ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: 1 ... 552 553 [554] 555 556 ... 558
22121  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรม...ที่สร้างลักษณะทั้ง 32 ประการของพระพุทธเจ้า (ยกเครดิตให้คุณCHATCHAY) เมื่อ: กันยายน 11, 2010, 11:10:39 am

กรรม...ที่สร้างลักษณะทั้ง 32 ประการของพระพุทธเจ้า


พระพุทธเจ้ามีปกติตรัสเล่าเกี่ยวกับกรรมของพระองค์ เพื่อให้เป็นแบบอย่างอยู่แล้ว เมื่อจะแสดงเกี่ยวกับมหาบุรุษลักษณะก็เพื่อให้พวกเรารู้ว่าแม้รูปพรรณสัณฐาน แต่ละส่วนก็ได้มาโดยกรรม

๑) ฝ่าพระบาทราบเสมอกัน ตั้งอยู่ได้มั่นคง คือทรงเหยียบพระบาทเสมอกันบนพื้น ทรงยกพระบาทขึ้นก็เสมอกัน ทรงจดภาคพื้นด้วยฝ่าพระบาททุกส่วนเสมอกัน

ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ถือความประพฤติ มั่นคงในกุศลธรรม ไม่ย่อหย่อนในความสุจริตทางกายวาจาใจ ในการบำเพ็ญทาน ในการรักษาศีล ๕ และศีล ๘ ในการปฏิบัติดีต่อมารดาและบิดา ในการปฏิบัติดีต่อสมณะ ในการปฏิบัติดีต่อพราหมณ์ ในความเป็นผู้เคารพต่อผู้ควรเคารพเป็นอันมาก (คือมากกว่าชนทั่วไปอย่างเทียบกันอย่างไม่อาจประมาณ)

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือถ้าเลือกเป็นราชามหาจักรพรรดิ์ จะทรงมีราชอาณาจักรมั่นคง มีพระราชโอรสจำนวนมากที่ล้วนเป็นผู้แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสนาแห่งปรปักษ์ได้โดยธรรม ไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่มีข้าศึกใดข่มได้

๒) ลายพื้นพระบาทปรากฏเป็นรูปจักรจำนวนมาก มีซี่กำพันหนึ่ง มีกง มีดุมบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง
 
ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้นำ ความสุขมาให้แก่มหาชนเป็นอันมาก บรรเทาภัยร้ายที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและความหวาดเสียว จัดการรักษาความปลอดภัยโดยธรรม และบำเพ็ญทานพร้อมด้วยวัตถุอันเป็นบริวาร

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารมาก ทั้งพราหมณ์ คฤหบดี ชาวนิคม ชาวชนบท โหราจารย์ มหาอำมาตย์ กองทหาร นายประตู ผู้มีอิทธิพล เศรษฐี ราชกุมาร

๓) มีส้นพระบาทยาว
๔) มีนิ้วพระหัตถ์และพระบาทยาว และ
๕) พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหม


สามข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละปาณาติบาตแล้ว เว้นขาดจากปาณาติบาต เป็นผู้ไม่จับอาวุธ มีความละอายในการเบียดเบียน มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง

กรรม ดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีพระชนมายุยืน ดำรงอยู่นาน ไม่มีใครๆ ที่เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นข้าศึกศัตรูสามารถปลงพระชนม์ชีพได้

๖) ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่มและ
๗) ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าบาทมีลายดุจตาข่าย


สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้สงเคราะห์ประชาชน ได้แก่การให้ทาน การกล่าวคำเป็นที่รัก การประพฤติให้เป็นประโยชน์ และความเป็นผู้ไม่ถือตัว

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารมาก ทั้งพราหมณ์ คฤหบดี ชาวนิคม ชาวชนบท โหราจารย์ มหาอำมาตย์ กองทหาร นายประตู ผู้มีอิทธิพล เศรษฐี ราชกุมาร

๘) มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ อัฐิข้อพระบาทตั้งลอยอยู่หลังพระบาท กลับกลอกได้คล่อง เมื่อทรงดำเนินผิดกว่าสามัญชน และ
๙) มีปลายพระโลมชาติ (ขน) ทุกๆเส้นเวียนขวาเส้นช้อนขึ้นข้างบนล้วน


สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้กล่าว วาจาประกอบด้วยอรรถธรรม แนะนำประชาชนเป็นอันมากไปในทางดี เป็นผู้นำประโยชน์และความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้บูชาธรรมเป็นปกติ

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะเป็นประธานสูงสุด ดีกว่าหมู่ชนที่บริโภคกามทั้งปวง

๑๐) พระชงฆ์ (แข้ง) เรียวดุจแข้งเนื้อทราย คือเรียวไปโดยลำดับ

ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ตั้งใจสอนศิลปะวิชา ข้อที่ควรประพฤติ หลักกรรมวิบาก ด้วยความครุ่นคิดว่าทำอย่างไรชนทั้งพึงรู้เร็ว พึงสำเร็จเร็ว ไม่พึงลำบากนาน

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะได้เฉพาะซึ่งพาหนะที่ยิ่งใหญ่ เช่นช้างเผือกคู่บารมี

๑๑) ส่วนพระกายเป็นปริมณฑลดุจปริมณฑลแห่งต้นไทร (พระกายสูงเท่ากับวาของพระองค์) และ
๑๒) เมื่อยืนตรง พระหัตถ์ทั้งสองสามารถลูบจับถึงพระชานุ (เข่า
)

สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ตรวจ ดูมหาชนที่ควรสงเคราะห์ ย่อมรู้จักชนที่เสมอกัน รู้จักตนเอง รู้จักบุรุษ รู้จักบุรุษพิเศษ หยั่งทราบว่าผู้นั้นควรสักการะอย่างนี้ บุคคลผู้นี้ควรสักการะอย่างนั้น รวมทั้งเกื้อกูลพวกท่านเป็นพิเศษ

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะได้เป็นผู้มั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีข้าวเปลือกมาก มีคลังเต็มบริบูรณ์ มีเครื่องอุปกรณ์น่าปลื้มใจมาก

๑๓) มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก

ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้นำพวกญาติมิตรสหายที่สูญหายพลัดพรากไปนานให้ กลับมาพบกัน เมื่อทำพวกเขาให้พร้อมเพรียงกันแล้วก็ชื่นชมยินดีปรีดาอยู่ วิบากของกรรมทำให้เกิดลักษณะของมหาบุรุษคือมีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีพระโอรสมาก ล้วนกล้าหาญและมีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้

๑๔) พระฉวี (ผิวกาย) ละเอียด ธุลีละอองไม่ติดพระกาย

ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้เข้า หาสมณะหรือพราหมณ์แล้วซักถาม (ด้วยความเคารพและน้อมนำไปปฏิบัติ) ว่ากุศลกรรมเป็นอย่างไร อกุศลกรรมเป็นอย่างไร กรรมส่วนที่มีโทษเป็นอย่างไร กรรมส่วนที่ไม่มีโทษเป็นอย่างไร กรรมที่ควรเสพเป็นอย่างไร กรรมที่ไม่ควรเสพเป็นอย่างไร วิบากของกรรมทำให้เกิดลักษณะของมหาบุรุษคือมีพระฉวี (ผิวกาย) สุขุมละเอียด ธุลีละอองไม่อาจติดกายได้

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีปัญญามาก ไม่มีบรรดาชนผู้บริโภคกรรมใดมีปัญญาเสมอหรือประเสริฐกว่าพระองค์

๑๕) มีฉวีวรรณ (สีผิว) ประดุจทองคำ

ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ไม่ มีความโกรธ ไม่มีความแค้นใจ แม้ถูกคนหมู่มากว่าเอาก็ไม่ขัดใจ ไม่ปองร้าย ไม่จองเวรล้างผลาญ ไม่แม้ทำความโกรธเคืองและความเสียใจให้ปรากฎ นอกจาก นั้นยังมีกรรมที่ให้ผลเป็นผิวประดุจทองอื่นอีก คือเป็นผู้ให้เครื่องปูหลังสัตว์มีเนื้อละเอียดอ่อน และให้ผ้า สำหรับนุ่งห่ม คือ ผ้าโขมพัสตร์มีเนื้อละเอียด ผ้าฝ้ายมีเนื้อ

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะได้เครื่องลาดมีเนื้อละเอียดอ่อน ทั้งได้ผ้าสำหรับนุ่งห่ม เช่นผ้าโขมพัสตร์เนื้อละเอียด ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด ผ้าไหมเนื้อละเอียด ผ้ากัมพลเนื้อละเอียด เป็นต้น (หมายถึงถ้าเป็นกษัตริย์จะทรงอยู่ในถิ่นที่มีช่างผู้ฉลาดในทางภูษาอาภรณ์ และทั้งชีวิตจะไม่ขาดจากเครื่องนุ่งห่มชั้นเลิศ มีความประณีตยิ่ง เข้ากันกับผิวอันงามประดุจทองคำของพระองค์ แต่ถ้าทรงผนวชและเลือกที่จะมักน้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางครั้งเมื่อมีคนถวายจีวรชั้นดีท่านก็สนองศรัทธา แต่โดยมากท่านจะเป็นอยู่ด้วยจีวรปอนๆ)

๑๖) มีเส้นพระโลมา (ขน) เฉพาะขุมละเส้น และ
๑๗) มีอุณาโลม (ขนหว่างคิ้ว) เวียนขวา


สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์มีถ้อยคำเป็นหลักเป็นฐานควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก

กรรม ดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีมหาชนยกย่องและยึดถือเป็นแบบอ ย่าง เป็นบุคคลในอุดมคติ

๑๘) มีพระมังสะ (เนื้อ) อูมเต็มในที่ ๗ แห่ง คือหลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ หลังพระบาททั้ง ๒ พระอังสา (บ่า) ทั้ง ๒ กับลำพระศอ (คอ)

ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ให้ของที่ควรเคี้ยว และของที่ควรบริโภคอันประณีต และมีรสอร่อย รวมทั้งให้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะได้ของที่ควรเคี้ยวและของที่ควร บริโภคอันประณีต มีรสอร่อย และได้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม

๑๙) มีส่วนพระสรีรกายบริบูรณ์ ล่ำพีดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์
๒๐) พระปฤษฎางค์ (ส่วนหลัง) ราบเต็มเสมอกัน
๒๑) มีลำพระศอ (คอ) กลมงามเสมอตลอด


สามข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้หวัง ประโยชน์ หวังความเกื้อกูล หวังความผาสุก หวังความเกษมจากโยคะ แก่ชนเป็นอันมาก ด้วยความคิดว่าทำอย่างไรชนเหล่านี้พึงเจริญด้วยศรัทธา เจริญด้วยสละออก เจริญด้วยศีล เจริญด้วยการฟังสาระธรรม เจริญด้วยการเป็นผู้รู้แจ้งตื่นจากการหลับไหล เจริญด้วยปัญญา เจริญด้วยโภคทรัพย์ เจริญด้วยบุตรและภรรยา เจริญด้วยทาสและกรรมกร เจริญด้วยญาติ เจริญด้วยมิตร เจริญด้วยพวกพ้อง

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดาจาก ทรัพย์ บุตรภรรยา ญาติมิตร และบริวาร

๒๒) มีเส้นประสาทสำหรับรับรสพระกระยาหารอันดี มีปลายในเบื้องบนประชุมอยู่ที่ลำพระศอ สำหรับนำรสอาหารแผ่ซ่านไปสม่ำเสมอทั่วพระกาย

ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ หรือศาสตรา

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีพระโรคาพาธน้อย สมบูรณ์ด้วยธาตุไฟ (ความเผาผลาญ) อันยังอาหารให้ย่อยดีไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก

๒๓) มีพระหนุ (คาง) ดุจคางแห่งราชสีห์ (โค้งเหมือนวงพระจันทร์)

ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละ คำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบประโยชน์โดยกาลอันควร

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะไม่มีใครๆที่เป็นข้าศึกศัตรูกำจัดได้

๒๔) มีพระทนต์ (ฟัน) ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่) และ
๒๕) พระทนต์ชิดสนิทมิได้ห่าง


สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละ คำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น ไม่ประสงค์ยุแยงตะแคงรั่วให้คนเขาแตกคอกัน ตรงข้ามพยายามพูดสมานสามัคคี ทำให้คนที่เขาแตกร้าวกันกลับมาคืนดีกัน มีความเพลิดเพลินยินดีในการเห็นผู้คนปรองดองกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้ใครต่อใครปรองดองกัน

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีบริษัทส่วนใหญ่จะไม่แตกคอกัน (คือไม่เป็นฝักเป็นฝ่าย ไม่ตั้งก๊กตั้งป้อมโจมตีกันจนเสียความเป็นปึกแผ่น เสียความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจนกระทั่งพระราชบัลลังก์คลอนแคลนได้)

๒๖) พระทนต์เรียบเสมอกัน และ
๒๗) เขี้ยวพระทนต์ทั้ง ๔ ขาวงามบริสุทธิ์


สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละ อาชีพทุจริตแล้ว สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยอาชีพสุจริต เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง การโกงด้วยของปลอม การโกงด้วยเครื่องตวงวัด การโกงด้วยการรับสินบน การหลอกลวง การทำตลบตะแลง เว้นขาดจากการตัด การฆ่าการจองจำ การตีชิง การปล้นและการกรรโชกขู่เอาทรัพย์ผู้อื่น (ข้อนี้ต้องดูว่าบางชาติอาจยากจนข้นแค้น แต่แม้จนตรอกขนาดไหน มีใครชักชวนอย่างไรก็ห้ามใจไว้ ไม่ประพฤติผิดแม้มีกำลังมากพอที่จะทำได้)

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารสะอาดปราศจากมลทิน

๒๘) พระชิวหา (ลิ้น) อ่อนและยาว (อาจแผ่ปกหน้าผากได้) และ
๒๙) พระสุรเสียงยิ่งใหญ่ดุจท้าวมหาพรหม ทว่ายามตรัสมีสำเนียงเพราะพริ้งราวกับนกการเวก


สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เสนาะเพราะโสตจับใจ ชวนให้รัก คนส่วนใหญ่พึงใจ

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีพระวาจาอันมหาชนพึงเชื่อถือ

๓๐) พระเนตร (ตา) ดำสนิท และ
๓๑) ดวงพระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด


สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ไม่ถลึงตาดู ไม่ค้อนตาดู ไม่ชำเลืองตาดูใครๆด้วยอำนาจความโกรธ เป็นผู้ตรง มีใจตรงเป็นปรกติ แลดูใครๆตรงๆด้วยดวงตาทอแววรักใคร่เมตตา วิบากของกรรมทำให้เกิดลักษณะของมหาบุรุษคือมีพระเนตร (ตา) สีดำสนิทและงามดุจประกายตาแห่งโค

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะเป็นผู้ที่อันมหาชนเห็นแล้วเคารพรัก

๓๒) มีพระเศียร (ศีรษะ) งามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์

ข้อนี้คือวิบากจากการเป็น หัวหน้าของมหาชนในธรรมทั้งหลายที่เป็นฝ่ายกุศล เป็นประธานของมหาชนด้วยกายสุจริต ด้วยวจีสุจริต ด้วยมโนสุจริต ในการบำเพ็ญทาน ในการตั้งใจรักษาศีล ๕ และศีล ๘ ในความเป็นผู้ปฏิบัติดีต่อมารดาและบิดา ในความเป็นผู้ปฏิบัติดีต่อสมณะ ในความปฏิบัติดีต่อพราหมณ์ ในความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในสกุล รวมทั้งเป็นผู้นำในธรรมเป็นมหากุศลอื่น ๆ

กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะเป็นผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากมหาชนอย่างล้นหลาม

ที่มา เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน
ขอขอบคุณ
http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?t=5687
http://board.palungjit.com/f13/กรรม-ที่สร้างลักษณะทั้ง-32-ประการของพระพุทธเจ้า-186829.html
โดยคุณ aMANwalking
22122  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / "กระจกส่องใจ" ของพระราหุล เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 09:02:19 pm
"กระจกส่องใจ" ของพระราหุล


   ในสมัยพุทธกาล มีเรื่องเล่าว่า :- วันหนึ่ง พระราหุลนั่งอยู่ในสวนมะม่วงในกรุงราชคฤห์ พระพุทธองค์เสด็จไป ณ.ที่นั้น

   เมื่อประทับนั่งบนอาสนะเรียบร้อยแล้ว ได้ตรัสถามพระราหุลว่า

   “ราหุล กระจกเงามีประโยชน์อย่างไร”

   “มีประโยชน์สำหรับส่อง พระเจ้าข้า” พระราหุลตอบ

   พระพุทธองค์จึงทรงประทานโอวาทแก่พระราหุลว่า

   “ดูก่อนราหุล นี่แลฉันใด ปัญญาก็มีประโยชน์สำหรับส่องฉันนั้น


   ก่อนที่เธอจะทำการงานสิ่งใดพึงพิจารณาดูให้ดีก่อน ถ้ารู้ว่าการงานเป็นไปเพื่อการเบียดเบียน ตนเองก็ดี เบียดเบียนผู้อื่นก็ดี หรือทั้งตนเองทั้งผู้อื่นก็ดี การงานนั้นเธอไม่ควรทำ แม้ในขณะที่ทำอยู่ก็พึงพิจารณาอย่างนั้นอีก ถ้ารู้ว่าเป็นโทษดังกล่าวแล้วพึงงดเสีย

   ถ้ารู้ว่าไม่มีโทษเธอจงหมั่นทำเถิด หรือการงานที่พิจารณาเสร็จไปแล้ว ก็พึงพิจารณาอย่างนั้นอีก ถ้ารู้ว่ามีโทษก็พึงสารภาพผิดแล้วสำรวมระวังต่อไป ถ้ารู้ว่าไม่มีโทษก็พึงยินดีปราโมทย์กับงานที่บริสุทธิ์นั้นทุกคืนวันเถิด”

   พระพุทธโอวาทที่ตรัสกับพระราหุลนี้ ถ้าเราทุกคนจะน้อมมาพิจารณาตรวจสอบดู กับการงานของเราซึ่งทำเป็นประจำ ก็จะเป็นเสมือนกระจกเงาสำหรับส่องจิตใจ เพื่อป้องกันมิให้ทำงานผืดพลาด หรือแม้ผิดพลาดไปแล้ว ก็ยังมีโอกาสกลับตัวได้โดยง่าย เพราะมีสติรู้ตัวอยู่ จึงควรน้อมพระพุทธโอวาทนี้มาสู่ตัวเราโดยทั่วกันเทอญ



ที่มา  http://www.larnbuddhism.com/katitham/4.html
22123  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / "คิริมานนทสูตร"เป็นธรรมโอสถเหมือนกับ"โพชฌงคสูตร" เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 01:33:58 pm
สัญญา ๑๐  (ความกำหนดหมาย, แนวความคิดความเข้าใจ สำหรับใช้กำหนดพิจารณาในการเจริญกรรมฐาน)
 
๑. อนิจจสัญญา (กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร)

๒. อนัตตสัญญา (กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย)

๓. อสุภสัญญา (กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย)

๔. อาทีนวสัญญา (กำหนดหมายโทษทุกข์ของกายอันมีความเจ็บไข้ต่างๆ)

๕. ปหานสัญญา (กำหนดหมายวิราคะว่าเป็นธรรมละเอียดประณีต)

๖. วิราคสัญญา (กำหนดหมายวิราคะว่าเป็นธรรมละเอียดประณีต)

๗. นิโรธสัญญา (กำหนดหมายนิโรธว่าเป็นธรรมละเอียดประณีต)

๘. สัพพโลเก อนภิรตสัญญา (กำหนดหมายความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง)

๙. สัพพสังขาเรสุ อนิฏฐสัญญา (กำหนดหมายความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง)

๑๐. อานาปานสติ (สติกำหนดลมหายใจเข้าออก)


ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม (ป.อ.ปยุตโต)

อ้างอิง  ที.ปา.๑๑/๔๗๓/๓๔๐; องฺ.ทสก.๒๔/๖๐/๑๑๖

พระไตรปิฎก(สยามรัฐ) เล่ม ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
ทสุตตรสูตร ว่าด้วยธรรม หมวด ๑ ถึงหมวด ๑๐               
               
พระไตรปิฎก(สยามรัฐ)  เล่ม ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๖ อังคุตตรนิกาย ปฐมปัณณาสก์
อาพาธสูตร(คิริมานนทสูตร)



               
สัญญา ๑๐ ประการ ที่ควรเจริญ
บทความ - วิมุตตะมิติ - มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน
เขียนโดย สิริอัญญา

 

กัมมัฏฐาน วิธีแบบอสุภสัญญา 10 วิธีนั้น ความสำคัญอยู่ตรงที่สัญญา คือความทรงจำกำหนดหมาย โดยถือเอาซากศพเป็นสิ่งกำหนดอารมณ์ ซึ่งได้กล่าวมาแล้วว่าเป็นเพียงแม่บทแม่แบบเท่านั้น

เพราะสามารถกำหนดสิ่งอื่นเป็นอารมณ์ในการทรงจำกำหนดหมายได้อีกมากหลาย เนื่องจากสิ่งใดก็ตามที่เอามากำหนดเป็นอารมณ์ในการทรงจำกำหนดหมายแล้ว ก็เป็นกัมมัฏฐานวิธีที่เป็นประเภทสัญญาทั้งสิ้น


การที่ท่านโบราณาจารย์ได้ยกเอาอสุภสัญญา 10 วิธีเป็นแบบวิธีหลักก็เพราะเป็นวิธีที่โลดโผนแปลกประหลาดและมุ่งผลเฉพาะใน การข่มความกำหนัด สำหรับเวไนยสัตว์ที่มีความกำหนัดแรงกล้าจนเป็นอุปสรรคขนาดใหญ่ที่ขวางกั้น การเข้าถึงหรือสัมผัสได้ซึ่งรสพระธรรมอันประเสริฐ ดังนั้นจึงต้องข่มหรือขจัดอุปสรรคนั้นด้วยกัมมัฏฐานวิธีที่โลดโผนคืออสุภะ

อสุภะจัดว่าเป็นรูปชนิดหนึ่ง ดังนั้นในการเจริญกัมมัฏฐานจึงต้องกระทำอุคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตเพื่อก่อเป็นองค์แห่งปฐมฌานในกาลข้างหน้า

แต่เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติ เห็นสมควรที่จะได้พรรณนากัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญาอีกประเภทหนึ่งเป็นพิเศษ นั่นคือกัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญาประเภทที่ไม่มีรูป ซึ่งแม้ว่าท่านโบราณาจารย์จะมิได้กำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของกัมมัฏฐานวิธี 38 วิธีหรือ 40 วิธีก็ตาม

เพราะกัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญาประเภทที่ไม่มีรูปนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่ ต่างออกไปจากอสุภสัญญา ทั้ง ๆ ที่เป็นกัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญาด้วยกัน ทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อเวไนยสัตว์ที่มีอัชฌาสัยถนัดชอบพอหรือคุ้นเคยกับการ เจริญสัญญา ในขณะที่ไม่มากด้วยความกำหนัด ไม่มีความกำหนัดที่แรงกล้าเหมือนกับเวไนยสัตว์ที่จำเป็นต้องใช้กัมมัฏฐาน วิธีจำพวกอสุภสัญญาเข้าแก้อุปสรรค


ความ จริง กัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญาประเภทที่ไม่มีรูปนั้นก็เป็นกัมมัฏฐานวิธีที่สำคัญ ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับเวไนยสัตว์ทั่ว ๆ ไป ใกล้เคียงไปทางอนุสติวิธี แต่ก็ยังอยู่ในเขตขอบของกัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญา ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังเป็นกัมมัฏฐานวิธีที่พระบรมศาสดาทรงตรัสสอนโดยตรง อย่างเป็นระบบและอย่างชัดเจน

นั่นคือคำตรัสสอนที่ปรากฏในคิริมานันทสูตร ซึ่งขอให้ตั้งความสังเกตอย่างจริงจังด้วยว่าการที่พระบรมศาสดาทรงปรารภหรือ ตรัสสอนกัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญาแบบไม่มีรูป

ดังที่ปรากฏในคิริมานันทสูตรนั้น เกิดจากเหตุที่ทรงปรารภเพื่อหวังอานิสงส์ในการบำบัดรักษาอาพาธหนักของพระ สาวกรูปหนึ่ง คือพระคิริมานันเถระซึ่งเป็นพระเถระผู้อาวุโส มีพรรษาสูง มีภูมิธรรมสูง และกำลังอาพาธหนัก ผลจากการแสดงพระสูตรนี้ทำให้พระคิริมานันเถระหายจากอาพาธหนักนั้น เป็นลักษณะเดียวกันกับการเจริญโพชฌงค์ ที่พระบรมศาสดาทรงตรัสสรรเสริญไว้เป็นอันมาก

พระสูตรดังกล่าวมีใจความว่า สมัยหนึ่งในขณะที่พระบรมศาสดาประทับที่เชตวันมหาวิหาร ใกล้เมืองสาวัตถีนั้น พระอานนพุทธอุปัฎฐากได้เข้าไปกราบทูลว่าบัดนี้พระคิริมานันเถระผู้มีอาวุโส ด้วยพรรษาได้อาพาธหนัก มีทุกขเวทนามาก ขอ กราบทูลเชิญพระบรมศาสดาเสด็จไปโปรด เพื่อยังปิติให้เกิดขึ้นและคลายอาพาธนั้น

พระตถาคตเจ้าจึงได้ตรัสสั่งพระอานนว่าเธอนั่นแหละพึงเข้าไปอนุเคราะห์พระ คิริมานันเถระ และให้เธอแสดงสัญญา 10 แก่พระคิริมานันเถระ อาพาธนั้นก็จะหาย

พระบรมศาสดาตรัสสั่งพระอานนท์ให้แสดงสัญญา 10 แก่พระคิริมานันเถระว่า ให้กำหนดหมายความไม่เที่ยงหนึ่ง ความไม่ใช่ตัวตนหนึ่ง ความไม่งามหนึ่ง ความเป็นโทษหนึ่ง การละกิเลสหนึ่ง ธรรมอันปราศจากราคะหนึ่ง ธรรมที่เป็นไปเพื่อความดับหนึ่ง ความไม่ยินดีในโลกทั้งปวงหนึ่ง ความไม่ปรารถนาในสังขารทั้งปวงหนึ่ง และกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์อีกหนึ่ง รวมเป็น 10 ประการ

ใน 10 ประการนี้ได้รวมอานาปานสติไว้เป็นประการสุดท้ายด้วย นี่คือคำตรัสสอนของพระบรมศาสดาที่ชัดเจนว่าการเจริญกัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญา นอกเหนือจากอสุภสัญญาแล้วยังมีกัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญาอย่างอื่นอีก
 

ทรงตรัสสอนโดยตรงเกี่ยวกับการเจริญสัญญาแต่ละวิธีอย่างชัดเจนว่า

วิธีที่ 1 การกำหนดหมายความไม่เที่ยง หรือการเจริญอนิจจะสัญญา ทรงตรัสสอนว่า “เธอย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่ารูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง เธอย่อมเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ โดยความเป็นของไม่เที่ยงในอุปาทานขันธ์ทั้งห้าอย่างนี้ อันนี้ตถาคตกล่าวว่าอนิจจะสัญญา”

วิธีที่ 2 การกำหนดหมายความไม่ใช่ตัวตน หรือการเจริญอนัตตะสัญญา ทรงตรัสสอนว่า “เธอย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่าตาไม่ใช่ตัวตน รูปไม่ใช่ตัวตน หูไม่ใช่ตัวตน เสียงไม่ใช่ตัวตน จมูกไม่ใช่ตัวตน กลิ่นไม่ใช่ตัวตน ลิ้นไม่ใช่ตัวตน รสไม่ใช่ตัวตน กายไม่ใช่ตัวตน ความสัมผัสทางกายไม่ใช่ตัวตน ใจไม่ใช่ตัวตน อารมณ์ที่เกิดกับใจไม่ใช่ตัวตน เธอย่อมพิจารณาเนือง ๆ โดยความเป็นของไม่ใช่ตัวตน ในอายตนะทั้งภายในและภายนอก 6 นี้ อันนี้ตถาคตกล่าวว่าเป็นอนัตตะสัญญา”

วิธีที่ 3 การกำหนดหมายความไม่งาม หรือการเจริญอสุภสัญญา ทรงตรัสสอนว่า “เธอย่อมพิจารณากายนี้นี่แหละ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ คือ

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร เธอย่อมเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ โดยความไม่งามแห่งกายนี้ อย่างนี้ อันนี้ตถาคตกล่าวว่าอสุภสัญญา”


วิธีที่ 4 การกำหนดหมายความเป็นโทษ หรือการเจริญอาทีนวสัญญา ทรงตรัสสอนว่า “เธอย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่ากายอันนี้แหละมีทุกข์มาก มีโทษมาก ความเจ็บไข้อาพาธต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นในกายมีประการต่าง ๆ คือ

โรคในตา โรคในหู โรคในจมูก โรคในลิ้น โรคในกาย โรคในศีรษะ โรคในปาก โรคที่เกิดกับประสาทหู โรคที่ฟัน ไอ หืด หวัด ไข้พิษ ไข้เชื่อมมัว โรคในท้อง ลมจับด้วยอาการสลบอ่อนหวิว สวิงสวาย โรคบิดลงท้อง จุกเสียดปวดท้อง โรคลงราก โรคเรื้อน ฝี กลาก มองคร่อ ลมบ้าหมู หิดเปื่อย หิดด้าน คุดทะราด หูด ละลอก คุดทะราดบอน อาเจียนโลหิต ดีพิการ เบาหวาน ริดสีดวง พุพอง ริดสีดวงลำไส้

 ความเจ็บเกิดแต่ดีให้โทษ ความเจ็บเกิดแต่เสมหะให้โทษ ไข้สันนิบาต หรือความเจ็บที่เกิดแต่ดี เสมหะ ลม ผสมกันให้โทษ ความเจ็บเกิดแต่ฤดูแปรปรวน ความเจ็บเกิดแต่การผลัดเปลี่ยนอริยาบถไม่สม่ำเสมอ ความเจ็บเกิดแต่ความเพียร ความเจ็บเกิดแต่วิบากกรรม ความป่วยอันเกิดจากความเย็น ความร้อน ความหิว ความกระหาย อุจจาระ ปัสสาวะไม่ปกติ เธอย่อมเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ โดยความเป็นโทษในกายนี้อย่างนี้ อันนี้ตถาคตกล่าวว่าอาทีนวสัญญา”

วิธีที่ 5 การกำหนดหมายในการละ หรือการเจริญปหานสัญญา ทรงตรัสสอนว่า “เธอย่อมไม่รับ ย่อมละเสีย ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้พินาศ ย่อมทำไม่ให้เกิดอีกต่อไป ซึ่งกามวิตก หรือความหมกมุ่นอยู่ในกามที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งพยาบาทวิตกหรือความคิดปองร้ายสาปแช่งสัตว์อื่นให้ถึงความพินาศที่เกิด ขึ้นแล้ว ซึ่งวิหิงสาวิตก หรือความหมกมุ่นคิดเบียนเบียนสัตว์อื่นที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเหล่าธรรมอันเป็นบาปเป็นอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว อันนี้ตถาคตกล่าวว่าปหานสัญญา”

วิธีที่ 6 การกำหนดหมายในธรรมอันปราศจากราคะ หรือการเจริญวิราคะสัญญา ทรงตรัสสอนว่า “เธอย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่าธรรมชาตินั่นละเอียดประณีต คือเป็นเครื่องระงับสังขารทั้งปวง เป็นเครื่องละกิเลสทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นเครื่องสำรอกออกจากตัณหา อันนี้ตถาคตกล่าวว่าวิราคะสัญญา”

วิธีที่ 7 การกำหนดหมายในธรรมเป็นที่ดับ หรือการเจริญนิโรธสัญญา ทรงตรัสสอนว่า “เธอย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่าธรรมชาตินั่นละเอียดประณีต คือธรรมเป็นเครื่องระงับสังขารทั้งปวง เป็นเครื่องละกิเลสทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่ดับสนิทของตัณหา เป็นเครื่องออกจากตัณหา อันนี้ตถาคตกล่าวว่านิโรธสัญญา”

วิธีที่ 8 การกำหนดหมายในความไม่ยินดีในโลกทั้งปวง หรือการเจริญสัพพโลเกอนภิรตสัญญา ทรงตรัสสอนว่า “ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นแจ้งในเหตุอันทำให้เกิดความถือมั่นเหล่าใดในโลก มีความถือมั่นด้วยความตั้งจิตไว้เป็นอนุสัยนอนอยูในสันดาน เธอละเหตุแห่งความถือมั่นเหล่านั้นเสีย ไม่ถือมั่น ย่อมงดเว้นเสียซึ่งความถือมั่นเหล่านั้น อันนี้ตถาคตกล่าวว่าสัพพโลเกอนภิรตสัญญา”

วิธีที่ 9 การกำหนดหมายความไม่ปรารถนาในสังขารทั้งปวง หรือการเจริญสัพพสังขาเรสุอนิจจะสัญญา ทรงตรัสสอนว่า “ภิกษุในธรรมวินัยนี้เธอย่อมเบื่อหน่าย ย่อมระอา ย่อมเกลียดชังสังขารหรือการปรุงแต่งทั้งปวง อันนี้ตถาคตกล่าวว่าสัพพสังขาเรสุอนิจจะสัญญา”

วิธีที่ 10 การกำหนดหมายลมหายใจไว้กับสติ หรือการเจริญอานาปานสติ ได้พรรณนามาแล้ว จักไม่กล่าวซ้ำอีก

ยกเว้นแต่วิธีที่ 10 ซึ่งได้พรรณนาโดยพิสดารแล้วในภาคว่าด้วยปัญญาวิมุต

กัมมัฏฐานวิธีที่ 1-9 ที่พระบรมศาสดาทรงตรัสสอนโดยตรงนั้น คือแบบวิธีฝึกฝนปฏิบัติกัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญา

โดยวิธีที่ 3 เป็นเรื่องอสุภสัญญาโดยตรง แต่ทรงแสดงถึงความสกปรก ความไม่สะอาด ของบรรดาสิ่งทั้งหลายที่อยู่ภายในร่างกายนี้ ซึ่งแม้จะตรัสเกี่ยวกับรูป แต่ความจริงก็ไม่เห็นรูป เพราะทรงตรัสให้มุ่งเน้นในการพิจารณาซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ปัญญาพิจารณา ตามความเป็นจริง

พึงสังเกตว่ากัมมัฏฐานวิธีจำพวกสัญญา 10 วิธี ที่ทรงตรัสในคิริมานันทสูตรนั้นทรงเน้นย้ำคำว่า “เธอย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า” นั่นคือเป็นการใช้ปัญญาในการพิจารณาตามความเป็นจริง จัดเป็นกัมมัฏฐานวิธีในภาคเจโตวิมุตที่มุ่งเน้นปัญญามากเป็นพิเศษ


แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ภายในเขตขอบของเรื่องเจโตวิมุตอยู่นั่นเอง เพราะวิถีทางหลักยังคงเป็นไปในการสร้างความแข็งแกร่งและสมรรถนะของจิต โดยมีปัญญาเป็นกำลังหนุน เป็นแต่ทรงเน้นเรื่องปัญญามากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากพระคิริมานันเถระมีกำลังจิตและภูมิธรรมสูงอยู่แล้ว หากทราบและเข้าใจภูมิหลังของการตรัสสอนในพระสูตรนี้ก็จะเข้าใจได้ชัดเช่น นี้

นอกจากวิธีอานาปานสติในวิธีที่ 10 แล้ว วิธีการที่ทรงตรัสสอนทั้ง 9 วิธีซึ่งรวมอสุภสัญญาที่ทรงตรัสสอนในลักษณะวิธีนี้มุ่งเน้นไปที่การพิจารณา โดยผู้ฝึกฝนปฏิบัติต้องมีกำลังจิตแข็งกล้าอยู่ก่อนหน้าแล้ว และมีภูมิธรรมสูงอยู่ก่อนแล้ว มิฉะนั้นก็ไม่อาจรองรับกัมมัฏฐานวิธีจำพวกนี้ได้เลย ดังนั้นการจะเลือกกัมมัฏฐานวิธีตามพระสูตรนี้จึงต้องคำนึงถึงเงื่อนไขทั้ง สองประการดังกล่าวด้วย

ผู้มีภูมิธรรมที่สูงพอ ประมาณ มีกำลังจิตที่แข็งกล้าพอประมาณ หากได้ฟังหรือได้เจริญกัมมัฏฐานวิธีทั้ง 10 วิธีที่ทรงแสดงนี้แล้วก็จะเป็นธรรมโอสถที่บำบัดรักษาโรคาพาธให้หายได้เช่น เดียวกับที่ปรากฏในโพชฌงค์สูตร จึงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะประเภทธรรมโอสถชนิดหนึ่ง

ทั้ง 10 วิธีที่ว่านี้จะไม่มุ่งเน้นไปที่การทำอุคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต แต่จะลัดไปสู่การขจัดนิวรณ์หรืออุปกิเลส 5 ประการ และก่อองค์ห้าแห่งปฐมฌานโดยตรงทีเดียว

ท่าน ทั้งปวงผู้ได้เห็นได้สดับคิริมานันทสูตรแล้วคงจะเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า ความตรัสรู้ของพระบรมศาสดานั้นทำให้ทรงรู้แจ้งในโลกทั้งปวงจริง ๆ เพราะเพียงแค่การกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ในร่างกายนี้และโรคต่างๆ ที่เกิดกับร่างกายนี้ก็มีความพิสดารยิ่งนัก.

ที่มา  เว็บพลังจิต โดยคุณ aMANwalking



อ่านคิริมานนทสูตรเต็มๆได้ที่

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔  บรรทัดที่ ๒๕๙๗ - ๒๗๑๑.  หน้าที่  ๑๑๑ - ๑๑๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=2597&Z=2711&pagebreak=0

ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=60[/size]



ผมขอยกเครดิตการนำเสนอบทความนี้ให้กับ

คุณtranslate  และคุณรักหนอ

 :welcome: :c017:
ขอให้ธรรมคุ้มครอง

 :25: :25: :25:
22124  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / หญิงสองร่าง นางสองชาติ เมื่อ: สิงหาคม 30, 2010, 10:53:38 pm
หญิงสองร่าง นางสองชาติ
พระครูภาวนาวิสุทธิ์(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี



เรื่องมาสร้างกุฏิกรรมฐานโดยหญิงสองร่างนางสองชาติ อาตมาเคยคิดว่ามันจะมีอย่างไรเรื่องนรกสวรรค์ แต่มีประสบการณ์กับที่วัดเรานี่เอง เมื่อตอนที่อาตมาอยู่ที่วัดนี้ พ.ศ. ๒๔๙๙ พอดี ๒๕๐๐ กุฏิกรรมฐานไม่มีเลย ยังไม่ได้มาเริ่ม เริ่มมาจากที่อื่น สอนกรรมฐานมาเมื่อ ๒๔๙๕ สอนมานาน เมื่อสอนแล้วมาอยู่ที่วัดนี้ มาเป็นเจ้าอาวาส มาประสบการณ์กับ “หญิงสองร่างนางสองชาติ” จึงได้สร้างกุฏิกรรมฐานต่อเนื่องมาตามลำดับ จนบัดนี้

เล่าถึงประวัติ นายปุ่น นางสอิ้ง
นายปุ่นบวช ๒-๓ พรรษา สวดปาติโมกข์ได้รุ่นเก่าแก่นานมาแล้ว แล้วเจริญกรรมฐาน เมื่อสึกแล้วก็มาแต่งงานกับแม่สอิ้ง อยู่ด้วยกันมีลูก ๒ คน ตาปุ่นเป็นคนร่ำรวยอยู่ในอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ นายปุ่นนี้จิตใจเป็นมหากุศลสวดมนต์ไหว้พระตลอด แต่นางสอิ้งใจบาปหยาบช้า มีร่างกายที่เขาเขียนรูปไว้ นุ่งผ้าโจงกระเบน เสื้อเตี่ยว มีผมก็ทัดหู มีสร้อยใส่ ไปบ้านใครต้องลักขโมยตลอดเลา

นางสอิ้งลักทอง
แล้วมาวันหนึ่ง นางสอิ้งไปช่วยงานหลานตาปุ่นบวชในพระศาสนา นางสอิ้งก็ลักทอง ลักสร้อยแล้วก็บุ้ยใบ้ไปโทษหลานตาปุ่นที่ยากจนกว่า ตีเสียหัวร้างข้างแตก แล้วยัดเยียดให้เป็นคนขโมย แท้จริงตัวที่เป็นคนขโมยแท้ ๆ ไม่มีใครเชื่อว่านางสอิ้งนี่เป็นขโมย เพราะเป็นคนรวย มีจิตใจเป็นอกุศลเป็นอย่างนี้ ทำบาปหยาบช้าเหลือเกิน สวดมนต์ก็ไม่เป็น นางสอิ้งอ่านหนังสือไม่ออก ตาปุ่นสวดคนเดียวแทน
 

ตาปุ่นเป็นสามีที่ดีของศรีภรรยา ไม่มองภรรยาในแง่ร้ายแต่ประการใด ไม่มีการนินทาลูกเมียนี่ประการหนึ่ง ประการที่สอง เขานิยมการไปทำไร่ไถนา โฉนดไม่มี ใครอยากจะมีขยันขันแข็งก็ไปถากถางเอาเอง บุกป่า ฝ่าดงพงไพรมีนาอยู่หลายร้อยไร่ เพราะด้วยความขยัน พ่อ แม่ของเขาทำสืบเนื่องกันมา ตามลำดับ มีบ้านทรงไทย ๒ หลังแฝด และเรือนหออีกหลังหนึ่ง มีครบทุกรายการ

 แล้วก็ทุกปีที่ทำนาไปปลูกโรงนาอยู่กลางทุ่งกลางนา ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขามีลูกจ้าง ๕ คน จ้างมาจากภาคอีสานคนละ ๒๐ บาท ข้าวคงจะเกวียนละ ๔๐ หรือ ๘๐ จำไม่ได้มันนานแล้ว เวลาไปอยู่โรงนา ตาปุ่นก็ต้องเฝ้าบ้านอยู่กะแม่ แต่เมียเป็นคนจัดการเสร็จไปออกไปโรงนา พอเกี่ยวข้าวเกี่ยวปลาเสร็จ

นางสอิ้งลักข้าว
แล้วเมื่อก่อนนี้มีพระแทะมีเกวียน เวลานวดข้าวเสร็จแล้วก็ใช้สากเอา ใช้ลมกลางทุ่ง เวลาก่อนจะนวดก็ใช้ลูกจ้างไปลักข้าวเขาตามโน่นตามนี่มาใส่ ทุกปีลักข้าวเขามาใส่ บาปมาก ไม่มีใครจับได้ เพราะเนื่องจากว่า ตาปุ่น นางสอิ้ง ในหมู่บ้านตำบลนั้น เป็นนายทุนให้แก่คนอื่นอีกหลายทุนด้วยกัน สามีก็ไม่ทราบว่าภรรยาเป็นขโมย

นางสอิ้งตายทั้งกลม
แล้วปีสุดท้ายนางสอิ้งมีทอง ๒ เส้น สายสะพายหนักเส้นละ ๘ บาท ปีนั้นกำลังตั้งครรภ์ขึ้นอีก ก็ใจคอหงุดหงิดสังหรณ์ในใจว่าปีนี้โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ออกไปทำนาก็มีโรงนาปลูกไปประจำ จนเกี่ยวข้าวขายเรียบร้อย นางสอิ้งเอาทองไปฝังในโรงนา โดยที่คิดอกุศลกลัวลูกจ้างจะลัก อยู่บ้านกลัวจะไม่ปลอดภัย แล้วก็ใช้วิธีอย่างเดิมให้ลูกจ้างไปลักข้าวอีก ยังไม่ทันนวด พอดีเกิดคลอดบุตรตายทั้งกลมคานา ตายแล้ว ตาปุ่นก็จัดงานศพ
 

วันโกนวันพระในนรกจะมีพระมาลัยมาโปรด
นางสอิ้งเล่าว่ารู้หมดไปตกนรก ๑๐๐ ปี เวลานั้น วันโกนวันพระ มีพระมาลัยมาโปรดสั่งสอนในวันพระ แล้วในเมืองนรกเขาให้สวดมนต์ไหว้พระ นางสอิ้งไม่เคยสวดได้เมื่อตอนอยู่ในภพมนุษย์ นางสอิ้งสวดได้หมด ทำวัตรเช้าเย็น พระมาลัยได้โปรด เทศน์เรื่องกรรมในโลกของนรกนั้น ในภพนั้นได้สวดมนต์ไหว้พระเจริญวิปัสสนากรรมฐานเหมือนกันสอนอย่างนั้น

