่างกาย ก็จะรู้สึกว่าง่วงเราก็ฝืนใจที่จะปฏิบัติสมาธิต่อ จึงสัปหงกโงกง่วงไป แล้วสะดุ้งทั้งตัว
@@@@@@@
ส่วนจิตตกภวังค์ ผู้ปฏิบัติอยู่ในอาการเบาสบาย เพราะจิตกำลังรวมดวงดำเนินเข้าสู่ความสงบ ความเบาสบายทำให้เผลอเลอลืมสติขาดการกำหนดรู้สภาวะที่เป็นปัจจุบัน ความรู้สึกเบา เบากายเบาใจ เพราะความสงบทำให้สติอ่อนกำลัง จึงเป็นจิตที่มีลักษณะถูกโมหะเข้าครอบ ถูกถีนมิททะ ถูกอุททัจจะกุกกุจจะเข้าครอบ ทำให้เป็นจิตฟุ้งๆเบลอๆ เลื่อนลอยอ่อนกำลัง มีความไม่ชัดเจน สติก็ไม่แจ่มชัด สมาธิก็ไม่ชัดเจน มีความคิดปนอยู่ด้วย แต่ไม่ชัดว่าคิดอะไร
จิตอ่อนกำลังจึงตก เหมือนคนป่วยหนักอ่อนกำลังกำลังจึงตก พยายามที่จะฝืนกำลังกลับขึ้นมา พอฝืนขึ้นมากำลังก็ตกลงไปอีก ถ้าฝืนใจยกกำลังกลับขึ้นมาอยู่เรื่อย กำลังใจก็จะกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนกำลังคงที่ เหมือนคนออกกำลังกายบ่อยกล้ามเนื้อก็แข็งแรง
เมื่อจิตจะเข้าสู่ภพเดิมก็สามารถเข้าแบบชะลอตัวค่อยๆ เข้าไป เป็นการเข้าไปแบบประคองตัว โดยมีสติคอยกำกับ
อาการที่จิตตกวูบเรียกว่า “จิตตกภวังค์” พระอาจารย์ญาณวชิระ
แต่ถ้าตกไปแล้ว สามารถชะลอจิตให้เบาผ่านไปได้จนจิตมีกำลัง ก็จะสามารถประคองจิตเข้าสู่ความเป็นเอกภาพ มีความว่างภายในได้ คือจิตกำลังดิ่งอยู่ แต่เผลอสติปล่อยให้ตกวูบลงไปทีเดียว ก็เรียกว่า ขาดสติประคองจิต อาการนี้เป็นอาการของจิตที่เจือด้วยถีนมิททะ อุททัจจะกุกกุจจะ มีความโงกง่วง ฟุ้งๆ เบลอๆ เพราะสติไม่บริบูรณ์ขอบคุณที่มา :- บันทึกธรรม สัมมาสมาธิ (บทที่ ๓๘) จิตตกภวังค์คืออะไร เขียนโดย พระอาจารย์ญาณวชิระ (เทอด ญาณวชิโร) https://www.manasikul.com/บันทึกธรรม-สัมมาสมาธิ-บ-37/ โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ - ธันวาคม 27, 2021 ภวังคจิต คือ จิตที่เป็นองค์แห่งภพ
ตามหลักอภิธรรมว่า จิตที่เป็นพื้นอยู่ระหว่างปฏิสนธิและจุติ คือ ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ในเวลาที่มิได้เสวยอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ มีจักขุทวาร เป็นต้น
แต่เมื่อใดมีการรับรู้อารมณ์ เช่น เกิดการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ก็เกิดเป็นวิถีจิตแทนภวังคจิต เมื่อวิถีจิตดับหมดไป ก็เกิดเป็นภวังคจิตขึ้นอย่างเดิม
ภวังคจิต นี้ คือ มโน ที่เป็นอายตนะที่ ๖ หรือ มโนทวาร อันเป็นวิบาก เป็นอัพยากฤต ซึ่งเป็นจิตตามสภาพ หรือตามปกติของมัน ยังไม่ขึ้นสู่วิถีรับรู้อารมณ์ (เป็นเพียงมโน ยังไม่เป็นมโนวิญญาณ)
พุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา” มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้น เป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจด จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ จิตที่ประภัสสรนี้ พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า ได้แก่ ภวังคจิตที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ภวังคจิต
|
|
|
40
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ว่าด้วย จิตตก
|
เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2025, 10:36:47 am
|
