ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - Admax
หน้า: [1] 2
1  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน ฉบับร่าง SQ Skill รู้สังคม เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:33:37 pm
ฉบับร่าง
รอเพิ่มเติมประกอบเรื่อง
และเรียบเรียงข้อมูล


     ..วันเสาร์ 15:00 น. หลังจากภูทำการบ้านเสร็จ

       ภู : อ๊าาาา เสร็จแล้ว... (⁠ノ⁠◕⁠ヮ⁠◕⁠)⁠ノ⁠*⁠.⁠✧
       ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ เก่งมากภู ตอนนี้ก็หยุดพรุ่งนี้อีกวัน วันจันทร์ต้องไปเรียนแล้วนะ
       ภู : อื้อ.. (⁠◍⁠•⁠ᴗ⁠•⁠◍⁠)
       ชิว : งั้นจากนี้ภูต้องไปพบปะผู้คนแล้วหัดเข้าสังคมแล้ว
       ภู : (⁠;⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠) กังวลนิดๆ กลัวเขาจะ Toxic แล้วภูจะทนไม่ได้
       ชิว : ไม่ต้องกังวล เพราะเราฝึกได้ การฝึกนี้เรียกว่า รู้ชุมชน ก็คือ รู้สังคมนั่นเอง พอเรียนรู้แล้วภูกํทพลองได้จากไปเล่นดับกลุ่มเพื่อที่หมู่บ้านไง
       ภู : อืม ก็น่าลองนะ (⁠ ̄⁠ヘ⁠ ̄⁠;⁠)
       ชิว : แน่นอนสิ ถ้าทำได้ก็เท่ากับว่าภูสามารถใช้ชีวิตได้ทั้งกับกุ่มคนทุกระดับชนชั้น กับ เพื่อน ครู พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา คนรวย คนจน คนมีฐานะสูงศักดิ์ คนที่ที่มีอัตภาพฐานะสูงกว่า คนที่มีอัตภาพฐานะเสมอกัน คนที่มีอัตภาพฐานะต่ำกว่า สังคมต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน Toxic หรือดีเลิศ หรือเสมอดัน หรือด้อยกว่า
       ภู : ว้าวว...น่าสนใจมากเลย อย่างนี้ก็เยี่ยมเลย
       ชิว : ใช่แล้ว การรู้สังคม เป็นการปรับตัวตามสถานการณ์ และ สภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งจะให้คุณประโยชน์สูงในการพบปะ เข้าหา วางตัว สนทนา ดำรงชีพใช้ชีวิตอยู่กลุ่มคนสถานที่ต่างๆ วิถีชีวิตต่างๆ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ..ได้ด้วยดี
       ภู : ว้าวววว..งั้นชิวสอนภูเลย (⁠☆⁠▽⁠☆⁠)
       ชิว : โอเช..เยย !! ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ 
       ชิว : รู้จักชุมชน ความรู้จักบริษัท คือ รู้จักกลุ่มบุคคล รู้จักหมู่คณะ รู้จักชุมชน และรู้จักที่ประชุม รู้กิริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆ ว่า ชุมชนนี้เมื่อเข้าไปหา ต้องทำกิริยาหรือปฏิบัติแบบนี้ จะต้องพูดอย่างไร ชุมชนนี้ควรสงเคราะห์อย่างไร เป็นต้น
      กล่าวคือ..การรู้ชุมชน หรือ สังคม.. ความรู้จักบริษัท คือ รู้จักกลุ่มบุคคล รู้จักหมู่คณะ รู้จักชุมชน และรู้จักที่ประชุม รู้กิริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆ ว่าชุมชนนี้เมื่อเข้าไปหา ต้องทำกิริยาหรือปฏิบัติแบบนี้ จะต้องพูดอย่างไร ชุมชนนี้ควรสงเคราะห์อย่างไร เป็นต้น

ก็ภิกษุเป็นปริสัญญูอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักบริษัทว่า นี้บริษัทกษัตริย์ นี้บริษัทคฤหบดี นี้บริษัทสมณะ ในบริษัทนั้น เราพึงเข้าไปหาอย่างนี้ พึงยืนอย่างนี้ พึงทำอย่างนี้ พึงนั่งอย่างนี้ พึงนิ่งอย่างนี้...

ธัมมัญญูสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 23

       ชิว : ซึ่งการจะเข้าถึงกลุ่มคนแต่ละระดับได้ เราก็จำเป็นต้องรู้จักสิ่งที่ทำให้กลุ่มบุคคลนั้นๆรวมกันอยู่ได้ รู้ความเชื่อ วิถีชีวิต วัฒนะธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ข่าวสารสถานการณ์ความเป็นอยู่ของกลุ่มคนในสังคมพื้นที่นั้นๆ รู้ว่าสังคม-ชุมชนที่เราเข้าหาเป็นกลุ่มคนประเภทใด สถานะอย่างไร มีวิธีการคบหา พบปะ สนทนากับเขาอย่างไร ต้องวางตัวอย่างไร ต้องปฏิบัติต่อเขายังไง ให้เหมาะสม
       ภู : งืมๆๆ.. ความเชื่อ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ข่าวสาร สถานการณ์ความเป็นอยู่ เพื่อการจะใช้วางตัวต่อเขา

       ชิว : เมื่อจัดกลุ่มวิธีการเข้าหากลุ่มคนหรือสังคม เราก็จะแยกกลุ่มใหญ่ได้ดังนี้
      1. กลุ่มคนในพื้นที่นี้ๆ มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร มีขนบธรรมเนียมประเพณีเช่นไร มีข่าวสารสถานการณ์เป็นเช่นใด ควรเข้าหาอย่างไร เช่น กลุ่มคนประเทศต่างๆ กลุ่มคนจังหวัดต่างๆ กลุ่มคนอำเภอต่างๆ กลุ่มคนองค์กรต่างๆ กลุ่มคนหมู่บ้านต่างๆ กลุ่มคนในตรอก-ซอก-ซอยต่างๆ กลุ่มคนครอบครัวต่างๆ เราจะต้องเข้าหาอย่างไร พบปะอย่างไร ต้องประพฤติตัวต่อเขาอย่างไร วางตัวเช่นไร สนทนาอย่างไร คบหาอย่างไร จุนเจืออย่างไร
       ภู : งืมๆๆ.. ความเชื่อ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ของคนในพื้นที่หรือสถานที่นั้น
      2. กลุ่มคนที่มีฐานะนี้ๆ มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร มีขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติเช่นไร มีข่าวสารสถานการณ์เป็นเช่นใด ควรเข้าหายังไง เช่น พระมหากษัตริย์ ราชวงศ์ เจ้าขุน มูลนาย เจ้าสัว กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มผู้อำนวยการ กลุ่มผู้จัดการ กลุ่มเพื่อนร่วมงาน ผู้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี ผู้มีฐานะความเป็นอยู่ที่กลางๆ ผู้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ด้อย กลุ่มครู กลุ่มเพื่อน ครอบครัวตนเอง คือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย เราจะต้องเข้าหาอย่างไร พบปะอย่างไร ต้องประพฤติตัวต่อเขาอย่างไร วางตัวเช่นไร สนทนาอย่างไร คบหาอย่างไร จุนเจืออย่างไร
       ภู : งืมๆๆ.. ฐานะ ตำแหน่ง ชนชั้น อายุ
      3. กลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถระดับนี้ๆ เขามีวิถีชีวิตอย่างไร มีรูปแบบการพบปะเข้าหาเช่นไร มีข่าวสารสถานการณ์เป็นเช่นใด ควรเข้าหาอย่างไร เช่น กลุ่มคนที่มีความฉลาด มีความรู้ ความสามารถมาก กลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถกลางๆ คนที่มีความรู้ความสามารถน้อย เราจะต้องเข้าหาอย่างไร พบปะอย่างไร ต้องประพฤติตัวต่อเขาอย่างไร วางตัวเช่นไร สนทนาอย่างไร คบหาอย่างไร จุนเจืออย่างไร
       ภู : งืมๆๆ แล้วภูจะรู้ได้ยังไงว่าใครเก่งแค่ไหน ไม่เก่งแค่ไหน ยากจัง แค่เพื่อนปกติยังเข้ากาไม่ได้เลย (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
       ชิว : ภูก็ต้องเริ่มจาก..ไม่เรียกร้องเอาคุณค่าตัวเองจากใคร ไม่ต้องอยากให้ใครมายกยอปอปั้นภู แต่ภูเรียนรู้ที่จะเข้าใจเขาแทน ให้เขาได้แสดงความสามารถออกมา แต่ไม่ใช่ว่าเราต้องเป็นคนโง่ แต่เป็นคนฉลาดที่ไม่ต้องไปอวดรู้ใคร ฉลาดที่จะรับฟัง ฉลาดที่จะเปิดทางให้พวกเขาแสดงศักยภาพความรู้ความสามารถออกมาแทน
       ภู : ว้าว..ดีเลยสินี่
       ชิว : ใช่มั้ยล่ะ..นั่นก็เพราะการดึงความสามารถของกลุ่มคน หรือ บุคคล ให้สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่และเต็มใจทำได้นั้น เป็นสุดยอดคนยิ่งกว่าที่จะตนเองจะไปแสดงศักยภาพของตนให้ผู้อื่นเห็น หรือ ยอมรับโดยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สิ่งใด นอกจากได้สมใจอยากใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่ตนมุ่งหวังให้ได้รับสรรเสริญเยินยอจากผู้อื่น..เพราะไม่เพียงทำให้เรารู้ความสามารถคนได้ ยังสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ตนไม่เคยรู้ สามารถเข้าหาพึ่งพาแบ่งปันกันได้ถูกทาง ถูกความถนัด ความสามารถที่แต่ละคนมีได้อีกด้วยนะ
       ภู : โอ้ว..ดีเลยสินี่ เหมือนเลือกขุนศึกของพระราชาเลย
       ชิว : ใช่แล้ว..โดยภูสามารถรับฟังกลุ่มคน หรือ บุคคล เหล่านั้นพูดแสดงความสามารถ โดยให้ยึดมั่นในใจว่า..จะใช้ปัญญาไตร่ตรอง โดยไม่เข้าไปมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับพวกเขา แล้วพิจารณาพื้นฐานได้ดังนี้..
      1. หากสิ่งใดที่เขาแสดงมาถูก แต่เรารู้มาก่อนแล้ว เราก็ควรให้เกียรติชื่นชมเขา และ เห็นว่ามีความเห็นตรงกัน เรามีความรู้ถูกต้องในระดับหนึ่ง
      2. หากสิ่งใดที่เขาแสดงมา แล้วเราไม่มีความรู้ในสิ่งนั้น ก็ไม่ต้องไปขัดแย้ง หรืออวดตนให้้เขาฟังเรา แต่เราก็ต้องรู้จักรับฟัง สังเกตุ วิเคราะห์ ไตร่ตรองตามหลักความ ให้แสดงต่อเขาถึงความสนใจในสิ่งนั้น แล้วให้เขาแสดงแนวทาง กลักการ วิธีคิด วิธีทำ เหตุผล อธิบายในสิ่งนั้นเพิ่มเติมให้เราเจ้าใจ แล้วเราก็ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม
      3. หากสิ่งใดที่เขาแสดงมาไม่ถูก แต่เรารู้สิ่งที่ถูกต้องแล้ว เราก็ควรให้เกียรติเขา และ ไม่ควรพูดขัดแย้งให้เขาต่อต้านเรา เราไม่ควรไปดูถูกดูแคลนเขา แต่เราควรศึกษาในมุมมองของเขาเพื่อสอบถามความเห็น แนวความคิด จับจุดความคิดนั้นของเขา โดยอาจกล่าวถามถึงมุมมองความเชื่อ ความรู้เห็นตามจริง หลักการ แนวทางวิธีของเขาที่มีต่อสิ่งนั้น ว่ามีความรู้เห็นอย่างไร ใช้หลักการใด มีวิธีคิดอย่างไร จึงสรุปผลหรือแสดงผลลัพธ์ออกมาได้อย่างนั้น เมื่อรู้แนวคิดเขาว่าผิด ถูก บิดเบือน หรือยังไม่ครบพร้อมเพียงไร สามารถจับจุดปิดพลาดหรือรู้ประเด็นสำคัญที่เขาเข้าใจผิดแล้ว เราก็สามารถพูดกล่าวถึงประเด็นสำคัญเปิิดมุททองความเห็นที่จะใช้ชักจูงให้เขาคิดวิเคราะห์ตามในทางของเรา คือ พูดตามสิ่งที่เขารู้ โดยจุดประเด็นถึงข้อสังเกตุบางสิ่ง ให้สอดแทรกเสริมในเชิงการคิดวิเคราะห์..เพื่อให้เขาไตร่ตรองตามเรา..แล้วน้อมใจมาในสิ่งที่เราเสริมให้เขาวิเคราะห์ตามนั้น หากบอกให้เขารู้ตามไม่ได้..ก็ให้ปล่อยวาง วางเฉยโดยคิดเสียว่า..เราอาจจะยังไม่เก่งพอที่จะแนะนำพวกเขา..เรายังต้องเรียนรู้เพิ่มเติม หรือ เราจับประเด็นสนใจของพวกเขาไม่ได้..จึงไม่สามารถแสดงชักจูงให้เขารู้เห็นตามเราได้ หรือ พวกเขาไม่ได้มีบุญสัมพันธ์เกื้อหนุนความรู้กันกับเรา
       ภู : งืมๆๆ ยาวนะจะจำได้ไหม
       ชิว : ภูก็จำว่า พิจารณาการแสดงความรู้ ความสามารถ ของกลุ่มคนสังคมพวกเขาที่แสดงออกกับเราว่า..
       1.) สิ่งใดเขาและเรารู้เข้าใจตรงกัน..ให้ยินดีร่วมกัน
       2.) สิ่งใดเราไม่รู้ไม่เข้าใจ..ให้รับฟัง แล้ววิเคราะห์ พิจารณาให้ถี่ถ้วน
       3.) สิ่งใดเขารู้เข้าใจผิด..ให้แนะนำเปิดมุมมองสิ่งที่ถูกต้อง และ ปล่อยวาง

       ภู : งืมๆๆ..จำได้ละ
       1.) รู้ตรงกันให้ยินดี
       2.) เราไม่รู้ให้ฟัง
       3.) เขาไม่รู้ให้แนะนำ..แล้วปล่อยวสง

       ชิว : ภูเก่งมาก…อีกประการก็คือ.. รู้ว่าคนฉลาดกลุ่มนั้นเขาชอบคิดพูดอะไร สิ่งที่กลุ่มเขาสนใจคืออะไร เขาใช้ปัญญาในการแสดงอย่างไร ไม่เอาอารมณ์ความรู้สึกของตนมาปนกับสิ่งที่ต้องทำยังไง / รู้ว่าคนที่ไม่ฉลาดกลุ่มนั้น เขาจะเปิดใจรับรู้รับฟังในสิ่งใด หรือ เขามีความเชื่อ ความรู้เห็นมาอย่างไร ใช้อารมณ์ความรู้สึกในอคติเพราะ..รัก ชัง หลง กลัว โดยไม่ใช้ปัญญาความรู้ในการคิดวิเคราะห์ทำความเข้าใจในสิ่งใด
       ภู : งืมๆๆ

       ชิว : การรู้ชุมชนหรือสังคม ทั้ง 3 ข้อนี้ คนยุคใหม่ หรือ นักจิตวิทยา หรือ นักวิชาการต่างชาติ เรียกว่า SQ ..แต่โดยคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีหลักการใช้ที่ลึกซึ้งลงไปถึงการเข้าถึงใจคนในกลุ่มนั้นๆ เพื่อแสดงธรรมอันเป็นทางพ้นทุกข์ที่เกื้อกูลกลุ่มคนเหล่านั้นได้ถูกตรงอุปนิสัยใจคอ..ให้สามารถเห็นแจ้งตามได้ ดังนั้นหากเรานำมาใช้ทางโลก ..ตรงนี้ภูต้องใช้ครบทั้ง การรู้เหตุ → รู้ผล → รู้ตน → รู้ประมาณ(Skill ประเมิน) → รู้กาล(Skill ควบคุม/ประเมินเวลาตามสถานการณ์) ในการเปิดใช้ Skill ประเมินสังคม ที่เรียกว่า SQ ความฉลาดในการเข้าสังคม ตามวิถีชาวพุทธดังนี้..

        ๑. รู้เหตุ คือ รู้ว่าผลนี้มีอะไรเป็นเหตุ เป็นการรู้โครงสร้าง จุดเริ่มต้น สารตั้งต้น รู้เหตุเกิด รู้องค์ประกอบเหตุ รู้หน้าที่การทำงานในแต่ละองค์ประกอบของสิ่งนั้นๆ และ รู้หลักการที่จะนำมาใช้กับสิ่งนั้น ในการสร้าง การพัฒนา การปรับกลยุทธแก้ไข เพื่อให้ดำรงอยู่กับสิ่งนี้นสภาพแวดล้อมนั้นได้ด้วยดี ไม่ขัดแย้ง เช่น เราต้องการเข้ากลุ่มเขา(กลุ่มคนรวย, กลุ่มคนจน, กลุ่มคนมักโลภ, กลุ่มมักโกรธ โวยวาย, กลุ่มคนมักหลง) เราจะต้องทำอย่างไร จะทำอย่างไรเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเขา คบหาได้ไม่แคลงใจ เราต้องทำอย่างไร มีวิธีการอย่างไร ต้องทำเหตุเช่นไร นั่นคือ..ผลนี้มีอะไรเป็นเหตุ แล้วศึกษาเรียนรู้ สังเกตุ วิเคราะห์ ไตร่ตรอง เฟ้นหาหลักการแนวทางต่างๆ เพื่อเข้าหาและเข้าถึงกลุ่มคนนั้นได้จริงตามผลลัพธ์ที่ประสงค์มุ่งหมายนั้น
       ข้อสังเกตุ..เมื่อประมวลมาโดยรวมก็จะเห็นได้ว่า..การรู้เหตุ เป็นการรู้เหตุเกิดและองค์ประกอบเหตุ พร้อมกับรู้หลักวิธีการที่ใช้ปฏิบัติดำเนินการต่อสิ่งนั้นๆ ไมว่าจะเป็น ตนเอง, กลุ่มคนในชุมชนหรือสังคม, คน, สัตว์, สิ่งของ ซึ่งหลักวิธีการจะใช้แตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ต่างๆ จึงกล่าวได้ว่า การรู้เหตุ คือ การปรับตัวตามสถานการณ์ต่างๆ โดยใช้องค์ความรู้ต่างๆนั่นเอง
       ภู : งืมๆๆๆ เหมือนจะยากจัง แต่พอบอกข้อสังเกตุ ภูก็เริ่มจะจับจุดได้ละว่า ปรับตัวตามสถานการณ์

       ชิว : ภูเก่งมากเลย งั้นฟังต่อนะ..หลักการเราที่ใช้เฟ้นหาความรู้ในการนำมาใช้กับเหตุที่ดีที่สุดก็คือ..พุทโธอริยะสัจ ๔ เราต้องนำ พุทโธอริยะสัจ ๔ มาพิจารณาจากเพื่อเฟ้นหาสิ่งที่เราเจาะจงจะรู้ รู้เหตุเกิดและองค์ประกอบจริงของสิ่งนั้นๆ รู้เหตุทำ คือ หลักการ แนวทาง วิธีปฏิบัติทั้งหลาย ที่เราจะต้องนำมาใช้ได้จริงๆ ถูกต้อง ถูกกาล ถูกตรงต่อสถานการณ์นั้นๆ เป็นการรู้ความต้องการหลักการความรู้ที่เราจะต้องนำมาใช้ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ณ เวลานั้นๆ สถานที่นั้นๆ นั่นเอง
       ตลอดจนทำให้รู้ผลสืบต่อจากการกระทำนั้นได้ชัดเจน ทั้งยังสืบต่อไปถึงการรู้ผล ว่าหากอยากได้ผลลัพธ์อย่างนี้ หรือ สถานการณ์เช่นนี้ๆ เราจะต้องทำเหตุใด ทำสิ่งใด ใช้สิ่งใด ต้องใช้ปัญญาความรู้ในหลักวิธีการแนวทางอันใดปฏิบัติทำเพื่อตอบโจทย์ความต้องการให้ได้ผลลัพธ์อันนั้น
       ภู : งืมๆๆ พุทโธอริยะสัจ ๔ หาความปารถนา และวิธีการทำสนองตอบ

       ชิว : ดังนั้น การคิดลงในอริยะสัจ ๔ จึงเป็นทางประเสริฐ เป็นทั้งการรู้เหตุตามจริง รู้ผลตามจริง รู้ว่าผลนี้เกิดแต่เหตุการใด มีหลักการกระทำให้เป็นไปอย่างไร รู้ทั้งการกระทำนั้นๆเพื่อสิ่งใด มีอะไรเป็นผลสืบต่อ ตลอดจนถึงเป็นการเดินปัญญาเพื่อรู้ความมุ่งหมายต้องการของใจ ทั้งความต้องการของตนเอง ความต้องการของสถานการณ์ ความต้องการของกลุ่มคนในสังคมพื้นที่นั้นๆ และ ความต้องการของใจบุคคล เพื่อตอบสนองความต้องการของสิ่งนั้นได้ถูกตรงทาง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของสิ่งนั้นๆได้ สามารถพบปะ พูดคุย เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เปิดมุมมองความเห็น การแก้ปัญหาในสถานการณ์ การแก้ปัญหาในกลุ่มคน และ การแก้ปัญหาระหว่างบุคคลซึ่งกันและกันได้ หลักการคิดลงอริยะสัจ ๔ มีหลักจดจำดังนี้..

1. ทุกข์หรือปัญหา ของสิ่งนั้นๆ /สถานการณ์นั้นๆ /สังคมนั้นๆ /กลุ่มคนนั้นๆ /บุุคคลนั้นๆ..คืออะไร
      (การกระทำ การแสดงออก สภาพที่เกิดขึ้นเป็นอยู่ สภาพที่เกิดขึ้น สภาวะที่เป็นอยู่ ความไม่สบายกายไม่สบายใจในสิ่งใด หม่นหมองกายใจ อัดอั้นคับแค้้นสิ่งใด ยึดมั่นสิ่งใด)

2. สมุทัย เหตุแห่งทุกข์หรือเหตุแห่งปัญหา ของสิ่งนั้นๆ /สถานการณ์นั้นๆ /สังคมนั้นๆ /กลุ่มคนนั้นๆ /บุุคคลนั้นๆ..คือสิ่งใด
      (เหตุให้กระทำ / เกตุความยึดมั่นถือมั่นเหล่านั้น / ต้องการสิ่งใด / ความต้องการของใจคืออะไร / มีความคาดหวังปรารถนาในสิ่งใด / ต้องการอยากได้สิ่งใด อยากมีในสิ่งใด / ผลักไสสิ่งใด ไม่ต้องการในสิ่งใด อยากให้ไม่มีสิ่งใด)

3. นิโรธ ความดับสิ้นทุกข์หรือความดับสิ้นปัญหา ของสิ่งนั้นๆ /สถานการณ์นั้นๆ /สังคมนั้นๆ /กลุ่มคนนั้นๆ /บุุคคลนั้นๆ..เป็นแบบไหน
      (สภาวะที่ปลดเปลื้องทุกข์ของสิ่งนั้นเป็นเช่นไร / สิ่งใดคือผลสำเร็จประโยชน์สุข / อะไรคือความพ้นทุกข์ / สิ่งใดที่บังเกิดขึ้นแล้วทำให้ทุกข์นั้นดับสิ้นไป)

4. มรรค ทาง / หลักการ / แนวทาง/ วิธีการดับทุกข์หรือทางแก้ปัญหา..ที่เหตุ ของสิ่งนั้นๆ /สถานการณ์นั้นๆ /สังคมนั้นๆ /กลุ่มคนนั้นๆ /บุุคคลนั้นๆ..เป็นเช่นใด
      (ต้องอาศัยสิ่งใด ต้องทำอย่างไร ปฏิบัติยังไง โดยการปฏิบัติแล้วจะเป็นทางปฏิบัติเพื่อให้บังเกิดสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเหตุแห่งทุกข์เสมอๆ ปฏิบัติสะสมไปจนเกิดขึ้นบริบูรณ์เป็นปกติ เช่น ไฟไหม้ การดับไฟก็ต้องใช้น้ำดับ ไม่ใช่จุดไฟต่อเพื่อดับไฟ)

       ภู : อ่า..ยาวมาก (⁠*⁠﹏⁠*⁠;⁠)

       ชิว : สรุปโดยย่อ

     • การรู้เหตุ ก็คือ การรู้จักการปรับตัวตามสถานการณ์..เพื่อให้เข้ากับเหตุการณ์ สิ่งแวดล้อม กลุ่มคนในสังคมพื้นที่นั้นๆ และ บุคคลที่ตนต้องพบปะคบหา..ได้อย่างลงตัว เหมาะสม เป็นไปได้ด้วยดี
     • การรู้เหตุ เป็นการ..ใช้ปัญญา~ไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกในการดำรงชีพ (อริยะสัจ ๔) โต้ตอบ กระทำต่อสถานการณ์ สถานที่ กลุ่มคน หรือบุคคลนั้นๆ กล่าวคือ..เป็นการใช้ปัญญา (ความรู้เห็นและเข้าใจชัดแจ้งตามจริง) ปฏิภาณ (ไหวพริบ ทักษะ ความสามารถ) ~ โดยไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดตามเจตคติ รัก ชัง หลง กลัว (อคติ ๔ คือ ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ)

        กล่าวโดยย่อทั้งหมดนี้เป็นการ..ใช้ความรู้วิเคราะห์ไตร่ตรอง..โดยไม่เข้าไปมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับเขา ในการรับฟังหรือตอบโต้กลับสถานการณ์

       ภู : งืมๆ เข้าใจละ ใช้ปัญญา..ไม่ใช้ความรู้สึกตอบโต้สถานการณ์
       ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ

       ชิว : ทีนี้ิชิวจะกล่าวถึงหลักการที่นำมาใช้วิเคราะห์หาเหตุ หลักการที่จะนำมาตอบโจทย์ความต้องการของสังคมนั้นๆ

      • การรู้เหตุในส่วนของตน เป็นการตอบโจทย์ความต้องการของตัวเราเองในด้านปัญญา การศึกษา เรียนรู้ วิเคราะห์ ค้นคว้า วินิจฉัย ฝึกฝน เพื่อพัฒนาตนเองให้มีคุณค่า ดั่งมหาบุรุษแห่งยุคสมัย หรือ ในสถานการณ์ต่างๆนั่นเอง
        การรู้เหตุ เป็นการรู้สิ่งที่ตนเองต้องมี เป็นปัญญาความรู้ที่ต้องทำให้เกิดขึ้นในตน ต้องเพิ่มส่วนที่ขาดในตน ต้องละส่วนที่ส่งผลเสียและเป็นทุกข์ภัยในตน และ รักษาสิ่งดีที่มีประโยชน์ในตนให้คงไว้ (อิทธิบาท ๔ + สัมมัปปธาน ๔) เพื่อที่จะนำไปใช้ตอบโจทย์สถานะการณ์ต่างๆของตน เป็นการศึกษาเรียนรู้หลักการ แนวทาง วิธีการ วิธีคิดเพื่อตอบโจทย์ปัญหา หรือ โจทย์ความต้องการของสภาพแวดล้อมและสิ่งต่างๆ ทั้งหน้าที่การงาน กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย รวมทั้ง ตนเอง รู้ประมาณตน รู้ประเมิณสถานการณ์ กลุ่มคน สังคม บุคคล ที่ดำรงอยู่รอบตัวเรา หรือ กลุ่มคน สังคม บุคคล ที่เราต้องเข้าพบปะคบหา ได้อย่างลงตัว เหมาะสม ควรแก่สถานการณ์ในปัจจุบันกาลและภายภาคหน้านั่นเอง

      • การรู้เหตุในส่วนของการรู้ชุมชน กลุ่มคน สังคม องค์กร ในพื้นที่นั้นๆ ก็คือ ปัญญาในการเข้าสังคม..เป็นการปรับตัวตามสถานการณ์ด้วยปัญญา คือ การศึกษาเรียนรู้หลักวิธีการให้เรารู้จักกลุ่มคนในสังคมพื้นที่นั้นๆ ..รู้สังคมกลุ่มของเขาว่า..มีหลักการความเชื่ออย่างไร มีจริตอุปนิสัยแบบใด มีทิศทาง/แนวทางความคิดเช่นไร มีวิธีคิดแบบไหน มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่เช่นใด มีความรู้และความสามารถทางใด มีการติดส่อสือสารในระดับฐานะความเป็นอยู่ต่างๆที่แสดงต่อกันเช่นไร (กำหนดรู้ด้วยพุทโธอริยะสัจ ๔ จากการกระทำของเขา) แล้วศึกษาเรียนรู้หลักการที่จะอยู่ร่วมกับกลุ่มคนในสังคมพื้นที่นั้นๆ เรียนรู้หลักการที่จะนำมาใช้ในการเข้าพบปะเจรจาคบหากับกลุ่มคนในสังคมพื้นที่นั้นๆ เรียนรู้ในการปรับตัวให้สามารถกลมกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อมกลุ่มคนในสังคมพื้นที่นั้นๆได้ โดยอาศัยหลักแนวทางในการเรียนรู้ศึกษาดังนี้..

        ๑.๑) รู้ว่ากลุ่มคนนั้นๆ พื้นที่ชุมชนนั้นๆ สังคมนั้นๆ องค์กรนั้นๆ มีสิ่งใดประกอบร่วมให้พวกเขาอยู่ด้วยกันได้ กลุ่มคนในแต่ละระดับมีสิ่งใดที่ประชุมรวมเขาเข้าด้วยกัน มีธาตุที่ถูกกัน(ศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้เรียกว่า..มีเคมีตรงกัน) ชักจูงเข้าหากันอย่างไร (ความเชื่อ อุปนิสัย ความคิด อุดมการณ์) มีหลักเกณฑ์การแบ่งแยกกลุ่มคนตามระดับฐานะหน้าที่การงานความรับผิดชอบอย่างไร มีการปฏิบัติอย่างไรต่อกันในแต่ละระดับฐานะ โดยปริยายเทียบเคียงที่พึงพิจารณาด้วยหลักการใน ธรรม ๖ ประการ ดังนี้ คือ..
      ก. ศรัทธา ความเชื่อ(เจตคต
2  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน บทส่งท้าย Skill รู้กาล เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:29:51 pm
บทส่งท้าย Skill รู้กาล และ บรรณานุกรม

สาธยายธรรมอ้างอิง

กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาลคือ รู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการประกอบกิจ กระทำหน้าที่การงาน เช่น ให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอเวลา ให้เหมาะเวลา เป็นต้น



ก็ภิกษุเป็นกาลัญญูอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักกาลว่า นี้เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม นี้เป็นกาลประกอบความเพียร นี้เป็นกาลหลีกออกเร้น...

ธัมมัญญูสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 23





ธัมมัญญูสูตร

ก็ภิกษุเป็นกาลัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักกาลว่า นี้ เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม นี้เป็นกาลประกอบความเพียร นี้เป็นกาล หลีกออกเร้น หากภิกษุไม่พึงรู้จักกาลว่า นี้เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม นี้เป็นกาลประกอบความเพียร นี้เป็นกาลหลีกออกเร้น เราไม่พึงเรียกว่าเป็น กาลัญญู แต่เพราะภิกษุรู้จักกาลว่า นี้เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม นี้เป็น กาลประกอบความเพียร นี้เป็นกาลหลีกออกเร้น ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็น กาลัญญู ภิกษุเป็นธัมมัญญู อัตถัญญู อัตตัญญู มัตตัญญู กาลัญญู ด้วย ประการฉะนี้ ฯ



หลักแนวคิดอ้างอิง รู้จักคำว่า คิดในปัจจุบัน และ การจัดการในปัจจุบัน

การคิดปัจจุบัน..ไม่ใช่ว่า..รู้ว่างานจะต้องทำ หรือ จะต้องใช้ในวันและเวลาพรุ่งนี้ ไม่ใช่ตอนนี้ แล้วปล่อยและละเลย มารอจัดการในวันพรุ่งนี้เอา แล้วมาบอกว่ารอทำในปัจจุบัน มันก็จะเกิดความยุงยากวุ่นวาย ก็จะไม่ทันการ

แต่การคิดในปัจจุบัน คือ คิดในสิ่งที่รับรู้ หรือ กระทำอยู่ในขณะนั้น แล้วจัดการกับสิ่งที่ได้รับรู้ และ ความคิดที่มีต่อสิ่งนั้น ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมควรแก่กาล กล่าวคือ เป็นการไม่ส่งจิตออกนอก เช่น เรียนอังกฤษอยู่ใจก็จดจ่อเอาใจใส่ในสิ่งมี่เรียนในเวลาปัจจุบัน ไม่เผลอไผลไปคิดเรื่องอื่น, หรือ..ปัจจุบันครูสั่งการบ้านต้องส่งในสัปดาห์หน้า / หัวหน้ามอบหมายงานให้ทำซึ่งเป็นแผนงานการประชุมในสัปดาห์หน้า สิ่งนี้ก็เป็นงานของปัจจุบัน เป็นหน้าที่ของปัจจุบันที่ต้องทำ เพียงแต่มีระยะเวลาจัดทำและต้องส่งงสนในสัปดาห์หน้าเท่านั้น

ส่วนการคิดในสิ่งที่ไม่เป็นปัจจุบัน คือ การกระทำที่เป็นการส่งจิตออกนอกนี้ เป็นอาการที่จิตไม่รู้ในกิจหน้าที่ของตนในปัจจุบันที่ควรกระทำ แต่ไปรำลึกถึง ตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึงสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ตนใจปัจจุบัน เช่น กำลังทำงานปัจจุบันอยู่ แต่ไปนึกถึงเลิกงาน, กำลังเรียนคณิตศาสตร์ ไปคิดภาษาไทย หรือ ไปคิดเรื่องรักใคร่ เป็นต้น

..เมื่อจะกล่าวถึงการวางแผนดำรงชีวิต ก็การวางแผนนั้นเป็นกิจหน้าที่ของตนในทุกๆวัน เพื่อสืบต่อผลสำเร็จใจวันพรุ่งนี้ ดังนั้น การวางแผน ก็คือ การจัดการปฏิบัติทำในปัจจุบันเพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่มุ่งหมาย เป็นกิจหน้าที่การงานของตนที่ต้องทำในปัจุบันทุกวัน

โดยการวางแผน ก็คือ การรู้หลักการ แนวทาง วิธีการนั่นเอง เป็นการรู้เหตุ ทำเหตุ ซึ่งเป็นกิจหน้าที่ของตนในทุกๆวัน ในทุกๆขณะเวลา ชื่อว่า ผู้รู้เหตุที่จะสืบต่อไปสู่ผลในปัจจุบัน แล้วทำเหตุนั้น ส่วนการดำเนินชีวิตตามแผนการนั้น เป็นการรู้ผล รู้ว่าสิ่งนี้ที่ทำเพื่อมุ่งหมายผลอย่างไร ทำเพื่อประโยชน์สิ่งใด มีอะไรเป็นผลสืบต่อ

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ไม่มีขัดกัน เป็นธรรมจองปัจจุบันกาล คือ เป็นการกระทำในปัจจุบัน (เหตุ) ที่ให้ผลสืบต่อในกาลต่อไป (ผล)

โดยการจัดการและจัดสรรการกระทำทั้งหมด ให้ถูกต้องเหมาะสมควรแก่กาลนี้..ก็คือ..การรู้ลำดับความสำคัญ การรู้ว่่าเวลานี้ควรทำสิ่งใด เวลานี้ไม่ควรทำสิ่งใด เวลานั้นควรทำสิ่งใด เวลานั้นไม่ควรสิ่งใด สิ่งนั้นควรทำเวลานี้ สิ่งนี้ควรทำเวลานั้น สิ่งโน้นควรทำเวลาใด พอถึงเวลาก็จัดการตามที่วางไว้นั้น นี่คือ..การรู้เวลา ที่เรียกว่า การรู้กาล ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอน เป็นแผนการดำเนินงาน เป็นการจัดตารางเวลาของตนนั่นเอง

อุปมา..เปรียบเหมือนนักเรียนมีตารางเรียนในแต่ละวันอยู่แล้ว เมื่อรู้หน้าที่ตน หลังทำการบ้านเสร็จ ก่อนนอนก็ต้องจัดตารางเรียนของวันพรุ่งนี้ไว้ เมื่อตื่นเช้ามา หลังทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็สะพายกระเป๋าไปเรียนได้ทันทีเลย นี่คือการเตรียมแผนงานในปัจจุบัน

อุปไมย..เปรียบการจัดตารางเรียนของวันพรุ่งนี้ ในคืนวันนี้ ก็คือ..หน้าที่การงานสิ่งที่เราต้องทำของวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำวันของพรุ่งนี้ เพราะเป็นหน้าที่การงานตามระเบียบวินัยของเราในวันนี้นั่นเอง ..ส่วนชุดอุปกรณ์การเรียนที่เราจัดไว้ตามตารางเรียนวันพรุ่งนี้ คือ สิ่งที่เราต้องการใช้งานในวันพรุ่งนี้ คือ ผลสืบต่อจากการกระทำในปัจจุบันนั่นเอง

..ทั้งหมดก็ปัจจุบันขณะนั้นทั้งนั้น การจัดการตรงนี้เรียกว่าปัญญา

..ดังนั้นการเตรียมแผนงานที่ต้องทำ ก็คือสิ่งจำเป็น เช่น วันนี้เราได้รับมอบหมายให้จัดทำแผนงานดำเนินการมีกำหนดส่งในอีก 3 วัน ก็แผนงานนั้นที่จริงก็คืองานของวันนี้ที่เราได้รับมอบหมายมา แต่มีหมายกำหนดการส่งงาน..ในอีก 3 วัน ข้างหน้าเท่านั้นเอง ดังนั้นมันก็คืองานของวันนี้ที่เราต้องตรวจสอบว่ามีงานอะไรบ้างเนื้อหาเช่นไร ต้องเตรียมเอกสารอะไร ลำดับงานยังไง โดยมีระยะเวลาจัดการอีกสองวันข้างหน้า

*******************

• การใช้ธรรมธรรมแก้ทางตามกาล (ธรรมอันเป็นฆ่าศึกต่อกัน)

ธรรมการแก้กิเลสต่างๆ

เป็นกรรมฐานที่ใช้อบรมจิตแก้กิเลส และ การใช้โพชฌงค์ตามกาล

โพชฌงค์ หรือ โพชฌงค์ 7 คือธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ หรือองค์ของผู้ตรัสรู้ มีเจ็ดอย่างคือ

สติ (สติสัมโพชฌงค์) ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
ธัมมวิจยะ (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
วิริยะ (วิริยสัมโพชฌงค์) ความเพียร
ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) ความอิ่มใจ
ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ความสงบกายใจ
สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
อุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง

*******************

สติเป็นคู่ปรับกับอวิชชา
ธัมมวิจยะเป็นคู่ปรับกับทิฏฐิ (สักกายทิฏฐิ และสีลัพพัตปรามาส)
วิริยะเป็นคู่ปรับกับวิจิกิจฉา
ปีติเป็นคู่ปรับกับปฏิฆะ
ปัสสัทธิเป็นคู่ปรับกับกามราคะ
สมาธิเป็นคู่ปรับกับภวราคะ (รูปราคะ อรูปราคะ (ภพที่สงบ) กับ อุทธัจจะกุกกุจจะ (ภพที่ไม่สงบ ความฟุ้งซ่าน))
อุเบกขาเป็นคู่ปรับกับมานะ

*******************

ธัมมวิจยะและวิริยะทำลายทิฏฐิและวิจิกิจฉาอนุสัย บรรลุเป็นพระโสดาบันและหรือพระสกทาคามี
ปีติและปัสสัทธิทำลายปฏิฆะและกามราคะอนุสัย บรรลุเป็นพระอนาคามี
สมาธิ อุเบกขาและสติทำลายรูปราคะ อรูปราคะ อุทธัจจกุกกุจจะ มานะ อวิชชาอนุสัย บรรลุเป็นพระอรหันต์

สติ ความระลึกได้ ธรรมดาสตินั้นเป็นธรรมชาติทำลายโมหะคือความหลง ท่านกล่าวว่าโมหะทำให้เกิดอวิชชา และอวิชชาทำให้เกิดโมหะเช่นกัน ดังนั้นผู้เจริญสติจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำลายอวิชชาลงเสียได้

ธัมมวิจยะ ความพิจารณาในธรรมจนเห็นชัดตามความเป็นจริงย่อมทำลายสักกายทิฏฐิในตัวตนว่าขันธ์ 5 เป็นตัวกู (อหังการ) ของกู (มมังการ) ลงเสียได้และย่อมทำลายสีลัพพัตตปรามาส การถือมั่นในศีลพรตอย่างผิด ๆ ด้วยการเห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามกฎแห่งกรรม

วิริยะ ความแกล้วกล้าของจิต ที่เพียรพยายามด้วยศรัทธาที่มั่นคง จนประสบผลจากการปฏิบัติจนสิ้นความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือเป็นความศรัทธาในระดับวิริยะ คือมีความแกล้วกล้า (วิร ศัพท์ แปลว่ากล้า) อันหมายถึงความเพียรอันเกิดจากความแกล้วกล้าเพราะศรัทธา

ปีติ ความสุขจากความแช่มชื่นใจของปีติ ย่อมดับสิ้นซึ่งพยาบาทและปฏิฆะความไม่พอใจใด ๆ ลงเสียได้

ปัสสัทธิ ความสงบกายสงบใจ ย่อมทำให้กามราคะที่เกิดเมื่อเกิดย่อมต้องอาศัยการนึกคิดตรึกตรองในกาม เมื่อสำรวมกายคืออินทรีย์ 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และสำรวมใจไม่ให้คิดตรึกตรองในกาม ย่อมยังกามราคะที่จะเกิดไม่ให้เกิดเสียได้

สมาธิ ความตั้งใจมั่น สมาธิระดับอัปปนาสมาธิย่อมกำจัดความฟุ่งซ่านรำคาญใจลงเสียได้ และสมาธิระดับอรูปราคะย่อมทำลายความยินดีพอใจในรูปราคะเสียเพราะความยินดีในอรูปราคะ และสมาธิระดับนิโรธสมาบัติย่อมต้องทำลายความยินดีพอใจในอรูปราคะเสียเพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ (ในชั้นนี้ ผู้ปฏิบัติที่สามารถละปฏิฆะและกามราคะได้เด็ดขาด ย่อมบรรลุเป็นพระอนาคามีที่มีปกติเข้าถึงนิโรธสมาบัติได้แล้ว)

อุเบกขา ความวางเฉย คือวางเฉยในสมมุติบัญญัติและผัสสะเวทนาทั้งหลาย ทั้งหยาบ เสมอกัน และปราณีต จนข้ามพ้นในความเลวกว่า เสมอกัน ดีกว่ากัน จนละมานะทั้งหลายลงเสียได้

*******************

อ้างอิง https://th.m.wikipedia.org

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 241
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม"
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์"
อานาปานสติสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔

แหล่งข้อมูลอื่น

เจริญสติปัฏฐาน๔ บำเพ็ญโพชฌงค์๗ ให้บริบูรณ์ ในวิกิซอร์ซ

*******************

โพชฌงค์ตามกาล จำเพาะภาวะจริตของผู้เขียนนำมาใช้

เพื่อแสดงว่าธรรมของพระพุทธเจ้าให้ผลได้ไม่จำกัดกาล

1.) ใช้อสุภะ ละ กามฉันทะ [เป็นการเจริญสติสัมโพชฌงค์  ธัมมะวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ คือ กายคตาสติ หรือ กายานุปัสสนา และ เวทนานุปัสสนา(อารมณ์ความรู้สึก สุขเวทนา กามคุณ ๕) ถึงสุขที่เนื่องด้วยใจ โสมนัสเวทนา วินิจฉัยทำความรู้เห็นตามจริง / เจริญในปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา เพื่อละกามฉันทะ]

2.) ใช้เมตตา ละ พยาบาท [เป็นการเจริญสติสัมโพชฌงค์ ธัมมะวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ คือ เวทนานุปัสสนา(อารมณ์ความรู้สึก สุขเวทนา และ โสมนัสเวทนา) และ จิตตานุปัสนา(เจตนา ความคิดนึก) ทำความรู้เห็นตามจริง / เจริญในธัมมะวิจยะ วิริยะ ปิติ(ความอิ่มเอมก็ดี ซาบซ่านก็ดี โยกโคลงก็ดี ตัวเบาลอยก็ดี น้ำตาไหลจากความอิ่มเอมซ่านใจก็ดี ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นจากอาการที่กายเริ่มแยกจากจิตเข้ามาสัมผัสรู้เพียงสุขภายใน อันเป็นสุขที่เนื่องด้วยใจ) เพื่อละพยาบาท]

3.) ใช้ธัมมะวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ละ จิตหดหู่ ซึมเศร้า เซื่องซึม ง่วงซึม

4.) ใช้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (สุขเป็นรอยต่อระหว่างปัสสัทธิและสมาธิ) สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ละ ความฟุ้งซ่าน วิตกกังวล งุ่นง่าน กระสับกระส่าย กระวนกระวาย รำคาญใจ

5.) ใช้สติสัมโพชฌงค์ พิจารณาจิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา เข้าเห็นการกระทำใน ทุกข์(การกระทำ และ ผลสืบต่อของการกระทำ), สมุทัย(เหตุให้กระทำ), นิโรธ(การหยุดกระทำ และ ผลสืบต่อของการกยุดกระทำ), มรรค(เหตุละการกระทำ) ..จนรู้ชัดในธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและอกุศล มีโทษและไม่มีโทษ เลวและประณีต เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว ละ ความลังเล สงสัย ติดข้องใจ เคลือบแคลงใจ

บทอ้างอิงจากพระไตรปิฏก
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=19&siri=123
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=19&A=3277&Z=3327

******************

.. ภิกษุ ท.! ภิกษุ ..
เจริญ อสุภะ เพื่อละ ราคะ
เจริญ เมตตา เพื่อละ พยาบาท
เจริญ อานาปานสติ เพื่อตัดเสียซึ่งวิตก
เจริญ อนิจจสัญญา เพื่อถอน อัสมิมานะ
เจริญ ธาตุ เพื่อสลัดออกซึ่ง วิจิกิจฉา

*******************

๓. เมตตาสูตร
ถอนอัสมิมานะได้แล้ว
สลัดวิจิกิจฉาด้วยธาตุ
..อรหัตมัคที่ถอนอัสมิมานะได้แล้วนี้ เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งลูกศร คือ วิจิกิจฉา (ความสงสัย เคลือบแคลง)
..ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธาตุ เป็นเครื่องสลัดออก ๖ ประการนี้แล ฯ

*******************

[ ๑๔๕ ] ดูกรราหุล!
เธอจงเจริญ เมตตาภาวนาเถิด
เพราะเมื่อ เธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่
..จักละพยาบาทได้

เธอจงเจริญ กรุณาภาวนาเถิด
..เมื่อเจริญกรุณาภาวนาอยู่
..จักละวิหิงสาได้

เธอจงเจริญ มุทิตาภาวนาเถิด
..เมื่อเจริญมุทิตาภาวนาอยู่
..จักละอรติได้

เธอจงเจริญ อุเบกขาภาวนาเถิด
..เมื่อเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่
..จักละปฏิฆะได้

เธอจงเจริญ อสุภภาวนาเถิด
..เมื่อเจริญอสุภภาวนาอยู่
..จักละราคะได้

เธอจงเจริญ อนิจจสัญญาภาวนาเถิด
..เมื่อเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่
จักละอัสมิมานะได้

*******************

..ราหุโลวาทสตร..
..ราหุล ! ..
เธอจงอบรมจิตให้หนักแน่น
เสมอด้วยแผ่นดินเถิด
" ..(เสมอด้วยธาต ๕ .. ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ).. "
เมื่อเธออบรมจิต
ให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่
ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจ
และไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว
จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่
ฉันนั้นเหมือนกัน
..เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดหรือระอา ก็หาไม่

*******************



..การกำหนดสุขให้ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือ สิ่งที่กำลังทำอยู่ ที่เรียกว่า..รู้ความโสมนัสที่ควรเสพ และ รู้ความโสมนัสที่ไม่ควรเสพ เป็นการใช้ พุทโธวิมุตติสุขร่วมกับพุทโธอริยะสัจ ๔ + โพชฌงค์ตามกาล ว่าด้วย จิตตสังขาร เวทนา สัญญา สังขาร เป็นปัญญาทำให้จิตเราตั้งขึ้น ขจัดความหดหู่ ท้อถอย เหนื่อยถ่าย เกียจคร้าน ง่วงซึม จนถึงขจัด Toxic อันเป็นเหตุให้หดหู่ซึมเศร้าได้เลยนะ ให้ทำโสมนัสที่ควรเสพดังนี้..