หมายเหตุ:- พระมาลัย หมายถึง พระทุกองค์ที่ไปเทศน์โปรดสัตว์นรก(จะต้องถูกเรียกว่า พระมาลัยทุกองค์)

อุทิศส่วนกุศลแล้วนรกลดโทษให้
   กล่าวถึงภพมนุษย์ ตาปุ่นก็คิดถึงลูกเมีย เมื่อนวดข้าวเสร็จเรียบร้อยก็ขายส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็เอาไปก่อพระเจดีย์ทรายข้าวเปลือกอุทิศส่วนกุศลให้แม่สอิ้งศรีภรรยาของตน พออุทิศส่วนกุศลให้แล้ว ก็ได้ความว่า

ในโลกเมืองนรกนั้นได้อภัยโทษ นางสอิ้งได้ทำคุณงามความดีสวดมนต์ไหว้พระในเมืองนรก คงจะเป็นยมบาลบอกเหตุการณ์ให้นางสอิ้งฟังว่า สามีของเธอได้เอาข้าวที่ร่วมงานกันเอามาก่อพระเจดีย์ทรายข้าวเปลือกในวัด และอุทิศส่วนกุศลมาให้เธอ ก็ขอให้อภัยโทษเธอ ๒๐ ปี เหลือ ๘๐ ปี


   ต่อมานายปุ่น เห็นเรือนหอคิดถึงภรรยาทุกวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องการเอาเรือนหอไปถวายวัด เอาไปปลูกกุฏิเป็นทรงไทยต่อไปตามลำดับ สมภารเจ้าวัดก็เห็นด้วย นายปุ่นก็สร้างกุฏิ เมื่อเสร็จแล้วก็ฉลองกันใหญ่ มีหมอลำ และมีหนังตลุง ๒ อย่าง ฉลองวันไหนรู้หมด

ฉลองเสร็จแล้วก็ถวายเป็นการสงฆ์ให้แก่ พระสงฆ์ทุกสารทิศทั้งที่มาจากทิศใดก็ตาม ถวายเป็นสังฆทานอุทิศแด่พระสงฆ์ เรียบร้อยแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่ภรรยาของตน ก็ได้ลดอภัยโทษอีก ๒๐ ปี เหลือ ๖๐ ปี

นายปุ่นคิดว่าลูกก็โตแล้ว พ่อจะบวชในพระศาสนา บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ภรรยาของตนต่อไป สึกขาลาเพศแล้วก็แต่งงานใหม่ ก็ได้ปรึกษาสมภาร ๆ ก็ว่าไม่ต้องสวดปาติโมกข์หรอก เคยสวดปาติโมกข์ได้ บวชแล้วก็ให้ถือธุดงควัตรปฏิบัติฉันข้าวเวลาเดียวอยู่ในป่าช้า เจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ภรรยาของตนต่อไป

 

การบวชเป็นบุญใหญ่ นรกลดโทษให้ถึง ๔๐ ปี
ตาปุ่นก็ได้บวชในพระศาสนาอยู่ ๑ พรรษา เจริญวิปัสสนากรรมฐานอโหสิกรรม และอุทิศส่วนกุศลให้ภรรยา ก็ไม่ได้ทราบว่าภรรยาไปตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ประการใด
พอออกพรรษาก็กราบลาสมภารสึกขาลาเพศไป แล้วไปแต่งงานกับภรรยาใหม่ต่อไป เมื่อสึกไปแล้วกุศลผลบุญก็ไปถึงแม่สอิ้งในเมืองนรก ยมบาลก็ให้อภัยโทษอีก ๔๐ ปี บอกว่าสามีของเธอได้บวชในพระศาสนา ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอุทิศส่วนกุศลมาขอให้
อภัยโทษ ๔๐ ปี เหลือ ๒๐ ปี

การลักทรัพย์ นรกไม่ให้อภัย
นี้เพราะเธอมีโทษ หนึ่งลักทองแล้วโยนความผิดไปให้คนอื่น สองที่บาปหนักคือ ลักข้าว ให้อภัยไม่ได้เธอจะเอาอย่างนี้ไหม ก็เห็นว่าเธอมีคุณงามความดีสวดมนต์ไหว้พระเป็นหัวหน้าในเมืองนรกเจริญกรรมฐานในที่สุด จะให้กลับไปอยู่เมืองมนุษย์ ๒๐ ปี ไปใช้หนี้ผัว และจะต้องไม่กลับมาที่นี่ แต่ให้สัญญานะเจ้าจะต้องรักษาอุโบสถทุกวันพระ ทำได้หรือไม่ ประการที่สอง จะต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานเงิน ๑ ชั่ง ไม่เกินไม่ขาดเพื่ออุทิศส่วนกุศล

นางสอิ้งกลับมาเกิด ชดใช้กรรม
มิฉะนั้นจะต้องกลับมาเมืองนรกอีก อย่างนี้นางก็รับปาก ก็มาเกิดใกล้บ้านตาปุ่นประมาณ ๒ กิโลกว่า ๆ มาเกิดเป็นลูกตาแป๊ะแก่ อยู่คนละตำบล แต่รู้จักกัน แป๊ะแก่ได้ภรรยามา ๑๕ ปี ไม่มีบุตร ภรรยาสาว แต่ผัวก็ ๕๐ กว่าแล้ว แต่เกิดมามีบุตรตอน ๑๕ ปีผ่านไป บุตรนั้นได้แก่นางสอิ้งนั่นเอง นางสอิ้งคนเดิมรูปร่างเหมือนยักษ์ขะหมูขี มีไฝฝีขี้แมลงวันเม็ดเบ้อเร่อ แล้วจอนตัดทัด ใบหู ดำปี๋ นุ่งผ้าโจงกระเบน ผอมเกร็ง อาตมารู้เพราะดูรูปที่เขาแต่งงานกับตาปุ่น

เด็กหญิงอายุ ๑๑ ปีระลึกชาติได้   
เมื่อเป็นเช่นนี้ พอ ๑๑ ปีผ่านก็รำลึกชาติได้ เตี่ยหนูนี่ไม่ใช่ลูกนะ ฉันนี้เป็นนางสอิ้งภรรยาตาปุ่น ตำบลโน้น เตี่ยก็ยังไงกันก็ไปปรึกษาตำบลโน้น ตำบลนี้ เอาอย่างนี้ให้มันลืมเรื่องเสียว่าจะจริงเท็จยังไงไม่ทราบ ก็เอาไข่หลงรัง ไข่ที่ตายโคม ไข่ข้าว เอามาต้มให้กินมันก็ไม่ลืม
พออายุถึง ๑๕ ปีแล้ว ให้พาไปบ้านตาปุ่น เตี่ยอดรนทนไม่ได้ก็พาไป อายุ ๑๕ ปีแล้ว รูปร่างสวยขาว เพราะเป็นลูกเจ๊ก แต่วิญญาณของนางสอิ้งคนเดิม

 

นางสอิ้งในร่างเด็กสาวอายุ ๑๕ ปีเล่าอดีต แต่ตาปุ่นไม่เชื่อ
 พอไปถึงบ้านตาปุ่น ก็ถามว่าพี่ปุ่นจำฉันได้มั๊ย ตาปุ่นก็อายุ ๗๘ แล้วฉันสอิ้งยังไงเล่า ตาปุ่นเข้าใจผิดคิดว่าไอ้ตาแป๊ะนี่คงจะเสี้ยมสอนลูก ให้ว่าเป็นนางสอิ้งจะมาเอาสมบัติ เพราะตาปุ่นแกรวย ตาแปะแกก็ไม่ใช่คนรวย พอมีพอใช้ มีอาชีพทางแลกข้าวขายโชห่วย ก็เล่าให้ฟังตาปุ่นก็ไม่ยอมรับเชื่อ

พี่ปุ่นจำได้มั๊ยว่าตอนอยู่กับพี่ปุ่นมาตอนบวชหลาน ฉันนี้เป็นคนลักทอง แล้วไปโทษหลานข้อเท็จจริงฉันเป็นคนเอา เพิ่งมารู้ความจริงในชาตินี้ ยังไม่เชื่ออาจเป็นการเสแสร้งแกล้งเล่าก็ได้
      
   เรื่องที่ ๒ เล่าต่อไปว่า “พี่ปุ่นตอนที่ฉันออกลูกตายทั้งกลมนั้น ฉันไปตกนรกอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี พี่ปุ่นเอาข้าวไปถวายวัด
ก่อพระเจดีย์ทรายข้าวเปลือก ฉันก็ได้ลดโทษมาตามลำดับ

นอกเหนือจากนั้นก็เอาเรือนหอไปถวายวัด ฉันก็รู้ในวันที่เท่านั้นได้อุทิศส่วนกุศล ยังมีหมอลำและหนังตะลุง ในวันนั้น เรื่องต่อไป พี่ปุ่นได้บวชในพระศาสนา ฉันก็ได้รับส่วนบุญกุศล ลดโทษไปตามอันดับดังที่กล่าวแล้ว


 นอกเหนือจากนั้น ที่ฉันมาเกิดใหม่นี้ได้ลดโทษานุโทษมาแล้ว แต่ ๒๐ ปี ลดไม่ได้เนื่องจากสร้างบาปลักทอง ลักข้าวให้อภัยโทษไม่ได้ ฉันก็ต้องกลับมาอยู่กะพี่ปุ่นต่อไป แล้วได้สัญญากับทางนรกมาว่า ให้รักษาอุโบสถทุกวันพระ สวดมนต์ไม่ขาดและต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานด้วยเงินหนึ่งชั่ง”

ตาปุ่นยอมรับว่าเด็กสาวอายุ ๑๕ ปีเป็นนางสอิ้ง
ตาปุ่นรับฟังเฉย ๆ ยังเชื่อแน่ไม่ได้ แม่สอิ้งในร่างใหม่จึงถามต่อไปว่า “พี่ปุ่น ทองหมั้นของฉันยังอยู่มั้ย” “ทองอะไร” “มีสายสะพาย ๒ เส้น เส้นหนักละ ๘ บาท” ตาปุ่นก็นึกไม่ออก ไม่ทราบว่ายังอยู่มั้ย แต่มันไม่มีแล้วบัดนี้ จำความไม่ได้ นางสอิ้งก็เล่าต่อไปว่า “พี่ปุ่นโรงนายังอยู่มั้ย” “โรงนาไม่มีอยู่แล้ว เพราะนาก็แบ่งให้ลูกเก่าหมดแล้ว มีเขยมีสะใภ้ไปหมดแล้ว” นางสอิ้งบอกว่าจำได้เลา ๆ “ต้นกระทุ่มมีมั้ย” “ยังอยู่” ก็พากันออกไปที่นาเดินออกไปที่นาหลายกิโล จ้างเขาขุด ในที่สุดได้สร้อยคืนมา ๒ เส้น หนักเส้นละ ๘ บาท ตาปุ่นจึงยอมรับว่าเป็นนางสอิ้งจริง

นางสอิ้งในร่างเด็กสาวอายุ ๑๕ ปีมาอยู่กับตาปุ่น ในฐานะภรรยาเก่า
ในที่สุดก็ไม่กลับไปอยู่กะเตี่ยแม่ อยู่กะตาปุ่นต่อไป แม่สอิ้งก็เล่าความให้อาตมาฟังว่า ๓ คนด้วยกัน ภรรยาใหม่ อายุ ๗๒ สามี ๗๘ ก็ปรึกษาปรองดองกันว่า ฉันรับคำมั่นสัญญาจะต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานให้ได้ สามคนนี้ก็เดินทางไปหาทางสร้างกุฏิกรรมฐาน เอาสร้อยไปด้วย ไปปากน้ำโพ ลงเรือแดงจากปากน้ำโพ มากรุงเทพฯ แสวงหาว่าที่ไหนมีสำนักกรรมฐานก็ให้เทวดาสนใจดลบันดาลสามคนนั้น ก็ลงเรือแดงมาขึ้นที่สิงห์บุรี อาตมาก็มาอยู่ที่วัดนี้ เขาก็ไปถามชาวตลาดว่า ที่ไหนเป็นสำนักวิปัสสนามีมั้ย จังหวัดสิงห์บุรีนี้
เลยพอดีไปเจอเอาญาติของโยมสุ่นหาบของไปขาย เขาก็เลยเล่าว่า อาตมาได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดอัมพวันแล้ว ลองเดินทางไปถามดูว่าจะสร้างกุฏิกรรมฐานมั้ย เห็นท่านสอนกรรมฐานมาช้านาน เลยสามคนก็ลงเรือเมล์

 

หลวงพ่อจรัญก็เคยขโมยข้าว
ต่อจากนั้นก็มาขึ้นที่หน้าวัด ก็เดินเข้ามาหาอาตมาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง อาตมาก็ตกใจข้อไหนรู้มั้ย ว่าไปลักข้าว อาตมานี่ตัวลักข้าวมากกว่ายายสอิ้งอีก มันตกใจตอนเป็นเด็กเวลาโรงเรียนปิด อย่าลืมอาตมาไปกะยายเม้า ๆ เป็นหมอตำแยเก่า

ถามว่าป้าเก็บข้าวตกได้วันละเท่าไร ได้วันละกระผีก แล้วเอ็งได้เท่าไหร่ ผมได้วันละ ๑๐ กว่าถัง เอ็งทำไมเก็บได้มากมายนัก ก็ยายไปเซ่อทำไมที่เป็นฟ่อนนี่ก็ใส่กระสอบเข้าซิ แล้ข้าวที่เขานวดไว้กลางทุ่งก็ใส่กระสอบเลย นี่ลักอย่างนี้ ลักมากกว่ายายสอิ้งอีก ถ้าหน้าข้าวต้องออกอย่างนี้ ตกใจแต่ไม่พูดอะไร นางสอิ้งมีประโยชน์ที่โบสถ์เก่าเวลาพระทำวัตรเขาเข้าไปด้วย มาค้างหลายคืน โยโส ภควา สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นได้ทั้งหมดดีกว่าพระ ได้มาจากเมืองนรก ตอนนั้นอายุ ๑๖ ปีแล้ว ตาปุ่น ๗๘ ปี

นางสอิ้งสร้างกุฏิกรรมฐานให้วัดอัมพวัน เป็นหลังแรกของวัด
อาตมายังเย้าเลย นี่สอิ้งอยู่กะตาแก่ทำไม่ไม่อยู่กะหนุ่มดีกว่าเข้าท่ากว่า เพราะรูปร่างสวย มารยาทดี เปลี่ยนแปลงตามสภาพ ก็แม่สอิ้งได้สร้างกุฏิกรรมฐานข้างโบสถ์เป็นหลังแรก เขาบอกว่าสร้างแล้วต้องมีน้ำหล่อไม่ให้มดขึ้น อาตมาก็ทำเป็นน้ำหล่อเดี๋ยวนี้มาแปลงใหม่ สร้างเป็นหลังแรกของวัดนี้ สร้างเสร็จครบ ๘๐ บาทพอดี บ้านทายกชื่อโยมเล็ก สุขสายพงศ์ ปีเดียวกะตาปุ่นอายุ ๗๘ ต้องมาพักบ้านนี้อาศัยข้าวบ้านนี้ทาน ตอนนั้นโรงครัวไม่มี บ้านอยู่ข้างวัด เริ่มทำกรรมฐานหมดเงิน ๘๐ บาทพอดี ไม่เกิน ไม่ขาด

นางสอิ้งตาย เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี
ในเวลาต่อมาพอสร้างเสร็จเขาก็กลับบ้าน กลับไปแล้วอาตมาตามไปดูบ้าน ทองก็ได้เห็นขอจับดูด้วย หลังจากนั้น ตาปุ่นเริ่มเป็นอัมพาต
ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดก้น ก็ได้นางสอิ้งปรนนิบัติ เมียใหม่ก็ไม่ได้ทำอะไร อยู่คนละหลัง ก็ปฏิบัติได้อย่างดีมาก ทั้ง ๆ ที่สาว
กะตาแก่คนนี้ แม่สอิ้งอีก ๔ ปี ครบ ๒๐ ปีตามสัญญาในเมืองมนุษย์


อาตมาก็ติดตามผลสรุปแล้วได้ความว่าพออายุ ๒๐ ปีพอดี ตาปุ่นยังไม่ตาย เป็นอัมพาต นางสอิ้งก็ปฏิบัติเรียบร้อย
ดีทุกอย่าง พอดีวันนั้นทำกับข้าวไปวัด พอเสร็จแล้ว นาง สอิ้งก็ฟุบลงไปตายคาที่อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ อาตมายังไปเผา

เรื่องนี้เป็นความจริงพอนางสอิ้งตาย ตาปุ่นก็ ๘๐ กว่าปีแล้ว เผานางสอิ้งเรียบร้อยก็ตาปุ่นตาย อีก ๒ ปี เมียใหม่ก็ตายหมด บัดนี้บ้านก็แยกย้ายกันไป เมื่อเร็ว ๆ นี้ อาตมาไปเทศน์ที่ตำบลท่าตะโก ยังมีคนยังรับรู้อยู่อีกคนอายุ ๙๑ ปี เจ้าคณะอำเภอเก่า พระครูนิพันธรรมคุต ท่านเป็นเจ้าคุณ ท่านก็มรณภาพไปนานแล้ว

ขัดส้วมทำให้ปัญญาดี
   เรื่องนี้ชี้ให้เห็นได้ว่า หญิง ๒ ร่าง นาง ๒ ชาติ บาปกรรมนักหนา แล้วเมืองนรกก็มีการสวดมนต์ไหว้พระ นางสอิ้งก็ถึงแก่ความตายตามสัญญา ๒๐ ปีพอดี วัดนี้ก็ได้กุฏิกรรมฐานของแม่สอิ้ง อาตมาก็กลัวเกรงไปว่า บาปกรรมจะติดพันมา เดี๋ยวจะให้อภัยโทษไม่ได้เลยสร้างกุฏิกรรมฐานเป็นการใหญ่ สร้างเป็นห้องแถวให้ท่านพัก บอกลูกหลานไว้ด้วยว่าอยากปัญญาดีมั้ย ขัดส้วมรับรองปัญญาดีทุกคน ไม่ใช่เรื่องโกหก

อาตมาไปซื้อบานประตูหน้าต่างจากกำแพงเพชร ไปเจอเด็กคนหนึ่ง บอกหลวงพ่อหลานคนนี้หัวไม่เอาไหนเลย สอบตกอยู่เรื่อยอยากจะเรียนหนังสือ ทำไงจะมีปัญญาบอกว่ามาบวชเณรที่นี่ พอบวชแล้วเณรขัดส้วม บอกผมอยู่ที่บ้านไม่เคยขัด ตื่น ๘ โมงเช้า ใครหาข้าวให้กิน บอกแม่ ก็ขัดส้วมขัดไปขัดมาก็รักความสะอาด อยู่มาได้หน่อยสึก แล้วไปเรียนหนังสือต่อ เรียนไปเรียนมากลายเป็นผู้พิพากษาไป สอบได้ที่หนึ่งเลย นี่ขัดส้วม...

 

ที่มา  http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
ขอขอบคุณ web buddhayan
22125  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จำได้ว่ายุคหนึ่งของมนุษย์“อายุ ๑๐ ปีก็มีลูกแล้ว”ใครรู้ช่วยหน่อย เมื่อ: สิงหาคม 26, 2010, 07:30:16 pm



จำได้ว่ายุคหนึ่งของมนุษย์  “อายุ ๑๐ ปีก็มีลูกแล้ว” ใครรู้ช่วยหน่อย

คอลัมภ์ จากใจ บก.ใกล้ตัว
ธรรมะใกล้ตัวฉบับ Lite ฉบับวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓


ก่อนอื่นใดขอแจ้งให้ทราบว่าคุณสามารถดาวน์โหลด
จิตจักรพรรดิ ตอน มาเฟียพลังจิต
ไปอ่านทั้งเล่มได้แล้วนะครับ http://bit.ly/bmKq9X

วันนี้มาคุยเรื่องการเกิดมาเป็นมนุษย์กัน

ตอนยังไม่มีหลักคิดแน่นอน
คนเราพอโตมาก็มักสงสัยแบบเคว้งๆงงๆ
อยากทราบว่าเกิดมาทำไม เพื่ออะไรกันแน่

ซึ่งก็อย่าเพิ่งไปเอาคำตอบให้ชัดเลย
ลองมาหักมุมตั้งโจทย์ใหม่ดูดีกว่าว่าเรารู้อะไร
เกี่ยวกับธรรมชาติการเกิดเป็นมนุษย์ดีแค่ไหน
เช่น ให้ทาย ๑๐ ครั้งครับว่าอย่างเร็วที่สุด
ผู้หญิงต้องอายุเท่าไหร่ถึงจะคลอดลูกได้?


ถ้าคุณกำลังนึกถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์
ประมาณว่ามนุษย์เพศหญิงเริ่มมีประจำเดือนอายุเท่าไร
ก็ลืมได้เลย ต่อให้ทายอย่างไรไม่มีทางถูกแน่
เพราะคำเฉลยคือ...

แม่หนูลิน่า เมดิน่า (Lina Medina)
ให้กำเนิดทารกเมื่ออายุ ๕ ขวบ ๗ เดือน กับอีก ๒๑ วันครับ
ยังไม่ทันหกขวบดีมีลูกแล้ว!

 




รูปที่ผมนำมาลงนั้นเผยแพร่ทั่วไปบนอินเตอร์เน็ต
เป็นภาพถ่ายไว้ในปี ๑๙๔๐
หากดูรูปแรกโดยไม่อ่านข้อความที่ผมเขียน
คุณคงเข้าใจว่าพ่อกับลูกสาว
และลูกคนสุดท้องชักภาพไว้ร่วมกัน
แต่ความจริงก็คือหนูน้อยลิน่า
ยืนถ่ายรูปกับคุณหมอผู้ทำคลอด
พร้อมทั้งเจ้าหนูอายุ ๑๑ เดือนของเธอต่างหาก!

ตอนพ่อแม่ของลิน่าพาไปหาหมอ
ก็เพราะเห็นว่าท้องเธอโตผิดปกติ
เลยเป็นห่วงนึกว่ามีก้อนเนื้องอกขึ้นมา
ซึ่งก็เป็นเนื้องอกจริงๆ
แต่แบบงอกเงยขึ้นมีเลือดเนื้อ มีหัวใจ
เป็นชีวิตใหม่อีกชีวิตหนึ่งเลยทีเดียว

ลิน่าคลอดด้วยวิธีผ่า
ลูกของเธอเกิดมาน้ำหนัก ๒.๗ กิโลกรัม
ชื่อเจอราโดตามหมอทำคลอด
เจอราโดมีสุขภาพดี
และออกจากคลินิกได้ในไม่กี่วัน
พอรู้ความหน่อยก็ถูกหลอกว่าลิน่าเป็นพี่สาว
จนกระทั่งอายุ ๑๐ ขวบค่อยรู้ความจริง
ว่าที่นึกว่าเป็นพี่นั้นโดยแท้แล้วคือแม่ต่างหาก!

ทางการแพทย์ได้วิเคราะห์ในภายหลัง
พบว่าลิน่ามีหน้าอกตั้งแต่อายุ ๔ ขวบ
และกระดูกเชิงกรานก็ขยายเต็มที่ตอนอายุ ๕ ขวบ
ส่วนถ้าใครถามว่าเด็กมาได้ยังไง
แม่หนูลิน่าไม่เคยตอบคำถามนี้ครับ
และหากจะโทษพ่อของเธอ
ทางการก็เคยจับกุมตัวมาสอบสวน
แล้วปล่อยไปเพราะไม่มีหลักฐานมัดตัวใดๆ


เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน
และไม่ค่อยมีการนำมาใช้เป็นกรณีศึกษา
พอเราเริ่มเรียนสุขศึกษาหรือชีววิทยา
ก็มักเชื่อตามมาตรฐานว่าผู้หญิงเป็นแม่คนได้
ต้องอายุกว่าสิบขวบขึ้นไป

นานๆทีมีเด็กตั้งท้องตอน ๙ ขวบนี่ฮือฮาใหญ่
แต่หารู้ไม่ว่าประวัติศาสตร์บันทึกไว้
ว่าแค่ยังไม่ถึง ๕ ขวบดีก็ตั้งท้องมาแล้ว
ทุกวันนี้คุณยังอ่านรายละเอียดได้ง่าย
เพียงแค่ใช้กูเกิ้ลหาคำว่า Lina Medina เท่านั้น

ใครจะปักใจเชื่ออย่างไร
จะมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่
มันไม่สำคัญเท่าเกิดเรื่องขึ้นจริงหรือเปล่า
ถ้าเคยเกิดเรื่องขึ้นจริงก็แปลว่าเป็นความจริงเท่านั้น

พุทธศาสนาไม่ได้บอกว่าผู้หญิงต้องอายุเท่าไหร่ถึงจะมีลูกได้
แต่พุทธศาสนาบอกไว้แบบเป็นเหตุเป็นผล
ว่าเพราะมีเหตุอันควรได้เกิดเป็นมนุษย์
จึงมีกระบวนการเกิดเป็นมนุษย์

เหตุผลของการเกิดเป็นมนุษย์โดยย่นย่อที่สุด
จากการตรัสของพระพุทธเจ้าเอง ผมรวบรวมไว้ดังนี้ครับ


ข้อแรก การก้าวล่วงสู่ครรภ์มนุษย์
มีได้เพราะการประชุมแห่งเหตุ ๓ ประการพร้อมกัน
จะขาดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้ไม่ได้ คือ


๑) มารดาและบิดาในโลกมนุษย์นี้ร่วมกัน
๒) มารดามีไข่สุก
๓) มีสัตว์เข้าไปเกิด

(มหาตัณหาสังขยสูตร)

ข้อสอง หากปราศจากวิญญาณหยั่งลงในครรภ์มารดา
นามธรรมและรูปธรรมแห่งความเป็นมนุษย์
ย่อมไม่อาจบังเกิดขึ้นได้
(มหานิทานสูตร)


ข้อสาม ชีวิตมนุษย์นับเริ่มจาก "วิญญาณแรก"
มาปรากฏในครรภ์มารดา จนกระทั่งถึงมรณะ
(ตติยปาราชิกสิกขาบท)


ข้อสี่ ความเป็นมนุษย์ย่อมไม่อาจปรากฏด้วยกรรม
ที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย
(ปุณณกมาณวกปัญหานิทเทส)


ข้อห้า พึงเข้าใจว่ากรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อันเป็นที่ตั้งของสุขทุกข์ในปัจจุบัน
และที่ควรกล่าวว่าเป็นกรรมเก่า
ก็เพราะสิ่งเหล่านี้สร้างสำเร็จได้

ด้วยกรรมที่บุคคลเจตนากระทำ
ด้วย กาย วาจา และใจ ในอดีต
ส่วนกรรมใหม่พึงเข้าใจว่าคือกรรม
ที่บุคคลเจตนากระทำด้วย กาย วาจา และใจ ในบัดนี้
(กัมมสูตร)


แม่หนูลิน่าคงมีรายละเอียดของกรรม
ในแง่ที่ต้องลำบากมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อยมาก
ซึ่งก็ไม่สำคัญว่าใครเชื่อหรือไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องของกรรม
เพราะถ้าความจริงมันใช่ อย่างไรก็ใช่
โดยไม่สนว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

กรรมนั่นแหละประกาศิตสุดท้าย
กรรมนั่นแหละเผด็จการที่สุดในจักรวาล
กรรมนั่นแหละสร้างเรื่องเชื่อได้และเหลือเชื่อให้คุณเห็น!

ดังตฤณ
สิงหาคม ๕๓
22126  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร(๑) เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 04:30:40 pm
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๑)
ปาฐกถา โดย ศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์
แสดงที่ศาลาโรงธรรม โพธิ์ลังกา
วัดพระ เชตุพนฯ พระนคร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ กรกฎคม ๒๕๑๐
โพสท์ ในกระทู้ลานธรรม มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ โดย อ.วิชิต ธรรมรังษี -  [18 มี.ค. 2547]

 
ท่านสาธุชนที่เคารพ...
วันนี้ผมรู้สึกมีเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการที่ได้รับเชิญจากท่านประธานกรรมการมูลนิธิ ให้มาแสดงปาฐกถา แต่ท่านทั้งหลายก็คงทราบแล้วว่า เมื่อกี้นี้ผมถูกต่อว่าจากคุณบุญมีบอกว่าคล้ายๆกับว่าผมเล่นตัวเหลือเกิน กว่าจะมาได้ตั้งปีกว่า โดยที่ได้พยายามผัดผ่อนมา
เรื่องนี้ไม่ใช้ว่าเล่นตัวหรอกครับเพราะรู้สึกว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็มี ไม่ค่อยเท่าไหร่ ยิ่งความรู้ทางอภิธรรมก็ยิ่งวัดไม่ได้เลย นี่พูดตามภาษาวิทยาศาสตร์
 
ความรู้ทางพุทธศาสนาก็มีน้อยเหลือเกิน เพียงแค่บวชพรรษาเดียว แล้วยังสนใจบ้าง ไม่สนใจบ้างเรื่อยๆมา จึงรู้สึกหนักใจเป็นอันมาก

ฉะนั้นที่ผัดผ่อนมาเป็นเวลาปีเศษนี้ ไม่ใช้เพราะเล่นตัวหรอกครับ เป็นเพราะว่ายังไม่อยากประจานตัวเองให้ถูกซักฟอกมากกว่า แต่วันนี้ก็รู้สึกว่าได้เตรียมมาด้วยความรู้อันเล็กน้อยพอจะพูดได้ จึงลองมาเสี่ยงเสียทีหนึ่ง มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าจะถูกกล่าวหาไปกว่านั้นอีก

ความรู้ทางพระพุทธศาสนาที่ผมได้เริ่มสนใจมา ออกน่าประหลาดอยู่สักหน่อย..
คือไปสนใจเอาตอนยังเป็นเด็กอยู่ คือประมาณ ๑๗–๑๘ ที่สนใจนั้นก็เพราะอะไร..
ไปเมืองนอกอายุมันก็ยังน้อย

เรื่องพระพุทธศาสนาก็รู้แต่เพียงประวัติของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร อย่างมากก็แค่เพียงสอบผ่าน ม.๘ ไปเท่านั้นเอง ทีนี้ไปถูกเพื่อนฝรั่งเขาถามว่า นับถือศาสนาอะไร ผมก็ตอบว่า...พระพุทธศาสนาไงล่ะ

เขาถามว่าพระพุทธศาสนานี้พูดถึงเรื่องอะไร เลยจนมุม
ไม่รู้ว่าพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง ไม่รู้แม้แต่ว่าเป็นทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์
จึงเกิดสนใจขึ้นมาก็ไปหาหนังสือตำราอ่าน เป็นตำราภาษาอังกฤษทั้งนั้นเลยทิ้งมันอยู่แค่นั้นเอง

จนกระทั้งเมื่ออายุ ๔๐ กว่าได้ไปบวช ตอนนั้นแหละได้เนื้อได้หนังเล็กน้อยว่า
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเกี่ยวกับอะไร ? ศึกษาธรรมะดีอย่างไร?

จึงค่อยมีความรู้ขึ้นบ้างแต่ก็ไม่มากนัก จนกระทั้งไปถึงคราวหนึ่งเมื่อสึกออกมาแล้วได้อ่านตำราเพิ่มเติมขึ้น และได้มาฟังอาจารย์บุญมี เมธางกูรท่านประธานนี้แหละครับ ก็เลยรู้สึกว่าคล้ายๆกันมากทีเดียวในระหว่างวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาจึงได้ หวนคิดถึงคำของศาสตราจารย์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของผมเองคนหนึ่ง ซึ่งท่านสนใจในพุทธศาสนามาก..

ท่านเคยคุยกับผมว่าเป็นพุทธศาสนิกชนก็ดีแล้ว เพราะว่าวิทยาศาสตร์นี่มีหลักการเดียวกันกับพุทธศาสนาเลยทีเดียว

ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อไปอีก เพราะตัวเอง ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร.
ทีนี้ก็มาถึงตอนเผลอตัวไปรับปากกับ..อาจารย์บุญมีเข้า เมื่อปีกว่ามานี้เอง..ว่าจะมาบรรยายให้ท่านสาธุชนทั้งหลายฟังบ้างในโอกาศอันสมควร

จึงนึกได้ว่า..เห็นจะไม่ได้เรื่องแล้ว ความรู้ทางพระพุทธศาสนาก็กระท่อนกระแท่นเต็มที.. ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็ใช้ว่าดีเด่นเหลือเกินจนถึงกับมาบรรยายอะไรๆได้.. ก็เลยต้องรีบอ่านๆรวบรวมมาดู อาศัยภูมิเก่าบ้าง อาศัยผู้รู้บ้าง ก็พยายามทำดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ด้วยความสามารถที่มีอยู่อันจำกัดนี้ ก็เท่ากับมาคุยให้ท่านทั้งหลายฟังตามทัศนะของผมเท่านั้น.

เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ เราจะพูดถึงวิทยาศาสตร์ให้หลักการของ พระพุทธศาสนาอะไรบ้างที่เป็นหลักการใหญ่ๆ

ซึ่งเป็นแก่นของวิทยาศาสตร์เลยทีเดียวผมจะพยายามคุยให้ท่านฟังเท่าที่ความ สามารถอันจำกัดนี้จะทำได้ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้าง

แต่ผมเชื่อว่าคงจะเป็นที่พอใจแก่ท่านประธานกรรมการเป็นอันมาก
เพราะท่านพยายามที่จะสนับสนุนผมให้เป็นองค์ปาฐกอยู่นานแล้ว
รู้สึกว่าท่านเชื่อมั่นในตัวผมอย่างมากมายเหลือเกิน จนผมรู้สึกกระดาก.. บางทีท่านก็บอกว่า เป็นตั้งอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์แบบนี้ต้องรู้วิทยาศาสตร์แน่


แต่โดยมากพวกนักวิทยาศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์นี่ก็เหมือน.กับพุทธศาสนาแหละครับ คนที่เรียกตัวเองว่าพระอรหันต์ก็แบบเดียวกันกับวิทยาศาสตร์พูดว่าตัวเองเป็น นักวิทยาศาสตร์เหมือนกันครับ คือคนที่มีความเป็นพระอรหันต์แล้ว หรือปริญญาทางวิทยาศาสตร์แล้ว

เขาก็ไม่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์หรอก คนอื่นนั้นแหละเรียก อาจารย์บุญมีท่านเรียกว่าอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอด

ไม่อย่างนั้นเป็นอธิบดีไม่ได้หรอก อาจารย์บุญมีอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ และอาจผิดหลักพุทธศาสนาด้วย แล้วก็ผิดหลัดวิทยาศาสตร์ด้วย ที่เรียกผมโดยไม่มีข้อพิสูจน์.. เรียกตามที่เขาเรียกๆกันมา เล่ากันมา ผิดหลักความเชื่ออย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
 
เอาละ ผมขอเข้าเรื่องเสียที ผมมีความรู้สึกว่าสำหรับหลักของวิทยาศาสตร์นั้น เราจะเห็นว่าตรงกับหลักการใหญ่ของพุทธศาสนาเลยทีเดียว

 
วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยแท้จริงให้รู้ว่า ธรรมชาติของสิ่งของนี่เป็นอะไรจนถึงแก่นสุดท้าย อันนี้แหละผมว่าตรงกับหลักของพระพุทธศาสนา
 
แต่พุทธศาสนาไม่ใช้จะศึกษาเรื่องของแก่นแต่ละอย่างว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น
ยังศึกษาไปถึงเรื่องจิตของมนุษย์อีกด้วย ทางวิทยาศาสตร์ศึกษามีวงจำกัดแต่เพียงว่า.. ของต่างๆ วัตถุต่างๆ ในธรรมชาติให้รู้จริงว่า อะไรเป็นอะไรเท่านั้น

แต่พุทธศาสนาไปไกลกว่านั้นมากทั้งวัตถุ คือ..รูปธรรมถึงนามธรรม ...และต่อไปจนถึงท้ายที่สุด

ดังนั้นหลักการซึ่งตรงกันมาก แต่วิทยาศาสตร์ไม่ลึกซึ้งไม่กว้างขวางเท่าทางวิทยาศาสตร์
ถือว่าก่อนที่จะเชื่ออะไร ก่อนที่จะถือเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ได้นั้น นักวิทยาศาสตร์หรือผู้ที่จะศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำเป็นจะต้องศึกษาใคร่ครวญ ด้วยตนเอง ใคร่ครวญศึกษาด้วยตนเองเท่านั้นไม่พอ ต้องทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง
 
ถ้าผลปรากฏนั้นเป็นไปอย่างที่เขาพูดหรือตามหลักการที่เขาเชื่อกันจึงจะ นับถือได้ จึงจะยอมยกย่องว่าเป็นของแท้ ของจริง นั่นตามหลักการวิทยาศาสตร์

เพราะ ฉะนั้น เราจะเห็นว่านักวิทยาศาสตร์นี่ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผล และจะเชื่ออะไร ไม่ใช่ว่าเพราะมีเหตุมีผลเท่านั้น ยังต้องทดลองปฏิบัติตามได้ด้วย และผลของการปฏิบัติตามนั้น จะต้องเป็นผลอย่างเดียวกันเสมอไปไม่ว่าที่ไหน

คืออย่างผมปฏิบัติได้ คนอื่นก็ต้องปฏิบัติได้ด้วยและผลที่ได้ ถ้าปฏิบัติอย่างเดียวกันจะต้องได้ผลเหมือนกันเสมอไปไม่มีพลาดหลักการอันนี้ เป็นหลักการของวิทยาศาสตร์ เป็นหลักการใหญ่ทีเดียว
 
จะตามเขาไปเฉยๆไม่ได้จะเชื่อเขาเพราะอาจารย์พูดไม่ได้ จะต้องลองปฏิบัติใคร่ครวญเหตุผลด้วยตนเอง ด้วยปัญญาของตนเอง ต้องทดลองปฏิบัติด้วยตนเองผลที่ได้...จะต้องเกิดขึ้นกับตนเอง แล้วจึงจะสมควรเชื่อตามเหตุผลของการปฏิบัติ และเหตุผลของทฤษฎีอันนั้น
 
หลักการของพระพุทธเจ้า ผมเชื่อว่าเท่าที่ผมมีความรู้น้อยๆนี้ตรงกันใช่ไหมครับ ตรงกันจริงทีเดียว ว่าก่อนที่จะทำอะไรนั้นก็อย่าเพิ่งเชื่อ รับฟัง รับทราบ แล้วก็ใคร่ครวญดู แล้วก็ทดลองปฏิบัติดู แล้วผลที่ได้มาจะประจักษ์กับตนเองว่า อันนี้จริงหรือเปล่าถ้าจริงแล้วจะนับถือหรือไม่นับถือนั้นอีกเรื่องหนึ่ง
 

ฉะนั้นผมจึงได้ว่าหลักการใหญ่ของพุทธศาสนานั้นตรงกับหลักการของวิทยาศาสตร์ ที่ใช้กันอยู่อีกอย่างหนึ่งที่จะเห็นกันได้ง่ายๆทีเดียว ก็คือตัวพระพุทธเจ้าเองนั้นตามพุทธประวัติท่านที่อ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นสมัยนี้ซึ่งสมัยที่วิทยาศาสตร์กำลังขึ้นหน้าอยู่ พระองค์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ผู้ประเสริฐที่สุด
 
เพราะว่าพระองค์ได้ปฏิบัติตามหลักการของวิทยาศาสตร์เรื่อยตลอดมา.. เริ่มต้นด้วยกำหนดเป้าหมาย แล้วก็ทดลองปฏิบัติดู โดยใช้วิธีของอาจารย์ต่างๆ ของศาสตราจารย์ต่างๆ ที่มีอยู่ขณะพุทธกาลนั้น เอามาลองปฏิบัติด้วยพระองค์เอง..

เราจะเห็นว่าทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างบำเพ็ญทุกรกิริยา ลองตามวิธีของอาจารย์หรือตามความรู้ที่มีอยู่ทุกอย่าง เมื่อผลที่ได้ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์พระองค์ก็ต้องหา วิธีอื่น และด้วยวิธีการนั้นเองที่ทำให้พระองค์ตรัสรู้
 
ดังนี้ จะเห็นได้ว่า พระองค์ท่านได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์...สมัยนี้จะต้องทำ ทุกๆ ปัญหาไป ขั้นต้นก็ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ ขั้นที่สองก็ดูว่า คนอื่น เขาทำอะไรแล้วบ้าง ขั้นที่สามอะไรที่เห็นว่าอาจจะเป็นไปได้ก็ลองปฏิบัติดู ถ้าวิธีดำเนินการต่างๆ ที่พร่ำสอนกันมาไม่ได้ผล เราก็ต้องหาวิธีใหม่ นี้เป็นหลักการของวิทยาศาสตร์

ดังนั้นพระพุทธองค์นั้น กระผมนึกว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกได้

ทีนี้ปัญหาเมื่อกี้นี้เอง ที่ผมถามท่านประธานกรรมการมูลนิธิว่า.. นักวิทยาศาสตร์ที่มีเชื่อเสียงมีประวัตินานอย่างมากก็ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีเศษๆเท่านั้น และก็ไม่มีมากนัก พอจะนับตัวได้ และก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ค่อยเด่นอะไรนัก
 
แต่พระพุทธเจ้าของเรานี้ตั้ง ๒๕๐๐ ปีกว่ามาแล้ว ท่านไปเอาหลักการของวิทยาศาสตร์มาจากไหน เมื่อกี้นี้อาจารย์บุญมีก็ตอบผมว่า ก็ท่านเป็นสัพพัญญูนี่ ท่านรู้แจ้งเห็นจริงนี่ ท่านตรัสรู้โดยพระองค์เองนี่ ถ้าเอาเวลาเข้ามาเปรียบเทียบกันเข้าแล้ว

ก็พอจะเห็นได้ว่า วิทยาศาสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์นี้ล้าหลังกว่าพระพุทธศาสนาและพระพุทธเจ้า ตั้ง ๑,๐๐๐ กว่าปี เพราะว่า หลักการของพระพุทธศาสนาเอง .