. “เครียด หงุดหงิด จิตตก” ถึงเวลาพบจิตแพทย์หรือยัง.?เนื่องจากสภาวะการณ์รอบตัวของแต่ละคนนั้น แตกต่างกันตามพื้นฐานครอบครัวและสังคมที่ต้องพบเจอในชีวิตประจำวัน เรื่องราวต่าง ๆ อาจจะส่งผลกระทบโดยตรง ต่อทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ
หากสังเกตตัวเอง และคนใกล้ชิดว่า…เขาเริ่มมีพฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ และการเข้าสังคม ที่แปลกไป ถึงเวลาหรือยัง ? ที่จะลองแนะนำให้เขาเข้าไปปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อลองมาสังเกตอาการผิดปกติกัน และช่วยให้เขากลับมามีสุขภาพกายและจิตที่เป็นปกติ
จะรู้ตัวตอนไหนว่า “คุณ” เข้าข่ายต้องปรึกษาจิตแพทย์
1. อารมณ์สวิง เปลี่ยนแปลง ขึ้นลงง่าย 2. อดทนต่อสภาวะรอบตัวได้ยากขึ้น 3. ไม่มีสมาธิในการทำกิจกรรม หรือการงานต่าง ๆ 4. เครียด ใจสั่น หัวใจเต้นแรง ตื่นเต้นกับทุกเหตุการณ์รอบตัว 5. มีอารมณ์ทั้งเศร้า เหงา หรือจิตตก อยากแต่จะหาคนระบายให้ฟัง 6. อยากแยกตัวกับสังคม เก็บตัว พูดคุยน้อยลง 7. ไม่อยากทำอะไร ขี้เกียจ เบื่อโลกและผู้คน 8. อยากนอน มีอาการการนอนที่ผิดปกติไป หรือ อาจจะนอนไม่หลับ 9. ทำอะไรที่ไม่เคยทำ มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือ การใช้จ่ายที่แปลกไป 10. กลัวสื่งใดสิ่งหนึ่ง ย้ำคิดย้ำทำ หวาดระแวง หูแว่ว เห็นภาพหลอน 11. ไม่อยากมีชีวิตอยู่ เริ่มมีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง และพยายามอยากจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย
…หากสังเกตตัวเองว่า “เริ่มเข้าข่ายที่มีพฤติกรรมดังกล่าว” ควรถึงเวลาแล้วล่ะ ที่คุณควรที่จะต้องไปปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อดูว่าในกลุ่มอาการของโรคที่คุณเป็น เข้าข่ายอาการของกลุ่มอาการของโรคจิตเวชประเภทใด หลายคนอาจจะคิดว่า “อาการทางจิต” ที่เกิดขึ้น เป็นแค่เพียงอารมณ์ชั่ววูบ มีแต่คนที่เป็นโรคหรือคนใกล้ชิดเท่านั้น ที่จะรับรู้ว่าได้ว่า ตนเองเริ่มมีสัณญาณเตือนที่ผิดแปลกไปจากเดิม แต่โรคทางจิตเวชนั้น มีกลุ่มอาการของโรคที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น
กลุ่มอาการของโรคจิตเวชที่พบ ได้แก่
1. โรคแพนิก 2. โรคซึมเศร้า 3. โรคจิตเภท 4. โรคอารมณ์สองขั้ว หรือ ไบโพลาร์ 5. โรคสมองเสื่อม 6. โรคจิตหลงผิด 7. โรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรง ฯลฯ
…หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการดังกล่าว อย่าปล่อยอาการเหล่านี้ไว้ ควรรีบไปพบจิตแพทย์ เพื่อเข้ารับคำปรึกษา โดยจิตแพทย์อาจจะร่วมมือกับนักจิตวิทยา ในการช่วยเหลือให้คำแนะนำ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมปรับพฤติกรรม หรือให้ยารักษาโรค เพื่อปรับสารเคมีในสมองให้แก่ผู้ป่วย…เพื่อการดูแลตัวเองให้เต็มประสิทธิภาพต่อไปขอบคุณ : https://www.princsuvarnabhumi.com/articles/content-mental-illnessบทความสุขภาพ | โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ
ทำอย่างไร.? เมื่อจิตตกเคยหรือไม่กับความเครียดที่เกิดจากปัญหาของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว หรือแม้แต่เรื่องความรัก และไม่ว่าจะเป็นปัญหาแบบใด หากเราจมอยู่กับความคิดนั้นจนรู้สึกแย่ และไม่สามารถหาทางออกได้ อาจทำให้เราเสี่ยงเป็นสภาวะ “จิตตก” ได้