วิธีใช้..พุทโธวิมุติสุข ทำความสุขที่ควรเสพ (โสมนัส)

        พุทโธวิมุตติสุขนี้..คือ นิโรธ เป็นผลจากความดับทุกข์ เป็นสุขที่เนื่องด้วยใจ
        • เป็นทั้งการแผ่เมตตาให้ตนเองไปในตัว คือ ปรารถนาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความสุขให้แก่ตนเอง สุขไปถึงดวงจิตของจน น้อมไปในการสละ สละให้ผู้อื่นถึงความเผื่อแผ่(เป็นการเมตตาผู้อื่น) สละคืนอุปธิถึงความพ้นกิเลส
       • เป็นทั้งกรุณา คือ ความเกื้อกูล เผื่อแผ่ แบ่งปันสุข ถึงสุขที่เนื่องด้วยใจ สุขอยู่ที่จิต รวมลงอยู่ที่จิต จนอัดปะทุพลั่งพลูสุขอันแช่มชื่นซาบซ่านขึ้นมาฟุ้งกระจายไปทั่ว ที่พ้นจากสุขที่เนื่องด้วยกาย คือ กามคุณ ๕ มีอาการที่แผ่ไป
        • เป็นทั้งอุปสมานุสสติกรรมฐาน ธรรมชาตินั้นสงบรำงับจากความปรุงแต่ง ธรรมชาตินั้นไม่มี ธรรมชาติที่สละคืน ถึงความว่าง ความสงบ ความไม่มี
        • เป็นทั้งการทำปัสสัทธิความสงบใจจากความปรุงแต่งจิต สงบจากความรู้สึกนึกคิด สงบจากไฟกิเลสสุมใจ
       • เป็นทั้งเหตุใกล้ให้สติเกิดขึ้นและทำสติให้ตั้งมั่น เมื่อเดินลมตามจุดพักลมต่างๆ ทำให้ใจมีกำลังตั้งมั่นหนักแน่นตาม
       • เมื่อใช้คู่กับ พุทโธอริยะสัจ ๔ ก็จะละกิเลสที่เกิดมีขึ้นได้ดี
       • หมายเหตุ ทำไมผู้เขียนจึงกล่าวรวบยอดว่า พุทโธวิมุติสุข และ พุทโธอริยะสัจ ๔ คือ ธรรมแก้ได้ในหลายอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดและจริตนิสัย นั่นเพราะ พุทโธ คือ คุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ว่าด้วยความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน / ก็เมื่อเป็นผู้รู้ ย่อมรู้กายใจตน รู้กิเลสตน รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ รู้กิริยาจิตตน รู้ทางแก้กิเลสและจริตนิสัย รู้การทำไว้ในใจตนเพื่อเป็นละกิเลส รู้โพชฌงค์ รู้ชิชชา คือ รู้ในอริยะสัจ ๔ รู้วิมุตติ / ก็เมื่อเป็นผู้ตื่น ย่อมตื่นจากสมมติกิเลสของปลอม รู้ออกจากกิเลส อุปกิเลส อุปนิสัยกิเลส เดินโพชฌงค์ตามกาลได้ ทำกิจในอริยะสัจ ๔ ได้ / ก็เมื่อเป็นผู้เบิกบาน  ถึงปัญญา ถึงญาณ ถึงมรรค ถึงผล อริยะสัจ ๔ ทำกิจในรอบ ๓ อาการ ๑๒ ย่อมบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ถึงวิมุตติสุข พ้นจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวงได้ นี่คือคุณของ “พุทโธ” ซึ่งกว้างใหญ่มาก พระพุทธเจ้า จึงชื่อว่า..พุทธะ
       • ส่วน..วิมุตติสุข นั้นคือ พระนิพาน เป็นอมตะสุข สุขจากการหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เป็นอมตะสุขตามคุณของพระนิพพาน
       • ส่วน..อริยะสัจ ๔ นั้นคือ สัจจะ เป็นธรรมอันประเสริฐ เป็นธรรมเอก เป็นวิชชา ให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ วิมุตติสุข

        1. เมื่อปรารถนาใคร่เสพในสิ่งที่ชอบที่ติดตราตรึงใจ กระหายอยากได้ โหยหา ตราตรึง หมายใคร่ต้องการ ติดใจใคร่เสพในสิ่งที่ปรนเปรอบำเรอตน หรือ ลุ่มหลงอบายมุข ๖ คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..วิมุติสุข อันเป็น..นิโรธ..ความสุขจากความอิ่มเต็มกำลังใจ อิ่มเต็มจนเพียงพอแล้วไม่ต้องการอีก มีชิวิตอยู่อย่างปกติสุขเย็นใจโดยปราศจากความติดใคร่ร้อนรนแสวงหาโหยหาให้ได้เสพย์ได้ครอบครองในสิ่งนั้นๆ มีชีวิตเป็นปกติสุขชื่นบานได้โดยไม่ต้องอิงพึ่งพาอาศัยในสิ่งนั้นๆ ..นิพพิทาวิราคะ สุขที่หลุดพ้นจาก..ราคัคคิ คือ ไฟราคะ ได้แล้ว..ก็สุขอิ่มเต็มกำลังใจนี้เป็นผลจากการไม่มี คือ..
       • ไม่มีความอยาก หลุดพ้นความกระสันอยากแล้ว หลุดพ้นความกระหายแล้ว หลุดพ้นจากความทะยานอยากอันร้อนรนดิ้นรนแสวงหาจากความใคร่เสพแล้ว
       • ไม่มีสิ่งใดมากระทบใจเราได้อีก คือ ไม่มีสิ่งใดมากระทบใจเราให้ติดตราตรึงใจ-โหยหา-หมกมุ่น-ผูกใฝ่-กระหายใคร่เสพได้อีก
       • สุขจากความไม่มีใจเข้ายึดครองตัวตนในสิ่งนั้น หรือ สิ่งอื่นใดในโลกอีก
       • สุขจากความไม่มีใจเข้าผูกยึดหมายมั่นในสิ่งนั้น หรือ สิ่งอื่นใดในโลกอีก ไม่มีใจโหยหาต้องการสิ่งใดอีก
       • มันอิ่มเต็มกำลังใจ สงบ สบาย  อิ่มเอมกายใจ ซาบซ่าน ไม่ต้องการสิ่งใดจากภายนอก มันสุขรื่นรมย์อยู่ภายในใจ ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาเอาสิ่งใดให้เป็นทุกข์ ไม่มีสิ่งขาดใดในชีวิต ไม่ต้องกระหายใคร่เสพให้ร้อนรนหมกมุ่นเป็นทุกข์ทรมาน ไม่ต้องกระวนกระวายเป็นทุกข์เพราะแสวงหา ไม่ทุกข์เพราะต้องการให้ได้มา ไม่ต้องทุกข์เพราะใคร่เสพ มันอิ่มเต็มกำลังใจเพียงพอแล้ว
       • สุขนี้ก็ชื่อว่า..วิมุตติสุข คือ อิ่มเต็มกำลังใจ ไม่อยากอีก เพราะกามมันอิ่มไม่เป็น มันจึงทุกข์ร้อนดิ้นรนแสวงหา แต่วิมุตติสุขนี้มันอิ่มเต็มกำลังใจไม่ต้องการสิ่งใดอีก ไม่เอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับใครหรือสิ่งใดในโลกอีก เพราะไม่มีใจครองแล้ว ไม่เอาใจเข้ายึดกอดสิ่งใดมาผูกขึ้นไว้เป็นสุขของตนอีก (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร คือ พอใจยินดีใน วิมุตติสุข อันเป็นสุขที่รู้จักอิ่ม รู้จักพอ รู้จักเต็ม ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาเอาสิ่งนั้นมาปรนเปรอตนให้เป็นทุกข์เร่าร้อนถูกไฟราคะสุมใจจากความทะยานอยากได้มาครอบครองนั้นอีก
       • การเข้าถึงนิพพิทาวิราคะที่แท้จริงนั้น ต้องเข้าไปรู้เห็นตามจริง โดยทรงอารมณ์สุขนั้นไว้ แล้วน้อมเข้ามาพิจารณา เห็นว่าไม่งาม(อสุภะ) ก็สักแต่ว่าธาตุ เป็นแค่ธาตุที่อาศัยเกิดประชุมกัน เพื่อละความติดตราตรึงใจ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จนรู้ชัดว่า..จิตรู้สิ่งใดสิ่งนั้นคือสมมติทั้งหมด สิ่งใดถูกรู้สิ่งนั้นไม่ใ่ช่ตัวตน ไม่มีตัวตน

        2. เมื่อเอาความสุขสำเร็จของจนไปผูกขึ้นไว้กับผู้อื่นสิ่งอื่น แล้วประสบกับความไม่สมปรารถนา ประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ เกิดความหดหู่ ซึมเศร้า โศรกเศร้า เสียใจ ร่ำไร รำพัน เป็นกาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..วิมุตติสุข อันเป็นสุขที่เนื่องด้วยใจ ความแช่มชื่น เบิกบาน รื่นรม เย็นใจ พลั่งพลูมาจากภายในใจ สุขเกิดที่กายใจตน เพราะสุขจากของอื่นภายนอกมันสุขเพียงชั่วคราว แค่มีสิ่งมากระทบเล็กน้อยก็ดับไป นึกถึงเมื่อไหร่ก็ทุกข์แสวงหาเมื่อนั้น ส่วนสุขที่เนื่องด้วยใจ ที่ไม่ยึดเอาสิ่งภายนอกมาเป็นสุขของตน มั้นตั้งอยู่ได้นาน นึกถึงเมื่อไหร่ก็สุขเมื่อนั้น (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร คือ พอใจยินดีใน วิมุตติสุข อันเป็นสุขที่เนื่องด้วยใจ สุขโดยไม่อิงอาศัยในกามคุณ ๕ อีก (กามคุณ ๕ คือ ๑. สุขเพราะตาได้สัมผัสเห็นสิ่งที่ชอบที่พึงใจ  / ๒. สุขเพราะหูได้สัมผัสเสียงที่ชอบที่พึงใจ / ๓. สุขเพราะจมุกได้สัมผัสกลิ่นที่ชอบที่พึงใจ / ๔. สุขเพราะลิ้นได้สัมผัสรสที่ชอบที่พึงใจ / ๕. สุขเพราะกายได้สัมผัสความรู้สึกทางกายที่ชอบที่พึงใจ)

        3. เมื่อเคร่งเครียด หรือ กดดัน หรือ อึดอัด กระวนกระวาย ร้อนรนใจ หรือ ประหม่า หรือ วิตกกังวลกลัว หรือ ฟุ้งซ่าน ไม่สงบ คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..วิมุตติสุข อันเป็นอมตะสุขที่เกิดจากเป็นธรรมชาติที่สงบ ธรรมชาตินั้นสบาย ธรรมชาตินั้นผ่อนคลาย ธรรมชาตินั้นไม่มี คือ พ้นแล้วจากเจตนาความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งกายใจทั้งปวง มันปรอดโปร่ง มันโล่ง มันเบา เย็นกาย เย็นใจ หมดความกระทำไว้ในใจ ถึงความสงบรำงับจากการกระทำปรุงแต่งทั้งปวง ถึงความว่าง ถึงความไม่มี ถึงความสละคืน นี่คือ คุณสมบัติหนึ่งของพระนิพพาน เป็นอุปสมานุสสติกรรมฐาน เป็น วิมุตติสุข (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร คือ พอใจยินดีใน วิมุตติสุข อันเป็นสุขที่ถึงความสงบ ความสบาย ความว่าง ความไม่มี ความสละคืน นิพพาน

        4. เมื่อโกรธแค้น เกลียดชัง ต่อต้าน ผลักไส ริษยา พยาบาท อาฆาตแค้น เป็นกาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..วิมุตติสุข อันเป็น..นิโรธ..ความสุขที่เนื่องด้วยใจ ที่สงบเย็นใจเข้าไปในดวงจิต (ตามฐานจิต..ที่อก หรือ ลิ้นปี่ หรือ ท้องน้อย หรือ อาการอัดอั้นคับแค้นกายใจ โกรธเกลียด ชิงชัง ริษยาเกิดอยู่ที่ไหน ก็ให้ถือเอาจุดนั้นเป็นฐานที่ตั้งของจิต แล้วปักจิตเอาความสุขเย็นใจลงไปที่จุดนั้น) มีใจกว้างออก แผ่ออก ขยายออก มีอาการที่ใจคลายออก ปล่อย ไม่ผูกใจ อาการที่ใจคลายปมโทสัคคิในใจออก สุขจากการที่ใจของเราหลุดพ้นจากการผูกปม-มัดปม-ผูกมัด-รัดตรึง-ยึดเกี่ยว-ดึงรั้งเอาไฟโทสะอันร้อนรุ่มมาอัดสุมเผาไหม้อยู่ในกายใจตน มันแช่มชื่น ปรอดโปร่ง เบาโล่ง สบาย เย็นใจ ไม่เร่าร้อนทิ่มแทงตน เป็นอาการสุขเย็นใจนั้น มันพลั่งพลูจากดวงจิตเอ่อล้นขึ้นมา มันอัดแน่นภายในใจแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตนเองและผู้อื่น เป็นลักษณะของเมตตาสุขในความเย็นใจไม่เร่าร้อน อาการที่ใจแผ่กว้างออกเอื้อเฟื้อสุข เป็นสุขที่หลุดพ้นจาก..โทสัคคิ คือ ไฟโทสะ ได้แล้ว (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร คือ พอใจยินดีใน วิมุตติสุข อันเป็นสุขที่เย็นใจ เบา ผ่อนคลาย ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ขุ่น ไม่ข้อง มีแต่ใจที่ผ่องใส ร่าเริง ปรอดโปร่ง อิ่มสุข เอิบอิ่ม ซาบซ่าน สงบ สบาย ร่มรื่น ชื่นบาน เป็นสุข

        5. เมื่อป่วย หรือ หยุดเรียน หรือ ปิดเทอม หรือ บวช ไม่มีสิ่งใดเป็นภาระ เป็นกาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..วิมุตติสุข อันเป็นสุขที่เนื่องด้วยใจ อาการที่แช่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอม เย็นใจ ซาบซ่าน ซัดผ่านตามลมหายใจเข้าจากปลายจมูกเข้ามาปะทะที่เบื้องหน้า มีสุข ผ่อนคลาย เป็นที่สบายกายใจ สละคืนหมดสิ้นความรู้สึกนึกคิดอันเศร้าหมองและกิเลสอุปธิทั้งปวงออกทิ้งไป..จากเบื้องหน้า ออกทางปลายจมูก ตามหายใจออก / มีจิตตั้งจิตจับที่จิตไว้ในภายในใจ มีความแช่มชื่นรื่นรมย์รวมลงอยู่ในดวงจิต แล้วปะทุพลั่งพลูความชื่นบาน ซาบซ่าน เป็นสุขจากภายในใจขึ้นมา (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร คือ พอใจยินดีใน วิมุตติสุข อันเป็นสุขที่เย็นใจ ไม่ติด ไม่ข้อง ไม่แวะสิ่งใด มีใจสดใส เบิกบาน หมดความวิตกกังวล สงบ สบาย ปรอดโปร่ง ปล่อยวาง ว่าง โล่ง ชื่นบาน มันสบายกว่าที่ยึดเอากายเป็นอารมณ์ เห็นสุขเกิดที่ใจ อยู่ที่ใจเลือกเสพ สติอยู่เป็นเบื้องหน้า หมดความลุ่มหลงปรุงแต่ง

        6. เมื่ออยู่ในแวดวงกลุ่ม Toxic ที่โรงเรียน ที่ทำงาน คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..วิมุตติสุข สุขที่เนื่องด้วยใจตน ไม่เอาความสุขสำเร็จไปผูกขึ้นไว้กับผู้อื่น เมื่อหนีสังคม Toxic ไม่พ้น ให้น้อมนึกถึงความสุขที่ตนอยู่กับคนกลุ่มนั้นได้โดยไม่ทุกข์ สุขที่ใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่ม Toxic ได้โดยไม่ทุกข์ร้อนสุมไฟ โกรธ เกลียด ชัง..ใส่ใจตน เราเก่ง เราสุขที่ไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญกับเขาเหล่านั้นเกินความจำเป็น เหมือนเขาเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมในฉากละครทีวีฉากหนึ่งเท่านั้น ไม่คิดสืบต่อ Toxic จากเขา ไม่มีความติดใจข้องแวะอะไรกับเขาเหล่านั้น มันเย็น เบาใจ ปลอดโปร่ง โล่ง สุขสบายใจ (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร คือ  พอใจยินดีใน วิมุตติสุข อันเป็นสุขที่เนื่องด้วยใจ ไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญในเรื่อง Toxic ไม่คิดสืบต่อ Toxic มีความเพียรประครองใจตนไว้อยู่ ละความขุ่นข้องขัดเคืองใจ โกรธ เกลียด ชัง ซึมเศร้า เสียใจ ร่ำไร รำพัน ออกเสียจากใจเราได้ ให้ดำรงอยู่โดยความสุขเบาใจ ไม่ติดใจข้องแวะโลก(กลุ่มสังคม Toxic) )

        7. เมื่อคิดจะทำสิ่งใดตามอารมณ์ รัก ชัง หลง กลัว หรือ คิด พูด ทำ..ในสิ่งที่ไม่ดีตามความรู้สึกนึกคิดที่..โลภ ใคร่ โกรธ เกลียด ชัง พยาบาท ลุ่มหลง คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..วิมุติติสุข อันเป็น..นิโรธ..ความสุขในการมีใจเป็นมหากุศล มีใจสูงเหนือ..รัก-โลภ-โกรธ-หลง / มีกาย-วาจา-ใจ ตั้งอยู่ในกุศลธรรมทั้งปวง / มีใจแช่มชื่น ผ่องใส ชื่นบาน..พ้นแล้วจากกิเลสที่หน่วงตรึงจิต..มีใจหลุดพ้นจากสิ่งทุกข์ร้อนกายใจทั้งปวง..คือ เป็นสุขพ้นแล้วจาก..รัก โลภ ตระหนี่ หวงแหน โกรธ เกลียด ชัง ริษยา ผลักไส ดิ่ง ซึมเศร้า โศรกเศร้า เสียใจ ขุ่นข้อง มัวหมอง อัดอั้น คับแค้น ลุ่มหลง มัวเมา กลัว / สุขในการทำสิ่งที่เป็นกุศลดีงาม ปราศจากการทำร้ายเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น มีสติตั้งไว้อยู่เป็นเบื้องหน้ายั้งคิด แยกแยะ เห็นคุณ-โทษ-ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว รู้เลือกเสพอารมณ์์ความรู้สึกนึกคิดที่ดีงาม มีคุณประโยชน์สุข อิ่มเอม ซาบซ่าน เย็นกายสบายใจ รื่นรมย์ใจ ปราศจากอกุศลธรรมทั้งปวง / นอนก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ไม่มีสิ่งที่ทำให้เราต้องหวาดกลัว หวาดระแวง เป็นโทษ ทุกข์ ภัย..ต่อตนเองในภายหลัง ไปที่ใดก็เย็นใจ อยู่ที่ใดก็สบายใจ ชีวิตเป็นสุขพ้นจากทุกข์ภัยแล้ว (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร คือ  พอใจยินดีในการทำสิ่งดีมีกุศล ยินดีในการ หยุด/เลิก..คิด พูด ทำ..ในสิ่งที่ชั่วตามอารมณ์ความรู้สึกใน..รัก โลภ โกรธ หลง / ยินดีในการทำใจสละคืนเจตนาความคิดนึกกระทำตามใจ..รัก โลภ โกรธ หลง / มีความเพียรประครองใจตนไว้อยู่ ดำรงมั่นในการตัดทิ้งความคิด Toxic ใคร่ได้ เกลียด ชัง ซึมเศร้า หลง กลัว ออกจากใจ)
       • กุศล แปลว่า ถูกต้อง เหมาะสม ดี จิตใจดี สิ่งดีงาม / สภาวะจิตผ่องใส ปรอดโปร่ง ไม่มีทุกข์-โทษ-ภัย-พยาบาท-ลุ่มหลง / ความฉลาดของจิต จิตฉลาดพอใจยินดีเลือกเสพย์เลือกทำแต่สิ่งดีงาม(บุญ) / อาการที่จิตไม่จับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดใน..รัก ชัง หลง กลัว ให้หน่วงตรึงจิต..มีผลเป็นความอิ่มเอมใจ ซาบซ่าน ฟูใจ ชื่นบาน สุข

คลิกเพื่อดู..วิธีทำ พุทโธ-วิมุตติสุข
คลิกเพื่อดู..วิธีทำ พุทโธ-อริยะสัจ ๔

        8. เมื่อจะทำงานบ้าน คือ กาลอันควรแก่เวลาให้นึกถึง..สุขจากผลสำเร็จของงานที่ทำ ให้นึกถึงความสุขสำเร็จ ความสะอาดเรียบร้อย สิ่งดีงามจากการทำงานบ้านนั้น มันสะอาดตา สบายใจ มีระเบียบ ปรอดโปร่ง เป็นสุข เหมือนอยู่ท่ามกลางความสะอาดงดงามฉันนั้น (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร)

        9. เมื่อจะกำลังจะเข้าเรียน คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..สุขจากผลสำเร็จของสิ่งที่เราเรียนรู้ ฝึกฝน ปฏิบัติทำ ให้นึกถึงความสุขจากการที่เราได้เรียนรู้ เข้าใจ ทำได้ งานครบ ประสบผลสำเร็จ สอบได้คะแนนดีๆ เก่ง ฉลาด มันสุข มันชื่นบานใจ (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร)

        10. เมื่อจะทำการบ้าน คือ กาลอันควรแก่เวลานึกถึงผลลัพธ์ และ ผลสำเร็จจากการทำการบ้านนั้น + รู้เหตุ (หลักวิธีการทำของการบ้าน) + รู้ผล (เนื้อหาหลักวิธีการ/เนื้อหาการบ้าน, ความต้องการของงาน) + รู้ตน (ความรู้และทักษะความสามารถที่ตนมี) + Skill ประเมิน (ตนเอง + สิ่งที่ทำ/การบ้าน + สถานการณ์ = ยาก/ง่าย, มาก/น้อย, ช้า/เร็ว) + Skill รู้กาล (ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินงานจนแล้วเสร็จ) ให้นึกถึงการบ้านวิชาต่างๆ  นึกถึงเราทำการบ้านเสร็จสิ้น มีงานส่งครู มันว้าวมาก ไม่ต้องเหนื่อยแก้ส่งการบ้าน แถมได้ฝึกฝนตนเองให้เก่งขึ้น มันสบายกายใจจริงๆ (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร) แล้วเปิดใช้ Skill ประเมิน ลำดับความสำคัญ ดังนี้..
          • นึกว่าการบ้านวิชาใดมีมากน้อยเพียงใด แต่ละวิชาทำสิ่งใดบ้าง แล้วนึกถึงว่า..เราทำสิ่งใดวิชาใดก่อน
3  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน รู้กาล(Skill ควบคุมเวลา) เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:27:50 pm
        ..SKILL รู้กาล คือ..
          • รู้ว่าตนต้องใช้เวลาในการทำในสิ่งนั้นๆมากน้อยเพียงไร (ประเมินระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินงานนั้นๆ)
          • รู้ลำดับความสำคัญของสิ่งที่ทำเปรียบเปรียบกับเวลาปัจจุบัน..เป็นการรู้ว่าเวลาใดควรทำสิ่งใด เวลานี้ควรแก่กิจหน้าที่การงานใด
          • สิ่งใดตรงกับเวลาและสถานการณ์ปัจจุบันให้ทำก่อน
          • สิ่งใดเป็นหน้าที่ในปัจจุบันให้ทำทันที
          • สิ่งใดเป็นจุดหลักสำคัญที่ส่งผลสืบต่อไปในส่วนอื่นๆให้ทำก่อน
          • สิ่งใดสามารถทำเสร็จสิ้นได้ทันทีให้ทำได้เลย
          • สิ่งใดเร่งด่วน..ให้ประเมิณงาน (รู้เหตุ คือ หลักการ + แนวทาง + วิธีการ และ รู้ผล คือ เนื้อหา + ความต้องการของงาน + วิธีการข้อที่ใช้ทำหรือแก้ไขที่ตรงจุด + ผลสำเร็จ) + สถานการณ์ + ระยะเวลาที่ใช้ดำเนินงาน + การลำดับจัดสรรที่เหมาะสม..แล้วลงมือทำทันที
          • สิ่งใดที่ไม่ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันให้ทำในเวลาถัดไป
          • สิ่งใดยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนให้ทำในเวลาถัดไป
          • สิ่งใดไม่ใช่หน้าที่ในปัจจุบันให้ทำในเวลาถัดไป
          • สิ่งใดที่ไม่ใช่จุดหลักและใช้ระยะเวลานานในการดำเนินงานให้ทำภายหลัง



        ..ภูตื่นมา 05:40 น. ทำธุระส่วนตัว เสร็จ 06:10 ก็รีบมาทำการบ้าน ชิวก็เห็นดีด้วย เพคาะเป็นการรู้หน้าที่มีความรับผิดชอบ แต่พอทำไปได้ 40 นาที ภูปวดมือ พอนึกถึงการบ้านมีเยอะ ก็เริ่มเครียดไม่อยากทำ (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)

        ..ชิวจึงออกมา แล้วสอนภูว่า..หากมีงานเร่งด่วน หรือ สิ่งจำเป็นต้องทำ ภูก็ควรจัดการลำดับความสำคัญของงานทั้งหมดไว้ก่อน เพราะการลำดับจัดการนั้นคือสิ่งที่ปัจจุบันที่ต้องทำ เรียกว่า การวางแผนงาน หากมาทำวันที่ทำงานเลย มันจะวุ่นวายจนทำไม่ได้
          ภู : อ่าาาา (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
          ชิว : โดยการจัดการนี้ก็คือ..การรู้ลำดับความสำคัญ การรู้ว่่าเวลานี้ควรทำสิ่งใด เวลานี้ไม่ควรทำสิ่งใด เวลานั้นควรทำสิ่งใด เวลานั้นไม่ควรทำสิ่งใด สิ่งนั้นควรทำเวลานี้ สิ่งนี้ควรทำเวลานั้น สิ่งโน้นควรทำเวลาใด พอถึงเวลาก็จัดการตามที่วางไว้นั้น นี่คือ..การกำหนดรู้การกระทำที่เหมาะต่อเวลา เรียกว่า การรู้กาล เพราะเป็นที่สิ่งต้องทำในปัจจุบันตลอดเวลา เพื่อจะรู้ว่าเวลานี้ควรทำสิ่งใด สิ่งนี้ควรทำเวลาใด จึงเป็นสิ่งปัจจุบันที่ต้องทำ เป็นการจัดตารางเวลางานของตนในปัจจุบันเพื่อประโยชน์สุขของตนในวันข้างหน้านั่นเอง
          ภู : งืมๆ (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
          ชิว : เปรียบเหมือนภูมีตารางเรียนในแต่ละวันอยู่แล้ว เมื่อรู้หน้าที่ตน หลังทำการบ้านเสร็จ ก่อนนอนก็ต้องจัดตารางเรียนของวันพรุ่งนี้ไว้ เมื่อตื่นเช้ามา หลังทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็สะพายกระเป๋าไปเรียนได้ทันทีเลย นี่คือการเตรียมแผนงานในปัจจุบัน
          เปรียบการจัดตารางเรียนของวันพรุ่งนี้ ในคืนวันนี้ ก็คือ..หน้าที่การงานสิ่งที่เราต้องทำของวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำวันของพรุ่งนี้ เพราะเป็นหน้าที่การงานตามระเบียบวินัยของเราในวันนี้นั่นเอง ..ส่วนชุดอุปกรณ์การเรียนที่เราจัดไว้ตามตารางเรียนวันพรุ่งนี้ คือ สิ่งที่เราต้องการใช้งานในวันพรุ่งนี้
          ภู : อ่าาาา (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
          ชิว : ส่วนการบ้านภู ภูรู้อยู่แล้วต้องทำวิชาอะไรบ้าง การที่ภูคิดจัดการไว้ว่าจะทำงานอย่างไรเขาเรียกว่า แผนการลำดับงาน คือ การบ้านมี 5 วิชา → ภูดูให้รู้ก่อนว่าแต่ละวิชาทำตามหลักการวิธีใด..นี่เรียกว่ารู้เหตุในปัจจุบัน..เพราะการดูนั้น คือ ปัจจุบัน ไม่ใช่การคิดว้าวุ่นอนาคต เมื่อรู้เหตุ คือ หลักวิธีทำในแต่ละวิชาแล้ว ก็พิจารณาผลว่า → วิชานี้จะทำสำเร็จได้ต้องใช้วิธีจัดการแบบใด → วิชานี้มีความยากง่ายอย่างไร → ประเมินสิ่งที่ต้องทำ → แล้วประเมินระยะเวลาในการทำ → แล้วจัดเรียงลำดับความสำคัญตามยากง่ายและระยะเวลาที่ใช้ทำ → วิชาไหนต้องส่งก่อนทันทีให้ทำก่อน + แต่หากยังไม่ต้องส่งทันทีและทีเวลาทำก็ให้พิจารณาว่า..วิชาไหนทำง่าย หรือ เสร็จไว ก็ทำก่อน → สิ่งไหนต้องใช้ความคิดเยอะ หรือ ใช้เวลาทำนานก็จัดไว้ภายหลัง เพื่อไม่ให้โหลด (Load ภาระ) งานอื่น
          ภู : อ่อ..อย่างนี้นี่เอง (⁠ノ゚⁠0゚⁠)⁠ノ⁠→
          ชิว : เพราะเมื่อวานภูไม่ได้ทำ วันนี้ภูจึงควรตื่นมาทำกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ให้ทำ..พุทโธวิมุตติสุขร่วมกับพุทโธอริยะสัจ ๔ ทำความรู้หน้าที่ รู้เหตุ รู้ผล เปิดใช้ Skill ประเมินสถานการณ์ ประเมินระยะเวลาที่ใช้ในการทำสิ่งนั้นๆ เพื่อรู้สิ่งที่ภูควรทำ รู้ลำดับ รู้ทางปฏิบัติ
          ภู : โอ้ว..(⁠✧⁠Д⁠✧⁠)⁠→
          ชิว : โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีงานเร่งเยอะๆ, หรือ..จัดการไม่ถูก, หรือ..รู้สึกท้อแท้มองว่างานนี้ยากและเยอะเกินไป ยิ่งควรทำพุทโธวิมุตติร่วมกับพุทโธอริยะสัจ ๔ พิจารณาการกระทำ..เพื่อรู้เหตุ คือ รู้ว่าผลนี้เกิดจากเหตุใด..หรือ รู้ว่าหลักการนี้ๆมีวิธีทำอย่างไร, และ เพื่อรู้ผล คือ รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่นี้มาจากการกระทำนี้ๆ รู้ผลจากการกระทำเป้าหมาย วิธีการนี้ใช้แก้ไขสิ่งใด แล้วประเมินสถานการณ์เทียบระยะเวลาดำเนินการ เพื่อประโยชน์ดังนี้..
          • ประการที่ ๑ เพื่อปรับสภาพจิตใจให้สงบ สบาย ปลอดโปร่ง ก่อนทำกิจการงานใด..เหมือนไปโรงเรียนครูให้เข้าแถวหน้าเสาธงสงบนิ่งสบายๆก่อน 3-5 นาที เพื่อให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่านวุ่นวายควรแก่งานนั่นเอง
          • ประการที่ 2 เพื่อประเมินสิ่งที่ทำ ประเมินเวลา ลำดับความสำคัญ รู้สิ่งที่ควรทำ รู้ทางปฏิบัติเพื่อตอบของโจทย์ปัญหา

        ..การทำพุทโธวิมุตติสุข จุดจะนี้สำคัญมาก..เพราะถ้าเรานึกถึงสุข..แต่ว่าสุขที่ใจเราหมายรู้นั้นผิดต่อหน้าที่การงานในปัจจุบันของตน จะทำให้เมื่อออกจากสมาธิแล้วมาเจอหน้าที่การงานที่ต้องทำ ก็ทำให้เบื่อหน่ายได้ ก่อให้เกิดผลเสียกับใจตนเอง
          • เช่น.. ภูต้องเรียน หรือ ทำการบ้าน แต่ไปกำหนดสุขในวิมุตติสุข ที่เบิกบาน เป็นสุข ไม่มีกิจ ไม่มีสิ่งใดต้องทำอีก พอออกจากสมาธิมาเจอสิ่งที่ต้องทำ ก็จะเกิดเหนื่อยหน่าย เบื่อ จะไม่อยากเรียน ไม่อยากทำการบ้าน ติดอยู่ในสุขสบายนั้น
          • หรือ หากภูคิดถึงสุขจากการหมดชั่วโมงเรียนรายวิชา เลิกเรียน ไม่มีการบ้าน กลับบ้าน ทำให้ปลดเปลื้องไม่มีทุกข์ เพราะเลิกเรียน เลิกงานกลับบ้าน เสร็จสิ้นผ่านพ้นไปวันๆแล้ว..ก็สุขในตอนทำวิมุตติสุขนั้นมันสุขจริง..แต่ความหมายรู้ในสุขนี้ มันกลับจะยิ่งพอกพูนความคิด Toxic ทำให้เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ภูไม่อยากเรียน ภูไม่อยากทำงาน เกียจคร้าน เบื่อหน่าย ต่อต้านได้ อยากเลิกเรียน เลิกงานไวๆด้วยซ้ำ

          ภู : อ่าาาา..งืมๆๆ จริงด้วย..รู้สึกเหมือนตอนที่ภูไปโรงเรียนเลย แหะๆ (⁠^⁠~⁠^⁠;⁠)⁠ゞ
          ชิว : ดังนั้นต้องกำหนดสุขให้ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือ สิ่งที่กำลังทำอยู่ นี้เรียกว่า..รู้ความโสมนัสที่ควรเสพ และ รู้ความโสมนัสที่ไม่ควรเสพ ที่เคยสอนภูไว้เรื่องจิตตสังขารตอนฝึกพุทโธอริยะสัจ ๔ ไง เป็นปัญญาทำให้จิตเราตั้งขึ้น ขจัดความหดหู่ ท้อถอย เหนื่อยถ่าย เกียจคร้าน ง่วงซึม จนถึงขจัด Toxic อันเป็นเหตุให้หดหู่ซึมเศร้าได้เลยนะ ให้ทำความสุข(โสมนัส)ที่ควรเสพดังนี้..

วิธีใช้..พุทโธวิมุติสุข ทำความสุขที่ควรเสพ (โสมนัส)

        1. ถ้าเคร่งเครียด หรือ กดดัน หรือ อึดอัด กระวนกระวาย ร้อนรน หรือ ประหม่า หรือ วิตกกังวล หรือ ฟุ้งซ่าน ไม่สงบ หรือ มีใจอัดอั้นพลุุกพ่านไม่ปกติเย็นใจ หรือ ติดตรึงใคร่เสพสุขจากภายนอก หรือ ถูก Toxic หรือ กลัว หรือ ป่วย หรือ หยุดเรียน หรือ ปิดเทอม หรือ บวช ไม่มีสิ่งใดเป็นภาระ คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..วิมุตติสุข อาการที่แช่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอม เย็นใจ เป็นที่สบายกายใจ ปลอดโปร่ง รื่นรมย์ ปะทุพลั่งพลูความชื่นบาน ซาบซ่าน เป็นสุขจากภายในใจขึ้นมา (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร
          • พุทโธวิมุตติสุขนี้..คือ สุขที่เนื่องด้วยใจ, เป็นทั้งการแผ่เมตตาให้ตนเองไปในตัว คือ ปารถนาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความสุขให้แก่ตนเอง, เป็นทั้งการทำปัสสัทธิความสงบใจไปในตัว, เป็นทั้งการทำสติให้ตั้งมั่นเมื่อเดินลมตามจุดพักลมต่างๆ ทำให้ใจมีกำลังตั้งมั่นหนักแน่นตาม เมื่อใช้คู่กับ พุทโธอริยะสัจ ๔ ก็จะละกิเลสที่เกิดมีขึ้นได้ดี)

        2. ถ้าอยู่ในแวดวงกลุ่ม Toxic ที่โรงเรียน ที่ทำงาน คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..วิมุตติสุข สุขที่เนื่องด้วยใจตน ไม่เอาความสุขสำเร็จไปผูกขึ้นไว้กับผู้อื่น เมื่อหนีสังคม Toxic ไม่พ้น ให้น้อมนึกถึงความสุขที่ตนอยู่กับคนกลุ่มนั้นได้โดยไม่ทุกข์ สุขที่ใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่ม Toxic ได้โดยไม่ทุกข์ร้อนสุมไฟ โกรธ เกลียด ชัง..ใส่ใจตน เราเก่ง เราสุขที่ไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญกับเขาเหล่านั้นเกินความจำเป็น เหมือนเขาเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมในฉากละครทีวีฉากหนึ่งเท่านั้น ไม่คิดสืบต่อ Toxic จากเขา ไม่มีความติดใจข้องแวะอะไรกับเขาเหล่านั้น มันเย็น เบาใจ ปลอดโปร่ง โล่ง สุขสบายใจ (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร คือ  พอใจยินดีใน วิมุตติสุข อันเป็นสุขที่เนื่องด้วยใจ ไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญในเรื่อง Toxic ไม่คิดสืบต่อ Toxic มีความเพียรประครองใจตนไว้อยู่ ละความขุ่นข้องขัดเคืองใจ โกรธ เกลียด ชัง ซึมเศร้า เสียใจ ร่ำไร รำพัน ออกเสียจากใจเราได้ ให้ดำรงอยู่โดยความสุขเบาใจ ไม่ติดใจข้องแวะโลก(กลุ่มสังคม Toxic) )

        3. ถ้าคิดจะทำสิ่งใดตามอารมณ์ รัก ชัง หลง กลัว หรือ คิด พูด ทำ..ในสิ่งที่ไม่ดีตามความรู้สึกนึกคิดที่..โลภ ใคร่ โกรธ เกลียด ชัง พยาบาท ลุ่มหลง คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึง..สุขในการทำสิ่งที่เป็นกุศลดีงาม ปราศจากการทำร้ายเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น มีสติยั้งคิด แยกแยะ คุณ โทษ ถูก ผิด มันสุขกายสบายใจ นอนก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ไม่มีสิ่งที่ทำให้เราต้องหวาดกลัว หวาดระแวง เป็นโทษ ทุกข์ ภัย ต่อตนเองในภายหลัง ไปที่ได้ก็เย็นใจ อยู่ที่ใดก็สบายใจ ชีวิตเป็นสุขพ้นจากทุกข์ภัยแล้ว (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร คือ  พอใจยินดีในการทำสิ่งดีมีกุศล ยินดีในการ หยุด / เลิก ทำสิ่งที่ชั่วตามอารมณ์ความรู้สึกใน..รัก โลภ โกรธ หลง ยินดีในการทำใจสละคืนความคิดนึกกระทำตามใจรัก โลภ โกรธ หลง มีความเพียรประครองใจตนไว้อยู่ดำรงมั่นในการตัดทิ้งความคิด Toxic ใคร่ได้ เกลียด ชัง ซึมเศร้า หลง กลัว ออกจากใจ)

คลิกเพื่อดู..วิธีทำ พุทโธวิมุตติสุข

        4. ถ้าทำงานบ้าน คือ กาลอันควรแก่เวลาให้นึกถึงผลสำเร็จจากงานที่ทำ ให้นึกถึงความสุขสำเร็จ ความสะอาดเรียบร้อย สิ่งดีงามจากการทำงานบ้านนั้น มันสะอาดตา สบายใจ มีระเบียบ ปรอดโปร่ง เป็นสุข เหมือนอยู่ท่ามกลางความสะอาดงดงามฉันนั้น (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร)

        5. ถ้ากำลังเข้าเรียน คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึงผลสำเร็จจากสิ่งที่เราเรียนรู้ ฝึกฝน ปฏิบัติทำ ให้นึกถึงความสุขจากการที่เราได้เรียนรู้ เข้าใจ ทำได้ งานครบ ประสบผลสำเร็จ สอบได้คะแนนดีๆ เก่ง ฉลาด มันสุข มันชื่นบานใจ (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร)

        6. ถ้าทำการบ้าน คือ กาลอันควรแก่เวลานึกถึงผลลัพธ์ และ ผลสำเร็จจากการทำการบ้านนั้น + รู้เหตุ (หลักวิธีการทำของการบ้าน) + รู้ผล (เนื้อหาหลักวิธีการ/เนื้อหาการบ้าน, ความต้องการของงาน) + รู้ตน (ความรู้และทักษะความสามารถที่ตนมี) + Skill ประเมิน (ตนเอง + สิ่งที่ทำ/การบ้าน + สถานการณ์ = ยาก/ง่าย, มาก/น้อย, ช้า/เร็ว) + Skill รู้กาล (ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินงานจนแล้วเสร็จ) ให้นึกถึงการบ้านวิชาต่างๆ  นึกถึงเราทำการบ้านเสร็จสิ้น มีงานส่งครู มันว้าวมาก ไม่ต้องเหนื่อยแก้ส่งการบ้าน แถมได้ฝึกฝนตนเองให้เก่งขึ้น มันสบายกายใจจริงๆ (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร) แล้วเปิดใช้ Skill ประเมิน ลำดับความสำคัญ ดังนี้..
          • นึกว่าการบ้านวิชาใดมีมากน้อยเพียงใด แต่ละวิชาทำสิ่งใดบ้าง แล้วนึกถึงว่า..เราทำสิ่งใดวิชาใดก่อน แล้วมันสบายเสร็จไว ผ่อนคลาย มีเวลาทำอย่างอื่นได้ (พุทโธอริยะสัจ ๔ ว่าด้วย..นิโรธ เปิดใช้งาน Skill ประเมิน, รู้กาล)
          • นึกถึงหลักการ บทเรียน เนื้อหา วิธีทำ แต่ละรายวิชาที่มี (ไม่ใช่นึกถึงความยากลำบากตรากตรำที่ต้องทำ..แต่ให้นึกถึงว่า..วิชานี้ๆมีวิธีทำอย่างไร ใช้ระยะเวลาในการดำเนินงาน..นาน..หรือ..เร็ว)
          • นึกถึงความสำเร็จ คือ การที่เราทำการบ้านเสร็จได้ด้วยดีนั้น มันทำให้เราเก่ง เรามีงานส่งครู ไม่ต้องตามแก้ มันสบาย เป็นสุข (พุทโธอริยะสัจ 4 ว่าด้วย..มรรค รู้เหตุ, รู้ผล, เปิดใช้งาน Skill ประเมิน, รู้กาล) อีกทั้งจะทำให้เรารู้ลำดับความสำคัญได้ว่า เราจะทำการบ้านวิชาใดก่อนจึงจะดีกับเราได้อีกด้วย ทำให้เราทำงานได้ไวสำเร็จโดยเร็ว มีเวลาส่วนตัว ไม่มีเรื่องเร่งรีบให้เคร่งเครียด การบ้านมันแค่นี้เอง
          • เมื่อเวลางมือทำการบ้าน เราก็แค่ทำไปสังเกตุ วิเคราะห์ทำความเข้าใจไป ไม่เข้าใจก็ให้ถาม หรือ ตั้งสมมติฐานเพื่อทดสอบ แล้วทดลองฝึกฝนทำ หรือ จดไว้ว่ามีสิ่งใดต้องทบทวนใหม่อีกครั้ง เมื่อมีเวลาก็กลับไปทบทวนใหม่ เมื่อเข้าใจแล้วก็จดบันทึกไว้กันลืมในแบบที่เราเข้าใจง่าย กลับมาทบทวนได้ มันแค่นี้เอง สบายมาก เมื่อการบ้านเสร็จครบหมด เราก็มีเวลาทำอะไรอีกเยอะแยะ (อาศัย..ฉันทะ + วิริยะ + จิตตะ + วิมังสา ในอิทธิบาท ๔ พอใจยินดีเต็มใจทำ + มุ่งมั่นตั้งใจทำเพือความสำเร็จ + ความเอาใจใส่ในงาน + สอดส่องดูแล..โดยใช้ทักษะความสามารถที่ตนมี ในการทำการบ้านให้ได้ผลสำเร็จออกมาดีงาม เรียบร้อยไปได้ด้วยดี)

        7. ถ้าทำงานปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบตน ทำกิจการงานตามหน้าที่ปฏิบัติที่ต้องทำของตน คือ กาลอันควรแก่เวลาให้เรานึกถึงผลลัพธ์ และ ผลสำเร็จจากการทำงานนั้น + หลักวิธีการทำ + เนื้อหา/ความต้องดารของงาน + ตน(ความรู้และทักษะความสามารถที่ตนมี) + Skill ประเมิน + กาล(ระยะเวลาแล้วเร็จ) ให้หมายรู้สุขจากการทำการที่สำเร็จครบพร้อมดีงาม มีผลสำเร็จของงานออกมาเป็นที่พึงพอใจ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของใจทีมงาน หัวหน้างาน ลูกค้าได้ดี ทำงานได้สำเร็จ คล่องแคล่วว่องไว ถามได้ ตอบได้ชัดเจน (เป็นการสร้าง..ฉันทะอิทธิบาท ๔ ให้เกิดประกอบขึ้นด้วย วิริยะอิทธิบาท ๔ ความเพียร) (พุทโธอริยะสัจ ๔ ว่าด้วย..นิโรธ)
          • การทำงานของเรา จะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของใจได้บ้างหนอ ไม่มากก็น้อย ดีกว่าไม่ได้เลย เช่น เพื่อนร่วมงานในทีม หัวหน้างาน ลูกค้า มักจะสอบถามความคืบหน้าของงาน ใช้อะไรดำเนินการ ตอนนี้ดำเนินการถึงไหนแล้ว สถานะดำเนินการเป็นอย่างไร ติดปัญหาสิ่งใด มีแผนการรองรับหรือมีแนวทางแก้ไขอย่างไร เวลาไหนจึงจะสำเร็จ สิ่งเหล่านี้คือ คำถามซ้ำๆของทุกๆงาน (หากเป็น Creative ก็จะมีเรื่องมุมมอง แนวคิด จินตนาการ เข้ามา ซึ่งจะจัดอยู่ในแผนงาน แผนผังมุมมองแนวคิด)
          • สรุปโดยรวมก็คือ เราต้องรู้หลักการทำงาน เข้าใจเนื้อหาของงาน รู้การดำเนินงาน รู้วิธีทำ และ การแก้ไขสถานการณ์ (พุทโธอริยะสัจ ๔ ว่าด้วย..มรรค รู้เหตุ, รู้ผล, รู้ตน, เปิดใช้งาน Skill ประเมิน และ รู้กาล)

         • ดังนั้นแนวทางแก้ไขตอบโจทย์ปัญหาของเรานี้ ที่ต้องทำก็มีดังนี้..
          7.1) รู้เหตุ(รู้หลักการแนวทางปฏิบัติ) เราก็ต้องมีความรู้ในงานของเรา คือ รู้และมีแผนการทำงานในสิ่งที่ทำ 
          7.2) ทำเหตุ การลงมือปฏิบัติงาน การดำเนินงานตาม PLAN ที่วางไว้ (อาศัย..ฉันทะ + วิริยะ + จิตตะ + วิมังสา ในอิทธิบาท ๔ พอใจยินดีเต็มใจทำ + ความมุ่งมั่นตั้งใจทำให้สำเร็จ + ความเอาใจใส่ในงาน + สอดส่องดูแล..โดยใช้ทักษะความสามารถที่ตนมี ในการทำงานให้ได้ผลสำเร็จออกมาดีงาม เรียบร้อยไปได้ด้วยดี)
          7.3) รุู้เหตุ(รู้กิจ และ รู้วิธีการ) + รู้ผล อาศัย..จิตตะ + วิมังสา ในอิทธิบาท ๔ เอาใจใส่ในงาน + สอดส่องดูแล..โดยใช้ทักษะความสามารถที่ตนมี ในการทำงานให้ได้ผลสำเร็จออกมาดีงาม เรียบร้อยไปได้ด้วยดี มีการตรวจสอบความคืบหน้าของงานที่กำลังอยู่เป็นระยะๆ เมื่อการดำเนินงานมาถึงจุดนี้แล้วจะสืบต่อผลอย่างไร จะต้องปฏิบัติตามแนวทางใดสืบต่อไปอีก คุณภาพของงาน
          7.4) รู้ผล + รู้ประมาณ(Skill ประเมิน) + รู้กาล เป็นการประเมินผลสำเร็จ หรือ ประเมินระยะเวลาแล้วเสร็จ(EET) เป็นการประเมินผลคร่าวๆ ถึงกำหนดการณ์ระยะเวลาที่ใช้ดำเนิงานที่คาดว่าจะแล้วเสร็จ จากการปฏิบัติงานที่ทำอยู่ จะใช้เวลาโดยประมาณ..กี่นาที..กี่ชั่วโมง..กี่วัน..กี่เดือน ที่มีความเป็นไปได้ว่าตะแล้วเสร็จที่แน่นอน หรือ ใกล้เคียงที่สุด
          7.5) กำหนด..รู้ผล หากมีข้อผิดพลาด หรือ ล่าช้า เราจะทำสิ่งใดต่อ มีแผนงานไว้รองรับอย่างไร ใช้หลักการข้อใดในการแก้ไขให้ตรงจุด (กลับไปใช้หลักการตามข้อที่ 7.1 - 7.4 อีกครั้ง)

          ภู : โอเคเลย..(⁠☆⁠▽⁠☆⁠)
          ชิว : งั้นภูรีบทำ พุทโธวิมุตติสุข + รู้เหตุ + รู้ผล + รู้ตน + รู้ประมาณ + รู้กาล ได้เลย

..จากนั้นภูจึงทำตามชิวบอก กำหนดเข้าวิมุตติสุขในการทำการบ้าน นึกถึงความสำเร็จ ดีงามหากทำการบ้านเสร็จ ก็เกิดความยินดีทำ มีใจอยากทำให้เสร็จ แล้วภูก็พิจารณา เหตุ ผล หลักการวิธีทำการบ้านแต่ละวิชา ประเมินความมากน้อย ยากง่าย แล้วพิจารณาเวลาในการทำการบ้านของแต่ละวิชาเทียบกับความสามารถตน ก็ได้ข้อสรุปลำดับวิชา วิชาที่จดบันทึกลอกจากหนังสือไม่มาก ภูก็ทำก่อน วิชาที่มีจดจากหนังสือและคำนวณไม่มากก็ทำรองลงมา วิชาที่เน้นการคำนวณเยอะทำยาก ก็เอาไว้มีหลังจะได้ไม่กินเวลาทำวิชาอื่น แล้วก็ลงมือทำ

..เมื่อพอถึงเวลา 8:20 น. ชิวจึงเตือนภูว่า
          ชิว : ภูไม่รู้เวลาอีกแล้วนะ
          ภู : ห๊ะ.. (⁠ノ゚⁠0゚⁠)⁠ノ⁠→ โอ้ว ได้เวลาไปซื้อข้าวแล้วนี่นา
          ชิว : เวลาทำงานอย่างนี้ภูก็ควรจะตั้งเวลาเตือนความจำไว้นะ ใช้มือถือตั้งนาฬิกาปลุกไว้สิ ทำตารางเวลาตัวเองไว้ว่าเวลานี้ต้องทำสิ่งใด ใช้ทุกอย่างให้เป็นประโยชน์
          ภู : โอ้ว..(⁠✧⁠Д⁠✧⁠)⁠→ เข้าใจแล้ว..