หลักการที่พระพุทธองค์ได้ปฏิบัติมานี้ เป็นหลักการที่นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องใช้อยู่ทุกวัน.. ทุกเวลา.. ทุกวินาที และยังจะต้องใช้ตลอดไป …

นอกจากหลักการตรงกันแล้ว ยังมีธรรมะข้ออื่นอีกหลายข้อที่เป็นธรรมะข้อใหญ่ๆ ตรงกับที่นักวิทยาศาสตร์ใช้อยู่ทุกวันนี้ เช่นในเรื่องลักษณะของพระธรรมทั่วๆไป ลักษณะ ๓ ประการ คือ
 
ประการที่หนึ่ง ท่านได้แสดงธรรมเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ไม่อำพราง
ประการ ที่สอง ประกอบด้วยเหตุผลซึ่งผู้ฟังสามารถพิจารณาเองได้
ประการ ที่สาม มีปาฏิหาริย์ คือเกิดผลอัศจรรย์ที่ผู้ปฏิบัติตามจะได้รับ
 
อันนี้เป็นหลักการของทฤษฎี กฎเกณฑ์การศึกษาการวิเคราะห์วิจัย ทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน คือวิทยาศาสตร์จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทฤษฎีนั้นๆ จะต้องเป็นการสามารถเพิ่มพูนความรู้ คนที่ศึกษาทางวิทยาศาสตร์จะรู้แจ้งเห็นจริง ว่าเป็นอย่างนั้นเสมอไป แล้วก็ประกอบด้วยเหตุผล

เหตุผลนั้นก็เป็นไปตามหลลักการของวิทยาศาสตร์ซึ่งผู้รับไปพิจารณาเองได้ และ อย่างที่สามก็คือเกิดผลแก่ผู้ที่ปฏิบัติตาม
 
ผู้ที่ปฏิบัติตามอย่างนั้นแล้วจะเกิดผลเช่นเดียวกันอย่างแน่นอนลักษณะทั่วๆ ไปของพระธรรมกับของวิทยาศาสตร์จึงตรงกันอย่างไม่มีคลาดเคลื่อนเลย
 
พูดถึงพระธรรมโดยทั่วไปแล้ว พระธรรมก็เหมือนกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้นยังมีลักษณะทั่วไปที่ตรงกัน อีกอันหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นทฤษฎีเป็นกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว..ย่อมทนต่อการพิสูจน์ได้เสมอ ย่อมไม่พ้นการสมัยหรือไม่ประกอบด้วยการ นี่ก็ตรงกับลักษณะทั่วไปของพระธรรมเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งที่ผมใคร่จะกล่าวถึง ก็คือกฎแห่งกรรม
 
กฎแห่งกรรมซึ่งเป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง
ทางวิทยาศาสตร์ก็มีเหมือนกัน แต่ช้ากว่าของพุทธศาสนาราว ๒,๐๐๐ ปี.. คือกฎของเซอร์ ไอเซค นิวตัน (ผมรู้เอาเองว่า ตรงกับกฎแห่งกรรม)

นิวตันเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่ง กฎนี้กล่าวโดยบทสรุปง่ายๆ ได้ดังนี้ ทฤษฎีหรือกฎอันนี้เราใช้กันทั่วไปทางวิทยาศาสตร์ คือ เวลาเรากระทำอะไร ไปอย่างหนึ่งหรือเราใช้พลังงานไปอย่างหนึ่งกับวัตถุสิ่งใด จะมีผลสะท้อนกลับมาในทิศทางที่ตรงกันข้าม ด้วยพลังงานเท่ากับที่เราใช้กระทำไปกับสิ่งนั้น

สมมติ ว่า เรากระแทกปังหรือทุบปังลงไปที่โต๊ะ ที่เราเอามือทุบโต๊ะปังนี้ ..ตามกฎของนิวตันจะอธิบายได้ว่าขณะเดียวกันกับที่เราใช้กำลัง สมมติว่า ๑๐ ปอนด์ต่อ ๑ ตารางนิ้ว ทุบปังลงไปที่โต๊ะนี่จะมีพลังงานสะท้อนขึ้นมา ๑๐ ปอนด์ต่อตารางนิ้วเท่าที่เราทุบงไป แต่ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่เรากระทำ จึงทำให้มือเราเจ็บและจะอธิบายหลักกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาก็คงจะอธิบายได้ กระมังว่า กรรมที่เราทุบโต๊ะ ทำให้มือเรารับกรรมสนองพลอยเจ็บไปด้วยอย่างนี้เป็นต้น

ผมเข้าใจว่าตรงกัน เพียงแต่ทางวิทยาศาสตร์เห็นได้ง่ายกว่ามาก
เรื่องผลที่ได้รับก็เช่นกัน อาจช้าไป อาจไม่เท่ากัน อย่างเราเอาหัววิ่งเข้าชนกำแพงตามกฎของนิวตันจะเท่ากับกำแพงวิ่งเข้าชนหัว เราแรงเช่นกัน

แต่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม ทำให้หัวเราเจ็บบางทีขณะนั้นหัวเราเจ็บไม่เท่าไรหรอกครับ เพียงแต่โน แต่ช้ำ แต่ความกระทบกระเทือนที่เกิดขึ้นภายหลังนั้น อาจมีผลสะท้อนตามมาอีกได้ เช่น โรคประสาทเป็นต้น
 

อย่างในกฎแห่งกรรมตามหลักพุทธศาสนา บางคนถึงได้บ่นว่าทำดีไม่ได้ดี
 
คำว่าได้ดีคงหมายความว่า ต้องได้ดีทันทีที่ทำ ต้องตอบสะท้อนเหมือนกับกฎของนิวตันจึงจะสมอยาก การจะไปได้ดีบ้างบางส่วนตามกาลเวลานั้นชักไม่ชอบใจ..
22127  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การสอนพระพุทธศาสนาแก่เยาวชน เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 04:16:00 pm

การสอนพระพุทธศาสนาแก่เยาวชน
เสถียร โพธินันทะ
พิมพ์ในวารสารธรรมจักษุ ฉบับที่ ๒ ปีที่  ๘๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๐

ในการที่จะไปสอนพระพุทธศาสนาในโรงเรียน ก่อนอื่นใคร่จะขอเรียนว่า ตามที่ผมมีประสบการณ์จากการที่ได้ไปอบรมศีลธรรมตามโรงเรียน ในนามของยุวพุทธิกสมาคมในสมัยก่อน ปัญหาที่พบเกิดขึ้นกับตัวเองเสมอ นักเรียนตามโรงเรียนทุกแห่ง มักจะถามปัญหาเรื่องผีมีจริงหรือไม่ ? ทุกแห่งเลยครับ ไม่มีแห่งไหนที่จะไม่มีปัญหาที่ว่าผีมีจริงหรือไม่

 บัดนี้ถ้าเราสังเกตจากประสบการณ์บางอย่างแล้ว จะเห็นได้ว่า เป็นเพราะความคลางแคลงของคนในยุคปัจจุบันนี้ ที่ยังไม่แน่ใจลงไปว่า ตายแล้วเกิดหรือไม่ ปัญหานี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นข้อสงสัยเฉพาะเด็กนักเรียนอย่างเดียว แม้บิดามารดาหรือผู้ใหญ่ที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ ที่ยังไม่ได้รับการศึกษาอบรมทางศาสนาอย่างดีแล้ว ทุกคนมีความสงสัยเช่นนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นในการที่จะโน้มน้าวจิตใจของเยาวชน ให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงามของพระพุทธศาสนา เราจะต้องปูพื้นฐานให้เยาวชนเหล่านี้ได้รับความเชื่อมั่นในเรื่องวัฏสงสารไว้

ในเบื้องแรก การที่ไปปาฐกถาอบรมผู้ใหญ่ก็ดี หรือเยาวชนก็ดี เมื่อเราสามารถแถลงข้อขัดข้องใจในเรื่องตายแล้วเกิดให้ขาวสะอาดแล้วปรากฏว่า การแสดงธรรมข้ออื่น ๆ ในลำดับต่อไป
 
พวกเขายินดีที่จะรับด้วยความศรัทธาปสาทะเต็มที่ แต่ถ้าเมื่อใดเรายังไม่สามารถหักล้างความสงสัย ในปัญหาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ปัญหาการประพฤติธรรมหรือการรับข้อธรรมข้ออื่น ๆ ก็ยังเป็นปัญหาในลักษณะที่ว่า “โลเล” ยังไม่รู้ว่าจะประพฤติธรรมไปทำไม

ถ้าจะอ้างว่าประพฤติธรรมไปเพราะเห็นแก่ธรรม เพื่อความเป็นคนดีเป็นคนที่ได้รับการสรรเสริญ ถ้าอย่างนั้นแล้ว คนที่ทำความชั่ว ที่ได้รับการสรรเสริญก็มีมาก อย่างสภาวิจัยแห่งชาติเขาวิจัยกัน บอกว่าปัญหาคอรัปชั่นในเมืองไทย มีมากจนแก้ไม่ตกก็เพราะว่าประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ให้ความเทิดทูน ยกย่องคนที่ทำคอรัปชั่น

ในเมื่อคน ๆ นั้นมีเกียรติ มีอำนาจ มียศฐานันดรศักดิแล้ว เราแทนที่จะหันหลังให้เขา เรากลับหันไปพินอบพิเทายกย่องสรรเสริญเขา เป็นเหตุให้คนเหล่านั้นได้ใจในการประพฤติกรรมชั่วยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก นี้เป็นปัญหาที่ทางสภาวิจัยแห่งชาติเขาวิเคราะห์กันมานานแล้วว่า

เหตุไร เมืองไทยจึงปราบปัญหาคอรัปชั่นกันไม่แตก และปราบไม่สำเร็จสักทีหนึ่ง ก็เพราะว่า ราษฎรส่วนใหญ่ยังยินดียกย่องสรรเสริญคนที่ทำกรรมอย่างนั้นอยู่ และถือว่าการทำกรรมอย่างนั้นได้โดยปกปิดหรือโดยซ่อนเร้น หรือทำกรรมชั่วชนิดที่เรียกว่า “ไม่มีใครจับเอาหลัก ฐานได้”

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาประกอบกรรมชั่ว กลับยินดี เป็นวีรกรรมที่น่าภาคภูมิใจ และทำให้คนอื่นที่ยังไม่ประพฤติกรรมชั่วเลย อยากจะทำตาม เพราะมีตัวอย่างว่า คนทำชั่ว เมื่อทำแล้วก็ร่ำรวย มีคนนับถือคบค้าสมาคม ไฉนเราจะทำอย่างนั้นบ้างไม่ได้

ปัญหานี้เป็นปัญหาความเสื่อมจิตใจตั้งแต่หลังสงครามโลกเป็นต้นมา ในเมื่อเยาวชนเรามีจิตใจที่ตั้งข้อสงสัยในเรื่องนี้แล้ว เราจึงควรที่จะป้อนความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งให้แก่เยาวชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการฝังหัวให้เยาวชนเหล่านั้นเชื่อมั่นว่า
 
ถ้าตราบใดเรายังมีการประกอบกรรมอยู่ ตราบนั้น เวียนว่ายตายเกิด ชาติ ภพยังต้องมีอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเราผู้สอนเองยังมีความไม่มั่นคงในปัญหานี้แล้ว ยกตัวอย่างถ้าเราบอกว่า “ปัญหานี้เราไม่ขอตอบ” หรือว่า “ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้าที่สมควรจะตอบ” อย่างนี้แล้วจะปล่อยให้เด็กไปฝังความสงสัยไว้มากเข้าจนกระทั่งเลยละล้าละลัง ไม่กล้าจะรับเอาข้อธรรมอะไรไปประพฤติดี

เราต้องเข้าถึงว่า สัญชาตญาณของคนนะครับ คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง การรำพันว่า การทำดีที่จะเร่งให้ผลดี ประสบผลในปัจจุบันเราจะชี้ตัวอย่างคนดีด้วยความซื่อสัตย์สุจริตในหน้าที่การ งาน แล้วก็มั่งมีศรีสุข มียศฐาบรรดาศักดิ์ด้วยความซื่อสัตย์นั้น

ปัจจุบันนี้ชี้ได้ยาก เพราะว่าผลของกรรมดีด้วยการได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ มิใช่ผลโดยตรงของกรรมดี แต่ว่าเป็นผลที่เกิดจากความฉลาดจากกาละเทศะและจากสิ่งแวดล้อมอีกหลายอย่าง ไม่ใช่ผลของกรรมที่เผล็ดผลได้ทันใจ เด็กที่ต้องการจะเห็นผลเหล่านี้ เราจึงยากที่จะชี้บุคคลเป็นตัวอย่าง เราจึงมีหนทางเดียว ที่จะสร้างความหวังให้ไว้กับเขา ถ้าแม้นความดีที่เราเล็งผลเลิศในทำนองต่าง ๆ

ดังพรรณนามา ซึ่งความจริงไม่ใช่ผลของความดีโดยตรง แต่เป็นผลโดยอ้อม เราต้องชี้แจงให้เขาเข้าใจชั้นหนึ่งก่อนว่า เป็นผลโดยอ้อมมิใช่ผลโดยตรง ส่วนผลโดยตรง ตัวอย่างเช่น นักเรียนที่ขยันเรียนถึงแม้การขยันของนักเรียน จะไม่เป็นเหตุให้นักเรียนคนนั้นปรากฏเป็นผลออกมา เป็นผู้ที่ว่าเพื่อนฝูงรักใคร่ หรือทำให้สามารถเป็นนักกีฬามีชื่อเสียงของโรงเรียน นำเกียรติยศมาสู่โรงเรียนก็จริง

แต่ว่า ความฉลาดนั้น เป็นผลที่สวนขึ้นทันควันกับความขยันหมั่นเพียรของนักเรียนคนนั้น คือนักเรียนที่ขยันหมั่นเพียรไม่จำเป็นจะต้องกลายเป็น “ฮีโร่” ในชั้นก็ได้ อาจกลายเป็นคนที่เพื่อนฝูงตั้งข้อรังเกียจ เพราะนักเรียนที่เป็นฮีโร่ บางทีก็อาจแฝงไว้ซึ่งความเป็นนักเลงกลาย ๆ หรือ มิเช่นนั้น ก็เป็นคนที่เรียกว่า มีน้ำใจเผื่อแผ่ โอบอ้อม มีทรัพย์สินเท่าไรเลี้ยงเพื่อนไม่อั้น

คนประเภทนี้ บางทีจะกลายเป็นฮีโร่ประจำชั้น อย่างนี้เราก็จะชี้แจงให้เด็กเข้าใจได้ว่า อาการที่เป็นฮีโร่ เปรียบเหมือนยศฐาบรรดาศักดิ์ของคนที่ทำความดีแล้วก็อยากจะให้มีความดี อันนั้นไม่ใช่ผลอันเกิดแต่กรรมดีอย่างเดียว ยังต้องมีอุปกรณ์สิ่งอื่นมาช่วยส่งเสริม เช่นความเป็นผู้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี รักเพื่อนฝูง

 แต่อาการที่เราขยันหมั่นเพียรนี้ เปรียบเหมือนเราทำความดี เมื่อขยันหมั่นเพียรมาก ความฉลาดก็มีมากตามส่วน ความฉลาดมีขึ้นทุกขณะที่ความขยันหมั่นเพียรของเรา ได้ลงทุนไปทุก ๆ ขณะเหมือนกับเป็นผลตอบแทนขึ้นทันควันเหมือนกัน ไม่ต้องเล็งรอเอาอย่างอื่นมาให้เป็นผล อธิบายให้เด็กเข้าใจง่าย ๆ อย่างนี้

ในส่วนการที่จะคิดว่า จะให้มีอย่างโน้นอย่างนี้ในทางวัตถุ เราก็สร้างความหวังให้แก่เด็ก อย่างเช่นว่า ทำกรรมชั่ว แม้เราทำอย่างแนบเนียนชนิดที่กฎหมายตามเขาไม่ทัน แต่กรรมชั่วนั้นก็จะต้องให้ผลในภพต่อ ๆ ไป การอ้างภพต่อ ๆ ไปนี่ ท่านอย่าได้กลัวว่าเด็กสมัยใหม่จะคัดค้าน ไม่จริงหรอกครับ

 เราวิเคราะห์จากความรู้สึกของพวกชาวตะวันตกที่นับถือศาสนาแบบมีพระเจ้า เราก็เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ในเวลาเขาเข้าห้องแลบ เขาไม่เชื่อพระเจ้าตามหลักทฤษฎี แต่ในเวลาวันอาทิตย์เขาไปโบสถ์ เข้าทำหน้าที่รักษาศีลล้างบาป อ้อนวอนพระเจ้า เพราะฉะนั้นจิตวิทยาอย่างนี้น่ะ เราเอามาใช้ได้ในการเผยแผ่ศาสนาของเรา อย่าไปเกรงว่า ยุคนี้เด็กทันสมัยแล้ว

    เราไปพูดเรื่องเทวดา นรก สวรรค์ที่ไหนเด็กจะเชื่อ เขาจะคัดค้านเราละซิ ไม่ต้องกลัว พูดไปเถอะครับ มนุษย์เรามีใจโน้มเอียงในทางที่จะเชื่อสิ่งลึกลับอยู่แล้ว มิหนำซ้ำ พระพุทธศาสนาเราก็มีเหตุผลที่จะวิจัยให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ มิใช่ของลี้ลับ
 
     แต่เป็นของมีจริงตามธรรมชาติ อย่างนี้ยิ่งจะย้ำศรัทธาปสาทะของเยาวชนให้มั่นคงขึ้น ในเรื่องหลักของการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเขามีความมั่นคงเชื่อเรื่องตายแล้วต้องเกิด ก็เกิดความกลัว กลัวที่จะทำความชั่ว ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง แล้วก็มีกำลังใจที่จะทำกรรมดี เพราะแม้จะเร่งผลกรรมดีไม่ทัน ใจก็ยังหวังได้ว่าในอนาคตกาล เขาจะต้องได้รับผลดีอันนั้น เป็นสิ่งตอบแทนในภพเบื้องหน้า


มนุษย์เราอยู่ด้วยความหวัง ตราบใดที่ยังมีความหวังอยู่ ชีวิตก็ยังมีความหวังอยู่ ถ้าหากว่าไม่มีความหวังเสียเลย ก็มีคน ๒ ประเภท เท่านั้นเอง คือคนสิ้นหวัง กับคนไม่มีหวัง คนไม่มีหวัง คือ พระอรหันต์ครับ พระอรหันต์นั้นไม่มีหวังแล้ว เพราะไม่หวังอะไรอีกแล้ว

 แต่คนที่สิ้นหวังหรือพลาดหวังน่ะคือปุถุชน คนที่สิ้นหวังไม่ใช่คนที่ไม่มีหวัง สิ้นหวังอย่างหนึ่ง แต่ไม่มีหวังอีกอย่างหนึ่ง คนไม่มีหวังคือพระอรหันต์ แต่คนที่สิ้นหวังคือปุถุชน เพราะฉะนั้น คนเรานี่มีชีวิตอยู่ด้วยความหวังเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ ถ้าหากว่า เราบ่งเน้นรากฐานทางศีลธรรมโดยปูพื้นฐานของเด็กให้ฝังหัวในเรื่องเวียนว่าย ตายเกิด เช่นนี้จะได้ผลในทางยกฐานะระดับจิตใจของเด็กให้สูงมาก

อันธพาลบางคนหรือเด็กที่มีสันดานที่จะเป็นอันธพาลบางคน เราจะพร่ำชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ เขาไม่ฟัง แต่จะต้องใช้วิธีขู่ให้กลัว คือ คนเรามีความรักตัว กลัวว่า ถ้าเราทำอย่างนั้นไปแล้วตำรวจเขาจะจับไม่ได้ บิดามารดาจับไม่ได้ แต่อย่างน้อยยมบาลท่านจับเราได้ เราจะต้องลำบาก ยมบาลจะต้องลงโทษ อย่างนี้ได้ผล เด็กกลัว เหมือนกับเด็กที่กลัวพระเจ้าตามโรงเรียนฝรั่งเขาอย่างนั้นแหละ เด็กที่เหลือขอ จริง ๆ แล้ว

เขาเอาพระเจ้ามาขู่ให้กลัว ไม่กลัวพ่อแม่ ไม่กลัวกฎหมาย แต่กลัวพระเจ้า ที่กลัวพระเจ้า ก็เพราะ คนเรามีสัญชาตญาณรักตัว นึกว่าตัวเราชาตินี้รอดหูรอดตากฎหมาย แต่ชาติหน้าจะไม่รอดสายตาพระเจ้าไปได้ พระเจ้านั้นท่านอยู่ทุกหัวระแทง ที่จะเล่นงานเอาได้ ทุกที่ทุกมุมเมือง ความกลัวนี่แหละ ที่ทำให้จิตใจไม่กล้าประพฤติความชั่วจนเหลือเกิน คือยังช่วยให้เป็นคนที่สำนึกตนได้อยู่บ้าง ไม่ถึงกับจะต้องเหลือขอ จนกระทั่งนึกไม่ได้เสียเลย

 
อันนี้เป็นประสบการณ์ ที่ผมได้รับจากโรงเรียนที่ผมไปอบรมศีลธรรมมา ทุกเเห่งถ้าหากว่าผมไปแถลงแก้ข้อขัดใจเรื่องชาตินี้ชาติหน้าเสียแล้ว นักเรียนพอใจทั้งนั้น และเราวิจัยผล คือถามประเมินผลจากการที่เราไปอบรมในครั้งนี้ ครั้งต่อไปถามนักเรียนอีกว่า นักเรียนทั้งหลายบัดนี้มีความสงสัยเรื่องชาติหน้า เรื่องเวียนว่ายตายเกิดแล้วหรือยัง นักเรียนตอบว่า ไม่สงสัย เมื่อไม่สงสัยแล้ว

นักเรียนยังเห็นว่า การประพฤติความชั่ว เป็นของควรทำหรือไม่ นักเรียนตอบทุกคนว่า การประพฤติความชั่วเป็นสิ่งไม่ควรทำ เพราะกลัวตกนรก ตอบกันตรง ๆ ว่า กลัวตกนรก นี่ได้ผลครับ ทำมาทุกโรงเรียนแล้ว กลัวตกนรกทั้งนั้นแหละ เพราะเชื่อว่า นรกสวรรค์นั้นมีแล้ว จึงกลัวตกนรกกันทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น กระผมก็อยากนิมนต์ท่านทั้งหลายที่ทำหน้าที่เป็นพระธรรมวิทยากร (๑ )อยู่ นำเรื่องการปูพื้นศีลธรรม เบื้องแรกให้เพาะศรัทธาในเรื่องบุญบาป เวียนว่ายตายเกิดเสียก่อน แต่ว่าการเพาะศรัทธาในเรื่องนี้นั้น เราต้องยืดหยุ่นครับ คือว่าตอบเป็นสองแง่สองมุม อย่าไปตอบอย่างชนิดว่ายืนกระต่ายขาเดียว คือตอบว่า ผลกรรมชนิดที่ให้ผลทันด่วน ยกความขยันหมั่นเพียรแล้ว ก็ได้รับความฉลาดทุกครั้งที่เราขยัน นี่เป็นผลกรรมดีโดยตรงอย่างหนึ่ง

     อีกอย่างหนึ่งอาจตามมาเป็นผลพลอยได้ มิใช่ผลเกิดโดยตรงของกรรมดี เช่นว่า ความเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนฝูง และครูอาจารย์ตลอดจนถึงเพื่อนฝูงยกย่องให้เป็นหัวหน้าชั้น ให้เป็นฮีโร่ประจำโรงเรียนต่าง ๆ เหล่านี้ มิใช่เป็นผลโดยตรง แต่เป็นผลพลอยได้ การที่จะได้ผลพลอยได้นั้น ต้องประกอบสิ่งที่เป็นอุปกรณ์อย่างอื่นไปด้วย นักเรียนที่ขยันหมั่นเพียร


     แต่มีน้ำใจคับแคบ มักสอบไล่ได้ที่ ๑ ทุกปี แต่เพื่อนเกลียดน้ำหน้า เพราะใจแคบเหลือเกิน ไม่เผื่อแผ่เพื่อนฝูงบ้าง เพื่อนฝูงจะมาขอว่าโจทย์เลขข้อนี้ให้ช่วยอธิบาย ก็ไม่ยอมอธิบาย หวงความรู้ไว้อย่างนี้เรียกว่าบกพร่องในทางที่จะเอาผลพลอยได้จากกรรมดี นี่เราจะต้องทำให้สมบูรณ์ทุกแบบ ไม่ว่าจะในแง่เล็งผลพลอยได้ หรือในแง่ที่ว่าจะให้ผลมันสวนขึ้นทันควัน อันเป็นวิบากของกรรมนั้น ๆ ก็ตาม อันนี้เป็นการปูพื้นฐานศีลธรรมเบื้องแรกแก่เด็กให้ฝังหัวในเรื่องนี้ก่อน

     อันดับ ที่สอง ก็คือ ยกพุทธคุณเป็นสำคัญขึ้นมา เมื่อกล่าวถึงพุทธประวัติ เด็กส่วนมากในปัจจุบันนี้ก็ขึ้นใจ เพราะได้ผ่านหลักสูตรพุทธประวัติมาตั้งแต่ชั้นประถมแล้วพอที่จะรู้เรื่อง บ้างว่า พระพุทธองค์เป็นใครมาจากไหน แต่ถ้าเราไปสอนตามเนื้อหาในหนังสือ มันก็ไม่สนุก เด็กผ่านมาแล้ว ก็ท่องเป็นนกแก้วทีเดียว เป็นโอรสของพระนางสิริมหามายา เกิด พ.ศ. นั้น ปีนั้น ๆ ก่อนพุทธกาลแค่นั้น ๆ ถ้าอย่างนั้น พูดได้ทีเดียว

    อย่างนี้เด็กไม่รู้จักความเพลิดเพลิน ทางที่จะสร้างความเพลิดเพลินในการศึกษาพุทธประวัตินั้น ผมใคร่จะกราบเรียนว่า ให้สอนแบบศึกษาพุทธประวัติแบบเบสิค

    บางทีเราก็อาจจะมีรูปติดไม้ติดมือไปบ้าง ยกตัวอย่างเช่น รูปแผนที่ของอินเดีย หรือไม่มีเราก็อาจเขียนรูปแผนที่อินเดียหยาบ ๆ บนกระดานดำ แสดงจุดที่ตั้งของเมืองกบิลพัสดุ์ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน อันที่สำคัญในทางพุทธศาสนา แสดงไว้หยาบ ๆ ชั้นหนึ่งก่อน แล้วก็เล่าเรื่องสนุก ๆ ให้ฟังประกอบ
22128  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วิทยาศาสตร์สมาธิ เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 03:13:05 pm
วิทยาศาสตร์สมาธิ
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวด สติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 13987 โดย : พายุธรรม 26 ม.ค. 48
ข่าวปก : ผลวิจัยวิทยาศาสตร์ชี้ชัด ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ส่งผลดีต่อสมอง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 มกราคม 2548 16:05 น.


วารสารของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ประเทศอเมริกา ฉบับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2547 ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยชิ้นล่าสุดของสถาบันเกี่ยว กับเรื่องการทำสมาธิ ว่าการปฏิบัติธรรมทำสมาธิแบบพุทธศาสนามิใช่เพียงก่อให้เกิดความสงบภายในจิตใจเท่านั้น

แต่ยังส่งผลดีกับกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ และความ เชื่อมโยงกับอารมณ์ทางด้านดีอย่างถาวรอีกด้วย

ทั้งนี้นักวิจัยได้ทำการทดลองโดยเปรียบเทียบการทำงานของสมองของผู้เข้ารับ การทดลองในสองกลุ่มหลัก ซึ่งกลุ่มแรกเป็นกลุ่มพระภิกษุสงฆ์จำนวน 8 รูป มีอายุเฉลี่ยประมาณ 49 ปี แต่ละรูปมีประสบการณ์ในการนั่งสมาธิตั้งแต่ 10,000 ถึง 50,000 ชั่วโมง ภายในระยะเวลา 15 ถึง 40 ปีที่ผ่านมา
 
ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มนักศึกษาที่มีอายุเฉลี่ยประมาณ 21 ปี จำนวน 10 คน ส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการ ปฏิบัติธรรมทำสมาธิมาก่อน และเพิ่งได้รับการอบรม ในเรื่องการทำสมาธิได้เพียง 1 สัปดาห์ก่อนเริ่มการทดลอง

การทดลองครั้งนี้ นักวิจัยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า“อิเล็กโทรเอนเซฟาโลแกรมส์” (Electroencephalograms) ในการวัดระดับการทำงานของคลื่น สมองแกมมา รวม 3 ครั้ง คือ ก่อน ระหว่าง และหลังการ ปฏิบัติสมาธิ ซึ่งคลื่นสมองแกมมาเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงความทรงจำ ระดับการเรียนรู้ ระดับสมาธิและการมองโลกในแง่ดี
 

ผู้เข้ารับการทดลองทั้งสองกลุ่มถูกจัดให้นั่งสมาธิแบบทิเบตในห้องทดลองที่ ผ่อนคลาย และมีการทำสมาธิเน้นให้ รู้สึกถึงความรักและความเมตตาต่อสรรพสิ่ง โดยจะไม่ใช้วิธีการเพ่งจิตต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่ลมหายใจ

ผลปรากฏว่า ในช่วงก่อนการนั่งสมาธิ คลื่นสมอง แกมมาของกลุ่มพระภิกษุมีระดับที่สูงกว่ากลุ่มนักศึกษา และระดับความแตกต่างนี้ ได้ปรับสูงขึ้นอย่าง มากระหว่างการนั่งสมาธิ ซึ่งระดับคลื่นสมองแกมมา ของกลุ่มภิกษุในระหว่างการนั่งสมาธิครั้งนี้ นับว่าเป็นระดับที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีรายงานมา
 
เป็นที่ชัดเจนว่า กลุ่มพระภิกษุ มีการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ทางด้านบวก เช่น ความสงบสุข มีประสิทธิภาพกว่ากลุ่มที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิใดมาก่อน นอกจากนี้ ยังสรุปได้ว่า ระดับคลื่นแกมมาที่สูงของภิกษุก่อนการปฏิบัติสมาธินั้น

แสดงให้เห็น ว่าสมองได้มีการพัฒนาอย่างถาวรหากได้รับการปฏิบัติ ธรรมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ถึงแม้ว่าปัจจัยทางด้านอายุและสุขภาพอาจจะทำให้คลื่นสมองแกมมา มีระดับที่แตกต่างกันไป แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สังเกตได้ ชัดจากการทดลอง คือ จำนวนชั่วโมงของการปฏิบัติ สมาธิ ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของคลื่นสมองแกมมา

นอกจากนี้ ยังมีนักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งที่ศูนย์วิจัยจิต และสมองยู.ซี เดวิส (UC Davis Center for mind and brian) เมืองแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับแรงบันดาลใจจากสารขององค์ดาไลลามะแห่งทิเบต ที่กล่าวถึงความเชื่อมโยงของวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนา

และยังได้รับเงินสนับสนุนจากสถาบันศึกษาเรื่องจิตสำนึก แห่งซานตาบาร์บารา ซึ่งสถาบันนี้ได้รับเงินบริจาคจาก ‘ริชาร์ด เกียร์’ พระเอกหนุ่มชื่อดังของฮอลลีวูดผู้มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนานั่นเอง


ดังนั้น โครงการนำร่องจึงได้จัดตั้งขึ้น เพื่อศึกษา ถึงการทำงานของสมองระหว่างการนั่งสมาธิ และสาเหตุที่ทำให้ผู้ปฏิบัติสมาธิสามารถเชื่อมต่อกับอารมณ์ในแง่บวกได้ ง่ายกว่าคนปกติ โดยจะเริ่มโครง การจริงในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2549

โดยกลุ่มผู้ทดลองจำนวนทั้งสิ้น 30 คนจะถูกคัดเลือกจากประเทศยุโรป เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา และพาไปฝึกอบรมนั่งสมาธิในระยะเวลากว่า 1 ปี ในสถานที่เงียบๆ แห่งหนึ่งในเมืองแคลิฟอร์เนีย เพื่อนักวิจัยจะได้สังเกตถึงพฤติกรรมของกลุ่มผู้ทดลอง

ดอกเตอร์อลัน วอลเลซ หัวหน้าศูนย์วิจัยจิตและสมอง ยู.ซี เดวิส จบการศึกษาปริญญาเอกทางด้านศาสนา จากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด และเคยบวชเป็นภิกษุมาก่อน เป็นผู้ออกแบบการทดลองเพื่อทดสอบความจำ ปฏิกิริยาตอบสนองทางอารมณ์ การจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

พร้อมกับจัดตารางชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายให้กับทุกคน โดยเริ่มจากตื่นนอนตอน 6 โมงเช้าเพื่อนั่งสมาธิกลุ่มและเดี่ยวจน ถึงเวลา 10 โมง มีการเสิร์ฟอาหารเป็นเวลาที่แน่นอน และมีเวลาว่าง 2 ชั่วโมงต่อวัน จุดประสงค์ของตาราง เวลา คือเพื่อที่จะสร้างกิจวัตรที่แน่นอน ที่ไม่รบกวน เวลานั่งสมาธิและมุ่งเน้นที่ความสมดุลของการทำงาน ของจิตใจเป็นสำคัญ

กลุ่มผู้ทดลองจะได้รับเงินตอบแทนจำนวน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือนในการเข้าร่วมการทดลองครั้งนี้ เนื่องจากทุกคนต้องอยู่ห่างบ้านและสิ่งที่คุ้นเคยมาอยู่ ในกฎระเบียบที่ทางสถาบันจัดให้ นอกจากนี้ ทุกๆสองสัปดาห์ ผู้ช่วยนักวิจัยจะเข้ามาเก็บข้อ มูลอย่างละเอียด

เช่น ผลเลือด น้ำลาย ความดัน และศึกษาทดลองเพื่อที่จะตรวจวัดการทำงานของสมองผ่านเครื่องอิเล็กโทรเอนเซฟา โลแกรมส์ อีกทั้งยังตรวจวัดระดับความเครียดและระบบการทำงานของภูมิต้านทานอย่างละเอียดอีกด้วย

ดอกเตอร์อลันกล่าวทิ้งท้ายว่า “การทดลองครั้งนี้ นับว่าเป็นการทดลองที่น่าตื่นเต้นสำหรับศูนย์วิจัย เนื่องจากเป็นความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญชื่อดังทางด้านสมอง นักจิตวิทยา และพุทธศาสนิกชน ด้วยข้อมูลที่เก็บอย่างละเอียดตั้งแต่ต้น และเงินทุนสนับสนุนที่คาดว่าจะได้รับบริจาคถึง 2 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ จะทำให้การทดลองครั้งนี้สมบูรณ์และเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์และพุทธศาสนา ต่อไป”

ตอบโดย: พายุธรรม 26 ม.ค. 48 - 07:54
ถ้าสนใจบทความต้นฉบับที่รายงานผลการวิจัยดูได้ที่นี่ครับ
http://www.pnas.org/cgi/content/full/101/46/16369?maxtoshow=&HITS=10&hits=10&RESULTFORMAT=&fulltext=meditation&searchid=1106747842419_2866&stored_search=&FIRSTINDEX=0&journalcode=pnas

ตอบโดย: จุดจุด 26 ม.ค. 48

ที่มา  http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-95.htm
22129  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วิวัฒนาการของโลก จากความเห็นทางวิทยาศาสตร์ เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 03:05:13 pm
วิวัฒนาการของโลก จากความเห็นทางวิทยาศาสตร์
คัดลอกจาก http://ww2.se-ed.net/data55/d111.htm

 
ในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ ตามทฤษฎีที่เชื่อถือกันมากที่สุดในปัจจุบัน
“จักรวาลมีกำเนิดมาจากการระเบิดของมวลสารต้นกำเนิดของจักรวาลที่ รวมตัวอัดกันแน่น จนกระทั่งเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง เมื่อประมาณหมื่นห้าพัน ถึงสองหมื่นล้านปีมาแล้ว ในอดีต ทฤษฎีนี้มีชื่อเรียกว่า ทฤษฎีการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ (Big Bang Theory) “

จากความคิดเห็นของ สมัคร บุราวาศ นักธรณีวิทยา ได้กล่าวถึงการเกิดของโลกว่า
 
“ โลกได้แตกแยกมาจากดวงอาทิตย์ เมื่อ ๔,๐๐๐ ล้านปีมาแล้ว จนกระทั่งเย็นลงเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านปีมานี้ “

และได้กล่าวถึงกระบวนการเกิดสัตว์มนุษย์ว่า

“ สิ่งที่เป็นจุดกำเนิดของมนุษย์แรกเริ่มสุดจริงๆ คือหน่วยของชีวิตชนิดแรกเริ่มบนโลก ตามความเข้าใจของวงการวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ถือว่าเกิดขึ้นเองโดยกระบวนการทางธรรมชาติที่เหมาะสม ทำให้เกิดโมเลกุลอันเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต คือสารประกอบจำพวกกรด อะมีโน “ .
.
”พร้อมกับการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตในรูปของสัตว์เซลล์เดียวใน เวลาต่อมา เกิดสาหร่ายทะเล เกิดสัตว์น้ำ เกิดสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เกิดสัตว์บก และเกิดสัตว์ปีก จนกระทั่งเกิดเป็นมนุษย์วานร”

ส่วนวิวัฒนาการของมนุษย์นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลักฐานเป็นซากดึกดำบรรพ์ประกอบ กับทฤษฎีของดาร์วิ่น มีความเห็นว่า

วิวัฒนาการของมนุษย์เริ่มจาก ๑๔ ล้านปีมาแล้ว จนกระทั่งเป็นมนุษย์เมื่อ ๓๕,๐๐๐ ปีมานี้ หลังจากยืนตัวตรงก็สามารถใช้มือที่เป็นอิสระในการสร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นมา ได้ โดยเริ่มต้นจาก

ลิงไร้หาง รามาพิธีคัส (อายุ ๑๔-๘ ล้านปี) เริ่มยืนตัวตรงจัดเป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ วิวัฒนาการไปเป็น

ออสตราโลพิธีคัส (อายุ ๕-๑.๕ ล้านปี ) เริ่มใช้เครื่องมือ พบหลักฐานรอยเท้าที่เก่าแก่ที่สุด มีฟันเหมือนมนุษย์แต่ขนาดสมองเท่ากับลิง จากนั้นเปลี่ยนเป็น
 
โฮโมฮาบิลิส (อายุ ๒-๑.๕ ล้านปี ) เริ่มเป็นมนุษย์จริงๆแล้ว มีสมองใหญ่กว่า
ออสตราโลพิธีคัส เท่าครึ่ง จากนั้นได้เปลี่ยนไปเป็น

โฮโมอีเร็คตัส หรือมนุษย์ตัวตรง ( อายุ ๑.๕-๐.๕ ล้านปี) มีหน้าผากหนาคุ้มกันสมองขนาด ๑ ลิตร รู้จักใช้ไฟปรุงอาหาร และสร้างความอบอุ่น จากนั้นเปลี่ยนเป็น

นีนเดอร์ธาล ( อายุ ๑๐๐,๐๐๐ - ๔๐,๐๐๐ ปี) มีคางอ่อนแอ แต่สมองใหญ่ และวิวัฒนาการไปสู่

โฮโมเซเปี่ยน เซเปี่ยน ( อายุ ๓๕,๐๐๐ ปี ถึงปัจจุบัน ) มีหน้าผากสูงความจุสมอง ๑.๔ ลิตร “

นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการอื่นให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ เช่น ชัยอนันต์ สมุทรวาณิช ได้กล่าวว่า มีการพบร่องรอยมนุษย์ ๑.๘ ล้านปีมาแล้ว

เป็นฟอสซิลของมนุษย์ยุคต้น ที่เรียกว่า Hominid ก่อนจะมี Homosapien
ส่วน Donald C.Johnson เป็นผู้ค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์ยุคแรกๆ โดยตั้งชื่อว่า Lucy นั้น ก็มีทฤษฎีใหม่


โดยมีการเทียบเคียงอย่างละเอียดระหว่าง ซิมเปนซี มนุษย์ยุคแรก กับมนุษย์ที่พัฒนามาจนปัจจุบัน โดย Johanson พบโครงกระดูกที่ฝังอยู่นับล้านปีในแอฟริกา คือ ในแอฟริกาใต้ ตะวันออก และในเอธิโอเปีย นับตั้งแต่ ค.ศ.1974 เป็นต้นมานั้น ความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็เปลี่ยนไป โดยถอยหลังไปถึง ๓-๔ ล้านปี   

จะเห็นได้ว่าแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ จะให้การวิวัฒนาการของสัตว์มนุษย์ เริ่มต้นมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต คือเมื่อเกิดการระเบิด Big Bang ขึ้น ชัยวัฒน์ คุประตกุล กล่าวไว้ว่า
 
“ ถือว่าจักรวาลมีกำเนิดมาจากการระเบิดของบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ตรงจุดระเบิด แล้วต่อมาจึงมีการพัฒนาเป็นอะตอม เป็นสสาร"

บางสิ่งบางอย่างนั้นคืออะไร ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัด แต่แนวทางความคิดหนึ่งซึ่งอาศัยกฏพื้นฐานทางฟิสิกส์ คือทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์

ว่าสสารและพลังงานเป็นสิ่งเดียวกัน สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ในสภาวะที่เหมาะสม กล่าวคือ สสารเปลี่ยนไปเป็นพลังงานได้ ขณะเดียวกันพลังงานก็เปลี่ยนไปเป็นสสารได้

ดังนั้นแนวคิดเรื่องกำเนิดจักรวาลแบบ Big Bang ถือว่าสรรพสิ่งในจักรวาลปัจจุบัน มีกำเนิดมาจากมวลสารปฐมภูมิ ซึ่งอาจเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ไม่มีตัวตน แต่ทำงานได้ แล้วพลังงานบริสุทธิ์นี้เองที่ระเบิดเกิดเป็นจุดกำเนิดของจักรวาล แล้วต่อมาพลังงานอันเป็นองค์ประกอบหลักของพลังงาน ณ จุดระเบิดเริ่มต้น ก็เปลี่ยนไปเป็นสสาร

แล้วจึงพัฒนาการต่อมาจนกระทั่งเกิดเป็นอะตอม เป็นโมเลกุล เป็นสารประกอบ เป็นสสาร และต่อๆมาจนกระทั่งเป็นส่วนที่เป็นพลังงานของจักรวาลอยู่ในปัจจุบัน ตามมโนภาพ จักรวาลก็เริ่มต้นมาจากพลังงานซึ่งไม่มีตัวตนแต่ทำงานได้ แล้วต่อมาจึงเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งเกิดเป็นอะตอม เป็นสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่จับต้องได้ เหมือนมีตัวตนขึ้นมา ”

และ เมื่อเริ่มต้นจักรวาลนั้น ระวี ภาวิไล ได้กล่าวว่า “ เริ่มต้นกำหนดเวลาแบบนับถอยหลังจากปัจจุบัน เพื่อกล่าวถึงการอุบัติขึ้น และวิวัฒนาการของชีวิต จิตใจ และสติปัญญา มาถึงมนุษย์ ” หมายความว่า เวลา ณ จุดระเบิด จะเป็น ๐ และเริ่มต้นนับเวลาใหม่จากวินาที เป็นต้นไป

อาจสรุปได้ว่า วิวัฒนาการของมนุษย์ในแนววิทยาศาสตร์ จะเริ่มจาก ความว่างเปล่า (เวลาเป็นศูนย์) เกิดขบวนการทางฟิสิกส์ (อะตอม) เกิดขบวนการทางเคมี(กรดอะมีโน) เกิดขบวนการทางชีวะ(พืช-สัตว์เซลล์เดียว) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต และเกิดวิวัฒนาการเรื่อยไปจนกลายเป็นมนุษย์

ตามแนวคิดนี้ มนุษย์จะมีกำเนิดมาจากความว่างเปล่าไม่มีตัวตน แล้ววิวัฒนาการไปสู่ สิ่งไม่มีชีวิตเป็นสสาร พลังงาน และธาตุมีตัวตนจับต้องได้ จากนั้นจึงวิวัฒนาการไปสู่สิ่งที่มีชีวิต มีตัวตน มีจิตวิญญาณตอบสนองต่อสิ่งกระทบได้ (เกิดอายตนะต่างๆ) จึงเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ก่อนจะวิวัฒนาการมาสู่ลิง (มันสมองเล็ก) และมนุษย์ (ขนาดมันสมองใหญ่) ซึ่งเป็นการพัฒนาปัญญา ในที่สุด 


ที่มา  http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-91.htm
22130  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วิวัฒนาการ"การกำเนิดชีวิตและจักรวาล" ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 02:52:35 pm
วิวัฒนาการ "การกำเนิดชีวิตและจักรวาล" ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา

คัดลอกจาก http://ww2.se-ed.net/data55/d112.htm
สาระ สำคัญของอัคคัญญสูตร

ในพระสูตรบทนี้มีข้อความว่า พระพุทธเจ้าได้สนทนากับสองพราหมณ์ที่เป็นสามเณร ชื่อวาเสฏฐะกับภารทวาชะเพื่อเตรียมตัวจะบวชเป็นภิกษุเกี่ยวกับวรรณะพราหมณ์ ที่สามเณรทั้งสองถือกำเนิดมา และถูกพวกพราหมณ์ด้วยกันกล่าวประณามเพราะถือว่ามีวรรณะสูงกว่าวรรณะอื่นด้วย เกิดจากอวัยวะเบื้องบนของพระพรหม ส่วนวรรณะอื่นเกิดจากส่วนเบื้องต่ำของพระพรหม

พระพุทธองค์ทรงสอนสามเณรทั้งสองว่า คำกล่าวอ้างของพวกพราหมณ์ดังกล่าวนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างไร คนทุกวรรณะเกิดมาโดยอาศัยพ่อแม่ของตน พวกพราหมณ์ก็อาศัยพ่อแม่ในวรรณะของตนเป็นผู้ให้กำเนิด โดยผ่านกระบวนการตั้งครรภ์แล้วจึงคลอดลูกตามลำดับ และเมื่อคลอดลูกแล้วก็ต้องเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จึงเป็นเรื่องเท็จที่อ้างว่า พวกพราหมณ์เกิดจากพระพรหม

และตรัสสรุปว่า ท่านทั้งหลายมาบวช จากโคตร จากสกุลต่างๆ เมื่อมีผู้ถามว่าเป็นใครก็จงกล่าวตอบว่า เป็นสมณะศากยบุตร ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นในตถาคต ผู้นั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า เราเป็นบุตรเกิดจากอุระเกิดจากพระโอฐของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นผู้ที่ธรรมเนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม เพราะคำว่าธรรมกาย พรหมกาย ธรรมภูต พรหมภูต เป็นชื่อของพระพุทธองค์ ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องการอุบัติขึ้นมาของสรรพสิ่งในโลก และวิวัฒนาการของสัตว์มนุษย์และสังคม ว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว โลกนี้ได้พินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก และเมื่อโลกอุบัติขึ้นมาใหม่ สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจ กินปีติเป็นอาหาร (ยังมีอำนาจฌานอยู่) มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ มีสภาพเหมือนเช่นในชั้นอาภัสสรพรหม

ในขณะที่โลกวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ๆนั้น จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่น้ำ มีแต่ความมืด ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มีดาวนักษัตรทุกชนิด ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่ปรากฏเวลาเป็นเดือน เป็นปี มนุษย์ที่จุติจากอาภัสสรพรหม อาศัยอยู่ในโลกตอนนั้น ไม่ปรากฏเพศชาย และเพศหญิง แต่ก็รู้ตัวว่าเป็นสัตว์มนุษย์

