ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 592 593 [594] 595 596 ... 711
23721  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: E-Book พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน ตอน..ว่าด้วยพระสูตร เมื่อ: มิถุนายน 22, 2012, 09:14:54 am



ท่านใดสนใจหนังสือของกรมการศาสนา คลิกเข้าไปที่เว็บนี้เลยครับ
http://www.dra.go.th/emedia/index.php
มีหนังสือหลายเล่มที่น่าสนใจ
23722  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / E-Book พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน ตอน..ว่าด้วยพระสูตร เมื่อ: มิถุนายน 22, 2012, 09:05:10 am

E-Book พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน ตอน..ว่าด้วยพระสูตร









ท่านใดต้องการดาวน์โหลด
ขอให้วางเม้าส์ที่ภาพแล้วคลิก จากนั้นให้เลือก save as หรือบันทึกหน้าเป็น


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.dra.go.th/emedia/bookdetail.php?bookid=27
23723  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / 'กลุ่มบัวผลิหน่อ' จัดตั้งกองบุญสร้าง 'พระสีวลี' เมื่อ: มิถุนายน 22, 2012, 08:38:11 am



'กลุ่มบัวผลิหน่อ' จัดตั้งกองบุญสร้าง 'พระสีวลี' กองละ ๑๐๐ บาท



   



ภาพด้านบนเป็นการถวายองค์พระสีวลี องค์ที่ 1 ให้วัดละว้า ต.ศรีกะอาง อ.บ้านนา จ.นครนายก




วัดวังขอน ต.บางโรง อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา

องค์ที่ 2 สร้างพระสีวลี ไว้หน้าพระอุโบสถ วัดวังขอน จ.ฉะเชิงเทรา
    กลุ่มบัวผลิหน่อ ขอเชิญร่วมสมาชิกและญาติธรรม ทุกๆ ท่าน ร่วมเป็นเจ้าภาพ สร้างพระสีวลี หล่อด้วยเนื้อปูน ขนาดความสูง 2.10 เมตร เพื่อประดิษฐานไว้หน้าพระอุโบสถ วัดวังขอน ต.บางโรง อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อเป็นที่เคารพสักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
    การจัดสร้างครั้งนี้ เป็นองค์ที่ 2 ซึ่งกำลังดำเนินการจัดหาทุน ยังไม่ได้กำหนดวันและเวลา ในการถวาย คาดว่า จะช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฏาคม พ.ศ.2555 พร้อมกับ การฉลองสมโภชพระพุทธรูป หน้าตัก 4 ศอก

    การจัดสร้างใช้บริการโรงงานพุทธศิลป์ อ.เมือง จ.สระบุรี ในการจัดสร้างโดยมีค่าใช้จ่าย ดังนี้
       1. ค่าสร้างองค์พระสีวลี จำนวน 9,000 บาท
       2. ค่าสร้างฐานพระ จำนวน 3,000 บาท (ประมาณคร่าวๆ)
       3. ค่าขนส่ง จำนวน 2,000 บาท
       รวมเป็นเงิน 13,000 บาท


     โดยกลุ่มบัวผลิหน่อ เปิดให้เป็นเจ้าภาพ กองบุญละ 100 บาท จำนวน 130 กองบุญ หรือ ร่วมเป็นเจ้าภาพตามกำลังศรัทธา สามารถโอนเงินบริจาคได้ที่
             บัญชี ธนาคารกรุงเทพ
             ประเภทออมทรัพย์ สาขาเขื่อนขันธ์-พระประแดง
             เลขที่บัญชี 231-042933-3
             ชื่อบัญชี นายวุฒิชัย ศรีสุข

     สอบถามเพิ่มเติม เบิร์ด(กลุ่มบัวผลิหน่อ) 085-361-4989
     ทีมงานกลุ่มบัวผลิหน่อ และ คณะผู้สร้าง ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน
     เยี่ยมชมเว็บไซต์ของ"กลุ่มบัวผลิหน่อ" ได้ที่
www.buaplinor.com



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก board.palungjit.com/f105/เหลือ-48-กอง-กองๆบุญละ-100-บาท-ถวายพระสีวลี-ประดิษฐานหน้าพระอุโบสถ-วัดวังขอน-จ-ฉะเชิงเทรา-342146.html
23724  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ๙ มหามงคล วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร เมื่อ: มิถุนายน 22, 2012, 08:01:13 am



ประวัติวัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร

    วัดธรรมมงคลมีชื่อเดิมว่าวัดป่าสะแก เพราะบริเวณวัดเมื่อก่อนมีต้นสะแกมาก ต่อมาภายหลังได้ตั้งชื่อเป็นทางการตามนามผู้ถวายว่า “วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร” ตั้งอยู่เลขที่ 132 ถนนสุขุมวิท ซอย 101 ตรอก ปุณณวิถี 20 เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10260

     ปัจจุบันมีเนื้อที่ทั้งหมด ๓๒ ไร่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2506 มูลเหตุการสร้างวัด เนื่องจากคหบดีเจ้าของที่ดินแห่งนี้คือ นายเถา – นางบุญมา อยู่ประเทศ มีเจตจำนงที่จะมอบที่ดินแปลงนี้ถวายพระสงฆ์ ให้สร้างเป็นวัดในช่วงชีวิตของตน และเคยถวายพระไปแล้วหลายครั้งแต่ทุกครั้งก็ได้รับความผิดหวัง

     เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี พระครูญาณวิริยะ หรือ พระธรรมมงคลญาณ(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ได้มาปักกลดอยู่ที่ป่าสะแกนี้ ประชาชนบ้านใกล้ไกล มีความศรัทธาเลื่อมใส ในจริยะวัตรของท่าน จึงพากันมาทำบุญและฟังธรรม รักษาศีล นั่งสมาธิ จากจำนวนน้อยก็เพิ่มมากขึ้นทุกวัน

    เจ้าของที่ดินเกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงถวายที่ดินให้ท่าน โดยมีจิตมุ่งมั่นและวัตถุประสงค์ ที่จะให้สถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้เป็นวัดให้จงได้ ด้วยพลังศรัทธาของประชาชนและเจ้าของที่ดินจึงได้ร่วมกันทำบุญเรื่อยมา ในที่สุดก็เป็นวัดธรรมมงคลที่สวยงามอลังการ


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.dhammamongkol.com/history.php
23725  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ๙ มหามงคล วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร เมื่อ: มิถุนายน 22, 2012, 07:53:31 am
 

พระธรรมมงคลญาณ(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

๙ มหามงคล วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร

พระเดชพระคุณหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร กล่าวว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน สิ่งที่ควรบูชามี ๒ อย่าง ที่จะสร้างความเป็นสิริมงคลแก่บุคคลผู้บูชา
          - บูชาด้วยวัตถุสิ่งของ เช่น บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน ถวายความเคารพ กราบไหว้ เรียกว่า อามิสบูชา
          - บูชาด้วยการปฏิบัติ เช่น มีการสวดมนต์,นั่งสมาธิ,เดินเวียนขวา ๓ หรือ ๙ รอบ พร้อมสวดบท (อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโน ฯ) เรียกว่าปฏิบัติบูชา เป็นการบูชาที่พระพุทธองค์ ทรงสรรเสริญยิ่งนัก ดังนั้น การบูชาสิ่งที่ที่ควารบูชาเป็นอุดมมงคลสูงสุด ผู้บูชาอยู่เป็นนิตย์ ชีวิตย่อมมีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป



          ๑.พระบรมสารีริกธาตุ พระเดชพระคุณ พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ได้เดินทางไปประเทศบังคลาเทศ ถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และ ครั้งที่ ๒ ปี พ.ศ.ได้อัญเชิญพระเกศาธาตุ และ พระอุรังคธาตุ ซึ่งได้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ชั้นที่ ๑๔ ในพระมหาเจดีย์ ที่สูงที่สุดในประเทศไทย



          ๒.พระพุทธรูป ภ.ป.ร. (หลวงพ่อองค์ดำ) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงเสด็จมาเททองหล่อ ณ วัดธรรมมงคล เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ ประดิษฐาน ณ วิหาร ชั้น ๒ พระวิริยะมงคลมหาเจดีย์ศีรรัตนโกสินทร์



          ๓.พระอโศกพยา (หลวงพ่อพันปี) เป็นพระพุทธรูปแกะสลักด้วยหินทราย มีอายุกว่าพันปี ซึ่งรัฐบาล ประเทศบังคลาเทศ อัญเชิญมาจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เพื่อถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๙ ประดิษฐาน ณ ชั้น ๒ ทางทิศ ตะวันตก ของพระมหาเจดีย์



          ๔.พระอัฏฐาฬส พระเดชพระคุณหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร สร้าง และ ถวายพระนามว่า พระอัฏฐาฬส เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ สูง ๑๘ ศอก ประดิษฐาน ณ ชั้น ๒ ของพระมหาเจดีย์ จุดประสงค์เพื่อให้เป็นพระประธานทางทิศตะวันออก



          ๕.พระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นแบบอย่างแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน ในยุคปัจจุบันแม้ว่าท่านจะมรณะภาพไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีที่ท่านได้ทำให้พระพุทธศาสนายังคงอยู่ตลอดไป อยู่ ณ ศาลาราย ชั้น ๒ ด้านทิศตะวันออกของพระมหาเจดีย์



          ๖.พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย (หลวงพ่อหยก) พระเดชพระคุณหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร นิมิตเห็นหยกเขียวบริสุทธิ์ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักกว่า ๓๒ ตัน ที่ประเทศแคนาดา ปี ๒๕๓๔ ได้นำมาประเทศไทยให้ช่างฝีมือที่ดีที่สุดชาวอิตาลีแกะสลัก ๑ ปี สวยสดงดงามตรงตามพุทธลักษณะ สูง ๒.๒๐ หน้าตัก ๑.๖๖ เมตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามว่า พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย (หลวงพ่อหยก) ประดิษฐาน ณ ศาลา ภ.ป.ร.ชั้น ๓



          ๗.พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (พระแม่กวนอิม) แกะสลักจากพระหยก ก้อนเดียวกันกับหลวงพ่อพระหยก โดยช่างคนเดียวกัน สูง ๒.๒๐ เมตร ทรงประทานพร ดูงามสง่า น่าอัศจรรย์ยิ่ง ประดิษฐาน ณ ศาลา ภ.ป.ร. ชั้น ๓



          ๘.พระพุทธสุพิโนภาสศาสดา (หลวงพ่อใหญ่) พระประธานในอุโบสถ สร้างด้วย ทองสัมฤทธิ์ ใหย่ที่สุด หน้าตักกว้าง ๘ เมตร สูง ๑๖ เมตร เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๑ ออกแบบและนำสร้างโดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๐๙.๑๘ ท่านทำพิธีเบิกเนตร อย่างน่าอัศจรรย์ต้องขึ้นบันไดถึง ๔๐ ขั้น และท่านเป็นพระภิกษุเพียงรูปเดียวมีครูสมาธิพร้อมแขกผู้มีเกียรติ ๕๘๙ คน ทำพิธีพุทธาภิเษก อย่างยิ่งใหญ่ เริ่ม ๑๘.๐๐ ถึง ๒๔.๐๐ น.



          ๙.พระเมตตาพระพุทธเจ้า สร้างขึ้นด้วยการนิมิตเห็นพระพุทธเจ้าลอยมาจากท้องฟ้า มีพุทธรัศมีเปล่งออกมาจากพระวรกายอย่างงดงาม พระพักต์เปี่ยมไปด้วย ความเมตตาทรงพระหัตถ์ประทานพร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓ ณ ศูนย์สมาธิเวฬุพัชร จ.เชียงใหม่ ในกาลต่อมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร และพระภิกษุสามเณรวัดธรรมมงคลพร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนมากมาย มาร่วมพิธีเททองหล่อ เมื่อ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ประดิษฐาน ณ ถ้ำวิปัสสนา ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.dhammamongkol.com/auspicious.php
23726  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดกรุงเก่า..ดีดเสาหนีน้ำท่วม..พังครืน 4 หลัง.!! เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 08:28:22 pm

วัดกรุงเก่า..ดีดเสาหนีน้ำท่วม..พังครืน 4 หลัง.!!

วันนี้ (21 มิ.ย.) พ.ต.ท.ธีระวัฒน์ แสงครุฑ สว.เวร สภ.พระขาว อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งเกิดเหตุ กุฎิภายในวัดสีกุก เลขที่ 35 ม. 2 ต.พระขาว อ.บางบาล พังทลายลงมาจำนวน 4 หลัง จึงพร้อมด้วยพระครูสันติกัลป์ยานคุณ เจ้าคณะตำบลกบเจา เดินทางไปที่เกิดเหตุ

พบว่าที่เกิดเหตุเป็นกุฎิไม้ชั้นเดียวอายุมากกว่า 50 ปี สภาพเก่ามาก ลักษณะเป็นกุฎิที่ปลูกติดกันเป็นแถวยาว 4 หลัง มีสภาพพังลงไปทางด้านหลังเสียหายทั้งหมด พระเณรและคนงานกำลังช่วยกันเก็บสิ่งของเครื่องใช้ออกจากกองเศษไม้ที่พังลงมา และพบว่าที่เสาแต่ละต้นของกุฎิทุกหลังแม่แรงและลอกโซ่ติดอยู่ทุกต้น



พระเจริญ ฐีระธัมโม อายุ 43 ปี พระลูกวัดเปิดเผยว่าก่อนเกิดเหตุยืนคุยอยู่กับพระลูกวัดอีกรูปที่หน้ากุฎิของตน ซึ่งอยู่หลังริมและเป็นหนึ่งใน 4 หลังที่อยู่ระหว่างการดีดเสาให้สูงขึ้น จากเดิมที่สูงประมาณ 1 เมตรเศษ และกำลังจะยกอีก 50 ซ.ม.

ปรากฏว่า ได้ยินเสียงลั่นคล้ายกับไม้แตก เสียงดังมาก และเห็นตัวของกุฎิเอียง จึงตะโกนให้พระที่จำวัดในกุฎิอีก 3 รูปวิ่งหนีออกมา สักครู่กุฎิทั้งสี่หลังก็ล้มพับไปทางด้านหลัง โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่คนงานพักเที่ยงพอดี



พระครูชินธรรมาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดสีกุกและเจ้าคณะอำเภอบางบาล เปิดเผยว่า วัดสีกุก เป็นวัดที่อยู่ติดริมแม่น้ำน้อย ประสบปัญหาน้ำท่วมทุกปี โดยปีที่ผ่านมาน้ำท่วมหนัก ทำให้พระเณรเดือดร้อน จึงได้ตัดสินใจดีดเสาให้สูงขึ้น

โดยครั้งแรกเมื่อสองเดือนก่อนได้ดีดเสาขึ้นอีก 3 เมตรที่กุฎิจำนวน 6 หลังเป็นเงิน 4 แสนกว่าบาท และต่อมาก็ได้มาดีดหอสวดมนต์ เพิ่งแล้วเสร็จ และกำลังจะดีดเสาในส่วนของกุฎิไม้เก่า เป็นเงินอีก 7 แสนบาท โดยตั้งใจที่จะดีดสูงอีก 3 เมตร แต่ดีดได้เพียง 50 ซ.ม.กุฎิก็พังลงมาทั้งหลังดังกล่าว

นายสินสมุทร นารินรักษ์ อายุ 54 ปีผู้รับเหมาเปิดเผยว่า ตนใช้คนงานสับเปลี่ยนกันจำนวน 12-15 คน และรับเหมางานของวัดมาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว สาเหตุที่กุฎิล้มพังลงไปนั้น น่าจะเกิดจากคานของพื้นหัก เนื่องจากรับน้ำหนักไม่ไว้ อย่างไรก็ตามตนก็จะรับผิดชอบทั้งหมด.


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/thailand/120919


23727  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ระทึกขวัญ..วันไหว้ครู นศ.วิทยาลัยเทคนิคจันทบุรี..ของขึ้น.!! เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 08:16:55 pm


ระทึกขวัญ..วันไหว้ครู นศ.วิทยาลัยเทคนิคจันทบุรี..ของขึ้น.!!

เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ (21 มิ.ย. ) ที่วิทยาลัยเทคนิค จ.จันทบุรี มีพิธีไหว้ครู ประจำปี 2555 โดยมีคณะครู อาจารย์และนักศึกษาเข้าร่วมในพิธีกว่า 3,000 คน แต่ขณะที่พราหมณ์ประกอบพิธีบวงสรวงองค์พระวิษณุกรรม จู่ ๆ เกิดเหตุไม่คาดฝัน

    เนื่องจากมีนักศึกษาชาย-หญิง เกิดอุปทานหมู่นับสิบราย
    โดยต่างพากันทยอยลุกขึ้นออกท่าทางร่ายรำ หรือส่งภาษามือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า
    เจ้าลงองค์ประทับหรือของขึ้น  พร้อมส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น
    จนทำให้ทางคณะครูพี่เลี้ยงและเพื่อนนักศึกษาต่างตื่นตกใจและลุกฮือ 
    จนคณะครูอาจารย์ต้องคอยปรามให้นักเรียนอยู่ในความสงบ 
    รวมทั้งช่วยกันจับกลุ่มนักเรียนที่อุปทานหมู่ไว้ เพื่อให้พราหมณ์ดำเนินการประกอบพิธีบวงสรวงจนแล้วเสร็จ

 



นายสมชาย ธำรงสุข ผอ.วิทยาลัยเทคนิค จ.จันทบุรี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางวิทยาลัยทำพิธีไหว้ครูทุกปี แต่เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และหากมองในแง่วิทยาศาสตร์ โดยครูและพยาบาลประจำวิทยาลัยเห็นว่า น่าจะเกิดจาการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือที่บ้านของนักศึกษามีการทรงเจ้า ประกอบกับเมื่อได้ยินเสียงสวดพิธีทางพราหมณ์ ทำให้เกิดวิตกจริตและแสดงออกมาตามท่าทางต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวหรือที่เรียกว่าของขึ้น
 
    นายสมชาย กล่าวต่อว่า ขณะที่ตามหลักไสยศาสตร์ คณะครูและนักศึกษาหลายคนมีความเชื่อว่า
    นักศึกษาที่อุปทานหมู่ อาจเคยไปร่วมพิธีหรือเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สำนักต่าง ๆ
    เพื่อสักยันต์หรือเล่นของ ตามความเชื่อทำให้มีผลการเรียนดี
    แต่จิตใจไม่กล้าแข็งพอและเมื่อเข้าร่วมในพิธีบวงสรวงสำคัญ
    จึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และของที่อยู่ในตัวแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมา
    อย่างไรก็ตามหลังเสร็จสิ้นพิธีไหว้ครู บรรดานักศึกษาที่เกิดอุปทานหมู่กลับสู่สภาวะปกติแล้ว.





ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/thailand/120893
23728  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ฝึกกำหนดหนอ อยู่ ครับ ถ้าฝึกกรรมฐาน มัชฌิมา ด้วยจะเป็นอุปสรรคหรือไม่ครับ เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 07:51:42 pm

  ผมเคยเข้าคอร์สที่วัดอินทร์ บางขุนพรหม ฝึกหลักสูตรของคุณแม่สิริ กรินชัย ๗ วัน
  คุณแม่เป็นศิษย์ของท่านโชดก อาจารย์ใหญ่ของวัดมหาธาตุนั่นแหละครับ
  ฝึกแนวสติปัฏฐาน จงกรมขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ
  การเข้าคอร์สครั้งนี้ จุดประสงค์ก็คือ อยากรู้เรื่องวิปัสสนา
  แต่ผลที่ได้ ไม่เป็นไปตามคาด เพราะคอร์สนี้เน้นเดินจงกรมเป็นส่วนใหญ่ และให้นั่งสมาธิเพียง ๒๐ นาที
  วิธีสอนของผู้ฝึก ไม่ถูกจริต คำพูดบางอย่าง มันค้านกับทิฏฐิที่มีในขณะนั้น


  หากถามว่า ผมได้อะไรมาบ้าง
  ตอบว่า ต้องใช้คำว่า 'Explore my world' วิสัยและมุมมองต่างๆของผมเริ่มเปลี่ยน
  ผมเริ่มค้นคว้าสิ่งต่างๆที่ผมสงสัยด้วยตัวเอง ผมอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น
  "ธรรมฉันทะ" เริ่มเกิดตั้งแต่นั้นมา


  ผมคิดว่า ไม่ว่าใครจะปฏิบัติแนวไหน หากกระทำด้วยความเพียรและอดทน คุณต้องได้อะไรสักอย่างแน่นอน
  ขอคุยเป็นเพื่อนเท่านี้ครับ

   :25:
 
23729  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สยดสยอง! ชาวทิเบต 2 คน จุดไฟเผาตัวตาย ประท้วงจีน ดับ 1 เจ็บ 1 เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 03:15:46 pm


ภาพประวัติศาสตร์ "ทะไลลามะ"พบ"อองซานซูจี"ที่ลอนดอน

"ทะไล ลามะ" ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวทิเบต เปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับนางออง ซาน ซูจี ผู้นำการเรียกร้องประชาธิปไตยของพม่าที่กรุงลอนดอน

โดยในข้อความที่โพสต์ลงในเว็บไซต์ของทะไลลามะ ระบุว่า องค์ทะไลลามะ ได้พูดคุยกับนางออง ซาน ซูจี เป็นการส่วนตัวเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นเวลานานราว 30 นาที

ทะไลลามะกล่าวว่า ได้บอกกับนางซูจีว่า รู้สึกชื่นชมความหาญกล้าของเธออย่างแท้จริง และเชื่อว่าเธอจะอุทิศตนรับใช้มนุษยชาติอย่างกล้าหาญ



     การพบปะดังกล่าว ประจวบเหมาะกับวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 67 ปีของนางซูจี ระหว่างการเดินทางเยือนยุโรป 5 ประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี หลังถูกปล่อยตัวจากการกักกันตัวเมื่อปี 2010 ขณะที่ทะไล ลามะ อยู่ระหว่างการเดินทางเยือนยุโรปเช่นกัน



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1340245423&grpid=&catid=06&subcatid=0600
23730  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดเหลือเชื่อ หญิงเยอรมันใช้ชีวิต 16 ปี โดยไม่ใช้เงินสักแดง อดีตเคยเป็นลูกคนรวย เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 03:08:47 pm


สุดเหลือเชื่อ หญิงเยอรมันใช้ชีวิต 16 ปี โดยไม่ใช้เงินสักแดง เผยอดีตเคยเป็นลูกคนรวย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ว่า นางไฮเดมารี่ ชูเวอร์เมอร์ หญิงเยอรมันวัย 69 ปี ได้ใช้ชีวิตกว่า 16 ปีโดยไม่ใช้เงินเลย แม้ว่าเธอจะเป็นลูกคนรวย เป็นทายาทของนักธุรกิจที่เคยเป็นผู้ลี้ภัยจากสงครามโลกครั้งที่สองเข้ามายังเยอรมัน และบิดาสามารถก่อร่างสร้างฐานะตั้งกิจการยาสูบได้ แต่ไฮเดมารี่ กลับรู้สึกขัดแย้งกับการใช้วิถีชีวิตที่หรูหรา ซึ่งเธอรู้สึกว่า เพราะเหตุใดคนเรารวยแล้วจึงต้องมานั่งปกป้องทรัพย์สินตัวเอง และนี่เป็นความทุกข์หรือไม่

รายงานระบุว่า ไฮเดมารี่ ได้ดำเนินชีวิตเยี่ยงคนไม่ทรัพย์สินติดตัวเลย และไม่ใช้เงิน โดยเธอได้ขายทุกอย่าง รวมทั้งอพาร์ทเมนต์ของตัวเอง และเก็บเฉพาะสิ่งของเล็กน้อยที่เธอเก็บไว้ในกระเป๋า และเธอเริ่มวิถีคนจน ด้วยการไปพักกับเพื่อนเก่า และไม่ใช้เงินเลย

และทำงานเพื่อแลกกับการขอที่อยู่ เช่น ทำงานสวน เช็ดหน้าต่าง นอกจากนี้ เมื่อเธอไปตลาด เธอก็จะขอทำงานล้างจานให้แก่ร้านค้าต่างๆ  เพื่อแลกกับอาหาร นอกจากนี้ เธอยังได้รับเสื้อผ้าบริจาคจากเพื่อน ๆ ด้วย และเธอจะบริจาคสิ่งที่ใหญ่โตเกินกว่ากระเป๋าใส่เสื้อผ้าของเธอจะรับได้




     อย่างไรก็ตาม ต่อมา เมื่อชีวิตแปลกของเธอถูกกล่าวขวัญถึง เธอได้ถูกเชิญไปบรรยายถึงการใช้ชีวิตเช่นนี้ โดยเธอยอมรับค่าตอบแทนเป็นแค่ตั๋วรถไฟ และไม่ยอมรับเงินใด ๆ เลย

ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1340258419&grpid=&catid=06&subcatid=0600
23731  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สยดสยอง! ชาวทิเบต 2 คน จุดไฟเผาตัวตาย ประท้วงจีน ดับ 1 เจ็บ 1 เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 02:49:49 pm


ชาวทิเบตย่างสดตัวตายประท้วงจีน
สยดสยอง! ชาวทิเบต 2 คน จุดไฟเผาตัวตายประท้วงจีน ดับ 1 เจ็บ 1

       21 มิ.ย.55 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มชาวทิเบตพลัดถิ่น ทิเบทัน ยู้ธ คองเกรสส์ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นชาวทิเบต 2 คน ล้มลงในกองเพลิง ในระหว่างการเผาตัวตายประท้วงต่อต้านการปกครองของจีน และยังมีภาพถ่ายศพที่ไหม้เกรียมของหนึ่งในสองคนนี้ด้วย

       กลุ่มทิเบตพลัดถิ่น ได้ระบุในอีเมลว่า ชายทั้งสองคนได้จุดไฟเผาตัวตายเมื่อวันพุธ ที่เขตหยูชู่ ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวทิเบต ในมณฑลชิงไห่ของจีน ซึ่งกลุ่มทิเบตพลัดถิ่นและสำนักข่าวซินหัวของทางการจีน ได้รายงานตรงกันว่า มีคนหนึ่งรอดแต่บาดเจ็บสาหัสและอีกคนหนึ่งเสียชีวิต รายงานของสำนักข่าวซินหัว ระบุว่า ชายที่เสียชีวิตเป็นคนเลี้ยงสัตว์ ส่วนคนที่รอดเป็นช่างทาสี ที่อพยพมาจากเขตอาบา ในมณฑลเสฉวน แต่ไม่มีการเปิดเผยชื่อและอายุของทั้งสองคน

       ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ตัวเลขการจุดไฟเผาตัวตายประท้วงในพื้นที่อยู่อาศัยของชาวทิเบตเพิ่มกว่า 36 ครั้งแล้ว ในช่วงกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ซึ่งนักเคลื่อนไหวระบุว่า เป็นผลมาจากการปกครองที่กดขี่ของจีน ขณะที่รัฐบาลได้ยืนยันเป็นบางรายเท่านั้น

       กลุ่มทิเบตพลัดถิ่น ระบุว่า ชายที่เสียชีวิตชื่อ เทนซิน คีดัพ วัย 24 ปี ส่วนคนที่บาดเจ็บชื่องาวัง นอร์เฟล วัย 22 ปี และได้มีการเผยแพร่ภาพถ่ายซากศพที่ไหม้เกรียมนอนอยู่ท้ายรถปิ๊คอัพ และภาพวิดีโอความยาว 7 วินาที ที่แสดงให้เห็นชายทั้งสองคนถือธงทิเบต ในขณะที่ไฟกำลังลุกท่วมตัวพวกเขา ก่อนที่จะล้มลง ก่อนที่ชายคนหนึ่งในจำนวนนี้จะลุกขึ้นและวิ่งไปตามถนนทั้งที่ไฟลุกท่วมตัว มีเสียงกรีดร้องออกมา แต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นเสียงของใคร

       อย่างไรก็ตาม ในวิดีโอยังแสดงให้เห็นคนที่ผ่านไปมาหลายคน รวมทั้งผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทิ้งรถที่จอดไว้ใกล้กับชายที่ถูกเผาเกรียมก่อนจะวิ่งหนี ด้านรัฐบาลจีน ได้โทษว่า องค์ทะไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบต เป็นผู้ปลุกปั่นให้เกิดการประท้วงเผาตัวตาย แต่องค์ทะไล ลามะ ปฏิเสธ และระบุว่าการกระทำเหล่านี้เป็นผลมาจากนโยบายกดขี่ทิเบตของจีน


ขอบคุณภาพข่าวจาก www.komchadluek.net/detail/20120621/133322/ชาวทิเบตย่างสดตัวตายประท้วงจีน.html



เผยแพร่เมื่อ 28 มี.ค. 2012 โดย vidstar77
หนุ่มทิเบตจุดไฟเผาตัวเองเพื่อประท้วงการมาเยือนของผู้นำจีน แล้ววิ่งไปตามถนน ท่ามกลางความตกใจของผู้คน



เผยแพร่เมื่อ 29 มี.ค. 2012 โดย wannaprasart

ผู้ประท้วงชาวทิเบตที่จุดเผาไฟตัวเองเพื่อประท้วงรัฐบาลจีนเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา เสียชีวิตแล้ว วานนี้
http://news.thaipbs.or.th/video/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B4...



อัปโหลดโดย watintaram เมื่อ 23 พ.ย. 2011
23732  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ไดร์ฟ เทสต์ ทดสอบสัญญาณมือถือ - ฉลาดคิด เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 02:37:26 pm


ไดร์ฟ เทสต์ ทดสอบสัญญาณมือถือ - ฉลาดคิด

สถิติปัญหาร้องเรียนของผู้ใช้บริการด้านโทรคมนาคม ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์พื้นฐาน และสถานีวิทยุโทรคมนาคม ตั้ง แต่ 1 ม.ค.-15 พ.ค. 55 จากการรวบรวมข้อมูลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภค

   มีเรื่องร้องเรียนเข้ามา 697 เรื่อง
   โดยการใช้งานประเภทโทรศัพท์มือถือมีการร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 498 เรื่อง
   เมื่อจำแนกประเภทการร้องเรียน พบว่า มีการร้องเรียนเรื่องของคุณภาพบริการ 21 ราย คิดเป็น 4.22 เปอร์เซ็นต์ และมาตรฐานบริการ 69 ราย คิดเป็น 13.86 เปอร์เซ็นต์


สัปดาห์ที่แล้ว (14 มิ.ย.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ขับรถทด สอบสัญญาณการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ไดร์ฟ เทสต์) ตั้งแต่เวลา 09.30-11.30 น.

   ซึ่งใช้เส้นทาง กสทช.-พหลโยธิน-พญาไท-ราชเทวี-พระราม 4-ทางด่วนบางนา-สุวรรณภูมิ-ทางด่วนพระราม 9-กลับมาที่สำนักงาน กสทช. ด้วยวิธีสุ่มพื้นที่ทดสอบ มีผู้บริหารของ 3 ค่ายผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้แก่
    บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส
    บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค และ
    บริษัท ทรูมูฟ จำกัด  ร่วมทดสอบ



    ขั้นตอน “ไดร์ฟ เทสต์” ใช้ระบบทดสอบแบบ  Hardware based ทดสอบบริการด้านเสียง (วอยซ์) จำนวน 6  เครื่อง 6 เบอร์ ด้วยการทดสอบโทรฯจากมือถือไปยังมือถือ และมือถือไปยังโทรศัพท์บ้าน ส่วนการทดสอบด้านดาต้าใช้แอร์การ์ด 3 เครื่อง 3 เบอร์ โดยแต่ละส่วนทดสอบทั้งหมด 76 ครั้ง ตลอด 2 ชั่วโมง

    ผลการทดสอบ พบว่า เอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ มีอัตราการโทรฯสำเร็จ 99 เปอร์เซ็นต์         
    สายหลุด 1 ครั้ง ซึ่งเป็นการทดสอบด้านเสียง  แบ่งเป็นเอไอเอสสายหลุดในการโทรฯระหว่างมือถือ ส่วนดีแทคและทรูมูฟ สายหลุดในการโทรฯเข้าโทรศัพท์บ้าน

   
    ส่วนการทดสอบด้านการรับ-ส่งข้อมูล (ดาต้า) ไม่ระบุค่าย ผู้ให้บริการ ได้ผลดังนี้ 1.74 เมกะบิต/วินาที 1.58 เมกะบิต/วินาที และ 0.996 เมกะบิต/วินาที เป็นการทดสอบผ่านแอร์การ์ดด้วยการใส่ซิมการ์ดของทั้ง 3 ค่ายผู้ให้บริการ ได้แก่ เอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟเอช



    พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช. ในฐานะประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการทดสอบครั้งนี้เพื่อให้ทุกคนรับรู้ถึงการทำงานของ กสทช. โดย กสทช.มีรถยนต์สำหรับไดร์ฟ เทสต์จำนวน 2 คัน ปกติเจ้าหน้าที่จะทดสอบสัญญาณมือถือทุกวันจันทร์-ศุกร์ เพื่อเก็บข้อมูลคุณภาพการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่

 “วันนี้ระบบโทรคมนาคมมีปัญหามาก  เพราะทรัพยากรมีจำกัดแต่ผู้ใช้บริการมีจำนวนมาก แนวทางแก้ปัญหาระยะยาว คือการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ เพื่อให้บริการ 3จี หากปีหน้าไม่สามารถดำเนินการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์เพื่อให้บริการ 3จีได้  ปัญหาเรื่องโครงข่ายไม่ดีจะหนักกว่านี้”

     พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวต่อว่า
     แม้ผลการทดสอบวันนี้ทุกค่ายจะผ่านตามมาตรฐาน แต่ดูค้านสายตาผู้ใช้บริการ
     แต่ก็ต้องทดสอบเพื่อใช้บังคับทางปกครอง


    อย่างไรก็ตาม การทดสอบไม่สามารถทำให้ได้ผลผ่าน 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมีปัจจัยเรื่องทรัพยากร โดยในกรุงเทพฯมีทรัพยากรเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่มีปริมาณการใช้งานหนาแน่นมาก ผลที่ได้จากการทดสอบวันนี้เป็นการผ่านทางเทคนิค แต่คุณภาพบริการสามารถทำได้ดีกว่านี้.

น้ำเพชร จันทา
@phetchan


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/technology/120621
23733  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.!! ใช้ 5 ล้าน.จัดงานศพแม่เฒ่า 2 เดือน วงดนตรีฉลอง..สั่งเสียห้ามโศกเศร้า เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 02:18:43 pm
ฮือฮางานศพแม่เฒ่าเศรษฐีวัย 96 ปียาวนาน 2 เดือน ใช้งบ 5 ล้าน
เนรมิตรพื้นที่ 20 ไร่จัดเลี้ยงเพียบ จ้างรำวงเวียนครกคณะดังแสดง
เชิญแขกเหรื่อสนุกสนานสุดเหวี่ยง ตามคำสั่งเสียของก่อนตาย ห้ามโศกเศร้าเสียใจ


ฮือฮา.!! ใช้ 5 ล้าน.จัดงานศพแม่เฒ่า 2 เดือน วงดนตรีฉลอง..สั่งเสียห้ามโศกเศร้า

    เมื่อคืนวานนี้ ( 20 มิ.ย.)  ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บ้านเลขที่ 8  หมู่ 3 บ้านไสเลียบ ต.ควนเกย อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช มีการจัดงานบำเพ็ญกุศลนางหลิบ  หรือคุณแม่หลิบ ชนะแก้ว สกุลเดิมทองทิพย์  อายุ 96 ปี  มีนายไพโรจน์  อำนักมณี นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเขาชุมทอง อ.ร่อนพิบูลย์   เป็นประธานจัดงาน

     มีแขกเหรื่อมาร่วมงานนับพันคนบริเวณลานหน้าบ้าน  กลางสวนยางพารา เนื้อที่ 20 ไร่ ตั้งเต็นท์โต๊ะ เก้าอี้ถึง  20 เต็นท์ รวม 200 โต๊ะ เริ่มบำเพ็ญกุศลตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา กำหนดฌาปนกิจเย็นวันนี้ (21 มิ.ย.) รวมระยะเวลาการจัดงานบำเพ็ญกุศลยาวนานถึง 2 เดือน  ถือเป็นการบำเพ็ญกุศลศพที่ยิ่งใหญ่และต่อเนื่องยาวนานที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของ อ.ร่อนพิบูลย์เลยทีเดียว




   
     นอกจากนี้บรรยากาศในงานก็แปลกกว่างานศพทั่วไป  เนื่องจากหีบบรรจุศพได้สร้างขึ้นตามความเชื่อโบราณโดยเป็นโลงศพในลักษณะนั่งยอง  ประดับประดาอย่างสวยงามวิจิตรตระการตา ใช้งบไม่น้อยกว่า3 แสนบาท  และจัดทำป้ายบอกเส้นทางไปงานอย่างสวยงามหรูหรา

    อีกทั้งในคืนสุดท้ายยังจ้างวงดนตรีรำวงเวียนครกคณะ”ลูกทุ่งฮาเฮเณรเอพาเพลิน”แชมป์รำวงเวียนครกจังหวัดนครศรีธรรมราช ปี 2552 มาแสดงสร้างความสนุกสนานให้ญาติผู้เสียชีวิตและแขกเหรื่อที่มาร่วมงานให้ร่วมร้องร่วมเต้นได้อย่างเมามันส์ 



     
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงแรกแขกเหรื่อไม่กล้าลุกขึ้นเต้นเพราะเป็นงานเศร้าโศกไม่ใช่งานรื่นเริง 
     จนเจ้าภาพขึ้นประกาศบนเวที ขอเชิญแขกเหรื่อได้ออกกันมาร่วมสนุก
     เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้นางหลิบ  ผู้เสียชีวิต เพราะนางหลิบ มีเชื้อสายศิลปินพื้นบ้าน
     มีความชื่นชอบศิลปะการแสดงของภาคใต้หลายประเภท โดยเฉพาะรำวงเวียนครก กลองยาว กาหลอ

     ก่อนเสียชีวิตได้สั่งเสียลูกหลานว่า หากตัวเองเสียชีวิตก็ให้ว่าจ้างกาหลอ กลองยาว และรำวงเวียนครก
     มาแสดงในงานบำเพ็ญกุศล และขอให้ลูกหลานญาติมิตรอย่าได้เศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของตัวเอง   

    จากนั้นญาติผู้เสียชีวิตต่างลุกขึ้นนำเต้นอย่างสุดเหวี่ยง แขกหรื่อในงานจึงลุกขึ้นเต้นตามอย่างสนุกสนาน

    สำหรับนางหลิบ มีฐานะร่ำรวยขั้นเศรษฐี ใจดีเอื้ออาทรต่อเพื่อนบ้าน  จึงมีคนรู้จักและรักใคร่อย่างกว้างขวาง ประกอบกับมีลูกหลานจำนวนมาก เมื่อเสียชีวิตลูกหลานจึงร่วมกันจัดงานบำเพ็ญกุศลต่อเนื่องตลอด 2 เดือนทุกคืน ตามเจตนารมณ์ของผู้ตายที่สั่งเสียไว้ โดยใช้งบทั้งหมดถึง 5 ล้านบาท


ที่มา http://www.dailynews.co.th/thailand/120866
23734  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.!! คลิป 'ข้อควรปฏิบัติสาวๆ..ในการใช้แท็กซี่' (ชมคลิป) เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 01:53:33 pm

ฮือฮา คลิปข้อควรปฏิบัติสาวๆ ในการใช้แท็กซี่ (ชมคลิป)

โลกออนไลน์ ฮือฮา คลิปแนะนำสาวๆ เรื่องข้อควรปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการใช้บริการรถแท็กซี่ตามลำพัง ช่วงยามค่ำคืน ที่จัดทำโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ...

     โลกออนไลน์ ฮือฮา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดทำคลิปแนะนำสาวๆ เรื่องข้อควรปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการใช้บริการรถแท็กซี่ตามลำพังช่วงยามค่ำคืน โดยใช้พรีเซ็นเตอร์คือ พ.ต.ท.หญิง พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล หรือ คุณหมอแอร์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

     โดยในคลิปดังกล่าว ได้มีการแนะนำเรื่องความปลอดภัยในการใช้บริการ เช่น เรื่องไม่ควรแต่งตัวโป๊ และควรจะนั่งอยู่ด้านเดียวกับคนขับ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเข้าถึงตัวได้โดยง่าย


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/region/270035



เผยแพร่เมื่อ 7 มิ.ย. 2012 โดย morair anchulee

    ข้อควรปฏิบัติระหว่างใช้บริการ รถTAXI โดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะสุภาพสตรีนั่งแท๊กซี่ตามลำพัง เพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการ
    จากทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    โดย พ.ต.ท.หญิง พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล (คุณหมอแอร์) รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


ที่มา -http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=VTyP5Z8Oaxc-
23735  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: บวงสรวงเทวดา เพื่อ อะไร ? และ ต้องเตรียมเครื่องบวงสรวง อย่างไร ? เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 01:33:39 pm
สำหรับ ชาวพุทธอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ เราก็ไปมาหลายที่ ๆ เป็นวัดก็เห็นมีพราหณ์ บ้าง เจ้าพ่อร่างทรง เจ้าแม่ร่างทรงบ้าง มาเพื่อทำพิธิ บวงสรวง แล้ว ก็เลยเกิดความสงสัยว่า

   เราจะบวงสรวง เทวดาทำไม ?
   ทำเวลาไหน ?

   เครื่องบวงสรวง ที่เทวดาไม่ชอบ จะมีโทษแก่เราหรือไม่ ?