        ..หลังภูออกไปกินข้าวเสร็จกลับมา 09:30 น. ก็เริ่มปั่นการบ้านต่อ โดยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 12:20 น. เพื่อพักทานข้าวเที่ยง

        ..เมื่อนาฬิกาปลุกดัง ภูทำงานเสร็จไป 3 วิชา ออกไปซื้อข้าวด้วยความรู้สึกดีว่า ตนเองทำอะไรก็คล่องขึ้นง่ายขึ้น ไม่หลงลืม การจัดตารางเวลามันดีอย่างนี้นี่เอง การรู้ว่าสิ่งไหนควรทำเวลาใด ลำดับตามความสำคัญ นี่สินะการรู้กาล ภูนึก..ว้าวว..ในใจ

        ..ภูกลับถึงบ้าน 13:10 น. แล้วเริ่มทำการบ้านต่อ ประมาณเวลา 15:00 น. ภูทำการบ้านอีก 2 วิชา เสร็จ แล้วก็ยืนขึ้นบิดขี้เกียจยืดเส้นสาย แล้วเก็บของเข้าที่

          ภู : โอ้ว.. (⁠ノ⁠◕⁠ヮ⁠◕⁠)⁠ノ⁠*⁠.⁠✧ ทำเสร็จแล้ว..
          ชิว : ภูเก่งมากๆเลย ชิวววว Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ ทีนี้รู้หรือยังว่า การลำดับความสำคัญแล้วจัดสรรเวลาทำงานให้ลงตัวมันดีแค่ไหน
          ภู : โอ้ว ดีมากๆเลยชิว (⁠≧⁠▽⁠≦⁠) ภูชอบ มันไม่ยากเลยเนอะ แค่ทำสิ่งไหนได้ก่อนให้ทำก่อน อันไหนง่ายทำก่อน อันไหนทำเสร็จได้เลยใก้ทำก่อน แล้วค่อยเรียงตามระยะเวลาที่ต้องใช้ในการทำงาน ว้าวววววว (⁠☆⁠▽⁠☆⁠) นึกว่าวันนี้จะไม่เสร็จซะละ 5555
          ชิว : การรู้กาล หรือ SKILL รู้กาล เป็น Skill ที่รู้ความเหมาะสม รู้กาละเทศะ ว่าเวลานี้ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร และ ยังเป็น Skill ควบคุมเวลาในชีวิตประจำวันของเราด้วยนั่นเอง
          ภู : ว้าววว เท่เลย SKILL ควบคุมเวลา (⁠☆⁠▽⁠☆⁠)
          ชิว : เช่น ถ้าภูเข้าเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ ภูควรจะตั้งใจเรียนคณิต หรือนั่งเล่นเกม หรือ คิดวิชาอังกฤษหรือไม่ เพราะอะไร
          ภู : ไม่ เพราะจะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ไม่รู้เรื่อง
          ชิว : ถูกต้อง..แล้วถ้าเราเรียนไม่เข้าใจ ควรถามทันทีตอนนั้น หรือ ต้องรอให้ครูสอนเสร็จก่อน
          ภู : ถามเลยทันที เอ๊ะ หรือจะถามตอนสอนเสร็จ
          ชิว : ถ้าครูกำลังสอนในเรื่องนั้นอยู่ ก็ให้ฟังครูสอนในเรื่องนั้นให้จบก่อน แล้วค่อยถามก่อนครูจะเปลี่ยนไปสอนในเรื่องอื่น บอกว่าครูครับภูไม่เข้าใจตรงนี้พอจะอธิบายเพิ่มได้ไหมครับ มีวิธีจับจุดประเด็นหลักยังไงครับ ถ้าครูถามว่ามีใครไม่เข้าใจไหม ก็ให้ยกมือขึ้นขอถามทันที แต่หากไม่มีโอกาสถามในชั่วโมงเรียน ก็รอดูตอนชั่วโมงว่างของครูแล้วค่อยไปสอบถามเพิ่มเติม ถ้ายังไม่เข้าใจอีก..เราก็ลองหาความรู้เพิ่มเติมจากหลายๆช่องทาง เช่น ถามเพื่อน หรือ ใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์เสาะหาตามกูเกิล หรือ ยูทูป เพราะคนเรามีวิธีเข้าถึงที่ต่างกัน บางครั้งเราอาจจะเข้าใจในหลักวิธีทำและการจดจำอีกแนวทาง นี่ก็เป็นการรู้กาละเทศะ รู้กาล
          ภู : โอเชเยย (⁠ノ⁠◕⁠ヮ⁠◕⁠)⁠ノ⁠*⁠.⁠✧
          ชิว : อีกอย่าง ภูต้องรู้ว่าเวลาไหนควรเล่น เวลาไหนควรทำสิ่งใด เช่น ถ้าเสร็จกิจหน้าที่การงานที่ต้องทำหมดแล้ว ก็แบ่งเวลาเล่นได้ 
          ภู : เย้ๆๆๆ (⁠≧⁠▽⁠≦⁠)
          ชิว : อย่าเพิ่งดีใจ ภูต้องกำหนดรู้ทบทวนตนก่อน ว่ายังมีสิ่งใดต้องทำอีกไหม ภูต้องเปิดใช้ Skill ประเมินตนเอง + Skill รู้กาล ก่อนเลย
          ภู : ได้เลย (⁠ノ⁠◕⁠ヮ⁠◕⁠)⁠ノ⁠*⁠.⁠✧

        ..แล้วภูก็นั่งกำหนดรู้กิจของตน ก็รู้ว่าตนยังเหลือขอการบ้านในวันนี้ ล้างจาน กวาดบ้าน ที่ควรละคือเล่นเกม ที่ควรรักษาคือวินัย เมื่อพิจารณาเรื่องขอการบ้าน รู้สถานการณ์เทียบกับเวลาตอนนี้ อีก 30 นาที เพื่อนๆถึงจะเลิกเรียนกัน ตอนนี้ภูมีไลน์กลุ่มเพื่อน เบอร์โทรเพื่อน กลุ่มไลน์ห้อง กลุ่มไลน์ตามรายวิชาแล้ว เนื่องจากได้ให้เพื่อนดึงเข้ากลุ่มให้ จึงเป็นเรื่องง่ายในการขอการบ้านเพื่อน โดยสามารถพิมพ์ของในไลน์กลุ่มรายวิชา ตามตารางเรียนของวันนี้ได้เลย

        ..เมื่อภูนั่งพิจารณา ลำดับความสำคัญร่วมกับระยะเวลาที่ใช้ทำแล้ว ก็เห็นว่า การบ้านก็เพียงแค่ไลน์แจ้งขอการบ้านจากครู ข้อนี้สำคัญ อีกทั้งทำได้ง่ายและเสร็จไว แต่ต้องรอช่วงเวลา 15:40 น. เพราะตอนเลิกเรียนเพื่อนหรือครูจะไม่ติดเรียนกรือติดสอนอยู่ / ล้างจาน ทำได้ทันที มีจานชามเพียง 4 ใบ ใช้เวลาไม่นาน ทำเสร็จก็ได้เวลาของานครูพอดี / กวาดบ้าน ใช้เวลานาน

        ..ภูก็จึงสรุปว่า..ล้างจาน → ขอการบ้านครูในกลุ่มไลน์ของรายวิชา → กวาดบ้าน แล้วลงมือทำทันที

        ..ล้างจานเสร็จ ก็ขอการบ้านครูในไลน์โดยแท็คครูทิ้งไว้ทุกวิชา รอครูตอบกลับประมาณ 5 นาที เมื่อยังไม่มีก็กวาดบ้านในทันที ใช้เวลา 30 นาที กวาดบ้านเก็บของ 16:25 น. ภูมาเปิดดูไลน์อีกครั้ง พบมีครูตอบกลับมา 4 วิชา ภูส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณครูตอบกลับ
          ชิว : การบ้านมีกี่วิชา ต้องส่งวันไหนหรอภู
          ภู : มี 4 วิชา ส่งวัน อังคารกับวันศุกร์หน้า
          ชิว : แล้วการบ้านที่ครูสั่งเป็นของวันนี้ ปัจจุบันนี้ หรือวันไหน
          ภู : อ่า..ครูสั่งมาวันนี้ แต่ส่งในอีก 4 วัน
          ชิว : ถ้าสั่งวันนี้ก็คืองานของวันนี้ แต่มีระยะเวลาในการทำอีก 3 วัน คือ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ แต่ควรทำให้เสร็จภายในวันอาทิตย์นี้ เพื่อไปไปโหลดภาระการบ้านวิชาอื่นในวันจันทร์ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำวันนี้ตอนนี้คืออะไร
          ภู : งืมๆๆๆ (ภูนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า) ทำพุทโธวิมุตติสุขในการบ้าน + Skill ประเมินการบ้าน + Skill รู้กาล ประเมินระยะเวลาที่ใช้ในการทำ + การจัดลำดับความสำคัญ แล้วนำมาเทียบกับเวลาในปัจจุบัน
          ชิว : ถูกต้อง ภูเก่งมากๆ ตอนนี้รู้หลักการแล้ว งั้นลงมือทำเลย

        ..แล้วภูก็ทำ พุทโธวิมุตติสุขในการบ้าน + Skill ประเมินการบ้าน + Skill รู้กาล ประเมินระยะเวลาที่ใช้ในการทำ + การจัดลำดับความสำคัญ แล้วเทียบกับเวลาในปัจจุบัน..ก็สรุปผลออกมาว่า วันนี้จะทำ 2 วิชา เพราะมีน้อยทำได้ไว ถ้ามีเวลาเหลือ ค่อยทำต่อ แต่จะทำหลังทานข้าวเย็นเสร็จ เพราะตอนนี้ขอผ่อนคลายเล่นเกมก่อนที่ปะป๊าจะมาในอีก 1:30 ชั่วโมง (⁠≧⁠▽⁠≦⁠) เพราะทำการบ้านมาทั้งวันแล้ว..

          ชิว : จัดสรรเวลาให้ดีๆนะภู จะได้ไม่ยุ่งยากภายหลัง.. SKILL รู้กาล คือ การเปิดใช้ Skill ประเมิน (ประเมินตนเอง + ประเมินสิ่งที่ทำ ประเมินสถานการณ์ + ประเมินความต้องการที่จำเป็นต้องใช้ + ประเมินระยะเวลาที่ทำ) + การลำดับความสำคัญจัดสรรตามเวลาที่เหมาะสมกับปัจจุบัน คือ รู้ว่าเวลานี้ควรแก่กิจหน้าที่การงานใด-ไม่ควรแก่การทำสิ่งใด เวลาไหนควรแก่กิจหน้าที่การงานใด-ไม่ควรแก่การทำสิ่งใด..นั่นเอง เรื่องของเวลาจะข้องเกี่ยวกับทุกสิ่งที่ทำจึงต้องให้ความสำคัญให้ดี ทุกๆคนมีเวลาเท่ากัน คือ 1 วัน มี 24 ชั่วโมง 1 ชั่วโมง มี 60 นาที 1 นาที มี 60 วินาที เหมือนกันทุกคนบนโลก ถ้าจัดสรรเวลาที่ควรทำ และ ไม่ควรทำได้ลงตัว ก็จะสามารถใช้เวลาใน 1 วันนี้นเกิดประสิทธิภาพได้มากมาย
          ภู : โอ้ว เยสเซอร์ รับทราบแล้วครับ (⁠ノ゚⁠0゚⁠)⁠ノ⁠→







คุยกันท้ายตอน

กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาลคือ รู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการประกอบกิจ กระทำหน้าที่การงาน เช่น ให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอเวลา ให้เหมาะเวลา เป็นต้น

ก็ภิกษุเป็นกาลัญญูอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักกาลว่า นี้เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม นี้เป็นกาลประกอบความเพียร นี้เป็นกาลหลีกออกเร้น...

ธัมมัญญูสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 23

ธัมมัญญูสูตร

[๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ เป็นผู้ ควรของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ธรรม ๗ ประ การเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นธัมมัญญู รู้จักธรรม ๑ อัตถัญญู รู้จักอรรถ ๑ อัตตัญญู รู้จักตน ๑ มัตตัญญู รู้จักประมาณ ๑ กาลัญญู รู้จักกาล ๑ ปริสัญญู รู้จักบริษัท ๑  ปุคคลปโรปรัญญู รู้จักเลือก คบคน ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นธัมมัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรม เวทัลละ หากภิกษุไม่พึงรู้จักธรรม คือ สุตตะ ... เวทัลละ เราก็ ไม่พึงเรียกว่าเป็นธัมมัญญู แต่เพราะภิกษุรู้ธรรม คือ สุตตะ ... เวทัลละ ฉะนั้นเราจึงเรียกว่าเป็นธัมมัญญู ด้วยประการฉะนี้ ฯ

ก็ภิกษุเป็นอัตถัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักเนื้อความ แห่งภาษิตนั้นๆ ว่า นี้เป็นเนื้อความแห่งภาษิตนี้ๆ หากภิกษุไม่พึงรู้เนื้อความ แห่งภาษิตนั้นๆ ว่า นี้เป็นเนื้อความแห่งภาษิตนี้ๆ เราก็ไม่พึงเรียกว่าเป็น อัตถัญญู แต่เพราะภิกษุรู้เนื้อความแห่งภาษิตนั้นๆ ว่า นี้เป็นเนื้อความแห่ง ภาษิตนี้ๆ ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็นอัตถัญญู ภิกษุเป็นธัมมัญญู อัตถัญญู ด้วยประการฉะนี้ ฯ 

ก็ภิกษุเป็นอัตตัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักตนว่า เรา เป็นผู้มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณ เพียงเท่านี้ ถ้าภิกษุไม่ พึงรู้จักตนว่า เราเป็นผู้มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณ เพียงเท่านี้ เราก็ไม่พึงเรียกว่าเป็นอัตตัญญู แต่เพราะภิกษุรู้จักตนว่า เราเป็นผู้มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณ เพียงเท่านี้ ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็นอัตตัญญู ภิกษุเป็นธัมมัญญู อัตถัญญู อัตตัญญู ด้วยประการฉะนี้ ฯ

ก็ภิกษุเป็นมัตตัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้จักประมาณในการรับ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร หากภิกษุไม่พึงรู้จัก ประมาณในการรับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เราก็ ไม่พึงเรียกว่าเป็นมัตตัญญู แต่เพราะภิกษุรู้จักประมาณในการรับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็นมัตตัญญู ภิกษุเป็นธัมมัญญู อัตถัญญู อัตตัญญู มัตตัญญู ด้วยประการฉะนี้ ฯ

ก็ภิกษุเป็นกาลัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักกาลว่า นี้ เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม นี้เป็นกาลประกอบความเพียร นี้เป็นกาล หลีกออกเร้น หากภิกษุไม่พึงรู้จักกาลว่า นี้เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม นี้เป็นกาลประกอบความเพียร นี้เป็นกาลหลีกออกเร้น เราไม่พึงเรียกว่าเป็น กาลัญญู แต่เพราะภิก
4  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน บทส่งท้าย Skill ประเมิณ เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:25:33 pm
บทขยาย การใช้ SKILL ประเมิน

เป็นส่วนขยายของวิธีการฝึกทักษะความสามารถในการประเมิน

❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️
           หลักแห่งความสำเร็จทั้งเรียนและงาน
♻️  ตั้งใจ  ➡️   ขยัน  ➡️ ทบทวนตรวจสอบ ↩️

        ↕️           ↕️               ↕️

↪️  เข้าใจ  ➡️  ทำได้  ➡️     งานครบ    ♻️
❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️

                       อย่ายอมแพ้

โดยหลักการที่สืบต่อกันตามลำดับ คือ

ตั้งใจ ➡️ ขยันเรียนรู้ฝึกฝน ➡️ หมั่นทบทวนบทเรียน ➡️ ตรวจสอบงานที่ทำส่งครู ➡️ ก็จะทำให้เข้าใจบทเรียน ➡️ ทำได้ ➡️ ส่งงานครูครบ

โดยหลักการที่เป็นเหตุและผลกัน คือ

ตั้งใจ «↔️» ก็เข้าใจ

ขยัน «↔️» ก็ทำได้

ทบทวน/ตรวจสอบ «↔️» ก็งานครบ

****************

สัปปริสธรรม 7

รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้สังคม รู้บุคคล

1. รู้เหตุ คือ รู้ว่าผลนี้มีอะไรเป็นเหตุ (หลักพิจารณา)
       1.1 รู้กิจของตน มีระเบียบวินัยในตน รู้กิจในหน้าที่การงานของตน ที่ตนทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอยู่
           1.1.1) รู้หน้าที่ รู้ว่ากิจการงานหน้าที่ความรับผิดชอบของตนมีอะไรบ้าง
           1.1.2) รู้งาน มีความรู้และความเข้าใจชัดเจนในสิ่งที่ทำ
           1.1.3) รู้วิธี รู้ว่างานที่ทำมีหลักวิธีในการปฏิบัติหน้าที่การงานนั้นๆอย่างไร
       1.2. รู้เหตุหรือหลักการ ผลนี้เกิดแต่เหตุใด รู้ว่าผลทุกอย่างล้วนมีเหตุให้เกิดขึ้น ผลทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ เป็นการวินิจฉัยไตร่ตรองสืบค้นหาเหตุของสิ่งที่แสดงผลปรากฏขึ้นมาอยู่นั้น รู้เหตุเกิด หรือ เหตุกระทำของสิ่งนั้น และ เฟ้นหาแนวทางการจัดการในสิ่งนั้น คือ รู้ในสิ่งที่ทำว่า
           1.2.1) รู้เหตุเกิด ผลที่ปรากฏอยู่นั้น มีเหตุและปัจจัยองค์ประกอบอย่างไร มีเหตุการกระทำเช่นใดจึงเกิดสิ่งนั้นขึ้นมาได้ (ใช้วิเคราะห์สืบค้นหาเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดมีขึ้น หรือ แสดงผลอย่างนั้นออกมา)
           1.2.2) รู้เหตุทำ ส่งที่ทำอยู่นั้น เราต้องใช้ความรู้ในหลักใด มีวิธีการเช่นไร ต้องทำแบบไหน ต้องใช้สิ่งใดเป็นส่วนประกอบเหตุทำให้เกิดผลลัพธ์ในสิ่งนั้นขึ้นมาได้ (ใช้วิเคราะห์ค้นคว้าหาความรู้ เพื่อเฟ้นหาหลักการแนวทางที่ตนจะนำมาใช้ทำสิ่งนั้น เพื่อให้สำเร็จผลได้ประโยชน์สุขที่ต้องการ)
           เช่น.. หลงป่าต้องทำอย่างไร มีวิธีเอาตัวรอดเช่นไร หรือ..หากเกิดไฟไหม้ต้องทำเช่นใด มีวิธีปฏิบัติแบบไหน หรือ..น้ำท่วมต้องทำแบบไหน หรือ..เป็นไข้ต้องรักษายังไง
           หรือ..เราได้ศึกษาเรียนรู้ในพระสูตรต่างๆ เพื่อรู้ว่า ณ สถานที่นี้ๆ เวลานี้ๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ใคร ทรงพบเจอบุคคลฐานะอย่างนี้ มีอัตภาพชีวิตความเป็นอยู่อย่างนี้ มีอุปนิสัยแบบนี้ คือ พระราชา ขุนนาง พ่อค้า ชาวบ้าน ผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ ผู้มีทิฏฐิอย่างนั้น ผู้มักโลภ ตระหนี่ บ้าอำนาจ ผู้มักโกรธ ริษยา พยาบาท ผู้มักหลงเชื่อง่าย ลุ่มหลงง่าย หัวช้า ฉลาด พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมต่อคนที่มีความแตกต่างกันนั้นอย่างไร ใช้หลักการใด ใช้วิธีการใด ในการสั่งสอนให้บุคคลเหล่านั้น ชุมชนนั้นๆ ได้รู้และเห็นชอบตามได้ ทรงแก้ไขทิฏฐิอุปนิสัยนั้นยังไง ทรงแก้ไขปัญหานั้นด้วยวิธีใด ทรงแสดงธรรมแนะนำสั่งสอนแบบใด เพื่อว่าเมื่อเราได้เจอคนประเภทนั้นๆ หรือ ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ก็จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ เพราะรู้ธรรมวิธีแก้ปัญหาสถานการณ์นั้นๆจากพระสูตรแล้ว และ รู้ว่าพระธรรมนั้นๆมีความหมายอย่างไรจากการศึกษาปฏิบัติจนเข้าใจแจ้งชัด

        • [ผลนี้มีอะไรเป็นเหตุ, พุทโธอริยะสัจ ๔ พิจารณาการกระทำ เข้าถึง “สัมมาทิฏิฐิ” ความเห็นชอบ รู้ว่าผลนี้เกิดแต่เหตุ ผลมีเพราะเหตุมี ผลทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ กำหนดรู้ปัญหาแล้วพิจารณาหาเหตุ หรือ วิเคราะห์หลักการที่นำมาใช้ รู้เหตุกระทำ รู้เหตุเกิด รู้เหตุดับเหตุ]

• (อุปมาเหมือนรู้ตัวทุกขฺ์จึงรู้สมุทัย แจ้งนิโรธจึงเห็นมรรค อุปมาเหมือนรู้ว่า..น้ำปลา ทำมาจากอะไร มีวิธีทำอย่างไร อาศัยรู้ด้วยอริยะสัจ ๔ และ แจ้งชัดอิทัปปัจยตา รู้เหตุให้เกิดทุกข์ สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งนิโรธ สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ เห็นในอริยะสัจ ๔ รู้การกระทำ รู้เหตุกระทำ รู้เหตุเกิด รู้เหตุละ)

2. รู้ผล คือ รู้ว่าเหตุนี้มีอะไรเป็นผล (หลักพิจารณา)
          รู้ผล คือ เหตุนี้มีอะไรเป็นผล รู้ว่าการกระทำทุกอย่างมีผลสืบต่อทั้งหมด การกระทุกอย่างให้ผลเสมอ เป็นการวินิจฉัยไตร่ตรองรู้แจ้งชัดผลสืบต่อจากการกระทำ ตั้งความมุ่งหมาย หรือ รู้ผลสืบต่อในสิ่งที่ทำ และ รู้ความมุ่งหมายที่ต้องการจากสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ในสิ่งที่ทำว่า
           3.1) รู้ผลลัพธ์ สิ่งที่ทำอยู่นี้จะให้ผลอย่างไร มีผลสืบต่อเช่นใด มีอะไรเป็นผล (ใช้วิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นสืบต่อจากปัจจุบัน, ผลสืบต่อจากการกระทำของตน)
           3.2) รู้ความต้องการ สิ่งที่ทำอยู่นี้มีจุดประสงค์ที่มุ่งหมายอะไร ต้องการได้รับผลตอบสนองกลับอย่างไร หรือ ผลที่ปรากฏอยู่นี้หมายความว่าอย่างไร สื่อความหมายว่าอย่างไร, มีจุดประสงค์อะไร, บ่งบอกถึงความมุ่งหมายต้องการในสิ่งใด (ใช้วิเคราะห์เพื่อรู้ความต้องการของใจตนเอง และ การสื่อสารเพื่อรู้ความต้องการของผู้อื่น หรือ สิ่งอื่น)
           3.3) รู้สรุปแนวทาง ผลลัพธ์ที่ต้องการจากสิ่งที่ทำนี้ ต้องใช้หลักวิธีการปฏิบัติข้อใด (ใช้วิเคราะห์เพื่อรู้สิ่งที่ตนต้องทำในขณะนั้นๆ)

        • [รู้ว่าเหตุนี้มีอะไรเป็นผล, รู้ผลของกรรม(การกระทำ) ..เป็นผลสืบต่อจากการ “รู้เหตุปัจจัย” ด้วยพุทโธอริยะสัจ ๔ ถึงสัมมาทิฏฐิ จึงเกิดผลสืบต่อคือ “ศรัทธา” ความเชื่อด้วยปัญญาเห็นจริง ว่าทุกๆการกระทำมีผลสืบต่อ การกระทำทุกอย่างให้ผลเสมอ(กัมมสัทธา, วิปากสัทธา, กัมมัสสกตาสัทธา, ตถาคตโพธิสัทธา), ศรัทธาพละ, สัทธินทรีย์, เพราะรู้ว่ากรรมมีผลสืบต่อ รู้ว่ากรรมให้ผล จึงทำเหตุดับเหตุด้วยการสำรวมระวังการกระทำที่ให้ทุกข์ โทษ ภัยเป็นผล นั่นคือ เจริญศีล เพื่อมุ่งหมายให้ได้ผลลัพธ์จากการกระทำที่ดีงามเย็นใจ ไม่เร่าร้อนภายหลังจากการกระทำของตน ถึงความบริสุทธิ์กายใจไร้มลทิน เป็นต้น]

 • (อุปมาเหมือนรู้ว่าการเจริญมรรคให้มากก็เพื่อละสมุทัย ผล คือ เข้าถึงถึงนิโรธ หรือ การเจริญโพชฌงค์ตามกาลเพื่อละสังโยชน์ รู้ความมุ่งหมายที่ทำในสิ่งนั้น ว่าทำสิ่งนี้แล้วจะได้ผลเช่นนี้ อาศัยรู้ด้วยอริยะสัจ ๔ และ แจ้งชัดอิทัปปัจยตา เกิดสัมมาทิฏฐิ ส่งผลให้เกิด ศรัทธา เชื่อในกรรมด้วยปัญญา ศรัทธาพละ สัทธินทรีย์ ทำให้รู้ว่า ทุกๆการกระทำให้ผลเสมอ รู้ผลของกรรม รู้ทุกข์เป็นผลมาจากสมุทัย, นิโรธเป็นผลมาจากดับสมุทัย ดับสมุทัยด้วยการใช้มรรคละสมุทัย, การใช้โพชฌงค์ ๑๔ ละ สังโยชน์ ๑๐ มี วิชชาและวิมุตติเป็นผล)

• เมื่อรู้ทั้งเหตุและผล ก็เป็นการปฏิบัติให้เข้าถึง พุทโธอริยะสัจ ๔

3. รู้ตน คือ ใช้ความรู้เหตุ รู้ผล รู้พุทโธอริยะสัจ ๔ มาพิจารณาเพื่อรู้สิ่งที่ตนมีตนเป็นอยู่ ทั้งร่างกาย, จิตใจ, ทรัพย์สิน สิ่งของ, อุปนิสัย, วินัย, ความรู้, ความเข้าใจ, ทักษะความสามารถตน ลงธรรม ๖ คือ ลง สัทธา, ศีล, สุตะ, จาคะ, ปัญญา, ปฏิภาณ ตลอดจนรู้ความต้องการของใจตน รู้จักตอบโจทย์แก้ไขปัญหาของตน รู้ว่าสิ่งใดขาด-ควรเพิ่ม, รู้ว่าสิ่งใดเกิน-ควรลดละ, รู้ว่าสิ่งใดพอดี-ควรคงไว้ เพื่อความเหมาะสมดีงาม และ รู้มหาสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ รู้กาย, รู้เวทนา, รู้จิต, รู้ธรรม แล้วเจริญโพชฌงค์ตามกาล ๑๔ ให้มากเพื่อลด ละ ขจัด ในสิ่งที่ควรละหรือสิ่งที่ให้โทษแก่ตน

4. รู้ประมาณ คือ รู้ประเมิณความเหมาะสมตามกาล (Skill ประเมิน) ใช้ความรู้เหตุ รู้ผล รู้พุทโธอริยะสัจ ๔ มาพิจารณารู้โจทย์ความต้องการของสิ่งที่เราประเมิน เพื่อรู้ว่าสิ่งใดที่ควรทำ-สิ่งใดที้ไม่ควรทำ..ตอบโจทย์ความต้องการนั้นๆ ให้เหมาะสมดำเนินไปได้ด้วยดี รู้ว่าสิ่งใดขาด-ควรเพิ่ม, รู้ว่าสิ่งใดเกิน-ควรลดละ, รู้ว่าสิ่งใดพอดี-ควรคงไว้ ทั้งต่อตนเอง, ต่อช่วงระยะเวลา, ต่อสถานการณ์, ต่อสถานที่, ต่อสังคม, ต่อบุคคล

5. รู้กาล คือ รู้ว่าเวลาใดเราควรทำสิ่งใดจึงจะประกอบด้วยประโยชน์ ไม่มีโทษ อาศัยการรู้มารยาทความเหมาะสม รู้ทำเนียมปฏิบัติ รู้สิ่งที่ควรทำในปัจจุบัน รู้สิ่งที่ควรทำทีหลัง รู้สิ่งที่ควรละ รู้สิ่งที่ควรรอ ในสถานการณ์นั้นๆ ต่อตนเอง, ต่อสถานที่, ต่อสังคม, ต่อกลุ่มคน, ต่อบุคคล อาศัยใช้ร่วมกันกับการประเมิณสถานการณ์ ท่าที การแสดงออก, ผลกระทบ, รู้ความต้องการของสถานการณ์, คุณประโยชน์สุข และ ทุกข์ โทษ ภัย

6. รู้ชุมชน คือ รู้สังคม รู้วิถีชีวิตการประพฤติปฏิบัติของสังคมชุมชนนั้นๆ, ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชนสังคมนั้นๆ, รู้สถานการณ์ในชุมชนสังคมนั้นๆ, รู้ความต้องการของชุมชนสังคมนั้นๆ คือ รู้โจทย์ปัญหาและวิธีการตอบโจทย์ปัญหานั้นๆ เพื่อการวางตัวเหมาะสม และรู้วิธีเข้าหาสังคมชุมชน หรือ ชนชั้นนั้นๆ
    - ใช้ความรู้เหตุ รู้ผล รู้ประมาณ, รู้กาล ด้วยพุทโธอริยะสัจ ๔ พิจารณา

7. รู้บุคคล คือ รู้ว่าคนๆนี้มีอุปนิสัยใจคอเช่นไร, มีความต้องการของใจอย่างไร, จะตอบสนองโจทย์ปัญหาของใจเขาอย่างไร, ควรจะเข้าหาด้วยวิธีการใด
    - ใช้ความรู้เหตุ รู้ผล รู้ประมาณ, รู้กาล ด้วยพุทโธอริยะสัจ ๔ พิจารณา

*****************************

พุทโธอริยะสัจ ๔ https://writer.dek-d.com/ThepKrean/writer/viewlongc.php/?id=2599447&chapter=8

เวบธัญวลัย
https://www.tunwalai.com/story/831555

************************



          การรู้ประมาณตน คือ การรู้ความเหมาะสมพอดีของตน
          ก็เป็นการ “วินิจฉัยไตร่ตรองวัดค่าปริมาณความเหมาะสมพอดีของตนเอง” ที่เรียกว่า “การประเมิณ” นั่นเอง
          ..อุปมา..เปรียบเหมือนลูกโป่งสามารถบรรจุก๊าซหรืออากาศได้มากเท่าไหร่ หากไม่รู้ประมาณความจุของลูกโป่ง แล้วเราอัดก๊าซเข้าไปเยอะๆต้องการให้ได้ลูกโป่งใบใหญ่ๆ มันก็แตกและใช้การไม่ได้..ฉันใด
          ..อุปไมย..เปรียบลูกโป่งเป็นตัวเรา เปรียบก๊าซที่อัดบรรจุเข้าในลูกโป่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ ต้องจ่าย ต้องทำ..ฉันนั้น
          ดังนั้น..เราจึงต้องประเมินตนเองในสถานการณ์ต่างๆ สิ่งที่เราต้องใช้ ต้องทำ ต้องพึ่งพา เช่น เงิน เวลา สิ่งของ เป็นต้น รวมไปถึงศักยภาพทักษะความสามารถของตนเอง ที่จะต้องใช้ในสถานการณ์นั้นๆ (SKILL) เพื่อรู้การประมาณตนที่พอดี พอเหมาะ พอควร และ พอเพียงเพื่อดำเนินสิ่งที่ต้องทำต่อไปได้ด้วยดี นี่จึงชื่อว่า SKILL ประเมิน



SKILL ประเมิน มีหลายระดับ คือ..
         • LV.1 ใช้ประเมินตนเอง
         • LV.2 ใช้ในการวางแผนชีวิต แผนงาน
         • LV.3 ใช้ประเมินสถานการณ์ในปัจจุบัน
         • LV.4 ใช้ประเมินสังคม กลุ่มคน ระดับฐานะความเป็นอยู่ต่างๆ
         • LV.5 ใช้ประเมินบุคคล
         • แต่หลักการใช้จะคล้ายๆกัน เพราะหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นครบพร้อมดีแล้ว อยู่ที่เรานำมาประยุกต์ใช้ คือ..
         • ใช้หลัก รู้เหตุ, รู้ผล, รู้วิถีชีวิต, รู้ความต้องการของใจ และ รู้กาล มาประเมินสิ่งต่างๆ
         • เพราะเราเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา จึงสามารถเข้าถึงได้แบบคนธรรมดาทั่วไป ที่มีตามกำลังของสติปัญญาที่จะเข้าถึงได้ จึงต้องรู้ว่าธรรมนี้เราประยุกต์นำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสะสมปัญญา เป็นหลักการที่น้อมนำเอาพระสัทธรรมมาประยุกต์ใช้สะสมเหตุ แต่ก็จะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนจากหลักปฏิบัตินี้ไม่มากก็น้อย แต่ไม่มีทางที่จะไม่ได้เลย ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน



การใช้ SKill ประเมิน เพื่อมาวินิจฉัยปรับความสมดุลของตนเอง ให้เข้าปัจจุบันสถานการณ์นั้นๆ คือ..

1. รู้กิจของตน มีระเบียบวินัยในตน รู้กิจในหน้าที่การงานของตน ที่ตนทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอยู่
         1.1) รู้หน้าที่ รู้ว่ากิจการงานหน้าที่ความรับผิดชอบของตนมีอะไรบ้าง
         1.2) รู้งาน มีความรู้และความเข้าใจชัดเจนในสิ่งที่ทำ
         1.3) รู้วิธี รู้ว่างานที่ทำมีหลักวิธีในการปฏิบัติหน้าที่การงานนั้นๆอย่างไร

หมายเหตุ : ที่แยกรู้กิจ ออกจาก รู้เหตุ มาแสดงต่างหากเพื่อให้เข้าใจง่าย และเน้นความสำคัญในการรู้หน้าที่ตน เพื่อสร้างระเบียบวินัยให้ตนเอง เป็นเหตุละความเกียจคร้าน เหนื่อยหน่าย เบื่อ และเป็นระเบียบวินัยในตนเอง ถ้ารู้หน้าที่มีวินัยในตนเอง งานก็สำเร็จได้ด้วยดี มีความเพียร สัมมัปปธาน ๔ หรือ วิริยะบารมีเป็นผล

2. รู้เหตุ ผลนี้เกิดแต่เหตุใด รู้ว่าผลทุกอย่างล้วนมีเหตุให้เกิดขึ้น ผลทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ เป็นการวินิจฉัยไตร่ตรองสืบค้นหาเหตุของสิ่งที่แสดงผลปรากฏขึ้นมาอยู่นั้น รู้เหตุเกิด หรือ เหตุกระทำของสิ่งนั้น และ เฟ้นหาแนวทางการจัดการในสิ่งนั้น คือ รู้ในสิ่งที่ทำว่า
         2.1) รู้เหตุเกิด ผลที่ปรากฏอยู่นั้น มีเหตุและปัจจัยองค์ประกอบอย่างไร มีเหตุการกระทำเช่นใดจึงเกิดสิ่งนั้นขึ้นมาได้ (ใช้วิเคราะห์สืบค้นหาเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดมีขึ้น หรือ แสดงผลอย่างนั้นออกมา)
         2.2) รู้เหตุทำ ส่งที่ทำอยู่นั้น เราต้องใช้ความรู้ในหลักใด มีวิธีการเช่นไร ต้องทำแบบไหน ต้องใช้สิ่งใดเป็นส่วนประกอบเหตุทำให้เกิดผลลัพธ์ในสิ่งนั้นขึ้นมาได้ (ใช้วิเคราะห์ค้นคว้าหาความรู้ เพื่อเฟ้นหาหลักการแนวทางที่ตนจะนำมาใช้ทำสิ่งนั้น เพื่อให้สำเร็จผลได้ประโยชน์สุขที่ต้องการ)

3. รู้ผล คือ เหตุนี้มีอะไรเป็นผล รู้ว่าการกระทำทุกอย่างมีผลสืบต่อทั้งหมด การกระทุกอย่างให้ผลเสมอ เป็นการวินิจฉัยไตร่ตรองรู้แจ้งชัดผลสืบต่อจากการกระทำ ตั้งความมุ่งหมาย หรือ รู้ผลสืบต่อในสิ่งที่ทำหรือที่เกิดขึ้นอยู่นั้น และ รู้ความมุ่งหมายที่ต้องการจากสิ่งที่ทำที่เกิดขึ้น รู้ในสิ่งที่ทำว่า
         3.1) รู้ผลลัพธ์ สิ่งที่ทำอยู่นี้จะให้ผลอย่างไร มีผลสืบต่อเช่นใด มีอะไรเป็นผล (ใช้วิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นสืบต่อจากปัจจุบัน, ผลสืบต่อจากการกระทำของตน)
         3.2) รู้ความต้องการ สิ่งที่ทำอยู่นี้มีจุดประสงค์ที่มุ่งหมายอะไร ต้องการได้รับผลตอบสนองกลับอย่างไร หรือ ผลที่ปรากฏอยู่นี้หมายความว่าอย่างไร สื่อความหมายว่าอย่างไร, มีจุดประสงค์อะไร, บ่งบอกถึงความมุ่งหมายต้องการในสิ่งใด (ใช้วิเคราะห์เพื่อรู้ความต้องการของใจตนเอง และ การสื่อสารเพื่อรู้ความต้องการของผู้อื่น หรือ สิ่งอื่น)
         3.3) รู้สรุปแนวทาง ผลลัพธ์ที่ต้องการจากสิ่งที่ทำนี้ ต้องใช้หลักวิธีการปฏิบัติข้อใด (ใช้วิเคราะห์เพื่อรู้สิ่งที่ตนต้องทำในขณะนั้นๆ)

4. รู้ตน คือ รู้จักพิจารณาตนอัตภาพความเป็นอยู่ของตน และ ศักยภาพที่ตนมี ว่า..ดีจุดใด ด้อยจุดใด
         4.1) สุขภาพกายและจิตใจตน
         4.2) รู้อัตภาพชีวิตความเป็นอยู่ตน
         4.3) สัทธา คือ เชื่อด้วยอริยะสัจ ๔ / ใช้ปัญญาไม่ใช้ความรู้สึก เชื่อว่าการกระทำทุกอย่างมีผลสืบต่อ
         4.4) ศีล คือ ความปกติของใจ / การสำรวมระวังการกระทำ คือ ทำในสิ่งที่มีประโยชน์-ไม่มีโทษ เพราะการกระทำทุกอย่างส่งผลเสมอ ส่งผลใจเย็นใจสบาย ไม่เร่าร้อน
         4.5) สุตะ คือ ความรู้ การเรียนรู้ / หมั่นเรียนรู้ศึกษา เรียนรู้กลักการ วิธีการ และหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมเสมอ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต
         4.6) จาคะ คือ การสละให้ และ การสละคืน / หมั่นขจัด Toxic (พุทโธวิมุตติสุข + พุทโธอริยสัจ ๔)
         4.7) ปัญญา คือ ความเข้าใจรู้แจ้งเห็นจริง / หมั่นทบทวนทำความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรูให้กระจ่างใจ จนรู้แจ้งแทงตลอด
         4.8) ปฏิภาณ คือ ไหวพริบ คล่องแคล่ว ว่องไว / หมั่นฝึกฝนเพิ่มทักษะความสามารถต่างๆให้ตนเองจนชำนาญ ทำได้คล่องแคล่ว ว่องไว

5. รู้ละ คือ รู้ว่าสิ่งใดทำแล้ว ส่งผลเสีย มีโทษ มีทุกข์ มีภัย สิ่งนั้นควรละ ควรขจัดออกไป

6. รู้รักษา คือ รู้ว่าสิ่งใดกระทำแล้ว มีในตนแล้วประกอบไปด้วยประโยชน์สุข ไม่มีโทษภัย สิ่งนั้นควรรักษาให้คงไว้

หมายเหตุ : ที่แยก รู้ละ และ รู้รักษา ออกมาจากการ รู้ตน เพื่อให้จดจำเน้นความสำคัญในการปรับ ลด ละ และ รักษา สมดุลในกายใจตน การละ จัดเป็นจาคะ คือ ความสละคืนอุปธิ สละคืนอกุศลกรรม เมื่อทำประจำก็มีความเพียรละ และ เพียรรักษาเป็นผล เป็น สัมมัปปธาน ๔ เป็น วิริยะบารมี ด้วยเช่นกัน

7. รู้ลำดับ คือ รู้จักลำดับความสำคัญ รู้ในสิ่งที่ควรทำที่ตรงต่อสถานการณ์ ว่าควรทำสิ่งใดก่อนหลัง ความเป็นผลสืบต่อกัน ตรงสถานการณ์ขณะนั้น ความจำเป็น ระยะเวลาในการทำ

• เมื่อย่นย่อลงจะเหลือเพียง •

• นำพุทโธ อริยะสัจ ๔ คือ ความรู้เหตุ, ความรู้ผล, รู้กาละเทศะ..มาประเมิณเปรียบเทียบกับความรู้ตน หรือ สิ่งที่ตนเองทำ, ที่ตนเองมี, ที่ตนเองเป็นอยู่



        SKILL ประเมินตนเอง ก็คือ การรู้ความต้องการ เอามาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นเอง คือ รู้กิจของตน, รู้เหตุ, รู้ผล, รู้ตนเอง, รู้สิ่งที่ตนเองมีอยู่เป็นอยู่, รู้สิ่งที่ตนเองขาด ที่ควรทำให้เกิดมีขึ้น ที่จำเป็นจะต้องมี, สิ่งที่ไม่่ควรมีอยู่ที่ควรกำจัดออกไป, สิ่งที่ควรคงรักษาไว้, ลำดับความสำคัญ

เมื่อเปิดใช้สกิลประเมิน จะต้องพิจารณาไตร่ตรองดังนี้..