เมื่อเวลาผ่านพ้นนานไป จึงเกิดมีง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ง้วนดินนั้นมีลักษณะเหมือนนมสดที่เคี่ยวให้งวด มีกลิ่น รส สี คล้ายเนยใสมีรสดุจน้ำผึ้ง สัตว์พวกนี้จึงลองชิมดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เมื่อแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือน มีกึ่งเดือน มีฤดูและปี

 เมื่อกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม เพราะดูหมิ่นผู้อื่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากันบ่นเสียดาย

แล้วก็เกิดกระบิดินที่คล้ายเห็ดสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรสขึ้นแทนใช้เป็นอาหารได้ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น กระบิดินก็หายไป จึงเกิดเครือดินคล้ายผลมะพร้าวสมบูรณ์ด้วย สี กลิ่น รสขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น

เครือดินก็หายไป เกิดข้าวสาลีไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอมมีเมล็ดเป็นข้าวสุกขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้าก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก เก็บเช้าเย็นก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก ไม่มีพร่อง ความหยาบกระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น จึงปรากฏเพศหญิงและเพศชาย

เมื่อต่างเพศเพ่งกันและกันก็เกิดความกำหนัดเร่าร้อน เกิดเพศสัมพันธ์กันขึ้น การร่วมเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จึงพากันเอาสิ่งของขว้างปา เพราะในสมัยนั้นถือว่าเป็นอธรรม เมื่ออยากเสพต้องไปกระทำนอกชุมชน เช่นกับที่สมัยนี้ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง

ต่อมาจึงรู้จักสร้างบ้านเรือน ปกปิดซ่อนเร้น ต่อมามีผู้เกียจคร้านที่จะนำข้าวสาลีมาตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นำมาตอนเย็นเพื่ออาหารเย็น จึงนำมาครั้งเดียวให้พอทั้งเช้าทั้งเย็น ต่อมาก็นำมาครั้งเดียวให้พอสำหรับ ๒ วัน ๔ วัน ๘ วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้มข้าวสาลี ที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน มีการขาดแคลนเป็นตอนๆ ตั้งแต่นั้นมา ข้าวสาลีจึงมีเฉพาะเป็นบางแห่ง

สัตว์มนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกันปรารภความเสื่อมลงโดยลำดับ แล้วมีการแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน ต่อมาบางคนรักษาส่วนตน ขโมยของคนอื่นมาบริโภค เมื่อถูกจับได้ ก็เพียงแต่สั่งสอนกันไม่ให้ทำอีก เขาก็รับคำ ต่อมาขโมยอีก ถูกจับได้ถึงครั้งที่ ๓ ก็สั่งสอนเช่นเดิมอีก แต่บางคนก็ลงโทษ ตบด้วยมือ ขว้างด้วยก้อนดิน ตีด้วยไม้

ต่อมาสัตว์ระดับผู้ใหญ่จึงประชุมกันปรารภว่า การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด การจับท่อนไม้เกิดขึ้น ควรจะแต่งตั้งสัตว์ผู้หนึ่งขึ้นให้ทำหน้าที่ติผู้ที่ควรติ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ โดยพวกที่เหลือจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงาม น่าเลื่อมใส น่าเกรงขาม แต่งตั้งเป็นหัวหน้า

เพื่อปกครองคนติและขับไล่คนที่ทำผิด คำว่า มหาชนสมมติ (ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์ (ผู้ใหญ่ยิ่งแห่งเขต) ราชา (ยังชนอื่นให้สุขใจโดยธรรม) กษัตริย์จึงเกิดขึ้น ซึ่งมาจากสัตว์พวกเดียวกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่โดยอธรรม ธรรมะจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ต่อมามีสัตว์บางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่ว ที่เป็นอกุศล จึงมีนามว่า พราหมณ์ (ผู้ลอยบาป) สร้างกุฎีหญ้าขึ้น เพ่งในกุฎีนั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ (ผู้เพ่ง) สัตว์บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้านรอบนิคม แต่งคัมภีร์ จึงถูกเรียกว่า อัชฌายกะ (ผู้ไม่เพ่ง) การทรงจำ การสอน การบอกมนต์ เกิดจากการไม่เพ่ง เดิมมีความหมายเลว แต่บัดนี้มีความหมายทางดี

ยังมีสัตว์บางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม ประกอบการงานเป็นแผนกๆ จึงมีชื่อว่า เวสสะ (ประกอบการค้า) และยังมีสัตว์บางกลุ่ม ประกอบการล่าสัตว์ อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีพ จึงมีชื่อว่าศูทร

ครั้นแล้วตรัสสรุปว่า ทั้งพราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เกิดจากสัตว์พวกนั้น มิใช่เกิดจากสัตว์พวกอื่น เกิดจากสัตว์ที่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่อธรรม แล้วตรัสต่อไปว่า มีสมัยซึ่งบุคคลในพวกทั้ง ๔ มีกษัตริย์เป็นต้น ไม่พอใจธรรมะของตนออกบวช ไม่ครองเรือน จึงเกิด สมณมณฑล ซึ่งมาจากพวกสัตว์ทั้ง ๔ กลุ่มนั่นเอง จะแตกต่างกันเพราะธรรม

ครั้นแล้วสรุปว่า ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และสมณะ ถ้าประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นผิด ประกอบกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นผิด เมื่อตายไปก็จะเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เหมือนกัน ถ้าตรงกันข้าม คือ ประพฤติสุจริต ทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นชอบ ประกอบกรรมซึ่งเกดจากความเห็นชอบ เมื่อตายไป ก็จะเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ เหมือนกัน หรือถ้าทำทั้งสองอย่าง ก็จะได้รับทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนกัน

ถ้าทั้ง ๔ พวกนี้สำรวม กาย วาจา ใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๗ ก็จะปรินิพพานได้ในปัจจุบันเหมือนกัน และวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ สิ้นอาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว หมดกิจ ปลงภาระ หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นก็นับว่าเป็นยอดแห่งวรรณะเหล่านั้นโดยธรรมมิใช่โดยอธรรม เพราะธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ในที่สุดตรัสย้ำถึงภาษิตของ สนังกุมารพรหมและของพระองค์ ที่ตรงกันว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร แต่ผู้ใดมีวิชาและจรณะ (ความรู้และความประพฤติ) ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในเทวดาและมนุษย์ ฯ



วิวัฒนาการของโลก จากคัมภีร์ อัคคัญญสูตร


จากสาระสำคัญที่ปรากฏในพระไตรปิฎก จะเห็นถึงกระบวนการวิวัฒนาการของการเกิดเป็นมนุษย์ มีจุดเริ่มต้นมาจากอาภัสสรพรหม ซึ่งมาจากพรหมโลกเป็นพวกที่ทรงฌาน มีกายและใจ ที่ละเอียดอ่อน มาเกิดบนโลกซึ่งมีแต่น้ำ มนุษย์ยุคแรกจึงต้องอยู่บนอากาศ และใช้เวลาอันนานแสนนาน กว่าจะเกิดพื้นดิน และที่อยู่อาศัยบนพื้นโลกได้ ในพระไตรปิฎกมิได้บอกระยะเวลาไว้

แต่อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์กลุ่มแรกนี้มีลักษณะคล้ายเทพ และ/หรือ กึ่งเทพ มิได้กล่าวถึงอายุขัย ไม่ต้องกินอาหาร ไม่มีการแยกเพศ ไม่มีการกล่าวถึงจำนวนคนและความสัมพันธ์ภายในชุมชน ดูเหมือนว่ากระบวนการเกิดสังคมจะเริ่มขึ้น เมื่อมนุษย์มีการค้นพบอาหาร(ง้วนดิน)และลองชิมจนติดใจจึงเกิดการทำตามกัน

ต่อๆมา จนเกิดการแบ่งแยกผิวพรรณกันขึ้น เมื่อมนุษย์กินอาหารนั้นทำให้ความเป็นกึ่งเทพหมดไป จึงต้องดิ้นรนแก่งแย่งกัน เกิดการสืบพันธ์ สร้างครอบครัว สะสมอาหาร มีระบบการปกครอง มีการสร้างกฎเกณฑ์ของชุมชน มีการลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎระเบียบของส่วนรวม ในที่สุดความเป็นสังคม

และความเป็นรัฐก็วิวัฒนาการมาตามลำดับจนถึงปัจจุบัน จากข้อเขียนของบรรจบ บรรณรุจิ ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของโลกไว้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าหลังพินาศแล้วโลกกลับเจริญขึ้นอีก เรียกยุค นี้ว่า ”วิวัฎฎกัปป์” มีวิวัฒนาการ ๒ อย่างคือ

๑. วิวัฒนาการทางด้านวัตถุ เริ่มจากน้ำ ต่อมาบนผิวน้ำเกิดง้วนดิน เกิดดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ง้วนดินหายไปเกิดกระบิดิน จากกระบิดินเกิดเครือดินแทน จากเครือดินเกิดข้าวสาลีแทน ต่อมาเกิดรำและแกลบหุ้มข้าวสาลี พระอรรถกถาจารย์รุ่นต่อมาได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อโลกก่อตัวขึ้นอีกมีเมฆใหญ่ปกคลุม เกิดฝนตกหนักท่วม

จากนั้นเกิดพายุใต้น้ำผสมกับลมพัดน้ำจนงวดเกือบถึงพื้นดินเดิม แล้วเกิดลมพายุอีกช่วยกักน้ำให้อยู่ในระดับคงที่ไม่ไหลเรื่อยไป ลมอุ้มน้ำไว้และน้ำอุ้มแผ่นดินเอาไว้ ลมทำให้น้ำปั่นป่วนซึ่งเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวทำให้เกิดเป็นแผ่นดินใหญ่ [พื้นผิวโลก] ส่วนน้ำนั้นมีรสอร่อยงวดเข้าเป็นง้วนดิน ซึ่งเป็นอาหารมนุษย์ในยุคแรก

๒. วิวัฒนาการทางด้านชีวิต ในทรรศนะของนักชีววิทยาซึ่งสรุปได้ว่า สิ่งที่มีชีวิตเกิดมาจากวิวัฒนาการทางด้านเคมีก่อน [สิ่งไร้ชีวิต] ครั้นแล้ววิวัฒนาการทางด้านเคมีนั้นก็แปรสภาพมาเป็นหน่วยชีวิตที่เรียกว่า “เซลล์” [สิ่งมีชีวิต] และเซลล์นั้นเองนับได้ว่าเป็นโครงสร้างขั้นมูลฐานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

ส่วนในทรรศนะของพระ พุทธเจ้า จากอัคคัญญสูตร ทำให้ทราบว่าชีวิตของพืช และชีวิตของมนุษย์ เกิดมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของโลกนั่นเอง เป็นมนุษย์พวกแรกในโลก เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน

มีลักษณะพิเศษคือ เกิดจากใจของตนเอง , มีแสงในตัวเอง มีปีติเป็นอาหาร ท่องไปในอากาศได้ อยู่วิมาน ไม่มีผู้หญิงผู้ชาย เป็นอาภัสสรพรหมจุติมาเป็นมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์พวกนี้ วิวัฒนาการไปเป็นร่างกายที่หยาบ


เนื่องจากอาหารและสภาพจิตที่เปลี่ยนไป บริโภคอาหารหยาบขึ้น ติดใจในรสอาหารนั้น (เกิดตัณหา) สภาพจิตใจก็หยาบขึ้นด้วย ร่างกายที่เคยละเอียดก็หยาบ จนกระทั่งมีลักษณะเพศปรากฏว่า เป็นหญิงหรือชาย สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เป็นวิวัฒนาการทางด้านเคมีและทางด้านชีวภาพ

เมื่อมีเพศจึงเสพเมถุนธรรมกัน จึงถูกสังคมลงโทษ แต่ในเวลาต่อมาถือเป็นเรื่องธรรมดา แล้วกำเนิดของมนุษย์ในแบบใหม่ ต้องอาศัยมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิดอย่างในปัจจุบันจึงเริ่มต้นมาด้วยประการฉะนี้ 


ที่มา  http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-90.htm
22131  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / คุณหรือใคร “มีจริตอย่างไร” ตามมาครับ เมื่อ: สิงหาคม 21, 2010, 11:17:31 am

คุณหรือใคร “มีจริตอย่างไร” ตามมาครับ


ที่มา  วิทยานิพนธ์ “การศึกษาเรื่องการบรรลุธรรม ในพุทธศาสนาเถรวาท”
          ของ พระมหาอำนวย อานนฺโท(จันทร์เปล่ง)

22132  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / 40 ท่ามายาหญิง (ยกเครดิตให้คุณนิรนาม_พุทโธ และคุณหมวยจ้า) เมื่อ: สิงหาคม 20, 2010, 07:14:50 pm
มายา น. มารยา, การลวง, การแสร้งทํา, เล่ห์กล. (ป., ส.).

มารยา [มานยา] น. การลวง, การแสร้งทํา, เล่ห์กล, เช่น เจ้ามารยา มารยามาก ทำมารยา. (แผลงมาจากมายา).


ที่มา  พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒


40 ท่ามายาหญิง

ธรรมบท พราหมณ์วรรค เล่าว่า กุลบุตรชื่อ สุนทรสมุทร เกิดในตระกูลใหญ่
มีสมบัติมากถึง 40 โกฏิ อยู่ในกรุงสาวัตถี
 
วันหนึ่งเกิดเลื่อมใสขอบวชในพุทธศาสนา ไปขออนุญาตมารดาบิดา
มารดาร้องไห้ กว่าจะบวชได้ก็ใช้เวลาแสนนาน

 
เรื่องราวที่หนุ่มไฮโซขอบวช มารดาร้องไห้เป็นข่าวใหญ่ รู้กันไปหลายเมือง 
เข้าหูไฮโซสาวที่ไม่ค่อยจะร่ำรวยซักเท่าไหร่...นางหนึ่ง
 
ไฮโซสาวนางนี้ อยากแสดงฝีมือ พอๆกับอยากเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ 40 โกฏิ 
แผนนารีพิฆาต ก็ถูกวาดขึ้น

 
ใช้ เงินก้อนใหญ่ซื้อปราสาท 7 ชั้น ในเส้นทางที่พระออกบิณฑบาต
 เมื่อพระสุนทรสมุทรถือบาตรผ่าน ก็นิมนต์เข้าไปรับอาหาร แล้ว ตอนแรกก็ขอให้ฉันที่ระเบียงบ้าน
 
พระ เริ่มฉัน ก็ให้บังเอิญมีเด็กกลุ่มใหญ่มาวิ่งเล่น ทำให้เกิดฝุ่นฟุ้ง
เธอก็นิมนต์พระให้ขอให้เข้าไปฉันในปราสาท เผลอหน่อยเดียว พระก็ขึ้นไปนั่งฉันบนชั้น 7
 
ดูเหมือนพระจะไม่รู้ตัวด้วยว่า ประตูปราสาท 7 ชั้นถูกปิดแน่นหนา
ธรรมบท เล่าถึงตอนนี้ว่า ขณะที่พระนั่งฉัน ไฮโซสาวก็แสดงมายาหญิง


สำนวนไทยใช้ว่า มีร้อยเล่มเกวียน
แต่ในธรรมบท มายาหญิงที่ตั้งใจจะใช้เกี้ยวชายมีอยู่ 40 ประการ
 
สะบัด สะบิ้ง 1 ก้มลง 1 กรีดกราย 1 ชมดชม้อย 1 เอาเล็บดีดเล็บ 1 เอาเท้าเหยียบเท้า 1
เอาไม้ขีดแผ่นดิน 1 ชูเด็กขึ้น 1 ลดเด็กลง 1 เล่นเอง 1 ให้เด็กเล่น 1 จูบเอง 1 ให้เด็กจูบ 1
 
รับประทานเอง 1 ให้เด็กรับประทาน 1 ให้ของเด็ก 1 ขอของคืน 1
 ล้อเลียนเด็ก 1 พูดดัง 1 พูดค่อย 1 พูดคำเปิดเผย 1 พูดลี้ลับ 1
 
ทำ นิมิตด้วยการฟ้อน ด้วยการขับ ด้วยการประโคมด้วยการร้องไห้ ด้วยการเยื้องกราย ด้วยการแต่งตัว 1
ซิกซี้ 1 จ้องมองดู 1 สั่นสะเอว 1 ทำของลับให้ไหว 1 ถ่างขา 1 หุบขา 1 แสดงถัน 1 แสดงรักแร้ 1

แสดงสะดือ 1 ขยิบตา 1 ยักคิ้ว 1 เม้มริมฝีปาก 1 แลบลิ้น 1 เปลื้องผ้า 1
สยายผม 1 เกล้าผม 1

 
เจอ มายาหญิง 40 ท่า อดีตหนุ่มไฮโซพระสุนทรสมุทรทำท่าจะเอาตัวไม่รอด นาทีวิกฤตินั้น
พระพุทธองค์ทรงอยู่ที่วัดเชตวัน ห่างปราสาทหลังนั้น 45 โยชน์ ก็แสดงปาฏิหาริย์ แผ่รัศมีไปสอน
 
“ภิกษุ เธอจงละอาลัย ละกาม ทั้งสองอย่างนี้เสียให้ได้ ถ้าเธองดเว้นได้
 เราเรียกบุคคลผู้มีกามและภพสิ้นแล้วว่า...เป็นพราหมณ์”

 
ธรรมบทเรื่องนี้ จบลง ตรงพระสุนทรสมุทรบรรลุอรหันต์ มีฤทธิ์เหาะออกจากปราสาท
เอาตัวรอดมาจากกับดักของไฮโซสาวนั้นมาได้โดยสวัสดิภาพ
 
ผมอ่านธรรมบทเรื่องนี้แล้วนึกถึงการอภิปรายไม่ไว้ วางใจ 
เห็นท่วงท่าลีลาและฝีปาก   รวมทั้งศีลาจารวัตรผ่องใสของสมภารอภิสิทธิ์แล้ว


ก็คิดว่าคงเอารัฐบาลรอดจากฝีปากฝ่ายค้านได้...ไม่ยาก
จะห่วงก็แต่ลูกวัด โดยเฉพาะกลุ่มที่เพิ่งมาขออยู่ร่วมวัด เท่านั้นแหละครับ
 
หลาย ท่านที่ฝ่ายค้านพูด ดูจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนมากไปสักหน่อย
ถ้ามีโอกาส ก็สังคายนาออกไปเสียบ้าง วัดเอ๊ย! รัฐบาล น่าจะมีราศี มีกลิ่นสะอาดเพิ่มขึ้น.


ที่มา  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมภ์ “ชักธงรบ” โดยกิเลน ประลองเชิง
22133  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / โลกสลาย สวรรค์ล่ม พรหมพินาศ เมื่อ: สิงหาคม 17, 2010, 11:38:23 am

โลกสลาย สวรรค์ล่ม พรหมพินาศ

กาลพินาศต้องเกิดกับทุกภพภูมิ
สัตว์ที่อยู่ในสังสารวัฏ อันประกอบด้วย ๓๑ ภพภูมิ ตกอยู่ภายใต้ “กฏแห่งไตรลักษณ์” ทั้งสิ้นทุกภูมิจะถูกทำลายด้วย ไฟ น้ำ ลม

ในคราวที่โลกถูกทำลายด้วยไฟ ไฟจะลุกไหม้ตั้งแต่อบายภูมิ มนุษยภูมิ เทวภูมิ จนถึงปฐมฌานภูมิ ๓ ถูกทำลายทั้งหมด

คราวที่โลกถูกทำลายด้วยน้ำจะท่วมตั้งแต่อบายภูมิ มนุษยภูมิ เทวภูมิ ปฐมฌานภูมิ ๓ ทุติยฌานภูมิ ๓ ถูกทำลายทั้งหมด

คราวที่โลกถูกทำลายด้วยลม ลมจะพัดทำลายตั้งแต่อบายภูมิ มนุษยภูมิ เทวภูมิ ปฐมฌานภูมิ ๓ ทุติยฌานภูมิ ๓ ตติยฌานภูมิ ๓ จะถูกทำลายทั้งหมด

ภูมิที่พ้นจากการถูกทำลายด้วยไฟ น้ำ ลม คือ จตุตถฌานภูมิ และ อรูปภูมิ



อายุของสัตว์ในภูมิ ๓๑
ต่อไปจะได้พรรณนาถึงอายุของเทวดาพรหมทั้งหลาย จะได้เห็นว่าการได้ไปเสวยสุขที่โลกสวรรค์นั้นมีอายุเท่าไรบ้าง และอายุของสัตว์นรกว่ามีอายุเสวยผลอกุศลกรรมเท่าไรบ้าง ทำบุญแล้วอธิษฐานให้เกิดในสวรรค์ ในอรรถกถาธรรมบท กล่าวเรื่องเวลาของสวรรค์เทียบกับมนุษย์ไว้ดังนี้:-

 

ในดาวดึงส์เทวโลกเทวบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า มาลาภารี ไปเที่ยวชมอุทยานพร้อมกับหมู่เทพอัปสร เทพธิดาองค์หนึ่งจุติ ในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนกิ่งต้นไม้ให้ ดอกไม้หล่นจากต้น สรีระของนางดับหายไปเหมือนอย่างเปลวประทีปดับ นางถือปฏิสนธิในตระกูลหนึ่งในกรุงสาวัตถีและระลึกชาติได้ว่า เป็นภรรยาของมาลาภารีเทวบุตร นางตั้งความปรารถนาจะไปเกิดในสำนักของเทพสามีอีก

ขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี นางมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทำการบูชาพระรัตนตรัย ทำบุญกุศลต่างๆ และตั้งความปรารถนาอย่างเดียวนั้นตั้งแต่ยังเยาว์วัย จนถึงได้นามว่า ปติปูชิกา แปลว่า บูชาเพื่อสามี

เมื่อเจริญวัยก็มีสามี คนทั้งหลายก็เข้าใจว่าเป็นที่สมปรารถนาแล้ว นางมีบุตรหลายคนโดยลำดับ ได้ตั้งหน้าทำบุญกุศลต่างๆ อยู่เป็นนิตย์ ในวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อฟังธรรมรักษาสิกขาบทแล้ว ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคปัจจุบัน บังเกิดในสำนักเทพสามีในสวนสวรรค์นั้นแหละ

ขณะนั้น มาลาภารีเทวบุตรก็กำลังอยู่ในอุทยานหมู่เทพอัปสรกาลังเก็บร้อยดอกไม้กันอยู่ เทวบุตรได้ทักถามว่านางหายไปไหนแต่เช้า นางได้ตอบว่าจุติแล้วไปเกิดในมนุษย์ ได้เล่าเรื่องของนางในมนุษย์โดยตลอด และได้เล่าถึงความตั้งใจของนางเพื่อที่จะมาเกิดอีกในสำนักของเทพสามี

บัดนี้ก็ได้มาเกิดสมปรารถนาด้วยอำนาจบุญกุศลและความตั้งใจ เทวบุตรถามถึงกำหนดอายุมนุษย์ เมื่อได้รับตอบว่าประมาณร้อยปีเกินไปมีน้อย

ได้ถามต่อไปว่าหมู่มนุษย์มีอายุเพียงเท่านี้ พากันประมาทเหมือนอย่างหลับ หรือพากันทำบุญกุศลต่างๆ
 
เทพธิดาตอบว่า พวกมนุษย์โดยมากพากันประมาท  เหมือนอย่างมีอายุตั้งอสงไขย เหมือนอย่างไม่แก่ ไม่ตาย เทวบุตรได้เกิดความสังเวชใจ


ความจากพระธรรมบท มุ่งเตือนใจให้ไม่ประมาท เพราะทุกๆคนจะต้องตาย ขณะที่ยังไม่อิ่มยังเพลิดเพลินอยู่ในกาม เหมือนอย่างนางเทพธิดาเพลินเก็บดอกไม้ต้องจุติ(ตาย) ทันทีในสวนสวรรค์นั้น

ในติกนิบาต แสดงอายุสวรรค์เทียบอายุมนุษย์ไว้ว่า

 

อายุของเทวดา
ห้าสิบปีมนุษย์ เป็นหนึ่งคืนวัน สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
๓๐ คืนวันเป็นหนึ่งเดือนสวรรค์นั้น  ๑๒ เดือนเป็นหนึ่งปีสวรรค์
ห้าร้อยปีทิพย์เป็นประมาณอายุของเทพชั้นจาตุมหาราชิกา
เท่ากับเก้าล้านปีมนุษย์ (50x360x500 = 9,000,000)


หนึ่งร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นับเดือนปีเช่นเดียวกัน
พันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นดาวดึงส์
เท่ากับสามโกฏิหกล้านปีมนุษย์ (4x9,000,000 = 36,000,000)

สองร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันสวรรค์ชั้นยามา นับเดือนปีเช่นเดียวกัน สองพันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นยามา เท่ากับสิบสี่โกฏิสี่ล้านปีมนุษย์ (4x36,000,000 = 144,000,000)

สี่ร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันสวรรค์ชั้นดุสิต นับเดือนปีเช่นเดียวกัน สี่พันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นดุสิต เท่ากับห้าสิบเจ็ดโกฏิหกล้านปีมนุษย์ (4x144,000,000 = 576,000,000)

แปดร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันสวรรค์ชั้นนิมมานรตี นับเดือนปีเช่นเดียวกัน แปดพันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นนิมมานรตี
เท่ากับสองร้อยสามสิบโกฏิกับสี่ล้านปีของมนุษย์ (4x576,000,000 = 2,304,000,000)


หนึ่งพันหกร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี นับเดือนปีเช่นเดียวกัน หนึ่งหมื่นหกพันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
เท่ากับเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิกับหกล้านปีมนุษย์ (4x2,304,000,000 = 9,216,000,000)

อายุของรูปพรหม
เทพชั้นพรหมโลกยิ่งมีอายุมากขึ้นไปอีก ดังต่อไปนี้
 
๑. พรหมปาริสัชชา มีอายุเท่าส่วนที่สามของกัป คือหนึ่งในสามของกัป
๒. พรหมปุโรหิต มีอายุกึ่งกัป
๓. มหาพรหม มีอายุหนึ่งกัป
๔. ปริตตาภาพรหม มีอายุสองกัป
๕. อัปปมาณาภาพรหม มีอายุสี่กัป
๖. อาภัสสราพรหม มีอายุแปดกัป
๗. ปริตตสุภาพรหม มีอายุสิบหกกัป
๘. อัปปมาณสุภาพรหม มีอายุสามสิบสองกัป
๙. สุภกิณหาพรหม มีอายุหกสิบสี่กัป
๑๐. เวหัปผลาพรหม และ อสัญญสัตพรหม มีอายุห้าร้อยกัป
๑๑. อวิหาพรหม มีอายุพันกัป
๑๒. อตัปปาพรหม มีอายุสองพันกัป
๑๓. สุทัสสาพรหม มีอายุสี่พันกัป
๑๔. สุทัสสีพรหม มีอายุแปดพันกัป
๑๕. อกนิฏฐาพรหม มีอายุหนึ่งหมื่นหกพันกัป

 

อายุของอรูปพรหม
อรูปพรหมอีก ๔ ชั้นยิ่งมีอายุมากขึ้นไปอีก

อรูปที่หนึ่งมีอายุสองหมื่นกัป
อรูปที่สองมีอายุสี่หมื่นกัป
อรูปที่สามมีอายุหกหมื่นกัป
อรูปที่สี่มีอายุแปดหมื่นสี่พันกัป



อายุของสัตว์ในนรก
อนึ่ง มีแสดงถึงอายุสัตว์ในนรกเทียบกับอายุในสวรรค์ไว้ว่า

ห้าร้อยปีทิพย์ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นคืนวันหนึ่งใน สัญชีวนรก
สัตว์นรกขุมนี้มีอายุห้าร้อยปีนรกนั้น


พันปีทิพย์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นคืนวันหนึ่งใน กาฬสุตตนรก
สัตว์นรกขุมนี้มีอายุหนึ่งพันปีนรกนั้น

สองพันปีทิพย์ในสวรรค์ชั้นยามา เป็นคืนวันหนึ่งใน สังฆาตนรก
สัตว์นรกขุมนี้มีอายุสองพันปีนรกนั้น


สี่พันปีทิพย์ในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นคืนวันหนึ่งใน โรรุวนรก
สัตว์นรกขุมนี้มีอายุสี่พันปีนรกนั้น

แปดพันปีทิพย์ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นคืนวันหนึ่งใน มหาโรรุวนรก
สัตว์นรกขุมนี้มีอายุแปดพันปีนรกนั้น


หนึ่งหมื่นหกพันปีทิพย์ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เป็นคืนวันหนึ่งใน ตาปนนรก
สัตว์นรกขุมนี้มีอายุหนึ่งหมื่นหกพันปีนรกนั้น

มหาตาปนนรก มีอายุกึ่งอันตรกัป
อเวจีนรก มีอายุหนึ่งอันตรกัป



การนับกาลเวลาที่เรียกว่า กัปหรือกัลป์ เป็นอย่างไร
การนับจำนวนเรื่องกาลเวลาจากคัมภีร์ต่างๆ สรุปได้เป็น ๒ วิธี คือ

๑.นับด้วยจำนวนสังขยา คือ นับจำนวนด้วยตัวเลข เช่น ๑,๒,๓,..... เป็นต้น

๒.กำหนดด้วยอุปมา คือ กำหนดด้วยเครื่องกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเมื่อมากเกินไปที่จะนับด้วยจำนวนตัวเลข การกำหนดในวิธีที่ ๒ นี้ เป็นที่มาของคาว่า กัป กัปมี ๔ อย่าง คือ

๑. อายุกัป 
๒. อันตรกัป
๓. อสงไขยกัป
๔. มหากัป

 

๑. อายุกัป หมายถึง กาลเวลาแห่งอายุขัยตามยุคตามสมัย เช่น อายุขัยของคนในยุคปัจจุบัน มีอายุขัยประมาณ ๗๕ ปี หรืออย่างเช่น ในคราวที่พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารว่าอีกสามเดือนจะเสด็จปรินิพพาน

หลังจากที่พระอานนท์ทราบแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาขอให้เสด็จอยู่กัปหนึ่ง เพราะได้เคยสดับพระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่เจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ถ้าตั้งใจจะดำรงรูปกายอยู่ก็จะอยู่ได้กัปหนึ่ง หรือเหลือกว่ากัปหนึ่ง ในช่วงนั้นมนุษย์ก็มีอายุขัยประมาณร้อยปี

๒. อันตรกัป การนับอายุ คือ ในสมัยต้นกัปมนุษย์มีอายุขัยยืนยาวมากถึงอสงไขยปี (มากจนนับจำนวนปีไม่ได้) ต่อมาอายุขัยของมนุษย์ค่อยๆ ลดลงตามลำดับจนเหลือแค่ ๑๐ ปี เมื่อลดลงถึงสิบปีแล้วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปอีกจนถึงอสงไขยปีอย่างเก่าอีก เป็นอย่างนี้เท่ากับ ๑ รอบ เรียกว่า อันตรกัป

๓. อสงไขยกัป จำนวนอันตรกัปดังที่กล่าวไว้ในข้อที่ ๒ เป็นอย่างนั้นไปอีกจนครบ ๖๔ อันตรกัป เท่ากับ ๑ อสงไขยกัป (การนับจำนวนอสงไขยกัป มีการกล่าวไว้หลายนัย บ้างก็กล่าวว่า ๒๐ อันตรกัป เป็น ๑ อสงไขยกัป บ้างก็ว่า ๘๐ อันตรกัป เป็น ๑ อสงไขยกัป)

๔. มหากัป มีวิธีนับคือ ๔ อสงไขยกัป = ๑ มหากัป มหากัปหนึ่งๆ มีเวลายาวนานมาก จนไม่สามารถประมาณได้ว่าเป็นเวลานานสักเท่าใด

มีอุปมาว่า มีภูเขาหินใหญ่ยาวโยชน์หนึ่งกว้างโยชน์หนึ่ง (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร) ไม่มีช่องไม่มีโพรง เป็นก้อนหินแท่งทึบ ถึงร้อยปีหนหนึ่ง มีบุรุษใช้ผ้าทอที่แคว้นกาสี (ผ้าเนื้อดี) ร้อยปีมาลูบครึ่งหนึ่ง ภูเขาหินนั้นก็จะพึงราบเรียบไปก่อน แต่กัปยังไม่สิ้น

อีกอุปมาหนึ่งว่า มีพื้นที่กว้างและยาวร้อยโยชน์ มีกำแพงสูงร้อยโยชน์ ภายในเต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาดแน่นขนัด มีบุรุษมาหยิบพันธุ์ผักกาดไปเมล็ดหนึ่งทุกๆ ร้อยปี กองเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นก็จะหมดไปก่อน ส่วนกัปยังไม่สิ้น กัปที่ยาวมากดั่งนี้ เรียกว่า มหากัป



ที่มา  คัดลอกจาก “บทเรียนชุดที่ ๖.๒ เรื่อง ภพภูมิ ๓๑”
หนังสืออ้างอิง
๑. ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๒. ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑ ; ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมมัตถสังคหฎีกา ; พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
22134  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ต้นงิ้ว" วิมานฉิมพลีของนางกากี เมื่อ: สิงหาคม 15, 2010, 10:44:27 am
ต้นงิ้ว วิมานฉิมพลีของนางกากี


โบราณเปรียบหญิงมากชู้หลายผัว ว่าเป็น ‘นางกากี’ ซึ่งมีเค้าเรื่องมาจาก ‘กากาติชาดก’ ว่า พระโพธิสัตว์ครั้งเกิดเป็นพระราชาผู้ครองเมืองพาราณสี มีพระเทวีนามว่า ‘กากาติ’ ซึ่งทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่ง

วันหนึ่งมีพญาครุฑชื่อว่า ‘ท้าวเวนไตรย’ แปลงร่างเป็นมนุษย์มาเล่นสกา (การพนันชนิดหนึ่ง) กับพระราชา ท้าวเวนไตรยเห็นพระนางกากาติ ก็เกิดความรักใคร่ จึงแอบพาหนีไปอยู่ที่วิมานฉิมพลีซึ่งเป็นที่อยู่ของตน เมื่อพระราชาทราบเรื่องจึงมีรับสั่งให้คนธรรพ์ชื่อ ‘กุเวร’ นำพระเทวีกลับมา

กุเวรได้ไปแอบซุ่มอยู่ในดงตะไคร้ข้างสระ พอพญาครุฑบินไปจากสระก็แอบกระโดดเกาะปีกไปจนถึงวิมานฉิมพลี แล้วแอบได้เสียกับพระเทวีที่วิมานนั้น จากนั้นก็เกาะปีกพญาครุฑกลับมาเมืองพาราณสีอีก วันหนึ่งขณะที่พญาครุฑเล่นสกากับพระราชา คนธรรพ์ก็ขับร้องเป็นเพลงว่า “หญิงรักคนรักของเราอยู่ ณ ที่แห่งใด กลิ่นของนางยังหอมฟุ้งมาที่แห่งนั้น ใจของเรายินดีในนางใด นางนั้นชื่อกากาติ อยู่ไกลจากที่นี้”

พญาครุฑพอได้ฟังแล้วสะดุ้งจึงถามกลับไปว่า “ท่านข้ามทะเลมหาสมุทรทั้ง ๗ แห่งไปได้อย่างไร แล้วขึ้นวิมานฉิมพลีได้อย่างไร” คำตอบที่ได้รับคือ “เราข้ามทะเลมหาสมุทรทั้ง ๗ แห่งได้ก็เพราะท่าน ขึ้นวิมานฉิมพลีได้ก็เพราะท่านอีกนั่นแหละ”


เมื่อพญาครุฑได้ทราบความจริงก็กล่าวติเตียนตัวเองว่า มีร่างกายใหญ่โตเสียเปล่า แต่ไม่มีความคิด จึงเป็นพาหนะให้ชายชู้ของเมีย ดังนั้นจึงได้นำพระเทวีกากาติมาคืนพระราชา และไม่กลับมาเล่นสกากับมนุษย์อีกเลย

วิมานฉิมพลีของพญาครุฑ ก็คือ ‘ต้นงิ้ว’ ซึ่งเรียกในภาษาบาลีว่า ‘สิมพลี’ นั่นเอง !!

ต้นงิ้ว เป็นพืชในสกุล Bombax มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bombax ceiba Linn. เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูงราว 15-20 เมตร เรือนอยดทรงกลมแผ่กว้าง ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีน้ำตาลอมเทา มีหนามแหลมคมทั่วทั้งลำต้น ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 5-7 ใบ ใบรูปรี ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา

ดอกมีสีส้มแดง แดงเหลือง หรือขาว มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก ออกเป็นช่ออยู่ตามปลายกิ่ง ช่อหนึ่งๆ มีดอกราว 3-5 ดอก มีกลิ่นหอมและร่วงง่าย ออกดอกราวเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ส่วนผลมีลักษณะกลมรี เปลือกแข็ง ภายในผลมีเมล็ดกลมสีดำมากมายซึ่งมีปุยสีขาวหุ้มห่ออยู่ เมื่อแก่จัดผลหรือฝักนี้จะแตกออก

ประโยชน์ของงิ้วมีมากมาย อาทิเช่น เนื้อไม้ เป็นไม้เนื้ออ่อน จึงนำมาทำดินสอ ไม้จิ้มฟัน เยื่อกระดาษ, เปลือก ใช้ทำเส้นใย เชือก, น้ำมันจากเมล็ดใช้ปรุงอาหาร ทำสบู่ และปุยสีขาวใช้ยัดหมอนและที่นอนเช่นเดียวกับนุ่น

ส่วนสรรพคุณทางยาพื้นบ้านหรือยาสมุนไพรนั้นก็มีไม่น้อย อาทิ เปลือก ใช้สมานแผลแก้ท้องร่วง กระเพาะอาหารอักเสบ ดอก ใช้แก้ไข้ ท้องร่วง บิด แผลฝีหนอง ห้ามเลือด ฟกช้ำบวม อักเสบ แก้คัน แก้กระหายน้ำ ยางใช้ห้ามเลือด ราก ใช้สมานแผล แก้แผลใน กระเพาะอาหาร บำรุงกำลัง เป็นต้น


ในพระสูตรที่ว่าด้วย ‘เทวทูตสูตร’ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงให้เห็นถึงมหานรก ที่มีการลงโทษคนที่กระทำความชั่วอย่างน่าสะพรึงกลัว ก็ได้กล่าวถึงต้นงิ้วไว้ในความตอนหนึ่งว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย และนรกเถ้ารึงนั้น มีป่างิ้วใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน ต้นสูงชลูดขึ้นไปโยชน์หนึ่ง มีหนามยาว ๑๖ องคุลี มีไฟติดทั่วลุกโพลงโชติช่วง เหล่านายนิรยบาลจะบังคับให้สัตว์นั้นขึ้นๆ ลงๆ ที่ต้นงิ้วนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุดฯ”


และใน ‘นารทชาดก’ ได้พูดถึงเรื่องต้นงิ้ว ดังนี้

“...ต้นงิ้วสูงเทียมเมฆ เต็มไปด้วยหนามเหล็กคมกริบ กระหายเลือดคน หญิงผู้ประพฤติล่วงสามี และชายผู้หากระทำชู้ภรรยาผู้อื่น ถูกนายนิรยบาลผู้ทำตามสั่งของพระยายม ถือหอกไล่ทิ่มแทงให้ขึ้นต้นงิ้วนั้น...”

รู้จักต้นงิ้วกันอย่างนี้แล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีใครอยากปีนอีกหรือเปล่า ?



โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 ตุลาคม 2548 17:01 น.
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9049
22135  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มารู้จักกับ "ดอกเข้าพรรษา" เมื่อ: สิงหาคม 15, 2010, 10:23:11 am
ดอกเข้าพรรษา

งามสง่าในลีลา ‘หงส์เหิน’

ยามเมื่อฤดูกาลเข้าพรรษาเวียนมาถึง ดอกไม้ชนิดหนึ่งก็เริ่มผลิดอกบานสะพรั่ง ผู้คนต่างพากันเก็บมาถวายพระจนก่อเกิดเป็น ประเพณี “ตักบาตรดอกไม้” ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิมของชาวอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี

โดยมีที่มาจากเรื่องราวในพระพุทธศาสนาว่า นาย สุมนมาลาการ ได้ถวายดอกมะลิบูชาแด่พระพุทธเจ้า และด้วยอานิสงส์ดังกล่าวทำให้นายสุมนมาลาการมีชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชน จึงได้พร้อมใจกันนำดอกไม้มาถวายเป็นพุทธบูชา

ดอกไม้ที่ชาวอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี นำมาใช้ตักบาตรในประเพณีนี้ จึงเรียกขานกันว่า ‘ดอกเข้าพรรษา’ หรือ ‘ดอกหงส์เหิน’ เพราะลักษณะของดอกและเกสรประดุจดังตัวหงส์ ที่กำลังเหินบินด้วยท่วงท่าลีลาอันสง่างามนั่นเอง
 

หงส์เหิน (Globba winiti) เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์ขิง เป็นไม้ดอกเมืองร้อนเกิดในป่าร้อนชื้น พบในประเทศไทย, พม่า และเวียดนาม ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่หรือตามชายป่า มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น กล้วยจ๊ะก่า (ตาก), กล้วยจ๊ะก่าหลวง (ลำพูน), กล้วยเครือคำ (เชียงใหม่), ก้ามปู (พิษณุโลก), ขมิ้นผีหรือกระทือลิง (ภาคกลาง), ว่านดอกเหลือง (เลย), ดอกเข้าพรรษา (สระบุรี) เป็นต้น

‘ต้นหงส์เหิน’ หรือ ‘ต้นเข้าพรรษา’ เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นเป็นหัวประเภทเหง้าแบบมีรากสะสมอาหาร คล้ายรากกระชาย ส่วนของลำต้นเหนือดิน คือ กาบใบที่เรียงตัวกันแน่น ทำหน้าที่เป็นต้นเทียมเหนือดิน เกิดเป็นกลุ่มกอ สูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหอก ออกเรียงสลับซ้ายขวาเป็นสองแถว

ส่วนดอกออกเป็นช่อซึ่งแทงออกมาจากยอดของลำต้นเทียม ช่อดอกมีลักษณะอ่อนช้อยสวยงาม ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร มีก้านดอกย่อยเรียงอยู่โดยรอบ ประกอบด้วยดอกจริง 1-3 ดอก มีสีเหลืองสดใสคล้ายรูปตัวหงส์กำลังเหินบิน มีกลีบประดับขนาดใหญ่ตามช่อโดยรอบจากโคนถึงปลาย และสีของกลีบประดับมีหลายสี เช่น ขาว ม่วง เขียว และแดง
 

ดอกเข้าพรรษาหรือดอกหงส์เหิน หนึ่งปีจะออกดอกเพียงครั้งเดียว เฉพาะในช่วงเทศกาลวันเข้าพรรษาเท่านั้น ในท้องที่อำเภอพระพุทธบาท พบว่ามี 2 สกุล ได้แก่ สกุลกระเจียว มีดอกสีขาวหรือขาวอมชมพู และสกุลหงส์เหิน ดังกล่าวข้างต้น

เมื่อถึงวันเข้าพรรษา คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวอำเภอพระพุทธบาทจะพากันไปเก็บดอกเข้าพรรษาตามไหล่เขาโพธิลังกาหรือเขา สุวรรณบรรพต เทือกเขาวง และเขาพุในเขตอำเภอพระพุทธบาท นำมาจัดรวมกับธูปเทียนเพื่อตักบาตรถวายพระ

ซึ่งที่จังหวัดสระบุรีนี้ได้จัดพิธีตักบาตรดอกไม้ ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และเป็นสถานที่ประดิษฐาน “รอยพระพุทธบาท” อันศักดิ์สิทธิ์ที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพบูชา ซึ่งมีความเชื่อในคติชาวลังกาว่า พระพุทธเจ้าได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ 5 แห่ง และรอยพระพุทธบาทที่วัดพระพุทธบาทฯ แห่งนี้ เป็น 1 ใน 5 แห่ง ต่อมารอยพระพุทธบาทนี้ถูกค้นพบในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
 
‘รอยพระพุทธบาท’ ภายในพระมณฑปพระพุทธบาท
วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี

รอยพระพุทธบาทแห่งนี้มีลักษณะเป็นหลุมลึกคล้ายรอยเท้าคน กว้าง 21 นิ้ว ยาว 5 ฟุต ลึก 11นิ้ว จะสังเกตว่ารอบๆ รอยพระพุทธบาทนั้นพุทธศาสนิกชนปิดทองกันเหลืองอร่ามไปทั่ว นั่นเป็นดัชนีชี้วัดแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี ว่ากันว่าหากใครมีโอกาสไปสักการะรอยพระพุทธบาทครบ 7 ครั้ง ผลบุญจะส่งให้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ตลอดจนเชื่อกันว่า เมื่อนำดอกเข้าพรรษามาตักบาตรจะได้บุญกุศลแรง โดยนิยมตักบาตรด้วยดอกเข้าพรรษาสีขาว เพราะหมายถึงความบริสุทธิ์แห่งพระพุทธศาสนา และสีเหลือง เพราะหมายถึงสีแห่งพระสงฆ์ สาวกแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าในหนึ่งดอกมีสีเหลืองกับสีขาวอยู่ในดอกเดียวกันจะเป็นการยิ่งดี โดยเฉพาะสีเหลืองแต้มสีขาวจะดียิ่งขึ้น


พระสงฆ์จะนำดอกไม้ที่รับบิณบาตไปสักการะ “รอยพระพุทธบาท” ในพระมณฑป และสักการะ พระเจดีย์จุฬามณี รวมทั้ง พระ เจดีย์มหาธาตุองค์ใหญ่ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แล้วนำเข้าพระอุโบสถประกอบพิธีสวดอธิษฐานเข้าพรรษา ระหว่างพระสงฆ์เดินลงจากพระมณฑป ก่อนที่จะเข้าพระอุโบสถตรงบันได พุทธศาสนิกชนจะนำน้ำสะอาดมาล้างเท้าพระสงฆ์ เชื่อว่าเป็นการชำระบาปของตนเองด้วย

ดอกเข้าพรรษาสีเหลือง

นอกจากประเพณีการตักบาตรดอกไม้จะมีที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร จังหวัดสระบุรีแล้ว ในกรุงเทพมหานคร ก็ยังมีที่วัดบวรนิเวศวิหาร, วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม และวัดพระรามเก้า กาญจนาภิเษก สำหรับดอกไม้ที่ใช้ในประเพณีนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นดอกเข้าพรรษาเท่านั้น จะเป็นดอกไม้อื่นๆ ที่ใช้บูชาพระก็ได้ เช่น ดอกมะลิ, ดอกบัว, ดอกกล้วยไม้, ดอกดาวเรือง เป็นต้น


สำหรับคำถวายดอกไม้ ธูปเทียนเพื่อบูชาพระ ซึ่งสามารถใช้ได้โดยทั่วไป มีดังนี้

อิมานิ มะยัง ภันเต ทีปะธูปะปุปผะวะรานิ
ระตะนัตตะยัสเสวะ อะภิปูเชมะ
อัมหากัง ระตะนัตตะยัสสะ ปูชา ทีฆะรัตตัง
หิตะสุขาวะหา โหตุ อาสะวักขะยัปปัตติยา


คำแปล : ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าทั้งหลายขอบูชา ธูป เทียน และดอกไม้อันประเสริฐเหล่านี้แก่พระรัตนตรัย ขอจงเป็นผลนำมาซึ่งประโยชน์สุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนาน เพื่อให้ถึงซึ่งนิพพาน ที่ซึ่งสิ้นอาสวะกิเลสเทอญ


......................................................