   คือทราบว่า เทวดา มีกายเป็นทิพย์ จะมาบริโภคอาหารหยาบ หรือ ? ความเข้าใจส่วนนี้ ทำอย่างไร จึงจะถูกต้อง กันคะ


   เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล คนที่เห็น กับคนที่ไม่เห็น ความเชื่อความศรัทธามีต่างกัน เรื่องนี้ถือเป็นปัจจัตตัง
   เรื่องความเป็นไปของโลกมนุษย์ สวรรค์ และพรหม เป็นอจินไตย ปุถุชนอย่าได้คิดหาคำตอบให้เสียเวลา
   ชาวพุทธทุกท่านแยกแยะได้ว่า สิ่งใดเป็นกุศล หรือไม่เป็นกุศล จะปฏิบัติตามหรือไม่อย่างไร

   อย่างไรก็ตาม ที่ผมนำบทความในสายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาให้อ่าน เพราะทราบว่า กลุ่มนี้มีบารมีเยอะ
ผมเคยสัมผัสมาแล้ว คนปรารถนาพุทธภูมิจะมีบารมีเยอะมาก บางคนมีตาทิพย์เห็นแม้กระทั้งมนุษย์ต่าวดาว
โดยไม่ต้องนั่งหลับตา หรือต้องทำสมาธิแต่อย่างใด(ขณะเดินไปมาก็เห็น)

   คำถามที่ไม่ได้ตอบ ขอให้พิจารณาเอาเอง ขอตอบในภาพรวมเท่านั้น
   ขอคุยเท่านี้นะครับ

    :49:
23736  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: บวงสรวงเทวดา เพื่อ อะไร ? และ ต้องเตรียมเครื่องบวงสรวง อย่างไร ? เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 01:12:48 pm


ทำไมต้องมีการบวงสรวงครับ

การประกอบพิธีบวงสรวง มีจุดมุ่งหมาย เพื่ออะไรครับ อยากทราบจริง ๆ ครับ (ขอบคุณครับ)
ตั้งกระทู้ โดย : คนวัด - [26 January 2554 - 22:01:33]


ตอบกระทู้  โดย : ธรรมยาตรา
    เรื่องของการบวงสรวง ถ้ามองกันในแง่ที่เข้าใจในปัจจุบัน หรือในทัศนะของนักปราชญ์กระดาษ ก็ดูจะเป็นเรื่องงมงายเกินไป แต่ถ้าจะพูดกันตามมุมของท่านที่ฝึกทางจิตใจจนจิตมีความสว่างพอใช้งานได้ แม้แต่เพียงฌานโลกีย์และฝึกด้านวิชชา ๓ ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่มีผลไม่น้อย

    การที่เอาเรื่องนี้มาพูดก็เพราะเรื่องที่จะรู้จักท่านขุนด่านก็มาจาก เรื่องบวงสรวงเป็นปัจจัย คำว่าปัจจัยแปลว่าเครื่องอาศัย จะอาศัยทางวัตถุหรือทางจิตก็ตาม ต้องอาศัยแล้วเรียกปัจจัยทั้งสิ้น จะลืมบอกไปเสียแล้วว่าวันนี้ตรงกับวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๔ มาพูดกันเรื่องบวงสรวงต่อไป

    ฉันพบเรื่องบวงสรวงครั้งแรกตอนปลายเดือนกรกฏาคม ๒๔๘๐ วันหนึ่ง หลวงพ่อปานท่านมีธุระจะอัญเชิญพระพุทธรูปไปไว้ที่วัดเขาสะพานนาค มีคุณหลวงวิริยะฯ และคุณหลวงกิจฯ ทั้งสองท่านนี้มีบรรดาศักดิ์คือราชทินนามเต็มว่าอย่างไรฉันไม่ทราบ เพราะเห็นหลวงพ่อท่านเรียกว่าคุณหลวงวิริยะ คุณหลวงกิจ เท่านั้น ก็เลยทราบชื่อท่านเพียงเท่านี้ ท่านทั้งสองมารับพระพุทธรูป หลวงพ่อท่านมีบัญชาให้ฉันไปนิมนต์พระมาในพิธีบวงสรวง ท่านเลือกเฉพาะพระที่ทรงฌานทั้งหมดรวม ๔ องค์

    ฉันกับสองลิงคงนั่งดูพิธีบวงสรวง ฉันสงสัยเรื่องของการบวงสรวงว่าที่ท่านทำนั้นมีผลเพียงใด จึงเรียนถามหลวงพ่อก่อนพิธีบวงสรวงว่า การบวงสรวงเชิญใครกันครับ ท่านบอกว่าเชิญท้าวมหาราชทั้งสี่ มีท้าวเวสสุวัณ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปปักษ์ และบริวารทั้งหมด



    ถามท่านว่าเชิญมาทำไม ท่านบอกว่าท่านทั้งสี่บอกท่านไว้ว่าเมื่อมีงานสำคัญเกิดขึ้นขอให้บอกท่าน โดยท่านแนะนำพิธีการไว้ เมื่อบอกแล้วทุกท่านจะมาช่วย ฉันยิ่งแปลกใจใหญ่ เรียนถามท่านว่าเมื่อเชิญแล้วท่านทั้งสี่พร้อมด้วยบริวารมาหรือเปล่าครับ ท่านหันมาถามว่าแกไม่เคยเห็นหรือ ฉันเคยเชิญมาหลายครั้งแล้ว แกไม่เคยเห็นท่านหรือ ความจริงเคยเห็นท่านเชิญเหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยู่ในวงการ

    เมื่อเห็นท่านเชิญก็เดินเลยไปเสีย คิดว่าเป็นเรื่องมายืนว่าคาถาสวดมนต์ธรรมดา ไม่มีอะไรนอกไปจากธรรมดาของพระ เมื่อเอะอะก็สวดมนต์ดะ สวดเพื่อสงเคราะห์คนฟังบ้าง สวดเพื่อสงเคราะห์กระเป๋าตนเองบ้าง ที่สวดเพื่อสงเคราะห์กระเป๋าตนเองมีปริมาณมากกว่าสวดเพื่อสงเคราะห์คนฟัง ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเคยอยู่ร่วมในวงการของพระ จะสังเกตไม่ยากพวกสวดเพื่อสงเคราะห์กระเป๋าตนเองมีลีลาการสวดหลายแบบ

     พิธีนี้ใช้บทนั้น พิธีนี้ใช้บทนี้ พอสวดกลับมาก็ตรวจตราซองที่ใส่เงิน บ้านนี้ได้เท่านี้หว่า บ้านนี้ให้เท่าไร บ้านไหนให้น้อยคิดด่าส่ง ที่ออกปากด่าเสียก็ไม่น้อย บางรายไปบังสุกุล เจ้าภาพให้น้อย เท่าที่เคยเห็น เจ้าภาพถวายเงิน ๑ สลึง น้ำตาล ๑ ห่อ สบง ๑ ตัว

     พอออกจากวัดไปบังสุกุลพวกเอาน้ำตาลที่เขาถวายมาวางไว้ที่ตรอกวัดเป็นแถว พวกจัญไรพวกนี้เป็นพวกทำลายพระศาสนาแท้ ๆ ไม่มีใครเหลียวแลเสียบ้างเลย น่าจะตรวจใบสุทธิ ทราบว่าใครเป็นอุปัชฌาย์แล้วจับอุปัชฌาย์สึกเสีย จะได้ไม่บวชส่งเดชเพื่อหวังเฉพาะค่าจ้างแรงงาน จะได้ปกครองสัทธิวิหาริกตามพระวินัย เลวจริง ๆ ที่ไม่มีใครสนใจพระธรรมวินัยกันเลย

      สำหรับท่านที่สวดเพื่อสงเคราะห์ ท่านสวดตามแบบที่ท่านประชุมตกลงกันและไม่หวังผลตอบแทน ได้หรือไม่ได้ ให้หรือไม่ให้ก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวคือสวดให้ฟังเล่นเพลิน ๆ พอมีผลทางใจบ้าง ไม่ใช่ไม่มีผลเลย เพราะคนฟังธรรมเพลิน แม้ไม่รู้เรื่องก็สามารถไปสวรรค์ชั้นกามาวจรได้



      มาพูดถึงเรื่องบวงสรวงกันต่อไป เมื่อฉันถามท่านว่าเขามากันหรือเปล่า ท่านก็ย้อนถามฉันว่าไม่เคยเห็นหรือ ความจริงตอนนั้นฉันบวชยังไม่ถึง ๑๕ วัน มัวตั้งท่าตั้งอารมณ์คุมสมาธิท่าเดียว ยังไม่ได้ฝึกพิเศษ ก็ตอบท่านว่าไม่เคยเห็นและไม่เคยสนใจ ท่านร้องว่า ทุด! นี่เป็นศัพท์ที่ท่านผู้ใหญ่ชอบใช้เมื่อเห็นพลพรรคไม่เป็นเรื่อง แล้วท่านก็บอกว่า

      เอาอย่างนี้สิ เมื่อพวกฉันเชิญ แกคอยนั่งดูนะว่ามีใครมาบ้าง หรือไม่แน่ใจว่าจะเห็นได้ เมื่อฉันเชิญจบสวด ๕ ครั้งแล้ว แกบอกในใจว่า ขอเชิญท่านท้าวมหาราช ทั้ง ๔ หรือองค์ใดองค์หนึ่ง ขอให้ท่านกรุณาไปพบในขณะที่ท่านทำสมาธิ จะเป็นเวลาเท่าไหร่ก็ได้ แต่แกต้องตั้งอารมณ์ให้เป็นสมาธิจริง ๆ นะจะเห็นท่านได้ ต้องการสี่องค์หรือองค์ไหนก็ตามจงทำตามนี้นะ ฉันรับปากท่านว่าจะทำตามนั้น

      เรื่องสงสัยยังไม่หมด คือ พระองค์ นิดเดียวที่ท่านจะมอบไปวัดเขาสะพานนาค ถามท่านว่า เขาบอกว่าจะช่วยงานใหญ่และสำคัญ ก็เวลานี้หลวงพ่อจะมอบพระองค์เล็กนิดเดียวให้วัดเขาสะพานาค เขาจะมาหรือครับ ท่านถามว่าแกเห็นว่าเรื่องอาราธนาพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเล็กนักหรือ พอท่านถามก็ตกใจ และคิดว่าเราเลวมากเสียแล้วที่เห็นเรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเล็ก ท่านสั่งให้ขอขมาพระพุทธเจ้าทันที

      ลูกหลานจำให้ดีนะ พระพุทธรูปในเมื่อเขาสร้างแทนองค์พระพุทธเจ้า เราเอารูปพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นปุถุชนเหมือนกันแต่ท่านมีบารมีมากกว่า ทำบุญมาดีกว่า ท่านจึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เอามาวางไว้ในที่ๆ ไม่สมควร

      ฉันคิดว่ากฎหมายอาจจะลงโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ เขาร่างกันไว้ตามนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ฉันคิดเอาเอง และก็คิดว่าน่าจะมีกฎหมายบังคับ เพราะถ้าท่านบุญไม่ถึงจริง ๆ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ เว้นแต่บุญของท่านจะไปยับยั้งลงเมื่อไรเท่านั้นเอง 


      ก็พระพุทธรูปในเมื่อเขาสร้างแทนองค์พระพุทธเจ้า เมื่อเราปรามาสจะไม่มีโทษหรือ ที่เขาซื้อขายกันนั้นเขาไม่ได้ซื้อขายพระพุทธเจ้า เขาขายวัตถุ ตามที่เขาเข้าใจเพราะฉันเคยเห็นเจ้าของร้านค้าพระพุทธรูปที่เป็นจีนเคยขาก ถุยลงในที่ ๆ มีพระพุทธรูปวางอยู่นั่นเป็นเรื่องของคนขาย แต่เราพุทธศาสนิกชน เราทำอย่างนั้นไม่ได้



การบวงสรวงคือ พิธีการทางพุทธศาสนา
     ที่ท่านโบราณคณาจารย์ได้กระทำ เพื่อเป็นการยอมรับนับถือท่านผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ในชีวิต มีพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์สาวก เทพไท้เทวา คุณบิดามารดา อาจารย์ทุกๆพระองค์ ทุกๆชาติ รวมทั้งพระภูมิเจ้าที่ ท่านท้าวจาตุรมหาราชทั้ง ๔ ท่านพระยายมราช เคารพท่านผู้เป็นใหญ่ในทั้ง ๓ โลก

ชื่อว่าบวงสรวง คนส่วนมากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพิธีการของพราหมณ์
    บวงสรวงเป็นภาษาพราหมณ์สมัยพุทธกาลก็เป็นภาษาบาลี ส่วนภาษาไทยแปลว่า ยอมรับนับถือท่านผู้มีพระคุณ คือพระรัตนตรัย พรหม เทวา ผู้เป็นใหญ่ดูแลโลก ดูแลคุ้มครองผู้ที่มีบุญบารมี ไม่ให้ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุ จากผู้ร้าย จากภัยธรรมชาติ เป็นพิธีการบูชาพระคุณความดีของท่านที่มีคุณงามความดีต่อสรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก

จุดประสงค์ของการบวงสรวงมีมากมายหลายข้อ
     แล้วแต่จุดประสงค์ของแต่ละท่านที่จะบวงสรวงเพื่ออะไร ก็ตั้งจิตอธิษฐาน อัญเชิญท่านผู้เป็นใหญ่ ท่านผู้มีพระคุณ ถ้าศาสนาพราหมณ์ก็บูชา พระพรหม เทวาอารักษ์ ถ้าเป็นชาวพุทธก็อัญเชิญท่านผู้เป็นใหญ่สูงสุด คือองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสาวกทุกๆพระองค์เบื้องบนพระนิพพาน คุณบิดามารดาทุกๆชาติ เทพเจ้าพระพรหมเทวดาที่ดูแลคุ้มครองป้องกันทั้ง ๓ โลก

    เมื่อพระองค์ท่านเสด็จมาแล้วตามที่เราตั้งใจอัญเชิญด้วยความเคารพนับถือ ด้วย ใจจริง ขอให้ท่านช่วยเหลืองานใหญ่ๆ ที่เราจะทำ เช่นสร้างวัด สร้างบ้าน สร้างตึก เป็นต้น ก็ทำให้ ผีวิญญาณ คนสัตว์ ได้เห็นพระท่านมา ได้โมทนา ยินดี เมื่อได้เห็นแสงสว่างจากท่านผู้บริสุทธิ์ มีปัญญาบารมี มีความสุขสดชื่น โลกก็ไม่วุ่นวายเดือดร้อนจนเกินไป สรรพสัตว์ จะอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น



คุณประโยชน์ของการบวงสรวงมีมากมาย หลายข้อ สรุปเป็นข้อใหญ่ๆได้ดังนี้
     1. เป็นการปฏิบัติบูชา ด้วย กาย วาจาใจ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นการบูชาแบบพิธีการเทิดพระเกียรติของท่านผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ ไพศาล คือองค์พระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกทุกๆพระองค์ คุณพ่อ คุณแม่ทุกๆชาติ คุณครูอาจารย์ทุกๆชาติ เทพเทวาอารักษ์ผู้รักษาโลกนี้ทุกๆพระองค์

    2. เป็นการมอบกายถวายชีวิต เป็นลูกศิษย์ขององค์พระตถาคตเจ้าอย่างเป็นพิธีการ
     3. เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ทุกดวงจิตในโลกมนุษย์ ตั้งแต่ เปรต ผี วิญญาณพเนจร คน ให้พ้นทุกข์ พ้นอันตราย และให้โลกอยู่ร่มเย็นเป็นสุข จากอานิสงส์ผลบุญของการบวงสรวงที่สรรพสัตว์ได้โมทนากับกุศลผลบุญ


     4. สรรพสัตว์ทั้งหมดทุกดวงจิตวิญญาณ ทั้งผีและคนได้เห็นพระฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคย์ที่ได้โปรดเมตตาทรงเสด็จมาเป็นองค์ พระประธานของการบวงสรวง ก็มีจิตปีติ ยินดี สดชื่น เบิกบาน มีความสุข พ้นจากทุกข์บาปกรรม

     5. เป็นการสะเดาะเคราะห์ของโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย จากภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุต่าง ๆ ภัยเศรษฐกิจ ฯลฯ เนื่องจากบาปกรรมของ คน สัตว์ รวมทั้งภูต ผีวิญญาณมากมายหลายล้านที่คนมองไม่เห็น ผี คือจิตวิญญาณของคนที่ตายแล้ว แต่ไม่ไปไหนยังคงเวียนวนอยู่ในโลก เพราะความลุ่มหลงในร่างกายตนเอง ร่างกายคนรัก ทรัพย์สมบัติของตน จึงไม่พ้นจากการเป็นผี

     6. เป็นงานพุทธาภิเษก ด้วยการขอพระบารมี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เมตตาให้วัตถุมงคล ทุกชนิดมีพลังพระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ เพื่อปกปักรักษา ป้องกันอันตราย และช่วยให้ผู้ได้วัตถุมงคลไปบูชา มีจิตก้าวหน้า เข้าถึงพระธรรม ได้รวดเร็ว



ขั้นตอนพิธี
    1. ควรทำปีละครั้ง นิยมทำตอนเช้า ไหว้พระกล่าวอัญเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า คุณบิดามารดา คุณครูอาจารย์ เทพพรหมผู้เป็นใหญ่ดูแลโลก รวมทั้งท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระภูมิเจ้าที่ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระโภสพ รุกขเทวดา ทั่วชั้นฟ้า ชั้นดินทุกๆพระองค์ ขออันเชิญมาทั้งหมด
    2. กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย
    3. กล่าวขอขมาต่อพระรัตนตรัย
    4. ตั้งจิตอธิษฐานปฏิญาณตนเป็นพุทธมามะกะ
    5. กล่าวขอพรในสิ่งที่ปรารถนา แล้วแต่ท่านตั้งใจจะทำอะไร ถวายสังฆทาน ทำบุญวิหารทาน ธรรมทาน
    6. ทำสมาธิ ๕ นาที
    7. ถวายสังฆทาน ทำบุญ
    8. แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลขอฝากไปกับพระฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปยัง นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ขอให้สรรพสัตว์ ทุกดวงจิตหลุดพ้นจากภัยอันตราย มีความสุขสดชื่น และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดโดยสิ้นเชิง



ความคิดเห็นที่ 7 โดย : อศจ2495
    การบวงสรวงเกิดจากความกลัวของมนุุษย์ที่มีต่อสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวสิ่งเหล่านั้นจะมาทำอันตรายจึงต้องบวงสรวงสังเวยด้วยเครื่องเซ่นเพื่อให้ พอใจ ชอบใจ จะได้ไม่ทำอันตรายแก่ตัวเองจุดประสงค์มีแค่นี้เอง แต่ความเป็นจริงในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาไม่น่าจะมีการสอนให้มีการบวงสรวงสังเวย มีแต่ในศาสนาพราหมณ์เท่านั้น

     พระพุทธศาสนาสอนคนให้ เชื่อมั่นตัวเอง เชื่อในศักยภาพความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่ามนูษย์อีกแล้วครับท่าน ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ดังตัวอย่าง ที่เขาเล่ากันว่า มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ข้างทาง สุนัขขี้ใส่ คนเห็นก็ตัดกิ่งไม้ปิด คนหลังมาก็ทำเหมือนกันจากกิ่งไม้ กลายเป็นดอกไม้ พวงมาลัย ผ้าสามสี

     สุดท้ายก็สร้างเป็นศาล ใครผ่านไปมาก็ยกมือไหว้ วันหนึ่งก็มีสองหนุ่มผ่านมาเห็น ก็ท้ากันว่า เอ็งแน่หรือเปล่า หากแน่เอ็งลองไปฉี่ใส่ศาลดูซิรับรองโดนเจ้าเล่นงานแน่ เจ้าเพื่อนไม่เชื่อเลยฉี่ใส่ กลับถึงบ้าน นอนไม่หลับป่วยไปหลายวัน

     ต่อมามีฝรั่งคนหนึ่งผ่านมา ไม่รู้เรื่องอะไร ปวดฉี่ จึงฉี่หน้างศาล กลับถึงบ้านนอนหลับสบาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเหตุไร คนสองคนนี้ จึงมีผลต่างกัน คือคนหนึ่ง ป่วย อีกคนไม่เป็นอะไรเลย ก็เพราะใจนั่นเอง เจ้าคนไทยพอฉี่ใส่ศาลก็ไปนอนจิตนาการ ว่าเจ้าจะมาหักคอบ้าง ทำร้ายตัวเองบ้าง คิดสารพัดจนเจ็บป่วย ส่วนเจ้าฝรังแก่ไม่รู้เรื่องและไม่คิดอะไรเลย จึงไม่เป็นอะไร เห็นไมขอรับว่า อยู่ที่ใจ หากใจเข้มแข็งเสียอย่าง ไม่มีอะไรทำเราได้


ความคิดเห็นที่ 9 โดย : กอศ.ยศ.ทร.
    การบวงสรวง คือพิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เทพยดา เป็นต้น ด้วยเครื่องสักการะมีดอกไม้ เป็นต้น และเครื่องสังเวยมี หัวหมู เป็ด ไก่ ขนมต้มแดง-ต้มขาว เป็นต้น โดยมีจุดประสงค์ ๓ ประการ คือ
    ๑. เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกปักรักษา อำนวยโชคลาภ และสิริมงคล
    ๒. เพื่อบูชาคุณความดีและตอบแทนอุปการคุณ
    ๓. เพื่อเป็นเทวตาพลีตามหลักศาสนา


ที่มา http://www.navy.mi.th/navedu/webboard/ex11_32.php?q_id=647
ขอบคุณภาพจาก http://topicstock.pantip.com/,http://cdn.gotoknow.org/,http://www.phranorn.com/,http://www.kanesorn.com/
23737  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: บวงสรวงเทวดา เพื่อ อะไร ? และ ต้องเตรียมเครื่องบวงสรวง อย่างไร ? เมื่อ: มิถุนายน 21, 2012, 12:25:14 pm

การบวงสรวงและเครื่องบวงสรวง ตามคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


การบวงสรวง
"...การบวงสรวงเป็นการเชิญเทวดาทั้งหมด อาราธนาพระ แม้แต่บารมีของพระพุทธเจ้าลงมาทั้งหมด และพรหมทั้งหมด การบวงสรวงแบบนี้ถ้าลูกหลานยังไม่สามารถจะเห็นบุคคลผู้มาได้ ก่อนที่จะฟังเสียงของฉัน จุดธูป จุดเทียน แล้วก็เปิดเครื่องได้ยินเสียงบวงสรวงหรือชุมนุมเทวดาแล้ว ก็จงคิดว่า พระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ทั้งหมดที่ฉันเชิญมาเวลาบันทึกเสียงนี้ มีกี่องค์ก็ตาม พวกเธอทั้งหลายแสดงความนอบน้อมว่า

   ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพในทุกท่าน แล้วก็ขอ ทุกท่านจงสงเคราะห์ให้จิตใจของพวกเราทั้งหมดตกอยู่ในสัมมาทิฏฐิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี มีธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเห็นธรรมนั้นด้วยเถิด แล้วขอให้คุ้มครองอะไรบ้างก็ว่ากันไปตามใจนึก

    แต่ว่าอย่าไปเกณฑ์ให้ท่านเล่นหวยเล่นการพนันหรือไปลักไปปล้นกัน ท่านไม่เอาด้วย เท่านี้ก็เกิดความสุข ท่านจะช่วยได้ตามความสามารถหรือที่เรียกว่า ไม่เกินอำนาจของกรรม นี้ว่ากันถึงเรื่องบวงสรวงนะว่ามันดียังไง"

เครื่องบวงสรวง
เครื่องบวงสรวงแบบครบถ้วน ซึ่งใช้กับ วัด สถานที่ราชการ บริษัท ห้างร้าน โรงงาน หรือบ้านที่มีฐานะพอทำได้ หลวงพ่อท่านแนะนำไว้ดังนี้

  1. บายศรี (ทำเป็นชั้นๆ ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชั้น)
   2. ไก่ 1 ตัว (วางไว้ทิศเหนือของโต๊ะ)
   3. หมู 3 หัว (วางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ อย่าวางผิดทิศนะ ถ้าวางผิดทิศต้องมีเรื่องแน่)
   4. ขนมต้มแดง และขนมต้มขาว
   5. ข้าวปากหม้อ ไข่ลูกยอด (ไข่ใส่ยอดบายศรี)
   6. กล้วยน้ำว้าสุก 1 หวี
   7. มะพร้าวอ่อน
   8. ถั่วราชมาส (ถั่วเขียวคั่ว)
   9. ถ้าเป็นบ้านก็ควรจะมี ปลาแป๊ะซะอีก 1 ตัว เพื่อพระภูมิเจ้าที่


    ถ้าชาวบ้านธรรมดา มีฐานะพอสมควรตั้งแต่จนถึงปานกลางนะ ใช้หมูชิ้นหนึ่ง แต่ชิ้นหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล อย่าลืมนะต้องมีปลาแป๊ะซะอีกตัวนะ เพื่อพระภูมิเจ้าที่ เพราะพิธีตั้งเป็นเรื่องท่านท้าวมหาราชท่าน


อ้างอิง
คัดจาก หนังสือ "สมบัติพ่อให้ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน" หน้า 237 และ 242
board.palungjit.com/f61/การบวงสรวงและเครื่องบวงสรวง-145809.html
23738  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: มัคคัญญู มัคควิทู มัคคโกวิทะ และ มัคคานุคา..ต่างกันอย่างไร เมื่อ: มิถุนายน 20, 2012, 02:13:24 pm


ความเหมือนและความแตกต่าง ระหว่าง สัมมาสัมพุทธะกับปัญญาวิมุตต์
           
           ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ หลุดพ้นแล้วจากรูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “สัมมาสัมพุทธะ”.
           ภิกษุ ท. ! แม้ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ก็หลุดพ้นแล้วจากรูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด
ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “ปัญญาวิมุตต์”
(ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้ มีข้อความแสดงหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปที่กล่าวแล้ว)


           ภิกษุ ท. ! เมื่อเป็นผู้หลุดพ้นจากรูป เป็นต้น ด้วยกันทั้งสองพวกแล้ว, อะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกันอะไรเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน อะไรเป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับ ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ?

           ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น,
           ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ ให้มีคนรู้, ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าว ให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว,       
           ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค), เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค), เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค);

           ภิกษุ ท.! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้ เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง.

           ภิกษุ ท. ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกันเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์.

__________________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค พุทธสูตร ๑๗/๘๑/๑๒๕.


อ้างอิง หนังสือ “พุทธวจน ฉบับ ตามรอยธรรม” โดยคณะงานธรรมวัดนาป่าพง
ที่มา  http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/09/Y11092670/Y11092670.html
ขอบคุณภาพจาก http://gallery.palungjit.com/
23739  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มัคคัญญู มัคควิทู มัคคโกวิทะ และ มัคคานุคา..ต่างกันอย่างไร เมื่อ: มิถุนายน 20, 2012, 01:11:05 pm


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค

๖. พุทธสูตร
ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

      [๑๒๕] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลุดพ้นเพราะเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัด
เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เทวดาและมนุษย์ ต่างพากันเรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญาหลุดพ้นแล้ว เพราะเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป ... เวทนา ...สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เราเรียกว่า ผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา.


       [๑๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้นจะมีอะไรเป็นข้อแปลกกัน จะมีอะไรเป็นข้อประสงค์ที่ยิ่งกว่ากัน จะมีอะไรเป็นเหตุทำให้ต่างกัน ระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา?
        ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน เป็นแบบฉบับ เป็นที่อิงอาศัย ขอประทานพระวโรกาส ขออรรถแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคทีเดียวเถิด ภิกษุทั้งหลาย ได้สดับต่อพระผู้มีพระภาคแล้วจักทรงจำไว้.


        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
        ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
        พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิด
        ยังประชุมชนให้รู้จักมรรคที่ใครๆไม่รู้จัก บอกทางที่ยังไม่มีใครบอก
        เป็นผู้รู้จักทาง ประกาศทางให้ปรากฏ ฉลาดในทาง.

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สาวกทั้งหลาย ในบัดนี้ เป็นผู้ที่ดำเนินไปตามทาง เป็นผู้ตามมาในภายหลัง.

        อันนี้แล เป็นข้อแปลกกัน อันนี้ เป็นข้อประสงค์ยิ่งกว่ากัน อันนี้ เป็นเหตุทำให้ต่างกัน ระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา.
        จบ สูตรที่ ๖.

อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ บรรทัดที่ ๑๔๔๙ - ๑๔๗๑. หน้าที่ ๖๓ - ๖๔.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=17&A=1449&Z=1471&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=125
ขอบคุณภาพจาก http://www.buddhajayanti.net/



อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณาสก์ อุปายวรรคที่ ๑
พุทธสูตรที่ ๖ ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

         อรรถกถาพุทธสูตรที่ ๖               
         ในพุทธสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
         บทว่า โก อธิปฺปายโส ความว่า อะไรเป็นความประสงค์ที่ยิ่งกว่ากัน.
         บทว่า อนุปฺปนฺนสฺส ความว่า จริงอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ทรงให้มรรคจิตนี้เกิดขึ้น. ถัดจากนั้น ศาสดาอื่นไม่อาจให้เกิดขึ้นได้.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าทำมรรคจิตที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้.
         จริงอยู่ ในนคโรปัมมสูตร ทางเก่าเกิดในที่ที่ไม่มีร่องรอย ในที่นี้ชื่อว่ามรรคที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะอรรถว่ายังไม่เป็นไป.
         บทว่า อสญฺชาตสฺส เป็นไวพจน์ของบทว่า อนุปฺปนฺนสฺส นั่นเอง.
         บทว่า อนกฺขาตสฺส ได้แก่ มิได้ตรัสไว้.


         ชื่อว่า มัคคัญญู เพราะรู้มรรคจิต.
         ชื่อว่า มัคควิทู เพราะทำมรรคจิตให้แจ่มแจ้ง คือให้ปรากฏ.
         ชื่อว่า มัคคามัคคโกวิทะ เพราะฉลาดในมรรคจิตและธรรมชาติมิใช่มรรคจิต.


         บทว่า มคฺคานุคา แปลว่า ไปตามมรรคจิต.
         บทว่า ปจฺฉา สมนฺนาคตา ความว่า เราถึงก่อน สาวกถึงภายหลัง.


               จบ อรรถกถาพุทธสูตรที่ ๖   
   

ที่มา http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=125
ขอบคุณภาพจาก http://j5.tagstat.com/



พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาบาลี) เล่มที่ ๑๗
สุตฺตนฺตปิฏเก เล่มที่ ๙ สํยุตฺตนิกายสฺส ขนฺธวารวคฺโค

       [๑๒๕] สาวตฺถี   ฯ   ตตฺร   โข  ฯ  ตถาคโต  ภิกฺขเว  อรหํสมฺมาสมฺพุทฺโธ   รูปสฺส   นิพฺพิทา   วิราคา  นิโรธา  อนุปาทา  วิมุตฺโตสมฺมาสมฺพุทฺโธติ   วุจฺจติ   ฯ   ภิกฺขุปิ   ภิกฺขเว   ปญฺญาวิมุตฺโต  รูปสฺสนิพฺพิทา  วิราคา  นิโรธา  อนุปาทา  วิมุตฺโต  ปญฺญาวิมุตฺโตติ  วุจฺจติ  ฯ ตถาคโต   ภิกฺขเว   อรหํ   สมฺมาสมฺพุทฺโธ  เวทนาย  นิพฺพิทา  วิราคา นิโรธา    อนุปาทา   วิมุตฺโต   สมฺมาสมฺพุทฺโธติ   วุจฺจติ   ฯ
 
   ภิกฺขุปิ ภิกฺขเว    ปญฺญาวิมุตฺโต   เวทนาย   นิพฺพิทา   ฯเปฯ   ปญฺญาวิมุตฺโตติ วุจฺจติ   ฯ   ตถาคโต   ภิกฺขเว   อรหํ   สมฺมาสมฺพุทฺโธ   สญฺญาย  ฯ สงฺขารานํ    ฯ   วิญฺญาณสฺส   นิพฺพิทา   วิราคา   นิโรธา   อนุปาทาวิมุตฺโต   สมฺมาสมฺพุทฺโธติ   วุจฺจติ   ฯ   ภิกฺขุปิ  ภิกฺขเว  ปญฺญาวิมุตฺโต วิญฺญาณสฺส  นิพฺพิทา  วิราคา  นิโรธา  อนุปาทา  วิมุตฺโต  ปญฺญาวิมุตฺโตติ วุจฺจติ ฯ

       [๑๒๖]  ตตฺร   ภิกฺขเว  โก  วิเสโส  โก  อธิปฺปายโส  กึ นานากรณํ    ตถาคตสฺส    อรหโต    สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส   ปญฺญาวิมุตฺเตน ภิกฺขุนาติ  ฯ  ภควํมูลกา  โน  ภนฺเต  ธมฺมา  ภควํเนตฺติกา ภควํปฏิสรณา สาธุ   วต     ภนฺเต     ภควนฺตญฺเญว     ปฏิภาตุ     เอตสฺส ภาสิตสฺส   อตฺโถ   ภควโต   สุตฺวา   ภิกฺขู   ธาเรสฺสนฺตีติ  ฯ  เตนหิ โป. ม. ยุ. เอตฺถนฺตเร โขสทฺโท ทิสฺสติ ฯ
        ภิกฺขเว   สุณาถ   สาธุกํ   มนสิกโรถ   ภาสิสฺสามีติ  ฯ 
        เอวํ  ภนฺเตติ โข   เต   ภิกฺขู  ภควโต  ปจฺจสฺโสสุ ฯ  ภควา  เอตทโวจ  ตถาคโต


        ภิกฺขเว    อรหํ   สมฺมาสมฺพุทฺโธ   อนุปฺปนฺนสฺส   มคฺคสฺส   อุปฺปาเทตาอสญฺชาตสฺส   มคฺคสฺส   สญฺชาเนตา   อนกฺขาตสฺส   มคฺคสฺส   อกฺขาตา มคฺคญฺญู  มคฺควิทู  มคฺคโกวิโท  ฯ    
        มคฺคานุคา  จ  ภิกฺขเว  เอตรหิสาวกา   วิหรนฺติ   ปจฺฉา  สมนฺนาคตา ฯ 
                   
        อยํ  โข  ภิกฺขเว  วิเสโส อยํ   อธิปฺปายโส  อิทํ  นานากรณํ  ตถาคตสฺส  อรหโต  สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปญฺญาวิมุตฺเตน ภิกฺขุนาติ ฯ

ที่มา http://etipitaka.com/compare?lang1=thai&lang2=pali&p1=63&p2=81&volume=17
ขอบคุณภาพจาก http://www.buddhajayanti.net/
23740  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: มีความคิดเห็นอย่างไร ? ถ้าให้ความสำคัญกับ มรรค ข้อ ที่ 5 และ 6 มากที่สุด เมื่อ: มิถุนายน 20, 2012, 12:39:12 pm

  เดี๋ยวว่างๆ จะมาคุยครับ เพื่อนๆช่วยคุยเป็นเพื่อนไปก่อน :49:
23741  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความแตกต่างระหว่าง 'มัคคัญญู และ มัคคานุคา' เมื่อ: มิถุนายน 20, 2012, 11:56:24 am
พระอนุพุทธะ ก็คือ พระสงฆ์ ใช่หรือไม่คะ

  :smiley_confused1: :67:

  :c017:



ความเหมือนและความแตกต่าง ระหว่าง สัมมาสัมพุทธะกับปัญญาวิมุตต์
           
           ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ หลุดพ้นแล้วจากรูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “สัมมาสัมพุทธะ”.
           ภิกษุ ท. ! แม้ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ก็หลุดพ้นแล้วจากรูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด
ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “ปัญญาวิมุตต์”
(ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้ มีข้อความแสดงหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปที่กล่าวแล้ว)


           ภิกษุ ท. ! เมื่อเป็นผู้หลุดพ้นจากรูป เป็นต้น ด้วยกันทั้งสองพวกแล้ว, อะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกันอะไรเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน อะไรเป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับ ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ?

           ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น,
           ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ ให้มีคนรู้, ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าว ให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว,       
           ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค), เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค), เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค);

           ภิกษุ ท.! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้ เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง.

           ภิกษุ ท. ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกันเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์.

_____________________
ขนฺธ. ส°. ๑๗/๘๑/๑๒๕.


อ้างอิง หนังสือ “พุทธวจน ฉบับ ตามรอยธรรม” โดยคณะงานธรรมวัดนาป่าพง
ที่มา  http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/09/Y11092670/Y11092670.html
ขอบคุณภาพจาก http://www.buddhajayanti.net/


อนุพุทธะ  ผู้ตรัสรู้ตาม คือ ตรัสรู้ด้วยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนได้แก่ พระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
23742  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บทเพลง 'สัพเพสัตตา'..มีกลิ่นไอความเป็นไทย เมื่อ: มิถุนายน 20, 2012, 11:25:51 am


อัปโหลดโดย nisok2005 เมื่อ 28 เม.ย. 2011

บ ท แ ผ่ เ ม ต ต า
สัพเพ สัตตา
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพพะยาปัชฌา โหนตุ
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา โหนตุ
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ





เผยแพร่เมื่อ 4 มิ.ย. 2012 โดย thanesguru

ตัวอย่างเพลง สัพเพ สัตตา We Are World
บทเพลงโดยท่าน ว.วชิระเมธี
ทำนอง/ เรียบเรียง โดย ธเนส สุขวัฒน์
ดนตรีโดย ต่อพงษ์ นิ่มนวล/ ธเนส สุขวัฒน์
ขับร้องโดย สิรินพร รามสูต
23743  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มหัศจรรย์ 2,600 ปี พุทธยันตี พบรอยพระพุทธบาท แห่งแรกของไทยในอ่าวไทย เมื่อ: มิถุนายน 19, 2012, 08:28:17 pm

มหัศจรรย์ 2,600 ปี พุทธยันตี พบรอยพระพุทธบาท แห่งแรกของไทยในอ่าวไทย แดนสุวรรณภูมิ

วันนี้ (19 มิ.ย)  ผู้สื่อข่าวได้รับทราบจากแหล่งข่าวว่า  ครูบาสันยาสี  ภิกขุ หรือมหาโยคี แห่งสำนักปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทจันทาราม (เขาถ้ำพระ)ต.ทุ่งขนาน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ได้เดินทางไปปฏิบัติธรรม ณ ยอดเขาพญาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ได้เกิดนิมิตขณะนั่งสมาธิกรรมฐาน เห็นว่า บริเวณโขดหินชายหาดแห่งหนึ่งของเกาะกูด จ.ตราด มีรอยพระพุทธบาทธรรมชาติที่สวยงาม ชัดเจน อยู่เป็นจำนวนมาก

จึงได้พาคณะศิษย์เดินทาง ด้วยการเช่าเรือเร็วขนาดใหญ่จากชายฝั่ง จ.ตราด ไปยังเกาะกูดเพื่อร่วมกันพิสูจน์ความจริง  ซึ่งขณะก่อนออกเดินทางมีคลื่นลมจัด ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างแรง แต่พอเรือออกไปในทะเล ท้องฟ้าเปิด มีแสงแดดทำให้สามารถเดินทางไปได้ในระยะทาง 40 กิโลเมตร  และใช้เวลาการเดินทาง 1 ชั่วโมง

และในวันนี้ ครูบาสันยาสี พร้อมคณะศิษย์ ได้พาผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และทีวี เดลินิวส์ ไปพิสูจน์ความจริง ตรงจุดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ตรงข้ามกับเกาะกง กัมพูชา ชาวบ้านเรียกอ่าวกล้วย หรือแหลมหินลับมีด จึงได้พากันลงน้ำทะเล ขึ้นไปยังชายฝั่ง พบรอยพระพุทธบาท ชัดเจนอยู่บนแผ่นหินริมชายหาด

จึงได้นำบายศรี ดอกไม้ ธูปเทียนไปสักการะเพื่อขออนุญาตในการตรวจสอบ และบันทึกภาพมาเผยแพร่ให้สาธุชนชาวพุทธได้รับทราบว่า ได้พบรอยพระพุทธบาท ซึ่งค้นพบในปี พุทธยันตี 2,600 ปี ซึ่งเป็นปีมหามงคลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินาถ  ในดินแดนสุวรรณภูมิของไทย กลางอ่าวไทยตอนล่าง ซึ่งมีความชัดเจน สวยงาม เป็นธรรมชาติ มีน้ำทะเลขึ้นถึง จะดูได้อย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อน้ำทะเลลง




ครูบาสันยาสี พาญาติโยมเดินทางสำรวจพบแล้วรอยพระพุทธบาทธรรมชาติ งดงาม สมบูรณ์ ตรงกับ ชาวเกาะกูด จังหวัดตราด


นางมณีจันทร์ ศรีทองคำ เปิดเผยว่า ได้มาทำธุรกิจที่พักอาศัย และมีที่ดินอยู่บนเกาะกูด  เคยได้ยินคำเฒ่าคนแก่ พูดและเล่ากันมาหลายยุคหลายสมัยว่า ดินแดนเกาะกูดเป็นดินแดนแห่งธรรมที่รุ่งเรืองมาก่อน

และมีการพูดกันว่าบนเกาะแห่งนี้มีรอยพระพุทธบาทอยู่แต่ไม่เคยมีใครค้นพบ หรือพบเห็น จนมาทราบข่าวว่า ครูบาสันยาสี พร้อมคณะศิษย์ ได้เดินทางมาสำรวจจึงได้ขอติดตามคณะไปด้วย รู้สึกตกใจ และตะลึงอย่างมากที่พบรอยพระพุทธบาทตามคำเล่าลือมานานแสนนาน

     ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพระท่านรู้ได้อย่างไร และเดินทางไปถูก
     ทั้งที่บริเวณใกล้เคียงรอยพระพุทธบาท ได้มีบ้านพักคนงานลูกจ้างทำสวนยาง ปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ริมชายหาดแห่งนี้มานานหลายปี เดินผ่านไป-ผ่านมา ทุกวันแต่ไม่มีใครพบเห็นมาก่อน




ส่วนทางด้าน ครูบายสันยาสี เปิดเผยว่า ได้ออกมาจากสำนักปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทจันทาราม (เขาถ้ำพระ)ต.ทุ่งขนาน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี เพื่อขึ้นไปปฏิบัติทำบนยอดเขา พญาเดินธง  อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นภูเขาสูงชัน

     ขณะนั่งปฏิบัติสมาธิกรรมฐานอยู่ ได้มีนิมิตเห็นรอยพระพุทธบาท
     และได้มีดวงวิญญาณของ วิญญาณโอปาติกะ ผู้ดูแลรักษาสถานที่
     และบอกว่าเป็นดวงวิญญาณของเจ้าหญิงสุมลมาลย์
     ในสมัยอดีต เป็นผู้ดูแลรักษาสถานที่เกาะกูด เกาะกระดาษ
     และดูแลรักษารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ ได้มาอาราธนานิมนต์ทางนิมิตกรรมฐาน
     บอกว่า รอยพระพุทธบาทตั้งอยู่บนอ่าวกล้วย ซึ่งอยู่ในพื้นที่เกาะกูด


สถานที่ตั้งรอยพระพุทธบาทเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ลักษณะก้อนหินยื่นลงไปในทะเล เป็นรอยพระพุทธบาท 2 รอย คู่กัน ประทับรอยกลับไปกลับมา (หรือขึ้นลง) เป็นรอยเท้าขนาดใหญ่ เท่ากับรอยเท้าคนแปดศอก มีส้นและปลายนิ้วอย่างชัดเจนตลอดจนก้นหอย นอกจากนี้ยังมีรอยเท้าเท่ากับคนธรรมดาอยู่บนโขดหินอีกเป็นจำนวนมาก




และได้กล่าวอีกว่า รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ นับมีความสำคัญทางศาสนาพุทธอย่างมาก ซึ่งเชื่อกันว่าตามพุทธประวัติและพระไตรปิฎก ยังมีรอยพระพุทธบาทที่อยู่ในมหาสมุทรอีก 1 แห่ง ที่ยังไม่มีใครค้นพบ เกาะกูดถือว่ามีที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทร และยังเป็นดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ เช่นกัน แต่ต้องให้ผู้รู้เรื่องรอยพระพุทธบาท กรมศาสนาลงไปพิสูจน์ความจริงให้แน่ชัด

ตามความเชื่อแต่โบราณ เกาะกูดในยุคเก่าเป็นเมือง สถานที่ปฏิบัติยุครุ่งเรืองของ มหานิกาย และอินดู เข้ามาเผยแพร่ศาสนาเพื่อเผยแพร่ในสยามอาณาจักร และเชื่อกันว่าพระพุทธองค์เคยเสด็จมาเทศนา โปรดสัตว์ ในเขตสุวรรณภูมิ ในยุคก่อนกึ่งพุทธกาล จึงได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ในแดนสุวรรณภูมิ

และยังเชื่อกันว่ารอยพระพุทธบาทในประเทศไทยมีจำนวนมาก ทั้งบนที่สูง และริมทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่เกาะกูด น่าจะเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และในโลกที่ค้นพบครั้นี้