1. รู้กิจของตนในปัจจุบัน คือ รู้หน้าที่และระเบียบวินัยข้อปฏิบัติของตน รู้ว่าตนมีหน้าที่อะไร..มีระเบียบวินัยข้อปฏิบัติอย่างไร, รู้ว่าสิ่งที่ตนต้องทำในช่วงเวลานี้ๆคืออะไร, เพื่อรู้ว่าตนมีหน้าที่ต้องทำในสิ่งใด, ปัจจุบันขณะนี้มีสิ่งใดที่ตนต้องทำบ้าง, รู้ตารางเวลาการทำงานของตน (การรู้หน้าที่และมีระเบียบวินัยในตนเอง เป็นการทำเหตุสะสมความเพียร..ที่จะส่งผลให้เราตัดความขี้เกียจ เกียจคร้าน เบื่อหน่าย ออกไปจากใจเราได้ ให้สามารถทำตามกิจหน้าที่ของตนได้เป็นผลสำเร็จ ดังนั้นข้อนี้ก็เป็นหนึ่งใน “เหตุ” แต่จับแยกออกมาให้ภูรู้ความสำคัญและจดจำง่ายเท่านั้นเอง)
        • โดยให้ทำความรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วทบทวนสิ่งที่ต้องทำในปัจจุบันขณะนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..วันนี้ตนมีกิจการงานสิ่งใดที่จะต้องทำบ้าง แล้วในปัจจุบันเวลานี้กิจการงานที่จะต้องทำคืออะไร มีสิ่งใดบ้าง

2. รู้เหตุปัจจัยของสิ่งที่ทำ พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นหรือทำอยู่..
      • เพื่อรู้สาเหตุและองค์ประกอบเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นหรือทำอยู่
      • เพื่อรู้แนวทางวิธีการจัดการที่จะให้ผล
         กำหนดรู้เหตุจากสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อรู้สภาวะ รู้การกระทำ รู้กระบวนการ รู้เหตุการกระทำ รู้หลักวิธีการที่ควรปฏิบัติ รู้ว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นั้นต้องการใช้ความรู้ในหลักวิธีการและสิ่งใดทำ รู้หลักการที่ต้องศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม รู้หน้าที่และการกระทำในสิ่งอันเป็นปัจจัยองค์ประกอบเหตุต่อกันที่ทำให้เกิดผลลัพธ์นั้น (เหตุ = หลักการ และ วิธีทำ / ปัจจัย คือ องค์ประกอบเหตุ ให้เกิดผล), รู้เหตุและองค์ประกอบเหตุของสิ่งที่ทำ, รู้ว่ากิจหรือสิ่งที่ตนกำลังทำนั้น..ต้องมีสิ่งใด-ต้องใช้สิ่งใด-ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง, มีวิธีการทำเช่นใด
        • โดยมองดูสิ่งที่ตนกำลังจะทำในปัจจุบันนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..ตนจะทำสิ่งนั้นได้จะต้องมีสิ่งใด ต้องใช้หลักการใด มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นองค์ประกอบ ต้องใช้ความรู้หลักการและสิ่งใดทำบ้าง มีวิธีการทำอย่างไร..เพื่อรู้หลักวิธีการที่จะนำมาปฏิบัติในสิ่งนั้น

3. รู้ผลสืบต่อจากสิ่งที่ทำ พิจารณาจากสิ่งที่ทำ..
      • เพื่อรู้ผลกระทบสืบต่อ
      • เพื่อรู้จุดมุ่งหมายที่ตนทำ (รู้ความต้องการของใจ)
      • เพื่อรู้จุดมุ่งหมายที่คนอื่นทำ (รู้ความต้องการของใจที่ผู้อื่นสื่อสารกับเรา)
      • เพื่อรู้สิ่งที่ตนต้องทำ (รู้หลักการ แนวทาง วิธีการที่จะนำมาใช้ให้ถูกตรงกับสิ่งนั้น)
         กำหนดรู้ผล เพื่อรู้ความมุ่งหมายต้องการจากสิ่งที่เกิดขึ้นที่แสดงผลออกมาอย่างนั้น รู้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือ กำหนดรู้ผลลัพธ์ที่จะเกิดมีขึ้นสืบต่อจากสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือ กำหนดรู้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหากตนกระทำสิ่งใดไป หรือ ทำผลสำเร็จที่ต้องการให้ประจักษ์แจ้งเห็นชัดตามจริง รู้ความหมายที่ผู้อื่นสื่อสารแสดงออก รู้ความต้องการของใจที่ผู้อื่นสื่อสารกับเรา (เขาแสดงออกมาอย่างนี้ ต้องการจะสื่อสารอะไรกับสาร หมายความเช่นใด มีความมุ่งหมายอย่างไร ต้องการสิ่งใด อยากได้ผลตอบกลับเช่นไร) เพื่อเลือกเฟ้นแนวทาง..วิธีการจัดการ วิธีรับมือ วิธีปฏิบัติที่ตรงจุด เพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้สำเร็จ
        • รู้ความต้องการจากสิ่งที่เกิดขึ้นที่แสดงผลอยู่นั้นว่า..มีความมุ่งหมายอะไร ต้องการผลลัพธ์เช่นไร (ผล = เป้าหมายที่ต้องการ), รู้ว่าหากทำสิ่งใดไปจะเกิดผลกระทบยังไง, ทำสิ่งใดจะส่งผลอย่างไร, สิ่งที่ทำอยู่นี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เช่นไร, รู้ความหมาย, จุดประสงค์ที่มุ่งหมาย, ทำเพื่อความมุ่งหมายอะไร, รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้มาจากหลักการใด, หลักการนั้นๆมีความมุ่งหมายอะไร, กำหนดข้อปฏิบัตินี้ไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร, หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์เป้าหมายแบบไหนจะต้องทำอย่างไร
        • โดยมองดูสิ่งที่ตนกำลังจะทำในปัจจุบันนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..ภูทำสิ่งนี้มีจุดประสงค์อะไร มีความมุ่งหมายต้องการสิ่งใด สิ่งที่ภูทำนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เช่นไร หากต้องการผลลัพธ์แบบไหนจะต้องทำยังไง คือ รู้วิธีทำให้สำเร็จได้ตามเป้าหมายหรือความทุ่งหมายที่ต้องการนั้น

4. รู้ตนเอง คือ รู้สภาพร่างกายและจิตใจตนเอง รู้อััตภาพชีวิตของตน รู้สิ่งที่ตนมีอยู่ ความรู้และทักษะความสามารถของตนเองที่มีอยู่ (สัทธา, ศีล, สุตะ, จาคะ, ปัญญา, ปฏิภาณ ที่ตนมีอยู่) รู้สิ่งที่ตนขาด ส่วนที่ขาด สิ่งของที่ขาด ที่ต้องทำให้มี ต้องเพิ่ม ที่ต้องหาหรือสร้างทดแทน ความรู้ความสามารถที่ตนขาดไป (สัทธา, ศีล, สุตะ, จาคะ, ปัญญา, ปฏิภาณ ที่ตนขาดไป)
        • โดยมองดูสิ่งที่ตนต้องทำ หรือ เผชิญหน้าในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..ภูทำอะไรในตอนนี้ได้บ้าง..เพื่อรู้สิ่งที่ตนมีอยู่ สิ่งที่ตนขาดไป และ สิ่งที่ตนสามารถทำได้ในทันที
        4.1) รู้สภาพร่างกายและจิตใจของตน คือ รู้สุขภาพร่างกายของตนในปัจจุบัน ว่า..แข็งแรง หรือ ป่วยไข้ / รู้สภาพจิตใจของตนในปัจจุบัน ว่า..สภาพจิตใจปกติ แจ่มใส หรือ หน่วงตรึงจิตให้เศร้าหมอง คือ คิด อคติ ๔  ได้แก่ มีสภาพจิตใจที่เอนเอียงเป็นไปใน..
        4.1.1) รัก (ยินดี, อยาก, ใคร่, โหยหา, หมายใจใคร่เสพ, เสน่หา)
        4.1.2) ชัง (ยินร้าย, หดหู่, ซึมเศร้า, โกรธ, เกลียด, ผลักไส, แค้น, คิดร้าย, อาฆาต, พยาบาท)
        4.1.3) หลง (ใช้อารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช้ปัญญา, ลุ่มหลง, งมงาย, โลเล, ไม่รู้จริง หรือ ใช้ปัญญาแสวงหาประโยชน์โดยไม่รู้ถูก-ผิด..แล้วทำตามที่ใจใคร่อยากหรือเกลียดชัง)
        4.1.4) กลัว (ขลาดกลัว, หวาดกลัว, หวาดระแวง, พะวง, สะเทือนใจ, หวั่นใจ, ใจสั่น, ไม่สงบ)
        4.2) รู้สิ่งที่ตนมีอยู่ คือ รู้ว่าตนมีสิ่งที่จะใช้ทำในกิจการงานนั้นๆอยู่หรือไม่ มีมากน้อยเท่าไหร่ เพียงพอจะทำสิ่งนั้นหรือไม่ รู้อัตภาพความเป็นอยู่ของตน เพื่อรู้ว่าสิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นเพียงพอให้ใช้งานหรือไม่ หรือ สามารถใช้จ่ายได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น เงิน สิ่งของ อุปกรณ์ต่างๆ ฯลฯ ตลอดไปจึงถึงทักษะความรู้ความสามารถของตน
        4.3) ศรัทธา หรือ สัทธา คือ ใช้ปัญญาไม่ใช้ความรู้สึกรู้ชัดว่า..ทุกการกระทำมีผลสืบต่อทั้งหมด พิจารณาใช้ความรู้เหตุและรู้ผลก่อนทำ เพื่อก่อประโยชน์สุขไม่มีทุกข์ โทษ ภัย ต่อตนเองให้ได้มากที่สุด และ แผ่ไปถึงผู้อื่นด้วย..
        4.4) ศีล คือ สำรวมระวังการกระทำ วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสืบต่อที่จะเกิดขึ้นว่ามีคุณหรือโทษก่อนกระทำ เป็นกฎเกณฑ์ ระเบียบ วินัย หน้าที่ ข้อปฏิบัติ จึงต้องมีความรับผิดชอบในตนเอง ที่เรียกว่า มีวินัยในตนเอง เพื่อทำให้กิจหน้าที่การงานของตนดำเนินไปได้ด้วยดีจนสำเร็จ เป็นการสร้างปลูกฝังความเพียร ตัดทิ้งความขี้เกียจ ท้อแท้เบื่อหน่ายออกจากใจ ให้ผลเย็นใจไม่เร่าร้อน
        4.5) สุตะ คือ การศึกษาใฝ่หาความรู้ เรามีความรู้มากน้อย รู้ว่าน้อยก็ต้องศึกษาเพิ่ม ขาดความรู้กลักการใด ไม่เข้าใจก็ต้องศึกษาค้นคว้าวินิจฉันเพิ่ม เมื่อรู้แล้วก็ต้องทำความเข้าใจให้แจ้งชัด รู้เหตุ รู้ผล
        4.6) จาคะ คือ อุปนิสัยดี แจ่มใส ขจัด Toxic ออกจากใจตลอดเวลา เพราะเมื่อไม่มี Toxic ก็จะทำให้วินิจฉัยสิ่งต่างๆได้โดยปราศจากความอคติลำเอียงในใจเพราะ รัก ชัง หลง กลัว ทำให้สมองโล่งไม่มีความอยากลากดึงปิดกั้นใจจากความจริง ก่อให้เกิดปัญญาเข้าใจชัด
        4.7) ปัญญา คือ ความเข้าใจแจ้งเห็นชัดตามจริง ในสิ่งที่ทำ หรือ ในสิ่งที่กำลังศึกษาเรียนรู้อยู่นั้น ไม่เข้าใจก็ต้องค้นคว้าทำความเข้าใจ คนเราแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจที่ต่างกัน ถนัดต่างกัน ลงใจต่างกัน เราจึงต้องศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจในแบบของเรา จึงจะเกิดผลประโยชน์สูงสุด และทำให้รู้ได้แจ้งชัดถูกต้องตามจริง
        4.8) ปฏิภาณ คือ ทักษะความสามารถ (Skill) ความคล่องแคล่วว่องไว มีไหวพริบในการพูดหรือทำตอบโต้สนองกลับสถานการณ์หรือผู้อื่น อันเป็นผลมาจากการมีความรู้แจ้งแทงตลอดในสิ่งที่ทำที่เรียนรู้ คือ
        4.8.1) รู้ว่าผลนี้เกิดแต่เหตุใด ทักษะความเข้าใจในหัวข้อหลักการ วิธีการ วิธีทำ จำแนกประเภทได้ ลำดับขั้นตอนได้ สรุปโดยย่อได้ใจความ
        4.8.2) รู้ว่าเหตุนี้มีอะไรเป็นผล ทักษะความเข้าใจในการรู้ความหมายวัตถุประสงค์ที่ทำ อธิบายขยายความได้ถูกต้องตามจริง
        4.8.3) รู้หลักภาษาที่ใช้ ทักษะความเข้าใจในการใช้ภาษาสื่อสารกับคนในแต่ละพื้นที่ชุมชน กลุ่มคน สังคม และ ส่วนบุคคล ให้เข้าใจได้ง่าย และ ถูกต้องตรงกัน
        • หากในตนมีข้อใดข้อหนึ่งขาดไปในข้อ 4.1-4.8 นี้ ก็จะต้องหมั่นฝึกฝนให้เกิดมีขึ้นมา ให้มีเพียงพอ ต้องทำเพิ่มในส่วนที่ไม่มี เพิ่มหรือทดแทนในส่วนที่ขาดหายไป

5. รู้สิ่งใดที่ควรละ ที่ตนไม่ควรทำ คือ สิ่งใดที่เมื่อทำแล้ว จะส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ถูกสถานที่ ไม่ถูกทาง ไม่ถูกกาลเทศะ มีทุกข์ โทษ ภัย
        • โดยมองดูสิ่งที่ตนกำลังทำ หรือ เผชิญหน้าอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..ตนมีสิ่งใดที่เป็นอุปสรรคต่อสถานการณ์นั้น หรือ หากทำสิ่งใดจะส่งผลเสีย เพื่อรู้สิ่งที่ต้องกำจัดให้หมดไปในตอนนั้น

6. รู้สิ่งใดที่ตนควรรักษาให้คงไว้ เปรียบเทียบกับ สิ่งที่ตนเผชิญหน้าอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น
        • โดยมองดูสิ่งที่ตนกำลังทำ หรือ เผชิญหน้าอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..ตนมีสิ่งใดที่เพียงพอเหมาะสมสำหรับใช้ในสถานการณ์นั้นแล้ว เพื่อรู้สิ่งที่ควรรัักษาให้คงอยู่ไว้

7. รู้ลำดับความสำคัญ เปรียบเทียบกับ สิ่งที่ตนเผชิญหน้าอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น
        • โดยมองดูสิ่งที่ตนกำลังทำ หรือ เผชิญหน้าอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า
        7.1) ส่งใดที่เกี่ยวเนื่องสืบต่อกัน สิ่งใดมีสิ่งนี้จึงมีได้ สิ่งใดเป็นเหตุและผลต่อกัน
        7.2) สิ่งใดที่มีตรงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน หากชักช้าจะส่งผลเสียไม่ทันการณ์ สิ่งนั้นต้องทำในทันที
        7.3) สิ่งใดที่ต้องมีในสถานการณ์นั้น แต่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ในปัจจุบันทันที สิ่งนั้นสามารถรอทำในลำดับต่อมาได้
        7.4) สิ่งใดที่ต้องมีในสถานการณ์นั้น แต่ต้องทำสะสมปริมาณไปเรื่อยๆจนเต็มครบพร้อม ต้องใช้เวลานาน สิ่งนั้นควรค่อยๆทำสะสมเหตุไปเรื่อยๆ
        • พิจารณาเพื่อรู้ลำดับความสำคัญ

..การประเมิณที่นี้ ทำไว้เพื่อให้ตนเองได้รู้ ส่วนที่มี ที่ขาด ที่เกิน แล้วเพิ่ม หรือลด หรือคงไว้..ตามความเหมาะสมพอดีของตน ไม่ให้สุดโต่งเกินตัว หรือ เหลาะแหละ ผิดพลาด พลาดพลั้งบ่อยๆ แต่สามารถทำให้ตนเองก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยดี



SKILL ประเมินสถานการณ์ เป็นการประเมินเพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์นั้นได้ เพราะทำให้รู้โจทย์ปัญหา สิ่งที่ใช้ตอบโจทย์ปัญหา เรามีดีสิ่งใดที่ควรคงรักษาไว้ เราขาดสิ่งใดที่ควรเพิ่มเติมทดแทน เราเกินสิ่งใดที่ควรลดละลงให้พอดี เป็นการใช้อริยะสัจ ๔ กำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำนิโรธให้แจ้ง ทำมรรคให้มาก ร่วมกับ อิทธิบาท ๔ เข้าวิเคราะห์ตนเอง, สถานการณ์, ความรู้ การเรียน, การทำงาน, แผนก, ฝ่าย, สังคม, พื้นที่ชุมชน ห
5  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน รู้ประมาณ(Skill ประเมิน) เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:23:39 pm
      ..วันพฤหัสบดี เวลา 06:50 น. : ภูตื่นมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ เสร็จ 07:25

      ..07:30 น. : ชิวให้ภูเริ่มฝึกฝนบำบัดจิตตน
      1. ฝึกรู้ตน 15 นาที รู้สถานะตน เดินจงกรม รู้ทันลมหายใจว่ากำลังหายใจเข้าหรืออก สั้นหรือยาว โดยปักหลักรู้ลักษณะลมหายใจไว้ที่ปลายจมูก เอาปลายจมูกเป็นจุดที่ตั้งของสติ รู้อัตภาพตน  (⁠ ⁠´⁠◡⁠‿◡⁠`⁠ )
      2. ฝึกพุทโธวิมุตติสุข 10 นาที  (⁠ ⁠´⁠◡⁠‿◡⁠`⁠ )
      3. พุทโธอริยะสัจ ๔ 10 นาที ทำตอนที่ยังมีสติและสมาธิดี ดังนี้..
          3.1) กำหนดรู้สภาพจิตใจตนในขณะนั้น ว่าเป็นอย่างไร มีความรู้สึกเช่นไร
          3.2) สืบค้นหาเหตุเกิดของสภาพจิตใจนั้น
          3.3) ทำความรู้แจ้งเมื่อใจไม่มีทุกข์ หรือ เป็นสุขพ้นจากทุกข์นั้นแล้ว รู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่นั้น(นิโรธ) ว่ามีลักษณะอาการอย่างไรบ้าง สิ่งใดดับ(สมุทัย) สิ่งใดมี(มรรค) โดยใจรู้ความรู้สึกได้ที่ไหน ก็เอาใจตัวรู้คือสติจับที่จุดนั้น   (⁠ ⁠´⁠◡⁠‿◡⁠`⁠ )
     4. ฝึกทำใจให้ในลักษณะอาการของความดับทุกข์นั้นให้มาก โดยน้อมนึกถึงลักษณะอาการแบบนี้ เอาใจน้อมไว้ที่ดวงจิตจับตรงจุดเหนือสะดือ

      ..08:15 น. : ภูมองดูนาฬิกาเสร็จ เห็นยังเช้าอยู่ ภูก็นั่งเล่นเกม

      ..09:20 น. : ภูหิวข้าวจัด จึงหยิบเงิน 70 บาท ออกไปซื้อข้าว (โดยที่มีชิวลิยิยู่ด้านบน แอบมองดูพฤติกรรมของภูอยู่ห่างๆ) พอภูเดินมาถึงแถวร้านอาหารตามสั่งที่ภูเคยซื้อ มีร้านข้าวมันไก่เปิดใหม่ ตอนนี้นร้านประจำคนน้อยแต่ภูไม่ซื้อ จะไปลองร้านข้าวมันไก่เปิดใหม่เพราะเห็นคนเยอะดูน่าอร่อยมาก แต่คิวก็ยาวมากทำให้รอนาน 45 นาที ก็ยังไม่ได้สั่ง ทนไม่ไหวจึงกลับไปสั่งร้านเดิม ภูหิวจัดจึงบอกเอาพิเศษ เอาไข่เจียวด้วย ก็พอดีร้านเดิมเริ่มมีคน ใช้เวลา 20 นาที กว่าจะได้กินก็ 10:27 น. หลังกินเสร็จ 10:50 น. จ่ายค่าข้าวไป 60 บาท ภูก็ไปเซเว่นใกล้บ้านเพื่อซื้อเลย์สักห่อ ในเซเว่นมีแต่เลย์ห่อละ 20 บาท ภูจึงหยิบไป พอจะไปจ่ายเงิน ภูล้วงกระเป๋ากลับมีเงินเกลือแค่ 10 บาท จึงนึกขึ้นได้ว่าหิวจัด จึงหยิบเงินแค่ 60 บาท แล้วเดินก็เดินกลับบ้าน 11:00 น.

      ..14:35 น. : ภูจะออกไปซื่อข้าวมันไก่ เพื่อจะกินตอนบ่าย 3 จึงรีบไปซื้อข้าวมันไก่ แต่ร้านก็บอกขายหมดแล้ว ภูจึงเดินจากไปแบบคับข้องใจในวันนี้มาก แล้วไปซื้ออาหารตามสั่ง

           ภู : วันนี้มันอะไรเนี่ย ทำไมมีแต่เรื่องขัดข่องไปหมด ทำอะไรก็ไม่ได้ แย่ไปหมดเลย วันนี้มันวันซวยจองเราหรือไงนะ ( ╬ಠ益ಠ)

      ..16:00 น. : ภูทำการฝึกรู้ตนกับชิวอีกรอบ เมื่อทบทวนสถานะภาพตนก็นึกขึ้นได้ว่า ตนเรียนอยู่ มีหน้าที่ต้องเรียน ชิวทบทวนรู้ตนกับภู
          ชิว : หน้าที่ของนักเรียน คืออะไร
          ภู : ตั้งใจเรียน ทำงานส่งครู
          ชิว : ดีมาก หลักการเรียนและการศึกษาทำงานทุกอย่าง เราต้องจำหลักการดังนี้ คือ..

❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️
           หลักแห่งความสำเร็จทั้งเรียนและงาน
♻️  ตั้งใจ  ➡️   ขยัน  ➡️ ทบทวนตรวจสอบ ↩️

        ↕️           ↕️               ↕️

↪️  เข้าใจ  ➡️  ทำได้  ➡️     งานครบ    ♻️
❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️❄️

                       อย่ายอมแพ้

         ชิว : โดยหลักการที่สืบต่อกันตามลำดับ คือ ถ้าภูตั้งใจ → ขยันเรียนรู้ฝึกฝน → หมั่นทบทวนบทเรียน → ตรวจสอบงานที่ทำส่งครู → ก็จะทำให้ภูเข้าใจบทเรียน → ทำได้ และส่งงานครูครบ
          ภู : อืมๆๆๆ เห็นจะจริง
          ชิว : ในอีกทางที่สื่อกันในเป็นคู่เหตุและผลกัน คือ ตั้งใจ «-» ก็เข้าใจ, ขยัน «-» ก็ทำได้, ทบทวน/ตรวจสอบ «-» ก็งานครบ
          ภู : จริงด้วย
          ชิว : ถ้าทำตามนี้รัับรองเรีบนได้เกรดสูงแน่นอน
          ภู : (⁠☆⁠▽⁠☆⁠) ว้าวๆๆๆ..
          ภู : งั้นแย่แล้ว !!! กี่โมงแล้วๆๆๆๆๆ 16:10 น. ภูต้องไปสอบถามและขอจดลอกเอาบทเรียนที่ครูสอน, การบ้าน, กับโครงงานที่ตรูสั่งจากเพื่อนมาทำก่อน ต้องมีงานส่งวันจันทร์เยอะแน่ヽ⁠(⁠(⁠◎⁠д⁠◎⁠)⁠)⁠ゝ

      ..จากนั้นภูก็วิ่งหน้าตั้งปั่นจักรยานไปหาเพื่อนที่อยู่อีกหมู่บ้านซึ่งเรียนห้องเดียวกัน เพื่อไปสอบถามและขอจดลอกเอาบทเรียนที่ครูสอน การบ้าน และโครงงานในช่วงที่หยุดเรียนจากเพื่อน จะได้ทำส่งครูเพราะกลัวจะเยอะแล้วทำไม่ทัน เพราะจะต้องไปเรียนและส่งครูในวันจันทร์

      ..หลังจากืี่ถึงบ้านเพื่อน 16:18 น. ภูก็ร้องเรียกเพื่อน พอเพื่อนออกมาก็ขอยืมสมุดเพื่อไปลอกบทเรียนที่ครูสอนกับสอบถามการบ้านและรายงาน เพื่อนบอกยังไม่ว่าง ต้องช่วยพ่อแม่เอาของไปลงที่ตลาดเพื่อขายของก่อน

      ..ภูจึงรอจนถึง 16:49 น. เพื่อนกลับมา ก็ต้องรอเพื่อนอาบน้ำเพราะขนยกของตัวเปื้อน

      ..17:10 น. เพื่อนก็บอกว่าครูให้ดารบ้านหน้าไหนในหนังสือภูก็จดใส่ดระดาษไว้ มีทั้งหมด 5 วิชา และยืมสมุดเพื่อนมาจดได้ 3 วิชา ส่วนรายงานโครงงานไม่มี (ภูก็รอดไปสินะ อิอิ)

      ..17:25 น. ภูก็รีบปั่นจักรยานกลับบ้านเพราะถึงเวลาต้องจัดเตรียมถ้วยจานไว้รอแะป๊าซื้อข้าวเย็นกลับมาหลังเลิกงาน

      ..17:40 น. ถูถึงบ้าน รีบล้างมือเอาถ้วย จาน ช้อนมาวางรอไว้ที่โต๊ะ หุงข้าว แล้วไปอาบน้ำ

      ..18:10 น. ปะป๊ากลับถึงบ้าน ก็สังเกตุเห็นว่าภูดูสภาพอิดโรยหมดแรง จึงถามภูว่าไปทำอะไรมา ภูตึงตอบว่าปั่นจักรยานไปสอบถามงานช่วงวันหยุดเพื่อนมาคับ ปะป๊าก็บอกว่าดีแล้วรู้จักรับผิดชอบตัวเอง ทำให้ได้ตลอด จะได้เป็นผู้เป็นคนดับเขาได้สักที (ทั้งๆที่ในใจก็ดีใจจนใจฟูที่ลูกรู้จัดรับผิดชอบต่อหน้าที่)

      ..19:10 น. ทานข้าวเสร็จ เก็บของเสรผ็จ ภูก็เอากระดาษจเงานวางไว้บนโต๊ะเครื่ิงเขียน พร้อมถอนหายใจ แบบหมดอาลัยตายหยาก พร้อมบ่น..เฮ้อ..หมดแรง .วันนี้คงไม่มีแรงจดงานแล้ว นี่มันวันอะไรของภูกันนะ (⁠〒⁠﹏⁠〒⁠) จากนั้นชิวก็บินออกมา ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ
          ภู : ชิวมาแย้วเหยอ..เฮ้อออ..โคตรเหนื่อยเลย วันนี้วุ่นวายมาก จะกินข้าวมันไก่ก็ไม่ได้ วิ่งวุ่นเรื่องการบ้านอีก เฮ้อ.. (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
          ชิว : ชิวเห็นแล้ว ตลอดทั้งวันชิวติดตามดูภู ภูพลาดตรงไม่รู้ประมาณตนเอง จึงจัดการทุกอย่างไม่ลงตัวไว
          ภู : ยังไงอะ ไม่รู้ประมาณตน คืออะไรหรอ
          ชิว : ก็รู้ความพอดีตน รู้ประมาณตนเอง ไม่รู้ประเมิณสถานการณ์ และสิ่งที่ต้องใช้ตอบโจทย์ความต้องการของใจภูไง
          ภู : อ่าาาา  (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
          ชิว : ชิวจะอธิบายเปรียบเทียบให้ฟังนะ แต่ก่อนที่จะรู้สกิลประเมิน ภูต้องรู้จัก หลักแห่งมหาบุรุษ 7 ประการ ก่อน เพราะคือที่มาของ SKILL ประเมิน
          ภู : ว้าว..ชื่อเท่มากๆเลย หลักแห่งมหาบุรุษ 7 ประการ
          ชิว : ถูกต้องและชื่อคือของจริง เป็นหลักของยอดคนเลยนะ มีดังนี้..

สัปปริสธรรม 7

รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้สังคม รู้บุคคล

1. รู้เหตุ คือ รู้ว่าผลนี้มีอะไรเป็นเหตุ (หลักพิจารณา)
       1.1 รู้กิจของตน มีระเบียบวินัยในตน รู้กิจในหน้าที่การงานของตน ที่ตนทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอยู่
           1.1.1) รู้หน้าที่ รู้ว่ากิจการงานหน้าที่ความรับผิดชอบของตนมีอะไรบ้าง
           1.1.2) รู้งาน มีความรู้และความเข้าใจชัดเจนในสิ่งที่ทำ
           1.1.3) รู้วิธี รู้ว่างานที่ทำมีหลักวิธีในการปฏิบัติหน้าที่การงานนั้นๆอย่างไร
       1.2. รู้หลักการ ผลนี้เกิดแต่เหตุใด รู้ว่าผลทุกอย่างล้วนมีเหตุให้เกิดขึ้น ผลทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ เป็นการวินิจฉัยไตร่ตรองสืบค้นหาเหตุของสิ่งที่แสดงผลปรากฏขึ้นมาอยู่นั้น รู้เหตุเกิด หรือ เหตุกระทำของสิ่งนั้น และ เฟ้นหาแนวทางการจัดการในสิ่งนั้น คือ รู้ในสิ่งที่ทำว่า
           1.2.1) รู้เหตุเกิด ผลที่ปรากฏอยู่นั้น มีเหตุและปัจจัยองค์ประกอบอย่างไร มีเหตุการกระทำเช่นใดจึงเกิดสิ่งนั้นขึ้นมาได้ (ใช้วิเคราะห์สืบค้นหาเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดมีขึ้น หรือ แสดงผลอย่างนั้นออกมา)
           1.2.2) รู้เหตุทำ ส่งที่ทำอยู่นั้น เราต้องใช้ความรู้ในหลักใด มีวิธีการเช่นไร ต้องทำแบบไหน ต้องใช้สิ่งใดเป็นส่วนประกอบเหตุทำให้เกิดผลลัพธ์ในสิ่งนั้นขึ้นมาได้ (ใช้วิเคราะห์ค้นคว้าหาความรู้ เพื่อเฟ้นหาหลักการแนวทางที่ตนจะนำมาใช้ทำสิ่งนั้น เพื่อให้สำเร็จผลได้ประโยชน์สุขที่ต้องการ)

2. รู้ผล คือ รู้ว่าเหตุนี้มีอะไรเป็นผล (หลักพิจารณา)
          รู้ผล คือ เหตุนี้มีอะไรเป็นผล รู้ว่าการกระทำทุกอย่างมีผลสืบต่อทั้งหมด การกระทุกอย่างให้ผลเสมอ เป็นการวินิจฉัยไตร่ตรองรู้แจ้งชัดผลสืบต่อจากการกระทำ ตั้งความมุ่งหมาย หรือ รู้ผลสืบต่อในสิ่งที่ทำ และ รู้ความมุ่งหมายที่ต้องการจากสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ในสิ่งที่ทำว่า
           2.1) รู้ผลลัพธ์ สิ่งที่ทำอยู่นี้จะให้ผลอย่างไร มีผลสืบต่อเช่นใด มีอะไรเป็นผล (ใช้วิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นสืบต่อจากปัจจุบัน, ผลสืบต่อจากการกระทำของตน)
           2.2) รู้ความต้องการ สิ่งที่ทำอยู่นี้มีจุดประสงค์ที่มุ่งหมายอะไร ต้องการได้รับผลตอบสนองกลับอย่างไร หรือ ผลที่ปรากฏอยู่นี้หมายความว่าอย่างไร สื่อความหมายว่าอย่างไร, มีจุดประสงค์อะไร, บ่งบอกถึงความมุ่งหมายต้องการในสิ่งใด (ใช้วิเคราะห์เพื่อรู้ความต้องการของใจตนเอง และ การสื่อสารเพื่อรู้ความต้องการของผู้อื่น หรือ สิ่งอื่น)
           2.3) รู้สรุปแนวทาง ผลลัพธ์ที่ต้องการจากสิ่งที่ทำนี้ ต้องใช้หลักวิธีการปฏิบัติข้อใด (ใช้วิเคราะห์เพื่อรู้สิ่งที่ตนต้องทำในขณะนั้นๆ)

• เมื่อรู้ทั้งเหตุและผล ก็เป็นการปฏิบัติให้เข้าถึง พุทโธอริยะสัจ ๔

3. รู้ตน คือ ใช้ความรู้เหตุ รู้ผล รู้พุทโธอริยะสัจ ๔ มาพิจารณาเพื่อรู้สิ่งที่ตนมีตนเป็นอยู่ ทั้งร่างกาย, จิตใจ, ทรัพย์สิน สิ่งของ, อุปนิสัย, วินัย, ความรู้, ความเข้าใจ, ทักษะความสามารถตน ลงธรรม ๖ คือ ลง สัทธา, ศีล, สุตะ, จาคะ, ปัญญา, ปฏิภาณ ตลอดจนรู้ความต้องการของใจตน รู้จักตอบโจทย์แก้ไขปัญหาของตน รู้ว่าสิ่งใดขาด-ควรเพิ่ม, รู้ว่าสิ่งใดเกิน-ควรลดละ, รู้ว่าสิ่งใดพอดี-ควรคงไว้ เพื่อความเหมาะสมดีงาม และ รู้มหาสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ รู้กาย, รู้เวทนา, รู้จิต, รู้ธรรม แล้วเจริญโพชฌงค์ตามกาล ๑๔ ให้มากเพื่อลด ละ ขจัด ในสิ่งที่ควรละหรือสิ่งที่ให้โทษแก่ตน

4. รู้ประมาณ คือ รู้ประเมิณความเหมาะสมตามกาล (Skill ประเมิน) ใช้ความรู้เหตุ รู้ผล รู้พุทโธอริยะสัจ ๔ มาพิจารณารู้โจทย์ความต้องการของสิ่งที่เราประเมิน เพื่อรู้ว่าสิ่งใดที่ควรทำ-สิ่งใดที้ไม่ควรทำ..ตอบโจทย์ความต้องการนั้นๆ ให้เหมาะสมดำเนินไปได้ด้วยดี รู้ว่าสิ่งใดขาด-ควรเพิ่ม, รู้ว่าสิ่งใดเกิน-ควรลดละ, รู้ว่าสิ่งใดพอดี-ควรคงไว้ ทั้งต่อตนเอง, ต่อช่วงระยะเวลา, ต่อสถานการณ์, ต่อสถานที่, ต่อสังคม, ต่อบุคคล

5. รู้กาล คือ รู้ว่าเวลาใดเราควรทำสิ่งใดจึงจะประกอบด้วยประโยชน์ ไม่มีโทษ อาศัยการรู้มารยาทความเหมาะสม รู้ทำเนียมปฏิบัติ รู้สิ่งที่ควรทำในปัจจุบัน รู้สิ่งที่ควรทำทีหลัง รู้สิ่งที่ควรละ รู้สิ่งที่ควรรอ ในสถานการณ์นั้นๆ ต่อตนเอง, ต่อสถานที่, ต่อสังคม, ต่อกลุ่มคน, ต่อบุคคล อาศัยใช้ร่วมกันกับการประเมิณสถานการณ์ ท่าที การแสดงออก, ผลกระทบ, รู้ความต้องการของสถานการณ์, คุณประโยชน์สุข และ ทุกข์ โทษ ภัย

6. รู้ชุมชน คือ รู้สังคม รู้วิถีชีวิตการประพฤติปฏิบัติของสังคมชุมชนนั้นๆ, ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชนสังคมนั้นๆ, รู้สถานการณ์ในชุมชนสังคมนั้นๆ, รู้ความต้องการของชุมชนสังคมนั้นๆ คือ รู้โจทย์ปัญหาและวิธีการตอบโจทย์ปัญหานั้นๆ เพื่อการวางตัวเหมาะสม และรู้วิธีเข้าหาสังคมชุมชน หรือ ชนชั้นนั้นๆ
    - ใช้ความรู้เหตุ รู้ผล รู้ประมาณ, รู้กาล ด้วยพุทโธอริยะสัจ ๔ พิจารณา

7. รู้บุคคล คือ รู้ว่าคนๆนี้มีอุปนิสัยใจคอเช่นไร, มีความต้องการของใจอย่างไร, จะตอบสนองโจทย์ปัญหาของใจเขาอย่างไร, ควรจะเข้าหาด้วยวิธีการใด
    - ใช้ความรู้เหตุ รู้ผล รู้ประมาณ, รู้กาล ด้วยพุทโธอริยะสัจ ๔ พิจารณา

*****************************

         ชิว : การที่ภูฝึกทุกวันก็เป็นเหตุของ..หลักแห่งมหาบุรุษนี้ คือ พุทโธอริยะสัจ ๔ ก็คือ การรู้เหตุ + รู้ผล และ ในส่วนการฝึกรู้ตนหมวดกาย (สร้างสติสัมปะชัญญะ) + พุทโธวิมุตติสุข (รู้เวทนา) + พุทธโธอริยะสัจ ๔ (รู้จิตตสังขาร) ก็คือการรู้ตนนั่นเอง ซึ่งเมื่อฝึกคล่องแล้วจะส่งผลต่อ..การรู้ประมาณ รู้กาล รู้สังคม รู้บคคล
          ภู : ว้าว..ชื่อเท่มากๆเลย ภูจะเป็นมหาบุรุษแล้ว
          ชิว : ใช่..สิ่งที่ชิวบอกภูไม่ใช่แค่บำบัดจิตซึมเศร้า แต่เป็นการเข้าถึงการใช้ชีวิตอย่างมหาบุรุษเลยนะ ทีนีมาต่อเรื่องการใช้สกิลประเมิน ก็คือการรู้ประมาณ ในหลักแห่งมหาบุรุษข้อที่ 4 นั่นเอง

          การรู้ประมาณตน คือ การรู้ความเหมาะสมพอดีของตน
          ก็เป็นการ “วินิจฉัยไตร่ตรองวัดค่าปริมาณความเหมาะสมพอดีของตนเอง” ที่เรียกว่า “การประเมิน” นั่นเอง
          ..อุปมา..เปรียบเหมือนลูกโป่งสามารถบรรจุก๊าซหรืออากาศได้มากเท่าไหร่ หากไม่รู้ประมาณความจุของลูกโป่ง แล้วเราอัดก๊าซเข้าไปเยอะๆต้องการให้ได้ลูกโป่งใบใหญ่ๆ มันก็แตกและใช้การไม่ได้..ฉันใด
          ..อุปไมย..เปรียบลูกโป่งเป็นตัวเรา เปรียบก๊าซที่อัดบรรจุเข้าในลูกโป่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ ต้องจ่าย ต้องทำ..ฉันนั้น
          ดังนั้น..เราจึงต้องประเมินตนเองในสถานการณ์ต่างๆ สิ่งที่เราต้องใช้ ต้องทำ ต้องพึ่งพา เช่น เงิน เวลา สิ่งของ เป็นต้น รวมไปถึงศักยภาพทักษะความสามารถของตนเอง ที่จะต้องใช้ในสถานการณ์นั้นๆ (SKILL) เพื่อรู้การประมาณตนที่พอดี พอเหมาะ พอควร และพอเพียงเพื่อดำเนินสิ่งที่ต้องทำต่อไปได้ด้วยดี

   ..ชิวจึงเรียกการรู้ประมาณตนนี้ว่า SKILL ประเมิน

          ภู : งับป๋ม  (⁠。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。⁠)⁠➜
          ชิว : ยกตัวอย่าง เมื่อเช้า หลังฝึกรู้ตนหมวดกาย ฝึกพุทโธวิมุตติรู้สุขที่ตน ฝึกพุทโธอริยะสัจ ๔ รู้จิตตนเสร็จแล้ว ภูนั่งเล่นเกมต่อทันที ปล่อยจนตัวเองหิวจัด แล้วหุนหันพลันแล่นออกไปซื้อข้าว..แต่ถ้าภูรู้ประมาณตน ก็จะไม่วุ่นวายอย่างวันนี้ไง
          ภู : อ่าาาา  (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
          ชิว : ถ้าภูฝึกบำบัดจิตเสร็จ ภูดูเวลาก็ควรจะรู้ว่าต่อไปตัวเองต้องกินข้าว ปกติกินเวลาไหน แล้วจัดเตรียมเงินเผื่อจำเป็นต้องใช้เอาไว้ และควรออกไปซื้อข้าวไว้ก่อน เพราะคนทุกคนต้องกินข้าวเพื่อหล่อเลี้ยงสารอาการให้ร่างดาย และอีกอย่างก็ใกล้เวลาต้องทานข้าวทานยาแล้ว ส่วนเกมนี้เล่นตอนไหนก็ได้ แต่ภูใช้ความอยากเล่นเกมเป็นใหญ่ไงเลยว้าวุ่นเลย คริๆๆ นี่เรียกว่า..ภูไม่รู้ประมาณตน
          ภู : อ่าาาา แล้วมันประมาณตนเองยังไงอะ (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
          ชิว : ก็ภูไม่รู้ประมาณตนเองว่า ร่างกายภูเป็นอย่างไร ภูต้องทานข้าวทานยาเวลาไหน ไม่รู้ความจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าของตน แถมไม่ประมาณตนเองว่ามีเงินแค่ไหนยังจะไปซื้อขนมต่ออีก 5555
          ภู : อ่าาาา ชิวอะ (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠) อายมากเลย
          ชิว : ดังนั้นจากนี้ไป ภูต้องเรียนรู้และเปิดใช้งาน SKILL ประเมิน สกิลนี้จะมีในตัวเราทุกคน อยู่ที่เราสามารถดึงมาใช้ได้มากน้อยเพียงไร ส่วนจะเกิดประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น..ก็อยู่ที่ว่าภูรู้สถานการณ์ปัจจุบันแค่ไหน ประเมิณถูกจุดไหม รู้ชัดเหตุหรือไม่ รู้แจ้งผลเพียงใด รู้ลำดับความสำคัญดีแค่ไหน และใช้ถูกเวลามากน้อยเพียงใด แต่หากภูฝึกฝนใช้จนชำนาญแล้ว ก็จะสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์

SKILL ประเมิน มีหลายระดับ คือ LV.1 ใช้ประเมินตนเอง, LV.2 ใช้ประเมินสถานการณ์ในปัจจุบัน, LV.3 ใช้ประเมินสังคมกลุ่มคนระดับฐานะความเป็นอยู่ต่างๆ, LV.4 ใช้ประเมินบุคคล, LV.5 ใช้วางแผน
         • แต่หลักการใช้จะคล้ายๆกัน เพราะหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นครบพร้อมดีแล้ว อยู่ที่เรานำมาประยุกต์ใช้ คือ..
         • ใช้หลัก รู้เหตุ, รู้ผล, รู้วิถีชีวิต, รู้ความต้องการของใจ และ รู้กาล มาประเมินสิ่งต่างๆ
         • เพราะเราเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา จึงสามารถเข้าถึงได้แบบคนธรรมดาทั่วไป ที่มีตามกำลังของสติปัญญาที่จะเข้าถึงได้ จึงต้องรู้ว่าธรรมนี้เราประยุกต์นำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสะสมปัญญา เป็นหลักการที่น้อมนำเอาพระสัทธรรมมาประยุกต์ใช้สะสมเหตุ แต่ก็จะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนจากหลักปฏิบัตินี้ไม่มากก็น้อย แต่ไม่มีทางที่จะไม่ได้เลย ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน

          ภู : อ่าาาา งับ (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
          ชิว : งั้นมาเรียนรู้การฝึก “SKILL ประเมิน Level 1 ประเมินตนเอง” กันเลย

        SKILL ประเมินตนเอง ก็คือ การรู้ความต้องการ เอามาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นเอง คือ รู้กิจของตน, รู้เหตุ, รู้ผล, รู้ตนเอง, รู้สิ่งที่ตนเองมีอยู่เป็นอยู่, รู้สิ่งที่ตนเองขาด ที่ควรทำให้เกิดมีขึ้น ที่จำเป็นจะต้องมี, สิ่งที่ไม่่ควรมีอยู่ที่ควรกำจัดออกไป, สิ่งที่ควรคงรักษาไว้, ลำดับความสำคัญ

เมื่อภูเปิดใช้สกิลประเมิน ภูจะต้องพิจารณาไตร่ตรองดังนี้..