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 มิถุนายน 2549 11:24 น.
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6369

22136  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ขอโทษครับ !!! "อนันตริยกรรม ยังไม่ใช่กรรมที่หนักที่สุด" ? เมื่อ: สิงหาคม 14, 2010, 12:33:54 pm
ขอโทษครับ !!! "อนันตริยกรรม ยังไม่ใช่กรรมที่หนักที่สุด"


ครุกกรรม หมายถึง กรรมที่หนักแน่นจนกรรมอื่นๆ ไม่สามารถห้ามการให้ผลได้ องค์ธรรมได้แก่

มหัคคตกุศลกรรม ๙
ทิฏฐิคตสัมปยุตจิต ๔ (เฉพาะที่เกี่ยวกับนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม ๓)
และโทสมูลจิต ๒ (เฉพาะที่เกี่ยวกับปัญจานันตริยกรรม ๕)
รวมทั้งสิ้นเป็น ๑๕


ครุกกรรมเป็นกรรมหนัก เมื่อจัดลำดับการส่งผลของกรรมแล้ว

ครุกกรรม จึงเป็นกรรมลำดับแรกที่จะส่งผลนำไปเกิดในภพที่สองก่อนกรรมอื่นๆ คือ
ส่งผลก่อนอาสันนกรรม อาจิณณกรรม และกฏัตตากรรม

ครุกกรรมแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย
ครุกกรรมฝ่ายบาป และครุกกรรมฝ่ายบุญ

๑. ครุกกรรมฝ่ายบาป เป็นกรรมหนักฝ่ายบาป เมื่อตายลงผลของบาปจะส่งผลนำไปเกิดในอบายภูมิ ๔ ในชาติต่อไปทันที ครุกกรรมฝ่ายบาป มี ๒ อย่าง คือ
๑.๑ นิยตมิจฉาทิฏฐิ
๑.๒ อนันตริยกรรม

๑.๑ นิยตมิจฉาทิฏฐิ มี ๓ คือ
 
ก. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นผิดคิดว่าไม่มีผลแห่งกรรมที่ทำไว้ เป็นการปฏิเสธผล ผู้ที่มีความเห็นชนิดนัตถิกทิฏฐิ ย่อมมีอุจเฉททิฏฐิด้วย คือเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายตายแล้วก็สูญไม่มี๒๔

การเกิดอีก มีความเห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า สมมติสัจจะ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคติธรรมดา หรือคลองธรรมตามเหตุและผล ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสมมติสัจจะ เช่น ไม่มีมารดาบิดา สัตว์บุคคลเกิดสืบเชื้อสายกันมาตามเรื่องตามราวเท่านั้น

จึงไม่มีใครที่จะต้องนับถือว่าเป็นบิดามารดา แม้ที่นับถือว่าเป็นสมณะ พราหมณ์ ภิกษุ สามเณร ก็ไม่มีเป็นต้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคติธรรมดา หรือที่เป็นไปตามคลองธรรม เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่างนี้ก็ไม่มี

ข. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นผิดคิดว่าไม่มีเหตุ เป็นการปฏิเสธเหตุ คือ เมื่อได้รับผลดีผลร้ายต่างๆ ก็เห็นว่าเป็นไปตามคราว คราวที่มีโชคดีก็ได้รับผลดี คราวที่มีโชคร้ายก็ได้รับผลไม่ดี

ไม่มีเหตุอะไรที่จะมาทำให้ได้ผลดีผลร้าย ปฏิเสธเหตุในการทำดี ทำชั่ว ของบุคคลทั้งหลายที่กระทำกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่เชื่อว่าเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดผลได้ ฉะนั้นการปฏิเสธเหตุนี้ก็เท่ากับว่าปฏิเสธผลไปด้วย


ค. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นผิดคิดว่าการทำบุญทำบาปก็เท่ากับไม่ได้ทำ เป็นการปฏิเสธทั้งเหตุและผลแห่งกรรม คือ

มีความเห็นว่าบุคคลทั้งหลายที่ทำดีก็ตาม ทำชั่วก็ตามไม่เป็นบาปไม่เป็นบุญ แสดงโทษของมิจฉาทิฏฐิ นิยตมิจฉาทิฏฐิเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรง

ซึ่งเมื่อมีความยึดถือ อยู่ในมิจฉาทิฏฐินี้มากจนดิ่งลงไปแล้ว หรือแนบแน่นแล้ว

เพราะมีอุปาทานความยึดถืออยู่อย่างแรงกล้า ผลก็จะส่งให้นำไปเกิดในนรก

เมื่อพ้นจากนรก ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะเป็นผู้มีความเห็นผิดเช่นนั้นๆ ต่อๆไปอีก นับภพชาติไม่ถ้วน

พระพุทธองค์ก็ไม่สามารถทรงโปรด ให้บุคคลที่มีความเห็นผิดนั้นกลับมาเห็นถูกได้

 

๑.๒ อนันตริยกรรม มี ๕ คือ
 
๑. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
๒. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔. โลหิตุปบาท ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต
๕. สังฆเภท ทำให้สงฆ์เกิดความแตกแยกไม่ทำสังฆกรรมร่วมกัน


ในบรรดาอนันตริยกรรม ๕ นี้ เป็นอกุศลกรรมอย่างหนักทั้งสิ้น แต่สามารถจัดลำดับการส่งผลจากมากไปหาน้อย คือ สังฆเภทกกรรมหนักที่สุด รองลงมาคือ โลหิตุปบาท

รองลงมาคือ อรหันตฆาต ส่วนมาตุฆาตและปิตุฆาตทั้งสองนี้ต้องแล้วแต่คุณสมบัติ ท่านใดมีศีลธรรมมากกว่า กรรมนั้นย่อมหนักกว่า ถ้ามารดามีศีลธรรม บิดาไม่มีศีลธรรม มาตุฆาตย่อมหนักกว่า

ถ้าทั้งบิดามารดามีศีลธรรมด้วยกันหรือไม่มีศีลธรรมเหมือนกันแล้ว มาตุฆาตกรรมย่อมหนักกว่า


ถ้าลูกที่มีพ่อแม่ป่วยไข้มีความทุกข์ทรมาน ก็อย่าไปสั่งหมอให้ฉีดยาให้ตายไปจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมาน หรือสั่งให้หมอเอาสายออกซิเจนออก เพราะการทำอย่างนี้เป็น อนันตริยกรรม

บางครั้งลูกคิดไม่ถึง ไม่เข้าใจในเหตุและผลแห่งความทุกข์ของบิดามารดาว่า ท่านต้องได้รับเช่นนั้นเป็นเพราะผลกรรมของท่านเอง

เมื่อคิดไม่เป็นหรือเพราะมุ่งแต่สงสาร จึงอาจพลาดพลั้งทำอนันตริยกรรมโดยไม่รู้ตัว

เรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะต้องระมัดระวัง การทำกรรมใดๆ ก็ตาม จะต้องพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน
 

พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “นิสมฺม กรณ เสยฺโย” ใคร่ครวญเสียก่อนจึงทำ

อนันตริยกรรม ๕ นี้ จัดเป็นกรรมหนัก แต่ก็ยังหนักไม่เท่ากับนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม
เพราะนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมเป็นกรรมที่ให้ผลไม่มีที่สิ้นสุด

ส่วนอนันตริยกรรม เมื่อส่งผลให้ไปเสวยกรรม ครบตามกาหนดก็พ้นจากกรรมนั้นๆได้

แต่นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมจะจมปลักอยู่ในกรรมเช่นนี้ตลอดเวลา


๒. ครุกกรรมฝ่ายบุญ กรรมหนักฝ่ายกุศล คือ มหัคคตกุศลกรรม ๙ ได้แก่ รูปาวจรกุศล ๕ อรูปาวจรกุศล ๔ ผู้ที่บาเพ็ญฌานบรรลุถึงปฐมฌาน ถึงฌานที่ ๒ ฌานที่ ๓ ฌานที่ ๔ และฌานที่ ๕ การได้ฌานที่เป็นรูปฌาน ทั้ง ๕ นี้จัดว่าเป็นครุกกรรมฝ่ายกุศล

และเมื่อได้ถึงปัญจมฌานแล้วไปเจริญอรูปฌานต่ออีก ๔ นั้นก็เป็น ครุกกรรมฝ่ายกุศล ครุกกรรมฝ่ายกุศลกรรมทั้ง ๙ ประการนี้


เมื่อเจริญสำเร็จแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าตายจากโลกมนุษย์จะต้องได้รับผลกรรมนั้นในชาติที่สองทันที

คือนำไปเกิดในรูปภูมิ อรูปภูมิ

ส่วนโลกุตตรกุศลกรรม คือ มรรคจิต ๔ จัดว่าเป็นกรรมหนักคือ ครุกกรรมฝ่ายบุญเหมือนกัน แต่ไม่เป็นกรรมที่จะนำไปเกิดได้ มีแต่จะทำลายการเกิด จึงไม่ถือว่าเป็นกรรมที่จะส่งผลให้เกิดในชาติหน้า จึงไม่จัดเข้าเป็นกรรมในหมวดนี้
 


ที่มา  บทเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ ชุดที่ ๗.๑ กฎแห่งกรรม

หนังสืออ้างอิง
๑. ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา ปริจเฉทที่ ๕ เล่ม ๒ กัมมจตุกกะ และ มรณุปปัตติจตุกกะ (หลักสูตรชั้นมัชฌิมอาภิธรรมิกะตรี) รจนาโดย พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ พิมพ์ที่โรงพิมพ์ ทิพยวิสุทธิ์ วันที่พิมพ์ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๙
๒. พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑




สำหรับคนที่เข้าใจผิดว่า อนันตริยกรรมมี ๖ ข้อ ต้องอ่านตรงนี้ครับ

อภิฐาน ๖ (กรรมที่เด่นยิ่งกว่ากรรมอื่นๆ, ฐานะอันยิ่งยวด, ฐานอันหนัก, ความผิดพลาดสถานหนัก)

อภิฐาน ๕ ข้อแรก ตรงกับ อนันตริยกรรม ๕ คือ
มาตุฆาต ปิตุฆาต อรหันตฆาต โลหิตุปบาท และ สังฆเภท   เพิ่มข้อ ๖ คือ

๖. อัญญสัตถุทเทส (ถือศาสดาอื่น คือ ถือถูกอยู่แล้ว กลับไพล่ทิ้งไปถือผิด)

อภิฐานนี้ ในบาลีที่มาเดิม เรียกว่า อภัพพฐาน (ฐานะที่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ไม่อาจจะกระทำ คือ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำ)
22137  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เคล็ดลับทำให้หน้าตาเรา"ดูมีบารมี ราศรี สวยขึ้น" เมื่อ: สิงหาคม 14, 2010, 11:13:12 am

เคล็ดลับทำให้หน้าตาเรา"ดูมีบารมี ราศรี สวยขึ้น"


ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน วัยไหนเราก็สามารถ สร้างพลังชีวิต ราศรี บารมี ให้แก่ตนเองได้

โดยวิธีง่ายๆไม่เจ็บไม่ปวดไม่ทรมาน เหมือนตอนไปทำศัลยกรรมเสริมความงามต่างๆค่ะ


สำหรับท่านที่ต้องการให้ตนเองดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ มีวิธีง่ายๆมากค่ะที่สามารถทำให้ตนเองดูสดใสไม่แก่ขึ้น ถึงอายุเราจะมากขึ้น  แต่หน้าตาและผิวพรรณเราจะไม่ชราตามถ้าเราหมั่นสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิอยู่ประจำ

วิธีนี้จะสามารถใช้ ครอบครุมได้ต่างๆนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โรคภัยไข้เจ็บ อุปสรรคขวากหนาม ภยันอันตรายในทางมืดหรือทางที่เรามองไม่เห็น

แต่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าถ้าเกิดเราทำแล้วและเรายังต้องเผชิญอุปสรรคบางอย่างอีก อันนี้มันเป็นเรื่องแห่งกฎแห่งผลกรรมที่เราเคยสร้างไว้ในอดีต


แต่ถ้าเราหมั่นสวดมนต์ นั่งสมาธิ ผลกรรมก็จะบรรเทาจางลงแต่ไม่หมดนะคะ เหมือนเราเติมน้ำใส่เกลือเพื่อให้เจือจางแต่ความด่างยังไม่หาย



เคล็ดลับการปฎิบัติ

1.การทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ทำจิตใจให้ผ่องทำยังไงหรือคะ เราก็ควรทำใจให้สบายๆอารมณ์ดีหรืออะไรก็ได้ ที่สามารถทำให้ใจเราไม่ทุกข์ และอยู่ในความสบายๆไม่ตรึงเครียด

2. มีจิตใจดี มีเมตตาต่อสัตว์โลกที่อยู่ร่วมกับเรา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือสัตว์เราควรให้ความเมตตาแก่เขา แล้วเราจะได้ นะเมตตามาอยู่ในตัวของเราโดยไม่จำเป็นต้องไปสักยันต์หรือทำสเน่ห์ให้แก่ตัวเอง

3.ถ้ามีเวลาว่างควร ที่จะออกไปใส่บาตร เพราะการใส่บาตรนั้นก็เหมือนแบ่งปันทานให้แด่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วไม่ว่าจะ เป็นบรรพบุรุษ ญาติพี่น้อง , สัตว์โลก หรือ เจ้ากรรมนายเวร-คู่กรรมคู่เวร

{สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจคำว่าเจ้ากรรมนาย เวร}หมายถึงบุคลที่เคยมีชีวิตอยู่ในอดีตชาติ,ปัจจุบัน,เทวดา,หรือสัตว์ที่ เราเคยไปเบียดเบียน หรือทำร้ายเขา

พวกเขาจึงตามจองเวร ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จะทำความดีอะไรก็แล้วแต่..เราควรที่จะระลึกถึงเจ้ากรรมนายเวรของเราแม้แต่ พ่อแม่ก็ยังเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราได้ ฉะนั้นเราควรอุทิศบุญให้แกพวกเขา เพื่อให้เขาไม่มาจองเวรและมาอโหสิกรรมให้เรา แล้วเวลาเราจะทำอะไรก็แล้วแต่นั้น เราก็จะปราศจากอุปสรรคทั้งปวง..

*ส่วนคู่กรรมคู่เวร"ก็เหมือนกันกับเจ้ากรรมนายเวร  คู่ก็เปรียบเหมือนสามี-ภรรยา หรือคนที่เราเคยร่วมเรือนเคียงกัน หรือผูกพันธ์กัน และเคยทำบาปต่อกันไว้ คำว่าบาปก็หมายถึงอย่างเช่นระหว่างเราคบกัน เราไปมีชู้หรือโกหกนี่ก็เป็นบาป หรือทำให้คนรักของเราเป็นทุกข์อย่างนี้ก็เป็นบาป หรือเคยไปหลอกลวงเขาอันนี้ยิ่งเป็นบาป



4. ก่อนนอนควรสวดมนต์ไหว้พระ หรือกราบหมอนทุกวัน{ถ้าทำได้ทุกวันยิ่งเป็นผลดีมาก}ก็แล้วแต่กำลัง ความสะดวกของเรา


การสวดมนต์เราจะได้อนิสงค์หลายๆประการ เช่น บุญรักษา พระคุ้มครอง ทำให้หน้าตาเราสง่ามีราศรี ผ่องใส ดูเยาว์วัย

,ทำให้ใครเห็นก็เมตตาอุปภัมป์เรา,ทำให้เราแคร้วคราดต่อสิ่งอันตรายทั้งปวงและที่สำคัญทำให้เรามี"สติและปัญญา"สติสัมปะชัญญะ


5. นั่งสมาธิ หาเวลาว่างๆมานั่งทำสมาธิกันนะคะเพราะสมาธิ ทำให้เรามีสติปัญญามากยิ่งขึ้น ความจำก็ดีขึ้น ความจำไม่สั้น และจำได้มากขึ้น หน้าตาก็จะใสดูมีราศรี อ่อก่อนนั่งเราควรระลึกถึงครูบาอาจารย์ หรือถ้าสำหรับเด็กๆที่ยังไม่เข้าใจว่าครูบาอาจารย์คนไหนท่านคือ?

เราก็ควรระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก่อนนะคะเพื่อให้ท่านคุ้มครองเราในขณะนั่ง อย่านั่งนานเกินกำลังเรานะคะ ค่อยๆทำไปทีละนิดๆเช่นวันละ5-15นาที


6.กรวดน้ำ ให้แก่คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ เทพเทวดาอารักษ์ขา เจ้าที่เจ้าทาง พระแม่คงคา พระแม่ธรณี พระอัคคี พระพาย ทั้ง4 อย่างนี้คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยท่าน เราควรอุทิศให้แด่ท่านมาก

สัมพเวสี ผีไม่มีญาติ{อันนี้น่ากลัว เพราะถ้าเขาหิวโหย และถ้าเราจิตตกเขาอาจเข้าแทรกหรือแกล้งเราได้} สัตว์ทั้งหลาย ก็ควรอุทิศ เพราะเราไม่ทราบว่าเราทำบาปเมื่อไหร่ เช่นเดินไปเหยียบมด หรือตบยุงเป็นต้น


จะสรุปแบบย่อๆให้นะคะ ง่ายๆ วิธีทำให้ตัวเองดูมีบารมีราศรีนั้น ควรสวดมนต์ นั่งสมาธิอยู่สม่ำเสมอ ไม่เชื่อลองไปทำดูนะคะ อ่ออย่าลืมนะคะทุกอย่างต้องทำด้วยใจค่ะ ถึงจะได้ผลดียิ่ง


ข้อมูลจาก montradevi
ที่มา  http://www.montradevi.org/webboard-เคล็ดลับทำให้หน้าตาเราดูสง่ามีราศรี-1-35237-1.html
22138  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ไก่กับไข่" อันไหนเกิดก่อนกัน เมื่อ: สิงหาคม 05, 2010, 01:38:20 pm
ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน
จากคอลัมภ์ จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว
นิตยสารธรรมะใกล้ตัว Lite ฉบับที่ ๓๑


เมื่อก่อนผมอยากรู้ขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ
กับคำถามชวนฟุ้งซ่านที่ว่า
ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน

ฟังดูง่ายๆก็เป็นคำถามตื้นๆ
แต่ถ้าคิดเอาจริงเอาจัง
มันก็เล่นงานเราให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นสุข
เหมือนกับว่าจนตายก็คงหาคำเฉลยจากไหนไม่ได้แน่ๆ


คนทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา
ก็คงตายไปพร้อมกับความอัดอั้นตันใจ
ตกลงไม่รู้ว่าไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน
คิดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่ทราบจะเชื่อใครดี
เถียงไปก็หัวแตกเปล่า
เชื่ออย่างหนึ่งก็สามารถเปลี่ยนข้างไปเชื่ออีกอย่างหนึ่งได้


หนึ่งในคนที่ตายไปพร้อมกับความอัดอั้นตันใจดังกล่าว
อาจกลับชาติมาเกิดเป็นนักวิทยาศาสตร์ยุคเรา
ยุคเดียวที่มีสิทธิ์รู้คำตอบที่แน่ชัด
วันนี้เขาได้เปิดเผยให้ชาวโลกรู้แล้วครับ
เป็นคำตอบที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน
ไม่ใช่แค่คาดเดาเอาแบบเรื่องโคมลอยยกเมฆแต่อย่างใด


สำนักข่าว CBS ระบุว่านักวิทยาศาสตร์สัญชาติอังกฤษ
นามว่าดอกเตอร์โคลิน ฟรีแมน (Colin Freeman)
ได้ใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชื่อ เฮกเตอร์ (HECToR)
ในการสำรวจตรวจดูรายละเอียดเปลือกไข่
จนรู้ว่าไข่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างไร

คือหมายความว่าถ้าเรารู้จริงว่าไข่ "ต้องมาจากไหน"
ก็เป็นอันจบ ไม่ต้องเถียงกันอีกเรื่องต้นกำเนิดของไข่


ผลปรากฏว่าโปรตีนที่จำเป็นต่อการก่อตัวของไข่
หาพบได้ในตัวไก่เท่านั้นครับ
ฉะนั้น ข้อสรุปอันเป็นที่สุดก็คือ ตัวแม่ไก่ต้องมาก่อนไข่!

คราวนี้ก็เหลือคำถามที่ชวนขนหัวลุกล่ะว่า
แล้วไก่มาปรากฏตัวอยู่ก่อนไข่ได้อย่างไร
ใครหรืออะไรเป็นผู้สร้าง?


หลายศาสนาคงมีคำตอบยืนยันให้กับหลักความเชื่อของตน
ถ้าเอาตามคำอธิบายของพุทธเรา
ก็มีคำตอบอันเป็นที่สุด
ก่อนเกิดไก่ มีกรรมให้เกิดไก่
ก่อนกำเนิดในภพหรือภาวะของความเป็นไก่
มีภาวะอกุศลอันดำมืดบางอย่าง
บันดาลให้เกิดการก่อร่างสร้างภาวะไก่ขึ้นมา


และก่อนเกิดกรรม มีความไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วได้ผลอย่างไร
เป็นตัวขับดันขั้นปฐมสุด
ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าสังสารวัฏเริ่มต้นที่สุดจากความไม่รู้


แม้แต่พระสัพพัญญุตญาณอันรู้แจ้งทุกสิ่ง
ก็ไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าต้นกำเนิดกับวาระสุดท้ายของสังสารวัฏ
อยู่ตรงไหนในห้วงแห่งกาลเวลาอันเป็นอนันต์
การถามถึงชาติแรกก็ดี
การถามถึงเรื่องไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกันก็ดี
ล้วนเป็นไปเพื่อความไม่อาจยุติ
ในเมื่อมันมีเหตุของมันมาเรื่อยๆ
ขาดเหตุไม่มีทางได้ผล


ศาสนาพุทธเรามีแต่การออกจากวงจรอุบาทว์
ของเหตุและผลแห่งทุกข์
ทุกข์อันได้แก่การมีกายใจในอัตภาพต่างๆ
ยกขึ้นเป็นที่ตั้งของความพลัดพรากจากที่รัก
เป็นที่ตั้งของความเศร้าโศกอมโรคนานัปการ


สรุปคือพุทธเรามีคำตอบอันเป็นที่สุดทุกข์
และชี้ว่าคำตอบอันเป็นที่สุดโลกนั้นไม่มีครับ
คิดไปหัวแตกเปล่าอยู่ดี
แม้จะมีวิทยาการล้ำสมัยขนาดไหนมาช่วยก็ตาม

ดังตฤณ
กรกฎาคม ๕๓


ที่มา CBS News http://bit.ly/af0NnW
22139  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "โชติกเศรษฐี" ผู้ได้ภรรยาเป็นมนุษย์ต่างดาว "ชาวอุตตรกุรุทวีป" เมื่อ: สิงหาคม 04, 2010, 12:41:27 pm


"โชติกเศรษฐีี" ผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง

     มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาความเป็นผู้เลิศ ไม่ว่าจะเลิศทางด้านรูปสมบัติทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ ทั้งที่เป็นของมนุษย์และของทิพย์ การจะได้ความเป็นผู้เลิศนี้มา ก็ต้องอาศัยการประกอบเหตุกันทั้งนั้น คือต้องกล้ารื้อผังจน และต้องกล้ารวย ความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจ มากน้อยเพียงใด

     ต้องขจัดออกไปให้หมด ต้องไม่ห่วง ไม่หวง มีแต่อยากเป็นผู้ให้ ให้โดยไม่รู้สึกเสียดาย ยิ่งให้ก็ยิ่งปลื้มปีติ เพราะหวงคือไล่ ให้คือเรียก เรียกสิริมงคลทั้งหลายมาสู่ตัวของเรา ทานกุศลที่ได้ทำไปแล้ว จะกลายเป็นผังรวย ไปพังทลายผังจน ที่ติดแน่นมาข้ามชาติ

    ถ้าผังจนถูกรื้อหมด ผังรวยที่ยั่งยืน ก็บังเกิดขึ้น ทั้งหล่อ รวย สวย ฉลาด สมปรารถนา เมื่อเกิดมาก็ได้สมบัติทั้ง ๓ โดยไม่ต้องไปแสวงหา เหมือนชาวโลกทั่วไป เกิดมาเพื่อเสวยสมบัติ ที่เกิดจากผลบุญอย่างเดียว เหมือนดังเรื่องเส้นทางสู่ความเป็น มหาเศรษฐีผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่องของท่านโชติกเศรษฐีี   



     ในยุคที่พระวิปัสสีสัมมาพุทธเจ้ากำลังประกาศธรรม ท่านเกิดเป็นกุฎุมพีมีนามว่าอปราชิตะ เกิดความเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนามาก ได้สร้างพระคันธกุฎีถวายพระบรมศาสดา ให้ทำเสา บานประตูและกระเบื้องทั้งหมด ประดับด้วยรัตนะ ๗ ประการ ให้สร้างสระโบกขรณี ๓ สระ สั่งให้ทำน้ำหอม แล้วให้ปลูกดอกไม้ ๕ สี

    เมื่อสร้างสำเร็จแล้ว ได้กราบทูลพระบรมศาสดา ให้เสด็จเข้าไปพักผ่อนในพระคันธกุฎี อปราชิตะคิดว่า รัตนชาติที่เรามีอยู่นี้ ถ้าเก็บไว้ในคลังหรือมัวฝังไว้ในหลุม ก็ไม่มีใครได้ชมเชย ไม่เกิดประโยชน์กับใครเลย พอมีแล้วก็เป็นห่วง บางทีอาจเป็นโทษกับตัวเองก็ได้ เพราะฉะนั้นทางที่ดี ควรทำให้เกิดประโยชน์ ต่อพุทธศาสนาและชาวโลก

    ท่านคิดต่อไปว่า พุทธบริษัทที่รวยศรัทธา แต่ขาดทรัพย์ยังมีอยู่มาก ถึงแม้บางคนไม่ได้ศรัทธา แต่ไปวัดฟังธรรม เพราะโลภอยากได้รัตนชาติของเรา หากเขาได้ฟังแล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้ศึกษาความจริงของชีวิต

    เมื่อคิดดังนี้จึงได้ตัดสินใจโปรยรัตนชาติที่หน้าลานพระคันธกุฎี คนที่ยังยากจนอยู่ เมื่อไปฟังธรรมแล้ว ก็หยิบเอารัตนะของ กุฎุมพีคนละกำสองกำ รัตนชาติถูกโปรยลงเพียงคราวเดียว และวันเดียวเท่านั้น ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เขาสั่งให้บริวารนำมาโปรยอีก คราวนี้โปรยสูงถึงเข่า ทำอยู่อย่างนั้นถึง ๓ ครั้ง

     นอกจากนี้ยังได้ทำกุศโลบาย ที่จะทำให้มหาชนได้บรรลุธรรมกันมากๆ จึงตัดสินใจสละสมบัติประจำตระกูล ด้วยการวางแก้วมณี ประมาณเท่าผลแตงโม แทบบาทของพระบรมศาสดา มหาชนได้เห็นแก้วมณีซึ่งเปล่งแสงสว่างไสว ขลับกับรัศมีที่เปล่งจาก พระพุทธสรีรกาย จึงชุ่มฉ่ำทั้งดวงตา และดวงใจ ดวงตาภายนอกก็ได้เห็นสิ่งอันเป็นสิริมงคล ดวงตาภายในเกิดธรรมจักขุ ได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันถ้วนหน้า



    วันหนึ่ง พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่ง ได้แอบไปลักแก้วมณีดวงนั้น ท่านเศรษฐีจึงกราบทูล ความในใจแด่พระพุทธองค์ว่า " พระพุทธเจ้าข้า รัตนะ ๗ ประการที่ข้าพระองค์โปรยล้อมรอบพระคันธกุฎี ๓ ครั้ง สูงถึงหัวเข่า ใครมารับไป ข้าพระองค์ก็ปลื้มปีติทุกครั้ง

    แต่วันนี้ ข้าพระองค์ไม่รู้สึกปลื้ม ในการกระทำของพราหมณ์เลย พระเจ้าข้า" พระบรมศาสดาตรัสให้กำลังใจว่า " อุบาสก ช่างเถิด สิ่งใดที่คนอื่นนำไปแล้ว ก็จงเป็นอันนำไปด้วยดีเถิด ธรรมดาบัณฑิตควรทำความยินดีในทาน ทั้ง ๓ ขณะ จึงจะถูกต้อง การสละวัตถุภายนอกออกจากใจแล้ว มารู้สึกเสียดายภายหลัง ไม่ใช่วิสัยของสัตบุรุษ"


      กุฎุมพีได้ฟังดังนั้น จึงทำความปรารถนาเอาไว้ว่า "พระเจ้าข้า พระราชาหรือโจรแม้หลายร้อย ชื่อว่าสามารถเพื่อจะข่มเหงข้าพระองค์ ถือเอาเข็มเล่มเดียวของข้าพระองค์ จงอย่ามี และภัยใดๆ อย่าได้มาบีบคั้นตัดรอนชีวิต และทรัพย์สินของข้าพเจ้าได้" เมื่อถึงเวลาฉลองพระคันธกุฎี กุฎุมพีได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุ ๖ ล้าน ๘ แสนรูป ภายในวิหารแห่งนั้นตลอด ๙ เดือน

      ในวันสุดท้าย ได้ถวายไตรจีวรแก่ภิกษุทุกรูป จากนั้น อปราชิตกุฎุมพีก็สั่งสมบุญทุกอย่าง คอยเป็นกำลังหลักในการสนับสนุน การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปทั่วโลกจนตลอดอายุ ครั้นละโลกแล้ว ได้ไปบังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติอันโอฬารเป็นเวลายาวนานมาก



บุญอจินไตยทำให้ได้มหาสมบัติจักรพรรดิ
     ครั้นมาถึงในยุคพุทธกาลนี้ ท่านได้เกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ ในวันที่กุฎุมพีเกิด สรรพอาวุธในพระนคร ทั้งสิ้นรุ่งโรจน์ เปล่งแสงแพรวพราว จึงได้รับการขนานนามว่า "โชติกะ" หนูน้อยโชติกะได้รับการเลี้ยงด ูอย่างดีประหนึ่งเทพกุมาร

     เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มพร้อม ที่จะแต่งงานมีคู่ครอง พระอินทร์ได้เสด็จลงจาก สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทรงนิรมิต เป็นนายช่างไม้ เดินเข้าไปหาพวกนายช่าง ซึ่งกำลังถางป่าเพื่อปลูกสร้างปราสาทให้โชติกะ ทรงบอกพวกช่างไม้ว่า โชติกะเป็นผู้มีบุญมาเกิด ไม่อยู่ในปราสาทที่พวกท่านสร้างขึ้นหรอก

     ทรงเนรมิตปราสาท ๗ ชั้น สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ กำแพงแก้ว ต้นกัลปพฤกษ์ผุดขึ้นรอบกำแพง บนเนื้อที่ประมาณ ๑๖ กรีส หรือประมาณ ๖๒๕ ไร่ ขุมทรัพย์ ๔ ขุม ที่มุมทั้ง ๔ ของปราสาท พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับว่า "ปราสาท ๗ ชั้น ซึ่งสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นเพื่อโชติกะ" ทรงส่งฉัตรเศรษฐีไปให้ แล้วทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเศรษฐีประจำกรุงราชคฤห์



ทางด้านหญิงสาวผู้จะมาเป็น ภรรยาคู่บุญของโชติกะนั้น เป็นนางแก้วซึ่งไปเกิดในอุตตรกุรุทวีป
     เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราว ที่โชติกะจะต้องแต่งงานมีคู่ครอง พวกเทวดาจึงเหาะไปพา นางมาจากอุตตรกุรุทวีป ให้นั่งในห้องอันเป็นสิริ

     ตอนที่มาจากอุตตรกุรุทวีป ก็ได้ถือเอาทะนานข้าวสารมาด้วย พร้อมกับแผ่นศิลา ๓ แผ่น โชติกเศรษฐีพร้อมด้วยภรรยา จะอาศัยแสงสว่างจากแก้วมณี
     จึงไม่ต้องอาศัยแสงสว่าง ของไฟหรือประทีป ทั้งสองภรรยาสามี ผู้มีบุญอาศัยทะนานข้าวสาร กับแผ่นศิลาวิเศษซึ่งถือว่าเป็นเครื่องครัวที่รู้ใจ และอาศัยแก้วมณี ที่นำความปรารถนาสำเร็จ มาให้ทุกอย่าง ทำให้ได้รับความสะดวกสบาย บนปราสาทแก้ว ประดุจอยู่บนสรวงสวรรค์



สมบัติของโชติกเศรษฐีเลื่องลือไปทั่วชมพูทวีป
     มหาชนจึงชักชวนกันเทียมเกวียนบ้าง เทียมม้าบ้าง เพื่อต้องการมาดูสมบัติของผู้มีบุญ โชติกเศรษฐีได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านที่ดี ให้การต้อนรับ ทำชมพูทวีปให้ได้รับความสุขถ้วนหน้า โดยสั่งให้เปิดปากขุมทรัพย์ใต้ดิน ที่มีประมาณคาวุตหนึ่งหรือประมาณ ๔ กิโลเมตร แล้วกล่าวว่า

   " มหาชนจงถือเอาทรัพย์ ตามที่ตนเองคิดว่า จะสามารถนำกลับไปตั้งเนื้อตั้งตัวได้ "

    น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อผู้คนมากมายที่หลั่งไหล มาจากชมพูทวีป ถือเอาทรัพย์ไปอยู่ ปากขุมทรัพย์มิได้พร่องลงแม้เพียงองคุลีเดียว นี่ก็เป็นเพราะผลแห่งรัตนะ ที่เขาโปรยลงบริเวณพระคันธกุฎีของพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ได้สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง



ผู้ละโลกียะมุ่งสู่โลกุตตระ
     ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรูได้ยกกองทัพไปยึดรัตนปราสาทของท่าน แต่ก็ยึดไม่ได้ เพราะถูกพวกยักษ์ขับไล่กองทัพให้แตกกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง พระราชาได้เสด็จหนีตาย ไปทางวิหารเชตวัน
      ครั้นเห็นเศรษฐีกำลังนั่งฟังธรรม จึงตรัสในเชิงสัพยอกว่า
      "คฤหบดี ท่านบังคับพวกบุรุษของท่านให้มารบกับเรา แล้วมาหลบอยู่ที่นี่ นั่งทำเป็นเหมือนฟังธรรม "     
      เศรษฐีทูลถามว่า "ก็สมมติเทพ เสด็จไปเพื่อยึดเอารัตนปราสาทของข้าพระองค์มิใช่หรือ"

     เมื่อพระราชายอมรับ จึงกราบทูลว่า
     "ข้าแต่สมมติเทพ แม้พระราชาตั้งพัน ก็ไม่สามารถยึดมหาปราสาทของข้าพระองค์ได้ แม้เพียงเส้นด้ายที่ชายผ้าของข้าพระองค์ก็เอาไปไม่ได้ หากข้าพระองค์ไม่ปรารถนา"



    ท่านได้ให้พระราชาทดลองมาแย่งเอาแหวน ๒๐ วง ซึ่งสวมอยู่ที่นิ้วมือไป
     พระราชาเป็นผู้มีพละกำลังมาก เพียงประทับนั่งกระโหย่ง ก็สามารถกระโดดขึ้นสูง ๑๘ ศอก เมื่อประทับยืน สามารถกระโดดขึ้นสูงได้ถึง ๘๐ ศอก แต่ก็ไม่สามารถถอดแหวนแม้วงเดียวได้

     โชติกเศรษฐีจึงลาดผ้าขาว ทำนิ้วทั้งสิบให้ตรง ทันใดนั้น แหวนทั้ง ๒๐ วง ก็หลุดออกทันที
     ด้วยความสลดสังเวชใจพระกิริยาของพระราชา ท่านจึงสอนตนเองว่า
     "ทรัพย์เหล่านี้เป็นโลกียะ ไม่ได้นำความสุขที่แท้จริงมาให้ การได้ทรัพย์อันเป็นโลกุตตระประเสริฐกว่า"
     แล้วก็ทูลลาบวช 


    พระเจ้าอชาตศัตรูทรงดำริว่า "ดีเหมือนกัน เมื่อเศรษฐีบวชแล้ว เราจะได้ยึดเอาปราสาทได้สะดวก" จึงทรงอนุญาต
    เศรษฐีได้อำลาหมู่ญาติและบริวาร บวชในสำนักพระบรมศาสดา ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม ใช้เวลาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล


    เมื่อได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว สมบัติทั้งหมดก็อันตรธานไป
    พวกเทพดาจึงนำภรรยาของเศรษฐี กลับไปอุตตรกุรุทวีปดังเดิม




    ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องเส้นทางสู่ ความเป็นมหาเศรษฐีของโชติกะ เราจะเห็นว่า
    การจะได้ครอบครอง มหาสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง ต้องรู้หลักวิชชา คือ
    ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ ต้องสละความตระหนี่ ออกจากใจให้หมดเสียก่อน
    ความตระหนี่เป็นมลทินอันร้ายกาจ ที่จะทำให้เราพลาดจากสมบัติทุกอย่าง ในภพชาติเบื้องหน้า
    พลาดจากความรวย สวย ฉลาด สมปรารถนา
    เมื่อมีทรัพย์แล้ว หากมัวตระหนี่ ทรัพย์นั้นก็เป็นเหมือนบ่อน้ำที่ใสสะอาดเย็นสบาย

    แต่มีผีเสื้อน้ำคอยหวงแหน ทรัพย์นั้นเรียกว่าทรัพย์ตาย เพราะนำติดตัวไปไม่ได้
    ถ้าจะให้ติดตัวไปได้ ต้องเอาชนะความตระหนี่ ด้วยการนำออกให้ทาน ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง และชาวโลก เหมือน แม่น้ำสายใหญ่ มีท่าลงราบเรียบพร้อม ที่จะให้ทุกคนลงมาอาบดื่มกิน ได้อย่างสบาย


    แม้ขณะนี้เรายังมีทรัพย์น้อย แต่ขอให้หัวใจเกินร้อย คือ ให้ทุ่มเทเต็มความสามารถ เต็มศรัทธา
    สั่งสมบุญไว้ในบวรพุทธศาสนา ทั้งทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาจนตลอดชีวิต จะได้เป็นอริยทรัพย์ และก่อตัวเป็นสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง ที่จะบังเกิดขึ้นในภพชาติเบื้องหน้า ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม

    "บัณฑิตพึง ครอบงำมลทินใจ ด้วยการกำจัดความตระหนี่เสีย
    แล้วมุ่งให้ทานเถิด เพราะบุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งหลาย ในโลกหน้า"

                                      ............พิลารโกสิยชาดก ๒๗/๒๘



ทีมา  http://new.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=50&Itemid=2
22140  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประวัติ "ท้าวอมรินทร์เทวาธิราช" (พระอินทร์) เมื่อ: สิงหาคม 04, 2010, 11:21:49 am
ประวัติ ท้าวอมรินทร์เทวาธิราช (พระอินทร์)


พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์
          พระอินทร์เป็นตำแหน่งของพระราชาแห่งเทพทั้งปวง ในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตำแหน่ง นี้จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ไปตามผลแห่งบุญกรรมที่ได้กระทำไว้ พระอินทร์องค์ใดสิ้นบุญ ก็จะมีองค์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ กล่าวได้ว่า พระอินทร์นั้นมีหลายองค์ แต่ละองค์ก็มีอายุขัยเป็นไปตามบุญกุศลที่ตนได้กระทำมา

          เรื่องราวของพระอินทร์น่าจะเป็นบทเรียนที่ช่วยให้รู้และเข้าใจถึงการทำ ประโยชน์เพื่อส่วนรวม ว่าท่านคิดอะไรถึงได้ทำเช่นนั้น นอกจากนี้การได้เรียนรู้วิธีคิดและการกระทำของพระอินทร์ เป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำตามได้ไม่ยาก ไม่ใช่เรื่องห่างไกลและเฟ้อฝันเลย เพราะตัวท่านเองก็ได้ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ในขณะที่ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน  ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงพระอินทร์สมัยพุทธกาลเท่านั้น
อดีตชาติของพระอินทร์


          ณ  หมู่บ้านมจลคาม แคว้นมคธ มีมาณพคนหนึ่งชื่อว่า มฆมาณพ มีใจใฝ่ให้ทาน รักษาศีลอยู่เสมอ ทั้งยังชอบแผ้วทาง ทำงานสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่น ปรับพื้นที่ให้เรียบเสมอกัน สร้างศาลา ปลูกต้นไม้ ขุดสระน้ำ ทำถนนหนทาง ทำสะพาน จัดทำจัดหาตุ่มน้ำ และสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม มีปกติชอบความสะอาดเรียบร้อย ต้องการให้ท้องถิ่นดูสะอาดน่ารื่นรมย์

คิดดี คิดถูก คิดเป็น นำมาซึ่งความสุข
          ขณะที่มฆมาณพทำงานในหมู่บ้าน ก็ใช้เท้าเกลี่ยฝุ่นในที่ซึ่งยืนอยู่ให้เรียบ คนอื่นเข้ามาแย่งที่ ก็ไม่โกรธ กลับถอยไปทำที่อื่นให้เรียบต่อ แต่ก็ยังมีคนมายึดที่ที่เกลี่ยเรียบไว้แล้วนั้นอีก ถึงกระนั้นมฆมาณพก็ไม่โกรธ กลับเห็นว่าคนทั้งปวงมีความสุขด้วยการ กระทำของตน ฉะนั้นกรรมนี้ ย่อมส่งผลกลับมาเป็นบุญที่ให้สุขแก่ตนแน่

          มฆมาณพก็ยิ่งมีจิตขะมักเขม้น ตั้งใจที่จะทำพื้นที่ให้เป็นที่น่ารื่นรมย์มากยิ่งๆ ขึ้น จึงใช้จอบขุดปรับพื้นที่ให้เรียบเป็นลานให้แก่คนทั้งหลาย  ทั้งยังเอาใจใส่ให้ไฟให้น้ำในเวลาที่ต้องการและได้แผ้วถางสร้างทางสำหรับคน