     และยังมีนิมิตอีกว่า นอกจากในพื้นที่เกาะกูด จ.ตราดแล้ว 
     ที่จังหวัดจันทบุรียังมีอีก 9 แห่ง แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่
     ส่วนที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ก็มีอีก 1 แห่ง บนโขดหินชายทะเล เขาแหลมปู่เจ้ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ซึ่งจะต้องติดตามเผยแพร่พระพุทธศาสนาในช่วงนี้ 2,600 ปี พุทธยันตี





ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/thailand/120509
23744  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปล่อยเต่า..อย่าคิดว่าได้บุญ เมื่อ: มิถุนายน 19, 2012, 08:12:33 pm


ปล่อยเต่า..อย่าคิดว่าได้บุญ

เตือนคนไทยให้รู้ว่าปล่อยเต่าไม่ได้บุญ นักวิชาการชี้มนุษย์เป็นภัยร้ายต่อเต่าไทยอันดับหนึ่ง เหตุจำนวนเต่าในธรรมชาติลดเกินครึ่ง

      เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.  ที่จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. ชั้น 4 อาคารจามจุรีสแควร์ ดร.พิชัย  สนแจ้ง ผอ.องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ(อพวช.) พร้อมด้วย ศ.ดร.สุพจน์  หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันเป็นประธานเปิดนิทรรศการ “เต่า”

      หวังให้คนรุ่นใหม่อนุรักษ์เต่า เหตุปริมาณเต่าในธรรมชาติลดลงเกินกว่าร้อยละ 50
      ชี้มนุษย์ คือ ภัยคุกคามเต่าอันดับ 1 เตือนปล่อยเต่าเป็นการทำบาปโดยตรง


      ดร.พิชัย   เปิดเผยว่า  อพวช. เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความหลากหลายทางชีวภาพให้กับประชาชน ผ่านสื่อการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ การจัดนิทรรศการ “เต่า” (Turtles) เกิดขึ้นจากความร่วมมือกัน ระหว่าง อพวช. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งสำหรับการสร้างความตระหนักให้กับสังคมในการอนุรักษ์เต่า  อันจะเป็นประโยชน์ในเชิงนิเวศวิทยาของประเทศไทย

      “นิทรรศการเต่า จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ประกอบด้วยเรื่อง ชีววิทยาเต่า จัดแสดงเกี่ยวกับสรีระวิทยาของเต่า ส่วนต่อมาคือ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเต่า รวมถึงวิถีชีวิตของคนที่เกี่ยวข้องกับเต่า อาทิ ทำไมเต่าอายุยืน  “กลิ่นเต่า” เหม็นแค่ไหน ความเชื่อเกี่ยวกับเต่า งานศิลปะจากเต่า

       ในส่วนสุดท้ายจะนำเสนอเรื่อง ความสำคัญและการอนุรักษ์ ซึ่งเกี่ยวกับสาเหตุที่เต่าลดจำนวนลง บทบาทของเต่าในระบบนิเวศ และความสำคัญในการอนุรักษ์เต่า คนไทยใช้ประโยชน์จากเต่าอย่างไร ปล่อยเต่าอย่างไรให้ได้บุญ รวมถึงเรื่องเต่าต่างประเทศในไทย” ดร.พิชัยกล่าว



       ศ.ดร.สุพจน์  กล่าวว่า ปัจจุบันเต่าไทยกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติที่มาจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถูกคุกคามทั้งจากภัยธรรมชาติได้แก่ความเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศวิทยาของโลก ตลอดจนจากนักล่าที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก คือ มนุษย์

      ทั้งจากการล่าเพื่อนำไปบริโภคด้วยความเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ
      หรือแม้กระทั่ง การจับเพื่อนำไปปล่อยตามความเชื่อทางศาสนา
      ล้วนแต่ส่งผลให้สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีวิวัฒนาการและอยู่บนโลกมานานมากกว่า 220 ล้านปี ลดลงมากกว่าร้อยละ 50


      ดังนั้น จึงอยากให้สังคมเกิดความตระหนักถึงการร่วมกันอนุรักษ์สัตว์ดึกดำบรรพที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยาในประเทศไทยจากการเข้ามาชมและเรียนรู้ในนิทรรศการชุดนี้ ซึ่งจะสะท้อนปัญหาวิกฤตการณ์การอยู่รอดของเต่าในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

     รศ.ดร.กำธร  ธีรคุปต์ หัวหน้าภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นคว้าวิจัยเต่าในประเทศไทย  กล่าวว่า มนุษย์เข้าไปทำลายวิถีชีวิตของเต่าหลายรูปแบบ ทั้งการลุกล้ำถิ่นที่อยู่ของเต่า การปล่อยสารพิษลงแหล่งน้ำ การจับเต่าในธรรมชาติ มาบริโภค หรือแม้นกระทั่งการทำบุญปล่อยซึ่งมีงานวิจัยว่าเต่าที่มนุษย์ซื้อมาปล่อยตามความเชื่อทางศาสนานั้นตายกว่าร้อยละ 90 ถึงเวลาที่ควรจะช่วยกันอนุรักษ์

     “ ปัจจุบันจำนวนเต่าในธรรมชาติทุกชนิด ลดลงมากกว่าร้อยละ 50 บางชนิดเหลือพียงร้อยละ 5 และบางชนิดใกล้สูญพันธุ์ เช่น ตะพาบม่านลาย, เต่ากระอานและเต่าลายตีนเป็ด  เต่า 3 ชนิดของไทยติดอันดับ เต่า 25 ชนิดของโลก ที่ใกล้สูญพันธ์ เช่นเดียวกับ ตะพาบหัวกบ ที่อาศัยอยู่บริเวณปากแม่น้ำซึ่งเป็นน้ำกร่อย  นับเป็นอีกชนิดหนึ่งที่ที่หาได้ยากมากในบ้านเราแต่ยังมีอยู่บ้างหาได้ในประเทศเวียดนาม กัมพูชา


     ทั้งนี้ เต่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่เป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่า ดังนั้นการลดจำนวนลงของเต่าย่อมมีผลกระทบอย่างแน่นอนในห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ


   
     ขณะที่อีกความนิยมหนึ่ง คือ การทำบุญปล่อยเต่า ส่วนตัวเห็นว่าเป็นการทำบาป 100 เปอร์เซ็นต์
     เพราะเต่าในบ้านเรามีมากกว่า 30 ชนิด แต่ละชนิด ก็อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ต่างกัน อาหารต่างกัน
     เมื่อผู้ทำบุญไม่มีความรู้เรื่องชนิดของเต่า อาหารที่เหมาะสม รวมทั้งพื้นที่ที่เหมาะสมในการปล่อย เท่ากับว่าเป็นการปล่อยเต่าให้ตายได้บาปมากกว่าได้บุญ


     อีกความนิยมคือ การเลี้ยงเต่าไว้เป็นสัตว์เลี้ยง ตนเห็นว่าหากมีการศึกษาข้อมูลของเต่าให้ดี มีการขออนุญาตครอบครองและสามารถการเลี้ยง ขยายพันธุ์ได้ นับเป็นการอนุรักษ์เต่าอีกทาง แต่ผู้เลี้ยงต้องมีการศึกษาธรรมชาติของเต่าชนิดนั้นๆ ให้ดีก่อน เพราะเต่าเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวง่ายในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง หากไม่มีข้อมูลในการดูแล จะเป็นการนำเต่ามาทรมานมากกว่า” รองศาสตราจารย์ ดร.กำธร กล่าว

     นิทรรศการ “เต่า” (Turtles) จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน เป็นต้นไป ณ จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. ชั้น 4 อาคารจามจุรีสแควร์ สามย่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02 160 5356 หรือ www.nsm.or.th


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/education/120364
ขอบคุณภาพจาก http://news.phuketindex.com/,http://i147.photobucket.com/
23745  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สามเณรเฮ.!! ได้แท็บเล็ตใช้เรียนภาค2/2555 กว่า 14,000 เครื่อง เมื่อ: มิถุนายน 19, 2012, 07:51:30 pm


สามเณรเฮ.!! ได้แท็บเล็ตใช้เรียนภาค2/2555 กว่า 14,000 เครื่อง

วันนี้ (19 มิ.ย.) นายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะแจกคอมพิวเตอร์แบบพกพา หรือ แท็บเล็ต ให้กับนักเรียนชั้นป.1ทั่วประเทศนั้น ในส่วนของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา

แม้ว่าจะเริ่มเปิดสอนในระดับตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นต้นไป แต่รัฐบาลก็เห็นความสำคัญ และมีนโยบายที่จะแจกแท็บเล็ตให้กับสามเณรที่เรียนอยู่ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในส่วนของระดับชั้น ม.ต้นด้วย ซึ่งเรื่องนี้ตนได้แจ้งให้ประธานกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ทุกกลุ่มทราบแล้ว

ทั้งนี้สำหรับแท็บเล็ตที่ทางโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จะได้รับนั้นจะมีทั้งหมด14,500เครื่อง โดยคาดว่าจะได้รับในภาคเรียนที่ 2ปีการศึกษา 2555โดยมอบให้ทั้งในส่วนของนักเรียน และในส่วนของครูด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่นักเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จะได้ใช้สื่อที่ทันสมัยขณะเดียวกันในส่วนของบุคลากรที่จะทำการสอนโดยใช้แท็บเล็ตนั้นได้มีการเตรียมความพร้อมไว้รองรับแล้ว
       


ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา กล่าวต่อไปว่า. นอกจากนี้จะมีการพัฒนาโปรแกรมวิชาต่างๆที่ใช้สอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ขึ้นมาด้วย โดยเฉพาะวิชาการสอนภาษาบาลี ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งมีสมเด็จพระวันรัต กรรมการมหาเถรสมาคม และรักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เป็นประธานได้ให้ความเห็นชอบให้มีการสอนภาษาบาลีเพิ่มในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาแล้ว

โดยจะให้สอนภาษาบาลีเพิ่มเป็น 200  ชั่วโมงต่อปีทั้งในระดับม.ต้นและม.ปลาย จากเดิมที่เคยสอนเพียง 120ชั่วโมงต่อปี ขณะเดียวกันจะให้มีการสอนกระทู้ธรรมปีละ 40 ชั่วโมง  จากเดิมที่ไม่เคยทำการเรียนการสอนเลยด้วยดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อรองรับการเรียนการสอนภาษาบาลีที่จะมีเพิ่มมากขึ้นด้วย..


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/education/120554
http://www.komchadluek.net/
23746  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ไทยอัญเชิญ 'พระพุทธรูปหยก' ใหญ่ที่สุดในโลก มาที่เซ็นทรัลเวิลด์ 15 มิ.ย.-7 ก.ค 55 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2012, 02:27:22 pm
   
พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย (หลวงพ่อหยก)

                    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร นิมิตเห็นหยกเขียวบริสุทธิ์ใหญ่ที่สุดในโลก
                น้ำหนักกว่า ๓๒ ตัน ที่ประเทศแคนาดา ปี ๒๕๓๔
                ได้นำมาประเทศไทยให้ช่างฝีมือที่ดีที่สุดชาวอิตาลีแกะสลัก ๑ ปี
                สวยสดงดงามตรงตามพุทธลักษณะ สูง ๒.๒๐ หน้าตัก ๑.๖๖ เมตร
                พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามว่า พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย (หลวงพ่อหยก)
                ประดิษฐาน ณ ศาลา ภ.ป.ร.ชั้น ๓ “วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร”
                ตั้งอยู่เลขที่ 132 ถนนสุขุมวิท ซอย 101 ตรอก ปุณณวิถี 20 เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10260


                     ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.dhammamongkol.com/auspicious.php


   
พระพุทธศานติธรรม(Jade Buddha for Universal Peace)

                     มร.เอียน กรีน และคณะสร้างจากหินหยกคุณภาพสูงและหาได้ยาก ชื่อ “โพลาร์พราย”
                 น้ำหนัก 18 ตันที่ขุดพบในประเทศแคนาดา ปี 2546
                 ได้นำมาประเทศไทยให้ช่างฝีมือที่ดีที่สุดชาวไทยแกะสลัก ๕ ปี
                 สวยสดงดงามตรงตามพุทธลักษณะ สูง ๒.๕๐ เมตร หน้าตัก....เมตร
                 หลังจากที่ประดิษฐานที่ประเทศไทยแล้วจะอัญเชิญไปยังเมืองต่างๆ ทั่วโลกอีก ประมาณ 5 ปี
                 ก่อนอัญเชิญประดิษฐานเป็นการถาวร ที่พระมหากรุณาเจดีย์แห่งสากลจักรวาล   
                 ที่กำลังสร้างขึ้นที่เมืองเบนดิโก ประเทศออสเตรเลีย



                     ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/content/edu/268611
                     ขอบคุณภาพจาก www.jadebuddha.org.au


    หาข้อมูลมาเปรียบเทียบให้ดู ตามคำขอของคุณ drift-999
        :49:
23747  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ไทยอัญเชิญ 'พระพุทธรูปหยก' ใหญ่ที่สุดในโลก มาที่เซ็นทรัลเวิลด์ 15 มิ.ย.-7 ก.ค 55 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2012, 02:10:32 pm

   
    ผมได้ดูรายการทีวีรายการหนึ่ง ได้ข้อมูลว่า พระพุทธศานติธรรม ขนาดหน้าตัก ๙ นิ้วที่เห็นในภาพ
    คณะทำงานนำโดย มร.เอียน มีความประสงค์ี่ที่จะถวายให้ในหลวง (หากมีโอกาส)
    ท่านใดมีโอกาสไปสักการะ ก็ควรไปนะครับ หากถวายให้ในหลวงแล้ว คงยากที่จะได้เห็นอีก

    อีกเรื่องหนึ่้ง คณะผู้จัดงานนี้ได้นิมนต์พระจากวัดปทุมวนาราม
    มาสวดมนต์ที่บริเวณงานเป็นประจำทุกวัน เวลาห้าโมงเย็น
    และกำหนดให้มีเจ้าภาพได้ ๙ คนต่อวัน ท่านใดประสงค์จะเป็นเจ้าภาพ ไปติดต่อที่หน้างานได้

     :25:
23748  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: โครงการ ๑ จังหวัด ๑ อำเภอ ๑ ท้องถิ่น : ๑ พุทธบูชา ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ฉลองพุทธชยันตี เมื่อ: มิถุนายน 19, 2012, 01:28:09 pm


วัตถุประสงค์
    ๑. เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมรำลึกถึงพระบรมศาสดาพระผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณอันประเสริฐ ๓ ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ โดยปฏิบัติบูชาเฉลิมฉลองในโอกาสที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ครบ ๒๖๐๐ ปี
    ๒. เพื่อให้ประชาชนได้แสดงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕
    ๓. เพื่อให้ประชาชนแสดงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕
    ๔. เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา
    ๕. เพื่อแสดงให้ชาวพุทธทั่วโลกได้เห็นว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ที่ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ และทุกชุมชนท้องถิ่น มีพระพุทธศาสนาที่เข้มแข็งและอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยทั่วทั้งแผ่นดิน
    ๖. เพื่อรวบรวมองค์ความรู้อันหลากหลาย “มหัศจรรย์วิถีไทยวิถีพุทธ” ที่เกิดจากการนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาไปปฏิบัติเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาของจังหวัด/อำเภอ/ท้องถิ่น โดยองค์ความรู้เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปเป็นแบบอย่างในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของสังคมในวงกว้าง



เป้าหมาย
     ๑. พุทธศาสนิกชนในกรุงเทพมหานคร จังหวัด/อบจ. ๗๖ จังหวัด ๙๒๗ อำเภอ ๑,๒๔๑ เทศบาล ๖,๖๘๕ อบต. ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาตามวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นและปฏิบัติบูชาเพื่อเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั่วประเทศ
     ๒. ประชาชนมีการระดมความคิดเกี่ยวกับการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ปฏิบัติในชีวิต ตามความต้องการของคนในจังหวัด/อำเภอ/ท้องถิ่น หรือนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาของจังหวัด/อำเภอ/ท้องถิ่น ทำให้ชุมชนดีขึ้น เกิดเป็นองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อวิถีชีวิตและเกิดเป็น ๑ จังหวัด ๑ พุทธบูชา ๑ อำเภอ ๑ พุทธบูชา และ ๑ ท้องถิ่น ๑ พุทธบูชาเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาในโอกาสฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า



ระยะเวลาดำเนินงาน
     ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ - วันมาฆบูชา พ.ศ. ๒๕๕๖


หน่วยงานที่มีส่วนร่วม
     ๑. กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
     ๒. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
     ๓. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
     ๔. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
     ๕. หน่วยงานระดับจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัด
     ๖. หน่วยงานระดับอำเภอ โดยนายอำเภอ
     ๗. หน่วยงานระดับท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
              • องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดยนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
              • เทศบาล โดยนายกเทศมนตรี
              • องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โดยนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
     ๘. คณะสงฆ์ โดยเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาสวัด
     ๙. พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
     ๑๐. ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
     ๑๑. องค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนาในพื้นที่ อาทิ พุทธสมาคมจังหวัด ฯลฯ
     ๑๒. หน่วยงานภาครัฐ อาทิ สถานศึกษา
     ๑๓. หน่วยงานภาคเอกชน
     ๑๔. หน่วยงานภาคประชาสังคม



สถานที่ดำเนินงาน
     ๑. ส่วนกลาง มณฑลพิธีท้องสนามหลวง วัดต่าง ๆ สถานที่ที่กำหนด กรุงเทพมหานคร
     ๒. ส่วนภูมิภาค มอบหมายให้จังหวัด ๗๖ จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการจัดโครงการพร้อมกับส่วนกลาง โดยสถานที่ ประกอบด้วย
          ๑) ระดับจังหวัด จัดกิจกรรมถวายพุทธบูชาระดับจังหวัด ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่ที่เหมาะสม หรือวัดสำคัญประจำจังหวัด
          ๒) ระดับอำเภอ จัดกิจกรรมถวายพุทธบูชาระดับอำเภอ ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอหรือสถานที่ที่เหมาะสม หรือวัดสำคัญประจำอำเภอ
          ๓) ระดับท้องถิ่น แต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดกิจกรรมถวายพุทธบูชา ระดับท้องถิ่น ณ บริเวณศูนย์กลางของชุมชนหรือสถานที่ที่เหมาะสม หรือวัดสำคัญของชุมชน

     อ่านรายละเอียดอื่นๆได้ในเอกสารที่แนบมา (pdf file)


ที่มา http://www.buddhajayanti.net/th/index.php
23749  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / โครงการ ๑ จังหวัด ๑ อำเภอ ๑ ท้องถิ่น : ๑ พุทธบูชา ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ฉลองพุทธชยันตี เมื่อ: มิถุนายน 19, 2012, 01:15:17 pm





ขอบคุณภาพจาก http://www.buddhajayanti.net/th/index.php
23750  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระฉัพพรรณรังสี ฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 07:56:57 pm


         

ที่มา : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ www.onab.go.th
ขอบคุณ  http://www.buddhajayanti.net/th/knowledge01.php
23751  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รูป 'ห้องน้ำ@วัดบางพลี' ห้องน้ำวัดพัฒนาตัวอย่าง 555+ เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 11:42:22 am

รูป 'ห้องน้ำ@วัดบางพลี' ห้องน้ำวัดพัฒนาตัวอย่าง 555+
โพสต์โดย nuningka @ http://atcloud.com/stories/69951

ห้องน้ำ (สุขา) ที่สวยมากๆ ที่เคยเห็นมา..อยู่ที่ "วัดบางพลีใหญ่ใน "สมุทรปราการ
....หลายวันก่อน...ได้ไปไหว้พระ (หลวงพ่อโต..วัดบางพลีใหญ่ใน สมุทรปราการ) ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างให้เราได้ตะลึง...ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากจากปีที่แล้ว..ที่เคยได้มา ส่วนมากจะไปปีละครั้ง....ประเพณีโยนบัว....ของวัดนี้จะดังมาก..และทำกันมานานเป็น ๑๐๐ กว่าปีแล้วค่ะ


แต่ไม่เคยไปสักที สิ่งที่ได้เห็นแล้วตะลึงและทึ่ง..คือ ห้องน้ำของวัดค่ะ...เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานมานี้เอง...เราได้มีโอกาสได้ไปลองใช้มาแล้วอลังการมากๆค่ะ แล้วยังมี "ตลาดโบราณ" อีกด้วยนะคะ แต่วันนี้ขอนำเสนอเรื่องห้องน้ำก่อนละกันนะคะ....ทางเข้า สุขา ของวัดค่ะ

















ขอบคุณภาพจาก
รูป “ ห้องน้ำ@วัดบางพลี ” สาบานอ่ะน๊าว่านี่คือห้องน้ำวัด 555+ โพสต์โดย คุณnuningka
http://atcloud.com/stories/69951



อัปโหลดโดย fammieka เมื่อ 22 มี.ค. 2011
23752  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระพุทธรูปหินโบราณ 'ใหญ่ที่สุดในโลก' หลวงพ่อโต เล่อซาน 1,200 ปี เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 11:02:51 am
พระใหญ่เล่อซาน ประติมากรรมหินแกะสลักพระสังขจายท่านั่งใหญ่ที่สุดในโลก ความสูง 71 เมตร

พระใหญ่เล่อซาน

พระใหญ่เล่อซานสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ใด
     "เล่อ ซาน ต้า โฝ" (乐山大佛) หรือ พระใหญ่เล่อซาน ล้อมรอบด้วยธารน้ำ 3 สายด้วยกัน อยู่บริเวณจุดบรรจบกันของแม่น้ำหมิ่นเจียง แม่น้ำชิงอี และแม่น้ำต้าตู้เหอ พระใหญ่องค์นี้ขุดเจาะบนหน้าผาชันริมแม่น้ำ มีอีกชื่อหนึ่งว่า "พระใหญ่หลิง อวิ๋น" เป็นพระพุทธรูปของพระสังขจายท่านั่ง เป็นหนึ่งในผลงานศิลปะชั้นยอดของสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) และเป็นประติมากรรมหินแกะสลักพระสังขจายท่านั่งใหญ่ที่สุดในโลก