1. รู้กิจของตนในปัจจุบัน คือ รู้หน้าที่และระเบียบวินัยข้อปฏิบัติของตน พิจารณาจากสิ่งที่ทำ..
      • รู้หน้าที่
      • รู้งาน
      • รู้วิธี
(การรู้หน้าที่และมีระเบียบวินัยในตนเอง เป็นการทำเหตุสะสมความเพียร..ที่จะส่งผลให้เราตัดความขี้เกียจ เกียจคร้าน เบื่อหน่าย ออกไปจากใจเราได้ ให้สามารถทำตามกิจหน้าที่ของตนได้เป็นผลสำเร็จ ดังนั้นข้อนี้ก็เป็นหนึ่งใน “เหตุ” แต่จับแยกออกมาให้ภูรู้ความสำคัญและจดจำง่ายเท่านั้นเอง)
      • โดยให้ทำความรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วทบทวนสิ่งที่ต้องทำในปัจจุบันขณะนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..วันนี้ภูมีกิจการงานสิ่งใดที่จะต้องทำบ้าง แล้วในปัจจุบันเวลานี้กิจการงานที่จะต้องทำคืออะไร มีสิ่งใดบ้าง
        เช่น ภูรู้ปัจจุบันว่ามีกิจการงานสิ่งใดที่ภูจะต้องทำในขณะนี้บ้าง ภูอบรมจิตเสร็จ 08:15 น. ในเวลานั้นมีกิจการงานใดที่ภูต้องทำบ้าง เมื่อทบทวนพิจารณาก็จะรู้ว่า ต้องกินข้าวกินยาให้ตรงเวลา ซื้อข้าว ฝึกทบทวนบทเรียน จดงาน ทำการบ้าน ทำแบบฝึกหัด ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน เป็นต้น ภูก็จะรู้ทันทีว่าตนต้องทำอะไรในวันนี้บ้าง สิ่งที่จำเป็นต้องทำใตเวลานี้ คือ ไปซื้อข้าว เพราะต้องกินให้ตรงเวลา

2. รู้เหตุปัจจัยของสิ่งที่ทำ พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น ผลที่ปรากฏขึ้นมาอยู่ในปัจจุบัน หรือ สิ่งที่ทำอยู่ ว่า..ผลนี้เกิดแต่เหตุใด..
      • เพื่อรู้สาเหตุและองค์ประกอบเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้
      • เพื่อรู้หลักการแนวทาง และ วิธีการจัดการที่จะให้ผลนั้น
(เหตุ = หลักการ, แนวทาง และ วิธีทำ / ปัจจัย คือ องค์ประกอบเหตุ ให้เกิดผล)
      • โดยมองดูสิ่งที่ภูกำลังจะทำในปัจจุบันนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..ภูจะทำสิ่งนั้นได้จะต้องมีสิ่งใด ต้องใช้หลักการใด มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นองค์ประกอบ ต้องใช้ความรู้หลักการและสิ่งใดทำบ้าง มีวิธีการทำอย่างไร..เพื่อรู้หลักวิธีการที่จะนำมาปฏิบัติในสิ่งนั้น
        เช่น.. ภูต้องกินข้าวจะไปซื้อข้าว(สิ่งที่ต้องการรู้เหตุ) ภูต้องรู้สิ่งใดและใช้สิ่งใดบ้าง หลักการที่ต้องใช้ก็คือ..
        1. รู้ว่าตนเองต้องการอะไร..กินข้าวมันไก่ (ผลลัพธ์ที่ต้องการ)
        2. รู้วิธีการที่ใช้ตอบโจทย์ความต้องการนั้นว่า..ภูต้องใช้เหตุวิธีการใดและสิ่งใด องค์ประกอบใดจึงจะใช้ซื้อข้าวมันไก่ได้ คือ..
            2.1) รู้ราคา ข้าวมันไก่ราคาเท่าไหร่ ธรรมดากี่บาท พิเศษกี่บาท (องค์ประกอบเหตุสิ่งที่ต้องรู้)
            2.2) รู้ว่าตนมีเงินเท่าไหร่ เพียงพอซื้อข้าวมันไก่ไหม หรือ เพียงพอซื้อได้ในราคาพิเศษ หรือ ธรรมดา มีเงินเพียงพอจะซื้อได้แค่ไหน แล้วก็เตรียมเงิน (องค์ประกอบสิ่งที่ต้องใช้)
            2.3) รู้สถานที่ตั้งร้าน รู้เวลาร้านเปิดกี่โมง
      • นี่เป็นกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบของหลักการรู้เหตุปัจจัยในสิ่งที่ทำ
        เปรียบเหมือนภูจะคูณเลขได้ ภูก็ต้องรู้หลักการคูณ ดังนั้นหลักการที่ภูต้องการ ก็คือ รู้แม่สูตรคูณนั่นเอง
        เปรียบเหมือนครูสั่งภูทำรายงานโครงงานใดๆ(รายงานคือผลสำเร็จที่ต้องการ)..ภูก็ต้องรู้หลักการเขียนรายงาน รู้วิธีทำรายงาน ว่า รายงาน 1 เล่ม ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มีลำดับและวิธีเขียนอย่างไรบ้าง ๑.) คำนำ, ๒.) มีสารบัญ, ๓.) เนื้อหา + รูปหรือแผนภูมิประกอบเนื้อหา, ๔.) บทสรุป..เป็นต้น
        เปรียบเหมือนเมื่อภูจะทำรายงาน..ภูก็ต้องรู้ว่าต้องใช้สิ่งใดบ้าง คำนำเขียนเองจาก “จุดประสงค์ของเนื้อหา” ที่ทำเป็นสิ่งแรกในรายงานที่สามารถเขียนได้ทันที (ดังนั้นจึงเป็นส่วนแระกอบรอง), สารบัญตั้งเองตามลำดับหน้าของเนื้อหา ดังนั้นสารบัญแม้อยู่ก่อนเนื้อหาแต่ต้องทำหลังเนื้อหาเพราะต้องใช้เลขหน้ากำกับ (ดังนั้นจึงเป็นส่วนประกอบรอง), บทสรุปก็มาจากเนื้อหาที่เขียนทั้งหมดแล้วสรุปเนื้อหา (ดังนั้นจึงเป็นส่วนประกอบรอง) เอาไว้เขียนภายหลัง ดังนั้น “เนื้อหาของโครงงาน” ที่จะเขียนลงรายงานนั้นเป็นส่วนหลักที่จะต้องมี ส่วนประกอบต่อมาที่ต้องใช้ก็คือ ปกรายงาน สมุดกระดาษรายงาน ปากกา ไม้บรรทัด แม๊คเย็บดระดาษ เทปติดรวบเล่ม

3. รู้ผลสืบต่อจากสิ่งที่ทำ พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น ผลที่ปรากฏขึ้นมาอยู่ในปัจจุบัน หรือ สิ่งที่ทำอยู่..ว่า..เหตุนี้มีอะไรเป็นผล..
      • เพื่อรู้ผลกระทบสืบต่อ
      • เพื่อรู้จุดมุ่งหมายที่ตนทำ (รู้ความต้องการของใจตนเอง)
      • เพื่อรู้จุดมุ่งหมายที่คนอื่นทำ (รู้ความต้องการของใจที่ผู้อื่นที่สื่อสารกับเรา)
      • เพื่อรู้สิ่งที่ตนต้องทำ
      • โดยมองดูสิ่งที่ภูกำลังจะทำในปัจจุบันนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..ภูทำสิ่งนี้มีจุดประสงค์อะไร มีความมุ่งหมายต้องการสิ่งใด สิ่งที่ภูทำนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เช่นไร หากต้องการผลลัพธ์แบบไหนจะต้องทำยังไง คือ รู้วิธีทำให้สำเร็จได้ตามเป้าหมายหรือความทุ่งหมายที่ต้องการนั้น
        ยกตัวอย่างเช่น 
        ประการที่ 1 ที่ภูต้องไปซื้อข้าว เพื่อจะได้กินข้าวอิ่มท้องและกินยาให้ตรงเวลา ไม่เป็นโรคกระเพาะ..สิ่งนี้คือรู้ความมุ่งหมาย คือ ความต้องการของใจที่ทำ 
        ประการที่ 2 ภูมีเงิน 70 บาท ไปซื้อข้าวสั่งพิเศษราคา 60 บาท ผลคือจะเหลือเงินเพียง 10 บาท แต่หากกินข้าว 50 บาท จะเหลือเงิน 20 บาท ซื้อขนมได้ 
        ภูก็จะรู้ผลลัพธ์จากการกระทำได้ว่า ประหยัดจุดนี้ก็จะมีกินมีใช้จุดในจุดนั้น ภูต้องการให้มีเงินใช้ในส่วนไหนมาก..ภูก็ต้องประหยัดเงินในอีกส่วนนั้น นี่คือ ผลลัพธ์จากการกระทำ รู้ว่าทำอย่างไรให้ผลอย่างไร 
        ประการที่ 3 ภูเจอโจทย์คำถามว่า 5 เท่า ของ 15 เป็นเท่าไหร่ แล้วรู้ทันทีว่านี่คือ โจทย์การคำนวณวิชาคณิตศาสตร์ เป็นหลักการคูณ เขาต้องการรู้ผลคำตอบด้วยหลักการคูณเลข ภูสามารถใช้กลักการคูณแก้ไขได้ทันที 5 × 15 = 75 เป็นต้น นี่ก็คือรู้ผล คือ รู้ความต้องการของผล รู้ว่าผลลัพธ์เนื้อหานี้ๆมาจากหลักการใด รู้ว่าผลลัพธ์ข้อนี้ต้องใช้วิธีการใดทำเพื่อตอบโจทย์ปัญหานี้
        ประการที่ 4 ภูเคยเรียนรู้วิธีการซ่อมไฟภายในบ้าน หรือ เคยเห็นช่างมาซ่อมหลอดไฟที่บ้านและการเหตุเสียต่างๆมา เมื่อภูเห็นหลอดไฟที่บ้านกระพริบ แสงไฟอ่อนเหลือง หรือ ไม่สว่าง ขอบตรงขั้วหลอดไฟมีสีดำ ภูเห็นแล้วรู้ทันทีว่า..หลอดไฟเสีย ต้องซื้อหลอดไฟมาเปลี่ยนใหม่ นี่ก็ชื่อว่ารู้ผล คือ รู้สิ่งที่เกิดขึ้น รู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องแก้ไขอย่างไร สิ่งที่ต้องการจากปัญหานี้คืออะไร เช่น หลอดไฟ ไขควง คีม เทปพันสายไฟ เราต้องทำสิ่งใด ใช้วิธีการใดแก้ไข เป็นการใช้ประสบการณ์ที่เคยเรียนรู้ เคยเห็น เคยทำมาก่อน นี่ภูใช้สแตนด์ Gold Experience Requiem ของ โจรูโน่ โจบาน่า เลยนะนี่ (⁠。⁠•̀⁠ᴗ⁠-⁠)⁠✧ คริๆ ถ้าภูรู้กิจ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน แล้วเปิดใช้สกิลประเมินได้ รู้กาล รู้สังคม รู้บุคคล ก็จะไม่มีใครสามารถโจมตีภูได้ เพราะการโจมตีนั้นจะไม่มีวันไปถึงความจริงได้เลย
        [ภูร้องว้าวเลย (⁠☆⁠▽⁠☆⁠)  เพราะชอบการ์ตูนเรื่อง JoJo ล่าข้ามศตวรรษ]

4. รู้ตนเอง คือ รู้สภาพร่างกายและจิตใจตนเอง รู้อััตภาพชีวิตของตน รู้สิ่งที่ตนมีอยู่ ความรู้และทักษะความสามารถของตนเองที่มีอยู่ (สัทธา, ศีล, สุตะ, จาคะ, ปัญญา, ปฏิภาณ ที่ตนมีอยู่) รู้สิ่งที่ตนขาด ส่วนที่ขาด สิ่งของที่ขาด ที่ต้องทำให้มี ต้องเพิ่ม ที่ต้องหาหรือสร้างทดแทน ความรู้ความสามารถที่ตนขาดไป (สัทธา, ศีล, สุตะ, จาคะ, ปัญญา, ปฏิภาณ ที่ตนขาดไป)
        • โดยมองดูสิ่งที่ภูต้องทำ หรือ เผชิญหน้าในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น แล้ววินิจฉัยไตร่ตรองว่า..ภูทำอะไรในตอนนี้ได้บ้าง..เพื่อรู้สิ่งที่ภูมีอยู่ สิ่งที่ภูขาดไป และ สิ่งที่ภูสามารถทำได้ในทันที
        4.1) รู้สภาพร่างกายและจิตใจของตน คือ รู้สุขภาพร่างกายของตนในปัจจุบัน ว่า..แข็งแรง หรือ ป่วยไข้ / รู้สภาพจิตใจของตนในปัจจุบัน ว่า..สภาพจิตใจปกติ แจ่มใส หรือ หน่วงตรึงจิตให้เศร้าหมอง คือ คิด อคติ ๔  ได้แก่ มีสภาพจิตใจที่เอนเอียงเป็นไปใน..
        4.1.1) รัก (ยินดี, อยาก, ใคร่, โหยหา, หมายใจใคร่เสพ, เสน่หา)
        4.1.2) ชัง (ยินร้าย, หดหู่, ซึมเศร้า, โกรธ, เกลียด, ผลักไส, แค้น, คิดร้าย, อาฆาต, พยาบาท)
        4.1.3) หลง (ใช้อารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช้ปัญญา, ลุ่มหลง, งมงาย, โลเล, ไม่รู้จริง หรือ ใช้ปัญญาแสวงหาประโยชน์โดยไม่รู้ถูก-ผิด..แล้วทำตามที่ใจใคร่อยากหรือเกลียดชัง)
        4.1.4) กลัว (ขลาดกลัว, หวาดกลัว, หวาดระแวง, พะวง, สะเทือนใจ, หวั่นใจ, ใจสั่น, ไม่สงบ)
        4.2) รู้สิ่งที่ตนมีอยู่ คือ รู้ว่าตนมีสิ่งที่จะใช้ทำในกิจการงานนั้นๆอยู่หรือไม่ มีมากน้อยเท่าไหร่ เพียงพอจะทำสิ่งนั้นหรือไม่ รู้อัตภาพความเป็นอยู่ของตน เพื่อรู้ว่าสิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นเพียงพอให้ใช้งานหรือไม่ หรือ สามารถใช้จ่ายได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น เงิน สิ่งของ อุปกรณ์ต่างๆ ฯลฯ ตลอดไปจึงถึงทักษะความรู้ความสามารถของตน
        4.3) ศรัทธา หรือ สัทธา คือ การใช้ปัญญาไม่ใช้ความรู้สึก รู้ชัดว่า..ทุกการกระทำมีผลสืบต่อทั้งหมด พิจารณาใช้ความรู้เหตุและรู้ผลก่อนทำ เพื่อก่อประโยชน์สุขไม่มีทุกข์ โทษ ภัย ต่อตนเองให้ได้มากที่สุด และ แผ่ไปถึงผู้อื่นด้วย..ภูมีข้อนี้หรือไม่ เพราะเห็นยังเล่นเกมจนลืมกินข้าว หยุดยาวจนไม่สนการบ้าน ( ภูทำหน้ามุ่ย (⁠;⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠) )
        4.4) ศีล คือ การสำรวมระวังการกระทำที่ให้โทษ ส่งผลให้เย็นใจเป็นสุข เป็นกฎระเบียบ วินัย หน้าที่ ข้อปฏิบัติ จึงต้องมีความรับผิดชอบในตนเอง ที่เรียกว่า มีวินัยในตนเอง เพื่อทำให้กิจหน้าที่การงานของตนดำเนินไปได้ด้วยดีจนสำเร็จ เป็นการสร้างปลูกฝังความเพียร ตัดทิ้งความขี้เกียจ ท้อแท้เบื่อหน่ายออกจากใจ
        4.5) สุตะ คือ การศึกษาใฝ่หาความรู้ เรามีความรู้มากน้อย รู้ว่าน้อยก็ต้องศึกษาเพิ่ม ขาดความรู้กลักการใด ไม่เข้าใจก็ต้องศึกษาค้นคว้าวินิจฉันเพิ่ม เมื่อรู้แล้วก็ต้องทำความเข้าใจให้แจ้งชัด รู้เหตุ รู้ผล
        4.6) จาคะ คือ อุปนิสัยดี แจ่มใส ขจัด Toxic ออกจากใจตลอดเวลา เพราะเมื่อไม่มี Toxic ก็จะทำให้วินิจฉัยสิ่งต่างๆได้โดยแราศจากความอคติลำเอียงในใจเพราะ รัก ชัง หลง กลัว ทำให้สมองโล่งไม่มีความอยากลากดึงปิดกั้นใจจากความจริง ก่อให้เกิดปัญญาเข้าใจชัด
        4.7) ปัญญา คือ ความเข้าใจแจ้งเห็นชัดตามจริง ในสิ่งที่ทำ หรือ ในสิ่งที่กำลังศึกษาเรียนรู้อยู่นั้น ไม่เข้าใจก็ต้องค้นคว้าทำความเข้าใจ คนเราแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจที่ต่างกัน ถนัดต่างกัน ลงใจต่างกัน เราจึงต้องศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจในแบบของเรา จึงจะเกิดผลประโยชน์สูงสุด และทำให้รู้ได้แจ้งชัดถูกต้องตามจริง
        4.8) ปฏิภาณ คือ ทักษะความสามารถ (Skill) ความคล่องแคล่วว่องไว มีไหวพริบในการพูดหรือทำตอบโต้สนองกลับสถานการณ์หรือผู้อื่น อันเป็นผลมาจากการมีความรู้แจ้งแทงตลอดในสิ่งที่ทำที่เรียนรู้ คือ
        4.8.1) รู้ว่าผลนี้เกิดแต่เหตุใด ทักษะความเข้าใจในหัวข้อหลักการ วิธีการ วิธีทำ จำแนกประเภทได้ ลำดับขั้นตอนได้ สรุปโดยย่อได้ใจความ
        4.8.2) รู้ว่าเหตุนี้มีอะไรเป็นผล ทักษะความเข้าใจในการรู้ความหมายวัตถุประสงค์ที่ทำ อธิบายขยายความได้ถูกต้องตามจริง
        4.8.3) รู้หลักภาษาที่ใช้ ทักษะความเข้าใจในการใช้ภาษาสื
6  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน พุทโธอริยะสัจ ๔ เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:21:06 pm
      ..หลังจากภูปิดคอมฯ เก็บของเสร็จ 16:43 น. ภูก็คิดจะออกไปสนามฟุตบอล แต่ใจก็เกิดกลัว ระแวงว่าตนเองจะเจอเหยียดหยามอีกไหมนะ จะมีใครเปิดใจเล่นด้วยไหมนะ จึงนั่งตรึงเครียดอยู่หน้าบ้าน..แต่ชิวก็แอบมองตามดูอยู่ แล้วผลจากการฝึกสติของภู ก็ทำให้ภูนึกถึงสิ่งที่ชิวสอนขึ้นได้ว่า เวลาตรึงเครียดว้าวุ่นใจ..ให้ทำ “พุทโธวิมุตติสุข” แก้ความตรึงเครียดในใจนั้น โดยเอาความสุขมาตั้งไว้ที่กายใจตัวเอง..

      ..แล้วภูก็ทำภาวนาพุทโธ หายใจเข้าช้าๆ “พุท” รู้ลมเคลื่อนจากปลายจมูก ใจน้อมเอาความแช่มชื่น ซายซ่าน เย็นใจพัดผ่านโพลงจมูก เข้ามาปะทะที่เบื้องหน้า เคลื่อนไปที่โพรงกะโหลกสมองไม่ยึดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอันใด ทำใจรับรู้แค่ความแช่มชื่น โล่งใจ ซ่านเบา สบาย เป็นสุขอยู่ที่โพรงสมองจนสุดลมหายใจเข้า
      ..แล้วหายใจออกช้าๆ “โธ” รู้ลมเคลื่อนออกจากโพรงกะโหลก ลมพัดเอาความปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย เย็นใจมาที่เบื้องหน้า เคลื่อนไปที่โพรงจมูก จับรู้ความผ่อนคลายเย็นใจที่ปลายจมูกจนสุดลมหายใจออก..เมื่อทำไปได้ 10 นาที ก็เบาโล่งใจ สดชื่น ยิ้มร่าเริง

      ..ก็ทำให้ภ็เกิดความรู้เห็นและเข้าใจว่า..ความสุขนี้มันอยู่ที่กายใจเราทำ ไม่ใช่มีได้เพราะผู้อื่น เมื่อรู้เห็นเข้าใจดั้งนั้น ภูจึงคิดว่า..ตนเองพร้อมรับมือทุกสถานการณ์แล้ว จึงออกไปที่สนามฟุตบอลในหมู่บ้าน..

      ..เมื่อมาถึงสนามฟุตบอล เพื่อนๆเห็นก็ทัักตามปกติ แต่ก็็ต่างถามภูว่า..สุขภาพจิตใจดีหรือยัง ถ้ายังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งมาร่วมทีมเล่นเตะบอลชิงเงินเดิมพัน..ภูก็ยิ้มร่าไม่เป็น แต่ยืมบอลเตะเล่นออกกำลังกายหน่อยดท่านั้นพอ..เพื่อนก็โยนบอลให้ภู..ภูก็พููดขอบใจ แล้วก็เลี้ยงบอลเตะเล่นโต้กับกำแพงเล่นตนเดียว ด้วยเพราะภูทำพุทโธวิมุตติ ใจคลายจากวิตกกังวลพร้อมเผชิญหน้าสู้กับสิ่งที่จะพบเจอไม่ว่าดีหรือร้าย ทำให้ใจไม่ผูกพะวงคาดหวังกับใคร ก็เลยไม่มีเรื่องให้ทุกข์ จึงสามารถเล่นปกติทั่วไปได้แม้จะเตะบอลคนเดียว..

..พอเพื่อนๆเตะบอลเดิมพันกันเสร็จตอน 17:40 ก็ชวนภูมาเตะเล่นฝึกซ้อมสนุกสนานทั่วไป แต่ก็มีที่หลุดด่ากันบ้าง แต่ภูก็ไม่ได้ใส่ใจให้ความสำคัญกับคำพูดเพื่อนๆ จึงยิ้มหัวเราะรับ แล้วเตะบอลกับเพื่อนต่อจนถึงเวลา 18:00 น. ภูก็บอกเพื่อนกลับบ้าน..
      ..เพื่อนๆที่เห็นภูวันนี้ก็รู้สึกว่าภูแจ่มใสไม่คิดเล็กคิดน้อย ต่างก็พูดว่า ภูวันนี้เอ็งสุดยอดเลยว่ะ ไม่คิดเล็กคิดน้อยฆ่าตัวตายอีก..ภูก็ตอบไปว่า..ไม่รู้สินะ เพราะเห็นว่าการด่ากันมันก็เรื่องปกติมั้ง..พอไม่คาดหวังว่าใครจะพูดดีด้วย หรือ ต้องมาเล่นด้วย เห็นว่ามันเป็นรื่องปกติ ใครๆก็อยากจะชนะกันทั้งนั้นแหละ ก็เลยไม่ใส่ใจเรื่องคำพูด จึงไม่มีอะไรมาผูกกระทบสะเทือนใจ..แล้วเพื่อนก็ต่างพูดว่า..แกสุดยอดว่ะภู..ภูก็หัวเราะแล้วก็เดินกลับบ้าน..
      ..พอกลับมาถึงบ้าน ปะป๊าก็กลับมาพอดีซื้อกับข้าวมาพร้อม บอกให้ภูเตรียมถ้วยจานมากินข้าว..
      ..เวลา 19:10 น. ภูทานข้าว ล้างจาน อาบน้ำเสร็จ ขึ้นนั่งเล่นบนห้อง ชิวก็บินออกมาหาภู..พอชิวเห็นว่าวันนี้ภูอารมณ์ดี จิตใจภูแจ่มใสร่าเริง เหมาะสมกับการเรียนรู้ จึงเริ่มจากการสอบถามเรื่องราววันนี้ที่ไปเตะบอลว่าเป็นยังไงบ้าง..

          ชิว : วันนี้เตะบอลกับเพื่อนสนุกมั้ย
            ภู : ก็ดีนะ..สนุกดี สบายๆ
          ชิว : เยี่ยมเลย..สังเกตุุมั้ยว่าทำไมวันนี้ภูไม่เคร่งเครียด
            ภู : ตอนก่อนออกจากบ้านก็เครียดนะ เลยทำพุทโธวิมุตติแบบชิวบอก ก็รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ก็เลยคิดว่า..เราแค่ไปเตะบอล ใครจะเล่นด้วยไม่เล่นด้วยก็ช่างมัน เราแค่ไปออกกำลังกาย หากมีคนว่าก็ช่างมัน เราไม่อย่าสนใจมัน มันก็เลยคิดว่าต้องเจออยู่แล้วตามปกติ ถ้ารู้สึกไม่ดีก็แค่กลับบ้าน มันก็เลยไม่ได้สนใจอะไรมาก
          ชิว : เยี่ยมเลยดีมากๆ..แล้วภูสังเกตุุมั้ยกับตอนแรกที่เกิดปัญหาวิ่งให้รถชน ตอนนั้นภูคิดยังไง
            ภู : เหมือนว่าตอนนั้นภูอยากให้ทุกคนเล่นด้วย อยากให้ทุกคนดีด้วย แต่กลับมีแต่คำพูดและการกระทำแย่ๆมา ไม่มีใครยอมรับภู ทำให้ภูรู้สึกโดดเดี่ยว ภูก็เลยเสียใจ
          ชิว : ถูกแล้ว นี่ภูเก่งมากๆเลยนะ
            ภู : โย่ว  (⁠ ⁠╹⁠▽⁠╹⁠ ⁠)
          ชิว : ภูอยากจะแก้ได้ทุกสถานการณ์ไหม
            ภู : ก็อยากนะ..ต้องทำไงเหรอ
          ชิว : ภูก็ต้องมารู้คุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ว่าด้วย พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพื่อเข้ารู้ตนในหมวดจิตก่อน
            ภู : ทำไงอะชิว  (⁠ . ⁠❛⁠ ⁠ᴗ⁠ ⁠❛⁠.⁠ )⁠っ ยากมั้ยอะ ???

  ชิว : พุทโธ กับ อริยะสัจ ๔ ก็คือ..

พุทโธ กับ อริยะสัจ ๔

ผู้รู้ คือ รู้ในอริยะสัจ ๔ รู้กิจของอริยะสัจ ๔
ผู้ตื่น คือ ทำกิจในอริยะสัจ ๔
ผู้เบิกบาน คือ เห็นแจ้งผลสำเร็จ

          ภู : ยังไงต่ออะ เหมือนสั้นแต่ทำยากมั้ยอะ  (⁠´⁠-⁠﹏⁠-⁠`⁠;⁠)
         ชิว : การรู้สัจจะ

รู้อริยะสัจ ๔ คือ

ทุกข์ ความไม่สบายกายใจทั้งปวง (อุปาทาน) หรือ ปัญหา
สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ หรือ เหตุแห่งปัญหา
นิโรธ ความดับทุกข์ หรือ ความดับสิ้นปัญหา
มรรค ทางดับทุกข์ (มรรค คือ การสำรวมระวังกรรม) หรือ ทางแก้ไขปัญหา

           ภู : งืมๆๆๆๆ  (⁠*⁠・⁠~⁠・⁠*⁠) เหมือนในวิชาสังคม พระพุทธศาสนาเลย
          ชิว : การรู้กิจหน้าที่ของสัจจะที่ต้องทำ

      รู้กิจ(หน้าที่)ในอริยะสัจ ๔ ที่ต้องเอามาปฏิบัติ คือ..
      ๑. ทุกข์ หรือ ปัญหา ควรกำหนดรู้
      ๒. สมุทัย หรือ เหตุแห่งปัญหา ควรละ
      ๓. นิโรธ หรือ ความดับสิ้นปัญหา ควรทำให้แจ้ง (ควรทำให้เห็นปรากฏแจ้งชัด)
      ๔. มรรค หรือ ทางแก้ไขปัญหา ควรเจริญให้มาก (ควรทำให้เกิดมีขึ้นจนครบองค์บริบูรณ์)

          ภู : ต้องทำยังไงอะชิว  (⁠*⁠・⁠~⁠・⁠*⁠)
         ชิว : ก็ต้องรู้หลักการเฟ้นหาสัจจะทั้ง 4 ข้อ ดังนี้

การพิจารณาหาสัจจะทั้ง ๔

๑. การหาตัวทุกข์ หรือ ตัวปัญหาชีวิต
          ..ให้กำหนดรู้พิจารณาไตร่ตรองที่..การกระทำ ว่ากระทำเช่นไร การกระทำใดคือตัวทุกข์

๒. สมุทัยเหตุแห่งทุกข์ หรือ เหตุของปัญหาชีวิต
          ..ให้สืบค้นหาต้นเหตุสิ่งจูงใจให้กระทำ รู้ลักษณะของเหตุสิ่งจูงใจว่าเป็นเช่นไร

๓. นิโรธ ความดับพ้นทุกข์ หรือ ความดับพ้นสิ้นไปปัญหา
          ..ทำความดับสิ้นพ้นเหตุจูงใจกระทำ ให้ปรากฏชัดจนเห็นแจ้งว่า..เมื่อเหตุกระทำใดๆดับไปแล้ว ลักษณะอย่างใดดับไป และมีสิ่งใดปรากฏขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏขึ้นมีลักษณะเช่นไร มีสิ่งใดเป็นองค์ประกอบ

๔. มรรค ทางดับทุกข์ หรือ ทางแก้ปัญหา
          ..พิจารณาองค์ประกอบในนิโรธให้แจ้ง ว่ามีองค์ประกอบเป็นเช่นไร..มีสิ่งใด-ไม่มีสิ่งใด ทางดับเหตุให้กระทำ ก็คือ องค์ประกอบอันนั้น..การวินิจฉัยไตร่ตรองเจาะลึกให้เข้าเห็นถึงกระกระทำของมรรคที่ดับสมุทัยเหตุสิ่งจูงใจให้กระทำ คือ โพชฌงค์ ซึ่ง โพชฌงค์นี้เป็น สติ สมาธิ ที่แยบคาย ในองค์มรรค เป็นการใช้เหตุอันเป็นองค์ ๘ ของจิตแห่งมรรคละเหตุแห่งทุกข์ ทำให้มรรคมีองค์ ๘ บริบูรณ์

          ภู : อ่า..ยาวอะ จนเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ  (⁠^⁠~⁠^⁠;⁠)⁠ゞ
         ชิว : งั้นภูจำหลักอย่างนี้..

          สรุปหลักการพิจารณาและใช้ อริยะสัจ ๔
     1. ทุกข์ คือ สิ่งที่เป็นทุกข์ทั้งปวง ควรกำหนดรู้ : เป็นอุปนิสัยการกระทำ (จิตสำนึกในทางไม่ดี)
     2. สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ ควรละ : เป็นเหตุจูงใจให้เกิดอุปนิสัยการกระทำ [อนุนิสัยกิเลส], (จิตใต้สำนึกในทางไม่ดี)
     3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ควรทำให้แจ้ง : เป็นความดับสิ้นอุปนิสัยการกระทำ (หลุดพ้นจิตใต้สำนึกในทางไม่ดี)
     4. มรรค คือ ทางดับทุกข์(เหตุดับทุกข์) ควรทำให้มาก : เป็นทางดับ(เหตุดับ)อุปนิสัยการกระทำ (สร้างจิตสำนึกที่ดีจนเป็นจิตใต้สำนึก) (เป็นการประครองใจให้สำรวมระวังกรรม(การกระทำ) เป็นสิ่งที่ควรทำสะสมเหตุให้มากจนเกิดมีขึ้นเต็มบริบูรณ์ เพื่อให้ทางดับ(เหตุดับ)อุปนิสัยการกระทำนั้น มีกำลังมากพอที่จะใช้ดับเหตุอุปนิสัยการกระทำ [อนุสัยกิเลส])
      • โพชฌงค์ คือ องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ ควรทำการโยนิโสมนสิการให้แยบคายจนรู้แจ้งแทงตลอด : เป็นสติและสมาธิในมรรคมีองค์ ๘ ที่ได้ทำการพิจารณาโดยแยบคายจนรู้แจ้งแทงตลอดแล้ว เป็นเหตุล้างเหตุอุปนิสัยกิเลสในสันดาน [อนุสัยกิเลส] โดยการใช้ทางดับ(เหตุดับ)ทุกข์ มาชำระล้าง เหตุแห่งทุกข์)

           ภู : งืมๆๆๆ งงๆ อยู่
         ชิิว : งั้นให้ภูทำแบบนี้นะ..การกำหนดรู้ทุกข์ ให้ภูลองทำใจให้สะบายๆ แล้วนึกวิเคราะห์ดูนะว่า..ตอนภูเกิดอาการซึมเศร้า ภูเป็นยังไง มีกระทำทาง กาย วาจา ใจ อย่างไรบ้่าง ลองใช้ผลจากการฝึกสติทำสมาธิหวนระลึกดูนะ ติ๊กต็อกๆๆ
           ภู : งืมๆๆๆ (ภูหลับตา แล้วนึกย้อน) แรกเริ่มเลยใช่มั้ย

: พอภูเจอเรื่องอะไรกระทบใจ ภูก็จะคิดด้วยความรู้สึกว่า..สิ่งที่ภูเจอมันมีแต่เรื่องไม่ดี มีแต่สิ่งร้ายๆ ไม่มีคนสนใจ มีแต่คนทำร้ายภู ทำไมมันมีแต่เรื่องแย่ๆในชีวิต ทำไมไม่มีความสุขเหมือนตนอื่นเขา

: ตอนที่ภูคิดว่าชีวิตไม่มีความสุขเลย ก็รู้สึกแย่เอามากๆ ก็รู้สึกใจมันหดหู่ยังไงไม่รู้..แล้วมันก็ไม่อยากรับรู้อะไร..พอเสร็จภูก็คิดซ้ำๆวนๆ มันก็เกิดความคิดว่าโลกนี้ไม่ต้องมีเราก็ได้ หรือ บางครั้งก็คิดว่า ตายมันไปเสียให้จบๆ จะได้ไม่ต้องเจอสิ่งพวกนี้อีก หรือ ตายชดใช้ความผิดมันไปเลย คิดซ้ำๆอยู่อย่างนั้น

: ตอนที่คิดวนๆซ้ำๆ ใจมันก็คิดว่าใช่ มันเป็นอย่างนั้น ชีวิตเรามันมีแค่นั้น ก็เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย

         ชิว : ภูเห็นการกระทำที่เป็นตัวทุกข์มั้ย
           ภู : ฆ่าตัวตายหรอ
         ชิว : ก่อนที่จะฆ่าตัวตาย
           ภู : ย้ำคิดย้ำทำ
         ชิว : ถูกต้อง..แล้วก่อนย้ำคิดย้ำทำล่ะ
           ภู : ก็คิดว่าชีวิตภูไม่เคยได้รับสิ่งดีมีความสุขอย่างใครเขาเลย
         ชิว : มาถูกทางแล้ว..มีก่อนหน้านั้นอีกมั้ย
           ภู : ก็คิดว่ามีแต่สิ่งไม่ดีเกิดกับภู มีแต่คนทำร้าย มีแต่คนทำเรื่องแย่ๆใส่ภู มีแต่คนด่า คนแกล้งทำร้ายภู
         ชิว : ดีมากถูกทางแล้ว ภูสังเกตุมั้ยว่า..

    : ทุกอย่างเกิดจากการคิด แล้วก็ยึดเอาความคิดแง่ลบมาเป็นชีวิตตัวตนของภู ทั้งการคิดและยึดความคิด..ก็ล้วนแต่เป็นการกระทำทางใจทั้งสิ้น

    : เมื่อการกำหนดรู้ตัวทุกข์ คือ การกำหนดรู้การกระทำ ดังนั้น..การกระทำที่เป็นตัวทุกข์ หรือ ปัญหาของภู ก็คือ การคิดในทางลบที่บั่นทอนจิตใจตนเอง แล้วยึดเอาความคิดนั้นมาเป็นตัวตนชีวิตของตัวเอง

          ภู : ยังไงนะ..??
         ชิว : เพราะภูคิดในแง่ร้ายบั่นทอนสุขเพิ่มทุกข์ให้ตนเอง, ย้ำคิดย้ำทำในสิ่งที่ทำร้ายตัวเอง จึงหดหู่ ห่อเหี่ยว แล้วก็ยึดหลงคล้อยตามความคิดนั้นจนเกิดซึมเศร้าแล้วกระทำในทางที่ผิด
           ภู : งืมๆๆๆ...ก็จริงแฮะ
         ชิว : การกระทำ..ที่ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าของภู ก็คือ ความคิด Toxic
           ภู : อ่า..ฮะ..
         ชิว : ซึ่งกระบวนการของความคิด Toxic นี้ จะเกิดขึ้นเพราะ..

    : Toxic เป็นการที่ใจภูไปหวนนึกคิดยึดเอาเรื่องราวในสิ่งที่หดหู่ใจมาคิดซ้ำๆ วนๆ จนหลงติดอยู่ในวังวนความคิดที่ภูหดหู่ใจ ซึมเศร้า จนเกิดการทำร้ายตนเอง..ดังนั้น ความคิด Toxic คือ ตัวทุกข์ หรือ ตัวปัญหาของภู

         ภู : งืมๆ พอจะเข้าใจแต่ก็งงๆหน่อย อธิบายเพิ่มได้มั้ยอะชิว

        ชิว : ยกตัวอย่าง..ลองกำหนดรู้หวนคิดวิเคราะห์ดูว่า..วันนี้ที่ภูไปเตะบอลนะ ทั้งๆที่เจอเพื่อนด่าเหมือนกันใช่ไหม.. แล้วทำไมภูไม่เกิดอาการซึมเศร้าล่ะ..นั่นเพราะภูไม่คิดในทาง Toxic ที่บั่นทอนจิตใจตนเองใช่มั้ย
           ภู : จริงด้วย !!..โอ้ว้าวว..  (⁠ノ⁠◕⁠ヮ⁠◕⁠)⁠ノ⁠*⁠.⁠✧  มันแค่นี้เองเนอะ
         ชิว : งั้นทุกข์ของภูก็คือความคิด ยึดหลงความคิด Toxic ตัวเอง
           ภู : อ่า..ทุกข์ คือ ความคิด Toxic
         ชิว : ความคิด Toxic นี้แหละ คือสิ่งที่ต้องดับให้สิ้นไป
           ภู : โอเช..  <⁠(⁠ ̄⁠︶⁠ ̄⁠)⁠>

        ชิว : แล้วภูจะดับความคิด Toxic ได้ยังไง ภูก็ต้องสืบค้นหาเหตุจูงใจให้เกิดความคิด Toxic นั้น
           ภู : เหตุคืออะไรอะ ??
         ชิว : ภูลองนึกย้อนทบทวนๆสืบค้นหาปมในใจไปสิว่า ทำไมถึงคิดในแง่ร้าย ทำไมคิดแต่สิ่งที่หดหู้ใจ ติ๊กต็อกๆๆ
           ภู : งืมๆๆๆ (ภูหลับตา แล้วนึกย้อน)
           ภู : เพราะภูไม่ชอบที่ใครมาด่า มาตี มาดูถูกเหยียดหยามภู ไม่ชอบให้ใครมาพูดแย่ๆ หรือทำอะไรที่เลวร้ายกับภู
         ชิว : เพราะชอบชังใช่มั้ย ทำไมล่ะ
           ภู : ก็ภูอยากให้โลกนี้มีคนเข้าใจภู ไม่อยากให้มองว่าภูไร้ค่า อยากให้คนอื่นไม่ทำร้ายภู อยากมีเพื่อนที่ดีกับภู อยากให้เขาไม่ทอดทิ้งภู อยากให้ครูไม่ด่าภู อยากให้ปะป๊ารักและห่วงภู ไม่ด่า ไม่ตีภู
         ชิว : ทั้งหมดนี้ คือ ความปรารถนาต้องการของภู ที่อยากได้รับจากคนอื่น ตามความยินดียินร้ายของตน ใช่ไหม
           ภู : อืม..ก็ใช่นะ
         ชิว : แล้วทำไมต้องอยากได้รับจากคนอื่นมากนักล่ะ ทั้งๆที่พอไม่ได้รับการตอบกลับจากเขาอย่างที่ใจคาดหวังปารถนาไว้ ก็มาคิดว่าทำไมเจอเรื่องแย่ๆ ทำไมต้องเจออย่างนี้ ทำไมไม่เจอสิ่งดีๆอย่างคนอื่นบ้าง เป็นเหตุให้เกิดการยกเอาสิ่งแย่ๆมาย้ำคิดย้ำทำ ก็เลยหดหู่เสียใจใช่ไหม
           ภู : อืม..ก็ภูอยากให้ทุกคนใจดีกับภูอะ
         ชิว : นี่บ่งบอกถึงว่า..ความปารถนาอยากให้ทุกคนใจดีกับภูนั่นแหละ คือ เหตุให้เกิด Toxic

    ก็เพราะความปรารถนาต้องการของภู ที่จะได้รับในสิ่งตนที่ชอบ สิ่งที่ตนพอใจยินดี เป็นสุขจากผู้อื่น..นี่แหละ..จึงเกิดเป็น “เหตุจูงใจ” ให้ภูคิดย้ำแต่แง่ลบใช่มั้ย

           ภู : ใช่นะ..ก็จริงนะ
         ชิว : นั่นแสดงให้เห็นว่า..

    : การที่ภู..“คาดหวังปรารถนาเอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับผู้อื่น” ยังไงล่ะ “ไม่เคยคิดมองสุขที่เกิดขึ้นได้จากตนเองเลย”..แต่เพราะสิ่งที่ภูคาดหวัง “มันอยู่เหนือการควบคุมของเรา”..ทำให้สิ่งที่เขากระทำตอบกลับภู ไม่เป็นไปดั่งที่ใจภูปรารถนาต้องการ ภูก็เลยคิดไปในความรู้สึกที่ด้อยค่าตัวเอง

    : นี่แหละ คือ เหตุจูงใจให้กระทำ..ทำการคิดลง Toxic ของภู นี่คือ สมุทัยของภู”

           ภู : อ่า..พูดให้เข้าใจชัดขึ้นได้มั้ยอะ

          ชิว : ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ที่ภูไปเตะบอล ก่อนไปภูเครียด จึงทำ “พุทโธวิมุตติ” เพื่อดับเครียด และ เห็นสุขอยู่ที่กายใจตน แล้วภูก็ได้สติ “ไม่ตั้งความคาดหวังปรารถนา”..ว่าคนอื่นจะต้องมาให้ความสำคัญกับภู คือ ไม่เอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับใคร” ใครจะเล่นด้วยหรือไม่เล่นด้วยก็ไม่เป็นไร..โดยการที่ภู “ไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญตรงนี้”..กับคำพูดหรือการกระทำของใครที่จะต้องเจอ คิดแค่จะไปเตะบอลหรือวิ่งออกกำลังกายสนุกๆเท่านั้น “เป็นการเอาความสุขว่ามาไว้ที่ตัวเอง โดยไม่ต้องไปอาศัยเอาจากผู้อื่น จึงไม่เกิดความยินดียินร้ายกับการกระทำของใคร” แล้วก็สนุกมีความสุขอย่างวันนี้ ใช่ไหม ..กระบวนการทั้งหมดนี้ คือ “จิตตสังขาร”
           ภู : จริงด้วย..!!
         ชิว : ก็นี่ไง..ความปารถนา คือ เหตุแห่งทุกข์ที่ควรละ ที่ภูได้ละแล้ว..จึงส่งผลดีให้ภู..เพราะภูดับเหตุการกระทำนั้นแล้ว ความหมดสิ้นเหตุให้กระทำ(ความคิด Toxic) ของภูจึงเกิดขึ้น
          ภู : นั่นสินะ..มันแค่นี้เองเนอะ แต่ภูจะทำได้ตลอดยังไง
         ชิว : ก็ต้องสะสมเหตุในทางดับเหตุกระทำของภูที่เรียกว่า..มรรค

มรรค คือ ทางดับทุกข์, ทางแก้ปัญหา, ทางดับการกระทำของภู, เป็นการสำรวมระวังกรรม..ด้วยสติปัญญาเห็นชอบ

          ภู : ทำยังไงอะ
         ชิว : พิจารณาจากความดับสิ้น Toxic ของภูในวันนี้..ลองนึกถึงตั้งแต่ตอนจะออกจากบ้าน ตอนภูออกไปเตะบอลกับเพื่อน ได้เตะบอลกับเพื่อน จนภูกลับบ้านในวันนี้ดู ว่าตอนนั้นใจภูเป็นยังไง คิดยังไง ทำยังไง..ติ๊กต็อกๆๆ
          ภู : อ่า..เหมือนตอนนั้น งืมๆๆ

    : ตอนเครียดภูจำที่ชิวสอนได้ว่า ให้ทำพุทโธวิมุตติสุข เอาสุขตั้งไว้ที่กายใจตนเอง ภูก็เลยทำพุทโธวิมุตติ แล้วภูก็สงบ สบาย สดชื่น ผ่อนคลาย ไม่ตรึงเครียด จึงทำให้เห็นว่า สุขอยู่ที่กายใจเราทำ..ก็เลยคิดว่าเราไปเล่นออกกำลังกายไม่ต้องสนใจใครจะว่าภูยังไง แค่ไปเล่นสนุกสนานของภูก็พอ แล้วภูก็ไปเล่น ตอนแรกก็ตึงๆอยู่เหมือนกัน ก็เลยคิดว่าเอาน่า..เล่นคนเดียวก็ไม่เป็นไรนี่ ทุกคนมาเล่นเพื่อความสนุกผ่อนคลายนี่ ไม่ได้มาเล่นเพื่อเครียด แล้วเราจะเครียดไปทำไม ถ้าเขาขาดคนก็คงเรียกเราเอง ภูเลยไปยืมบอลเขาเตะโต้กับกำแพงเล่น แล้วพอเขาลงเตะเดิมพันกันเสร็จ ก็ชวนภูเล่นทีมกัน

    : ตอนลงทีมกับเขานั้น เขาก็มีด่าภูบ้าง..แต่ภูก็คิดว่า เอาน่า..เขาก็อยากเตะชนะกันทุกคนแหละ แล้วเพื่อนกันเขาก็พูดกันอย่างนี้แหละ มีหยาบบ้างตามประสา เพราะอายุเท่ากันก็ด่ากันตามปกติ เมื่อคิดแบบนี้..พอเขาว่าภูมาภูก็ไม่ใส่ใจแล้วก็ตั้งใจเป็นกองหลังกันประตูก็พอ พอเล่นเสร็จเขาก็ชมว่าภูสุดยอดแล้วก้อไม่งอแงเหมือนเก่า

        ชิว : แล้วภูมีความสุขมั้ยล่ะ
         ภู : ก็ต้องมีสิคร้าบบบ (⁠≧⁠▽⁠≦⁠)
        ชิว : ภูก็ต้องรู้มูลเหตุความดับทุกข์ของภู ที่่่เป็นองค์ประกอบการกระทำต่างๆ ที่ทำให้ภูถึงการดับ Toxic ในวันนี้ เพราะทุกข์และปัญหาของภู คือ สภาพจิตใจ ภูก็ต้องรู้เหตุเกิดและดับใน “จิตตสังขาร” ด้วย

    “จิตตสังขาร” คือ “สภาพที่ปรุงแต่งกระทำทางใจ” สิ่งปรุงแต่งที่เกิดกระทำทางจิต เป็นสิ่งที่จิิตอาศัยเกิดขึ้นให้ใจรู้ มี 3 อย่าง ได้แก่
    1.) เวทนา คือ ความรู้สึกสุข-ทุกข์-เฉยๆ (ปัจจัยปรุงแต่ง)
    2.) สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ ความสำคัญมั่นหมายของใจในความยินดี ยินร้าย และ เฉยๆ (ปัจจัยปรุงแต่ง)
    3.) สังขาร คือ เจตนาความนึกคิดสืบต่อ (การกระทำ)

          ภู : งงๆอะ
         ชิว : ย่อๆก็คือ..