          ต่อมามีชายหนุ่มอีกหลายคนได้เห็นก็มีใจนิยมมาสมัคร เป็นสหายร่วมกันทำทางเพิ่มขึ้น จนมีจำนวนนับได้ ๓๓ คน ทั้งหมดช่วยกันขุดถมทำถนนยาวออกไป จนถึงประมาณโยชน์หนึ่งบ้างสองโยชน์บ้าง

เมื่อประพฤติธรรม ย่อมไม่หวั่นภัยใด ๆ
          ฝ่ายนายบ้านเห็นว่าคนเหล่านั้นประกอบการงานที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร จึงเรียกว่าสอบถามและสั่งให้เลิก แต่มฆมาณพและสหายกลับกล่าวว่า พวกตนทำทางสวรรค์ จึงไม่ฟังคำห้ามของนายบ้าน พากันทำประโยชน์ต่อไป นายบ้านโกรธและไปทูลฟ้องพระราชาว่า มีโจรคุมกันมาเป็นพวก พระราชามิได้พิจารณาไต่สวน หลงเชื่อมีรับสั่งให้จับมฆมาณพและสหายมา แล้วปล่อยช้างให้เหยียบเสียให้ตายทั้งหมด

          ฝ่ายมฆมาณพเห็นเช่นนั้นก็ได้ให้โอวาทแก่สหายทั้งหลาย ไม่ให้โกรธผู้ใดและให้แผ่เมตตาจิตไปยังพระราชา นายบ้าน ช้างและตนเอง ให้เสมอเท่ากัน ชายหนุ่มทั้งหมดได้ปฏิบัติตาม ช้างไม่สามารถเข้าใกล้ด้วยอำนาจเมตตา

          พระราชาเห็นดังนั้นจึงรับสั่งให้ใช้เสื่อลำแพนปูปิดคนเหล่านั้นเสีย แล้วปล่อยให้ช้างเหยียบอีก แต่ช้างกลับถอยไป พระราชารับสั่งให้นำคนเหล่านั้นมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสสอบถาม เมื่อทรงทราบความจริง ก็ทรงโสมนัสและทรงแต่งตั้งมฆมาณพให้เป็นนายบ้านแทนนายบ้านคนเดิม ซึ่งตอนนี้ถูกลงโทษให้เป็นทาส

บุญเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย
          สหายทั้ง ๓๓ คน นอกจากจะได้พ้นโทษออกมา ยังได้รับพระราชทานกำลังสนับสนุน ก็ยิ่งเห็นอานิสงส์ของบุญ มีใจผ่องใสคิดทำบุญให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ได้สร้างศาลาเป็นที่พักของมหาชนเป็นถาวรวัตถุที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง

          ศาลานั้นได้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่ที่พักสำหรับคนทั่วไป ส่วนหนึ่งสำหรับคนเข็ญใจ ส่วนหนึ่งสำหรับคนป่วย ทั้ง ๓๓ คนได้ปูลาดแผ่นอาสนะไว้ทั้ง ๓๓ ที่ โดยตกลงกันไว้ว่า ถ้าอาคันตุกะเข้าไปพักบนแผ่นอาสนะของผู้ใด ก็ให้เป็นภาระของผู้นั้นจะรับรองเลี้ยงดู มฆมาณพยังได้ปลูกต้นทองหลาง (โกวิฬาระ) ไว้ต้นหนึ่งในที่ไม่ไกลจากศาลา ภายใต้ต้นทองหลางได้วางแผ่นหินไว้ด้วย

          มฆมาณพและสหายบำเพ็ญสาธารณกุศลเช่นนี้ตลอดชีวิต เรียกว่า บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ  ครั้นสิ้นอายุได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

วัตตบท ๗ ประการได้แก่
๑. เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต
๒. ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
๓. มีวาจานุ่มนวลสุภาพตลอดชีวิต
๔. มีวาจาไม่ส่อเสียดตลอดชีวิต
๕. มีใจปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการแจกทาน ครองเรือนตลอดชีวิต
๖. มีวาจาสัตย์จริงตลอดชีวิต
๗. ไม่โกรธ แม้ว่าถ้าโกรธก็ระงับได้ทันทีตลอดชีวิต


ทรงมีหลายชื่อ
          ชื่อที่เรียกพระอินทร์มีหลายชื่อ แต่ละชื่อบอกถึงคุณสมบัติหรือกุศลที่ทรงได้ทำมาในอดีต

ท้าวมฆวาน -  เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ชื่อว่า มฆะ
ท้าวปุรินททะ- เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานในเมือง
ท้าวสักกะ-  เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานโดยความเคารพ
ท้าววาสะ หรือวาสพ - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ที่พัก
ท้าวสหัสสักขะ หรือ สหัสสเนตร หรือ ท้าวพันตา - ทรงคิดรู้ความทั้งพันชั่วเวลาครู่เดียว
ท้าวสุชัมบดี - ทรงมีชายาชื่อสุชา
ท้าวเทวานมินทะ หรือพระอินทร์ - ทรงครอบครองราชสมบัติเป็นอิสริยาธิบดีแห่งทวยเทพชั้นดาวดึงส์


ความเพียร

          ในคราวที่สุวีวรเทวบุตรขอพรกับพระอินทร์ ว่าขอให้ตนได้เป็น "ผู้ที่เกียจคร้าน ไม่ขยันหมั่นเพียร ไม่ทำกิจที่ควรทำ แต่ก็ได้รับความสำเร็จทุกอย่างตามที่ปรารถนา"

    พระอินทร์ทรงตรัสเพื่อให้คิดว่า
          "คนเกียจคร้านบรรลุถึงความสุขอย่างยิ่งในที่ใด ก็ให้ท่านจงไปในที่นั้นเอง และช่วยบอกให้ข้าพเจ้าได้ไปในที่นั้นด้วย"

          ถึงกระนั้น สุวีรเทวบุตรก็ยังขอพรว่า "ขอพระองค์ได้โปรด ประทานพรความสุขชนิดที่ไม่มีทุกข์โศก โดยไม่ต้องทำอะไรเลย"

          พระอินทร์ตรัสว่า "ถ้าจะมีใครดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ต้อง ทำอะไรในทิศทางไหน นั่นเป็นทางนิพพานแน่ ให้ท่านจงไปและช่วยบอกข้าพเจ้าให้ไปด้วย"

ขันติธรรม
          ในสงครามคราวหนึ่งฝ่ายเทวดาชนะอสูร ท้าวเวปจิตติอสุรินทร์ถูกจับได้และถูกพันธนาการมายังสุธัมมสภา ขณะที่เข้าและออกจากสภา ก็ได้บริภาษด่าพระอินทร์ด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่างๆ แต่พระอินทร์ก็ไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย

          พระมาตลีเทพสารถีจึงทูลถามพระอินทร์ว่า "ทรงอดกลั้น ได้เพราะกลัว หรือว่า เพราะอ่อนแอ"
          พระอินทร์ตรัสว่า "เราทนได้ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ แต่วิญญูชนเช่นเราจะตอบโต้กับพาลได้อย่างไร"

          พระมาตลีแย้งว่า "พาลจะกำเริบถ้าไม่กำหราบเสีย เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาพึงกำหราบเสียด้วยอาชญาอย่างแรง"

          พระอินทร์ "เมื่อรู้ว่าเขาโกรธแล้วมีสติสงบลงได้ นี่แหละ เป็นวิธีกำหราบพาล
          พระมาตลีก็ยังแย้งว่า "ความอดกลั้นดังนั้นมีโทษ พาลจะเข้าใจว่าผู้นี้อดกลั้นเพราะกลัว ก็จะยิ่งข่ม เหมือนโคยิ่งหนีก็ยิ่งไล่"

          พระอินทร์ "พาลจะคิดอย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของตนสำคัญยิ่ง และไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่าขันติ ผู้ที่มีกำลัง อดกลั้นต่อผู้ที่อ่อนแอ เรียกว่าขันติอย่างยิ่ง เพราะผู้ที่อ่อนแอ ต้องอดทนอยู่เองเสมอไป ผู้ที่มีกำลังและใช้กำลังอย่างพาล ไม่เรียกว่า มีกำลัง ส่วนผู้ที่มีกำลังและมีธรรมะคุ้มครอง ย่อมไม่โกรธตอบ

          ผู้โกรธตอบผู้โกรธ  หยาบมากกว่าผู้โกรธทีแรก ส่วนผู้ที่ไม่โกรธตอบผู้โกรธชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ที่รู้ว่าเขาโกรธ แต่มีสติสงบได้ ชื่อว่าประพฤติประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น  แต่ผู้ที่ไม่ฉลาดไม่รู้ธรรมก็ย่อมจะเห็นผู้ที่รักษาประโยชน์ตนและผู้อื่น ทั้งสองฝ่ายดังกล่าว ว่าเป็นคนโง่เสีย"

ความไม่โกรธ
        ครั้งหนึ่งพระอินทร์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่า "ฆ่าอะไรได้อยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรได้ไม่โศก" พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "ฆ่าความโกรธ"

          ในครั้งหนึ่งได้มียักษ์ตนหนึ่งผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียด ขึ้นไปนั่งบนอาสนะของพระอินทร์ พวกเทพชั้นดาวดึงส์พากันโพนทนาติเตียน แต่ยิ่งโพนทนาติเตียน ยักษ์นั้นก็ยิ่งงามยิ่งผ่องใส จนพวกเทพพากันประหลาดใจว่า น่าจะเป็นยักษ์กินโกรธ

          พระอินทร์ทรงทราบความนั้นแล้วได้เสด็จเข้าไป ทำผ้าเฉวียงพระอังสะข้างซ้าย คุกเข่าขวาลง และประคองอัญชลีเหนือพระเศียร ประกาศพระนามของพระองค์ขึ้น ๓ ครั้งว่า พระองค์คือ ท้าวสักกะจอมเทพ ยักษ์นั้นกลับมีผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียดยิ่งขึ้นจนหายไปในที่นั้น พระองค์ขึ้นประทับบนอาสนะของพระองค์แล้วตรัสอบรมพวกเทพ และตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงโกรธมาช้านาน ความโกรธไม่ตั้งติดในพระองค์ แม้จะโกรธชั่ววูบเดียวก็ไม่กล่าวผรุสวาจา ทรงข่มตนได้

          คราวหนึ่งพระองค์ทรงอบรมเทพทั้งหลายว่า ให้มีอำนาจเหนือความโกรธ อย่าจืดจางในมิตร อย่าตำหนิผู้ไม่ควรตำหนิ อย่ากล่าวส่อเสียด อย่าให้ความโกรธเข้าครอบงำ อย่าโกรธตอบผู้โกรธ ความไม่โกรธและความไม่เบียดเบียนมีอยู่ในพระอริยะทั้งหลายทุกเมื่อ ความโกรธทับบดคนบาปเหมือนภูเขา

          จะเห็นได้ว่าคุณธรรมที่พระอินทร์ทรงประพฤติปฏิบัติทั้งขณะที่เป็นมนุษย์และ เทวดา เป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำตามได้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์โดยหวังผลคือ ความสุขของส่วนรวม

          แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าคุณธรรมต่างๆ เหล่านี้ นับวันจะเลือนหายไปในสังคมไทยของเรา เพราะคิดแต่จะเจริญรอยตามวัฒนธรรมฝรั่ง โดยหารู้ไม่ว่า ได้เพาะเมล็ดพันธ์แห่งความเห็นแก่ตัว ความไร้คุณธรรม ลงไปในความอยากมีอยากเป็นตามกระแสของสังคมศิวิไลซ์ที่เน้นวัตถุนิยม

          ฉะนั้น หากเราช่วยกันนำคุณธรรมที่ดีงามต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งบรรพบุรุษของเราเคยทำมาแล้ว ให้กลับคืนมา สังคมอันดีงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรม ก็ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
-------------------------

อารามโรปา วนโรปา  เย ชนา เสตุการกา
ปปญฺจ อุทปานญฺจ    เย ททนฺติ อุปสฺสยํ
เตสํ ทิวา จ รตฺโต จ   สทา ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ.

ชนเหล่าใด สร้างสวน ปลูกป่า ให้โรงประปา บ่อน้ำ และที่พักอาศัย
บุญของชนเหล่านั้น ย่อมเพิ่มพูนทุกเมื่อ ทั้งคืนทั้งวัน


คัดลอกจาก: ธรรมะเพื่อชีวิต
เล่มที่ ๓๓ ฉบับเข้าพรรษา ๒๕๔๕
มูลนิธิพุทธศาสนศึกษา วัดบุรณศิริมาตยาราม
ที่มา  http://www.sil5.net/index.asp?catid=2&contentID=10000004&getarticle=12&title=%BB%C3%D0%C7%D1%B5%D4+%B7%E9%D2%C7%CD%C1%C3%D4%B9%B7%C3%EC%E0%B7%C7%D2%B8%D4%C3%D2%AA+%28%BE%C3%D0%CD%D4%B9%B7%C3%EC%29

22141  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประวัติพญายมราช เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 07:52:47 pm
ประวัติพญายมราช
ตำนานท้าวพญายมราช (พระยม)


    ท้าว พญายมราช หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ กล่าวไว้คือพระยม เป็นองค์เดียวกัน มีลักษณะใบหน้าดุดัน พระวรกายสีแดงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศก์(บ่วงบาศก์ที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย) พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มีอิทธิฤิทธิ์มากทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวารคือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก

ซึ่งบริวารท้าวพญายมราชที่คนไทยรู้จักดีมีด้วยกัน ๒ องค์ ได้แก่ พระกาฬไชยศรี และ เจ้าพ่อเจตตคุปต์ ซึ่งมีรูปเคารพอยู่ที่ศาลหลักเมือง ทำหน้าที่จดชื่อและจับวิญญาณชั่วร้ายที่จะมารบกวนบ้านเมือง ท้าว พญายมราช เป็นเทวดาที่มีการกล่าวถึงในตำนานของทุกชาติพันธุ์ภาษา ของทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ต่างกันเพียงการเรียกนามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษาเท่านั้น ส่วนหน้าที่และอำนาจนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ตำนานลัทธิข้างจีนฝ่าย มหาญาน กล่าวว่า พญายมเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง

      ตำนานท้าวพญายมราช มีการกล่าวถึงกำเนิดไว้หลากหลาย อาจเป็นเพราะพญายมเป็นตำแหน่งเทวราชผู้ปกครองยมโลก มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามมติของเทวสภา หรือบารมีที่สั่งสมมาอย่างเหมาะสมทำให้ไปเกิดเป็นท้าวพญายมราช จากเทวตำนานในยุคต้นที่กล่าวว่าท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ พระยม

ด้วยในยุคต้นที่ยังไม่มีวิญญาณใดที่เหมาะสม ท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ ท้าววิรุฬหก ทรงเป็นเทวกำเนิดจึงต้องรับภาระในตำแหน่งพญายม หรือ พระยม ซึ่งก็มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า บริวารของพญายมคือ ยมฑูต ก็ คือกุมภัณฑ์ พวกหนึ่งนั่นเอง แต่เมื่อมีมนุษย์มากขึ้นสั่งสมบารมีหรือมีความเหมาะสมย่อมได้รับการสถาปนา ให้ดำรงตำแหน่ง

      ท้าวพญายมราช องค์ปัจจุบันในอดีตชาติก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นท้าวพญายมราชนั้น ท่านเป็นมนุษย์ในครั้งก่อนพุทธกาล ในยุคที่ยังมนุษย์อยู่กันเป็นชุมชนยังไม่ใหญ่นัก ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าชุมชนในหมู่บ้านเป็นผู้มีวิชาความรู้ เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในชุมชนหมู่บ้านท่านเป็นผู้นำปราบปรามแก้ไข และต้องตัดสินพิพากษา

ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในหมู่บ้านที่ท่านดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นผู้กระทำด้วยเกรงกลัวความผิด เพราะโทษนั้นหนักถึงกับต้องประหารให้ตายตกตามกันคือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านในฐานะผู้ปกครองดูแลเมื่อสอบสวนแล้วไม่มีผู้ยอมรับผิด จึงได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาเสกแป้งฝุ่นแล้วซัดออกไปก็จะปรากฎรอยเท้า ผู้กระทำผิด

เมื่อตามรอยเท้านั้นไปปรากฎว่าผู้เป็นเจ้าของรอยเท้านั้นคือพ่อบังเกิดเกล้า ของท่านเอง ท่านมีความเสียใจเป็นอย่างมากไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านพิจารณาด้วยใจอันเป็นธรรมอย่างที่สุดจึงได้ตัดสินให้ประหารพ่อ ของท่านเอง แล้วก็ออกจากหมู่บ้านเร่ร่อนไปจนท่านเสียชีวิตเพียงลำพัง เป็นการแสดงให้เห็นว่าท่านมีความเที่ยงธรรมอย่างหาที่เปรียบมิได้

เพราะหากท่านไม่บอกแก่ใครย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ อีกทั้งท่านก็ยังได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านมีความสุขสบายไม่ต้อง ลำบากเร่ร่อนไปอย่างเดียวดาย เมื่อท่านได้เสียชีวิตดวงวิญญาณของท่านเป็นยกย่องในความเที่ยงธรรม เทวดาทั้งหลายจึงแสดงฉันทามติสถาปนาท่านให้ดำรงตำแหน่งท้าวพญายมราช

องค์พญายมราชจะมีผู้ช่วยสำคัญในการไปนำดวงวิญญาณ ของสัตว์โลกมาสู่แดนปรโลก หรือแดนยมโลกคือ องค์เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรีนี้มีรูปปั้นอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กรุงเทพมหานคร มีเทวะลักษณะเป็นเทพยดาที่สี่กร กรหนึ่งถือดวงไฟหมายถึงดวงวิญญาณ กรหนึ่งถือบ่วงบาศเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการใช้จับดวงวิญญาณทั้งปวง ขี่นกเค้าแมวเป็นพาหนะ

พระองค์เป็นบริวารของพญายมราชทำหน้าที่เก็บดวงวิญญาณต่างๆ บ้านไหนที่จะมีคนตาย พระองค์จะทรงใช้นกแสกบ้าง นกเค้าแมวบ้าง ไปเกาะลังคาบ้านร้องเตือนให้ทราบล่วงหน้า หรือบันดาลนิมิตดีร้ายให้ทราบ หากผู้นั้นมีปัญญาจะได้รีบขวนขวายทำบุญก่อนจะหมด โอกาสในโลก

นอกจากนี้พระองค์ยังมีบริวารเรียกว่าเหล่ายมฑูต ทำหน้าที่ไปเก็บดวงวิญญาณต่างๆให้พระองค์อีกทีหนึ่งด้วย ซึ่งเราชาวโลกจะเรียกท่านว่า พญามัจจุราชนั่นเองนอกจากนี้องค์พญายมราชยังมีบริวารที่ทำหน้าที่บันทึกการ กระทำความดีความชั่ว เรียกว่าสุวัณ และสุวาณ

สุวัณนั้นทำหน้าที่จดการกระทำความดีของผู้ที่กระทำความดีตั้งอยู่ในศีลใน ธรรม การจดนั้นท่านใส่สมุดทองคำ ยามรายงานองค์พญายมราชเสร็จเรียบร้อยจะทำการยกขึ้นจบเหนือหัวเป็นการ อนุโมทนา ส่วนสุวาณทำหน้าที่จดการกระทำของคนชั่วประพฤติบาป ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม การจดก็จดใส่สมุดหนังหมา เป็นการ คาดโทษเอาไว้

     ใน พระไตรปิฏกกล่าวว่าองค์พญายมราชนั้นเมื่อได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันนั่นเป็นเบื้องต้น ครูบาอาจารย์ที่ถอดจิตได้อย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านกล่าวว่าองค์พญายมราชนั้นปัจจุบันท่านมีภูมิธรรมชั้นพระอนาคามี เป็นภูมิพรหม ดำรงตำแหน่งการพิพากษาตัดสินดวงวิญญาณในแดนยมโลกอย่างยุติธรรม ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือดวงวิญญาณแต่ละดวงที่ตกมายังยมโลกนั้น


พระองค์จะไต่ถามด้วยความเมตตาว่าระลึกถึงบุญอันใดได้บ้าง หากดวงวิญญาณนั้นๆระลึกได้แม้สักอย่างท่านจะอนุโมทนาและให้ไปรับส่วนบุญ นั้นๆ หากดวงวิญญาณไม่อาจระลึกถึงคุณงามความดีใดๆได้เลยท่านก็ทรงจิตไว้เป็น อุเบกขา ว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ท่านก็จัดส่งไปลงโทษตามควรแก่ฐานานุโทษของสัตว์นั้นๆ

     ในด้านของไสยศาสตร์นั้น พระยายมราช นับเป็นเทวะราชาพระองค์หนึ่งที่มีเทพอาวุธอันทรงอานุภาพเปรียบได้กับอาวุธ ปรมาณู ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างสูงสุดเป็นที่เกรงกลัวของทั้งสามภพ ในตำราทางไสยศาสตร์นั้นเทพอาวุธอันทรงอานุภาพมีด้วยกัน ๕ อย่าง เป็นของเทพ ๕ พระองค์ มีดังนี้ครับ     

วัชระ ของพระอินทร์ ๒ ผ้าโพกหัวของอาฬาวะกะยักษ์ ๓ นัยตาของพญาอาวุธทั้ง ๕ นี้ถือเป็นของที่มีอานุภาพสามารถทำลายล้างสารพัดสรรพสิ่งได้เป็นจุณมหาจุณ  เป็นที่เกรงกลัวของภูติผีปีศาจอย่างยิ่ง ครูบาอาจารย์ได้นำเอาเรื่องราวของอาวุธทั้ง ๕ มาประพันธ์เป็นพระคาถาในการป้องกันและปราบปรามภูติผีปีศาจได้อย่างชะงัด 

    ด้านการอานิสงค์ของการบูชานับถือพญายมราชนั้น เชื่อกันว่าภูติผีปีศาจไม่กล้าระราน ผู้นั้นจะมีตบะบารมีที่น่าเกรงขาม ใครคิดร้ายด้วยทุจริตมิชอบอิจฉาตาร้อน จะแพ้ภัยด้วยตัวเขาเอง นอกจากนี้หากหมั่นบูชาพระองค์ท่านเสมอๆท่านว่าจะห่างไกลจากความป่วยไข้มี อายุยืนนาน หากรับราชการหรือทำมาค้าขายด้วยความซื่อตรงก็จะบังเกิดความเจริญมีความสุขใน ชีวิตยิ่งๆขึ้นไป

ที่มา  http://www.pootor.net/p001
22142  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญร่วมบริจาคเข้า"โครงการอุทยานธรรม" บูชาคุณ "หลวงพ่อพุธ ฐานิโย" เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 11:05:38 am
เชิญร่วมบริจาคเพื่อตกแต่งพื้นอุทยานธรรม โครงการอุทยานธรรม บูชาคุณหลวงพ่อพุธ ฐานิโย




เชิญร่วมบริจาคเพื่อตกแต่งพื้นอุทยานธรรม(ใช้วัสดุทรายล้างและคอนกรีตปั๊ม ลายอิฐ) พื้นที่ทั้งหมดประมาณ 500 ตารางเมตร ๆ ละ 600 บาท

โอนเงินเข้า
บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนมิตรภาพ
ชื่อบัญชี วัดวะภูแก้ว
เพื่อโครงการอุทยานธรรม
บูชาคุณหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เลขที่บัญชี 666 2 45015 0


เมื่อโอนเงินแล้วกรุณาส่งหลักฐาน
การโอนพร้อมชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ เพื่อการจัดส่งอนุโมทนาบัตรและของที่ระลึกได้ทาง :

โทรสาร 044-465158
ทาง E-mail : meamnoi@hotmail.com
แจ้งทางโทรศัพท์ 086-368-6890

___________________________________________

วัดวะภูแก้ว อยู่นครราชสีมา นะ เป็นวัดของหลวงพ่อพุธอีกวัดหนึ่ง

ปัจจุบัน วัดวะภูแก้ว มีการสอน อบรมธรรมะให้กับนักเรียนอยู่เรื่อย ๆ
เป็นวัดหนึ่งที่น่าสนับสนุนในหลาย ๆ ด้านเลยนะเกด


พี่เคยไปวัดนี้ที่นึง ตอนไปสแกนรูปถ่ายทำหนังสืออตุโลนะ อ.ท่านพาไปดูการอบรมกัน
เด็ก ๆ ตั้งใจกันมากๆ


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ผู้เริ่มดำเนินการก่อสร้างวัดวะภูแก้ว

บันทึก วัดวะภูแก้ว

• พ.ศ. 2523
หลวง พ่อพุธ ฐานิโย เริ่มดำเนินการก่อสร้างวัดวะภูแก้ว

• 15 – 21 ตุลาคม 2532
จัดอบรมครูรุ่นแรก เป็นครูในเขตการศึกษา 11 (นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ) ที่รับผิดชอบงานปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในโรงเรียน

• 7 – 11 ตุลาคม 2533
จัดอบรมนักเรียนรุ่นแรก เป็นนักเรียนโรงเรียนขามทะเลสอวิทยา

• 20 มกราคม 2541
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วางศิลาฤกษ์ “อาคารบูรพาจารย์” (อาคารที่พักผู้เข้ารับอบรม)

• 20 มกราคม 2542
นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ปลัดกระทรงศึกษาธิการ เปิดป้าย “ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ กระทรวงศึกษาธิการ” นับเป็นศูนย์ที่ 2 ของประเทศ

• 12 กุมภาพันธ์ 2544
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา

• 5 – 10 กันยายน 2545
จัดโครงการสร้างภูมิคุ้มสนใจ สู้ภัยยาเสพติด รุ่นแรก

• พ.ศ. 2545
จัด ตั้งเป็น ศูนย์ครูภูมิปัญญาไทยด้านการพัฒนาจิต (สภาการศึกษา)

• 20 – 21 พฤศจิกายน 2548
จัดสอบธรรมศึกษาตรี รุ่นแรก

• 27 กุมภาพันธ์ 2550
มหา เถรสมาคม ประกาศตั้งเป็น สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด

• 25 กุมภาพันธ์ 2551
กรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศให้วัดวะภูแก้วเป็น “หน่วยเผยแพร่ศีลธรรมทางพระพุทธศาสนา”

 
แผนที่ไปวัดวะภูแก้วนะ

ที่มา  http://larndham.org/index.php?/topic/39844-เชิญร่วมบริจาคเพื่อตกแต่งพื/page__pid__726008__st__0&#entry726008
โพสต์โดยคุณกอบ

22143  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ว่าด้วย“จำพรรษา”และ“กฐิน” เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2010, 09:25:34 pm
ว่าด้วย“จำพรรษา”และ“กฐิน”


พรรษากาล ฤดูฝน (พจนานุกรมเขียน พรรษากาล)
พรรษา ฤดูฝน, ปี, ปีของระยะเวลาที่บวช
พรรษาธิษฐาน อธิษฐานพรรษา, กำหนดใจว่าจะจำพรรษา ดู จำพรรษา


จำพรรษา อยู่ประจำวัด ๓ เดือนในฤดูฝน คือ
ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ (อย่างนี้เรียกปุริมพรรษา แปลว่า พรรษาต้น)
หรือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๙ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ (อย่างนี้เรียก ปัจฉิมพรรษา แปลว่า พรรษาหลัง)

; วันเข้าพรรษาต้น คือ แรม ๑ ค่ำเดือน ๘ เรียกว่า ปุริมิกา วัสสูปนายิกา,
วันเข้าพรรษาหลัง คือ แรม ๑ ค่ำเดือน ๙ เรียกว่า ปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา


; คำอธิษฐานพรรษา ว่า อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ ; ทุติยมฺปี อิมสฺมึ....; ตติยมฺปิ อิมสฺมึ....แปลว่า

ข้าพเจ้าเข้าอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนในวัดนี้ (วิหาเร จะเปลี่ยนเป็น อาวาเส ก็ได้) ;

อานิสงส์การจำพรรษามี ๕ อย่าง คือ
๑.เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา
๒.จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ
๓.ฉันคณโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
๔.เก็บอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา
๕.จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ


อานิสงส์ทั้ง ๕ นี้ได้ชั่วเวลาเดือนหนึ่ง นับแต่ออกพรรษาแล้ว คือ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒
นอกจากนั้นยังได้สิทธิที่จะกรานกฐิน และได้รับอานิสงส์ ๕ นั้น ต่อออกไปอีก ๔ เดือน (ภิกษุผู้เข้าพรรษาแล้วหลัง ไม่ได้อานิสงส์หรือสิทธิพิเศษเหล่านี้)

 

ผ้ากฐิน ผ้าผืนหนึ่งที่ใช้เป็นองค์กฐินสำหรับกราน แต่บางทีพูดคลุมๆ หมายถึงผ้าทั้งหมดที่ถวายพระในพิธีทอดกฐิน, เพื่อกันความสับสน จึงเรียกแยกเป็นองค์กฐิน หรือผ้าองค์กฐิน อย่างหนึ่ง กับผ้าบริวารหรือผ้าบริวารกฐิน อืกอย่างหนึ่ง ดู กฐิน

ผ้าจำนำพรรษา ผ้าทีทายกถวายแก่พระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาครบแล้วในวัดนั้น ภายในเขตจีวรกาล; เรียกเป็นคำศัพท์ ผ้าวัสสาวาสิกา วัสสาวาสิกสาฏก หรือ วัสสาวาสิกสาฏิกา; ดู อัจเจกจีวร
 
ผ้าอาบน้ำฝน ผ้าสำหรับอธิษฐานไว้ใช้นุ่งอาบนำฝนตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน ซึ่งพระภิกษุจะแสวงหาได้ในระยะเวลา ๑ เดือน ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ และให้ทำนุ่งได้ในเวลากึ่งเดือน ตั้งแต่ขึ้น ๑ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
 
ปัจจุบันมีประเพณีทายกทายิกาทำบุญถวายผ้าอาบน้ำฝนตามวัดต่างๆ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘; เรียกเป็นคำศัพท์ว่า วัสสิกสาฏิกา หรือ วัสสิกสาฏก

; คำถวายผ้าอาบน้ำฝนเหมือนคำถวายผ้าป่า เปลี่ยนแต่ ปํสุกูลจีวรานิ เป็น วสฺสิกสาฏิกานิ และผ้าบังสุกุลจีวร เป็นผ้าอาบน้ำฝน

กฐิน ตามศัพท์แปลว่า ไม้สะดึง คือไม้แบบสำหรับขึงเพื่อตัดเย็บจีวร; ในทางพระวินัยใช้เป็นชื่อเรียกสังฆกรรมอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต แก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว เพื่อแสดงออกซึ่งความสามัคคีของภิกษุที่ได้จำพรรษาอยู่ร่วมกัน
 
โดยให้พวกเธอพร้อมใจกันยกมอบผ้าผืนหนึ่งที่เกิดขึ้นแก่สงฆ์ ให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในหมู่พวกเธอ ที่เป็นผู้มีคุณสมบัติสมควร แล้วภิกษุรูปนั้นนำผ้าที่ได้รับมอบไปทำเป็นจีวร (จะทำเป็นอันตรวาสก หรืออุตตราสงค์ หรือสังฆาฏิก็ได้ และพวกเธอทั้งหมดจะต้องช่วยภิกษุนั้นทำ)

 

ครั้นทำเสร็จแล้ว ภิกษุรูปนั้นแจ้งให้ที่ประชุมสงฆ์ซึ่งได้มอบผ้าแก่เธอนั้นทราบเพื่ออนุโมทนา เมื่อสงฆ์คือที่ประชุมแห่งภิกษุเหล่านั้นอนุโมทนาแล้ว ก็ทำให้พวกเธอได้สิทธิพิเศษที่จะขยายเขตทำจีวรให้ยาวออกไป (เขตทำจีวรตามปกติ ถึงกลางเดือน ๑๒ ขยายต่อออกไปถึงกลางเดือน ๔)

; ผ้าที่สงฆ์ยกมอบให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งนั้น เรียกว่า ผ้ากฐิน (กฐินทุสสะ); สงฆ์ผู้ประกอบกฐินกรรมต้องมีจำนวนภิกษุอย่างน้อย ๕ รูป

; ระยะเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ประกอบกฐินกรรมได้ มีเพียง ๑ เดือน ต่อจากสิ้นสุดการจำพรรษา เรียกว่า เขตกฐิน คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒

ภิกษุผู้กรานกฐินแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๕ ประการ (เหมือนอานิสงส์การจำพรรษา ดู จำพรรษา) ยืดออกไปอีก ๔ เดือน (ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔) และได้โอกาสขยายเขตจีวรกาลออกไปตลอด ๔ เดือนนั้น

คำถวายผ้ากฐิน
แบบสั้นว่า:
อิมํ, สปริวารํ, กฐินจีวรทุสฺสํ, สงฺฆสฺส, โอโณชยาม. (ว่า ๓ จบ)
แปลว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ผ้ากฐินจีวรกับทั้งบริวารนี้แก่พระสงฆ์
 
แบบยาวว่า:
อิมํ, ภนฺเต, สปริวารํ, กฐินจีวรทุสฺสํ, สงฺฆสฺส, โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ, อิมํ สปริวารํ, กฐินทุสฺสํ, ปฏิคฺคณฺหาตุ, ปฏิคฺคเหตฺวา จ, อิมินา ทุสฺเสน, กฐินํ, อตฺถรตุ, อมฺหากํ, ทีฆรตฺตํ, หิตาย, สุขาย

แปลว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินจีวรกับทั้งบริวารนี้แก่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐินกับทั้งบริวารนี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย ครั้นรับแล้ว จงกรานกฐินด้วยผ้านี้ เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญฯ


กฐินทาน การทอดกฐิน, การถวายผ้ากฐิน คือการที่คฤหัสถ์ผู้ศรัทธาหรือแม้ภิกษุสามเณร นำผ้าไปถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว ณ วัดใดวัดหนึ่ง เพื่อทำเป็นผ้ากฐิน เรียกสามัญว่า ทอด กฐิน (นอกจากผ้ากฐินแล้วปัจจุบันนิยมมีของถวายอื่นๆ อีกด้วยจำนวนมาก เรียกว่า บริวารกฐิน)
กฐินัตถารกรรม การกรานกฐิน

 

กรานกฐิน ขึงไม้สะดึง คือเอาผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าขึงที่ไม้สะดึง เย็บเสร็จแล้วบอกแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ร่วมใจกันยกผ้าให้ในนามของสงฆ์เพื่อ อนุโมทนา ภิกษุผู้เย็บจีวรเช่นนั้นเรียกว่า ผู้กราน

พิธีทำในบัดนี้คือ ภิกษุซึ่งจำพรรษาครบ ๓ เดือนในวัดเดียวกัน (ต้องมีจำนวน ๕ รูปขึ้นไป) ประชุมกันในอุโบสถ พร้อมใจกันยกผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งในหมู่พวกเธอ ภิกษุรูปนั้นทำกิจตั้งแต่ ซัก กะตัด เย็บ ย้อม ให้เสร็จในวันนั้น
 
ทำพินทุกัปปะอธิษฐานเป็นจีวรครองผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวร แล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์ผู้ยกผ้าให้ เพื่ออนุโมทนา และภิกษุสงฆ์นั้นได้อนุโมทนาแล้ว เรียกว่า กรานกฐิน


ถ้าผ้ากฐินเป็นจีวรสำเร็จรูป กิจที่จะต้อง ซัก กะ ตัด เย็บย้อม ก็ไม่มี

(กราน เป็นภาษาเขมร แปลว่า ขึง คือทำให้ตึง กฐิน เป็นภาษาบาลี แปลว่า ไม้สะดึง กรานกฐินก็คือขึงไม้สะดึง คือเอาผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าขึงที่ไม้สะดึง) เขียน กราลกฐิน บ้างก็มี



อ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ (ป.อ.ปยุตโต)
22144  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “พร” และการให้พร เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2010, 12:13:31 pm
ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “พร” และการให้พร

กัลยาณมิตร และสหธรรมิก ทุกท่านครับ หากท่านเป็นแฟนเพลงลูกกรุงรุ่นเก่า
สมัย สุเทพ ชรินทร์ หรือธานินทร์ คงพอจะจำเพลงนี้ได้ เพลงนี้มีคำร้องอยู่ว่า

ผู้หญิง ที่สวยอย่างคุณ
ทำบุญ ไว้ด้วยอะไรจึงสวยน่าพิสมัย
น่ารักน่าใคร่ พริ้งพราว

คงถวายมะลิไหว้พระวรรณะจึงได้นวลขาว เนตรน้อย
ดั่งสอยจากดาว กระพริบพร่างพราวหนาวใจ
 
ตักบาตร คงใส่ ด้วยข้าวหอม
จึงสวย ละม่อมละไม บุญทาน ที่ทำด้วยเต็มใจ

เธอจึงได้พรสี่ประการ อายุ วรรณะ สุขะ
พละและปฏิภาณ เพียงพบเจ้านั้นไม่นาน
พี่ซมพี่ซาน ลุ่มหลง


ที่ยกเพลงนี้ขึ้นมา เพียงอยากจะบอกว่า คนสมัยก่อนเค้านิยมกล่าวคำอวยพรในวาระต่างๆว่า
“ขอให้สมบูรณ์ด้วย อายุ วรรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ”

โดยส่วนตัวเชื่อว่า หลายท่านไม่ทราบความหมายและที่มา
จึงขออนุญาตนำข้อธรรมในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ของท่าน ป.อ.ปยุตโต
มาให้พิจารณาตามอัธยาศัย ดังนี้ครับ

พร ๕ (สิ่งน่าปรารถนาที่บุคคลหนึ่งอำนวยให้ หรือแสดงความประสงค์ด้วยความปรารถนาดีให้เกิดมีขึ้นแก่บุคคลอื่น; สิ่งประเสริฐ, สิ่งดีเยี่ยม)

พรที่รู้จักกันมากได้แก่ ชุดที่มีจำนวน ๔ ข้อ ซึ่งเรียกกันว่า จตุรพิธพร หรือ พร ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ

พรที่เป็นชุดมีจำนวน ๕ ข้อบ้าง ๖ ข้อบ้าง ก็มี เช่น อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ
; อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุขะ พละ
; อายุ วรรณะ สุขะ ยศ เกียรติ สัคคะหรือสวรรค์ พร้อมทั้ง อุจจากุลีนตาคือความมีตระกูลสูง
; อายุ วรรณะ ยศ สุข อาธิปัจจะคือ ความเป็นใหญ่

และชุดที่จะกล่าวถึงต่อไปคือ อายุ วรรณะ สุขะ โภคะ พละ

อย่างไรก็ดี พึงทราบว่า คำว่า พร ในที่นี้ เป็นการใช้โดยอนุโลมตามความหมายในภาษาไทย ซึ่งเพี้ยนไปแล้วจากความหมายเดิมในภาษาบาลี ในภาษาบาลีแต่เดิม พร หมายถึง ผลประโยชน์หรือสิทธิพิเศษ

ที่อนุญาตหรืออำนวยให้ตามที่ขอ พรที่กล่าวถึง ณ ที่นี้ทั้งหมด ในบาลีไม่ได้ เรียกว่า พร แต่เรียกว่า ฐานะ หรือธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ (ซึงจะบรรลุได้ด้วยกรรม คือการกระทำที่ดีอันเป็นบุญ)

สำหรับพระภิกษุ พรหรือธรรมอันน่าปรารถนาเหล่านี้ หมายถึงคุณธรรมต่างๆ ที่ควรปลูกฝังฝึกอบรมให้เกิดมี ดังพุทธพจน์ว่า : ภิกษุท่องเที่ยวอยู่ ภานในถิ่นท่องเที่ยว ที่เป็นแดนของตนอันสืบทอดมาแต่บิดา (คือ สติปัฏฐาน ๔) จักเจริญด้วย

๑. อายุ คือ พลังที่หล่อเลี้ยงทรงชีวิตให้สืบต่ออยู่ได้ยาวนาน ได้แก่ อิทธิบาท ๔

๒. วรรณะ คือ ความงามเอิบอิ่มผ่องใสน่าเจริญตาเจริญใจ ได้แก่ ศีล

๓. สุขะ คือความสุข ได้แก่ ฌาน ๔

๔. โภคะ คือ ความพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สินและอุปกรณ์ต่างๆ อันอำนวยความสุข ความสะดวกสบาย ได้แก่ อัปปมัญญา หรือพรหมวิหาร ๔

๕. พละ คือ กำลังแรงความเข้มแข็งที่ทำให้ข่มขจัดได้แม้แต่กำลังแห่งมาร ทำให้สามารถดำเนินชีวิตที่ดีงามปลอดโปร่งเป็นสุข บำเพ็ญกิจด้วยบริสุทธิ์และเต็มที่ ไม่มีกิเลสหรือความทุกข์ใดใดจะสามารถบีบคั้นครอบงำ ได้แก่ วิมุตติ ความหลุดพ้น หมดสิ้นอาสวะ หรืออรหัตตผล


22145  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ++ ประกาศ !!! “บุคคลที่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์กับพระยายม” เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 09:20:40 pm



++ ประกาศ !!! “บุคคลที่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์กับพระยายม”

อัธยาศัยจิตใจของบุคคลทั้งหลาย สรุปได้ ๔ คือ

๑. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบบาเพ็ญกุศลมาก

๒. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในการกุศลและอกุศลเท่าๆ กัน

๓. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลมากกว่ากุศล

๔. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลฝุายเดียว


บุคคลประเภทที่ ๑ ในขณะใกล้ตายย่อมระลึกนึกถึงกุศลได้มาก ฉะนั้นบุคคลจาพวกนี้ย่อมพ้นจากการไปบังเกิดในอบายภูมิ

บุคคลประเภทที่ ๒ ถ้าตัวเองพยายามระลึกถึงกุศลให้มากหรือญาติบุคคลใกล้ชิดช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศล ก็สามารถช่วยให้พ้นจากการบังเกิดในอบายภูมิ

บุคคลประเภทที่ ๓ ทำอกุศลมากกว่ากุศล ลำพังตัวเองจะนึกถึงกุศลนั้นย่อมนึกถึงไม่ได้ นอกจากจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องเป็นการช่วยเหลืออย่างพิเศษจึงจะช่วยได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างพิเศษแล้วบุคคลจาพวกนี้ย่อมจะต้องไปสู่อบายแน่นอน

ส่วนบุคคลประเภทที่ ๔ นั้น ย่อมไม่พ้นจากการไปสู่อบายได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวกเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ และการที่จะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเหล่านี้ได้บุคคลผู้นั้นก็จะต้องมีกุศลอปราปริยเวทนียกรรม(กุศลในชาติก่อนๆ)ที่มีกาลังมาก(ตัวอย่างเช่นโจรเคราแดงในบทเรียนชุดที่๗) ฉะนั้นถ้าบุคคลจาพวกนี้ต้องไปสู่นรกแล้ว ก็ไปสู่นรกโดยตรง ไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับพระยายมราช


เฉพาะบุคคลประเภทที่ ๒ และ ๓ ถ้าต้องไปสู่นรกแล้วก็มีโอกาสได้พบกับพระยายมราชเพื่อทาการสอบถาม ๕ เรื่อง หรือเรียกว่า เทวทูต ๕ เสียก่อน แล้วจึงไปเสวยทุกข์ในนรกนั้นๆ ภายหลัง

คำถามของพระยายมราช มี ๕ เรื่อง คือ

๑. ความเกิด ได้แก่ ทารกที่แรกเกิด

๒. ความแก่ ได้แก่ คนชรา

๓. พยาธิ ได้แก่ ผู้ปุวยไข้

๔. คนต้องราชทัณฑ์ ได้แก่ ผู้ที่ถูกลงโทษตามกฎหมาย

๕. มรณะ ได้แก่ คนตาย


เกิด
พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะไต่ถามว่า
“นี่แน่ะเจ้า! เราจะถามเจ้าว่า เมื่อเจ้ายังอยู่ในมนุษย์โลกนั้นได้เคยเห็นเด็กแรกเกิดนอนเปื้อนมูตรคูถของตนเองบ้างไหม” ถ้าสัตว์นรกตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็น” พระยายมราชจะถามต่อไปว่า 
“ในขณะที่เจ้าเห็นเด็กแรกเกิดนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเกิดอีกเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา


เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเกิดอันเป็นชาติทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคาถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นเด็กแรกเกิดก็จริง แต่ก็ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่ความยินดี พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไปตามวิสัยของชาวโลกเท่านั้น”

พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้มีความประมาท ไม่ทาความดีทางกายวาจาใจ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ความประมาท เพลิดเพลินสนุกสนานของเจ้าที่ได้กระทาไปแล้ว ล้วนแต่เป็นความประมาทที่เกิดขึ้นจากตัวของเจ้าทั้งนั้น ไม่ใช่บิดามารดา บุตร ภรรยา มิตรสหาย หรือเทวดาทั้งหลายมากระทาให้เจ้า ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทาไว้แล้วนั้นด้วยตนเองไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๒ ต่อไป