    พระใหญ่เล่อซานมีความสูง 71 เมตร เท่ากับตึกกว่า 20 ชั้น เริ่มขุดเจาะเมื่อปี ค.ศ.713 ในรัชกาลไคหยวน สมัยราชวงศ์ถัง สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.803 ในรัชกาลเจิงหยวน ใช้เวลาสร้างประมาณ 90 ปี ผู้ริเริ่มให้สร้างพระใหญ่เล่อซาน มีชื่อว่า "หลวงพ่อไห่ทง" เป็นชาวกุ้ยโจว ทิวทัศน์สองข้างทางขึ้นภูเขาและผาชันรอบพระใหญ่องค์นี้ มีประติมากรรมหินแกะสลักพระพุทธรูปจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นผลงานสมัยราชวงศ์ถังตอนกลางที่มีความเจริญรุ่งเรืองของศิลปะทางพุทธศาสนา

    สถานที่ท่องเที่ยวพระใหญ่เล่อซานมีพื้นที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยภูเขาหลิง อวิ๋น ภูเขาอูโหยว และภูเขาอื่นๆ จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับชาติของจีน อีกทั้งเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมด้วย


พระเศียรของพระใหญ่เล่อซาน สูง 14.7 เมตร กว้าง 10 เมตร

พระเศียรของพระใหญ่เล่อซานสูงเท่ากับยอดเขา พระบาทวางอยู่ริมแม่น้ำ พระหัตถ์วางบนเข่า งดงามสมส่วน พระพักตร์อิ่มเอิบดูขรึมขลัง

พระเศียรสูง 14.7 เมตร กว้าง 10 เมตร พระกรรณยาว 7 เมตร พระนาสิกยาว 5.6 เมตร หลังพระบาทกว้าง 8.5 เมตร และผู้คนสามารถนั่งบนหน้าพระบาทกว่ากว่า 100 คน ถือว่ามีขนาดมโหฬาร


เนื่องจากบริเวณที่ตั้งเคยเกิดอุทกภัยรุนแรงหลายครั้ง สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมาย จึงสร้างพระใหญ่เล่อซานขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครอง หลังจากสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่เคยเกิดอุทกภัยอีกเลย นับว่า มหัศจรรย์อย่างยิ่ง



เมื่อเร็วๆ นี้ ดิฉันมีโอกาสไปนมัสการ "เล่อ ซาน ต้า โฝ" หรือ "พระใหญ่เล่อซาน" ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม ถือว่าเป็นบุญวาสนาในชาตินี้ จึงนำเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

ช่วงต้นเดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่ร้อนอบอ้าวในมณฑลเสฉวน อย่างไรก็ตาม ดิฉันตั้งใจจะไปถึงภูเขาเล่อซานให้ได้ ถึงแม้เพื่อนบางคนในคณะจะสละสิทธิ์ โดยไปเยี่ยมญาติในเมืองเฉิงตู หรือ พักผ่อนในโรงแรมก็ตาม เพราะว่า ภูเขาเล่อซานมีชื่อเลื่องลือด้วยพระใหญ่ ดิฉันเคยไปเมืองเฉิงตูมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยไปถึงภูเขาเล่อซาน เคยไปดูหมีแพนด้า และเขื่อนตูเจียงเอี้ยนเท่านั้น คราวนี้ มีโอกาสไปจึงดีใจมากๆ ห้ามพลาดเด็ดขาด

คณะของดิฉันนั่งรถออกจากเมืองเฉิงตู ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางแวะพักเข้าห้องน้ำและซื้อของที่ร้านชาเทนฝู (Ten Fu) ตั้งอยู่บริเวณที่โอบล้อมด้วยภูเขา มองเห็นไร่นาแบบขั้นบันไดสีเขียวสด ร้านชาเทนฝูนอกจากมีการจำหน่ายใบชาแล้ว ยังมีการจำหน่ายขนมที่ทำจากใบชาชนิดต่างๆ อีกด้วย อกีทั้งมีชาหลายสายพันธุ์หลายชนิดให้นักท่องเที่ยวเลือกชิมด้วย จากนั้น ดิฉันกับคณะเดินทางต่อไปที่ภูเขาเล่อซาน

ไกด์เล่าให้ฟังว่า การไปกราบไหว้พระใหญ่เล่อซานต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง เพราะต้องปีนขึ้นเขา ทางบนภูเขาค่อนข้างแคบ และเป็นแบบทางเดียว แต่จำนวนนักท่องเที่ยวมีมากจนแออัด ทำให้การเดินไม่ค่อยคล่องตัว เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนมีพ่อแม่ผู้ปกครองพาลูกๆ มาท่องเที่ยว เปิดหูเปิดตา เพิ่มความรู้รอบตัว เราไต่ภูเขาเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง อาบเหงื่อเต็มตัว จึงมาถึงจุดที่มองเห็นพระเศียรของพระใหญ่เล่อซาน และถ่ายรูปกันด้วยความดีอกดีใจ



ไกด์เล่าให้ฟังว่า หากต้องการจะเข้าคิวลงบันไดเพื่อชมพระใหญ่เล่อซานถึงช่วงพระบาท แล้วขึ้นมาด้านบนตรงบริเวณพระเศียรอีก รอบหนึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพราะผู้คนเยอะแยะ คณะของเราไม่สามารถทนความร้อนและไม่มีเวลาเพียงพอ จึงตกลงไม่เข้าคิวลงไปถึงบริเวณบันได และเปลี่ยนไปนั่งเรือเพื่อชมพระใหญ่เล่อซานแทน

เมื่อถ่ายรูปพระพุทธรูปเล่อซานกันจนอิ่มใจแล้ว เราได้เข้าไปชมวัดแห่งหนึ่ง ชื่อว่า "วัดหลิง อวิ๋น" (凌云寺) ซึ่งอยู่ด้านหลังพระเศียรของพระใหญ่เล่อซาน ภายในวัดมีกลิ่นหอมของธูปและแสงเทียนจากผู้เลื่อมใสศรัทธาต่างกราบไหว้พระพุทธรูปภายในพระตำหนักด้วยการตั้งใจมั่น

จากนั้น เราลงจากภูเขาไปนั่งเรือ ใช้เวลารอคิวประมาณครึ่งชั่วโมง ภูเขาเล่อซานถ้ามองจากระยะไกล เสมือนเป็นพระนอนองค์ใหญ่ พระใหญ่เล่อซานเปรียบเสมือนหัวใจของพระนอนองค์นี้ สร้างความอัศจรรย์ให้นักท่องเที่ยวมากๆ

มีบริการถ่ายรูปกับพระใหญ่เล่อซานบนเรือในราคาไม่แพง ภาพละ 20 หยวน มี 2 ภาพ รวมทั้งหมด 40 หยวน นอกจากนี้ ยังแถมอีกภาพหนึ่งด้วย





พระใหญ่เล่อซานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1996


ทางเข้าภูเขาเล่อซาน


ระหว่างทางไปนมัสการพระใหญ่เล่อซาน มณฑลเสฉวน


บรรยากาศภายใน "วัดหลิง อวิ๋น" เมืองเล่อซาน


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://thai.cri.cn/221/2011/09/06/242s189840.htm



อัปโหลดโดย Damrong498 เมื่อ 30 ต.ค. 2011
ปฎิมากรรมสลักหน้าผาเป็นพระพุทธรูป สูง 71 เมตร
เรียกหลวงพ่อโต เมืองเล่อซาน วันที่ 18 ตุลาคม 2554-panasonic hdc tm900 and sd 10



เผยแพร่เมื่อ 4 มี.ค. 2012 โดย Jooceansmile
หลวงพ่อโตเล่อซาน ทัวร์จิ่วจ้ายโกว by: http://www.oceansmile.com/
23753  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 10:36:24 am


ตำนานของ “หลวงพ่อวัดไร่ขิง” แห่งแม่น้ำนครชัยศรี
วัดไร่ขิง (วัดมงคลจินดาราม) อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม


พุทธลักษณะ
   หลวงพ่อวัดไร่ขิง  เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ ประชาชนทั่วไปมักเรียกว่า “หลวงพ่อวัดไร่ขิง” อนุโลมตามชื่อวัด ตามตำนานกล่าวว่าหลวงพ่อทำด้วยเนื้อสัมฤทธิ์ ประทับนั่งปางมารวิชัยหรือปางชำนะมารแบบประยุกต์ หลวงพ่อวัดไร่ขิงมีลักษณะผึ่งผายคล้ายเชียงแสน  พระหัตถ์เรียวงามตามแบบสุโขทัย แต่พระพักตร์ดูคล้ายรัตน์โกสินทร์ ประดิษฐานเหนือฐานชุกชี มีขนาดกว้าง ๔ ศอก  ๒ นิ้ว  สูง ๔ ศอก ๑๖ นิ้ว

ความเป็นมา
     ตามตำนานกล่าวถึงการได้มาซึ่งหลวงพ่อวัดไร่ขิงว่าได้ถูกอัญเชิญมากจากกรุงเก่า (พระนครศรีอยุธยา) เป็นพระพุทธรูปที่ประชาชนนับถือมาก  ในวันที่อัญเชิญหลวงพ่อวัดไร่ขิงขึ้นจากท่าน้ำที่หน้าวัดไร่ขิงตรงกับวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕  เป็นวันสงกรานต์  มีประชาชนมาชุมนุมกันมาก 


    ในขณะที่อัญเชิญหลวงพ่อวัดไร่ขิงขึ้นจากน้ำสู่ประรำพิธี  เกิดความมหัศจรรย์  แสงแดดที่แผดจ้ากลับพลันหายไป  ความร้อนระดุในวันสงกรานต์กลางเดือนห้า บังเกิดมีเมฆดำทะมึน ลมปั่นป่วน ฟ้าคะนองก้องในนภากาศ บันดาลให้ฝนโปรยลงมา ยังความเย็นฉ่ำใจทั่วหน้าทุกคนในที่นั้นเกิดความยินดี 

    พากันอธิษฐานจิต “ขอหลวงพ่อจักทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขดับความร้อนคลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลทำให้ชุ่มฉ่ำ  เจริญงอกงามด้วยธัญญาหาร”  และในบัดนี้ก็ปรากฏเป็นความจริงแจ้งประจักษ์ ว่าหลวงพ่อได้ดลบันดาลให้เกิดสภาพการณ์อย่างนั้นแก่ทุกคนที่ประพฤติธรรม 



หลวงพ่อวัดไร่ขิง ตามความเป็นจริงในพระพุทธศาสนา
     เป็นพระพุทธเจ้าหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ตามได้ด้วย  เป็นผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา มีความหมายอธิบายได้ ๒ ประการ คือ
     ประการที่ ๑ เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์  ได้แก่เจ้าชายสิทธัตถะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ มีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย  เป็นต้น มีต้นตระกูล เป็นมนุษย์  ได้เสด็จออกผนวชแสวงหาสัจจธรรม และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศพระศาสนาอยู่เป็นเวลา ๔๕ ปี  จึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
    ประการที่ ๒  เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นตำแหน่งศาสดาเอกของโลก  ผู้บำเพ็ญบารมี  คือ คุณความดีต่าง ๆ โดยสมบูรณ์

     พระพุทธเจ้าให้ความเชื่อของพุทธศาสนิกชนฝ่านยหินยานหรือเถรวาท  อย่างที่คนไทยส่วนมากนับถือและปฏิบัติ  พระพุทธเจ้าทรงเป็นมนุษย์  ไม่ใช่เทพหรือผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ  พระพุทธเจ้าแตกต่างจากคนทั่วไปในทางจิตใจและคุณสมบัติอันเป็นนามธรรม ในทางรูปธรรมพระองค์ทรงมีเนื้อหนังร่างกายที่ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งธรรมชาติ  มีการเปลี่ยนแปลง เจ็บป่วย และแตกสลายได้เมื่อถึงเวลาเหมือนดังคนปกติทั่วไป



ในฑีฆนิกาย ปฏิกวรรค พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
     ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่อยู่ที่เนื้อหนังร่างกาย หากแต่อยู่ที่ธรรมะของพระองค์  ในที่นี้หมายเอาคุณธรรมทุกอย่างที่ทำให้พระองค์แตกต่างจากคนอื่น ให้สาวกของพระองค์ปฏิบัติตามธรรมะคำสั่งสอน ไม่ให้ยึดติดในพระวรกายภายนอกที่เป็นเนื้อหนังมังสาของพระองค์ 


    บุคคลที่มองเห็นคุณธรรมหรือเข้าใจหลักธรรมที่พระองค์ทรงสอน  สามารถนำเอาไปปฏิบัติจนเกิดผลในชีวิต  คนประเภทนี้แม้จะไม่เคยเห็นพระพุทธองค์  ก็ทรงตรัสว่าเป็นผู้ได้เห็นพระองค์  ดังพุทธภาษิตว่า  “ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา” 

    ในทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท  เชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่มีอีกแล้ว การดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จะไม่อุบัติขึ้นมาอีก ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป  หากจะระลึกถึงพระพุทธเจ้า  ก็เพียงแต่ระลึกถึงคุณสมบัติหรือคุณธรรมของพระองค์ ๓ ประการ  คือ  พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ  และพระกรุณาคุณ 
    การบูชาสักการะพระพุทธเจ้าก็คือการรำลึกถึงคุณธรรมเหล่านี้ เพื่อน้อมใจให้เกิดศรัทธาวิริยะและความเบิกบานปิติที่จะปฏิบัติตามรอยบาทของพระพุทธองค์

 
พุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายาน
      มีความศรัทธาว่าพระพุทธเจ้ามีฐานะเป็นมนุษย์ธรรมดาจริงและเสด็จดับขันธปรินิพพาน แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระวรกายส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า นิรมาณกาย เท่านั้น เรียกอีกอย่างว่า มายาธรรม ที่จริงพระพุทธเจ้ายังมีพระวรกายส่วนอีก ๒ ส่วน คือ ธรรมกาย และสัมโภคกาย (ทิพยภาวะ)  เป็นพระกายที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง


     เวลาที่พุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานรำลึกถึงพระพุทธเจ้า นอกจากจะรำลึกถึงพระคุณแล้ว  ยังรำลึกถึงพระพุทธเจ้าในภาคสัมโภคกายบนสวรรค์ด้วย  เพราะมีความเชื่อว่าพระพุทธเจ้าที่อยู่บนโลกสวรรค์หรือแดนสุขาวดีพุทธเกษตร ยังคอยประทับรับฟังสุขทุกข์ของพุทธบริษัทอยู่ การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยความรู้สึกเช่นนี้เชื่อว่าจะทำให้เกิดความมั่นใจและอบอุ่นใจ มากกว่าการบูชาและปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธองค์เพียงอย่างเดียว



ความศักดิ์สิทธิ์
     หลวงพ่อวัดไร่ขิง มีเสียงเล่าลือกันจากปากต่อปากของประชาชนทั่วไป จากเหนือสู่ใต้ว่าหลวงพ่อมีอิทธิฤทธิ์และอภินิหารต่าง ๆ  มากมายเป็นอเนกประการ แต่ละคนที่มีศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อวัดไร่ขิง มีเรื่องที่น่าอัศจรรย์ปรากฏแก่ตนเองเกือบทุกคน  หลวงพ่อพระเดชพระคุณ  พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เจ้าอาวาสไร่ขิง องค์ปัจจุบันได้นำอภินิหารและอิทธิฤทธิ์ บางส่วนจากผู้ศรัทธาหลวงพ่อ มาบันทึกไว้ในหนังสือ ประวัติวัดและหลวงพ่อวัดไร่ขิง เช่น


   - หลวงพ่อวัดไร่ขิง มีอภินิหารปิดทองไม่ติด ทั้ง ๆในแต่ละปีมีประชาชนมาปิดทองหลวงพ่อเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
   - หลวงพ่อวัดไร่ขิง มีความศักดิ์สิทธิและอภินิหาร ในการป้องกันสิ่งต่าง ๆ ตามความรู้สึกของแต่ละคนที่ตั้งใจปรารถนา
   - น้ำมันและน้ำมนต์ของหลวงพ่อ รักษาโรคภัยต่าง ๆ ได้สมใจปรารถนา
   - หลวงพ่อวัดไร่ขิง ช่วยให้รอดพ้นจากความตาม เพียงแค่ตั้งจิตถึงหลวงพ่อ
   - หลวงพ่อวัดไร่ขิง ปิดตาขโมยได้ ป้องกันไฟไหม้
   - หลวงพ่อวัดไร่ขิง เป็นทุกอย่างได้ตามแรงอธิษฐานของคนอยากให้เป็น

                                             
   
หลวงพ่อวัดไร่ขิง เป็นพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์
    ประชาชนทั่วไปส่วนหนึ่งยังเข้าใจว่า  หลวงพ่อวัดไร่ขิง คือ เจ้าอาวาสวัด ทีมีความขลัง มีความศักดิ์สิทธิ มีความเมตตา ในด้านเวทมนต์คาถา เสกเป่า ให้เกิดความแคล้วคลาด ความเหนี่ยว คงกะพันชาตรี ตามความปรารถนาของคน  เหมือนเกจิอาจารย์ดังทั่ว ๆ ไป


    หลวงพ่อพระเดชพระคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ปัญญา อินฺทปญฺโญ)เป็น หลวงพ่อวัดไร่ขิง เหมือนกัน แต่เป็นเจ้าอาวาส รูปปัจจุบัน เป็นพระมหาเถระผู้มีคุณลักษณะพิเศษ อันนำมาซึ่งกิตติศัพท์ที่ขจรไป ทั้งในพุทธจักรและอาณาจักร มีศีลาจารวัตรน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใส หลวงพ่อมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เปี่ยมล้มด้วยพรหมวิหารธรรมและสังคหวัตถุธรรม

    หลวงพ่อเป็นพระนักศึกษา นักการบริหาร และเป็นนักพัฒนาตัวอย่าง ทุกงานที่หลวงพ่อทำเป็นงานระดับประเทศ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่คนส่วนมาก หลวงพ่อคือ “เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งความเสียสละ” หลวงเสียสละโอกาส กำลังกาย กำลังปัญญา และกำลังทรัพย์ เป็นพระมหาเถระที่บำเพ็ญคุณประโยชน์ สร้างคุณูปการณ์แก่ชุมชน สังคม  และประเทศชาติไว้มากดังจะเห็นได้จากส่วนราชการที่เข้ามาอยู่ในความอุปถัมภ์ของหลวงพ่อ เป็นจำนวนมากเช่น

   - ห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี (วัดไร่ขิง)
   - โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง)
   - โรงพยาบาลสามพราน (วัดไร่ขิง)
   - สมาคมชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย
   - โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา
   - โรงเรียนวัดไร่ขิง (สุนทรอุทิศ)
   - วิทยาลัยการอาชีพนครปฐม (วัดไร่ขิง)
   - สถาบันผู้บริหารการศึกษา (วัดไร่ขิง)
   - องค์การบริหารส่วนตำบลไร่ขิง
   - สถานีตำรวจภูธรตำบลโพธิ์แก้ว
   - ไปรษณีย์วัดไร่ขิง
   - ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอสามพราน (วัดไร่ขิง)
   - กองกำกับการวิทยาการเขต ๑๕

                           
                             
อานุภาพของหลวงพ่อวัดไร่ขิง
     ยิ่งใหญ่และแผ่ไปกว้างไกลเป็นที่ประจักษ์ชัดเป็นพุทธปฏิมาที่มีหมู่ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธาพากันมาทุกวันไม่ขาดสาย บันดาลให้เกิดผลานิสงส์เป็นลาภสักการะมหาศาล สามารถอำนวยประโยชน์แก่การศึกษาสงเคราะห์และสาธารณะสงเคราะห์และอื่น ๆ นานัปประการ


     บวกกับมีหลวงพ่อเจ้าอาวาส เป็นพระมหาเถระที่เปี่ยมด้วยสีลสุตาทิคุณและพรหมวิหารธรรม ทำให้ประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อวัดไร่ขิงให้ยิ่งใหญ่ด้วยการบริจาค  ทำให้ประชาชนผู้ใหญ่ผู้น้อยของชาติมิใช่จะรู้จักหลวงพ่อวัดไร่ขิงแต่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว แต่รู้จักหลวงพ่อวัดไร่ขิง ด้วยความสำนึกในฐานะผู้ให้ผ่านการบริหารการจัดการ และการดำเนินการอย่างชาญฉลาดรอบครอบของหลวงพ่อเจ้าอาวาส

    ซึ่งมิได้ครอบครองประโยชน์นี้ไว้ เพื่อความสุขเฉพาะวัดไร่ขิง  แต่ได้เฉลี่ยผลประโยชน์อันเกิดจากพุทธานุภาพนี้แผ่ไป เพื่ออุปถัมภ์การศึกษาและการสาธารณะ โดยหวังเพียงผู้รับจะรู้ถึงพระคุณของหลวงพ่อวัดไร่ขิงและคุณของพระพุทธศาสนา แล้วช่วยกันปกป้องรักษาไว้เพื่อเป็นมรดกของชาติชั่วนิรันดร์.