รู้จิตตสังขาร ก็คือ..
    1.) รู้สุขรู้ทุกข์
    2.) รู้สิ่งที่จดจำสำคัญใจ
    3.) รู้ความนึกคิด

         ภู : อืม..สั้นๆเข้าใจ สุขทุกข์, สำคัญใจ, คิด..แล้วภูต้องทำยังไงอะ

      ชิว : ข้อที่ 1. เวทนา คือ ความสุข-ทุกข์ และ ความสุขที่ภูปารถนานั้น คือ ต้องการได้รับสุขจากผู้อื่น คือ สุขภายนอก เป็นสุขที่เนื่องด้วยกาย..เพราะต้องอาศัยตาเห็นสิ่งที่ตราตรึงใจ จึงเป็นสุข, หูได้ยินเสียงที่ตราตรึงใจ จึงเป็นสุข, จมูกได้กลิ่นที่ตราตรึงใจ จึงเป็นสุข ลิ้นได้ลิ้มรสที่ตราตรึงใจ จึงเป็นสุข และ กายได้สัมผัสที่ตราตรึงใจ จึงเป็นสุข พอเกิดสิ่งใหม่มากระทำ ที่กระทบกระทั่งเปลี่ยนแปลง สุขนั้นก็แปรปรวนดับไป เกิดทุกข์ตั้งขึ้นมาแทน มันอยู่ได้ไม่นานใช่ไหม จะไปบังคับควบคุมให้เขาทำแต่สิ่งที่ภูสุขก็ไม่ได้ พอนึกถึงก็ปรารถนาโหยหา
        ภู : มันก๋็จริงแฮะ
       ชิว : ส่วนสุขที่ภูเอามาตั้งไว้ในใจตนโดยไม่อิงอาศัยผู้อื่น แบบพุทโธวิมุตติสุข คือ สุขภายใน เป็นสุขที่เนื่องด้วยใจ อาศัยใจสัมผัส มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเช่นเดียวกัน แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของใครภายนอก ไม่ต้องรอได้รับจากใคร ไม่ต้องไปร้องขอจากใคร นึกถึงเมื่อไหร่ก็สุขเมื่อนั้น จึงไม่กระทบแปรปรวนดับไปเพราะการกระทำของใคร แต่อยู่ที่กำลังใจเข้มแข็งของภูเอง ใช่มั้ย
        ภู : ใช่..จริงด้วย
       ชิว : สุขจากภายนอกและภายใน ต่างก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่..สุขไหนตั้งอยู่ได้นานกว่ากัน สุขไหนกระทบแปรปรวนได้น้อยกว่ากัน สุขไหนที่เกิดขึ้นได้โดยอิงอาศัยสิ่งล่อใจน้อยกว่ากัน และ สุขไหนทำให้เกิดขึ้นได้โดยไม่จำกัดกาลกว่ากัน
        ภู : พุทโธวิมุตติ เอาสุขมาตั้งที่กายใจตน สุขได้นานกว่า ไม่กระทบแปรปรวนเป็นทุกข์จากการกระทำของใคร นึกถึงเมื่อไหร่ก็เป็นสุข
       ชิว : เยี่ยมมาก !! นี่ภูรู้สุขรู้ทุกข์ รู้การเกิดดับในเบื้องต้นแล้ว ก็ชื่อว่ารู้เวทนาแล้ว ก็ให้ภูจับหลักเอาตรงนี้แหละ
        ภู : ว้าวว..ภูเก่งใช่มั้ยล่ะ สุขกายคือรับจากคนอื่น สุขใจคืออยู่ที่ใจเราทำ

      ชิว : ข้อที่ 2 สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้, ความจดจำสำคัญมั่นหมายของใจ เวลาเราพบเจอสิ่งใด ใจเราก็มักจะจดจำไว้เสมอ เจอสิ่งที่รับรู้แล้วภูรู้สึกสบายใจเป็นสุข ภูก็จะจดจำให้ความสำคัญกับใจต่อสิ่งนั้นในความยินดี ก็ตราตรึงใจ ติดตรึงใจใคร่ปราถนา
        ..แต่ถ้าภูรัับรู้สิ่งใดแล้วภูรู้สึกไม่สบายใจเป็นทุกข์ ภูก็จะจดจำให้ความสำคัญกับใจต่อสิ่งนั้นในความยินร้าย ก็ไม่ตราตรึงใจ ใคร่ปารถนาผลักไสออกไปให้ไกลตน..เหมือนที่ภูให้ความสำคัญใจต่อการกระทำของผู้อื่นไว้ไง
        ภู : อืมมม..ก็จริงนะ
       ชิว : ความสำคัญใจก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แปรปรวน เปลี่ยนแปลงไปได้ เหมือนภูตอนเด็กไม่กินเผ็ด เกลียด ไม่ชอบ แต่โตมากลับชอบกินเผ็ด มันซี๊ดซ๊าดถึงใจไง “อยู่ที่เราจะให้ค่าความสำคัญ..สร้างความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดี..เอามาใส่ไว้ในใจของเราอย่างไร” มันเกิดขึ้น แปรปรวน เปลี่ยนแปลง ดับไปได้ตลอดเวลา ความสำคัญใจใหม่มา ความสำคัญใจเก่าก็ดับทันที มันเป็นอย่างนี้แหละ..การไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญของใจกับสิ่งใด คือ อุเบกขา ความไม่ยินดียินร้ายในสิ่งที่ให้สำคัญมั่นหมายเอาไว้กับใจ
        ภู : โอ้ว..เหมือนจะใช่แฮะ ความสำคัญใจ คือ ฝังใจ ฝังจำ หรือ เอามาใส่ใจให้ความสำคัญว่า..ชอบ ชัง นี่เอง
       ชิว : แล้วจะทำยังไงให้เลิกใส่ใจให้ความสำคัญได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะตอนที่ ตรึงเครียด
        ภู : บอกวิธีหน่อยสิชิว.. (⁠ ⁠╹⁠▽⁠╹⁠ ⁠)
       ชิว : ภูก็จำเป็นต้อง..รู้ความพอใจยินดีที่ควรเสพและไม่ควรเสพ, รู้ความไม่พอใจยินดีที่ควรเสพและไม่ควรเสพ, รู้อุเบกขาที่ควรเสพและไม่ควรเสพ
        ภ : ทำยังไงก่อน ด่วนๆ…
       ชิว : ภูชอบให้คนอื่นทำดีกับภู ทำในสิ่งที่ภูชอบ ภูจึงตั้งความปารถนา โหยหามัน, ถ้าเจอสิ่งที่ไมชอบ ไม่พึงปรารถนา ก็เสียใจ, แต่ถ้าเจอสิ่งที่ชอบและไม่ชอบเสมอกัน เช่น เหมือนภูอยากจะมีเพื่อนสักคนหนึ่งจะได้ไม่โดดเดี่ยว แรกคบภูเป็นสุขที่มีเพื่อน ภูก็ให้ค่าความสำคัญกับเขามาก แต่พอคบเพื่อนคนนั้นสักพักแล้ว เขาชอบมาพูดหยาบด่าภู..จึงทำให้ภูรู้สึกว่า..เราอยากเป็นเพื่อนเขานะ แต่เขาพูดไม่ดีไม่กับเรา เพื่อนคนนี้เมื่อคบแล้ว แม้เราจะไม่โดดเดี่ยว(ชอบ) แต่ก็อึดอัดใจทุกครั้ง(ชัง) ก็เกิดปริมาณความชอบและชังที่เกิดมีขึ้นพอๆกัน จึงเกิดความรู้สึกมีใจกลางๆไม่น้อมไปทั้งความชอบและชัง จึงลังเลที่จะคบเขาต่อ..เมื่อภูคิดพิจารณาเห็นคุณและโทษที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นว่า..หากคบต่อก็ต้องไม่ใส่ใจคำพูดและการกระทำของเขา และหากไม่คบต่อก็ไม่เสียหายอะไร ก็จึงเกิดตกลงใจ(ความเชื่อจากการพิจารณาคุณและโทษ) ว่าเพื่อนคนนี้ภูจะคบก็ได้หรือไม่คบก็ได้ แต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคมภูก็เลือกวางใจไว้ในความรู้สึกเฉยๆ ก็แค่คุยได้แต่อย่าสนใจคำพูดการกระทำของเขา และ ไม่คลุกคลีสนิทชิดเชื้อมากไป ไม่เอาสุขไปผูกขึ้นไว้กับเขาอีก ภูก็จึงไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญกับเขา
        ภ : มันจริงแฮะ…
       ชิว : ..ดังนี้เมื่อเราจะแก้ความอยากในสิ่งที่ติดตราตรึงใจให้ยินดี-ยินร้าย ก็ต้องใช้ 2 หลัก ที่เรียกว่า..การเลือกธัมมารมณ์ที่ควรเสพ (สิ่งใดที่ทำแล้วกุศลธรรมเกิดขึ้น-อกุศลธรรมเสื่อมลง) และ ธัมมารมณ์ที่ไม่ควรเสพ (สิ่งใดที่ทำแล้วอกุศลธรรมเกิดขึ้น-กุศลธรรมเสื่อมลง) คือ.
       1. ความพอใจยินดีที่ควรเสพ (เมื่อทำแล้วกุศลธรรมเจริญขึ้น-อกุศลธรรมเสื่อมลง)
       2. ความไม่พอใจยินดีที่ควรเสพ (เมื่อทำแล้วกุศลธรรมเจริญขึ้น-อกุศลธรรมเสื่อมลง)
       3. ความเชื่อด้วยปัญญา รู้เห็นประโยชน์ตามจริง แล้วไม่ติดใจข้องแวะ เป็น..อุเบกขาที่ควรเสพ (เมื่อทำแล้วกุศลธรรมเจริญขึ้น-อกุศลธรรมเสื่อมลง)

วิธีใช้ในการเลือกธัมมารมณ์ที่ควรเสพย์

       1.) ตั้งใจมั่นใน..ความพอใจยินดีที่ควรเสพ คือ พอใจที่จะคบเพื่อนโดยที่ภูไม่ต้องไปใส่ใจให้ค่ากับคำพูดและการกระทำของเขา หรือ ยินดีที่จะเอาความสุขสำเร็จของภูมาตั้งไว้ที่กายใจตน
          (เพราะมันทำให้ภูเป็นสุข ไม่ต้องทุกข์กับการกระทำตอบกลับของใครอีก มันแช่มื่น เบิกบาน มีจิตแจ่มใสร่าเลิก เป็นสุขที่ปราศจาก Toxic)
       2.) ตั้งใจมั่นใน..ความไม่พอใจยินดีที่ควรเสพ คือ ไม่พอใจที่จะคบเพื่อนโดยให้ค่าความสำคัญกับคำพูดและการกระทำของเขา หรือ ไม่ยินดีให้ความสุขสำเร็จของภูต้องไปผูกติดขึ้นอยู่กับเขา
          (เพราะมันทำให้ภูอึดอัด อัดอั้น คับแค้นกายใจ ไม่สบายกายใจ เป็นทุกข์ระทมให้ไปดึงเอา Toxic มาคิดซ้ำๆวนๆบั่นทอนจิตใจตนเอง)
       3.) ตั้งใจมั่นใน..อุเบกขาที่ควรเสพ คือ ต้องไม่ติดใจข้องแวะกับคำพูดและการกระทำของใครจนเกินความจำเป็น หรือ ไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญกับคำพูดหรือการกระทำของใคร ที่มา Toxic ทำร้ายภู
          (ต้องอาศัย ศรัทธา ความเชื่อมั่นด้วยปัญญาในสิ่งที่ทำ ว่าสิ่งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขดีงามของเราในปัจจุบันและภายหน้า ทำให้ภูพบปะคบหากับใครได้โดยไม่ต้องไปเก็บเอาสิ่งใดมาคิดให้เครียดให้ว้าวุ่นใจ ไม่หดหู่ ไม่ Toxic เพราะเราใช้ปัญญาไตร่ตรองเห็นแจ้งแล้ว จึงเลือกที่จะไม่ติดใจข้องแวะการกระทำของเขา..
        หมายเหตุ : ความติดใจข้องแวะ หมายถึง..
        ความติดใจ ประการที่ 1.) ความติดตราตรึงใจยินดี, ความสำคัญใจยินดี, ชื่นชอบพอใจ, ความประทับใจ, โลภ / ไม่ติดใจ คือ ไม่สำคัญใจยินดีติดตราตรึงใจ
        ความติดใจ ประการที่ 2.) ความขุ่นข้องขัดเคืองใจ, ความสำคัญใจยินร้าย ขัดเคืองใจ ข้องใจ ค้างคาใจ ฝังใจโกรธ แค้น เกลียด ชัง สงสัย / ไม่ติดใจ คือ ไม่สำคัญใจยินร้ายขุ่นข้องขัดเคืองใจ
        ความข้องแวะ คือ ใส่ใจให้ความสำคัญ, ผูกใจ, ข้องเกี่ยว, ยุ่งเกี่ยว, เกี่ยวพัน / ไม่ข้องแวะ คือ ไม่ใส่ใจให้ความสำคัญ ไม่ผูกใจข้องเกี่ยว
      • ความติดใจข้องแวะ คือ การใส่ใจให้ค่าความสำคัญทั้งสิ่งที่ยินดี-ยินร้าย
      • ความไม่ติดใจข้องแวะ คือ การไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญทั้งสิ่งที่ยินดี-ยินร้าย
        ภู : โอ้ว..ใช่เลยแฮะ เหมือนที่ทำเมื่อตนไปเตะบอลเลย ยินดีในสุขที่เกิดขึ้นจากกายใจภู, ยินร้ายที่ความสุขของภูต้องไปขึ้นอยู่กับใคร, ไม่ใส่ใจให้ค่าความสำคัญกับสิ่งที่รู้สึกแย่ๆ
       ชิว : เก่งมาก..นี่่ก็ชื่อว่าภูรู้จัก สัญญาในเบื้องต้นแล้วนะ

       ชิว : ข้อที่ 3 สังขาร คือ เจตนาความนึกคิด ซึ่ง เจตนา คือ ความจงใจ, ความมุ่งหมายกระทำใจไว้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือ อาการที่ใจไปน้อมนึกไปจับเอาสิ่งที่ได้รับรู้ความรู้สึก และ สิ่งที่เคยจดจำให้ความสำคัญใจทั้งหลายนั้น..ทั้งที่เป็นกุศล หรือ อกุศล แล้วเอามาคิดสืบต่อเรื่องราว กล่าวคือ..เป็นการเอาใจเข้ายึดมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราจดจำให้ความสำคัญกับใจไว้ มาคิดสืบต่อเรื่องราวตามความปารถนาของใจนั่นเอง
        ..เจตนานี้มันเกิดขึ้นจับอารมณ์แล้วก็ดับไป ส่วนตัวที่จับตรึงสิ่งที่เราน้อมนึกขึ้นมานั้นให้ตั้งอยู่ไว้ได้ คือ “อุปาทาน” เป็นเจตนาที่เป็นความยึดมั่นถือมั่น จึงเกิดเจตนาซ้ำอีกรอบเพื่อคิดสืบต่อเรื่องราว
        ภู : อ่า..อืม
       ชิว : ส่วนความคิด ก็เป็นการที่เราเอาสิ่งที่ใจไปนึกหยิบยึดจับมานั้น สืบต่อเรื่องราวต่างๆ 
        - หากคิดในกุศล คือ คิดละความติดตรึงยินดี คิดละความยินร้าย พยาบาท คิดเว้นจากความเบียดเบียน (คิดดี, คิดบวก = ให้ผลเป็นสุข)
        - หากคิดในอกุศล คือ คิดในความติดตรึงยินดี คิดในความยินร้าย พยาบาท คิดในความเบียดเบียนไปตามที่ใจรัก ชัง หลง กลัว (คิดไม่ดี, คิดลบ, Toxic = ให้ผลเป็นทุกข์)
         ..สรุป..การจงใจคิดนึกให้เป็นไปในอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่เราได้ให้ความสำคัญใจไว้ ไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศล..ส่งผลต่อการกระทำของใจ..ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ชอบ ที่ชัง หรือ เรื่องใดก็ตามนั่นเอง นี่แหละคือ สังขาร
        ภู : ความนึกคิดต่างๆทั้งดีร้าย งั้น Toxic
7  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน พุทโธวิมุติสุข เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:19:19 pm
..หลังจากชิวให้คำแนะนำเรื่องรู้ตน และภูได้ฝึกรู้ตนในหมวดกายแล้ว ภูก็เริ่มหลับสบายขึ้น ปรอดโปร่งขึ้น จนระยะเวลาพักฟื้นบำบัดจิตภูผ่านไปได้ 3 วัน..

Time Line
1. ภูฆ่าตัวตายวัน ศุกร์ ช่วง 13:00 
2.รพ.จนเช้าวันเสาร์ พบจิตแพทย์ ออกจาก รพ. ในช่วงเช้า 9:00
3. ภูวิ่งให้รถชนวันเสาร์กลังจากไปเตะบอล 17:00
4. วันอาทิตย์ ภูไปซื้อข้าวพบข่าวนักเรียนกระโดดตึกฆ่าตัวตาย คนกล่าวถึงกรรมฆ่าตัวตายทำให้ภูกลัว และได้เรียน การรู้ตนหมวดกาย จากชิว
5. วันอาทิตย์-วันจันทร์-วันอังคาร ชิวให้ภูฝึกการรู้ตนหมวดกาย หลังอาหาร วันละ 3 ครั้ง ดังนี้..

     - ฝึกรู้สถานะตนเองในสถานการณ์ปัจจุบัน
     - ฝึกเดินจงกรม 20 นาที
     - ฝึกนั่งสมาธิ 20 นาที
     - ฝึกตรวจสอบอัตภาพร่างกาย 10 นาที

..พบจุดด้อยหรือปัญหาทางจิตและร่างกายว่า..

        ๑. สติ-สัมปะชัญะ และ สมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่อตั้งใจอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน จำอะไรนอกจากสิ่งที่ตนสนใจได้ไม่ค่อยดี กระวนกระวายง่าย เครียดง่าย
                   ..เป็นผลมาจาก ภูนั้นเล่นแต่เกม ไม่เคยรับรู้โลกภายนอก ไม่ฝึกทำสมาธิ อยู่แค่สิ่งที่ชอบ สิ่งที่เป็นหน้าที่แต่ไม่ชอบใจก็หลีกหนี เช่นการศึกษาเรียนรู้เพิ่ม การทำงานบ้าน การบ้าน ฯ
                   ..ชิวจึงแก้ด้วยการ ทุกๆเช้าให้ภูออกมาสูดอากาศนอกบ้าน มองสภาพแวดล้อมกว้างๆ สูดรับความสุขและรับรู้สภาพแวดล้อม และนอกจากเดินจงกรมและทำสมาธิทั่วไปแล้ว ก็ให้ภูฝึกตั้งสติไว้เฉพาะจุด เช่น รู้ลมหายใจเข้า-ออกโดยจับไว้ที่ปลายจมูก หายใจเข้า-ออก 1 รอบ นับ 1 ทำวันละ 50 ครั้ง เพื่อให้สติกับสมาธิตั้งจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ แม่จะชอบไม่ชอบใจก็ตาม แต่ก็ต้องทำ

        ๒. การเขียนลำบาก เขียนช้า มือแข็ง เกร็ง กดน้ำหนักเยอะ ปวดมือง่าย
                   ..เป็นผลมาจาก ภูนั้นจำทีละคำแล้วเขียน ทำให้เขียนช้า และ ภูมีวิธีเขียนโดยวางมือในการจับ..ดินสอ-ปากกา แบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนเคยชิน อีกทั้งเล่นแต่เกม ไม่เคยฝึกเขียนที่ถูกวิธี พอสะสมนานเข้าเอ็นและกล้ามเนื้อจึงหดเกร็ง ไม่สามารถเขียนตัวหนังสือให้สวยๆได้
                   ..ชิวจึงแก้ด้วยการ ให้ภูเปลี่ยนการกระทำใหม่..ให้เขียนหนังสือโดยการ อ่าน-จำให้เป็นประโยคเว้นวรรคที่ยาวขึ้น และ ฝึกวิธีเขียนใหม่โดย ลดแรงกดปากกา ไม่ลงน้ำหนักมือแรง หัดวาดภาพเส้นตรง-โค้ง-งอ วาดเป็นมุมรูปเลขาคณิต วาดวงกลม วาดรูปภาพต่างๆ และระบายสี โดยที่ไม่ใช้ไม้บรรทัด..แล้วค่อยๆยืดเส้นข้อมือ ฝึกขยับไล่นิ้วมือแต่ละนิ้ว

        ๓. กำลังแขนและขาต่ำ และ เหนื่อยหอบง่าย
                   ..เป็นผลมาจาก ภูแทบจะไม่เคยออกกำลังกายเลย เอาแต่นั่งเล่นเกมนานๆ และ นั่งเขียนการบ้านนานๆเหตุเพราะเขียนช้า
                   ..ชิวจึงแก้ด้วยการ ให้ภูฝึกวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ เช้า-เย็น จากหน้าบ้านไปปากซอย ไปท้ายหมู่บ้าน กลับมาบ้าน..ระยะทางประมาณ 200 ม. แล้วยืดเส้นแขน-ขา บริการข้อเท้า ข้อมือ ยืดเส้นข้อมือ ข้อเท้า ใช้เวลา 40 นาที

          ..ตลอดระยะเวลา 3 วัน ที่ฝึกโดยตั้งใจ ไม่อิดออด ภูก็เริ่มเคยชินกับการฝึกบำบัด ใจภูเริ่มโล่งขึ้น ปรอดโปร่งขึ้น สติไวขึ้น สงบขึ้น สุขภาพร่างกายดีขึ้น เริ่มมีกำลังแขนขา จับเขียนได้ดีและเขียนได้เร็วขึ้น ลดแรงกดปากกาลง ทำให้ปวดมือน้อยขึ้น

- เช้าวันพุธ 9:00 น. หลังอาหารเช้า และภูทานยาเสร็จ ชิวบินออกมาวนรอบภู เพื่อทบทวนวิธีรู้ตนในหมวดกายกับภูก่อนพักผ่อน -

         ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ  ...ภูมาทบทวนจุดมุ่งหายการฝึกกัน..
                   ภู : (⁠人⁠*⁠´⁠∀⁠`⁠)⁠。⁠*゚⁠+  โอเชเยย..
                 ชิว : ข้อ 1. เราฝึกรู้สถานะตนเอง ต่อสถานการณ์ เพื่ออะไร
                   ภู : เพื่อรู้ตัวเอง รู้สถานะตน รู้ขอบเขตบทบาทหน้าที่ รู้สิ่งที่ตนเองต้องทำในสถานการณ์นั้นๆ งับป๋ม
                 ชิว : ถั่วต้ม..เอ๊ย ถูกต้องนะครับ  (⁠。⁠•̀⁠ᴗ⁠-⁠)⁠✧
                 ชิว : ข้อ 2. เราฝึกรู้ทันลมหายใจ เพื่ออะไร
                   ภู : เพื่อทำให้สติเกิดขึ้น มีกำลังเกิดบ่อยขึ้น และไวขึ้น งับป๋ม..
                 ชิว : ถั่วต้ม..เอ๊ย ถูกต้องนะครับ  (⁠。⁠•̀⁠ᴗ⁠-⁠)⁠✧
                 ชิว :  ข้อ 3. เราฝึกรู้สิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และเดินจงกรมเพื่ออะไร
                   ภู : รู้กำลังสุขภาพ-เพื่อดูแลรักษา, รู้คุณค่าของกายนี้-เพื่อไม่ทำร้ายตนเอง, รู้ผลของการกระทำ-เพื่อการพัฒนาแก้ไขตนเองงับ
                 ชิว : สุดยอดไปเลย ภูเก่งมากเลย (⁠。⁠•̀⁠ᴗ⁠-⁠)⁠✧

         ชิว : สำหรับหลักของการนำไปใช้ มีดังนี้..
                      : เวลาที่รู้สึกไม่สบายใจจาก..ความวิตกกังวล..มีความรู้สึกที่..เคร่งเครียด คือ ใจไม่ดี, ตื่นกลัว, ประหม่า, วิตกกังวลใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน..หรือ..ว้าวุ่นใจ คือ ใจไม่ดี, กลุ้มใจ ห่วง พะวง วิตกกังวลกับเรื่องในอนาคต ที่ตนกลัวว่าจะเกิดขึ้นในทางไม่ดี กล่าวคือ..ความกระสับกระส่าย, ใจไม่ดี, สับสน, วุ่นวายใจ, ครุ่นคิด, กระวนกระวายใจ, หนักใจ, วิตกกังวล, ย้ำๆคิดย้ำๆทำ, กลุ้มใจ, งุ่นง่านกายใจ, พะวงใจ, กังวลใจเป็นห่วง
                   ภู : อ่า..เวลาคิดจนเครียด (⁠;⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
                 ชิว : ใช่..เวลาคิดจนเครียด..เป็นเวลาที่ควรแก่การผ่อนคลาย เพราะความเครียดและความว้าวุ่นใจ มีลักษณะที่ใจเราคร่ำเคร่ง หรือ ใจเราผูกตรึงกังวล คือ ใจเราไปดึงเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาครุ่นคิด..จนทำให้ใจรู้สึกไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน หรือ เรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ใจเราให้ค่าความสำคัญจนเอานึกคิดไปให้พะวงใจ
                   ภู : เวลาเครียดภูจะปวดหัว ปวดท้องโรคกระเพาะกำเริบ จุกเสียดที่อกที่คอ ถ้าเรอออกจะหาย แต่มันมักจะอ้วกนี่สิ
                 ชิว : ใช่แล้ว..นั่นเครียดลงกระเพาะ ความดันขึ้นสูง..ภูต้องระวังนะ บางครั้งมันตรึงเครียดอ่อนๆ จะเป็นเหมือนแค่ความรู้สึกที่งุ่นง่านอ่อนๆ ระคนใจ กระสับกระส่ายรนรานอ่อนๆ รู้สึกเหมือนใจไม่นิ่ง ใจไม่เป็นที่สบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ตรงนี้หากใจเราไม่สงบนิ่งตามรู้อาการ เราก็จะไม่รู้ว่ามีภาวะความขึงเครียดระคนอยู่ในขณะนั้น ภูต้องหัดสังเกตุอาการร่างกายจิตใจตนเองไว้นะ
                   ภู : รับแซบงับ..!!!
                 ชิว : ให้แก้ความคิดตรึงเครียดนั้น ด้วยการเอา “พุทโธ” เป็นที่พึ่งของกายและใจ จะช่วยให้เราเรียกสติจากลมหายใจได้ดีขึ้น แล้วสามารถใช้ลมหายใจเป็นเครื่องยึดให้น้อมใจไปในกิริยาจิตที่ความผ่อนคลายได้ง่าย
                   ภู : ทำยังไงอะชิว ???
                 ชิว : “พุทโธ” คือ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งคำว่า..พุทโธ นี้เป็น คุณสมบัติหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่แปลว่า “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน”
                   ภู : งืมๆๆ..  (⁠๑⁠•⁠﹏⁠•⁠)

         ชิว : “ผู้รู้” คือ รู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบัน เป็นการรู้สึกตัวเท่าทันปัจจุบันขณะ..ก็คือ..
                 1. มีสติ ระลึกรู้จดจำได้ว่า..สภาวะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนอยู่นั้น มันคือ ความคิด
                 2. มีสัมปะชัญญะ รู้ตัวได้ว่า..ตนกำลังครุ่นคิดอยู่, รู้ตัวว่าตนกำลังหลงครุ่นคิดในสิ่งใด..รู้ตัวว่าขณะนี้ตนกำลังหลงจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิดนั้นอยู่..พร้อมทั้งหวนระลึกได้ว่าตนกำลังจะทำสิ่งใดก่อนจะตกภวังค์ และ รู้ตัวว่าปัจจุบันตนกำลังกระทำสิ่งใดอยู่..เป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไม่จมดิ่งอยู่กับวังวนความคิด คือ ไม่สืบต่อวังวนความคิดให้จิตจมดิ่งลงสู่ภวังค์นั้น..จนไม่รู้สึกตัวอีก..สติ+สัมปะชัญญะ ที่เกื้อหนุนกันจนเต็มบริบูรณ์ เรียกว่า ความรู้ตัวทั่วพร้อม สัมปะชัญญะเป็นตัวคุมสติ จึงชื่อว่า ปัญญา
(ภวังค์ในที่นี้..เป็นการตกจมอยู่ในกองวังวนอารมณ์ความรู้สึกความคิด)
                   ภู : ว้าวๆๆ !!.. แค่เดินจงกรม รู้ว่าตนเอง ยืน เดิน นั่ง นอน และกำลังทำสิ่งใดอยู่ในปัจจุบัน ก็ได้ปัญญาแล้ว นี้ภูคือผู้มีปัญญานะนี่..  (⁠*⁠˘⁠︶⁠˘⁠*⁠)⁠.⁠。⁠*⁠♡
                 ชิว : ใช่แย้ว..  Ꮚ\(◍⁠•⁠ᴗ⁠•⁠◍⁠)⁠/Ꮚ✧⁠*⁠。

         ชิว : “ผู้ตื่น” คือ ตื่นจากภวังค์ เป็นการรู้กิจที่ควรทำ แล้วทำกิจที่ควรทำนั้น ข้อนี้คือ..ญาณ ที่เรียกว่า..ปัญญาหยั่งรู้ ได้แก่..
                 กิจที่ 1 คือ รู้ว่าการจมอยู่กับความคิด..เป็นทุกข์ เราควรดึงใจตนเองขึ้นมา..ยกออกจากภวังค์ความคิดที่ติดตรึงอยู่นั้น..เพื่อออกมารู้สึกตัวว่าตนกำลังจะทำกิจการงานใดอยู่ในปัจจุบัน..แล้วทำในกิจที่ 1 นี้ทันที
                 กิจที่ 2  คือ รู้ว่าสิ่งที่เอามานึกคิดอยู่นี้มีโทษ..สาเหตุที่ทำให้เอาสิ่งนั้นมาคิดควรละ สิ่งที่เอาคิดอยู่นั้นเป็นภัย เราไม่ควรหยิบยกเอาสิ่งนั้นมาคิดอีก..สาเหตุที่เราเอาสิ่งนั้นมาคิดเป็นเพราะอะไร..แล้วละที่เหตุนั้น, ละความคิดโดยดับที่เหตุเกิดของสิ่งที่คิดนั้น..(หากไม่รู้เหตุเกิดของความคิดนั้น..ก็ให้ระลึกตั้งมั่นในใจว่า..เราจะไม่สืบต่อความคิดนั้นอีก.. แล้วละที่เจตนาความนึกคิดนั้น)..แล้วทำในกิจที่ 2 ทันที
                 กิจที่ 3  คือ รู้สุขจากการเลิกนึกคิดในสิ่งนั้น..ผลนี้ควรทำ รู้ว่าเมื่อเหตุความคิดนั้นดับไปแล้ว เรามีกายใจเป็นสุขอย่างไร ไม่ตกอยู่ในวังวนความคิด ไม่หน่วงตรึงจิต ไม่ร้อนรนเป็นไฟสุมใจ ไม่กระวนกระวายใจ ไม่งุ่นงานกายใจ ไม่พะวงกังวลใจ มันมีความเย็นเบาใจแค่ไหน มันร่าเริงเบิกบานใจยังไง ซาบซ่านเพียงไร มันสงบสบายใจเช่นไร มันปลอดโปร่ง แช่มชื่น รื่นรมย์ เป็นสุขมากเท่าใด..แล้วทำในกิจที่ 3 ทันที
                 กิจที่ 4  คือ รู้วิธีทำไว้ในใจเพื่อดับความรู้สึกนึกคิดนั้น..ก็อาการความรู้สึกใดที่มีเมื่อดับเหตุของสิ่งที่เอามาคิดนั้นได้ สิ่งนั้นควรทำให้มาก, ก็กิริยาการกระทำใดที่ตรงข้ามกับการกระทำให้เกิดความคิดนั้นแหละ คือ มรรค สิ่งที่ควรทำให้เกิดมีขึ้นในใจให้มาก..แล้วทำในกิจที่ 4 นี้ให้มาก
                 ภู : อ่า.. (。・ˇ_ˇ・。) ชิวอธิบายเพิ่มได้มั้ยอะ นึกภาพไม่ออกเบย..  (⁠☞⁠ ⁠ಠ⁠_⁠ಠ⁠)⁠☞
               ชิว : งั้นก็ยกตัวอย่างเช่น..
                 ๑. เมื่อเราเอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับสิ่งใด → มันก็เกิดเป็นความวิตกกังวล → มันก็เกิดเป็นไฟสุมใจเราให้หมองไหม้เพราะสิ่งนั้น เป็นความทุกข์ทน อึดอึดใจ อัดอั้นใจ คับแค้นกายใจ ทรมานกายใจ เสียใจ ความไม่สบายกายไม่สบายใจทั้งปวง
                 ๒. เมื่อเราดับเหตุนั้นได้ ก็คือ..เมื่อเราเลิกเอาใจของตนไปผูกใคร่ปารถนาที่จะได้เสพในสิ่งที่ตนติดตราตรึงใจ(สุข)จากสิ่งอื่นใดภายนอกได้..หมายความว่า..เราเลิกเอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกขึ้นไว้กับใครได้..สุขนั้นก็จะอยู่ที่เรา เกิดขึ้นที่ใจเรา ไม่ใช่จากใครอื่น ใจก็โล่ง เบา สบาย ปลอดโปร่ง ร่าเริง เบิกบานใจ
                 ๓. สิ่งที่ดับไป ก็คือ..ความร้อนรุ่มเป็นไฟสุมใจเรา และ สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ..ความโล่ง เบา สบาย ปลอดโปร่ง ร่าเริง เบิกบานใจ
                 ๔. เมื่อทำทั้ง 3 ข้อข้างต้นครบ เราก็จะเห็นว่า..
                 ๔.๑) สิ่งที่ควรละ คือ การผูกใจปารถนาเอาความสุขสำเร็จของตนจากผู้อื่น
                 ๔.๒) สิ่งที่ควรทำให้มาก คือ ทำสุขที่เนื่องด้วยใจของตนโดยไม่อิงอาศัยผู้อื่นให้มาก..ดังนั้นเราก็คอยหมั่นตรึกนึกคำนึงถึงและทำสะสมเหตุในสิ่งที่ดีมีความสุขต่อกายใจเราโดยที่ไม่ต้องไปอิงอาศัยให้ได้รับมาจากผู้อื่นให้มาก → หมั่นนึกถึงและทำในสิ่งที่มีความโล่งเย็นใจ เบาใจ ผ่อนคลายกายใจ เย็นกายสบายใจ ปลอดโปร่ง ร่าเริง เบิกบานใจ..โดยปราศจากความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ให้เกิดขึ้นกับกายใจตนให้มากๆ → เพราะเมื่อเราทำสะสมเหตุให้มากจนเต็มกำลังใจ → ใจเราก็จะรู้ว่าสุขนี้มันอยู่ที่ใจเราไม่ใช่ใครอื่นใด → ใจเราก็จะคลายจากความผูกใคร่ปารถนาเอาความสุขสำเร็จของตนจากใครอื่นใด → แล้วใจเราก็จะหยุดกระทำความผูกใจปารถนาสุขจากผู้อื่นด้วยตัวของมันเองอัตโนมัติ..เพราะใจเห็นแจ้งชัดว่า สุขนั้นไม่ยังยืน เป็นทุกข์ บังคับควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนแห่งสุขที่แท้จริง จิตไม่เห็นสิ่งใดที่น่าติดตราตรึงใจ จิตไม่กระทำนำไปสู่ความปล่อย ละ วาง สละคืน
                 ภู : อ่า.. (。・ˇ_ˇ・。) ชิวย่อลงได้มั้ยอะ งงๆ.. (⁠☞⁠ ⁠ಠ⁠_⁠ಠ⁠)⁠☞
               ชิว : กล่าวสรุปย่อๆ..

ผู้ตื่น ก็คือ ตื่นออกจากความคิด → เลิกคิดสิ่งนั้น → เลิกพะวงคาดหวัง → แล้วทำใจให้สงบ สบาย ผ่องใส ปรอดโปร่ง ผ่อนคลาย เป็นสุข

                ภู : โอเชเยย !!..เข้าใจแระงับ (⁠*⁠˘⁠︶⁠˘⁠*⁠)⁠.⁠。⁠*⁠♡

      ชิว : ผู้เบิกบาน คือ เบิกบานหลุดพ้นจากความคิดทั้งสิ้นนั้นแล้ว เข้าวิมุตติสุข (ถึงความสงบ ความว่าง ความไม่มี ความสละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นสุข) ไม่ปารถนาเอาความสุขจากสิ่งอื่นใดภายนอกแล้ว นั่นคือ..ความอิ่มเต็มกำลังใจ เพียงพอแล้วไม่ต้องการอีก (เพราะกามมันอิ่มไม่เป็น) มีลักษณะอาการของจิตที่ แช่มชื่น เบิกบาน ผ่องใส ภาวะที่ปรอดโปร่ง, อิ่มเอม ซาบซ่านใจ ภาวะที่อิ่มเต็มกำลังใจ, ความสงบสบาย เย็นใจ ผ่อนคลายกายใจ ภาวะที่ใจปกติ เย็นใจ กายสบาย ใจสบาย ปราศจากความเบียดรุมเร้าทั้งภายนอกและภายใจกายใจตน อาการที่ใจไม่มีความติดใจข้องแวะสิ่งใดๆในโลก, จิตที่ร่าเริง รื่นรมย์ ชื่นบาน เป็นสุข เบาโล่งไม่หน่วงตรึงจิต ภาวะที่มีความแช่มชื่น รื่นรมย์ ซาบซ่านพลั่งพลูแผ่ขยายขึ้นเต็มในใจทำให้ใจชื่นบาน
                 ภู : อ่า..เบิกบาน คือ ความสุขที่หลุดพ้นจากทุกข์ คือ พ้นจากความคิด ไม่พะวงคาดหวัง ไม่ปารถนาเอาความสุขจากผู้อื่นนี่เอง เข้าใจละงับ  (⁠ ⁠╹⁠▽⁠╹⁠ ⁠)
               ชิว : ดีมาก ภูเก่งมาก Ꮚ\(◍⁠•⁠ᴗ⁠•⁠◍⁠)⁠/Ꮚ✧⁠*⁠。
               ชิว : เมื่อเข้าใจถึงความเป็น พุทโธ แล้ว ทีนี้เรามาเริ่มวิธีปฏิบัติกันเลย ง่ายนิดเดียว
                 ภู : โอเชเยย !!..  (⁠*⁠˘⁠︶⁠˘⁠*⁠)⁠.⁠。⁠*⁠♡
               ชิว : “พุทโธ”..เราจะใช้เป็นคำบริกรรมกำกับคู่ลมหายใจ ใช้เป็นคำกำกับรู้ความหมายของการกระทำ ดังนี้..
               เราระลึกคำว่า “พุท“ กำกับให้ใจรู้..แทนการหายใจเข้า
               เราระลึกคำว่า “โธ” กำกับให้ใจรู้..แทนการหายใจออก

           แล้วให้ทำดังต่อไปนี้..

           1. ปักหลักรู้ลมไว้ที่ปลายจมูก หายใจเข้ายาวๆ เนิบๆ สบายๆ บริกรรมในใจว่า “พุท“ โดยลากเสียงคำว่า..“พุท”..ยาวตามลมหายใจเข้า มีใจรับรู้ถึง..ลมหายใจที่ผ่านเข้าปลายจมูก → ลมเคลื่อนตัวซัดผ่านมากระทบเบื้องหน้า..แผ่ซ่านเอาความผ่องใส เย็นใจ ซาบซ่าน สงบ สบาย  ชื่นบาน เป็นสุข → เมื่อใกล้ถึงปลายลมหายใจเข้า(ใกล้สุดลมหายใจเข้า)ที่เคลื่อนผ่านเข้ามา ให้เราเอาใจรับรู้ถึงควมเย็นซ่านไปถึงโพรงกะโหลกสมอง ทำให้สมองโล่ง ปรอดโปร่ง..ปราศจากความคิด..จนสุดลมหายใจเข้า → แล้วนิ่งค้างไว้ 3 วินาที ก่อนหายใจออก
           **(ในกรณีที่ทำดังนี้แล้วปวดหัว ก็ให้ปักหลักจับรู้ลมหายใจเข้า แค่ที่ปลายจมูก หรือ เบื้องหน้า หรือ ท้องน้อย เลือกจับเอาเพียงจุดเดียวเท่านั้นพอ เลือกจุดที่เรารับรู้ง่ายสุด สบายกายใจที่สุด..โดยให้ทำความรู้ไว้ในใจว่า..“พุท”..คือ กิริยาอาการที่ลมหายใจหอบเอาเย็นซ่าน เป็นที่สบายกายใจ ปราศจากความคิด แผ่ไหลเข้ามาจากที่ปลายจมูก หรือ แผ่ซ่านในเบื้องหน้า หรือ ไหลมาที่ท้องน้อย)**

           2. หายใจออกยาว บริกรรม “โธ” ลากเสียงยาวตามลมหายใจออก รับรู้ถึงลมหายใจทำให้เกิดความรู้สึกที่..โล่งเบา สบาย ปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย..ปราศจากความคิด → ตามลมหายใจออกที่เคลื่อนผ่านออกจากโพรงกะโหลกสมอง → เคลื่อนผ่านแผ่ซ่านมาเบื้องหน้า → เคลื่อนออกทางปลายจมูกนั้น..จนสุดลมหายใจออก
           **(ในกรณีที่ทำดังนี้แล้วปวดหัว ก็ให้ปักหลักจับรู้ลมหายใจออก แค่ที่ปลายจมูก หรือ เบื้องหน้า หรือ ท้องน้อย เลือกจับเอาเพียงจุดเดียวเท่านั้นพอ เลือกจุดที่เรารับรู้ง่ายสุด สบายกายใจที่สุด..โดยให้ทำความรู้ไว้ในใจว่า..“โธ”..คือ กิริยาอาการที่ลมหายใจออกทำให้เกิดความรูสึกที่โล่ง เย็นซ่าน ปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย เป็นที่สบายกายใจ ปราศจากความคิด ลมหายใจไหลออกมาจากที่ปลายจมูก หรือ แผ่ซ่านในเบื้องหน้า หรือ ไหลมาที่ท้องน้อย)**

         ภู : อธิบายจำกัดความสั้นลงได้มั้ยชิว จะได้เข้าใจง่าย จำได้ง่ายๆ (。・ˇ 。 ˇ・。)
               ชิว : จำกัดความง่ายๆ สั้นๆ เลยก็คือ เอากิริยาจิต หรือคุณสมบัติที่เป็น “ผู้เบิกบาน จิตเข้าวิมุตติสุข” ของพระพุทธเจ้า มาเป็นอารมณ์ที่ตั้งของจิตใจเรา

1. “พุท” คือ ลมหายใจเข้า..ที่มีแต่ความสุข สบาย เบิกบานกายใจ
        2. “โธ” คือ ลมหายใจออก..ที่มีแต่ความสุข เบิกบานผ่อนคลายกายใจ

      ชิว : จริงๆแล้ว “พุทโธ” นี้ สามารถนำมาปฏิบัติทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกความรู้สึกเลยนะ เพราะทำได้ง่ายๆ แต่มีคุณประโยชน์สูง ทั้งเสริมกำลังให้สติปัญญาเกิดขึ้นบ่อยๆ ทำให้สติปัญญามีกำลังดึงใจออกจากภวังค์ความคิดได้ง่าย ทั้งเสริมพลังใจให้เข้มแข็ง ทำให้จิตใจตั้งมั่น รวมเป็นหนึ่งเดียว มั่นคงไม่อ่อนไหวง่าย เป็นปัญญาทำรู้สัจจะและกิจที่ควรทำของอริยะสัจ ๔ ด้วย..ขอแค่ภูจดจำสิ่งที่ต้องทำ ตามการจำกัดความหมายของคำบริกรรมได้ก็พอ
                 ภู : เยี่ยมเลยงับป๋ม..
               ชิว :  สรุป..ทุกครั้งที่ภาวนา ให้จดจำไว้เลยว่า เราทำ “พุทโธ”..ก็เพื่อคุณ 3 ประการดังนี้ คือ..

หลักการภาวนา “พุทโธ” 3 ประการ

    1. มีใจมุ่งหมายจะทำให้จิตเราเป็น “พุทโธ..ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ตามพระพุทธเจ้า
    2. มีใจมุ่งหมายจะทำให้จิตเรา..ตื่นรู้ออกจากภวังค์ความคิด → เลิกคิดในสิ่งนั้น → เลิกพะวงคาดหวัง → แล้วทำใจให้สงบ สบาย ผ่องใส ชื่นบาน ปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย เป็นสุข
    3. มีใจมุ่งหมายเอาวิมุติสุข คือ กิริยาจิตที่แช่มชื่น เบิกบานใจ ปลอดโปร่ง เย็นใจ รื่นรมย์ เป็นสุข พ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอมทั้งปวง ให้ปรากฏขึ้นภายในกายใจตน ไม่ยึดความคิด ไม่ยึดสิ่งที่ใจรู้ทั้งปวง..เพราะมันเป็นสมมติกิเลสทั้งสิ้น ยึดมันไปก็มีแต่ทุกข์ (ทั้งเรื่องที่ใคร่ปารถนา-ไม่ชอบใจ-ไม่สบายใจ, ทั้งอาการที่อึดอัด อัดอั้น คับแค้นกายใจ ไม่สกายใจทั้งปวง) ของแท้มีแค่ลมหายใจเรานี้เท่านั้น ลมหายใจนี้ไม่มีทุกข์ ลมหายใจที่ไม่มีโทษ ลมหายใจนี้ไม่มีภัย ลมหายใจเป็นที่สบาย อย่าทิ้งลมหายใจ อย่าทิ้งพุทโธ แล้วทำดังนี้..

หายใจเข้ายาว-เบาสบาย-ช้า ระลึก “พุท” ลากเสียงยาวตามลมหายใจ พัดเอาความสุข ปลอดโปร่ง แช่มชื่น เบิกบาน เป็นวิมุติสุข เข้ามาตามลมหายใจเข้า
หายใจออกยาว-เบาสบาย-ช้า ระลึก “โธ” ลากยาวตามลมหายใจ ทำให้ใจเป็นสุข ชื่นบาน ร่าเริง ผ่อนคลายกายใจ เป็นวิมุติสุข
********************************
(“พุท” คือ ลมหายใจเข้า ที่เป็นสุข แช่มชื่น เย็นใจ ซาบซ่าน ปลอดโปร่ง พ้นแล้วจากสมมติคความคิดกิเลสของปลอม ไม่ยึดสิ่งที่ใจรู้ทั้งปวง เป็นวิมุติสุขที่เข้ามาสถิตย์ในใจ)
(“โธ” คือ ลมหายใจออก ที่เป็นสุข แช่มชื่น เย็นใจ ซาบซ่าน ผ่อนคลาย พ้นแล้วจากสมมติคความคิดกิเลสของปลอม ไม่ยึดสิ่งที่ใจรู้ทั้งปวง เป็นวิมุติสุขที่เข้ามาสถิตย์ในใจ)
(วิมุตติสุข แปลว่า สุขเกิดจากวิมุตติ สุขเกิดจากความหลุดพ้น..ความสงบ ความว่าง ความไม่มี ความสละคืนพ้นจากสมมติกิเลสของปลอม ไม่ยึดสิ่งที่ใจรู้ทั้งปวง)

         ภู : โอเชเยย..!!!  (⁠人⁠*⁠´⁠∀⁠`⁠)⁠。⁠*゚⁠+  ..แต่ภูกินยาแล้วเหมือนจะหลับเยย แหะๆๆๆ
               ชิว : งั้นภูนอนทำ “พุทโธ” แล้วหลับไปเลยนะ
                 ภู : โอเชเยย..!!!  (⁠人⁠*⁠´⁠∀⁠`⁠)⁠。⁠*゚⁠+  ..แต่ภูกินยาแล้วเหมือนจะหลับเยย แหะๆๆๆ

       ..แล้วภูก็นอนแล้วทำ “พุทโธ” จนหลับไปตอน 10:00 น. ( ु⁎ᴗ_ᴗ⁎)ु.。oO  ( ु⁎ᴗ_ᴗ⁎)ु.。oO  ( ु⁎ᴗ_ᴗ⁎)ु.。oO ..

..หลังจากภูตื่นขึ้นมาตอน 13:00 น. ก็ล้างหน้าล้างตา เดินออกไปซื้อข้าวอีกครั้ง..
        ..ตอนภูซื้อข้าว ก็เจอลุงป้าแถวบ้าน ที่เป็นทั้งพ่อแม่ของกลุ่มเพื่อนภู และคนที่รู้ข่าวภูฆ่าตัวตาย..