แก่
พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนแก่ หลังโก่งงอ ผมหงอก หนังเหี่ยว ตกกระ บ้างไหม ในขณะที่เจ้าเห็นนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องแก่เช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความแก่อันเป็นชราทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคาถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา


ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นคนแก่ก็จริงแต่ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่การใช้ชีวิตที่พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไปตามวิสัยของชาวโลกเท่านั้น” ๑๘
พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทาไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๓ ต่อไป

เจ็บ
พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนปุวยไข้ที่กาลังได้รับความทุกข์เวทนาบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเจ็บปุวยเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเจ็บปุวยอันเป็นพยาธิทุกข์บ้างไหม”


สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทาไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๔ ต่อไป

นักโทษ
พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า
“เจ้าเคยเห็นคนที่ถูกจองจา เช่น โจร ผู้ร้าย ผู้กระทาผิด ซึ่งถูกลงโทษด้วยวิธีต่างๆ เช่น โบยด้วยแส้ หวาย ตีด้วยกระบอง ถูกตัดมือ เท้า หู จมูก ยิงเปูา แขวนคอบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็นเจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเพียรเร่งสร้างความดี เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความทุกข์บ้างไหม? สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ


พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทาไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้ ” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๕ ต่อไป

ตาย
พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า
“เจ้าเคยเห็นคนตายบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้จะต้องตายเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความตายอันเป็นมรณทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ

พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทาไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” เมื่อเป็นเช่นนี้ พระยายมราชก็พยายามช่วยระลึกให้ว่า สัตว์นรกผู้นี้ได้สร้างกุศลอะไรไว้บ้าง เพราะบุคคลบางคนเมื่อทากุศลแล้วก็แผ่ส่วนกุศลให้แก่พระยายมราช พระยายมราชผู้เคยได้รับส่วนกุศลก็จะพยายามช่วยให้สัตว์นรกนึกถึงกุศลที่เคยทาไว้ เมื่อระลึกถึงกุศลกรรมของตนได้เช่นนี้ ในขณะนั้นก็พ้นไปจากนรก

แต่ถ้าพระยายมราชช่วยแล้วก็ยังระลึกไม่ได้ก็จะนิ่งเสีย แล้วนายนิรยบาลก็จะนาตัวไปลงโทษในนรกต่างๆ เสวยกรรมในนรกไปจนกว่าจะหมดกรรม พระยายมราชเป็นราชาแห่งเปรตที่มีวิมาน ในคราวหนึ่งเสวยทิพยสมบัติ ในคราวหนึ่งเป็นธรรมิกราชเสวยวิบากกรรม พระยายมราชเองก็ปรารถนาความเป็นมนุษย์และได้พบ ได้ฟังธรรม ได้รู้ธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หน้าที่ของพระยายมราช คือเป็นผู้ซักถามผู้ทาบาปที่ถูกนาตัวเข้าไป หลักซักถาม ๕ อย่างข้างต้น ถ้าพิจารณาดูตรงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจว่าจะใช้เป็นกฎเกณฑ์สาหรับวินิจฉัยได้อย่างไร แต่เมื่อพิจารณาโดยหลักธรรม ก็อาจจะเห็นความมุ่งหมายว่า คนที่ทาบาปทุจริตต่างๆ นั้น ก็เพราะมีความประมาท ไม่ได้คิดพิจารณาว่าเกิดมาแล้วจะต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา


ที่มา  บทเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ ชุดที่ ๖.๑ ภพภูมิ
เรียบเรียงโดยอาจารย์ทองสุข ทองกระจ่าง
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
22146  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จุดธูปกี่ดอก บอกอะไรบ้าง เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2010, 12:59:26 pm


จุดธูปกี่ดอก บอกอะไรบ้าง
                 
   การจุดธูปบูชา หรือ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือปฏิบัติกันมายาวนานนับพันๆ ปีแล้ว ลองดูสิว่าที่ผ่านๆมาเราใช้ธูปสักการะกันถูกต้องตามจำนวนรึเปล่า

ธูป 1 ดอก ไหว้ศพเจ้าที่วิญญาณธรรมดาที่ไม่ได้ขึ้นชั้นเทพ

ธูป 2 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่

ธูป 3 ดอก ใช้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์


ธูป 5 ดอก ใช้บูชาพระรัตนตรัย บูชารัชกาลที่ 5 ธาตุทั้งห้า หรือทิศทั้งห้า พระภูมิ

ธูป 7 ดอก ไหว้พระพรหม บูชาพระอาทิตย์ ถือคติคุ้มครองทั้ง 7 วันในสัปดาห์

ธูป 8 ดอก บูชาเทพเจ้าของชาวฮินดู


ธูป 9 ดอก บูชาแก้ว 9 ประการ พระพุทธคุณ ทั้งเก้า และพระเทพารักษ์

ธูป 10 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่ตามความเชื่อของชาวจีนบางกลุ่ม

ธูป 12 ดอก บูชาเจ้าแม่กวนอิม บูชาพระคุณของแม่


ธูป 16 ดอก บูชาเทพชั้นครู หรือ พิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญ          หมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น

ธูป 19 ดอก บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ

ธูป 21 ดอก บูชาพระคุณของพ่อ


ธูป 32 ดอก ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ

ธูป 108 ดอก บูชาสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า

 

   พึงระลึกไว้เสมอว่า การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพื่อขอพรก็จะไม่เป็นผลอะไร หากคุณเองยังไม่ได้พยายามอย่างที่สุดและหาทุกหนทาง เพื่อจะช่วยเหลือตนเอง

   
ความเห็นที่แตกต่าง(แต่มีสติ)
การจุดธูปนะครับ ถ้าจุดตามที่คุณบอกนะครับ คุณลองไปสังเกตตามวัดใหญ่ๆนะครับ จุดปั๊บเดี๋ยวเขาก็เอาธูปไปจุ่มน้ำทิ้งแล้วครับ มันจุดไม่หมดดอกหรอกครับ อีกประการหนึ่งนะครับ ถ้าเป็นอย่างนี้ สมมติผมเป็นพ่อค้าขายธูป ผมจะบอกคุณว่าไหว้เจ้าที่นี่ใช้ธูปหนึ่ง 1 กำ ผมคงรวยไปแล้วนะครับ อย่าไปยึดติดอย่างนี้เลยครับ มันเป็นสิ่งสมมติ การทำบุญต้องมีปัญญาครับ จุดธูปมันแค่ 1 ดอกก็พอครับ

สรรพสิ่งในโลกก็รวมเป็นหนึ่งเดียวคือธรรมชาติ เทพเทวาทุกๆชั้นฟ้าทุกๆชั้นดิน ก็รวมเป็นเป็นหนึ่งเดียวคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำไมต้องแบ่งแยกเราเขาด้วยครับ ในเมื่อเราก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติอันนี้เขียนจากความรู้สึกนะครับ รู้ว่าเขียนอย่างนี้ต้องมีคนไม่เห็นด้วยนะครับ แต่คุณไม่รู้สึกสะท้อนใจบ้างหรือไง เวลาคุณจุดธูปอยู่ดีๆ พอปักธูปยังไม่ทันหมดดอกเข้าก็เอาธูปคุณไปทิ้ง เงินทั้งนั้นนะคุณ ไม่เสียดายบ้างหรือไงครับ

                                             

คัดลอกมาจากเว็ปพลังจิตด็อทคอม
ขอบคุณภาพจาก
http://jootia.blu.livefilestore.com,http://file.giggog.com/,http://www.promdeva.com/
22147  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จุดเริ่มต้น "นะโม" เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2010, 12:52:54 pm
จุดเริ่มต้น "นะโม"
                           
ท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 วัดท่าซุง อุทัยธานี
   
      มีเรื่องเล่าว่า ณ แดนหิมวันต์ประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่นรมณียสถานเป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่าสาตาคิรียักษ์มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าหิมวันต์ ทางทิศเหนือเป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับพระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า"นะโม"หมายถึงพระผู้มีพระภาคทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

   กล่าวฝ่ายอสุรินทรราหู เมื่อได้สดับพระเกียรติศัพท์ ของพระบรมศาสดาก็มีจิตปรารถนาที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลนพระบรมศาสดาว่ามีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้า พระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลก จนทำให้อสุรินทรราหูอดทนรออยู่มิได้

จึงเหาะมาในอากาศตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าขอฟังธรรมแต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทรราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้างของอสุรินทรราหูใ ห้มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกผู้พระรัตนตรัยตลอดชีวิตแล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่าตัสสะแปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อมขอนมัสการ

   เมื่อครั้งที่ท้าวจาตุมหาราช ทั้ง ๔ ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่าชั้น กามาวจร มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศพร้อมบริวารได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวารจนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวารท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่าภะคะวะโต แปลว่า พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่งอย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

   อะระหะโต เป็นคำกล่าวสรรเสริญ ของท้าวสักกะเทวราช เจ้าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นท่านสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะเทวราช ได้ทูลถามปัญหาแด่พระผู้มีพระภาคพระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และ ทรงตอบปัญหาจนทำให้ท้าวสักกะเทวราช ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า"อะระหะโต" แปลเป็นใจความว่า อรหันต์เป็นผู้ไกลจากกิเลสไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง

   สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญ ของท้าวมหาพรหมหลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ"สัมมาสัมพุทธัสสะ" หมายถึงผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดีรู้จริงรู้ยิ่งกว่าผู้รู้อื่นใด

     รวมเป็นบทเดียวว่า "นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ" แปลโดยรวมว่า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



คัดลอกมาจากเว็ปพลังจิตด็อทคอม
22148  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำนายจากการเขม่น เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2010, 01:57:52 pm
ทำนายจากการเขม่น


อาการ"เขม่น" อาจ เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายทุก ๆ คน แต่ส่วนมากมักจะเกิดที่นัยน์ตา ปาก และหู เป็นส่วนใหญ่ ...คนโบราณยอมรับว่า "เขม่น" นี้ มีส่วนใกล้เคียงกับความจริงอยู่ในลางสังหรณ์หรือลางนิมิต
 
ลางสังหรณ์จากอาการเขม่น
เขม่นในตอนเช้า...... นับจากตื่นนอนใกล้รุ่ง
ถ้าเขม่นในตาขวา..... จักมีญาติมิตรต่างแดนมาหา
ถ้าเขม่นในตาซ้าย..... จักมีปากเสียงทะเลาะวิวาท หรือมีเรื่องเดือดร้อนมาสู่

เขม่นในตอนสาย (นับจากเวลา 9.00 - 12.00 หรือเที่ยงวัน)
ถ้าเขม่นนัยน์ตาขวา..... ญาติมิตร
ต่างแดนหรือต่างแดงหรือต่างจังหวัดจะนำลาภมาให้
ถ้าเขม่นนัยต์ตาซ้าย.....จะเกิดเรื่อง ไม่ดีงามภายในครอบครัว


เขม่นในตอนบ่าย (พ้นจากเที่ยงวัน - 16.00 น.)
ถ้าเขม่นนัยน์ตาขวา..... การที่คิดไว้หรือกำลังทำอยู่จะประสบผลสำเร็จ
ถ้าเขม่นนัยน์ตาซ้าย.....จะมีเพศตรง ข้ามกล่าวขวัญถึงหรืออาจมาหา

เขม่นในตอนเย็น (ตั้งแต่ 17.00 - 19.00 น.)
ถ้าเขม่นนัยน์ตาซ้าย... จะมีญาติหรือเพื่อนสนิทที่อยู่ห่างไกลมาเยี่ยม
ถ้าเขม่นนัย์น์ตาขวา... จักได้พบญาติหรือมิตรสหายที่จากกันไปนานโดยไม่นึกไม่ฝัน


เขม่นในตอนกลางคืน ( 19.00 เป็นต้นไป )
ถ้า เขม่นนัยน์ตาซ้าย..... จักมีข่าวดีมาถึงในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น หรือจักได้ลาภจากผลงานที่ทำไว้
ถ้าเขม่นนัยน์ตาขวา..... จักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัว

นอกจากนี้การเขม่น ก็อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนอื่นๆ เช่น
 
การเขม่นที่หัวคิ้วทางด้านขวา หมาย ถึง อาจถูกเพื่อนฝูงหักหลังได้
การเขม่นที่หัวคิ้วทางด้านซ้าย หมายถึง คนรักกำลังบ่นถึง/คิดถึง


การเขม่นที่หางตาทาง ด้านขวา หมายถึง จะได้โชคลาภ ได้รับเงินทอง
การเขม่นที่หาง ตาทางด้านซ้าย หมายถึง จะไม่สบายใจ การเจ็บป่วย

การเขม่นที่หน้าผาก หมายถึง อาจเสียของรักของหวง

การเขม่นที่หูทางด้านขวา หมายถึง อาจจะได้รับข่าวไม่ค่อยดี
การเขม่นที่หูทางด้าน ซ้าย หมายถึง จะได้รับข่าวดี / จะมีลาภภายใน 3 วัน

การเขม่นที่จมูก หมายถึง อาจจะมีเรื่องมีราวที่ไม่ดี / อาจถูกคนพาลหาเรื่อง

การเขม่นที่แก้มทาง ด้านขวา หมายถึง อาจได้ลาภจากคนรัก
การเขม่นที่ แก้มทางด้านซ้าย หมายถึง จะมีความสุขสมหวังกับคนรัก

การเขม่นที่ริมฝีปาก หมายถึง จะมีโชคลาภทางอาหารการกิน
การเขม่นที่ริมฝีปาก ทางด้านบน หมายถึง จะมีคนพาไปเลี้ยง/ ไปงานเลี้ยง
การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านล่าง หมาย ถึง การจะได้รับข่าวดีจากเพศตรงข้าม
การเขม่นที่ริมฝีปาก ทางด้านขวา หมายถึง จะมีลาภจากเพศตรงข้าม
การเขม่นที่ริม ฝีปากทางด้านซ้าย หมายถึง จะมีปากเสียงทะเลาะวิวาท


การเขม่นที่คาง หมายถึง จะประสบปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ทางครอบครัว

การเขม่นที่ต้น คอ หมายถึง จะประสบอุบัติเหตุ
การเขม่นที่คอ ทางด้านขวา หมายถึง การจะมีลูกชายเป็นที่น่าพึงพอใจ
การเขม่นที่คอทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีลูกสาวเป็นที่น่าพึงพอใจ


การเขม่นที่ไหล่ทาง ด้านขวา หมายถึง การจะเสียเงินเสียทองของรัก
การเขม่นที่ ไหล่ทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ

การเขม่นที่รักแร้ทางด้านขวา หมายถึง การจะเกิดความเดือดร้อน
การเขม่นที่รักแร้ทาง ด้านซ้าย หมายถึง การจะมีลาภ มีข้าวของเงินทอง


การเขม่นที่แขน ทางด้านขวา หมายถึง การจะได้ลาภจากการเดินทาง
การเขม่นที่แขน ทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับข่าวดี

การเขม่นที่ข้อ ศอกทางด้านขวา หมายถึง การมีญาติพี่น้องมาเยี่ยม
การเขม่นที่ข้อศอกทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคนรักที่น่าพึงพอใจ


การเขม่นที่มือทาง ด้านขวา หมายถึง การจะได้รับเงินทองเป็นของรางวัล
การเขม่นที่มือทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับชื่อเสียงเกียรติยศ

การเขม่นที่หลังฝ่า มือทางด้านขวา หมายถึง การจะมีคนมาติดต่อเรื่องงาน
การเขม่นที่หลังฝ่ามือทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับจดหมายจากเพศตรงข้าม


การเขม่นที่นิ้วหัว แม่มือ หมายถึง การจะมีคนมาขอรับปรึกษา
การเขม่นที่ นิ้วชี้ หมายถึง การจะเกิดเรื่องเกิดราว
การเขม่นที่ นิ้วกลาง หมายถึง การจะมีคนมาขอให้เป็นพยาน
การเขม่นที่ นิ้วนาง หมายถึง การจะได้รับข่าวดีจากต่างเพศ
การเขม่นที่ นิ้วก้อย หมายถึง การจะมีคนดูถูก

การเขม่นที่ หน้าอก หมายถึง การจะพบเพศตรงข้ามที่พึงพอใจ

การเขม่นที่หัว นมทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคลาภจากเพศตรงข้าม
การเขม่นที่หัวนมทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้เดินทางไกล
การเขม่นที่ฐานหัวนม ทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับข่าวจากคนรัก
การเขม่นที่ฐาน หัวนมทางด้านซ้าย หมายถึง การที่คนรักจะคิดถึงมาก

การเขม่นที่สีข้างทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคลาภ
การเขม่นที่สีข้างทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้ลาภจากเพศตรงข้าม


การเขม่นที่สะโพกทาง ด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคกับเพศตรงข้าม
การเขม่นที่ สะโพกทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคู่ครองได้แต่งงาน

การเขม่นที่ขาทางด้านขวา หมายถึง การจะทะเลาะกับเพศตรงข้าม
การเขม่นที่ขาทางด้าน ซ้าย หมายถึง การจะทะเลาะกับเพศเดียวกัน


การเขม่นที่ หน้าแข้งทางด้านขวา หมายถึง การจะถูกเพศตรงข้ามหลอกลวง
การเขม่นที่หน้าแข้งทางด้านซ้าย หมายถึง การจะถูกเพศเดียวกันหลอกลวง

การเขม่นที่เข่าทาง ด้านขวา หมายถึง การจะมีลาภลอย
การเขม่นที่ เข่าทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีปากเสียงกับคู่ครอง


การเขม่นที่เท้าทางด้านขวา หมายถึง การจะได้เดินทางไกล
การเขม่นที่เท้าทาง ด้านซ้าย หมายถึง การจะถูกเพศตรงข้ามดูถูกเหยียดหยาม

การเขม่นที่ปลายเท้าทางด้านขวา หมายถึง การที่พี่น้องจะคิดถึงกัน
การเขม่นที่ปลายเท้าทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีการเดินทางไกล



ที่มา: http://www.tlcthai.com/webboard
ขอขอบพระคุณ สมาชิกเว็บพลังจิต คุณchakaktrai

22149  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2010, 01:48:11 pm
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

หลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า”เศรษฐกิจพอเพียง”จากสื่อต่างๆมาพอสมควร โดยเฉพาะรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้น้อมนำเอาปรัชญานี้เข้าไปเป็นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ หลายท่านอาจเข้าใจความหมาย แต่ก็มีหลายท่านเช่นกันที่ไม่เข้าใจอย่างท่องแท้ เพื่อให้ทุกท่านมีความเข้าใจที่ตรงกัน และสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

จึงขอนำความหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเกิดจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาให้ทุกท่านได้อ่าน ในครั้งที่ปรัชญานี้ได้ออกเผยแพร่ใหม่ๆ ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้พสกนิกรทุกท่านได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงทรงโปรดให้ข้าราชบริพารจัดทำความหมายโดยย่อ ไม่ให้เกินหน้ากระดาษขนาดA4 เผยแพร่ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน
 

ต่อไปนี้เป็นความหมายโดยย่อของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในสายกลาง
โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์


ความพอเพียงหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง ทั้งภายนอกและภายใน
ทั้งนี้ต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผน และการดำเนินการทุกขั้นตอน


และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ โดยมีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญาและความรอบคอบ

เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
 
คัดลอกความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงมาจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
22150  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ทำบุญแล้ว อีก ๓๐ ปี ก็อุทิศส่วนกุศลได้ เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2010, 09:26:46 am
ทำบุญแล้ว อีก ๓๐ ปี ก็อุทิศส่วนกุศลได้


ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?

หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ

ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?

หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

"สมมุติ ว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"


ที่มา  http://board.palungjit.com/f10/พุทธศาสนสุภาษิต-พุทธสุภาษิต-129985.html
โพสต์โดย junior phumivat

22151  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / เดียรัจฉานวิชา เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2010, 09:16:39 am
   
เดียรัจฉานวิชา


    เขตชายแดนติดต่อประประเทศเขมรของภาคเหนือแห่งหนึ่ง เส้นทางแสนจะลำบากลำเค็ญในทุก ๆ ฤดู เป็นเวรกรรมของผู้ที่ใช้เส้นทางนี้ หมู่บ้านมะแว้ง ตั้งอยู่กลางดงไม้อันหนาแน่นไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้ริเริ่มในการมา ลงหลักปักฐาน ถึงแม้นจะเป็นกลางดงลึก แต่ก็มีผู้คนอาศัยอยู่เกือบ ๕๐ หลังคาเรือน อาจจะเป็นเพราะดินค่อนข้างต่ำ น้ำค่อนข้างชุ่ม จากต้นน้ำหลาย ๆ สายของทิวเขาตลอดชายแดน

    ก่อนจะเข้าพรรษาประมาณเดือน พฤษภาคม ก่อนฝนจะมาชาวบ้านมะแว้ง ได้มีโอกาสต้อนรับพระภิกษุสงฆ์สูงอายุราว ๆ ๖๐ เศษ ท่านได้ธุดงค์ผ่านมา ท่านปรารภว่า “ เข้าพรรษาปีนี้อาตมาประสงค์จะจำวัดที่หมู้บ้านมะแว้งแห่งนี้ ” พุทธบริษัทต่างปรีดาปราโมทย์เป็นยิ่งนัก จึงพร้อมใจกันสร้างกุฏิขึ้น ๑ หลัง เลือกสถานที่เริ่มแม่น้ำเพราะเห็นวิเวกดี

    ชาวบ้านมะแวังมีอุปนิสัยชอบในการทำบุญ ถึงแม้จะเป็นหมู่บ้านที่ยากจนแต่ทุกคนมีศีลธรรมรักใครกรมเกียวกันดี จึงทำให้หลวงพ่อพระธดงค์ได้พำนักอย่างสบายใจ ในพรรษาชาวบ้านได้อยู่เย็นเป็นสุขกันมา จนกระทั้งผ่านมาถึงเดือนสุดท้ายก่อนออกพรรษา ข้าวในนาตั้งรวง อากาศเย็นเริ่มโชยมา ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดเพราะเมฆฝนหายไป มีแต่ปุยฝ้ายเข้ามาแทนที่ ท้องฟ้าสีเงิน ตัดเมฆงามตายิ่งนัก แต่น้ำในห้วยเริ่มขาดแคลน



  แล้วข่าวร้ายก็ได้กระจายทั่วหมู่บ้าน หมูแม่พันธุ์ที่มีอยู่ตัวเดียวของนายมิ่ง ที่เลี้ยงไว้ไต้ถุนบ้าน ได้หายไปในตอนกลางคืน นายพรานคงชี้ชัดบอกว่า เสือมาคาบเอาไปกินเพราะบริเวรรอบบ้านมีรอยเท้าเสือเกลือนไปหมด ตั้งแต่นั้นมาวัวควายก็ทยอยหายไปเรื่อย ๆ แม้แต่สัตว์เล็กอย่างเป็ดไก่ก็พลอยหายไปด้วยเป็นที่หวาดผวาของชาวบ้านมะแว้ง ใครมีวัวมีควายต่างก็นำมาผูกรวมกันไว้คอกกลางหมู่บ้านและได้ก่อไฟเปลี่ยนเวร ยามกันอย่างแน่นหนา
 
    พอค่ำหน่อยต่างก็ปิดประตูหน้าต่างกันเงี่ยบไม่ได้ยินแม้แต่เด็กที่ร้องให้ เพราะกลัวเสือมันจะมาคาบเอาไปกิน ใครจะมีธุระกลางค่ำกลางคืนมาจะไม่คนเป็นประตูรับเป็นอันขาด ถ้ามีปวดท้องก็กลั้นเอากลั้นไม่อยู่ก็จะต้องมีคนมาคุมไม่น้อยกว่า ๓-๖ ยืนคุมพร้อมด้วยอาวุธที่มี.. ส่วนมากจะไม่มีใครกล้าลงจากบ้านกันเลย
 
    และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชาวบ้านมะแว้งต้องสยองขัวญเพราะเสือได้คาบหมูของ นายอินนางจันทร์สองสามีภรรยาเอาไปกิน หมาเลี้ยงไว้หลายตัวแต่ละตัวล้วนแต่ดุ ๆ เห่าเก่ง วันที่เกิดเหตุต่างไม่มีตัวไหนเลยที่จะส่งเสียงมาเตือน พวกมันมัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกัน พรานคงได้นำชายหนุ่มฉกรรจ์ออกตามรอยเท้าเสือก็พบเศษซากของหมูเกลื่อนกลาดไป เป็นทาง

    อีกหนึ่งอาทิตย์จะออกพรรษาหัวหน้าชาวบ้านเรียกลูกบ้านมาประชุมกันถึงเรื่อง งานบุญปีนี้จะเอาอย่างไรกันดีเพราะได้มีเสือเข้าในหมู่บ้าน และได้มีผู้กล้าหาญ ๕-๖ อาสาออกไปจัดการกับเสือร้ายโดยนายพรานคงเป็นหัวหน้า พรานคงให้นายวินเป็นคนเอาหมูออกไปผูกล่อเสือตรงกลางทุ่งแล้วพวกขางพรานคงก็ ทำคัดห้างที่ต้นไม้ใหญ่คอยจ้องมองว่าเสือมันจะมาคาบเอาหมูที่ผูกไว้เมื่อไหร
 

    เสือมันก็รู้ตัวไม่ยอมโผลมาให้เห็น คืนที่สองก็แล้วจนกระทั้งคืนที่สาม ดวงจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำแสงจากดวงจันทร์สว่างจ้า ลมเย็น ๆ เริ่มโรยตัวลงมาแต่เหล่านายพรานคงยังคงถือปืนจ้องไปที่หมูที่ผูกเอาไว้ เสียงจิ้งหรีดที่พากันร้องจ้าจนแสบแก้วหูพลันพาพร้อมใจกันหยุดร้องเงี่ยบก ริบแม้แต่ลมก็พลอยจะหยุดไปด้วย

ลมโชยมาอีกครั้งคราวนี้ได้กลิ่นสาบและร่างของเสือก็ปรากฏขึ้น หมูที่ผูกไว้มันรู้ว่าภัยได้มาถึงตัวมันแล้วมันดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ เชือกที่ผูกมัดไว้กับตอไม้หลุดออกแต่ก็ไม่พ้นจากกรงเล็บของเจ้าลายพลาดกลอน ไปได้ นายพรานคงถึงกับผงะเพราะเสือตัวใหญ่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย พอตั้งสติได้จึงยกปืนแก๊ปเล็งและวาดกระบอกปืนไปที่ร่างของเสือ

    ทุกคนเห็นชัด ๆ ว่าเสือกระเด็นกระดอนไปตามแรงของปืน แต่อะไรนั้นมันลุกขึ้นยืนสะบัดขนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และก็ได้คาบเอาเหยื่อแล้วเดินหายลับไปต่อหน้านายพรานคง ทุกคนตลึงอ้าปากค้าง
   
รุ่งเช้าทุกคนออกตามรอยเสือไป ไม่มีแม้แต่รอยเลือดของเสือคงมีแต่เลือดของเหยื่อเท่านั้นปืนของนายพรานคงทำ อะไรมันไม่ได้เลยเหรอ ข่าวเสือร้ายบุกเข้าไปคาบสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน นายอำเภอและตำรวจได้ออกมาช่วยไล่ล่าเสือแต่ไม่มีวี่แววของเสือมาให้เห็นเลย

จนกระทั้งออกพรรษา ทุกคนลงความเห็นว่ามันคงแผ่นไปไกลไม่มาในหมู่บ้านนี้แล้ว ต่างคนก็ดีใจที่จะได้ไม่ต้องขวัญหนีดีฝ่อกันอีกแล้วต่างประกอบอาชีพกันตาม ปกติ หลังจากออกพรรษาไปได้ ๓ วัน ลูกสาวของพรานคงเอาขนมไปให้ยายที่บ้านท้ายทุ้ง ก็ถูกเสือคาบเอาไปกิน ร่องรอยเสือแทะจนเหลือแต่กระดูก ตับไตไส้พุงหายเกลี้ยง มันต้องเป็นเสือตัวเดียวกับตัวเดิมนั้นเอง
 
    ชาวบ้านมะแว้งต้องขวัญเสียอยู่กันอย่างหวาดผวาอีกครั้ง และไม่กี่วันถัดมา มีเด็กถูกเสือคาบเอาไปกินอีก.... เป็ดไก่วัวควายก็เริ่มหายไป ในที่สุดพวกชาวบ้านก็อบพยพหนีเสือกับจนเกือบจะหมดหมู่บ้าน

    ท่ามกลางความเงียบและน่ากลัว ได้มีเกวียนเทียมวัวบรรทุกขายสินค้าพาสองสามีภรรยาวัยชราผ่านมาพบกับชาวบ้าน ชุดสุดท้ายที่เตียมอพยพลูกเมียออกจากหมู่บ้าน พอชายชราเห็นดังนั้นจึงได้ถามไถ่ได้ความมาว่าเสือร้ายได้มีก่อกวนจนเหลือทน แล้ว พ่อเฒ่าทั้งสองก็เหมือนกันต้องรีบออกไปจากหมู่บ้านนี้ก่อนมืดค่ำเดี๋ยวจะไม่ ทันการ
 

    ชายชราได้ฟังแล้วก็พูดขึ้นว่านี้ก็เย็นแล้วเห็นจะไม่ทันแล้ว และได้ขอร้องขอให้ทุกคนอยู่แต่ในที่พัก หากว่าคืนนี้มีเสียงอึกทึกครึกโครมอะไรห้ามออกมาดูและส่งเสียงเป็นอันขาด ยายได้ไปชวนพวกผู้หญิงทำอาหารเย็นไว้กินกันก่อนที่จะมืด ฝ่ายตาก็ได้เข้าไปทำพิธีในเกวียน
 

    คืนวันเพ็ญเดือน ๑๒ แสงจันทร์ได้สาดส่องให้เห็นอะไรในตอนคืนได้เหมือนกับกลางวัน เวลาผ่านไปเลยเที่ยงคืนลูกเด็กเล็กแดงได้นอนหลับกันหมดแล้วยังคงมีแต่พวก ผู้ใหญ่ที่คอยเงี่ยหูฟังว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น และทุกคนต่างก็สดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาด เหมือนเสียงวัวควายชนกัน

กลางแสงจัทนร์นั้น ควายสีดำเป็นมันล่ำพี ๒ ตัว กำลังต่อสู่กับเสือขนาดมหึมา ควายตัวหนึ่งนั้นถูกแรงตบจากเสือกระเด็นกระดอนไปแต่ควายอีกตัวกระโจรเข้า ขวิดทันทีเมื่อเสืองับคอควายตัวที่กระเด็น นอกจากจะไม่ระคายหนังควายแล้ว เสือยังถูกแรงสบัดหลุดกระเด็นแถมถูกซ้ำด้วยการขวิดของควายอีกตัวเข้าด้าน หลัง ในที่สุดเสือพยายามหนีเพราะควาย ๒ ตัวรุมเสืออย่างไม่ให้ตั้งตัวติด
 

    และในที่สุดควายตัวหนึ่งพุ่งชน ร่างเสือกระเด็นลอยสูงไปตกบนหลังคากระท่อม จากนั้นมันกระโจนหายไปอย่างไม่รู้ทิศทาง และไม่มีใครรู้ว่ามันไปไหน ควายสองตัวเดินสบัดหัวสะบัดหางเฉียดกระเกวียนสองตายายแล้วร่างของควายทั้ง สองก็หายวับจากสายตาที่จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ

    รุ่งเช้าพวกชาวบ้านที่ยังเหลืออยู่ได้พากันดีใจ ได้เตียมอาหารหวานคาวเพื่อไปทำบุญเพราะเรื่องร้าย ๆ ได้มลายหายไปแล้วชาวบ้านไม่ลืมที่ไปชวนสองตายายไปใส่บาตรด้วยกัน และพวกชาวบ้านได้พากันตะลึงอ้าปากค้างก้าวขาไม่ออกเพราะภาพที่เห็น
 

    ที่หน้ากุฏิร่างของของหลวงตานอนหายใจระรวย ตามตัวมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง เลือดสด ๆ ไหลโกรกออกมาจากบาดแผล ตามร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือด จมูกและปากก็มีเลือดไหล อะไรหรือนั้นที่ท่อนล่างตั้งแต่ท่อนเอวลงไป เป็นร่างของเสือลายพลาดกลอนเหลืองดำ หางสั่นระริกแสดงว่าใกล้จะสิ้นใจเต็มทนแล้ว
 

    สายตาของหลวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย เหมือนจะบอกว่า มีใครบ้างอยากตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ทุกอย่างเป็นกฏของกรรม โดยแท้ เพราะเป็นพระแทนที่จะเจริญศีลภาวนากลับมุ่งร่ำเรียนแต่ เดียรัจฉานวิชา...ผลจึงออกมาเช่นนี้....
    แล้วคุณล่ะ..
 

ที่มา  http://larnbuddhism.com/godgram/godgram/
22152  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ทำไมพระอาจารย์เสาร์สอน "ภาวนาพุทโธ" เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2010, 09:08:17 am
ทำไมพระอาจารย์เสาร์สอนภาวนาพุทโธ


เพราะพุทโธเป็นกิริยาของใจ
หลวงพ่อก็เลยเคยแอบถามท่านว่าทำไมจึงต้องภาวนา พุทโธ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธ เป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียนเป็นตัวหนังสือเราจะเขียน พ-พาน สระอุ-ท-ทหาร สะกด สระโอ ตัว ธ-ธงอ่านว่า พุทโธ

อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธ แล้วมันสงบวูบลงไป นิ่ง สว่างรู้ตื่นเบิกบาน พอหลังจากนั้นคำว่า พุทโธ มันก็หายไปแล้ว ทำไมมันจึงหายไป เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้วจิตกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะเกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา

พอหลังจากนั้นจิตของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธแล้วก็ไปนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบยังแถมมีปิติ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อันนี้มันเป็นพุทธ พุทโธ โดยธรรมชาติเกิดขึ้นที่จิตแล้ว พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกริยาของจิตมันใกล้กับความจริง แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธๆๆ

ในขณะที่จิต เราไม่เป็นเช่นนั้น ที่เราต้องมาบ่นว่าพุทโธ นั่นก็เพราะว่า เราต้องการจะพบ เพื่อนคนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขา หรือเขายังไม่มาหาเรา เราก็เรียกชื่อเขาทีนี้ในเมื่อเขามาพบเราแล้ว เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว ก็ไม่จำเป็น จะต้องไปเรียกชื่อเขาอีก ถ้าขืนเรียกซ้ำๆ เขาจะหาว่าเราร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา

ทีนี้ในทำนองเดียวกันในเมื่อเรียก พุทโธ ๆๆ เข้ามาในจิตของเราเมื่อจิตของเราได้เกิดเป็นพุทโธเอง คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราก็หยุดเรียกเอง ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกอันหนึ่งแทรกขึ้นมา เอ้าควรจะนึกถึงพุทโธอีก พอเรานึกขึ้นมาอย่างนี้ สมาธิของเราจะถอนอีกที แล้วกิริยาที่จิตมันรู้ ตื่น เบิกบาน จะหายไป เพราะสมาธิถอน

ทีนี้ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำพร่ำสอน ท่านจึงให้คำแนะนำว่า เมื่อเราภาวนาพุทโธไป จิตสงบวูบลงนิ่ง สว่าง รู้ตื่น เบิกบานแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ให้ประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติอย่างนั้น ถ้าเราสามารถประคองจิตให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นได้ตลอดไป จิตของเราจะค่อยสงบละเอียดๆๆ ลงไป ในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้น

ถ้าจิตส่งกระแสออกนอกเกิดมโนภาพ ถ้าวิ่งเข้ามาข้างในจะเห็นอวัยวะภายในร่างกายทั่วหมดตับ ไต ไส้ พุง เห็นหมด แล้วเราจะรู้สึกว่ากายของเรานี่เหมือนกับแก้วโปร่งดวงจิตที่สงบ สว่างเหมือนกับดวงไฟที่เราจุดไว้ในพลบครอบ แล้วสามารถเปล่งรัศมีสว่างออกมารอบๆ จนกว่าจิตจะสงบละเอียดลงไป

จนกระทั่งว่ากายหายไปแล้วจึงจะเหลือแต่จิตสว่างไสวอยู่ดวงเดียวร่างกายตัวตน หายหมดถ้าหากจิตดวงนี้มีสมรรถภาพพอที่จะเกิดความรู้ความเห็นอะไรได้ จิตจะย้อนกายลงมาเบื้องล่าง เห็นร่างกายตัวเองนอนตายเหยียดยาวอยู่ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป

ฉะนั้น คำว่า พุทโธ ๆ ๆ นี้มันไม่ได้ติดตามไปกับสมาธิ พอจิตสงบเป็นสมาธิแล้วมันทิ้งทันที ทิ้งแล้วมันก็ได้แต่สงบนิ่ง แต่อนุสติ ๒ คือกายคตานุสติ อานาปานสติถ้าตามหลักวิชาการท่านว่า ได้ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนาทีนี้ถ้าเราภาวนาพุทโธ เมื่อจิตสงบนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ถ้ามันเพ่งออกไปข้างนอกไปเห็นภาพนิมิต ถ้าหากว่านิมิตนิ่ง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นสมถกรรมฐาน ถ้าหากนิมิตเปลี่ยนแปลงก็เป็นวิปัสสนากรรมฐาน

ทีนี้ถ้าหากจิตทิ้งพุทโธ แล้วจิตอยู่นิ่งสว่าง จิตวิ่งเข้ามาข้างใน มารู้เห็นภายในกายรู้อาการ ๓๒ รู้ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งร่างกายปกติแล้วมันตายเน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไป มันเข้าไปกำหนดรู้ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายซึ่งร่างกายปกติแล้วมันตายเน่า เปื่อยผุพัง สลายไป มันเข้าไปกำหนดรู้ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะคือ กายกับจิตมันก็เป็นวิปัสสนากรรมฐาน มันก็คลุกเคล้าอยู่ในอันเดียวกันนั้นแหละ

แล้วอีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะเคยได้ยินได้ฟังว่าสมาธิขั้นสมถะมันไม่เกิดภูมิความ รู้ อันนี้ก็เข้าใจผิด ความรู้แจ้งเห็นจริง เราจะรู้ชัดเจนในสมาธิขั้นสมถะ เพราะสมาธิขั้นสมถะนี่มันเป็นสมาธิที่อยู่ในฌานมันเกิดอภิญญา ความรู้ยิ่งเห็นจริง แต่ความรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิขั้นสมถะ มันจะรู้เห็นแบบชนิดไม่มี

ภาษาที่จะพูดว่าอะไรเป็นอะไรสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น เช่น มองเห็นการตาย ตายแล้วมันก็ไม่ว่า เน่าแล้วมันก็ไม่ว่า ผุพังสลายตัวไปแล้วมันก็ไม่ว่า ในขณะที่มันรู้อยู่นั่น แต่เมื่อมันถอนออกมาแล้วยังเหลือแต่ความทรงจำ จิตจึงจะมาอธิบายให้ตัวเองฟังเพื่อความเข้าใจทีหลังเรียกว่า เจริญวิปัสสนา

ที่มา  http://thai.mindcyber.com
22153  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ที่มาของคำว่า “สัมมา อะระหัง” เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2010, 09:06:48 pm

พระมงคลเทพมุนี(หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ)

ที่มาของคำว่า  “สัมมา อะระหัง”

เหตุผลที่ใช้คำว่า สัมมา อะระหัง
          พระมงคลเทพมุนีสอนให้บริกรรมภาวนาว่า สัมมา อะระหัง เป็นบทพุทธคุณ การที่ใช้คำนี้เป็นพุทธานุสติในการเจริญสมาธิเพราะพุทธานุสตินี้เป็นธรรม ประการต้นที่พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี สนใจปฏิบัติและสอนสานุศิษย์เป็นพิเศษทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมจะต้องให้ใจ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เพราะพุทธานุสติเป็นธรรมให้จิตตื่น ให้จิตสว่าง ให้จิตมีกำลัง มีความกล้าที่จะปฏิบัติธรรมสืบต่อไป
 
          ธรรมดาจิตของบุคคลถ้าไม่มีอะไรยึดแล้ว จิตจะคอยแต่ฟุ้งซ่าน ทำให้สงบอยู่ไม่ได้ จึงต้อง มีพุทธคุณยึด เมื่อมีพุทธคุณยึดแล้ว จะหลับก็ตาม จะตื่นก็ตาม จิตย่อมอยู่ในการรักษา เพราะพุทธานุภาพย่อมรักษาคนที่มีสติระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อยู่เป็น นิตย์ ดังพุทธภาษิตว่า


                           สุปฺปพุทฺธํ  ปพุชฺฌนฺติ                   สทา  โคตมสาวกา
                           เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ                    นิจฺจํ  พุทฺธคตา สติ


          แปลว่า สติที่ไปในพระพุทธเจ้ามีแด่พระสาวกของพระโคดมเหล่าใดทั้งวันทั้งคืน พระสาวกของพระโคดมเหล่านั้นจะหลับก็ตาม จะตื่นก็ตาม ชื่อว่า ตื่นแล้วด้วยดี

         อาศัยเหตุนี้พุทธานุสติจึงเป็นคุณธรรมที่ทำให้เกิดความสุขใจแก่ผู้ปฏิบัติ ธรรมเป็นประการแรก ดังนั้นพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนีจึงสนใจ และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ท่านเตือนพุทธบริษัทเสมอๆ ว่าอย่าให้เป็นคนว่าง ควรมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ แม้จะยังไม่บรรลุอริยผลเบื้องสูงก็ตาม แม้เมื่อละโลก ก็มีสุคติเป็นที่ไป ดังพุทธพจน์ว่า

                          เยเกจิ พุทฺธํ สรณํ คตา เส               น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ
                          ปหาย มนุสฺสํ เทหํ                       เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติ


          แปลว่า ชนเหล่าใดถึงซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ชนเหล่านั้นแลจักไม่ไปสู่อบาย เมื่อเขาละร่างกายนี้แล้วก็จะไปเพียบพร้อมอยู่ในเทวสมาคม

           สัมมา อะระหังเป็นถ้อยคำที่ศักดิ์สิทธิ์ สืบทอดกันมายาวนานเป็นพันปี ให้ไว้สำหรับผู้มีบุญ ในกาลก่อน กว่าจะได้คำนี้มาจะได้ด้วยความยากลำบาก ต้องบอกกันแบบมีพิธีการมาก เพื่อให้รู้คุณค่าของคำๆ นี้

 


ความหมายของคำว่า สัมมาอะระหัง
          1. สัมมา อะระหัง เป็นคำสากลที่ใช้ได้กับทุกคนในโลก โดยไม่ขัดแย้งกับความเชื่อใดๆ
         
คำว่าสัมมา แปลว่า ถูกต้อง ดีงาม ที่ถูกที่ชอบ เช่น มีความเห็นถูก คิดถูก พูดถูก ทำถูก เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม

         อะระหัง แปลว่า ห่างไกลจากสิ่งชั่วร้าย ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโกรธ ความโศกเศร้า ความคับแค้นใจ ความร่ำพิไรรำพัน ความอาลัย หรือห่างไกลจากบาปอกุศล

         สัมมา อะระหัง จึงแปลรวมๆ ว่า ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม และไกลจากสิ่งชั่วร้าย จากบาปอกุศล ความโลภ ความโกรธ ความหลง


         2. สัมมา อะระหัง เป็นภาษาบาลี มีศัพท์ควบคู่กันอยู่ 2 ศัพท์คือ สัมมาคำหนึ่ง กับอะระหังคำหนึ่ง
           2.1 สัมมา เป็นศัพท์ที่มีความหมายสูง แปลว่า ชอบ ดีงาม ถูกต้อง ในพระพุทธคุณ 9 บท    ท่านเอาศัพท์ นี้เข้าคู่กับสัมพุทโธ เป็นสัมมาสัมพุทโธ แปลว่า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ นอกจากใช้ในบทพุทธคุณแล้วยังใช้ ในอริยมรรคมีองค์ 8 ด้วย โดยมีคำว่า สัมมา ควบองค์มรรค อยู่ทุกข้อเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ เป็นต้น ทำให้ความหมายของมรรค 8 หมายถึง ถูกต้อง สิ่งที่ดีงาม ตั้งแต่เห็นถูก คิดถูก  พูดถูก ทำถูก เป็นต้นเรื่อยไป

           2.2 ส่วนศัพท์ว่า อะระหัง เป็นพุทธคุณบทต้น แปลว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นพระอรหันต์ เมื่อรวมเป็นสัมมาอะระหัง จึงแปลว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นพระอรหันต์โดยชอบ