 
ขอบคุณข้อมูลจาก www.itti-patihan.com/ประวัติ-หลวงพ่อวัดไร่ขิง.html
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net/,http://www.nkppao.go.th/,http://www.hamanan.com/,http://www.tripandtrek.com/



ตำนานหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา หรือที่เรียกว่า "มุขปาฐะ" มีหลายตำนาน ดังนี้

  ตำนานที่ 1 ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก)ชาวเมืองนครชัยศรี ได้มาตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน ได้เข้าไปในพระอุโบสถวัดไร่ขิง หลังจากกราบพระประธานแล้ว มีความเห็นว่าพระประธานมีขนาดเล็กเกินไป จึงบอกให้ท่านเจ้าอาวาสพร้อมชาวบ้านไปอัญเชิญมาจากวัดศาลาปูนฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยวางลงบนแบบไม้ไผ่และนำล่องมาตามลำน้ำและอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 วันสงกรานต์พอดี

    ตำนานที่ 2 วัดไร่ขิงสร้างเมื่อปีกุน พุทธศักราช 2394 ตรงกับปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ต้นปี ในรัชการที่ 4 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก)ซึ่งเป็นชาวเมืองนครชัยศรี ในขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ "พระธรรมราชานุวัตร" ปกครองอยู่ที่วัดศาลาปูนวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้กลับมาสร้างวัดที่บ้านเกิดของตนที่ไร่ขิง

    เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูป สำคัญองค์หนึ่งจากกรุงเก่า ( จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ) มาเพื่อประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถแต่การสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ ท่านได้มรณภาพเสียก่อน ส่วนงานที่เหลืออยู่พระธรรมราชานุวัตร(อาจ จนฺทโชโต) หลานชายของท่านจึงดำเนินงานต่อจนเรียบร้อย และบูรณะดูแลมาโดยตลอดจนถึงแก่มรณภาพ



    ตำนานที่ 3 ตามตำนานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับมีพระพุทธรูปลอยน้ำมา 5 องค์ก็มี 3 องค์ก็มีโดยเฉพาะในเรื่องที่เล่าว่ามี 5 องค์นั้น ตรงกับคำว่า " ปัญจภาคี ปาฏิหาริยกสินธุ์โน " ซึ่งได้มีการเล่าเป็นนิทานว่า

    ในกาลครั้งหนึ่ง มีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมากได้พร้อมใจกันตั้งสัตย์อธิฐานว่า เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยให้สัตว์โลกได้พ้นทุกข์ แม้จะตายไปแล้ว ก็จะขอสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้ได้พ้นทุกข์ต่อไปจนกว่าจะถึงพระนิพาน

    ครั้งพระอริยบุคคลทั้ง 5 องค์ ได้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าไปสถิตในพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์จะมีความปรารถนาที่จะช่วยคนทางเมืองใต้ที่อยู่ติดแม่น้ำให้ได้พ้นทุกข์ จึงได้พากันลอยน้ำลงมาตามลำน้ำทั้ง 5 สาย เมื่อชาวบ้านตามเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำเห็นเข้า จึงได้อัญเชิญและประดิษฐานไว้ตามวัดต่างๆ มีดังนี้


        พระพุทธรูปองค์ที่ 1 ลอยไปตามแม่น้ำบางปะกง ขึ้นสถิตที่วัดโสธรวรวิหาร เมืองแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกกันว่า "หลวงพ่อโสธร"
        พระพุทธรูปองค์ที่ 2 ลอยไปตามแม่น้ำนครชัยศรี (ท่าจีน)ขึ้นสถิตที่วัดไร่ขิงเมืองนครชัยศรี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง"
        พระพุทธรูปองค์ที่ 3 ลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสถิตที่วัดบางพลี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดบางพลี" แต่บางตำนานก็ว่า หลวงพ่อวัดบางพลีเป็นองค์แรกในจำนวน 5 องค์ จึงเรียกว่า "หลวงพ่อโตวัดบางพลี "
        พระพุทธรูปองค์ที่ 4 ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นสถิตที่วัดบ้านแหลม เมืองแม่กลอง เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม"
        พระพุทธรูปองค์ที่ 5 ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเมืองเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"



     ส่วนตำนานของเมืองนครปฐมนั้นเล่าว่า
     มีพระ 3 องค์ ลอยน้ำมาพร้อมกัน และแสดงปาฏิหาริย์จะเข้าไปยังบ้านศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ จึงได้เรียกตำบลนั้นว่า "บางพระ" พระพุทธรูป 3 องค์ลอยไปจนถึงปากน้ำท่าจีนแล้วกลับลอยทวนน้ำขึ้นมาใหม่ จึงเรียกตำบลนั้นว่า "สามประทวน" หรือ "สัมปทวน"
     แต่เนื่องจากตำบลที่ชาวบ้านพากันไปชักพระขึ้นฝั่งเพื่อขึ้นประดิษฐาน ณ หมู่บ้านของตน แต่ทำไม่สำเร็จ ต้องเปียกฝนและตากแดดตากลมจึงได้ชื่อว่า "บ้านลานตากฟ้า" และ "บ้านตากแดด"


    ในที่สุดพระพุทธรูปองค์แรกจึงยอมสถิต ณ วัดไร่ขิงเรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง"
     ส่วนองค์ที่ 2 ลอยน้ำไปแล้วสถิตขึ้นที่วัดบ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม"   
     และองค์ที่ 3 ลอยตามน้ำไปตามจังหวัดเพชรบุรี แล้วขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเครา เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"


ที่มา th.wikipedia.org/wiki/วัดไร่ขิง
ขอบคุณภาพจาก http://www.holidaythai.com/
23754  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 08:42:43 am


ตำนานของ “หลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา” แห่งแม่น้ำเพชรบุรี
วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี


กว่า 200 ปี มาแล้วที่พระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยองค์เล็ก ขนาดหน้าตักกว้างเพียง 21 นิ้ว ซึ่งลอยน้ำมาจากทางเหนือ (พร้อมพระพี่น้องอีก 4 องค์) ได้ขึ้นประดิษฐานอยู่ ณ วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวในจำนวน 5 องค์พี่น้อง ที่มีแผ่นทองคำเปลวปิดหุ้มอยู่หนามากจนแลไม่เห็นความงามตามพุทธลักษณะเดิม

ประวัติความเป็นมา
ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วในประวัติของหลวงพ่อบ้านแหลม ว่า ชาวบ้านแหลมซึ่งอยู่ปากอ่าวจังหวัดเพชรบุรี ได้พากันมาจับปลาในทะเล ขณะที่ลากอวนอยู่นั้นได้ลากพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยติดอวนขึ้นมาองค์หนึ่ง ในระหว่างทางกลับ ก็ได้พบพระพุทธรูปยืน (หลวงพ่อบ้านแหลม) ลอยปริ่มๆ น้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงอาราธนาขึ้นบนเรืออีกลำหนึ่ง แต่เกิดอาเพทฝนตกหนัก ลมพายุพัดจัด เรือลำที่พระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่นั้น ทนคลื่นลมไม่ไหว จึงเอียงวูบไป พระพุทธรูปที่อยู่บนเรือจึงเคลื่อนตกจมหายไปในแม่น้ำ


ชาวบ้านแหลมพากันตกใจและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ต่างช่วยกันดำน้ำค้นหาอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่พบ จึงตกลงว่าไม่ค้นหากันต่อไปอีก จึงนำพระพุทธรูปองค์นั่งที่เหลืออยู่บนเรืออีกลำหนึ่งไปยังถิ่นของตน และนำพระพุทธรูปองค์นั้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่ พ.ศ.2302 เป็นต้นมา และเรียกขานกันว่าหลวงพ่อเขาตะเครา

ชื่อใหม่ของหลวงพ่อ
หลวงพ่อเขาตะเครา ได้รับการเรียกขานนามใหม่คือ “หลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา” สาเหตุมาจากมีช่างภาพคนหนึ่งต้องการถ่ายภาพหลวงพ่อ แต่ความที่องค์หลวงพ่อมีทองปิดทับอยู่หนามากจนแลไม่เห็นพุทธลักษณะเดิม ช่างภาพคนนี้จึงไปแกะทองที่ตาหลวงพ่อออกโดยมิได้บอกล่าวและขออนุญาต หลังจากนั้นไม่กี่วันช่างภาพคนนี้ก็มีอาการหูตาบวมเป่ง จึงต้องมากราบขอขมาหลวงพ่อ อาการจึงหายไป


จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องหลวงพ่อ จนกระทั่งทองปิดองค์ท่านทับถมกันมากขึ้นทุกวันๆ ชาวบ้านที่มานมัสการจึงเติมคำว่า “ทอง” ไปในการเรียกขาน จึงกลายมาเป็น “หลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา”



พุทธลักษณะ
หลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา เป็นพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย สูง 29 นิ้ว หน้าตักกว้าง 21 นิ้ว แต่เนื่องจากทองที่ปิดองค์พระพุทธรูปนั้นหนามาก จนทำให้ไม่เห็นองค์เดิมว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อหรือปูนปั้น แต่จากหลักฐานที่ “สุนทรภู่” กวีเอกของไทย ได้เขียนไว้ในนิราศเมืองเพชร คราวที่ได้ไปแวะไหว้หลวงพ่อ (ทอง) วัดเขาตะเครา ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า หลวงพ่อฯ เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสัมฤทธิ์ ดังความว่า


     “ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาท
     มีอาวาสวัดวามหาเถร
     มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณ
     พอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ
     กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้
     จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิ์อธิษฐาน
     เขานับถือลืออยู่แต่บูราณ
     ใครบนบานพระรับช่วยดับร้อน”


ความศักดิ์สิทธิ์
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อนั้น เป็นที่โจษขานกันมาแต่โบราณ แม้กระทั่งตอนที่หลวงพ่อจะประทานทองที่องค์ท่านให้นั้น มีผู้เล่าว่า ได้เห็นไฟลุกท่วมองค์ท่านเป็นประกายรัศมีออกมา ทองที่หุ้มองค์ท่านค่อยๆ ไหลหลุดลอกออกบางส่วน ดูน่าอัศจรรย์ และเมื่อนำทองที่ไหลลอกมาไปชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่าได้ถึง 9.9 กิโลกรัม ! ทำให้ได้แลเห็นพระพักตร์ชัดเจนขึ้นมาบ้าง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีทองปิดหนามากจนองค์ท่านกลมทีเดียว !


นอกจากนั้นยังมีผู้เล่าว่า มีหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านแหลม ทำไร่ทำนาจนหมดเนื้อหมดตัว จึงคิดจะไปทำมาค้าขายทางใต้ ได้มาไหว้หลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา อธิษฐานขอให้ช่วยค้าขายร่ำรวยแล้วจะกลับมาบวชชีแก้บน 15 วัน ปรากฏว่าหญิงคนนั้นค้าขายจนร่ำรวย แต่มิได้กลับมาแก้บนตามที่อธิษฐานไว้ ทำให้มีอาการป่วยหนัก จนกระทั่งผลสุดท้ายต้องกลับมาบวชชีที่วัดเขาตะเครา จึงหายป่วย

อีกเรื่องหนึ่งคือ มีเรือประมงลำหนึ่งถูกมรสุมอัปปางลง ลูกเรือ 11 คนเสียชีวิต รอดมาเพียง 2 คน เพราะมีพระกริ่งและแหวนจำลองของหลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา ทั้งสองคนนี้จึงบนตัวบวชให้หลวงพ่อตั้งแต่นั้นมา

และมีอยู่ครั้งหนึ่งขบวนทอดผ้าป่ามาทำบุญที่วัดเขาตะเครา ตอนกลับจากวัดเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำกลางทาง คนโดยสารทั้ง 70 กว่าคนเพียงแค่ฟกช้ำดำเขียวเท่านั้น และมีอยู่คนหนึ่งที่เช่าพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อฯ แล้วอุ้มองค์ท่านอยู่ คนนี้ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แม้แต่นิดเดียว !



บนบานศาลกล่าว
การบนบานศาลกล่าวเพื่อขอพรหลวงพ่อให้ช่วยดลบันดาลในเรื่องราวต่างๆ นั้น มักจะสมปรารถนาเสมอ สุนทรภู่เองก็ทราบกิตติศัพท์นี้จึงได้อธิษฐานขอพรจากหลวงพ่อ ดังนี้


     “ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ์
     ถวายธูปเทียนอุทิศพิษฐาน
     ขอเดชะพระสัมฤทธิ์พิสดาร
     ท่านเชี่ยวชาญเชิญช่วยด้วยสักครั้ง”


สิ่งที่ห้ามบนก็คือ ขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับหลวงพ่อโสธรและหลวงพ่อบ้านแหลมนั่นเอง เพราะถ้าบนอย่างนี้ จะต้องเป็นทหารทุกราย !

ส่วนการแก้บนนั้น สิ่งของที่นิยมนำมาแก้บนที่ทำกันต่อๆ มานั้น ถ้าดูในสมัยก่อนจากคำอธิษฐานดังกล่าวของสุนทรภู่ ว่าถ้าสมหวังในเรื่องที่ขอไว้ สุนทรภู่จะถวายละคร พร้อมทั้งเทียนเงินทองและของเสวยตามที่มีผู้กระทำกันมา

     “แม้นได้ของสองสิ่งเห็นจริงจัง
     จะแต่งตั้งบายศรีมีละคร
     ทั้งเทียนเงินเทียนทองของเสวย
     เหมือนเขาเคยบูชาหน้าสิงขร”


จากคำบอกเล่าของผู้คนที่วัดเขาตะเคราบอกว่า การแก้บนก็แล้วแต่สิ่งของที่บนไว้ ซึ่งก็มีทั้งละคร ข่าวปลาอาหาร ประทัด เป็นต้น แต่ หากต้องการให้ได้ผลสมปรารถนาเร็ว ต้องบนตัวบวช ไม่ว่าจะเป็นบวชพระ บวชเณร บวชชี บวชชีพราหมณ์ บวชเนกขัมมะ ผู้ที่บนตัวบวชนี้จะได้ผลสมหวังทุกราย

ทุกวันนี้หลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา ยังคงเป็นที่พึ่งทางใจให้กับชาวเมืองเพชรและผู้คนมากมายที่เดินทางมากราบ ไหว้หรือแม้แต่ระลึกถึงท่านอยู่เสมอๆ


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://atcloud.com/stories/55406
23755  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 08:31:21 am

ตำนานของ “หลวงพ่อบ้านแหลม” แห่งแม่น้ำแม่กลอง
วัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม) ต.แม่กลอง อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม


พระพุทธรูป 5 องค์ที่ลอยน้ำมาด้วยกันจากทางเหนือนั้น มีเพียงองค์เดียวที่ป็นพระพุทธรูปยืน คือองค์ที่ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง แล้วขึ้นสถิตอยู่ที่วัดบ้านแหลม อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ก็คือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่าหลวงพ่อบ้านแหลมนั่นเอง

ประวัติความเป็นมา
สำหรับหลวงพ่อบ้านแหลม มีตำนานอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า ชาวบ้านแหลมซึ่งอยู่ปากอ่าวจังหวัดเพชรบุรี ได้พากันมาจับปลาในทะเล ขณะที่ลากอวนอยู่นั้นได้ลาก พระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย ติดอวนขึ้นมาองค์หนึ่ง ทุกคนต่างดีใจมาก จึงอาราธนาพระพุทธรูปขึ้นบนเรือ แล้วพากันล่องกลับเข้าฝั่ง


แต่ระหว่างทางคนในเรือได้แลเห็นพระเกศของพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งลอยปริ่มๆ น้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงร้องบอกให้ทุกคนทราบ แล้วเทียบเรือเข้าไป จึงได้พบ พระพุทธรูปยืน ทุกคนต่างอัศจรรย์ใจเป็นที่สุดที่พระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลืองแต่ลอยอยู่ในน้ำได้ จึงพากันกราบนมัสการด้วยความเลื่อมใสในอภินิหารและอิทธิฤทธิ์ที่ได้พบเห็น แล้วอาราธนาขึ้นบนเรืออีกลำหนึ่ง


พอเรือแล่นมาถึงแม่น้ำแม่กลองตอนหน้า วัดศรีจำปา ได้เกิดอาเพทคล้ายกับว่า พระพุทธรูปยืน ท่านประสงค์ที่จะอยู่วัดนี้ จึงทำให้ฝนตกหนัก ลมพายุพัดจัด จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น เรือลำที่พระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่นั้น ทนคลื่นลมไม่ไหว จึงเอียงวูบไป พระพุทธรูปที่อยู่บนเรือจึงเคลื่อนตกจมหายไปในแม่น้ำ

ชาวบ้านแหลมพากันตกใจและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ต่างช่วยกันดำน้ำค้นหาอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่พบ จึงตกลงว่าไม่ค้นหากันต่อไปอีก จึงนำพระ พุทธรูปองค์นั่งองค์ที่เหลืออยู่ไปยังถิ่นของตน และนำพระพุทธรูปองค์นั้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี



กาลต่อมาชาวบ้านศรีจำปาต่างช่วยกันลงดำน้ำค้นหาพระพุทธรูปที่จมอยู่นั้น และอาจเป็นด้วยเพราะอภินิหารของหลวงพ่อที่จะอยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวบ้านศรี จำปา จึงทำให้ชาวบ้านศรีจำปาดำน้ำจนพบและอาราธนาไปประดิษฐานไว้ที่วัดศรีจำปา

ครั้นชาวประมงบ้านแหลมรู้ข่าวว่าชาวบ้านศรีจำปาพบพระพุทธรูปของตนที่จมน้ำ จึงยกขบวนกันมาทวงพระคืน แต่ชาวบ้านศรีจำปาไม่ยอมให้ จนเกือบจะเกิดศึกกลางวัดขึ้น แต่ด้วยอภินิหารของหลวงพ่อและการมีเหตุผลด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็สามารถประสานสามัคคีตกลงปรองดองกันได้ ฝ่ายชาวประมงบ้านแหลมจึงยินยอมยกพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตรให้ชาวบ้านศรีจำปา ไป แต่มีข้อแม้ว่าต้องเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่เป็น “วัดบ้านแหลม” เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ชาวบ้านแหลมได้พระพุทธรูปมาแต่แรก

ตั้งแต่นั้นมาวัดศรีจำปา จึงได้นามว่า “วัดบ้านแหลม” มาจนทุกวันนี้ และขนานนามพระพุทธรูปยืนว่า “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม” ต่อมาวัดบ้านแหลมได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร และได้รับพระราชทานนามว่า “วัดเพชรสมุทวรวิหาร”



พุทธลักษณะ
หลวงพ่อบ้านแหลมเป็นพระพุทธรูปยืน ปางอุ้มบาตร หล่อด้วยทองเหลืองแบบสมัยสุโขทัยตอนปลาย ภายในโปร่ง ส่วนสูงประมาณ 170 เซนติเมตร (บ้างว่าสูงประมาณ 2 เมตร 80 เซนติเมตร) แต่บาตรเดิมนั้นได้สูญหายไปในทะเลก่อนที่ชาวประมงจะได้จากทะเลปากอ่าวแม่ กลอง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช ได้เสด็จมานมัสการและได้ถวายบาตรแก้วสีเงินแก่หลวงพ่อบ้านแหลมดังปรากฏอยู่ ทุกวันนี้


ความศักดิ์สิทธิ์
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อบ้านแหลมนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ไม่ว่าเป็นทางก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง ทางแคล้วคลาด ทางรักษาโรค และเรื่องอื่นๆ อีกมาก แม้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ทรงทราบ อีกทั้ง สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 5 ก็ทรงเลื่อมใส ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 6 ที่พระราชทานมายังพระครูมหาสิทธิการ (แดง) ความว่า


“ปีกลายนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังเมืองสมุทรสงคราม ในกระบวนหลวง ได้รับสั่งให้คนนำเครื่องสักการะไปถวายหลวงพ่อบ้านแหลม และได้รับสั่งไว้แต่ครั้งนั้นว่า ขอผลอานิสงส์ความทรงเลื่อมใส จงบันดาลให้หายประชววร ครั้นเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ได้ไม่นานก็หายประชวร จึงทรงระลึกถึงที่ได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานไว้สมพระประสงค์ โปรดพระราชทานปัจจัยเป็นมูลค่า 800 บาท มาเพื่อช่วยในการปฏิสังขรณ์วัดบ้านแหลม ข้าพเจ้าได้ส่งมาให้ท่านพระครูทางกระทรวงธรรมการแล้ว”

อีกประสบการณ์หนึ่งจากผู้ที่รอดชีวิตเพราะบุญญาบารมีของหลวงพ่อคุ้มครอง คือ นายชิต เข้มขัน อดีตนายด่านศุลการกร สมุทรสงคราม ได้ประกอบอาชีพเป็นกัปตันเรือเดินทะเลระหว่างกรุงเทพฯ-สิงคโปร์ คราวหนึ่งเรือถูกพายุอัปปางลง เขาต้องลอยอยู่ในทะเลหลายชั่วโมงจวนหมดกำลังจมน้ำอยู่แล้ว ก็นึกถึงหลวงพ่อบ้านแหลมขึ้นมาได้ จึงขอให้หลวงพ่อช่วย

ขณะนั้นเรือที่เดินอยู่ในทะเลได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย จึงหันหัวเรือตามหา แต่เดือนมืดมองไม่เห็น เรือแล่นวนเวียนอยู่สักครู่ก็จะหันหัวเรือกลับ แต่ก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกให้ช่วยอยู่เรื่อย จึงค้นหาอีกจนพบนายชิต เข้มขัน ลอยคออยู่จวนจะจมน้ำ เมื่อเอาตัวขึ้นมาบนเรือนั้นนายชิตสลบไม่ได้สติ ต้องแก้ไขอยู่นาน พอฟื้นขึ้นมาจึงพากันซักถามว่าตะโกนให้ช่วยหรือเปล่า นายชิตบอกว่าไม่ได้เรียกให้ช่วย เป็นแต่คำนึงถึงหลวงพ่อบ้านแหลมอยู่ในใจ ขอให้หลวงพ่อช่วยเท่านั้นเอง