ซึ่งสภาวะดังกล่าวสามารถส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้ และด้วยความที่สภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย หากเราขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมัน บทความนี้จึงจะพาคุณไปรู้จักกับสภาวะจิตตกกัน
@@@@@@@ อาการของสภาวะจิตตก
ในระยะแรก ๆ จะรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างมาก เริ่มกลัวและคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในแง่ลบ ซึ่งอาจมีอาการอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง เช่น นอนไม่หลับ ใจสั่น ไม่มีสมาธิ ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เป็นต้น หากอาการอยู่ในระดับรุนแรงอาจทำให้คิดถึงขั้นว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
นอกจากนี้ในบางรายอาจมีอาการทางจิตร่วมด้วย เช่น หวาดระแวง หูแว่ว และประสาทหลอน เป็นต้น และเนื่องจากโรคนี้ไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง อีกทั้งยังไม่สามารถรู้ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน เพราะต้องขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่เราต้องเจอด้วย ดังนั้นการเตรียมพร้อมรับมือกับอาการจิตตกจึงเป็นสิ่งที่เราควรรู้เอาไว้ เตรียมรับมือกับอาการจิตตกได้อย่างไร
หากเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องราวหรือเหตุการณ์ร้าย ๆ ได้ เราก็ควรดูแลตนเองในทุกสภาวะในทุก ๆ วัน เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดจากเรื่องรอบตัวมากจนเกินไป เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะหากร่างกายของเราได้รับการพักผ่อนน้อยจะส่งผลถึงความคิด และอารมณ์ในทางอ้อมได้
นอกจากนี้การหากิจกรรมอื่น ๆ ทำเพื่อพักผ่อนร่างกายก็สามารถช่วยได้ เช่น การออกกำลังกายเพื่อให้สมองหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินที่สามารถช่วยให้เราผ่อนคลายขึ้นได้ หรือจะดูหนัง ฟังเพลง ก็ถือเป็นการพักผ่อนทางจิตใจได้เช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ในสภาวะจิตตกควรทำอย่างไร
เมื่อตกอยู่ในสภาวะดังกล่าวเราต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ และความคิดต่อเรื่องนั้น ๆ ทั้งการเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อว่าปัญหาจะมีทางออก มองหาแง่บวกของเรื่องนั้น ๆ จัดลำดับขั้นตอนของปัญหา และไล่แก้ไขทีละเรื่องไปตามขั้นตอนที่วางเอาไว้
แต่ถ้ามั่นใจแล้วว่าไม่สามารถผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้ การให้เพื่อน หรือคนในครอบครัวเข้ามาช่วยก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งเหมือนกัน
แต่ถ้าหากยังไม่สามารถหาทางออกได้อีก ให้เข้าพบแพทย์ด้านจิตวิทยา หรือจิตแพทย์เพื่อรับการปรึกษา พูดคุยเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้นให้จงได้
ปัญหาสภาวะจิตตกถือเป็นเรื่องไม่ไกลตัว ดังนั้นการเตรียมรับมือ และกำลังใจจากผู้คนรอบข้างในการเจอปัญหาต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราผ่านพ้นปัญหาต่าง ๆ ไปได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : สสส. ขอบคุณ : https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/depressed_moment02 มิถุนายน 2563 • รวมบทความสุขภาพ
|
|
|
|