     นอกจากนี้ อะระหัง ยังแปลว่าไกลจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย หมายถึง ไกลจากกิเลส คือ กิเลสไปไกลๆ เพราะใจของเราห่างจากกิเลส ห่างจากความมืด ห่างจากความทุกข์ทรมาน ห่างจากความเลว ห่างจากสิ่งไม่ดี มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ จึงได้ชื่อว่า อะระหัง คือ มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่มีสิ่งที่ เป็นมลทินเข้าไปเจือปนเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเพชร ก็เป็นเพชรที่ใส ไม่มีมลทิน ไม่มีขีด ไม่มีข่วน ไม่มีไฝฝ้า เป็นเพชรที่ใสทั้งเนื้อทั้งแววทั้งสี สวยงามไม่มีที่ติทีเดียว

          คำว่า อะระหัง นี้ยังเป็นคำแทนของพระธรรมกาย ซึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย เป็นผู้รู้แจ้งเพราะเห็นแจ้ง ญาณทัศนะเกิด เพราะว่ามีธรรมจักขุมองเห็นสว่างไสว เห็นถึงไหน รู้ถึงนั่น เป็นผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่งัวเงีย ไม่เหมือนอยู่ในโลกของความฝัน ตื่นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง  คือรู้เรื่องความจริงทั้งหมด เห็นว่าอะไรเป็นจริง อะไรไม่จริงก็เห็นว่ามันไม่จริง อะไรจริงก็เห็นว่ามันจริง หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นจนกระทั่งใจขยายไม่มีที่ สิ้นสุดที่เรียกว่าเบิกบานเหมือนอาการบานของดอกไม้

          ดอกไม้ที่น้ำเลี้ยงดอกไม้มันเต็มที่ก็ขยายส่งกลิ่นหอมไปไกลทีเดียว ขยายออกไป ใจที่เบิกบาน คือใจที่หลุดจากข้อง จากที่แคบ จากภพทั้งหลาย จากสิ่งที่ทำให้อึดอัดที่ทำให้คับแคบ ให้วิตกกังวล เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม อะไรต่างๆ หลุดหมดเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ขยายไปไม่มีที่สิ้นสุด

          สัมมา อะระหัง โดยสรุปแล้วหมายถึง การเข้าถึงสิ่งอันประเสริฐ หรือสิ่งประเสริฐสูงสุดที่มนุษย์จะพึงเข้าถึงได้ คือพระธรรมกายในตัวนั่นเอง จากที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้เห็นว่า คำว่า สัมมา อะระหัง จึงเป็นถ้อยคำที่ถูกกลั่นกรองและคัดเลือกแล้ว เพื่อนำมาใช้เป็นคำภาวนาที่เหมาะสมที่สุดในการภาวนา




อ้างอิง คัดลอกมาจากหนังสือสมาธิ 2
ที่มา  http://main.dou.us/view_content.php?s_id=55&page=7
22154  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ นะ โม พุท ธา ยะ เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2010, 08:46:51 pm

ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์

ในสมัยต้นปฐมกัป มีพญากาเผือกสองตัวผัวเมีย ทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคาอันเป็นธรรมชาติสถาน รื่นรมย์ ในเวลาต่อมาต่อมา พระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์แม่พญากาเผือก พร้อมกันถึง ๕ พระองค์ เมื่อครบทศมาส แม่กาเผือกก็ออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อ จำนวน ๕ ฟองและคอยเฝ้า ดูแลรักษาไข่ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี

    อยู่มาวัน หนึ่ง พญากาเผือกออกไปหากินถิ่นแดนไกลไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งอันสมบูรณ์ ด้วยธรรมชาติ แม่กาเผือกเพลินหากินอาหาร ชื่นชมกับธรรมชาติจนมืดค่ำ เกิดลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำมืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้หาหนทางออกไม่ถูก   

    จึงหลงอยู่ในบริเวณสถานที่นั้น แม่กาเผือกได้อยู่ที่เวียงกาหลง คืนหนึ่ง จนเช้าจึงรีบถลาบินกลับที่พัก แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้มะเดื่อที่ทำรังอยู่ ถูกลมพายุใหญ่พัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจรีบบินถลาหาลูกที่ยังอยู่ในไข่ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ในที่สุดก็สิ้นใจตายอย่างน่าสงสาร


    แต่ด้วยอานิสงส์ที่มีความเมตตารักลูกอันบริสุทธิ์ กับทั้งที่ลูกของแม่กา เผือกเป็นพระโพธิสัตว์ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกไปจุติยังแดนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ได้พระนามว่า “ฆติกามหาพรหม” จักได้เป็นผู้ถวาย อัฏฐะบริขาร บวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนไข่ทั้ง ๕ ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปในสถานที่ต่าง ๆ
    ไข่ฟองที่ ๑ แม่ไก่เก็บไปดูแลรักษา
    ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา
    ไข่ฟอง ที่ ๓ แม่เต่า เก็บไปดูแลรักษา
    ไข่ฟองที่ ๔ แม่โคเก็บไปดูแลรักษา
    ไข่ ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา


    ครั้นในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ ปรากฏเป็นมนุษย์บุรุษรูปงานทั้ง ๕ พระองค์ และเจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงด้วยความกตัญญู รู้จักหน้าที่ ทดแทนบุญคุณจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่งก็มีจิตคิดที่จะออกบวชบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์ ฝ่ายแม่เลี้ยงก็ไม่ขัดความประสงค์ อนุญาตให้ลูกไปบวช บำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความอนุโมทนา

    แม่เลี้ยงทั้ง ๕ เห็นปณิธานที่มุ่งมั่น จะบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ในวัฏฏะสงสาร จึงฝากนามของแม่เลี้ยงไว้กับลูก เพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาคหน้า เมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกแล้ว ตามลำดับพระนามดังต่อไปนี้
    องค์ ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นไก่
    องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค
    องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า
    องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค
    องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นราชสีห์



ในกัปนี้ชื่อ ว่า ภัททกัป เป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของ คำว่า “นโมพุทธายะ”
    นะ คือ พระกกุสันโธ
    โม คือ พระโกนาคมโน
    พุท คือ พระกัสสโป
    ธา คือ พระโคตโม
    ยะ คือ พระศรีอาริยเมตไตรโย

    จนเป็นคาถาที่ใช้สืบต่อกันมา

    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ เมื่อออกบวชเป็นฤาษี ก็ได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐาน จนสำเร็จญาณอภิญญาสมาบัติ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะมาหาอาหารผลไม้ และบำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ ณ ใต้ต้นนิโครธ อันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกัน ณ ที่นี้โดยไม่ได้นัดหมาย จึงสอบถามถึงความเป็นมาของกัน และกันจนรู้ว่าแต่ละองค์ก็มีแต่แม่เลี้ยง ฤาษีทั้ง ๕ จึงร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐานขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้า

ด้วยอำนาจ สัจจะอธิษฐานธรรมอันบริสุทธิ์ดังก้องไปถึงพรหมโลก ท้าวฆติกามหาพรหม ซึ่งเดิมคือ แม่กาเผือก ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงจำแลงเพศเป็นรูปเดิม ขนขาวสวยงาม มาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าของฤาษีทั้ง ๕ เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็รู้สึกสลดสังเวชใจ และสำนึกบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่กาเผือก

    จึงน้อมนมัสการผู้เป็นแม่ กราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์ผู้บังเกิดเกล้าไว้บูชา ได้มาเป็นผ้าฝ้ายเป็นตีนกาสัญลักษณ์ของแม่กาเผือกให้แก่ลูกฤาษีทั้ง ๕ ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุกวันพระ และต่อมาได้กลายเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ตลอดกาลนาน

    ฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ต่างพากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาดจนดับขันธ์ ได้ไปจุติบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพ และในกาลต่อมา ก็วนเวียนบำเพ็ญเพียรบารมีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสงสารวัฏ นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกา ก็จะนำเอาบริขาร คือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ในชาติสุดท้ายที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์

    กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบัน พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือก ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกไปแล้วถึง ๔ พระองค์ ตามลำดับดังนี้
   พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๔ หมื่นปี มีเขมวตีนนครของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี
   พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๓ หมื่นปี มีโสภวตีนนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี
   พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๒ หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี
   พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระพุทธเจ้าสุทโธทนะเป็นราชธานี


   ส่วนพระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕ อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือก คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัททกัป จะมีอายุถึง ๘ หมื่นปี

    ในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย์นั้นสภาพสังคมมนุษย์โลกจะอุดมสมบูรณ์พูนสุขมาก เพราะผู้คนมีศีลธรรมอยู่ด้วยกันได้เมตตาธรรมมีศีล 5 บริสุทธิ์ ทุกคน จึงมีทรัพย์สมบัติมาก มีอายุ ยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีรูปร่างสวยสดงดงามหน้าตาผ่องใสเบิกบานด้วยกันหมด

    เพราะผู้คนในยุคนั้นได้สร้างบุญบารมี ให้ทาน รักษาศีล ภาวนากันมาสมบูรณ์ดีหมดและเพราะพระบารมีของพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรยที่ สั่งสมบารมี เพื่อ ความสันติสุขของโลกซึ่งมีพระเจ้าสังขจักรพรรดิทรงปกครองบ้านเมืองโดยชอบธรรม ในเมืองเกตุมวดีนครแผ่ธรรมจักรพรรดิให้คนรักษาศีล 5 ทั้งโลก

    เมื่อพระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วผู้คนจึงได้ฟังพระ ธรรมจักรได้ดื่มรส อมตธรรมแห่งพระศรีอริยเมตไตรย์ ได้บรรลุเข้าถึงสวรรค์นิพพานโดยแท้

    ผู้คนในยุคนั้นจึงโชคดีที่สุดที่เกิดมาเพื่อสันติสุข เข้าถึง ศีลธรรมอันดีงามทั้งหมดขอให้ทุกคนจงพากเพียร ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา จะได้ไปเกิดในพระศาสนาพระศรีอาริย์หากเข้าสู่นิพพานยุคนี้ยังไม่ได้ ท่านก็ยังมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งอย่างแน่นอนคือพระศรีอริย เมตไตรย์ลูกแม่กาเผือกองค์สุดท้าย


ที่มา http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=kathaarkom&topic=7884,
http://www.boysapolclub.com/Forums/index.php?PHPSESSID=b35538a35e60b9c3ba468c18253a8c4d&topic=1892.15
ขอบคุณภาพจาก http://board.palungjit.com/,http://www.dhammajak.net/



ตามประทีปบูชา "พญากาเผือก"

    สภาวัฒนธรรมตำบลของฉัน กำเนิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ที่ผ่านมา กลุ่มคนสืบสาน ประเพณีไทยยวนก็กำเนิดตามมาติด ๆ โดยลูกหลานบ้านพระยาทดที่รักและหวงแหนในวัฒนธรรมประเพณีโบราณที่นับวันจะ เลือนหายไปกับกาลเวลา นับถึงวันนี้ลูกหลานไทยยวนตั้งถิ่นฐานอยู่ราบลุ่มแม่น้ำแห่งนี้มาได้กว่า ๒๐๐ ปีแล้ว แม้ระยะทางห่างไกลแต่สายใยของความเป็นเชื้อชาติยังไม่ห่างหายไปตามระยะเวลา

    ประเพณีลอยกระทงของชาวไทยภาคกลางนั้น มีความมุ่งหมายเป็นมาเพื่อขอขมาต่อแม่พระคงคาเทพธิดาแห่งสายน้ำ สายเลือดสำคัญซึ่งได้หล่อเลี้ยงชีวิต กิน ดื่ม อาบ ชำระล้างและทำความสะอาด

   แต่ในวาระเดียวกันชาวไทยยวนผู้ซึ่งมีศรัทธาแก่กล้าต่อพระศาสนาก็มีประเพณี การตามประทีปบูชารอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐาน ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมานมี และรวมทั้งการบูชา "พญาก๋าเผือก หรือ พญากาเผือก" ตามตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์

   นานเหลือเกินแล้วสำหรับความทรงจำวัยเยาว์ที่มีอยู่ อย่างกระท่อนกระแท่น ยามที่เห็นยายฟั่นเชือกทำเป็น "ตี๋นก๋า" เพ็ญ เดือนสิบสอง วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ยายสนานคนเก่าแก่แห่งบ้านเป็นเจ้าภาพจัด "เต้ด ก๋า เผือก" หรือคำไทยว่า "เทศน์พญากาเผือก" ต้นเค้าและตำนานประวัติพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์


    ฝ้าย ที่นำมาฟั่นเป็นเกลียวรูปทรงคล้ายตีนกาด้านล่างนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่ไทย-ยวนเล่าให้ฟังว่าทำเพื่อจุดบูชา "กาเผือก" แม่ในชาติภพหนึ่งของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์



   
    ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เป็นที่เผยแผ่อยู่ในบริเวณภาคเหนือตอนบน
    คำเทศน์ถุกจารไว้เป็นภาษาล้านนา หรือ ที่ปัจจุบันถูกเรียกว่า "ตั๋วธรรม"
    เทศน์พญากาเผือกในกลุ่มชาวไทยยวนสระบุรี ก็ยังคงสืบสานเอกลักษณ์ดั้งเดิม
    โดยคำเทศนาจะเป็นภาษาไทยยวนโบราณ

    ประเพณีนี้จะจัดขึ้นในตอนพลบค่ำ หรือประมาณหนึ่มทุ่มตรงในเวลาสากล ผู้เฒ่าผู้แก่ผละลุกจากสิ่งที่ทำอยู่และเร่งรีบมาสู่บริเวณศษลาหรือลานพิธี "ตี๋นก๋า" และ "ปะตี๊ป" ถูกจัดเตรียมไว้ก่อนวันงานแล้ว




ที่มา http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tawanclub&date=05-11-2009&group=11&gblog=1
22155  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมใดที่พวกเราทำ จึงเป็นเหตุให้อยู่ในยุคถิ่นกาขาว? เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2010, 08:36:24 pm
อยากรู้ไหมกรรมใดที่พวกเราทำ จึงเป็นเหตุให้อยู่ในยุคถิ่นกาขาว?
อยากรู้ไหมกรรมใดที่พวกเราทำ จึงเป็นเหตุให้อยู่ในยุคเข่นฆ่าเสื้อแดงและเผาเมือง?


ความรู้นี้เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตัว ผมนำมาบอก คนจำนวนมากคงไม่เชื่อ แต่ก็ไม่เป็นไร
ความรู้ของผมได้จากการทำสมาธิ และบริกรรมภาวนาแผ่เมตตาอุทิศกุศลให้กับบรรดาเจ้ากรรมนายเวรของประชาชนทุก ส่วนในสังคมเป็นเวลากว่า 2 ปี ไม่ว่าจะเสื้อเหลือง เสื้อแดง ทักษิณ อภิสิทธิ์ ฯลฯ ผมแผ่เมตตาให้ทั้งนั้น ฟ้าจึงได้เปิดทางให้ผมรู้ความจริงในจิต


- หลายปีก่อน....ผมต้องแผ่เมตตาช่วยคุณทักษิณคนเดียว 15 วัน วันที่ 15 ผมเห็นในนิมิตว่า คุณทักษิณเข่าอ่อนทรุดลงใกล้ๆประตูคุก แต่ไม่ได้ติดคุก รู้ด้วยว่าท่านทำบุญมาเยอะ บุญเหล่านั้นจึงดึงผมลงมาช่วยลดวิบากกรรมของท่าน

- พวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ล้วนเป็นทหารของเจ้าหัวเมืองต่างๆ ที่ถูกทหารของทักษิณสมัยเป็นพระเจ้าตากสินฆ่าตาย ยึดทรัพย์ และให้ร้ายว่าพวกเขาเลวอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่พวกเขาก็เป็นผู้รักชาติเหมือนกัน แต่มีความเห็นที่ต่างกันจากพระเจ้าตากสินเท่านั้น กรรม จากการฆ่า ยึดทรัพย์ และให้ร้ายคนอื่น จึงตามทักษิณมาในชาตินี้

- อภิสิทธิ์ และบรรดานายทหารที่หนุนหลัง รวมทั้งพวกคตส. ปปช. กกต. คนที่สนับสนุน เช่น เจิมศักดิ์ เสรี ฯลฯ ล้วนเป็นเหล่าวิญญาณพม่าที่มาตายในเมืองไทยเพราะโดนทหารพระเจ้าตากสินฆ่าตาย สมัยเมื่อยึดกรุงศรีอยุธยาคืน


- เหล่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นทหารของพระเจ้าตากสิน คนเสื้อแดงบางส่วนเลยต้องถูกฆ่าตาย และโดนกดขี่ให้รู้สึกคับแค้นใจ ในเรื่องประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้อง และความยุติธรรมที่มี 2 มาตรฐาน เนื่องจากคนเสื้อแดงเหล่านี้เคยฆ่า และบีบบังคับจิตใจเชลยพม่า และเชลยของเจ้าหัวเมืองต่างๆของไทย ที่โดนจับ โดยพวกเขาไม่ได้ให้ความยุติธรรมแก่ทหารฝ่ายตรงข้ามเหล่านั้นเลย

- การชุมนุมของคนเสื้อแดงมักจะต้องเจอฝนตกหนักและแดดร้อนจัด นั่นเป็นเศษกรรมที่คนเสื้อแดงเหล่านี้ต้องได้รับ เพราะกรรมใหญ่ของเขาได้รับไปแล้วในอดีตชาติ คนเสื้อแดงที่ต้องตายเกือบร้อย และบาดเจ็บเกือบ 2000 เป็นผลมาจากวิบากกรรมของเขาเหล่านี้หนักกว่าคนอื่น จึงต้องชดใช้ด้วยชีวิต


- จำได้ว่า....พระอรหันต์ตอนต้นยุครัตนโกสินทร์ไม่ได้ทำนายถึงรัชกาลที่ 10 เพียงแต่บอกว่า รัชกาลที่ 9 เป็นยุคของถิ่นกาขาว ซึ่งมีผมเท่านั้นที่ตีความปริศนานี้ออก กามันต้องสีดำ ถิ่นกาขาวมัน ก็คือ สังคมที่ผิดธรรมชาติ หมายถึง คนมีอำนาจในสังคม ตีความระบอบประชาธิปไตยแบบไม่ถูกต้อง และยอมรับในความผิดปกติของระบอบประชาธิปไตย ที่มีการสร้างเรื่องขึ้นมายุบพรรคคู่แข่งที่ชนะเลือกตั้ง รวมทั้งมีการรวมหัวกันระหว่างทหาร พรรคประชาธปัตย์และพรรคร่วม เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ นอกจากนี้..ระบบยุติธรรมก็ไม่ยุติธรรม เอนเอียงไปทางกลั่นแกล้งพรรคที่สนับสนุนทักษิณ และให้ประโยชน์แก่พรรคประชาธิปัตย์และ...พันธมิตรเสื้อเหลือง...ทำอะไรก็ ไม่ผิด

- ความคับแค้นใจจึงเกิดขึ้นกับประชาชนฝ่ายเสื้อแดง ซึ่งน่าจะเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่กฎแห่งกรรมมันต้องทำงานของมัน นี่เป็นเหตุให้คนเสื้อแดง ตั้งแต่ต้นมาจนถึงวันที่ 21 พ.ค. ต้องมีผู้บาดเจ็บรวม 1,898 ราย เสียชีวิต 85

การที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลงผิด คิดว่าทหารมืปืน ประชาชนไม่มี คงตอบโต้อะไรไม่ได้มากนัก จึงใช้วิธีรุนแรงและกระหายเลือดเข้าปราบปราม โดยไม่มีการประณีประณอม แทนที่จะเลือกการเจรจาในขั้นสุดท้าย ซึ่งเหลือประเด็นปลีกย่อยแค่ประเด็นเดียวเท่านั้น ทำให้กรุงเทพฯ เป็นทะเลเพลิง และทำให้ต่างจังหวัดลุกเป็นไฟ

- คำถามคือ...เจ้าของกิจการต่างๆที่โดนไฟเผาอาคารต่างๆ ไปทำบาปอะไรมา ตอบได้ว่า สมัยกรุงศรีฯแตกตรั้งที่ 2 เขาก็ร่วมอยู่ในการเผาบ้านเรือนของคนในกรุงศรีฯด้วย

ทนทุกข์หน่อย ยุคถิ่นกาขาว เป็นยุคแห่งการล้างไพ่ คือ ชำระล้างวิบากกรรมทางการเมืองการปกครอง ที่พวกเราทุกคนเคยเข่นฆ่า กดขี่ ข่มเหง กลุ่มคนอื่นมา ชำระล้างกันจนหมดเป็นการดี จะเห็นได้ว่า ไม่มีประชาชนฝ่ายไหนมีความสุขจากความขัดแย้งแม้แต่คนเดียว

เรายังมีความหวังที่ยุครัชกาลที่ 10 ชาววิไล ประเทศไทยของเราจะเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า มั่นคงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ประชาชนจะอยู่ร่วมกัน ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข หน้าชื่นตาบานกันถ้วนหน้า



ที่มา  http://www.larnbuddhism.com/webboard/forum9/thread2766.html
โพสต์โดย  พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ Senior Member



ฮือฮากาเผือกเจ้าของเชื่อสัตว์มงคล


เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 127 ม.9 ชุมชนคุ้มวัดหอก่อง ต.ฟ้าหยาด อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร

หลังทราบข่าวว่าที่บ้านหลังดัง กล่าว พบนกประหาด คืออีกาเผือก สีขาวทั้งตัว จึงไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบว่าเป็นบ้านของนายนายมนูญ กองแก้ว อายุ 40 ปี มีเพื่อนบ้านหลายคนกำลังล้อมวงดูกาเผือกตัวดังกล่าว ในกรงเหล็กหน้าบ้าน

นายมนูญ กล่าวว่า ตนมีอาชีพค้าขายโค-กระบือ และมีความรู้เรื่องเวทย์มนต์ มีลูกศิษย์นับถือหลายคน

เมื่อ เดือนม.ค.ที่ผ่านมาไปซื้อโคที่ตลาดนัด อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ไปพบลูกศิษย์โดยบังเอิญ ลูกศิษย์จึงพาไปที่บ้านที่ต.บ้านไท อ.เขื่องใน และมอบกาเผือกตัวนี้มา ช่วงนั้นกาตัวนี้อายุ ได้สัปดาห์เศษเท่านั้น ปัจจุบันก็อายุ 2 เดือนแล้ว โดยลูกศิษย์บอกว่าลูกสาวไปเลี้ยงควายที่ชายป่า พบกาตัวนี้หล่นจากรังลงมาที่โคนต้นหว้า จึงนำมาเลี้ยงไว้แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ


นายมนูญกล่าวว่า กาเผือกตัวนี้แปลกตรงที่ไม่กินแมลงเป็นอาหาร

ทุก วันตนและพ่อตจะป้อนกล้วยและหัวอาหารให้กิน หลัง ชาวบ้านมาเห็นได้นำไปพูดปากต่อปากจนโด่งดัง และมีเจ้าของบริษัทขายรถยนต์ จากจ.อุบลราชธานีมาขอซื้อในราคา 50,000 บาท แต่ตนไม่ขาย เพราะเชื่อว่าเป็นสัตว์มงคลหายาก คล้ายกับช้างเผือก ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเกิดมายังไม่เคยเห็นกาสีขาว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกาเผือกตัวนี้ลำตัวเป็นสีขาวล้วน ตาสีแดง

จง อยปากสีชมพู สูงประมาณ 20 ซ.ม. หากไม่ร้อง เสียงกาๆ ผู้พบเห็นอาจเข้าใจว่าเป็นนกชนิดอื่นโดยนายมนูญเฝ้าระวังอย่างดี ได้ทำกรงเหล็กให้อยู่ ขนาดยาวประมาณ 1 เมตร กว้างและสูง 60 ซ.ม. ตกค่ำก็จะยกกรงไปไว้ในห้องครัวหลังบ้าน เช้าจึงยกออกมาหน้าบ้าน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ข่าวสด
ที่มา  http://tnews.teenee.com/etc/21878.html

22156  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เนื้อนาบุญมี ๙ จำพวก อ้าว...ทำไมไม่ใช่ ๘ ล่ะครับ เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2010, 04:53:26 pm
เนื้อนาบุญมี ๙ จำพวก อ้าว...ทำไมไม่ใช่ ๘ ล่ะครับ

พระพุทธรูปหยกสีชมพูปางสมาธิจากอินเดีย

พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน 
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๕ อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฎฐก-นวกนิบาต


อาหุเนยยสูตรบุคคล ๙ จำพวก
   [๒๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๙ จำพวกนี้ เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของ
ต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
๙ จำพวกเป็นไฉน คือ

พระอรหันต์ ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ๑

พระอนาคามี ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ๑

พระสกทาคามี ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ๑
 
พระโสดาบัน ๑
ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ๑

โคตรภูบุคคล ๑


ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๙ จำพวกเหล่านี้แล เป็นผู้ควรของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญ
ของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ
            จบสูตรที่ ๑๐

โคตรภู ผู้ตั้งอยู่ในญาณซึ่งเป็นลำดับที่จะถึงอริยมรรค, ผู้อยู่ในหัวต่อระหว่างความเป็นปุถุชนกับความเป็นอริยบุคคล

โคตรภูญาณ ญาณครอบโคตร คือ ปัญญาที่อยู่ในลำดับจะถึงอริยมรรคหรืออยู่ในหัวต่อที่จะข้ามพ้นภาวะปุถุชน ขึ้นสู่ภาวะเป็นอริยะ ดู ญาณ ๑๖
 
โคตรภูสงฆ์ พระสงฆ์ที่ไม่เคร่ง ครัด ปฏิบัติเหินห่างธรรมวินัย แต่ยังมีเครื่องหมายเพศเช่น ผ้าเหลืองเป็นต้น และถือตนว่ายังเป็นภิกษุสงฆ์อยู่, สงฆ์ในระยะหัวต่อจะสิ้นศาสนา




บทสวด สังฆาภิถุติ (บางส่วน)

จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา,
คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่, นับเรียงตัวบุรุษ ได้ ๘ บุรุษ ;

เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ; ]

อาหุเนยโย,
เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา ;

ปาหุเนยโย,
เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ ;

ทักขิเณยโย,
เป็นสงฆ์ควรรับทักษิณาทาน ;

อัญชะลิกะระณีโย,
เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี ;

อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ,
เป็นเนื้อนาบุญของโลก,ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ;


เพื่อนๆครับ บทสวดมนต์ สรรเสริญสังฆคุณ ที่เราสวดกันอยู่บ่อยๆ
ระบุชัดเจนว่า เนื้อนาบุญ มี ๘ บุรุษ แต่ทำไมพระไตรปิฎกจึงระบุว่ามี ๙

เป็นที่ทราบกันว่า บทสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น
เป็นร้อยกรองบาลี ที่อรรถกาจารย์ได้แต่งเอาไว้ โดยที่ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร
มีความเป็นมาอย่างไร เพื่อนๆท่านใดทราบช่วยแถลงหน่อยครับ

ผมนำเอา"อาหุเนยยสูตร"มาให้ดู  เพื่อเปรียบเทียบกับบทสวดสังฆคุณ
อยากให้เพื่อนๆช่วยกันแสดงความเห็นว่า ทำไมพระไตรปิฎก กับบทสวดมนต์
จึงมีความขัดแย้งกัน

ขอให้ธรรมคุ้มครอง

22157  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ตะเคียน" ที่สิงสถิตของ "นางไม้" เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2010, 12:17:15 pm
"ตะเคียน" ที่สิงสถิตของ "นางไม้"


เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องราวของต้นตะเคียนในที่ใด ก็มักจะมีเรื่องผีสางนางไม้ประกอบมาด้วยเสมอ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเชื่อที่สืบต่อกันมาว่า ต้นไม้ขนาดใหญ่ๆ นั้น มักจะมีเทพเทวดาอารักขา หากใครคิดไปตัดหรือทำลายก็ย่อมประสบเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังเช่นต้นตะเคียนที่มีการเล่าขานกันว่า มีนางตะเคียนสิงสถิตอยู่และมีฤทธิ์มาก ดังนั้น การจะตัดต้นตะเคียนมาทำสิ่งใดก็จะต้องทำพิธีขอเสียก่อน หากไม่ทำพิธีขอจากนางตะเคียนแล้ว ก็มักจะถูกลงโทษให้เจ็บไข้ หรือมีอาการคลุ้มคลั่ง เป็นต้น

ส่วนในทางพฤกษศาสตร์นั้น ตะเคียน เป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมของเอเชียเขตร้อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hopea odorata Roxb. อยู่ในวงศ์ Dipterocarpaceae มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า ตะเคียนทอง, ตะเคียนใหญ่, แคน, โกกี้ เป็นต้น

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงราว 20-40 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีน้ำตาลดำและจะแตกเป็นสะเก็ด เมื่อต้นมีขนาดใหญ่ มีชันสีเหลืองตามรอยแตกของเปลือก เรือนยอดเป็นพุ่มกลม แน่นทึบ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่แกมรูปหอก เรียงสลับ ปลายใบแหลม โคน ใบมน เนื้อใบค่อนข้างหนาเป็นมัน ท้องใบมีตุ่มอยู่ตามง่ามเส้นใบ


ดอกมีขนาดเล็ก สีขาวแกมเหลือง ออกรวมกันเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง มีกลิ่นหอม ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ผลเป็นรูปทรงกลม หรือรูปไข่ มีปีกยาวรูปใบพาย 2 ปีก และยังมีปีกสั้นอีก 3 ปีก ซึ่งปีกเหล่านี้มีหน้าที่ห่อหุ้มผล และนำพาผลปลิวไปตกได้ในที่ไกลๆ

ประโยชน์ของตะเคียนมีมากมาย ทั้งในด้านการทำเครื่องเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน สมัยโบราณนิยมนำต้นตะเคียนมาทำเป็นเสาเอก ขุดเป็นเรือ ทำสะพาน ทำวงกบ ประตูหน้าต่าง หูกทอผ้า กังหันน้ำ กระโดงเรือ เพราะเนื้อไม้แข็ง เหนียว มีความสวยงาม ทนทาน ทนปลวกได้ดี ส่วนชันหรือยางไม้ใช้ผสมน้ำมันทาไม้ ทำน้ำมันชักเงา ใช้ยาแนวเรือ

สำหรับประโยชน์ในด้านสรรพคุณพืชสมุนไพรก็มีมากมาย ได้แก่ เปลือกใช้แก้ปวดฟัน, แก่นใช้แก้โลหิตและกำเดา รักษาคุดทะราด ขับเสมหะ, เนื้อไม้ใช้แก้ท้องร่วง สมานแผล และยางใช้รักษาแผล แก้ท้องเสีย


ในอรรถกถาคาถาธรรมบท เรื่องครหทินน์ ได้กล่าวถึงไม้ตะเคียนไว้ว่า สิริคุตต์ซึ่งเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา และเป็นเพื่อนกับครหทินน์ ซึ่งเป็นสาวกของพวกนิครนถ์ เคยหลอกให้พวกนิครนห์ตกลงในหลุมคูถ (อุจจาระ) ทำให้ครหทินน์เจ็บใจมาก จึงคิดแก้แค้นพระพุทธเจ้าบ้าง โดยวางแผนนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าภิกษุมาฉันภัตตาหารที่บ้านตน

ในขณะเดียวกันก็ให้คนในบ้านขุดหลุมใหญ่ไว้ในระหว่างเรือน 2 หลัง แล้วนำไม้ตะเคียนมาประมาณ 80 เล่มเกวียน ให้จุดไฟสุมตลอดคืนยันรุ่ง แล้วให้ทำกองถ่านเพลิงไม้ตะเคียนไว้ วางไม้เรียบบนปากหลุม ให้ปิดด้วยเสื่อ ลำแพน ลาดท่อนไม้ผุไว้ข้างหนึ่ง แล้วให้ทำทางเป็นที่เดินไป เพื่อที่ว่าในเวลาที่พระพุทธเจ้าและเหล่าภิกษุเหยียบท่อนไม้หักแล้ว ก็จะกลิ้งตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง แต่พระพุทธเจ้าทรงล่วงรู้ถึงแผนการนี้

แต่ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณว่าหากพระองค์เสด็จไปก็จะเกิดประโยชน์มากกว่า เพราะในที่นั้นจะมีผู้คนมาฟังธรรม และจะมีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสิริคุตต์และครหทินน์ ก็จะบรรลุโสดาบันด้วย จึงได้เสด็จไป เมื่อไปถึงพระศาสดาทรงเหยียดพระบาทลงเหนือหลุมถ่านเพลิง เสื่อลำแพนหายไปแล้ว ดอกบัวประมาณเท่าล้อผุดขึ้นทำลายหลุมถ่านเพลิง พระศาสดาทรงเหยียบกลีบบัว และเสด็จไปประทับนั่งลงบนอาสน์ที่ปูลาดไว้ รวมทั้งภิกษุทั้งหลายก็กระทำเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน ต้นตะเคียนทองเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานประจำจังหวัดปัตตานี


จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 77 เม.ย. 50 โดย เรณุกา
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 เมษายน 2550 14:13 น.
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12461

22158  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ตาล ที่มาของ "ตาลปัตร" เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2010, 12:11:09 pm


ตาล ที่มาของ "ตาลปัตร"

ตาล เป็นไม้ยืนต้นในตระกูลปาล์ม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Borassus flabellifer Linn. อยู่ในวงศ์ Palamae มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ตาลโตนด, ตาลใหญ่, ตาลนา เป็นต้น มีความสูงราว 15-40 เมตร โคนต้นอวบใหญ่ ลำต้นสีน้ำตาลเข้ม ขณะที่ต้นยังเตี้ยอยู่จะมีทางใบแห้งติดแน่น และมีกาบขอบใบติดอยู่ประมาณ 5 เมตร ไม่แตกกิ่งก้านสาขา

ใบเป็นใบเดี่ยวอยู่ตรงยอดลำต้นมีรูปร่างคล้ายพัด มีก้านเป็นทางยาวราว 1-2 เมตร ขอบก้านใบหยักเป็นฟันเลื่อย ดอกเพศผู้และเพศเมียแยกกันอยู่คนละต้น ตาลตัวผู้ออก ดอกเป็นงวงคล้ายมะพร้าว ไม่มีผล ส่วนตาลตัวเมียออกดอกเป็นช่อเดี่ยวๆ ดอกสีขาว อมเหลือง และมีผลใหญ่กลมโตสีเขียวอมน้ำตาล ภายในมีเมล็ดราว 2-4 เมล็ด เมื่อยังอ่อนเรียกว่า ลอนตาล ถ้าจาวที่เกิดจากเมล็ดแก่ที่งอกแล้วเรียกว่า จาวตาล



ประโยชน์ของต้นตาลนั้นมีมากมาย อาทิเช่น ลำต้น ใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ และใช้ทำเรือขุด ที่เรียกว่าเรืออีโปง, ใบอ่อน ใช้ในการจักสาน เช่น ทำหมวก ทำของเล่นเด็ก, ส่วนใบแก่ ใช้มุงหลังคา ทำพัด, ราก ใช้ต้มกินแก้โรคตานขโมย, ผล ใช้เปลือกหุ้มผลอ่อน ปรุงเป็นอาหาร และคั้นนำจากผลแก่ใช้ปรุงแต่งกลิ่นขนม, ใยตาล ใช้ทำเครื่องจักสาน และทำเป็นเชือก, งวงตาล ให้น้ำหวานที่เรียกว่าน้ำตาลสด นำมากินสดๆ หรือใช้ทำน้ำตาล, ส่วนเมล็ด ที่มักเรียกกันว่าลูกตาล นำมารับประทานสดหรือกินกับน้ำเชื่อม และจาวตาล นำมาเชื่อมรับประทานเป็นของหวาน

ในพุทธประวัติได้กล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ในพรรษาที่สองได้เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ผู้ครองเมืองราชคฤห์ แต่เนื่องจากในเวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงนับถือ ชฎิลสามพี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสป นทีกัสสป และคยากัสสป ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงไปโปรดชฎิลสามพี่น้องก่อน เมื่อทรงแสดงธรรมจนกระทั่งชฎิลสามพี่น้องละความเชื่อดังเดิมของตน ยอมเป็นสาวกของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ทรงพาชฏิลทั้งสามพร้อมสาวกอีกพันรูป เสด็จไปประทับยัง ลัฏฐิวัน (สวนตาลหนุ่ม) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองราชคฤห์

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้สดับข่าว จึงเสด็จพร้อมประชาชนจำนวนมากไปยังสวนตาลหนุ่ม และเมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์แล้ว ก็เกิดธรรมจักษุ และประกาศพระองค์เป็นอุบาสก

 


นอกจากนี้ ตาลปัตร ที่พระสงฆ์ใช้ ในพิธีกรรมต่างๆ นั้น สมัยโบราณทำมาจากใบตาล ซึ่งมาจากภาษาบาลีว่า ‘ตาลปตฺต’ ซึ่งแปลว่าใบตาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันพระสงฆ์บ้านเราไม่นิยมใช้ตาลปัตรที่ทำจากใบตาลแล้ว แต่พระสงฆ์ในประเทศอื่นที่นับถือพระพุทธศาสนา เช่น พม่า, ศรีลังกา, กัมพูชา และลาว ยังนิยมใช้ตาลปัตรที่ทำจากใบตาลอยู่ และถือเป็นพัดสารพัดประโยชน์ใช้พัดวีโบกไล่แมลง รวมทั้งใช้บังแดดด้วย

และด้วยลักษณะของต้นตาลซึ่งเมื่อตัดยอดไป แล้วกลายเป็น “ตาลยอดด้วน” ไม่สามารถเจริญเติบโตได้อีกต่อไป ดังคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในพระสูตรต่างๆ ในพระไตรปิฎก ซึ่งขอยกมาบางตอนดังนี้

“...สมบัติ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหล่านั้น ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา... ”

“...ดูกรชีวก บุคคลพึงมีความพยาบาท เพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนั้น ตถาคตละแล้ว มีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา...”


“...ดูกรราธะ เธอจงสละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ รูปนั้นจักเป็นของอันเธอละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา เธอจงละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ในเวทนา...ในสัญญา...ในสังขาร...ในวิญญาณเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณนั้นจักเป็นของอันเธอละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา...”



อ้างอิง
หนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 82 ก.ย. 50 โดย เรณุกา
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 กันยายน 2550 14:29 น.
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13668
22159  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ใครคือ “คนกระจอก” ในสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2010, 08:52:11 pm

 :25: :25: :25:

ใครคือ “คนกระจอก” ในสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า

สหธรรมิกทุกท่านครับ บังเอิญผมไปเจอข้อธรรมในพระไตรปิฎกที่น่าสนใจ ที่บอกว่าน่าสนใจก็คือ ผมเจอคำว่า “คนกระจอก” และ “บุรุษอาชาไนย” ผมแปลกใจมาก ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ในพระไตรปิฎกจะมีสองคำนี้อยู่เลย
 
ที่แปลกใจมากกว่า ก็คือ ความหมายของทั้งสองคำที่อยู่ในพระไตรปิฎก ต่างกับความหมายที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจและใช้กันอยู่

จะต่างกันอย่างไรนั้น ขอให้ทุกท่านพิจารณาได้ ณ บัดนี้

---------------------------------------------------
 


ว่าด้วย “คนกระจอก”
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า คนกระจอกในโลกนี้มี ๓ ประเภท

ประเภทที่ ๑. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ ไม่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ใช้ไม่ได้
- ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ
- และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ แต่ให้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าไม่เป็นคุณสมบัติของเธอ
- และเธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้

ประเภทที่ ๒. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ แต่ใช้ไม่ได้
- ภิกษุในธรรมวินัย ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ
- และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นคุณสมบัติของเธอ
- แต่เธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้

ประเภทที่ ๓. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ และใช้ได้
- ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ
-  และเธอเมื่อถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัย ก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่า เป็นคุณสมบัติของเธอ
- และเธอได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ได้ของเธอ

 st12 st12 st12

ว่าด้วย “คนดี”
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า คนดีในโลกนี้มี ๓ ประเภท

ประเภทที่ ๑. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ ไม่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ใช้ไม่ได้
- ภิกษุในธรรมวินัยนี้  เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะจักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ
- และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ แต่ให้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าไม่เป็นคุณสมบัติของเธอ
- และเธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้

ประเภทที่ ๒. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ แต่ใช้ไม่ได้
- ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะจักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ
- และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นคุณสมบัติของเธอ
- แต่เธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้

ประเภทที่ ๓. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ และใช้ได้
- ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะจักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ
-  และเธอเมื่อถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัย ก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่า เป็นคุณสมบัติของเธอ
- และเธอได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ได้ของเธอ

@@@@@@

อุปปาติกะ [อุปะปาติกะ, อุบปะปาติกะ] น. ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยอดีตกรรม ได้แก่เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย, โอปปาติกะ ก็เรียก. (ป. อุปปาติก, โอปปาติก).


 st11 st11 st11

ว่าด้วย “บุรุษอาชาไนย”
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า บุรุษอาชาไนยผู้เจริญในโลกนี้มี ๓ ประเภท

ประเภทที่ ๑. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ ไม่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ใช้ไม่ได้
- บุรุษอาชาไนยผู้เจริญในโลกนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ
- และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ แต่ให้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าไม่เป็นคุณสมบัติของเธอ
- และเธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้

ประเภทที่ ๒. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ แต่ใช้ไม่ได้
- บุรุษอาชาไนยผู้เจริญในโลกนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ
- และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นคุณสมบัติของเธอ
- แต่เธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้

ประเภทที่ ๓. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ และใช้ได้
- บุรุษอาชาไนยผู้เจริญในโลกนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ
-  และเธอเมื่อถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัย ก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่า เป็นคุณสมบัติของเธอ
- และเธอได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ได้ของเธอ


เรียบเรียงมาจาก
พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน 
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๕ อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฎฐก-นวกนิบาต
ขฬุงคสูตร ข้อ ๒๒๖

---------------------------------------------------
 


เพื่อนๆครับ หลังจากได้อ่านแล้ว เรามาสรุปกันหน่อยว่า คนกระจอก คนดี บุรุษอาชาไนย มีความหมายอย่างไร ตามที่พระพุทธเจ้าประสงค์จะให้เป็น

สิ่งที่ทำให้ คนกระจอก คนดี และบุรุษอาชาไนย มีความหมายที่ต่างกัน ก็คือ เชาวน์

เชาวน์ของคนกระจอก คือ รู้ชัดตามเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

เชาวน์ของคนดี คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะจักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

เชาวน์ของบุรุษอาชาไนย คือ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่


หลังจากพิจารณาเชาวน์ของแต่ละคนแล้ว ผมได้ข้อสรุปดังนี้
คนกระจอก หมายถึง  โสดาบันปัตติผล หรือ สกทาคามีผล
คนดี หมายถึง อนาคามีผล
บุรุษอาชาไนย หมายถึง อรหันตผล


เพื่อนๆเห็นด้วยกับผมไหมครับ

@@@@@@

คราวนี้มาดูความหมาย (ในภาษาไทย) ที่เราๆท่านๆใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน
ขอยกเอาความหมายใน พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
มาแสดงดังนี้ครับ

กระจอก  ว. เขยก (ใช้แก่ขา). (ข. ขฺจก ว่า ขาพิการ); (ปาก) ไม่สำคัญ, เล็กน้อย, เช่น เรื่องกระจอก, ต่ำต้อย เช่น คนกระจอก.

คนดี น. คนที่มีคุณความดี, คนที่มีคุณธรรม.

อาชาไนย ว. กําเนิดดี, พันธุ์หรือตระกูลดี; รู้รวดเร็ว, ฝึกหัดมาดีแล้ว, ถ้าเป็นม้าที่ฝึกหัดมาดีแล้ว เรียก ม้าอาชาไนย, ถ้าเป็นคนที่ฝึกหัดมาดีแล้ว เรียกว่า บุรุษอาชาไนย. (ป. อาชาเนยฺย; ส. อาชาเนย).


---------------------------------------------------

ขอให้เพื่อนๆ เปรียบเทียบ ความหมายของคำว่า คนกระจอก คนดี บุรุษอาชาไนย
ระหว่างความหมายในพระไตรปิฎก กับความหมายในพจนานุกรม ว่าเหมือนหรือต่างกัน อย่างไร


 :25: :25: :25:
22160  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ภาพนี้เป็นพุทธประวัติตอนไหน เมื่อ: มิถุนายน 26, 2010, 09:14:04 pm
ภาพพุทธประวัติ


เพื่อนสมาชิกท่านใด เป็นเซียนพุทธประวัติเชิญบรรยายภาพครับ ภาพนี้เป็นพุทธประวัติตอนไหน

 :41: :96: :08: :25:
หน้า: 1 ... 552 553 [554] 555 556 ... 558