บนบานศาลกล่าว
เรื่องการบนบานขอให้หลวงพ่อบ้านแหลมช่วยเหลือนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันมาว่า ท่านช่วยทุกเรื่องที่คนเข้ามาขอความเมตตา ยกเว้นเรื่องทหาร หากมาขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร คนนั้นเป็นต้องถูกเกณฑ์อย่างแน่นอน เพราะกล่าวกันว่าท่านชอบทหารนั่นเอง และเมื่อสิ่งที่บนบานไว้ได้ดังประสงค์ มักจะนิยมแก้บนกันด้วยพวงมาลัยเป็นส่วนใหญ่ จะมีประทัดบ้างก็ประปราย


ที่พึ่งของชาวประมง
จากทุกวันนี้ก่อนออกเรือหาปลา ชาวประมงสมุทรสงคราม จะกราบไหว้และขอพรหลวงพ่อบ้านแหลมให้คุ้มครองพวกูตนพ้นจากภยันตราย และกลับมาโดยสวัสดิภาพ และได้ปฏิบัติเช่นนี้ต่อๆ กันมาตราบจนทุกวันนี้



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://atcloud.com/stories/53081
23756  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 08:20:28 am


ตำนานของ “หลวงพ่อโต” แห่งคลองสำโรง แม่น้ำเจ้าพระยา
วัดบางพลีใหญ่ใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ


หนึ่งในพระห้าพี่น้อง ที่พร้อมใจกันลอยน้ำมาจากทางเหนือนั้น มีอยู่องค์เดียวที่มิได้มีพระนามตามชื่อวัด หรือตามชื่อของหมู่บ้านที่ชาวบ้านเป็นผู้พบเห็นครั้งแรก แต่พระนามของท่านนั้น ชาวบ้านขนานนามตามพุทธลักษณะของท่านที่มีองค์ใหญ่โตว่า “หลวงพ่อโต” ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบางพลีใหญ่ใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

ประวัติความเป็นมา
หลวงพ่อโตได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วลอยเข้ามาในลำคลองสำโรง ผู้พบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่วถึงปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ จึงพากันอาราธนาหลวงพ่อขึ้นที่ปากคลองสำโรง แต่ฉุดดึงเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ท่านไม่ยอมขึ้น


มีผู้มีปัญญาดีคนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า คงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่าน แม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งคงไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยมาตามลำน้ำสำโรง และอธิษฐานว่า “หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใด ก็ขอแสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด” เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องต้องกันดังนั้นแล้ว ก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายช่วยกันจ้ำพายจูงแพลอยเรื่อยมาตามลำคลอง

ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้า วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือปัจจุบันนี้คือ วัดบางพลีใหญ่ใน แพที่ผูกชะลอองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่ง ฝีพายพยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ต่างก้มลงกราบนมัสการด้วยความเคารพสักการะ แล้วพร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ก็ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด”

และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพียงใช้คนไม่มากนัก ก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่าน และได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานในพระวิหาร ซึ่งต้องชะลอท่านขึ้นข้ามฝาผนังวิหาร เพราะขณะนั้นหลังคาพระวิหารยังไม่มี และประตูวิหารก็เล็กมาก

ต่อจากนั้นท่านจึงได้ประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้นเรื่อยมา ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ เพื่อเป็นประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน



พุทธลักษณะ
หลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย (สะดุ้งมาร) หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ ความที่องค์ของท่านใหญ่โตมากเพราะหน้าตักกว้างถึง 3 ศอก 1 คืบ ชาวบ้านจึงขนานนามท่านว่า “หลวงพ่อโต”


หลวงพ่อโตแปลงร่าง ?
เมื่อครั้งที่ท่านยังประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเก่า บางวันที่เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ กลางคืนผู้คนจะได้ยินเสียงพึมพำอยู่ในวิหารคล้ายเสียงสวดมนต์ ครั้นเมื่อเข้าไปดูก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลยนอกจากหลวงพ่อโต บางคราวพระภิกษุสามเณรในวัดจะเห็นพระภิกษุชราห่มจีวรสีคร่ำคร่า ถือไม้เท้าเดินออกมายืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร

ผู้ที่พบเห็นต่างก็เรียกกันมาดู เมื่อทุกคนเห็นพร้อมกันดีแล้ว ภิกษุชรารูปนั้นก็เดินหายเข้าไปในวิหารตรงองค์ของหลวงพ่อ เป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน บางครั้งจะมีผู้เห็นเป็นชายชรารูปร่างสง่างาม มีรัศมีเปล่งปลั่ง นุ่งขาวห่มขาวเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วก็หายไปตรงพระพักตร์ของท่าน



บนบานศาลกล่าว
ผู้คนที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจต่างๆ นานา มักจะมากราบไหว้บนบานศาลกล่าวอธิษฐานขอให้หลวงพ่อโตช่วยให้สมปรารถนา เมื่อสำเร็จผลแล้ว มักจะนำใบลานที่สานเป็นปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทองมาถวายเป็นการแก้บน สาเหตุที่ใช้ปลาตะเพียนนั้น เพราะเชื่อกันว่าเป็นปลาคู่บารมีของหลวงพ่อ


มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตที่ข้างวิหารมีสระน้ำย่อมๆ อยู่สระหนึ่ง บางคราวจะมีปลาเงินปลาทอง หรือปลาตะเพียนเงิน ปลาตะเพียนทอง ขนาดใหญ่ 2 ตัว ปรากฏให้เห็นลอยเล่นน้ำอยู่คู่กันในสระ ซึ่งในสระนั้นไม่เคยมีปลาตะเพียนเงินตะเพียนทองมาก่อนเลย !!

ส่วนเรื่องที่ห้ามบนบานเด็ดขาดก็คือ การขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อ (ทอง) วัดเขาตะเครา เพราะผู้ที่บนในเรื่องดังกล่าว จะต้องถูกเกณฑ์ทหารทุกราย



ทางวัดได้จัดให้มีงานสมโภชปีละ 3 ครั้ง คือ
   - งานปิดทองฝ่าพระพุทธบาทและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 3
   - งานนมัสการและปิดทองหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 4
   - งานประเพณีรับบัวและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 11 ค่ำ ถึง วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 มีการจัดขบวนเรือแห่แหนหลวงพ่อโต (จำลอง) ไปตามลำคลองสำโรง เพื่อรับดอกบัวที่ผู้คนถวายเป็นพุทธบูชา


นอกจากนี้ในวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี จะมีงานทำบุญฉลองที่หลวงพ่อโตแสดงปาฏิหาริย์ให้องค์หลวงพ่อนิ่มเหมือนเนื้อ ของมนุษย์

หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปและชาวบางพลี รวมทั้งเป็นมิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ใน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้


วัดบางพลีใหญ่ใน

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://atcloud.com/stories/55489
23757  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 08:04:18 am


ตำนานของ “หลวงพ่อโสธร” แห่งแม่น้ำบางปะกง
วัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา


ประวัติความเป็นมา
ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโสธรหรือหลวงพ่อพุทธโสธรนี้ มีผู้เล่าสืบกันมาหลายกระแส บ้างว่า ท่านมีพี่น้องที่ลอยน้ำมาพร้อมกัน 3 องค์ คือ หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโตบางพลี และหลวงพ่อโสธร ส่วนอีกตำนานหนึ่งบอกว่า ท่านเป็นพี่น้องกับหลวงพ่อบ้านแหลมและหลวงพ่อวัดไร่ขิง และก็ยังมีนิยายปรัมปราที่เล่าสืบมาว่า ท่านลอยน้ำมาพร้อมกับหลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อวัดเขาตะเครา


อย่างไรก็ตาม ตำนานที่เล่าขานกันมา นี้ก็มีความคล้ายคลึงกันว่า พระพุทธรูป 3 องค์พี่น้องลอยน้ำมาจากทางเมืองเหนือ จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า “สามเสน” จึงได้แสดงอภินิหารลอยให้ชาวเมืองเห็น ชาวบ้านจึงได้ทำการฉุดพระพุทธรูปทั้งสามองค์ โดยใช้เวลา 3 วัน 3 คืนก็ฉุดไม่ขึ้น กล่าวกันว่าครั้งนั้นใช้ผู้คนเป็นแสนๆ ก็ไม่สำเร็จ ตำบลนั้นจึงได้ชื่อว่า “สามแสน” ต่อมาจึงเพี้ยนเป็น “สามเสน” พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ก็จมน้ำลง

จากนั้นก็ลอยล่องเข้าสู่คลองพระโขนงลัดเลาะไปสู่แม่น้ำบางปะกง และได้ลอยผ่านคลอง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า คลองชักพระ พระพุทธรูปได้แสดงอภินิหารลอยขึ้นให้ชาวบ้านเห็น ชาวบ้านจึงพากันมาชักพระขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สำเร็จ จึงเรียกคลองนี้ว่า “คลองชักพระ” แล้วทั้งสามองค์ก็ได้ลอยทวนน้ำขึ้นไปทางหัววัดอีก สถานที่นั้นจึงเรียกว่า “วัดสามพระทวน” และเรียกเพี้ยนเป็น “วัดสัมปทวน”

ทั้งสามองค์ได้ลอยตามแม่น้ำบางปะกงเลยผ่านหน้าวัดโสธรไปถึงคุ้งน้ำใต้วัด โสธร และแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านเห็นอีก ชาวบ้านได้ช่วยกันฉุดแต่ไม่ขึ้น จึงเรียกหมู่บ้านและคลองนั้นว่า “บางพระ” มาจนทุกวันนี้ พระพุทธรูปทั้งสามได้ลอยทวนน้ำวนอยู่ที่หัวเลี้ยวตรงกับกองพันทหารช่างที่ 2 ณ สถานที่ลอยวนอยู่นั้นเรียกว่า “แหลมหัววน”



อัญเชิญหลวงพ่อโสธรขึ้นจากน้ำ
หลังจากนั้นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง คือ หลวงพ่อโสธรได้แสดงอภินิหารลอยมาขึ้นที่หน้าวัดโสธร ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า วัดหงษ์ ชาวบ้านช่วยกันยกและฉุดขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สามารถนำขึ้นได้ จนมีอาจารย์ผู้หนึ่งรู้วิธีอัญเชิญ โดยตั้งพิธีบวงสรวงใช้สายสิญจน์คล้องกับพระหัตถ์ จนสามารถอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานในวิหารได้สำเร็จ ในราว พ.ศ.2313


ในการนี้จึงจัดให้มีการสมโภชฉลององค์หลวงพ่อ หลังจากท่านได้ประทับที่วัดหงส์เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านยังไม่รู้ว่าจะขนานนามชื่อของหลวงพ่อว่าอย่างไร แต่เข้าใจว่าท่านคงต้องการชื่อเดิมของท่าน คือ “พระศรี” เพราะเป็นชื่อดั้งเดิมขณะประทับที่วัดศรีเมือง ทางภาคเหนือ ประกอบกับมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าหลวงพ่อมีความ ประสงค์จะใช้นามว่า “หลวงพ่อพุทธศรีโสธร” เพราะได้เกิดพายุพัดเอาหงษ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเสาหักลงมา ชาวบ้านจึงเปลี่ยนหงษ์เป็นเสาธง แล้วเรียกชื่อวัดหงษ์เป็นวัดเสาธง

ต่อมาไม่นานก็เกิดพายุพัดเสาธงหักทอนลงอีก ชาวบ้านจึงเรียกวัดเสาธง ว่า “วัดเสาธงทอน” ภายหลังเห็นว่าไม่ไพเราะ จึงได้พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดโสธร” และเรียกนามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อโสธร” ต่อมาวัดโสธรได้รับการเสนอแต่งตั้งให้เป็นวัดหลวง ได้ชื่อว่า “วัดโสธรวรารามวรวิหาร” และขนานนามหลวงพ่ออย่างเป็นทางการว่า “หลวงพ่อพุทธโสธร”



ปกปิดองค์จริง
องค์เดิมเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ปางสมาธิ หน้าตักกว้างเพียงศอกเศษ มีพุทธลักษณะที่งดงามมาก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยลานช้าง เพราะดูจากพุทธลักษณะซึ่งเป็นที่นิยมสร้างกันมากในสมัยนั้น แต่เนื่องจากพระสงฆ์ในวัดขณะนั้นพิจารณาเห็นว่าอาจจะไม่ปลอดภัยในภายภาคหน้า จึงได้พอกปูนเสริมให้ใหญ่เพื่อหุ้มองค์จริงไว้ภายใน จนมีหน้าตักกว้างประมาณสามศอกครึ่ง อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แล้วจึงลงรักปิดทองให้สวยงาม และเป็นพระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา


ความศักดิ์สิทธิ์
ความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อโสธร เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนมากมายที่มีจิตศรัทธา และเชื่อมั่นในบุญกุศลที่หลั่งไหลมากราบไหว้สักการบูชา และขอพรบารมีจากหลวงพ่อ จนเป็นที่กล่าวขานบอกเล่าต่อๆ กันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางค้าขาย ทางคงกระพัน ทางแคล้วคลาด ทางรักษาโรค โดยใช้ขี้ธูป ดอกไม้บูชาที่แห้งเหี่ยวแล้ว และอธิษฐานหยดเทียน ขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อ มาทำยา


ดังมีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งชาวบ้านโสธรเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ฝนก็แล้ง จนเกิดโรคระบาด ทั้งคนและสัตว์ล้มตายไปมาก มีครอบครัวหนึ่งป่วยเป็นไข้ทรพิษ เมื่อหมดทางรักษาก็ไปนมัสการอธิษฐานขอความคุ้มครองจากหลวงพ่อ และนำเอาขี้ธูปและดอกไม้แห้งที่บูชาหลวงพ่อ และหยดน้ำตาเทียนที่ขอน้ำมนต์ แล้วเอามาต้มกิน ปรากฏว่าโรคหาย กิตติศัพท์หลวงพ่อจึงได้โด่งดังไปทั่ว ถึงกับมีการสมโภชและแก้บนกันตราบทุกวันนี้

แม้กระทั่งชาวต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ก็มากราบไหว้บูชาบนบานไม่ขาดสาย และบางรายมาแก้บนเช่นเดียวกับคนไทย การแก้บนหลวงพ่อโสธรที่นิยมกันคือ ละครชาตรี ไข่ต้ม ผลไม้ และพวงมาลัย



เรื่องที่ห้ามบนบาน
มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่สืบมาว่า เรื่องที่ห้ามบนบานกับหลวงพ่อโสธรคือ เรื่องขอไม่ให้เป็นทหาร กับเรื่องขอบุตร ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อท่านชอบให้คนเป็นทหารเพื่อจะได้ปกปักรักษาบ้านเมือง และคนที่เป็นทหารก็เป็นเสมือนลูกหลานของท่าน ดังนั้นใครที่มาขอไม่ให้โดนเกณฑ์ทหาร เป็นต้องถูกเกณฑ์ทุกราย ! และคนที่มาขอบุตร ก็มักจะได้บุตรที่มีอาการไม่ครบ 32 เนื่องจากว่าท่านได้ส่งลูกหลานซึ่งเป็นทหารที่บาดเจ็บล้มตายมาให้นั่นเอง ! เรื่องนี้เท็จจริงประการใดคงต้องพิจารณากันเอาเอง


งานนมัสการหลวงพ่อโสธร
ในแต่ละวันจะมีผู้คนหลั่งไหลไปนมัสการกันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะในงานนมัสการประจำปีหลวงพ่อโสธร ซึ่งมีปีละ 3 ครั้ง คือ ครั้งแรก ในกลางเดือนห้า ซึ่งถือเป็นงานวันเกิดหลวงพ่อโสธร มีงานฉลอง 3 วัน 3 คืน ครั้งที่สอง งานกลางเดือน 12 มีงาน 5 วัน 5 คืน และครั้งที่สาม ในเทศกาลตรุษจีน มีงาน 5 วัน 5 คืน



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://atcloud.com/stories/53077
ขอบคุณ dhammajak.com
23758  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 07:51:41 am

พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์
เล่าขานตำนานหลวงพ่อลอยน้ำ 5 พี่น้อง

มีตำนาน กล่าวว่า กาลครั้งหนึ่งมีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน บวชเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมาก ได้พร้อมใจกันตั้งสัจจะอธิษฐานว่า

“เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยสัตว์ โลกให้พ้นทุกข์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ต่อไป จนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน”

ครั้นพระอริยบุคคลทั้งห้าองค์นี้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าสถิตอยู่ในพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ มีความปรารถนาจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้คนทางเมืองใต้ จึงพากันแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้พระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาทางใต้ตามแม่ น้ำสายหลักของภาคกลางทั้ง 5 สาย

ชาวบ้านชาวเมืองตามริมฝั่งแม่น้ำเห็นพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาก็พากัน เลื่อมใส จึงได้นำพระพุทธรูปเหล่านั้นขึ้นฝั่งและอาราธนาให้ขึ้นสถิตอยู่ตามวัดต่างๆ ที่ใกล้เคียงกับจุดที่ชะลอองค์พระขึ้นจากแม่น้ำ

      ๑. พระพุทธรูปองค์แรก ลอยมาตามแม่น้ำบางปะกง แล้วขึ้นประดิษฐานอยู่ที่
      วัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เรียกว่า “หลวงพ่อโสธร”

      ๒. พระพุทธรูปองค์ที่สอง ลอยมาตามแม่น้ำนครชัยศรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่
      วัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม เรียกว่า “หลวงพ่อวัดไร่ขิง”
      ๓. พระพุทธรูปองค์ที่สาม ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่
      วัดบางพลีใหญ่ใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เรียกว่า “หลวงพ่อโต”

      ๔. พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ลอยมาตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่
      วัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม) อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เรียกว่า “หลวงพ่อบ้านแหลม”

      ๕. พระพุทธรูปองค์ที่ห้า ลอยมาตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่
      วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เรียกว่า “หลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา”


     ในขณะที่บางตำนานก็กล่าวไว้ว่า การที่พระพุทธรูปทั้ง 5 ลอยน้ำมานี้ ก็เพราะเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ข้าศึกได้เผาไฟเพื่อหลอมเอาทองที่หล่อจากองค์พระพุทธรูป ชาวบ้านเองก็ต้องการจะรักษาพระพุทธรูปไว้ จึงเอาปูนบ้าง รักดำบ้าง ไปพอกไว้ที่องค์พระเพื่อให้ดูไม่สวยงามและปกปิดความมีค่าไว้จากข้าศึก

     แต่เมื่อไม่อาจปกป้องได้ไหวจึงขนย้ายพระพุทธรูปสำคัญลงแพไม้ไผ่ล่องมาตามแม่ น้ำเพื่อไม่ให้ข้าศึกทำลาย ด้วยน้ำหนักขององค์พระ เมื่อวางพระลงบนแพไม้ไผ่จึงดูเหมือนพระพุทธรูปลอยมาตามน้ำ จนผู้ที่พบเห็น ถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่พระพุทธรูปองค์ใหญ่น้ำหนักมากจะสามารถจะลอยน้ำได้


พระพุทธรูปทั้ง 5 องค์นี้ ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ที่มีผู้คนทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลั่งไหลมาเคารพสักการะมิได้ขาด

เรื่องราวความเป็นมาและปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูปแต่ละองค์มีดังต่อไปนี้



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://atcloud.com/stories/53077
23759  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คลิปน่าทึ่ง วาฬสร้างสายรุ้ง เมื่อ: มิถุนายน 18, 2012, 07:14:01 am



คลิปน่าทึ่ง วาฬสร้างสายรุ้ง

สำหรับผู้ที่รักการล่องเรือในท้องทะเล การได้เห็นวาฬแหวกว่ายอยู่ในน้ำก็นับเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว

แต่สิ่งที่ "rsean9000" ผู้อัพโหลดคลิปนี้ผ่านเว็บไซต์ยูทูบได้พบ ขณะล่องเรือกลางทะเลที่ โนวา สโกเทีย ในแคนาดา คงจะเป็นประสบการณ์มิรู้ลืมจริงๆ เพราะนอกจากจะได้เห็นวาฬขนาดใหญ่ มาว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆ เรือจนสามารถใช้กล้องบันทึกภาพไว้ได้อย่างชัดเจนแล้ว เจ้าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกยังแสดงโชว์เล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ชม ด้วยการพ่นน้ำจนกลายเป็น "สายรุ้ง" สวยงาม เรียกเสียงฮือฮาด้วยความประทับใจจากผู้ที่เฝ้าดูอีกต่างหาก

ขอบคุณ "rsean9000" ที่สามารถเก็บภาพสุดมหัศจรรย์ของสัตว์โลกแบบนี้ แล้วนำมาเผยแพร่ให้เราได้ดูกัน.

ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/world/120066



อัปโหลดโดย rsean9000 เมื่อ 16 เม.ย. 2011
23760  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพ ชาวไทยร่วมสวดมนต์ในโครงการ 'สวดมนต์ชาตินี้ดีกว่ารอชาติหน้า' ณ วัดพระแก้ว เมื่อ: มิถุนายน 17, 2012, 10:37:41 pm
 
พุทธศาสนิกชนร่วมสวดมนต์ ในโครงการสวดมนต์ชาตินี้ดีกว่ารอชาติหน้า
ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม


พุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ร่วมสวดมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯบรมราชินีนาถ


บรรยากาศประชาชนต่างมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้จนแน่นภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม


หน่อง-อรุโณชา ภาณุพันธุ์ กรรมการผู้จัดการบ.บรอดคาซท์ไทยเทเลวิชั่น
และนักแสดงจากช่อง3 ต่างมาร่วมสวดมนต์ในครั้งนี้


ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ผู้บริหารของสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ร่วมสวดมนต์ในครั้งนี้


คนดังจากแวดวงการบันเทิงและแวดวงอื่นๆต่างพร้อมใจมาร่วมสวดมนต์ในครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/gallery/view/region/5170/p2
หน้า: 1 ... 592 593 [594] 595 596 ... 711