       ป้า : อ้าวภูมาซื้อข้าวหรอลูก
                 ภู : ใช่ครับป้า
               ป้า : ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สุขภาพจิตใจดีขึ้นหรือยัง
                 ภู : ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วครับป้า..เดี๋ยวผมกลับก่อนนะครับ
               ป้า : จ้า..
               ลุง : ภูเข้มแข็งนะ สู้ๆ อย่าฆ่าตัวตายอีกนะ ภูเก่งเรื่องแค่นี้ผ้านได้สบายแน่นอน 
                 ภู : ครับลุง (⁠ノ⁠◕⁠ヮ⁠◕⁠)⁠ノ⁠*⁠.⁠✧ โย่ว..!!

..แล้วภูก็เดินกลับบ้านอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะรู้สึกว่าลุงๆป้าๆให้ความห่วงใย คุยดีด้วย..
        ..พอกลับถึงบ้านบ้าน ภูก็ทานข้าวตามปกติ แล้วก็ทำ “พุทโธ” 20 นาที..

..เมื่อภาวนาพุทโธเสร็จ ภูก็เปิดเกมเล่น ทั้ง Robox ทั้ง PG เมื่อเล่นไปในเกม คุยสตรีมกับเพื่อนในเกมที่ร่วมทีมกลุ่มเดียวกัน ภูมีเล่นเก่งบ้าง ชนะบ้าง แพ้บ้าง ส่วนมากจะแพ้ ภูก็ไปเอาเงินไปเติมเกมซื้อไอเทมเพื่อกวังว่าจะเก่ง เพื่อนในทีมจะชมชอบ แล้วเล่นต่อ แล้วก็แพ้อีกไม่มีเงินซื้อไอเทม เพื่อนในทีมก็เริ่มด่าภู

         A : ภูมึงไอ้อ่อนเอ๊ย..
                 B : ภูมึงกากจังวะ แทนทีจะคุมดูแต่เสือกเดินไปให้เขายิง โคตรโง่เลยมึง
                 ภู : นิ่งเงียบ โดยนั่งรู้ลมหายใจเข้าออก บริกรรม พุทโธ แต่ทำแบบกดข่มใจไว้อัดแน่นในใจ จนลืมลมหายใจ ไม่น้อมใจเอาความสุข เบิกบานใจ วิมุตติสุขใดเข้ามาในใจ จนเหลือกลายเป็นคำบ่นพร่ำว่า พุทโธ ย้ำๆสะกดใจกดข่มบีบอัดไว้

         C : ควายจริงมึงไอ้ภู แม่งมีไอเทมดีๆแต่เสือกอ่อน
                 ภู : นิ่งเงียบ โดยนั่งรู้ลมหายใจเข้าออก บริกรรม พุทโธ แต่ทำแบบกดข่มใจไว้อัดแน่นในใจ จนลืมลมหายใจ ไม่น้อมใจเอาความสุข เบิกบานใจ วิมุตติสุขใดเข้ามาในใจ จนเหลือกลายเป็นคำบ่นพร่ำว่า พุทโธ ย้ำๆสะกดใจกดข่มบีบอัดไว้

         ภู : อ่า..โทษนะ เราเล่นไม่เก่ง
                 A : เล่นไม่เก่งก็อย่ามาเข้าทีมสิวะ ไอ้อ่อน
                 ภู : นิ่งเงียบ โดยนั่งรู้ลมหายใจเข้าออก บริกรรม พุทโธ แต่ทำแบบกดข่มใจไว้อัดแน่นในใจ จนลืมลมหายใจ ไม่น้อมใจเอาความสุข เบิกบานใจ วิมุตติสุขใดเข้ามาในใจ จนเหลือกลายเป็นคำบ่นพร่ำว่า พุทโธ ย้ำๆสะกดใจกดข่มบีบอัดไว้

         C : เลิกคุยกับมันเหอะ อยู่ร่วมทีมแล้วแม่งแพ้ตลอด
                 B : เออว่ะ ไปดีกว่า

         ภู : หายใจเข้าออก บริกรรม พุทโธ แต่ทำแบบกดข่มใจไว้อัดแน่นในใจ จนลืมลมหายใจ ไม่น้อมใจเอาความสุข เบิกบานใจ วิมุตติสุขใดเข้ามาในใจ จนเหลือกลายเป็นคำบ่นพร่ำว่า พุทโธ ย้ำๆสะกดใจกดข่มบีบอัดไว้

..แล้วเพื่อนทุกคนก็ออกจากกลุ่มเหลือภูคนเดียว ก็เลยเล่นโหมดคนเดียว แต่ก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นเข้ามาทักหรือคุยด้วยเลย..พอเล่นไปสักพัก ภูก็รู้สึกอัดอั้นใจร้องไห้ออกมา..

         ภู : ฮือ...ฮือ..ว้ากกกกกกก !!! .⁠·⁠´⁠¯⁠`⁠(⁠>⁠▂⁠<⁠)⁠´⁠¯⁠`⁠·⁠. ทำไมมีแต่คนเกลียดภูห๊ะ ทำอะไรให้นักหนาห๊ะ ...ฮือๆๆๆๆ...อ้ากกกก...ฮือฮือ.. 。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。
               ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ ... ชิวบินวนรอบตัวภู แล้วมาจับแก้มภู เป็นอะไรหรือเปล่า..ลองทำพุทโธยัง..ทำพุทโธ..ก่อน
                 ภู : ภูทำแล้วแต่ไม่ช่วยเลย ฮือ....
               ชิว : อ่าใจเย็นๆนะ ทำแบบไหนอะ
                 ภู : ก็หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แต่ความคิดมันปะทุ ภูก็ย้ำพุทโธในใจรัวๆแล้วก็ไม่ได้ ฮือๆๆ
               ชิว : โอ่เอ้...ชิวรู้แล้วๆ
                 ภู : ฮือ..ฮือ..
               ชิว : ภูทำตามชิวใหม่นะ ฟังชิวนะภู ทำตามชิวพูดนะ ชิวววว...  Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ ...

..ภูผงกหัว พยักหน้ารับทั้งน้ำตา.. (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠) ..

        ชิว : ภูหลับตา..ทำไว้ในใจไม่ยึดเอาสิ่งใดที่ใจรู้ทั้งปวง ทั้งเรื่องที่ทุกข์ ทั้งความคิด ความอัดอั้นตันใจ แล้วเอาใจปักหลักจับไว้ที่ปลายจมูก → แล้วหายใจเข้าบริกรรม “พุท” กำหนดลมหายใจเข้า เบาๆ ช้าๆ ยาวๆ ลึกๆ..โดยนึกถึงความรู้สึกที่เป็นสุข ซาบซ่านแผ่ซัดตามลมหายใจเข้าจากปลายจมูก → ผ่านโพรงจมูก → เข้ามาที่หน้าภู ..ลมหายใจนั้นเป็นที่สบาย ไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มีความคิด → พอใกล้จะสุดลมหายใจให้นึกถึงความสุขแผ่ซ่านไปทั่วโพรงสมอง ทำให้สมองปลอดโปร่ง โล่ง สบาย เย็นใจ → รู้ปลายลมหายใจที่โพรงสมอง → ความเย็นใจ ซาบซ่าน สบาย ปลอดโปร่ง มีอยู่ที่โพรงสมอง → เมื่อสุดลมหายใจเข้าให้กลั้นลม นิ่ง แช่ไว้..รับรู้ถึงความแช่มชื่น ปลอดโปร่งที่โพรงสมอง นับ 1-2-3

           ภู : ( ´> _ <`⁠ )«°×°⁰«°⁰×°⁰«

         ชิว : แล้วหายใจเข้าบริกรรม “โธ” กำหนดลมหายใจออก เบาๆ ช้าๆ ยาวๆ..โดยนึกถึงความรู้สึกที่เป็นสุข เย็นใจ เราจะปล่อยทิ้งกายใจที่เศร้าหมองเสียใจนี้ออก..จากโพรงสมอง → มาที่เบื้องหน้าภู → ทำความผ่อนคลายกายใจออก..ตามลมเคลื่อนผ่านโพรงจมูก → ออกไปที่ปลายจมูก → แผ่กายใจภูออก คลายออก → ปล่อยกายใจสบายๆ ไม่จับสนอะไรนอกจากการปล่อย คลายออก → รู้ปลายลมหายใจออกสิ้นสุดที่ปลายจมูก นิ่ง แช่ ปล่อยออก นับ 1-2-3

           ภู : (⁠ ⁠´⁠◡‿◡⁠`⁠ )•»•°⁰»°⁰»°⁰

         ชิว : ปักหลักรู้ลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูก หายใจเข้า บริกรรม “พุท” นึกถึงความสุข ซาบซ่าน พรั่งพรูเข้ามาตามลมหายใจเข้า จากปลายจมูก → เข้ามาปะทะซ่านที่เบื้องหน้าภู → ความแช่มชื่น ปลอดโปร่งเข้าไปที่โพรงสมอง

           ภู : (⁠ ⁠´⁠◡‿◡⁠`⁠ )*•°⁰ °⁰ °⁰

         ชิว : หายใจออก บริกรรม “โธ” นึกถึงความสุข ซาบซ่าน ผ่อนคลายกายใจ พรั่งพรูออกมาตามลมหายใจออกจากสมอง → มาที่เบื้องหน้าเรา → เคลื่อนออกทางโพรงจมูก → ไปที่ปลายจมูก → ทำกายใจให้ปล่อยออก คลายออก แผ่ออก สบายกายใจตามลมหายใจออกที่ปลายจมูก

           ภู : (⁠ ⁠´⁠◡‿◡⁠`⁠ )*•°⁰ °⁰ °⁰

         ชิว : ปักหลักรู้ลมหายใจเข้าที่ปลายจมูก หายใจเข้า บริกรรม “พุท” ลากเสียงยาวตามลมหายใจเข้า → พัดเอาความสุขชื่นบานจากปลายจมูก → เข้ามาปะทะที่เบื้องหน้าภู

           ภู : (⁠ ⁠´⁠◡‿◡⁠`⁠ )*•°⁰ °⁰ °⁰

         ชิว : ปักหลักรู้ลมหายใจเข้าที่เบื้องหน้า หายใจออก บริกรรม “โธ” ลากเสียงยาวตามลมหายใจออก → พัดเอาความสุขชื่นบานซ่านดระทบที่เบื้องหน้าภู → ปรอดโปร่ง สบาย ผ่อนคลาย ตามลมหายใจออกที่ปลายจมูก

           ภู : (⁠ ⁠´⁠◡‿◡⁠`⁠ )*•°⁰ °⁰ °⁰

         ชิว : เอาใจจับไว้ที่ปลายจมูก..หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ“

           ภู : (⁠ ⁠´⁠◡‿◡⁠`⁠ )*•°⁰ °⁰ °⁰

         ชิว : เอาใจจับไว้ที่ปลายจมูก..หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ“ ทำไปเรื่อยๆ สบายๆ

           ภู : (⁠ ⁠´⁠◡‿◡⁠`⁠ )*•°⁰ °⁰ °⁰

...เวลาผ่านไป 25 นาที...

           ภู : ( ु⁎ᴗ_ᴗ⁎)ु.。oO  ..คร่อกก..ฟี้..zzZZ

..หลังจากนั้นอีก 20 นาทีให้หลัง..ภูก็รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมา รู้สึกเบาโล่ง ปลอดโปร่ง สบาย คลายทุกข์ทุกอย่าง ใจก็เบิกบาน ก็พอดีถึงเวลา 16:00 น. ..

           ภู : ว้าวว..เผลอหลับ..แหะๆๆ..แต่ตื่นขึ้นมาแล้วสมองโล่งมากเลย.. (⁠ ⁠´⁠◡‿◡⁠`⁠ ) ♪°♪°•*•° ฮื้ม..ฮืม..นี่หรอมันสบายอย่างนี้เอง
                 ชิว : ใช่แล้วล่ะ..ท
8  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน บทส่งท้ายรู้ตน(กาย) เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:16:52 pm
บทส่งท้าย..วิธีการฝึกปฏิบัติรู้ตนในหมวดกาย

หลักของการใช้ลมหายใจ

1. รู้ลักษณะของการหายใจกับความรู้สึก คือ..

1.1) ภาวะที่ใจปกติ..จะมีลักษณะของการหายใจ คือ..ลมหายใจที่สบายๆ ชิวๆ ไม่แรง ไม่เบา ไม่ยาว ไม่สั้น ไม่อัด ไม่เกร็ง
        1.2) ภาวะที่ใจเกิดความโลภ ใคร่ได้ โหยหา..จะมีลักษณะของการหายใจ คือ..ลมและจังหวะการหายใจระส่ำระสายซ่านออก เหมือนลมหายใจพร่องขาดไม่เต็มปอด ระส่ำระส่ายสืบเนื่องไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจแรงกว่าปกติแต่ขาดช่วงไม่ต่อเนื่อง ลมหายใจเข้ากรีดแป้วผ่านหน้าอก เหมือลมหายใจพร่องไม่เต็มปอด หายใจออกสั่นขาดช่วงไม่ต่อเนื่อง ลมหายใจสั่นไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจสั้นสืบต่อแบบขาดช่วงในจังหวะสั้นไม่ปะติดปะต่อกัน ไม่ต่อเนื่องกัน ไม่เป็นจังหวะ หายใจเหมือนคนเป็นหอบหืด
        1.3) ภาวะที่ใจเกิดความโกรธ แค้น เกลียด ชัง คนเราจะมีลักษณะของการหายใจที่..ลมหายใจอัดระคนปั่นป่วน กระแทก ดันปะทุขึ้น หายใจแรงเหมือนอัดปะทุขึ้น ลมหายใจร้อน ลมหายใจเข้าออกสั้นมีลักษณะอัดกระแทกลมหายใจ หรือลมหายใจเข้าออกยาวแต่แรงเหมือนอัดกระแทกเข้าและปะทุออกมา
        1.4) ภาวะที่ใจเกิดความหวาดกลัว ระแวง..จะมีลักษณะของการหายใจ คือ..ลมและจังหวะหายใจที่วูบตกฉับพลัน เสียดซ่าน แผ่วปลาย ลมหายใจพุ่งแบบฉับพลันกรีดแผ่วที่อก ลมหายใจออกสั้นกระจายออก ทำให้เหมือนมีลมหายใจออกแรงแต่แผ่วช่วงปลายลมหายใจออก ลมหายใจเย็นแต่สะดุดชะงัก ขาดระยะ ขาดช่วงไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจสั่นหวิวกรีดที่หน้าอก หายใจเหมือนคนหนาวสั่น
        1.5.) ภาวะที่ใจหดหู่ ท้อแท้ เหนื่อยหน่าย จะมีลักษณะของการหายใจ คือ..ลมและจังหวะหายใจแผ่วเบา เคลื่อนตัวต่อเนื่อง แต่เนิบช้า อ่อนแรง
             ..จุดนี้คนที่เป็นซึมเศร้า ควรสังเหตุลมหายใจตนเอง ถ้ารู้ลมหายใจตนเองบ่อยๆแล้ว เวลาลมหายใจแปรปรวนสติก็จะเกิดขึ้นรู้ทันลักษณะลมหายใจ..หากเรารู้จุดนี้แล้วฝึกจิตให้มี..สติ ตื่นรู้..ก็จะเป็นตัวช่วยให้สามารถหยุดอาการดิ่งเข้ามิติภวังของซึมเศร้าได้
        1.6) ภาวะที่ใจดิ่งลงสู่ภวังค์จากความรัก ชัง กลัว หลง คนเราจะมีลักษณะของการหายใจที่ลมหายใจหยุดชะงัก ค้าง เหมือนไม่เคลื่อนไหว ภาวะนี้ทางการแพทย์เรียกว่าภาวะหยุดหายใจเฉียบพลัน หรือหยุดหายใจขณะหลับ
        1.7) ภาวะที่ใจสงบ นิ่ง ว่าง มีจิตตั้งมั่น เช่น ตอนทำสมาธิ คนเราจะมีลักษณะลมหายใจแบ่งเป็น 2 สภาวะ ดังนี้..
            - ภาวะที่ ๑ คือ จิตตั้งมั่นเล็กน้อย มีความสงบใจ รับรู้สิ่งภายนอกปกติแต่จิตไม่ฟุ้งซ่านคล้อยกับสิ่งภายนอก
            ..ลักษณะลมหายใจจะโล่งเบา ไม่หายใจแรง เรื่อยๆ สบายๆ ไม่สั้น ไม่ยาว
            - ภาวะที่ ๒ คือ จิตตั้งมั่นขั้นกลาง มีความหนักแน่น ไม่รับรู้ภายนอก หรือเหมือนจะรู้แต่ก็ไม่รับรู้ คือ ใจทำสักแต่ว่ารู้โดยไม่ใส่ใจกับสิ่งภายนอก จิตจะสนใจเฉพาะสิ่งที่อยู่ภายในใจที่จิตความรู้อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น มีจิตจดจ่ออยู่แค่สิ่งที่จิตตั้งอารมณ์ไว้อยู่กับใจเท่านั้น
            ..ลักษณะลมหายใจจะเบาๆ เนิบๆ ใจสงบ สบาย ไม่ข้อง ไม่ขัด ไม่หน่วงตรึง ลมหายใจจะยาวต่อเนื่อง จนถึงยาวมากๆ เบา เนิบ ช้า
            ..สภาวะนี้จะรู้สึกเหมือน..ใจเราแยกการรับรู้ออกจากกองความคิด หรือสิ่งที่คิด ไม่เกี่ยวเนื่องกัน แต่รับรู้ได้อยู่ว่า..มีความคิดเป็นกองๆ กองนี้คิดอะไร กองนั้นคิดอะไร กองโน้นกำลังจะปรุงแต่งแต้มคิดจากความจดจำหมายรู้อารมณ์ไปในทิศทางใด นี่เรียกรู้ทันความคิดนึก..จนเมื่อจิตละเอียดขึ้น ก็จะรู้ทันความมุ่งหมายของใจ รู้ว่าใจที่กำลังมุ่งหมายนั้นมีจุดประสงค์จะทำอะไร นี่เรียก..รู้ทันเจตนา เมื่อฝึกจนชำนาญแม้ในเวลาปกติทั่วไป..ก็จะสามารถรู้ทันความคิดนึก ความมุ่งหมายของใจ รู้ทันเจตนาของใจได้
            ..หากผู้ป่วยซึมเศร้าสามารถฝึกเข้าถึงจุดนี้ได้ ก็จะสามารถแก้ไขจัดการสภาวะที่จิตตกภวังค์เข้าสู้อาการซึมเศร้าคิดทำร้ายตัวเองได้ ในทางการแพทย์ยาที่ให้ผู้ป่วยและการคุยบำบัดจิตก็เพื่อปรับการทำงานของสมอง ในเรื่องฮอโนมส์การรู้สึกรับรู้ความรู้สึกต่างๆ เพื่อปรับปรุงเสริมเพิ่มระบบประสาทส่วนที่สึกหรอหรือทำงานผิดพลาดที่มีผลต่อความคิด รับรู้ ความรู้สึก ที่สั่งสมองให้ทำงานให้กลับมาทำงานได้ตามเกณฑ์ปกติ
            - ภาวะที่ ๓ คือ ฌาณ จิตตั้งมั่นจดจ่อแนบแน่น เป็นอารมณ์เดียวอยู่ได้นาน
            ..ลักษณะลมหายใจจะละเอียดมากจนเหมือนไม่หายใจ แต่ก็รู้ได้ว่ากำลังหายใจอยู่ ลมหายใจจะยาวต่อเนื่อง จนถึงยาวมากๆ เบา ละเอียด สบาย
            สภาวะนี้จะรับรู้ได้ถึง..จิตจะไม่สนลมหายใจแล้ว มีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน แม้สิ่งนั้นมีแค่แสง-สี ไม่มีอะไรเลยนอดจากนี้ เมื่อจิตละเอียดเข้าลึกขึ้น มีใจจดจ่ออยู่ด้วยสติสัมปะชัญญะ รับรู้อาการสภาวะภายใจกายใจเป็นอย่างๆ เห็นเหตุเกิด เหตุดับของสังขารทั้งปวง จิตทำความรู้ชัดในสภาวะนั้น มีความแจ้งใจผุดขึ้นในอริยะสัจ ๔


        2. หลักการใช้ อานาปานสติ เพื่อบำบัดซึมเศร้า

 1. ต้องรู้เหตุที่ทำให้สติเกิดขึ้น
         2. ต้องรู้วิธีทำให้สติตั้งมั่น
         3. ต้องรู้ว่ากายใจตนเองอยู่สภาวะใด
         4. ต้องรู้ว่ากายใจที่ปกตินั้น จะสงบรำงับด้วยการทำไว้ในใจอย่างไร
         6. ต้องรู้วิธีเข้าไปกำหนดรู้ความรู้สึก..รู้สุขอันเนื่องด้วยกาย กับ สุขอันเนื่องด้วยใจ
         7. ต้องรู้วิธีเข้าไปกำหนดรู้เจตนาความนึกคิด
         8. ต้องรู้วิธีเข้าไปสงบรำงับเจตนาความนึกคิดนั้น
         9. ต้องรู้วิธีขจัดความติดใจข้องแวะ
        10. ต้องรู้วิธีกำหนดเข้าไปรู้จิตทำจิตให้ร่าเริง
        11. ต้องรู้วิธีเข้าไปกำหนดจิตให้ตั้งมั่น
        12. ต้องรู้วิธีกำหนดเข้าไปคลายสิ่งที่ใจผูกติดไว้ออก
        13. เมื่อใจที่เข้าไปกำหนดรู้นั้น มีความเป็นผู้รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ คือ..
        - เห็นสิ่งที่ใจรู้นั้นไม่เที่ยง..ความเข้าไปผูกใจยึดกอดไว้เป็นทุกข์..(กำหนดรู้ทุกข์)
        - เห็นสิ่งที่ถูกใจรู้นั้นไม่ใช่ตัวตน..ย่อมคลายกำหนัด..(สมุทัยที่ควรละ)
        14. เมื่อใจที่เข้าไปตามรู้นั้น มีความเป็นผู้ตื่นจากสมมติ คือ..
        - เห็นความสงบรำงับสิ้นจากสิ่งปรุงแต่งทั้งปวง คือ ธรรมชาติที่สงบ ธรรมชาตินั้นสบาย ธรรมชาตินั้นเป็นสุข..(ทำนิโรธให้แจ้ง)
        - การไม่เข้าไปกระทำไว้ในใจให้เกิดความปรุงแต่งห่อหุ้มจิต ย่อมทำให้จิตเข้าเห็นความว่าง ความไม่มี ..ถึงความสละคืนอุปธิทั้งปวง คือ เบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลสทั้งปวง..(มรรค)


        ด้วยประการข้างต้นนี้..การเข้าถึงวิธีหลุดพ้นทุกข์เหล่าใด จึงต้องมี อริยะสัจ ๔ กำกับรู้เสมอ เพื่อรู้ผลนี้เกิดแต่เหตุใด เหตุนี้ให้ผลสืบต่ออย่างไร ซึ่งอริยะสัจ ๔ นี้สามารถใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ไม่จำกัดกาล ดังนั้นทุกครั้งที่จะดับทุกข์ตน ก็ต้องรู้อริยะสัจ ๔ ก่อน หรือแม้จะทำสิ่งใดทุกครั้งในทางโลกหรือทางธรรม ก็ต้องกำหนดอริยะสัจ ๔ ก่อน, หรือแม้แต่จะตอบโจทย์ความต้องการของใจตนเองหรือคนอื่น ก็ต้องกำหนดรู้ อริยะสัจ ๔ ก่อน เมื่อกำหนดรู้ในอริยะสัจ ๔ คิดในอริยะสัจ ๔ ย่อมรู้ชัดโพชฌงค์ ธรรมแห่งการตรัสรู้ ซึ่งเป็นธรรมที่ใช้ขจัดอุปกิเลส หรือ อุปนิสัยเดิมของเราที่เราทำอยู่เป็นประจำๆ
        การนำอริยะสัจ ๔ มาใช้เป็นการทำความรู้เห็นตามจริง เมื่อจะนำมาใช้ในทางโลกจะเป็นกาคิดวิเคราะห์พิจารณาไตร่ตรองรู้ คือ ใช้เป็นหลักความคิด หรือ วิธีการคิด เพื่อกำกับรู้ในสิ่งต่างๆเพื่อแก้ทุกข์และปัญหาชีวิตได้..จะสมดั่งคำที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสสอนไว้ว่า..ความตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึง ที่ประกอบไปด้วยประโยชน์ คือ ความตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึง อริยะสัจ ๔ เพราะเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นทุกข์..ดังนั้นเราจึงควรคิดลงในอริยะสัจ ๔ ให้มาก

3. การคิดลงในอริยะสัจ ๔

อริยะสัจ ๔

    • ทุกข์ (ความไม่สบายกายไม่สบายใจทั้งหลาย)..ทุกข์ ควรกำหนดรู้
    • สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์)..สมุทัย ควรละ
    • นิโรธ (ความดับทุกข์, ถึงที่สิ้นสุดแห่งกองทุกข์)..นิโรธ ควรทำให้แจ้ง(ทำให้ปรากฏขึ้นเห็นแจ้งชัด)
    • มรรค (ทางแห่งการดับทุกข์)..มรรค ควรเจริญให้มาก(ตั้งใจปฏิบัติทำให้เต็มบริบูรณ์)

3.1 การนำอริยะสัจ ๔ มาใช้ไตร่ตรองพิจารณาในทุกข์และปัญหาชีวิต

ข้อนี้จะต้องทำคู่กับ กฎอิทัปปัจยตา เพื่อรู้ว่าผลนี้เกิดแต่เหตุใด และรู้ว่า เหตุนี้ให้ผลสืบต่ออย่างไร โดยอาศัยกฎว่า เพราะสิ่งนี้มี-สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี-สิ่งนี้จึงไม่มี

    - ทุกข์ หรือ ปัญหาชิวิตของเราเป็นแบบไหน..(กำหนดรู้การกระทำ..ที่ควรกำหนดรู้)
    - เหตุแห่งทุกข์ หรือ ต้นเหตุปัญหาของเราคืออะไร..(รู้เหตุกระทำ..ที่ควรละ)
    - ความดับทุกข์ หรือ ความหมดสิ้นปัญหาของเราเป็นแบบไหน..(รู้สภาวะหมดเหตุกระทำ..ที่ควรทำให้แจ้ง)
    - ทางดับทุกข์ หรือ ทางแก้ปัญหาของเราคืออะไร..(รู้ทางดัับเหตุกระทำ..ที่ควรเจริญให้มาก)

        3.2 การคิดแบบอริยะสัจ ๔ เพื่อรู้ในสัจจะ

วิธีฝึกคิดในสัจญาณ (เพื่อรู้ว่าสิ่งนี้คือตัวทุกข์, สิ่งนี้คือสมุทัย, สิ่งนี้คือนิโรธ, สิ่งนี้คือมรรค)

๑. การหาตัวทุกข์ เป็นการ..กำหนดรู้การกระทำ..กำหนดรู้ลักษณะของการกระทำที่เกิดขึ้น, กำหนดรู้กิริยาอาการของการกระทำที่เกิดขึ้นอยู่นี้
       ..เพราะสิ่งใดมี-สิ่งนี้จึงมี, เพราะสิ่งใดไม่มี-สิ่งนี้จึงไม่มี

๒. การหาสมุทัย เป็นการ..สืบสาวถึงเหตุให้กระทำ..พิจารณาจากสิ่งที่กระทำว่า ผลนี้เกิดแต่เหตุใด มีอะไรเป็นเหตุ
       ..สืบค้นหาสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดการกระทำนั้นๆขึ้นมา(เพราะสิ่งใดมี-สิ่งนี้จึงมี), การกระทำนี้จะไม่เกิดมีขึ้นมาได้..หากไม่มีในสิ่งใดเป็นเหตุ(สิ่งใดไม่มี-สิ่งนี้จึงไม่มี)

๓. การหานิโรธ เป็นการ..การเห็นแจ้งสภาวะที่หมดเหตุให้กระทำ..รู้ลักษณะ, กิริยา, อาการ, องค์ประกอบเหตุที่ทำให้เกิด..สภาวะที่หมดเหตุให้กระทำ..นั้นปรากฏขึ้นและดำรงอยู่
       ..เพราะไม่มีสิ่งใดอยู่..นิโรธนี้จึงเกิดมีประจักษ์แจ้งขึ้นมาได้(เพราะสิ่งใดไม่มี สิ่งนี้จึงมี), เพราะมีสิ่งใดอยู่..จึงทำให้นิโรธที่ประจักษ์แจ้งนี้ตั้งดำรงอยู่ได้(เพราะสิ่งใดมี-สิ่งนี้จึงมี)

๔. การหามรรค เป็นการ..รู้แจ้งทางดับเหตุให้กระทำ..พิจารณารู้ชัดในสภาวะนิโรธว่า มีการกระทำในสิ่งใด(สภาวะนี้มีการกระทำอย่างไร)-ไม่มีการกระทำในสิ่งใด(สภาวะนี้ไม่มีการกระทำอย่างไร)
       ..มีอะไรเป็นเหตุ(มรรค)กระทำให้(นิโรธ)เกิดขึ้น(เพราะสิ่งใดมี-สิ่งนี้จึงมี)..มีอะไรเป็นเหตุ(มรรค)กระทำให้(สมุทัย)ดับไป(เพราะสิ่งใดมี-สิ่งนี้จึงไม่มี)..เหตุแห่งการกระทำ(มรรค)อันใดเมื่อมีแล้ว-จะดับละเหตุแห่งการกระทำ(สมุทัย)อันนั้น..(เหตุละเหตุ)

..เมื่อทำให้มากในมรรค ก็จะทำให้มรรครวมองค์กันเป็นหนึ่งเดียว(มัคคสมังคี) เข้าสู่..โพชฌงค์ ๗ ละสังโยชน์ แล้วจะเดินเจ้าถึงวิชชา คือ อริยะสัจ ๔ ทำกิจญาณ

3.3 การนำมาใช้พิจารณาแก้ไขปัญหาหรือดับความดับทุกข์

      ๑. ทำความเข้าใจในทุกข์ หรือ ทำความเข้าใจปัญหาชีวิต กำหนดรู้ทุกข์หรือปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อรู้แจ้งชัดว่าตัวทุกข์ที่แท้จริงคืออะไร หรือ รู้ตัวปัญหาที่แท้จริงนั้นว่าคือสิ่งใด และรู้เหตุสืบต่อของมัน กล่าวคือ..รู้การกระทำ กำหนดรู้ว่าการกระทำใดที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้มีอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นความโศรกเศร้า ร่ำไร รำพัน อัดอั้น คับแค้น กายใจ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ความพรัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ความปารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์..ก็ความทุกข์หรือปัญหาในประการทั้งปวงนั้นมีอยู่ได้..ด้วยเพราะอาศัยสิ่งใด..เพราะมีอะไรที่ดำรงอยู่กับกายใจเรา จึงทำให้เกิดทุกข์หรือปัญหาในประการทั้งปวงเหล่านั้น..กำหนดรู้ตัวตนที่แท้จริงของมัน..น้อมไปในเหตุ

      ๒. ละที่เหตุแห่งทุกข์ หรือ ละต้นเหตุของปัญหา อาศัยจากการรู้ตัวทุกข์แล้วพิจารณาจากผลไปสู่เหตุ ว่าผลนี้เกิดแต่เหตุใด..สิ่งใดมี-ความทุกข์จึงมีสืบต่อ, สิ่งใดไม่มี-ความทุกข์นั้นจึงไม่มีสืบต่อ แล้วทำให้ความไม่มีทุกข์ปรากฏขึ้นมาได้..กล่าวคือ..รู้เหตุให้กระทำ แล้วละเหตุแห่งทุกข์และปัญหาเหล่านั้น
      ..(ทุกข์ ที่แสดงผลอยู่นี้ มีอะไรเป็นเหตุทำให้ทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาได้..เพื่อรู้สมุทัย)
      ..(สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ที่รู้แล้วนี้ เมื่อดับไปแล้วจะมีอะไรเป็นผล..เพื่อแจ้งนิโรธ)
      ..(เป็นการพิจารณารู้ชัดว่า..ผลนี้มีอะไรเป็นเหตุ เพื่อหาสมุทัยจากทุกข์ และ พิจารณาจากเหตุไปสู่ผล เพื่อรู้ว่าเมื่อละสมุทัยตัวนั้นแล้ว ทุกข์ดับสิ้นจริงไหม ถูกตรงแล้วหรือไม่ และความดับสิ้นไปได้จริงนั้นมีสภาวะยังไง ยังคงมีสิ่งใดติดค้างอยู่อีกไหม(กตญาณ)..สิ่งนี้ถ้าเป็นผู้มีปัญญาทำกิจหยั่งรู้แล้ว เมื่อเข้าสภาวะทำก็สามารถเห็นได้ทันทีครบอริยะสัจ ๔ แต่เราเพียงปุถุชนคนธรรมดาปกติทั่วไป การเข้าถึงกิจญาณนั้นยาก เพราะเป็นของพระอริยะเจ้าเท่านั้น เราแค่คนธรรมดาจึงยังต้องอาศัยการเข้าไปวิเคราะห์ไตร่ตรองให้รู้ชัดซึ่ง เหตุสืบต่อไปสู่ผล และ จากผลสืบค้นมาหาเหตุ แต่การทำเช่นนี้ก็เป็นการฝึกในกิจญาณแบบปุถุชนเช่นกัน และเป็นการฝึกปฏิสัมภิทาญาณไปในตัวด้วย)

      ๓. ทำความสิ้นไปแห่งทุกข์ให้แจ้ง หรือ ทำความหมดสิ้นปัญหาให้แจ้ง คือ ให้ปรากฏขึ้น, เกิดขึ้น จนเห็นแจ้งชัด..กล่าวคือ..รู้แจ้งในสภาวะที่หมดเหตุให้กระทำ เพื่อรู้สิ่งสำคัญดังนี้..
      ประการที่ 1 คือ เพื่อรู้ว่าความสิ้นสุดทุกข์ที่แท้จริง หรือ ความหมดสิ้นปัญหาที่แท้จริง..นั้นเป็นอย่างไร
      ประการที่ 2 คือ เพื่อให้รู้แจ้งว่าเราได้ดับเหตุแห่งทุกข์หรือเหตุของปัญหาหมดสิ้นจริงแล้วหรือไม่ ยังคงมีการกระเพื่อมสั่นคลอนอยู่ไหม เมื่อตามรู้สภาวะนิโรธจะยังเห็นมีตะกอนอันเป็นเหตุแห่งทุกข์อยู่อีกหรือไม่
      ประการที่ 3 เพื่อให้รู้ชัดในมรรค รู้ว่ามรรคมีประการใดบ้างจากสภาวะธรรมของนิโรธ เพื่อทำมรรคให้มาก เพื่อทำมรรคให้บริบูรณ์
ด้วยความสำคัญทั้ง 3 ประการ จึงต้องรู้ว่า นิโรธ นี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร มีลักษณะอาการแบบไหน มีอะไรเป็นองค์ประกอบร่วม มีการกระทำในสภาวะนั้นอย่างไร มีได้เพราะอะไร มีสิ่งใด ไม่มีสิ่งใด..เพราะสิ่งใดมี-ความดับทุกข์จึงมี, เพราะสิ่งใดไม่มี-ความดับทุกข์จึงมี
      ..(เพราะละสมุทัยตัวใดไป นิโรธที่มีแสดงผลอยู่ดังที่ประจักษ์แจ้งนี้ จึงปรากฏขึ้นได้..สิ่งใดดับไป สิ่งนี้จึงเกิดมีขึ้น, แล้วตามรู้สภาวะของนิโรธว่า..มีกิริยาอาการของจิตอย่างไร มีองค์ประกอบร่วมยังไง และการกระทำของจิตในสภาวะนั้นเป็นอย่างไร นิโรธนี้จึงปรากฏแสดงได้ สิ่งใดมี-สิ่งนี้จึงมี เพื่อหาเหตุที่ใช้ละเหตุ(มรรค))

      ๔. ทำในทางดับทุกข์ หรือ ทางแก้ไขปัญหาให้มาก โดยพิจารณาเมื่อแจ้งนิโรธว่า เพราะสิ่งใดมี-ความดับทุกข์จึงมี, เพราะสิ่งใดไม่มี-ความดับทุกข์จึงมี, กำหนดรู้การกระทำของจิตในสภาวะนิโรธ..แล้วเฟ้นหาเหตุที่ทำให้การกระทำนั้นๆในสภาวะของนิโรธเกิดขึ้น เทียบเคียงกับสภาวะและกิริยาอาการของสมุทัย..เพื่อสืบค้นหาสิ่งที่ใช้ละสมุทัย สิ่งใดเป็นปฏิปักษ์กับสมุทัย..มรรค จึงได้ชื่อว่า เหตุละ หรือ เหตุละเหตุ..แล้วตั้งใจทำให้มาก เพื่อทำให้มรรคเต็มบริบูรณ์
      ..(นิโรธที่แสดงผลอยู่นี้ เพราะสมุทัยตัวใดดับ แล้วมีอะไรเป็นเหตุทำให้สามารถละสมุทัยตัวนั้นได้..ต้องใช้สิ่งใด มีวิธีทำอย่างไร..ใช้สิ่งใดละสิ่งใด..พิจารณาหาเหตุละ)
      ..(เป็นการพิจารณารู้ชัดว่า..ผลนี้มีอะไรเป็นเหตุ และ ทำเหตุใดละเหตุใด)

 (ในทางธรรมนี้..เมื่อเกิด มัคคสมังคี ก็จะเข้าเห็นในมหาสติปัฏฐาน ๔ สังขารุุเปกขาเกิดขึ้น จิตเห็นสังโยชที่นอนเนื่องและที่เกิดขึ้นแล้ว จิตเดินเข้าโพชฌงค์พิจารณาใคร่ครวญเทียบเคียงสังโยชเพื่อละสังโยช เมื่อจิตทำการละสังโยช อริยะสัจ ๔ ทำกิจในรอบ ๓ อาการ ๑๒ สัจจะญาณ กิจจะญาณ กตะญาณ)

3.4 ตัวอย่างการเฟ้นหามรรค ในตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเฟ้นหาแบบคนที่ยังไม่รู้ธรรมละ ไม่รู้โพชฌงค์ตามกาล แต่เฟ้นหามรรคเอาตามสภาวะธรรมที่เห็น

ตัวอย่างเฟ้นหามรรค เช่น..

..ร้อนเป็นไฟสุมใจ อัดอั้น คับแค้นกายใจ..จากความโกรธ เคียดแค้น พยาบาท ชิงชัง..(ทุกข์)

..ทุกข์นั้นมีอะไรเป็นเหตุ ความไม่พอใจ ความโกรธแค้นพยาบาทนั่นเอง..ดังนี้ โกรธ คือ..สมุทัย เป็นเหตุให้เกิดไฟสุมใจเราขึ้น ละโกรธ ได้เราก็จะดับทุกข์นั้นได้..(ละสมุทัย)

..เมื่อละโกรธแล้ว ผลจากการละโกรธได้นั้น มีสภาพเช่นไร จิตที่ดับโกรธได้แล้วเป็นไฉน จิตปกติทีัไม่มีโกรธเป็นอย่างไร น้อมใจไปตามรู้สภาพแห่งความดับโกรธนั้น

..สภาพใน นิโรธ ที่ โกรธดับ มันเป็นอย่างไรเมื่อน้อมไปตามรู้ก็จะเห็นสภาพจิตใจ..มันปรอดโปร่ง มันอิ่มเอม มันซาบซ่าน มันโล่ง มันเบา มันสบายเย็นใจ ..(กำหนดรู้ นิโรธ) 
        ..ก็ในนิโรธนั้นจิตที่มีสภาพลักษณะที่ปรอดโปร่ง อิ่มเอม ซาบซ่าน โล่ง เบา สบาย เย็นใจ นั้นเกิดได้ด้วยประการใดหนอ..จิตกระทำกิริยาอาการอย่างไร ไม่กระทำกิริยาอาการอย่างไร..(ทำนิโรธให้แจ้ง)
        ..เมื่อน้อมใจตามรู้ก็จะเห็นสภาวะกิริยาอาการที่จิตกระทำดำเนินไปอยู่..มีอาการที่ใจปลดออก ปล่อยออก ไม่ผูก ไม่ดึง  ไม่ติด ไม่ข้อง ไม่ขัด ไม่แวะ ไม่หน่วง ไม่ตรึง  มีกิริยาอาการที่ใจเปิดกว้างออก ขยายออกกว้าง ขยายความอิ่มสบายออก แผ่ออกกระจายไป

..แล้วเราจะทำไฉนหนอ จึงจะดับโกรธนั้นได้ ใช้สิ่งใดดับ..(เฟ้นหามรรค คือ พิจารณาหาเหตุเพื่อละเหตุ)
        - จากนิโรธที่เกิดขึ้น..เมื่อได้พิจารณาดูแล้ว มันเย็นใจ เบา สบาย ปรอดโปร่ง
        - ส่วนโกรธเมื่อเกิดขึ้น..มันร้อนเร่าเป็นไฟสุมใจ อัดอั้น ติดขัด ไม่ปรอดโปร่ง

- ในนิโรธนั้นจิตมีการกระทำของจิตที่ปลดออก ปล่อยออก ไม่ผูกดึง ไม่ข้อง ไม่ขัด เปิดกว้าง แผ่ขยายออก
        - ส่วนในโกรธนั้นจิตมีการกระทำที่ผูกตรึง ขึงรัด ผูกมัดไม่ยอมปล่อย มันเอาสิ่งที่ผูกดึงไว้นั้นมาสุมรวมระคนกันทำให้ใจถูกปิดกัน มันคับ มันแคบ กระทุ้ง กระแทก ทำให้เบียดอัดแน่น ปะทุขึ้น

- (เมื่อสังเกตุดูแล้ว ทั้งสภาพจิต สภาวะจิต การกระทำกิริยาอาการของจิตระหว่าง ความโกรธ กับ นิโรธ จะมีสภาพตรงข้ามกันเสมอ)

- แล้วประการดังนี้เราจะดับยังไง..(พิจารณาสืบค้นจากผลไปหาเหตุ)
        ..ที่เกิดอาการอัดอั้น → เป็นผลมาจากความคับแคบกีดกั้นภายในใจ → ความคับแคบกีดกั้นของใจ เกิดจากการกระทำที่ใจดึงเอาสิ่งที่ผูกมัดมาสุมรวมระคนกันไว้ → ที่ใจดึงสิ่งที่ผูกมัดมาสุมรวมกันได้ เพราะมีสิ่งที่ใช้ผูกมัด → ที่มีสิ่งผูกมัดได้ เพราะใจผูกปมโซ่ตรวนนั้นไม่ปล่อย..โดยปมที่ผูกมัดนั้น ร้อยรัดสิ่งที่รู้สัมผัสด้วยความรู้สึกไม่พอใจยินดี หรือ ที่รู้สัมผัสด้วยความรู้สึกยินร้ายเอาไว้
        ..นี่ใช่ไหมที่เรียก มีปมในใจ , ผูกปมไว้ในใจ
        ..นี่แสดงว่าเรา..รู้เหตุที่ควรละแล้ว..รู้เป้าหมายแล้ว

- พิจารณาจากเหตุที่สืบต่อไปหาผล
        ..เมื่อปล่อยไม่มีโซ่ตรวนที่ผูกปมเอาไว้ออก → ก็ไม่มีสิ่งที่ไม่พอใจยินดี ไม่มีสิ่งที่ยินร้ายทั้งหลายมาผูกมัดขึ้นไว้กับใจ → เมื่อไม่มีสิ่งใดมาผูกมัด ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะดึงมากีดกั้นใจ → เมื่อไม่มีสิ่งที่จะดึงมากีดกั้นใจ ก็ไม่มีความแออัดภายในใจ → เมื่อไม่มีความแอดอัดในใจ ใจก็ไม่คับแคบ → เมื่อใจไม่คับแคบ ก็ไม่มีความอัดอั้น → เมื่อใจไม่อัดอั้น ใจก็ปลอดโปร่ง

- เมื่อพิจารณาเห็นก็รู้เหตุที่ควรละ นั่นก็คือ..การผูกปมเอาไว้ในใจ..เมื่อการผูกปมในใจเป็นกระกระทำของจิตฝ่ายโกรธแล้ว จากที่เราพิจารณานิโรธมา..จะเห็นได้ว่าจิตมีการกระทำที่ตรงข้ามกับโกรธเสมอๆ..ดังนั้นสิ่งตรงข้ามกันกับ..การผูกปม ก็คือ..การแก้ปมในใจ 
        - เมื่อใจผูกปม เราก็ต้องแก้ปม คลายปม แล้วจะใช้สิ่งใดคลายปมนั้นได้ละ..สิ่งที่มีลักษณะคลายปมออก..ก็คือ อภัยทาน
        ..อภัยทาน มีลักษณะที่..ปล่อยผ่าน คลายออก ไม่ผูกปม
        ..อภัยทาน ความหมายว่า..ไม่ถือสาหาความ ไม่ถือโทษ ไม่ถือโกรธ ไม่ยึดมาใส่ใจ ไม่เอามาผูกตั้งไว้ในใจ ไม่ผูกเงื่อนโกรธ
        ..เมื่อมาถึงจุดนี้จะเห็นได้ว่า..เราเห็นทางแก้โกรธแล้ว และจะเข้าใจมากขึ้นเลยว่า ทำไมพระท่านกล่าวว่า โกรธ ก็รู้จักให้ อภัย แล้วจะไม่เป็นทุกข์

 ..ทำให้หวนคิดใส่ใจตนเองว่า..นี่เรามัวทำอภัยทานด้วยการปล่อยนกปล่อยปลาอย่างเดียวเลย..จนลืมที่จะทำ..อภัยทานที่เป็นการปล่อยโกรธในใจตัวเอง..ลืมอภัยทานทั้งต่อตนเอง คือ ปล่อยละความโกรธในใจตนที่เป็นไฟสุมใจเราให้หมองไหม้อยู่ และ ผู้อื่นที่ทำให้เราขัดเคืองใจในเบื้องหน้าอยู่นั้น..แต่กลับเอาความโกรธ แค้น พยาบาท มาผูกมัดร้อยรัดกายใจตนเองไว้ไม่ปล่อย ก็เลยเป็นทุกข์สุมไฟใส่ใจตนเองต่อเนื่อง โหมไฟโทสะในใจตนจนหมองไหม้กายใจทุกข์ทรมาน..นี่มันแค่นี้เอง..แค่ปล่อยโกรธ ละความสืบต่อ เพื่อเป็นการสละให้ความสุขเกิดมีแก่กายใจตนเองและผู้อื่น ความสละให้นี้เป็นมหาทาน ความไม่สืบต่อนี้ก็คือเราได้ปล่อยวางแล้ว คือ ไม่สืบต่อไฟโทสะสุมใจเราอีก

..นี่แสดงว่าเรา..รู้จุดมุ่งหมาย..ในสิ่งที่จะใช้แก้ทางของไฟโกรธแล้ว

- แล้วเราจะเข้าถึงอภัยทานจิตนี้ได้ยังไง ก็ให้เรา..วิเคราะห์หาเหตุใกล้..ให้อภัยทานจิตเกิดขึ้นในใจ..อีกครั้ง
        ..สิ่งใดที่ทำให้ใจเราปล่อยผ่านได้ คลายได้ มีสิ่งให้ทำให้เราเข้าถึงได้หนอ เมื่อหวนระลึกถึงสภาวะของนิโรธ ที่แผ่กว้างออก ปรอดโปร่ง เย็นใจ..เมื่อการอภัย คือ การแก้ปม มีลักษณะ ปล่อย คลายออก การทำไว้ในใจให้เข้าถึงของอภัยทานจิต การทำไว้ในใจนั้นก็ต้องมีลักษณะที่ทำให้ ใจคลายปมออก นั่นเอง
        ..คุณลักษณะของการคลายออก แผ่ออก เปิดกว้าง..การเปิดกว้าง มีใจกว้าง..เป็นลักษณะของความเอื้อเฟื้อน้อมไปในการสละ สงเคราะห์เกื้อกูล มีจิตใจดีต่อกัน ไม่ติดใจข้องแวะกัน ซึ่งคุณลักษณะนี้เป็นของ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั่นเอง ดังนั้นการจะเข้าถึง อภัยทานจิต ได้ ก็ต้องอาศัย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา..ธรรม 4 ประการนี้ คือ อาการของจิต เป็นธรรมที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก คือ เวทนา เป็นธรรมที่ประครองอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
        ..ก็ด้วยประการนี้แล การดับโกรธ ก็คือ..การ อภัยทาน..การจะเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกที่จิตมีลักษณะ ปล่อย คลายออก ก็ต้องใช้ ธรรม 4 ประการ คือ..
- เมตตา คือ มีใจกว้าง เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่
- กรุณา คือ มีใจสงเคราะห์ เกื้อกูล
- มุทิตา คือ จิตใจดีต่อผู้อื่น
- อุเบกขา คือ ความไม่ติดใจข้องแวะ ไม่สืบต่อกรรม(การกระทำ)

- สาเหตุที่การพิจารณาสืบค้นหาเหตุนี้..สิ้นสุดที่การผูกปมในใจ เพราะคนทุกคน มีแค่กายกับใจ การแก้ความปรุงแต่งกระทำจิตภายใน จึงสิ้นสุดที่ใจเรานี้เท่านั้น เพราะอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง..มีใจเป็นผู้น้อมไป(มนสิการ) มีใจเป็นผู้กระทำ(เจตนา) มีใจเป็นผู้ผูกยึด



        3.5 การใช้..อริยะสัจ 4..แก้ทุกข์ตามกาลขั้นพื้นฐาน..เพื่อน้อมใจเข้าสู่โพชฌงค์ ๑๔ ตามกาล

๑. เมื่ออยากได้ต้องการใคร่เสพย์ ใคร่ครอง กระหาย โหยหา กระสันอยาก กำหนัด
          - เป็นเวลาที่ควรแก่การน้อมหา..อริะยสัจ ๔ ทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้น ใช้ปัญญาดับ กำหนดรู้ทุกข์ เพื่อให้เห็นตัวทุกข์(เห็นตัวยึด) เมื่อเห็นตัวทุกข์ใจย่อมน้อมหาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้น จะเห็นสมุทัยที่ควรละ(เห็นตัวปารถนา) เมื่อเห็นสมุทัยย่อมตื่นรู้ เมื่อตื่นรู้ย่อมมีใจคลายเคลื่อนออกจากสมุทัยที่ใจผูกติดไว้อยู่(ไม่ผูกใจติดตรึงทำตัวตนไว้ในใจ, คลายตัวตนออกจากใจ) จิตเข้าสู่นิโรธ เห็นสุขในนิโรธ เห็นกิริยาจิตที่กระทำในสภาวะนิโรธ..ก็คือมรรคนั่นเอง มีใจน้อมเข้าสู่การกระทำจิตอย่างนั้นแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียว(มัคคสมังคี)
          ..จิตที่โลภ ใคร่ กำหนัด กระหาย โหยหา อยากได้ เป็นเวลาที่ควรแก่การกำหนดรู้ เพื่อให้ใจเข้าถึง..อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

๒. เมื่อทุกข์ระทม เครียด พะวง กลัว โศรกเศร้า ร่ำไร รำพัน อ่อนไหวง่าย
          - เป็นเวลาที่ควรแก่การน้อมหา..นิโรธ ความดับพ้นทุกข์ ให้ใช้นิโรธดับ ให้ระลึกถึงผลอันหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง สิ่งทั้งปวง เพื่อดับความเครียด พะวง กลัว โศกเศร้า ร่ำไร รำพัน ระคน อัดอั้น คับแค้นกายใจ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจทั้งหลายนั้น เพราะเป็นเหตุใกล้ให้ดับทุกข์
          ..จิตที่อัดอั้น กระวนกระวาย โศรกเศร้า อึดอัด ไม่สบายกายใจทั้งปวง เป็นเวลาที่ควรแก่ความสุข คือ นิโรธ..จะไม่เครียดทุกข์กระวนกระวายกายใจอีก จนรู้วิธีทำไว้ในใจให้เข้าถึงความสุขโสมนัสที่เนื่องด้วยใจตนเองได้ เป็นเหตุให้รู้ว่าสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจเราเลือกเสพ

๓. เมื่อยามปกติจิตสบายเย็นใจ ผ่องใส ปลอดโปร่ง แช่มชื่น ชื่นบาน อิ่มเอม ซาบซ่าน รื่นรมย์เป็นสุข
          - เป็นเวลาที่ควรแก่การน้อมหา..นิโรธ, สมุทัย, มรรค เพื่อทำความแจ้งชัดในนิโรธ กำหนดรู้สภาวะจิตที่ปกติเป็นสุขว่ามีลักษณะอาการอย่างไร เห็นองค์ประกอบในนิโรธ เห็นการกระทำของจิต เพื่อรู้ว่า..สิ่งใดไม่มี-สิ่งนี้จึงมี..สิ่งใดที่ดับไปไม่มีอยู่ก็คือ..สมุทัย..เป็นเหตุที่ควรละ และ สิ่งใดมี-สิ่งนี้จึงมี..สิ่งใดที่เป็นสภาวะจิตที่กำลังกระทำดำเนินไปอยู่ก็คือ..มรรค..เป็นเหตุที่ใช้ละเหตุ ที่ควรทำให้มากจนเต็มบริบูรณ์..ทำให้ใจไม่เครียด
          ..จิตที่ผ่องใสเป็นสุข เป็นเวลาที่ควรแก่การรู้วิธีสร้างสุขให้แก่ตนเอง รู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในใจ

๔. เมื่อใดตกภวังค์ ไม่รู้สึกตัว หดหู่ ย้ำคิดย้ำทำ ซึมเศร้า จิตห่อเหี่ยวนอนเนื่อง หน่วงตรึงจิต ขาดความรู้สึกตัว
          - เป็นเวลาที่ควรทำความ..กำหนดรู้(สติ)ใน ทุกข์ และสมุทัย เพื่อให้ใจตื่นรู้จากภวังค์กองวังวนความคิด เข้ามารู้สัมผัสโสมนัส..ความสุขที่เนื่องด้วยใจ เมื่อตามรู้พิจารณาทุกข์ย่อมเกิดความรู้สึกตัว เมื่อแจ้งใจในเหตุย่อมตื่นรู้ เหตุแห่งทุกข์ย่อมไม่สืบต่อ ย่อมเกิดปิติ สงบ สุข นิโรธ ความรู้ตัวทั่วพร้อมย่อมเกิด เพราะเป็นเหตุใกล้..สติ สัมปัญญะ และปัญญา
         ..การจมกับความคิดเพราะยึดติดเอามาเป็นตัวเป็นตนแนบแน่นกับใจ เหตุที่ยึดแนบแน่นมากเพราะปารถนามาก ซึ่งเป็นปารถนาที่จะได้รับสุขจากภายนอก ทำให้ย้ำคิดย้ำทำจนเอาเข้ามาสะกดจิตตนเอง ดังนั้นจึงต้องทำให้มีสติสัมปะชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม น้อมไปรู้โสมนัสความสุขของแท้ที่เนื่องด้วยใจตนเอง ไม่ต้องอาศัยเอาสิ่งใดมาผูกเป็นเครื่องสุขกับใจตน
          ..จิตที่หดหู่ ซึมเศร้า ถูกห่อหุ้ม ปิดกั้น ย้ำคิดย้ำทำ ลืมตัว เป็นเวลาที่ควรแก่การทำให้จิตตั้งขึ้น สติจะทำให้จิตตั้งขึ้น ทำความรู้สึกตัว การกำหนดรู้จะช่วยให้ใจตื่นรู้แยกออกจากวังวนแห่งกองความรู้สึกนึกคิด การพิจารณาเห็นสิ่งที่ควรละจะทำให้เกิดความรู้ตัวทั่วพร้อมแยกออกจากกองความคิดที่ใจจมดิ่งอยู่

..ก็เมื่อฝึกทำทั้ง ๔ ประการ นี้เป็นประจำ ก็จะเห็นเข้าใจชัดในโพชฌงค์ ๑๔ และ นิวรณ์ ๑๐(สังโยชน์ ๑๐)..

4. วิธีที่ผู้เขียนแบ่งปันการใช้ อานาปานสติบำบัดเครียดและซึมเศร้า ในที่นี้..เป็นการใช้ปัญญาอันน้อยนิดของปุถุชนทำไว้ในใจให้เข้าถึงจากข้อปฏิบัติทั้งหมดใน 3 ข้อข้างต้น แล้วประมวลมาเพื่อใช้ลมหายใจคู่กับการทำไว้ในใจ

    1. รู้ทันลมหายใจ เป็นเหตุเกิดให้สติ
    2. รู้ลมหายใจตามจุดพักลม เพื่อให้สติตั้งอยู่ต่อเนื่องที่ลม
    3. กำหนดหมายใน อวิปติสสาร คือ ความสบายเย็นใจ มีใจปรอดโปร่ง เพื่อให้กายใจที่เร่าร้อนอยู่สงบรำงับลง
    4. กำหนดหมายรู้ ปราโมทย์ ปิติ ปัสสัทธิ สุข คือ ความแช่มชื่น ความซาบซ่าน อิ่มเอมใจ ความสงบ ความว่าง เพื่อเข้าถึงความสุข
    5. กำหนดหมายจดจ่อที่ลมหายใจเพื่อให้จิตตั้งมั่น

ตัวอย่างที่ 1. เวลาที่เจอสถานการณ์ตรึงเครียด
        ภาวะกดดันที่ต้องรีบเร่งที่จะเอาให้ได้ กดดันให้ต้องทำให้ได้ ตื่นกลัวจะทำไม่ได้ กลัวจะทำผิดพลาด ตกใจ ลุ้นระลึก กระวนกระวาย คุร่นคิด ว้าวุ่นใจ กลัวทำไม่ได้ รนราน ทำอะไรไม่ถูก..ไม่ว่าจะที่บ้าน โรงเรียน เพื่อนๆ สภาพแวดล้อมที่ตรึงเครียดวุ่นวาย ให้ทำดังนี้

เวลาที่เจอสถานการณ์ตรึงเครียด
9  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน รู้ตน(กาย) เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:08:59 pm
..ภูได้ออกจากห้องมาเพื่อทานข้าว ทานยา ตามที่ชิวบอก (ที่ภูฟังชิว เพราะว่าชิวปรับอารมณ์ความรู้สึกของภูให้ปกติขึ้น ทำให้ภูรู้สึกไม่เป็นภัย คุยได้ ไม่หวาดกลัว ไม่ระแวง ไม่เดลียด ไม่ชัง)

..พอปะป๊าเห็นภูไกลๆ ก็ยืนขึ้นโล่งอกดีใจที่ภูไม่ทำร้ายตัวเอง แต่ด้วยใจคิดอยากจะสอนลูก ดัดนิสัยลูก ติดคำว่าพ่อค้ำคออยู่ จนลืมว่าภูเพิ่งเป็นเด็กโต ขาดแม่ เป็นวัยที่ยังต้องการความรักจากครอบครัวอยู่

    ปะป๊า : รอภูอยู่มากินข้าวได้แล้ว ต้องกินยาพักหมอ
         ภู : ครับ
    ปะป๊า : คราวหน้าอย่าทำอย่างนี้อีกนะ ภูโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าหาทางออกของปัญหาอย่างนี้อีก
         ภู :  ครับ ผมก็ไม่อยากทำอีก แต่พอมันคิดแล้ว มันก็ทำไปเองครับ
    ปะป๊า : เฮ้อ..(ถอนหายใจแบบท้อใจตามภู) (。´-д-)

..พอกินข้าวกินยาเสร็จแล้ว ภูก็ขึ้นมาห้อง แล้วก็หลับไป.. ( ु⁎ᴗ_ᴗ⁎)ु.。oO

..พอตื่นเช้า 7:00 โมงมาภูยังภูยังหยุดเรียนภายใน 1 อาทิตย์อยู่ ก็ได้ออกไปซื้อข้าวเช้ามาทาน..ขณะไปซื้อข้าวก็มีข่าวนักเรียน ม.3 กระโดด ตึกฆ่าตัวตาย..กลุ่มคนที่ดูข่าวต่างพูดว่า..
        ..น่าเสียดายเด็กเรียนดี แต่เครียดกับเรียนจนฆ่าตัวตาย
        ..ฉลาดเรื่องเรียน แต่ปรับอารมณ์จัดการความคิดที่ยุ่งเหยิงไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ
        ..ฆ่าตัวตายก่อนหมดอายุไขพระท่านว่า ต้องฆ่าตัวตายซ้ำๆจนกว่าจะหมดอายุไข ต้องชดใช้กรรมหนัก ต้องเวียนเกิดแล้วกระโดดตึกตายซ้ำๆจนกว่าจะหมดอายุไขย
        ..นี่คงต้องทำวนไปอีกนานหลายสิบปีเลยสิ
        ..ตายจากโลกนี้แล้ว ก็ยังต้องไปตายซ้ำๆ ทุกข์ทรมาน จะรับบุญก็ไม่ได้ จนกว่าจะหมดอายุไขย..
        ..เมื่อภูได้ฟังดังนั้น ก็เกิดกลัวในใจ หากตนเองฆ่าตัวตายอีก และหากตายจริง ก็คงต้องวนตายซ้ำๆไม่หยุด คนเราอายุไขย 70 ปี ก็ต้องทำซ้ำๆอีก 56 ปี ไปไหนไม่ได้..

..ระหว่างภูเดินกลับบ้าน ชิว..ก็โผล่มาข้างๆภู..ภูสะดุ้งตกใจร้อง...

         ภู : ว้ากกกก !!! ... !!!!!(o≧o≦)○))o
        ชิว : ภู.!!.ชิวเอง ตกใจอะไร
         ภู : เฮ้อ..(ภูถอนหายใจ)..ยังไม่ชินน่ะชิว
        ชิว : 555 เอิ๊กๆๆ
         ภู : ชิว...ภูกลัว
        ชิว : กลัวอะไรหรอ
         ภู : ภูไม่อยากฆ่าตัวตายอีก..ถ้าทำแบบไม่รู้ตัวอีกจะทำยังไงดี..ภูไม่อยากต้องไปฆ่าตัวตายซ้ำๆ ไม่มีข้าวกิน ไม่ได้รับส่วนบุญ (⁠。⁠•́⁠︿⁠•̀⁠。⁠)
        ชิว : ไม่ต้อห่วงนะ ชิวจะช่วยภูรักษาเอง..ก็แก้ด้วยการใช้สติปัญญาให้มากๆไง
         ภู : ทำยังไงล่ะ เฮ้อ...
        ชิว : ข้อแรกนะภูต้องอยากหายจริงๆก่อน ถึงจะทำได้
         ภู : อยากหายจริงๆสิ บอกภูหน่อย แต่ภูกินข้าวก่อนนะ ಠ⁠﹏⁠ಠ
        ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ

..เมื่อภูกินข้าวเสร็จ ชิวก็บินวนภู..

        ชิว : พร้อมรึยัง
         ภู : พร้อมแล้วงับ
        ชิว : สิ่งแรกเลยนะภูต้องมีเป้าหมายก่อน คือ อยากหายด้วยใจจริง ตั้งใจจะฝึกฝนทำทุกวัน เพื่อให้ตัวเองบำบัดจิตใจจนหายได้
         ภู : โอเช เยย
        ชิว : งั้นมาเริ่มกันเลย

        ชิว : 1. รู้ตน การรักษาสภาพจิตใจ ภูต้องรู้ว่า..
        1.1 ) ตนเองมีฐานะอะไร เป็นลูก เป็นผู้ชาย เป็นนักเรียน พอมีพอกิน ร่ำรวย หรือยากจน
        1.2 ) มีภาวะร่างกายและจิตใจอย่างไร
        ..๑.๒.๑) มีภาวะร่างกายแบบไหนในปัจจุบัน..ลมหายใจแรง-เบา-สั้น-ยาว หรือ กำลังอยู่อิริยาบถใด เคลื่อนไหวอย่างไร ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ขี้ เยี่ยว ทำกิจการงานใดอยู่
        ..๑.๒.๒) มีสภาพร่างกายอย่างไร..อ่อนแอหรือแข็งแรง, ครบ 32 ประการหรือพิการ, เจ็บป่วยมีโรคหรือไม่มีโรค
        ..๑.๒.๓) มีสภาพจิตใจแบบไหน..ดี-ร้าย-สุข-ทุกข์-เฉยๆ
        ..๑.๒.๔) มีภาวะอะไรเกิดขึ้นทางใจในปัจจุบัน..มีจิตปกติ ผ่องใส เบา สบาย เย็นใจ หรือ..เกิดความไม่ปกติด้วยใคร่-โหยหา-โลภ-โกรธ-พยาบาท-เกลียดชัง-ห่อเหี่ยว-หดหู่ซึมเศร้า-ว้าวุ่น-เคลิบเคลิ้ม-ติดเข้ามิติความคิดในโลกส่วนตัว-กลัว-ฟุ้งซ่านในใจ
        1.3 ) มีกำลัง..ความรู้ ทักษะความสามารถ ความถนัด และคุณธรรมอย่างไร (IQ, EQ, CQ, FQ, HQ, MQ, PQ, AQ, SQ, TQ) ว่าขณะนี้ เท่าไร อย่างไร แล้วประพฤติให้เหมาะสม และรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงต่อไป
        .๑.๓.๑) ใช้ปัญญา..ไม่ใช้ความรู้สึก คือ รู้วิเคราะห์ไตร่ตรองเลือกเฟ้นเห็นคุณและโทษก่อนลงมือทำ รู้ว่าผลทุกอย่างอยู่ที่เหตุการกระทำ และ ทุกๆการกระทำมีผลสืบต่อให้เราได้รับผลเสมอ, ทุกอย่างมีเหตุทำให้เกิดผลแสดงขึ้นมาได้หมด, เป็นความเชื่อ เป็น Mindset แนวทางความคิด ที่ใช้ อริยะสัจ ๔ กำกับรู้ (ศรัทธา)..(สาเหตุที่ไม่จำกัดความหมายของ ศรัทธา ในข้อนี้ว่า ความเชื่อ หรือ รู้แจ้งกรรม เพราะจะเป็น..ความเชื่อร่วมกับสัมมาทิฎฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงด้วยปัญญาเห็นชอบ กำกับด้วย อริยะสัจ ๔ ซึ่งเป็นทั้งธรรมที่ใช้ วิเคราะห์ วินิจฉัย ไตร่ตรอง และการปฏิบัติ รู้ว่าผลนี้เกิดแต่เหตุใด รู้ว่าเหตุนี้มีอะไรเป็นผล รวมถึงความรู้แจ้งแทงตลอดเหตุเกิดและเหตุดับแห่งนามรูป ความดับทุกข์ และทางปฏิบัติให้หลุดพ้นทุกข์ รวมทั้งมหาสติปัฏฐาน ๔)
        ..๑.๓.๒) มีวินัย คือ รู้กฎระเบียบ รู้กฎเกณฑ์ รู้การปฏิบัติ วางตัวเหมาะสม (ศีล)
        ..๑.๓.๓) มีความรู้ คือ มีการศึกษาหาความรู้ วินิจฉัย ค้นคว้า เรียนรู้ (สุตะ)
        ..๑.๓.๔) มีอัธยาสัยดี คือ การเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีใจกว้าง มีน้ำใจเอื้ออาธร (จาคะ)..(สาเหตุที่ไม่จำกัดความหมายของ จาคะ ในข้อนี้ว่า การสละ เพราะจะเป็นการมีจริยธรรมในจิตใจ โอบอ้อมอารีย์ มีมนุษยสัมพันธ์ดี คิดกุศล(คิดบวก) ไม่ผูกโกรธแค้น คิดอกุศล(คิดลบ) มีใจเอื้อเฟื้อ รู้ช่วยเหลือ แบ่งปัน..จาคะ ที่เป็นการสละ นี้มี 2 ประการ ๑.) การให้ทาน เป็นการให้สิ่งของ ตลอดจนการให้ที่เป็นมหาทาน คือ ภัยทานที่เป็น ศีล , ๒.) การเดินจิต เป็นการสละตวามเห็นแก่ตัว ตลอดจนสละคืนอุปธิทั้งหมดคือถึงพระนิพพานด้วย จึงใช้คำจำกัดความไทยที่มีคุณลักษณะของ การสละให้ และ การสละคืนกิเลสทำจิตใจให้แจ่มใส ที่เข้าใจง่ายในการดำรงชีพ)
        ..๑.๓.๕) มีความเข้าใจแจ้งชัดตามจริง ในสิ่งต่างๆที่ได้เรียนรู้ หรือ รับรู้มา (ปัญญา)
        ..๑.๓.๖) มีไหวพริบ คือ ความเฉียบไวในการตัดสินใจแก้ไขตอบโต้ (ปฏิภาณ) ..ต้องมีทักษะความสามารถ รับรู้และเข้าใจในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน, รู้โจทย์ความต้องการของใจคน หรือ สิ่งที่จะต้องทำให้เกิดมีขึ้นของเหตุการณ์นั้นๆ ว่า..บุคคลนี้ๆ สถานการณ์อย่างนี้ๆ คืออะไร → มีความเป็นมาอย่างไร → บ่งบอกถึงอะไร → อะไรที่มีอยู่ → อะไรที่ขาดไป → กำลังต้องการอะไร → อะไรที่จำเป็นต้องมีในเหตุการณ์นี้ → ต้องตอบสนองโจทย์ปัญหาและความต้องการของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร → ทำให้สามารถตัดสินใจแก้ไขตอบโต้ในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ถูกต้องฉับไว

ปฏิภาณ จะอาศัยทักษะร่วมอีก 3 ประการ คือ..
        ..ประการที่ 1 มีความเข้าใจที่สามารถคาดหมายผลข้างหน้าอันจะเกิดสืบเนื่องไปจากเหตุหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้, รู้ว่าเหตุนี้ให้ผลสืบต่ออย่างไร..มีความเข้าใจแจ้งชัดในความหมาย, รู้วิธีการ, รู้จุดประสงค์ที่มุ่งเน้นในหลักการต่างๆ สามารถแยกแยะอธิบายขยายความในแบบต่างๆ ไปสู่ผลลัพธ์ที่มุ่งหมายให้เหมาะกับสถานการณ์ได้
        ..ประการที่ 2 มีความเข้าใจสามารถสืบสาวหาเหตุในหนหลังได้, รู้ว่าผลนี้เกิดแต่เหตุใด..ฟังเนื้อความแล้วสามารถจับประเด็นจุดหลักสำคัญของเนื้อความได้ ทำให้สามารถกำหนดขึ้นเป็นหัวข้อหลักการและจำแนกหมวดหมู่วิธีการของเนื้อความนั้นๆได้
        ..ประการที่ ๓ เข้าใจใช้คำพูดและภาษาในการสื่อสารที่เหมาะสมเข้าใจง่าย คือ พูดสื่อสารภาษาเดียวกันกับผู้ฟัง..โดยใช้คำจำกัดความที่เข้าใจง่าย

           ภู : เยอะจัง ภูงง..เอาสั้นๆได้มั้ย (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
        ชิว : อุบ !! (ชิวกั้นขำ) ... (⁠ʘ⁠ᴗ⁠ʘ⁠✿⁠) ...
             : 555.. Ꮚ\(๑^ꇳ^๑)/Ꮚ .. งั้นชิวจะบอกข้อกำหนดสั้นๆ คือ..

         ชิว : 1. การรู้ตน คือ มีสติรู้ว่า..ตนเองอยู่ในสถานะใด มีหน้าที่อย่างไร มีกฎเกณฑ์อย่างไร..ของเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้นๆ, ตนมีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดตนเองเป็นอย่างไร, ตนมีความรู้ ทักษะ ความสามารถอย่างไร, มีข้อดีจุดไหน อ่อนด้อยอะไร ควรฝึกฝนพัฒนาเพิ่มเติมอย่างไร ด้วยใช้ อริยะสัจ ๔ เป็นหลักการกำหนดรู้

        ๑. ยกตัวอย่างเรื่อง การรู้สถานะ, หน้าที่ และกฏเกณฑ์ ของตนในสถานการณ์นั้นๆ เช่น..

        ชิว : ตอนภูไปเตะบอล ภูรู้ไหมอยู่ในสภานะใดสนามของการแข่งขัน
         ภู : เป็นประตูไง
        ชิว : ดีมาก..แล้วประตูทำหน้าที่อะไร
          ภู : ก็ป้องกันประตูไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามยิงเข้าไง
        ชิว : นี่แสดงว่า..ภู รู้ตน ในข้อที่ว่าด้วย..การรู้สถานะและกฏเกณฑ์ของตนในเหตุการณ์นั้นแล้ว
          ภู : ว้าว ง่ายจัง แค่นี้เอง แค่รู้ตำแหน่งหน้าที่ตนเองในสนามฟุตบอล ก็รู้ตัวเองแล้ว
            : ง่ายจัง !!.. ✧⁠*⁠。(⁠◍^ᴗ^◍⁠)⁠✧⁠*⁠。

        ชิว : การรู้สถานะหน้าที่ของตน รู้กฎเกณฑ์ในสถานการณ์นั้นๆ เป็นการรู้ขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง รู้สิ่งที่ตนเองควรทำต่อสถานการณ์นั้นๆ เหมือนภูเป็นลูก..ก็ต้องรู้สถานะตัวเอง ไม่ล่วงเกินก้าวก่ายโวยวายปะป๊า..รู้หน้าที่ของตนที่ควรทำ คือเป็นลูกที่เคารพรักให้เกียรติปะป๊า มีระเบียบวินัย ตั้งใจเรียน เป็นต้น..นี่คือ..การวางตัวเป็น..วางตัวได้ถูกต้องเหมาะสม..ของภู..
        ชิว : งั้นข้อต่อไปเลยนะ

        ๒. ยกตัวอย่างการรู้กายตนเอง เช่น..

         ชิว : รู้กาย..อันดับที่ 1. การรู้กายด้วยลมหายใจ
                      : ..ตอนนี้ภูกำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก สั้นหรือยาว แรงหรือเบา..
        ภู : งืมๆๆ..(แล้วภูก็หลับตาทำความรู้ลมหายใจ)..ตอนนี้ก็หายใจปกตินะ กำลังหายใจเข้า พอดีๆ ไม่สั้น ไม่ยาว กำลังหายใจออก แต่สั้นกว่าลมหายใจเข้าหน่อยนึง ลมหายใจเข้า สบายๆ ลมหายใจออกก็สบาย ไม่ได้หายใจแรงจนเสียงดังจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง..ก็ปกติดีนะ
        ชิว : เยี่ยมเลย..นี่แหละเวลาเรามีสภาพร่างกายจิตใจปกติก็จะหายใจสบายๆแบบนี้แหละ
         ภู : ว้าว .. (⁠ ⁠◜⁠‿⁠◝⁠ ⁠)⁠ ♡ ..
        ชิว : งั้นภูรู้ทันลมหายใจเข้าออกสบายๆต่อไปสักพักนะ
         ภู : โอเชเยย .. (⁠ ⁠◜⁠‿⁠◝⁠ ⁠)⁠ ♡ ..

...เวลาผ่านไป 10 นาที...

        ชิว : เอาล่ะนะทีนี..พอภูรู้ลมหายใจแล้ว ภูเป็นอย่างไร รู้สึกผ่อนคลายมั้ย
         ภู : ก็ดีนะ มันสบายดี ไม่ต้องคิดอะไร แค่รู้ทันลมหายใจว่าเข้าหรือออก สั้นหรือยาว เท่านั้นเอง
       ชิว : แล้วรู้สึกว่าภู สมองโล่งขึ้นมั้ย
        ภู : โล่ง เบา ผ่อนคลายดีขึ้นมากเลยล่ะ
       ชิว : แล้วตอนนี้ภูรู้สึกว่า ตัวเองรับรู้ทุกอย่างสบายใจขึ้น ดีขึ้นไหม
         ภู : อืมม..ก็ดีนะ รับรู้แล้วไม่คิดอะไรมากมาย สบายๆ
        ชิว : แสดงว่าตอนนี้ภูเริ่มรับรู้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ดีขึ้นแล้วใช่ไหม
         ภู : งืมๆๆๆ..มั้งนะ
        ชิว : เพราะตอนนี้ภูรู้ว่าตนเองรู้ว่าตนเองผ่อนคลาย สบาย คิดน้อย
         ภู : ใช่..

        ชิว : นี้เรียกว่ามีสติดีขึ้น มีกำลังดีขึ้น ทำให้รู้ตัวมากขึ้น รู้เท่าทันไวขึ้น ทำให้ใจภูตั้งขึ้น เข้มแข็งขึ้น หนักแน่นขึ้น อ่อนไหวตามความคิดน้อยลง เป็นอานิสงส์จากการรู้ลมหายใจ การรู้ทันลมหายใจเข้า-ออก ไม่ทิ้งลมหายใจนี้แหละ เป็นสร้างเหตุให้สติเกิดขึ้น ฝึกสติให้ไวเท่าทันความรู้สึกนึกคิด สร้างกำลังให้สติ ทำให้สติตั้งมั่น และสร้างกำลังให้สมาธิ เป็นอาหารให้ใจเรา ..นี่คือ บังไค ระดับที่ 1 ของภู..
        ภู : อ่อ..เป็นแบบนี้นี่เอง แค่รู้ลมหายใจเท่านี้ มันดีอย่างนี้เลยนะ..(เริ่มเข้าใจไวขึ้นนะนี่ อิอิ)

        ชิว : รู้กาย..อันดับที่ 2. การรู้กายด้วยสัมปะชัญญะ
            : ..ตอนนี้ภูกำลังทำอะไร..อยู่ในท่าทางอิริยาบถใด..
        ภู : ภูกำลังฟังชิวสอนภูอยู่ไง
        ชิว : ดีมาก..แล้วชิวกำลังสอนอะไรภู
        ภู : สอนการรู้ตนให้ภู
        ชิว : ดีมาก..แล้วภูกำลังอยู่ท่าทางใด
        ภู : ภูกำลังนั่งเหยียดขา พิงหัวเตียงอยู่
        ชิว : ทีนี้ให้ภูลุกยืนขึ้นนะ

...(แล้วภูก็ลุกยืนขึ้น)..

        ชิว : ..ตอนนี้ภูรู้ตัวเองไหม ว่ากำลังทำอะไร
        ภู : ก็ยืนตามชิวบอกไง
        ชิว : ดีมาก..แล้วลองเดินซิ

..(พอภูกำลังยกขวาขึ้นย่างก้าว ชิวก็บอกให้หยุดค้างท่านั้นไว้ก่อน)..

        ภู : ห๊ะ..
        ชิว : ภูรู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไร
        ภู : กำลังเดินไง
        ชิว : กำลังยกขาไหน
        ภู : ขาขวาไง
        ชิว : กำลังจะก้าวขาไหน
        ภู : ก็ขาขวาไง
        ชิว : ดีมาก..วางขาขวาก้าวลงไปข้างหน้าได้ ให้ภูทำความรู้สึกตัวของร่างกายแบบนี้ทั้งขาซ้ายและขวานะ ทำแบบนี้ไป 20 ก้าว
        ภู : อ่า (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)

..เมื่อภูเดินครบ 20 ก้าว..

        ชิว : ตอนที่ภูเดิน ภูคิดมากมั้ย เครียดมั้ย
        ภู : งืมๆๆ..ก็ไม่นะ เพราะใจมันตั้งจับอยู่ที่การยกขา เหยียดก้าวขา วางพื้น การสลับขาอีดข้าง แล้วก็ยกขา เหยียดก้าวขา วางพื้น มันเลยไม่ไปคิดอย่างอื่น ก็ไม่ได้เครียดอะไรนะ
        ชิว : ดีมากเลยตอนนี้..นี่เรียกการเดินจงกรม ทำแค่นี้แหละ จะช่วยตัดใจที่จมอยู่กับความคิด แล้วหันมาจดจ่อที่กาย เพื่อทำความรู้สึกตัวแทนได้ ภูรู้ความเคลื่อนไหวของร่างกายตัวเองดีขึ้นมั้ย
        ภู : (⁠◍⁠•⁠ᴗ⁠•⁠◍⁠)
        ชิว : งั้นนั่งลง (ภูก็ค่อยๆนั่งลง) ..ทีนี้ภูมีความรู้สึกว่า..ภูรับรู้ทันการเคลื่อนไหวทางกายดีขึ้นไหม
        ภู : ก็ดีนะ ตอนภูนั่งเมื่อตะกี๊รู้สึกว่า..ใจภูเห็นตัวเองว่า..กำลังย่อ หย่อนก้นลงที่นอน รู้ว่าก้นแตะบนที่นอนนุ่มๆ
        ชิว : ดีมากๆเลยนะ..ตอนที่ภูเดินจงกรม และจะนั่งลง ใจภูเป็นตัวสั่งให้ ยก ย่าง เหยียด ลง หรือร่างกายมันเป็นไปเอง
        ภู : งืมๆๆ (ภูหลับตาย้อนทบทวนเหตุการณ์) รู้สึกเหมือนว่า..เวลาขาภูขยับ ใจภูจะมีความคิดนึกว่าจะให้กายทำอะไร คือ ในใจคิดว่าจะเดิน..จะขยับอะไร(ขาขวา) ขยับตรงส่วนไหน(ยกเข่าขึ้น) จะเคลื่อนไหวไปยังไง(ยก เหยียด ย่าง หมายก้าวไปข้่างหน้า) แล้วกายก็ทำไปตามนั้น
        ชิว : ดีแล้วๆ..นี่แหละเขาเรียก ใจสั่งกาย จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว จิตเป็นตัวสั่งกายให้กระทำต่างๆไป นี่เรียกว่า..ภูรู้จักสืบค้นหาเหตุของการกระทำ จากผลลัพธ์ที่แสดงออกมาแล้วนะนี่..ภูฉลาดมากเลยนะนี่
        ภู : (⁠◍⁠•⁠ᴗ⁠•⁠◍⁠) ~~~ (⁠人⁠*⁠´⁠∀⁠`⁠)⁠。⁠*゚⁠+

        ชิว : นี่ล่ะฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆนะ การรู้ตัวทางกายว่า..ตนกำลังทำอะไร, อยู่ในอิริยาบถไหน, กำลังเคลื่อนไหวไปยังไงบ่อยๆนี้แหละ..จะช่วยให้ภู..รู้ทันใจที่สั่งกาย..รู้ทันการเคลื่อนไหวของกาย รู้ทันใจที่กำลังนึกสั่งให้กายกระทำ เรียกว่า..รู้ทันเจตนาทางกาย..จะทำให้ภูห้ามตนเองให้ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดีได้ทัน หรือ ห้ามตนเองทันก่อนทำเรื่องที่แย่ๆได้ทัน นี่เรียกความรู้สึกตัว เรียกว่า สัมปะชัญญะ ..นี่คือ บังไค..ระดับที่ 2 ของภู..

        ภู : ว้าว.. (⁠◍⁠•⁠ᴗ⁠•⁠◍⁠) เหมือนลำบากกว่าดูลมหายใจ แต่ก้อไม่ยากเย็นอะไร เพราะแค่ทำความรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรสิ่งใดอยู่ อยู่ในท่าทางยังไง แล้วก็เดินจงกรมเท่านั้นเอง การเดินจงกรมก็เหมือนที่ภูเข้าแถวเดินในวิชาลูกเสือที่เดินพร้อมกัน ซ้าย ขวา ซ้าย เอิ้ว ซ้าย ขวา ซ้าย..เท่านั้นเอง แค่รู้เพิ่มว่า..ขาไหนกำลังทำอะไรเท่านั้นเอง เรากำลังยกขาไหน กำลังเหยียดขาไหน กำลังก้าวขาไหน กำลังเอาขาไกนแตะพื้น..เท่านั้นเอง สบายมาก..แค่นี้ภูก็จะไม่เผลอฆ่าตัวตายแล้วใช่มั้ย
        ชิว : ใช่เลย เยี่ยมมาก

        ชิว : รู้กาย..อันดับที่ 3 การรู้กายด้วยอัตภาพร่างกาย
            : ..แล้วภูมีสภาพร่างกายครบพร้อม หรือพิการ มีร่างกายแข็งแรง หรือเป็นไข้..
        ภู : ก็ต้องครบปกติไม่ได้พิการ แล้วก็ยังสุขภาพร่างกายดีไม่ได้เป็นไข้
        ชิว : เยี่ยมเลย..นี่คือการรู้กาย มีแค่นี้เอง
        ภู : ง่ายจัง แค่นี้เองหรา (⁠ ⁠ꈍ⁠ᴗ⁠ꈍ⁠)
        ชิว : ใช่แล้ว..งั้นภูก็ไปโรงเรียนได้แล้วสิ
        ภู : เด่วนะ.. เดี๊ยวก่อน..\⁠(⁠◎⁠o⁠◎⁠)⁠/..ว้าก !!
           : ภูยังไม่อยากไป ยังไม่ใช่ตอนนี้นะ.. (⁠;⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
        ชิว : 555..นี่เขาเรียกขี้เกียจนี้นา แล้วภูรู้ใจตัวเองตอนนี้มั้ย .. ✧°•.* Ꮚ\(⁠。⁠•̀⁠ᴗ⁠-⁠)/Ꮚ ✧°•.* ..
        ภู : (⁠≧⁠▽⁠≦⁠) ..รู้อยู่งับ

        ชิว : จริงๆแล้ว ที่ให้รู้อัตภาพร่างกายตนเองนี้ มีจุดประสงค์ 3 ประการ ดังนี้..
        ข้อที่ 1. เพื่อให้เรารู้จักประมาณตนเอง รู้กำลังร่างกายของตนที่มีอยู่ รู้สภาพร่างกายของตน รู้จุดดีของร่างกายที่มี รู้จุดด้อยของร่างกายที่ควรเสริม รู้จุดที่แปรปรวนบกพร่องของสภาพร่างกายที่ควรดูแลรักษา รู้จักหยุด รู้จักพอ รู้จักความพอดี ไม่ทำเกินตัว ไม่ทำเกินสภาพร่างกายที่ตนเองจะรับได้..แต่ถ้าสิ่งไหนดีอยู่ในขอบเขตหน้าที่ของตน ที่ไม่เกินกำลังของตน..ก็ให้ทำในทันที
        ข้อที่ 2. เพื่อให้เรารู้คุณค่าและประโยชน์ของร่างกาย ที่เราควรดูแลรักษาเพื่อใช้ร่างกายนี้ทำประโยชน์การงานต่างๆ..จุดนี้ให้รู้คุณที่พ่อแม่ให้ร่างกายนี้เรามา ให้จิตเราที่จรมาได้อาศัยใช้ทำประโยชน์สุข จิตเดิมเรานี้..เราอาจจะเกิดเป็นหมา แมว ไส้เดือน แมลงสาบ หนอนในขี้ หนอนในที่เน่าเหม็นมา ถ้าไม่มีร่างกายนี้เราคงเกิดเป็นหนอนในขี้ เป็นพยาธิ คางคก กิ้งกือ สิ่งมีชีวิตในของสกปรกเน่าเหม็น แต่เพราะได้อาศัยกายที่พ่อแม่ให้มานี้แหละเราจึงได้เกิดเป็นคน ยากนะจะได้เป็นคน ภูควรรักษากายนี้ไว้ให้ดี

        ภู : (⁠≧⁠▽⁠≦⁠) ..รับแซบงับ

        ชิว : ข้อที่ 3 เพื่อให้เรารู้ว่ากรรมทุกอย่างมีผลสืบต่อ ควรเห็นคุณค่าร่างกายที่พ่อแม่ให้มา จะมีมากมีน้อย ครบถ้วนบริบูรณ์ หรือขาดไม่สมบูรณ์ ก็อยู่ที่..บุญกรรมอันเก่าส่งผล..มันเป็นแค่สิ่งหนึ่งให้เราต้องพบเจอในชีวิตตามธรรมชาติ อันเป็นผลมาจากการกระทำในครั้งเก่าก่อน ซึ่งมีอยู่นับล้านๆแบบในโลกนี้ ไม่ได้มีไว้ให้เราต้องจมดิ่งกับสิ่งที่มีน้อยหรือด้อยกว่าคนอื่นนั้น..แต่มีไว้ให้เราตระหนักรู้ว่า..กรรมทั้งปวงมีผลสืบต่อ เราจึงควรสำรวมระวังการกระทำ..แล้วมีใจหนักแน่นพร้อมเผชิญหน้าและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้โดยที่ไม่มีทุกข์ เราต้องทำเพิ่ม ต้องเสริม ต้องทดแทนในส่วนที่ขาดด้อยหรือหายไปนั้นของเรา สิ่งดีอันใดที่เรามีน้อย ชาตินี้เราเกิดมาเพื่อสะสมเหตุในสิ่งนั้นให้มันเต็ม ทำสิ่งที่เต็มแล้วให้บริบูรณ์..ด้วยร่างกายที่พ่อแม่ให้มานี้มีคุณค่ามาก..มีไว้เพื่อให้เราใช้สร้างบุญบารมีและความสำเร็จประโยชน์สุขทั้งปวง..ดังนั้นห้ามทำร้ายร่างกายตนเองให้เสื่อมพัง และห้ามฆ่าตัวตายเด็ดขาด..บาปมาก เป็นมหาบาป..เพราะเราต้องใช้งานเขาอีกมาก..ทั้งใช้เลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิดและชุบเลี้ยงตนมาได้ด้วย เป็นผีทำไม่ได้นะ..ถ้าภูเลิกทำไม่ดีในเวลาใด..เวลานั้นภูก็จะไม่เพิ่มเสริมผลของกรรมนั้นให้มากขึ้นไปอีกได้
        ..อุปมาเหมือน..เราเลิกกำถ่านที่ไฟลุกโชนไปแล้ว มันยังจะเป็นการว่าเรายังคงถือถ่านที่ติดไฟก้อนนั้นในตอนนี้อยู่อีกหรือไม่..ก็ไม่ใช่เลย เพราะปัจจุบันเราโยนทิ้งถ่านก้อนนั้นไปแล้ว..แต่ว่าความร้อน พุพอง แสบร้อนในมือที่ได้รับอยู่ในตอนนี้ ก็คือผลสืบต่อจากการที่เราเคยกำถ่านที่มีไฟลุกไหม้ของเราในช่วงก่อนหน้านี้เท่านั้น แล้วเราจะเลือกรักษาให้แผลพุพองหาย หรือเลือกจะปล่อยมันไปแล้วกำถ่านที่มีไฟรุกโชนต่อ นั่นอยู่ที่เราเลือกที่จะทำ

        ภู : <⁠(⁠ ̄ ⁠︶ ⁠ ̄⁠)⁠↗ ..อ่าาา..รับแซบงับ

        ชิว : ..ดังนั้นให้หมั่นคอยสอดส่องตรวจสอบดูข้อดีข้อด้วยของตน ขาดอะไร พร่องอะไร สิ่งใดมี สิ่งใดไม่มี เราสามารถทำสะสมเหตุของสิ่งนั้นให้มันเกิดมีขึ้นมาได้..เพราะการกระทำทุกอย่าง..มีผลสืบต่อเสมอ..เหมือนการรินน้ำใส่แก้ว เมื่อเติมน้ำใส่แก้ว จากแก้วเปล่าก็ทำให้แก้วนั้นมีน้ำ เมื่อรินไปเรื่อยๆน้ำก็เต็มแก้ว..สิ่งใดไม่มีหากทำสะสมบ่อยๆเรื่อยๆไม่ขาดก็จะเกิดมีขึ้นมาได้

        ภู : (⁠ノ⁠◕⁠ヮ⁠◕⁠)⁠ノ⁠*⁠.⁠✧ ..รับแซบงับ

        ชิว : ..เวลาเรียนรู้ ฝึกฝน หรือทำสิ่งใด ให้ภูรู้ว่า..มันคือการพัฒนาทักษะของตน เพื่อประโยชน์สุขของตน เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่ตนต้องมี ต้องทำให้สำเร็จ ต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ การกระทำทุกอย่างส่งผลเสมอ สิ่งไหนไม่เคยทำครั้งแรกก็ย่อมยากเป็นธรรมดา..แต่หากเราเรียนรู้ สังเกตุ วิเคราะห์ทำความเข้าใจ ฝึกฝนทำไปเรื่อยๆก็จะเก่งขึ้น คล่องขึ้น ไวขึ้น และสำเร็จได้ด้วยดี..ทุกครั้งที่ทำสิ่งใดก็ให้ระลึกไว้ในใจแบบนี้ และ คอยตรวจสอบผลลัพธ์จากพัฒนาการที่ได้ของตน เราก็จะมีความสุขที่สามารถทำมันได้สำเร็จ นี้เรียกว่า..ความชอบในสิ่งที่ทำ..ส่งผลให้เกิดความเต็มใจทำในสิ่งนั้น..ทำให้เกิดความเพียรมุ่งมั่นตั้งใจในสิ่งที่ทำ เป็นพลังใจภายในให้มุ่งไปเพื่อทำให้สำเร็จ..แต่ให้เพียรด้วยความรู้สึกตัว ยินดี-แต่ไม่ตั้งความคาดหวังปารถนา คือ ทำให้เป็นที่สบายกายใจ-แต่ให้ทำบ่อยๆไม่ขาด(ยินดี)..(ไม่หย่อนไป)..จะช่วยให้ไม่เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย..มีความเอาใจใส่จดจ่อในสิ่งที่ทำ ตั้งใจแน่วแน่ไม่วอกแวกหวั่นไหว ตั้งหน้าไปให้ถึงที่สุดด้วยความรู้สึกตัว-ไม่กระสันเอาผล(ไม่ตั้งความคาดหวังปารถนา)..(คือไม่ตึงไป)..จะทำให้ไม่หมกมุ่น..แล้วคอยตรวจสอบสอดส่องพัฒนาการข้อขาดตกบกพร่องของสิ่งที่ทำ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีและสำเร็จลุล่วง..นี่คือการใช้ อิทธิบาท ๔ คอยกำกับสอดส่องข้อดีข้อด้อยที่ตนมี เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ของตนเอง

        ..ด้วยประการดังนี้.. ๑.) การรู้กายเพื่อรู้ประมาณตน, ๒.) การรู้กายเพื่อรู้คุณค่าร่างกายที่พ่อแม่ให้มา, ๓.) การรู้กายเพื่อรู้ในกรรมว่า..ทุกๆการกระทำมีผลสืบต่อ..แล้วทำสะสมเหตุคอยฝึกฝนสอดส่องพัฒนาการด้วยอิทธิบาท ๔ เสมอ..นี้แหละคือ..บังไค ระดับที่ 3 ของภู..

        ภู : (⁠≧⁠▽⁠≦⁠) ..รับแซบงับป๋ม

        ชิว : ดังนี้แล้ว พ่อแม่ให้กายเรานี้มาเพื่อสะสมบุญบารมี ไม่ใช่มาชดใช้กรรม เราจึงควรรักษาร่างกายและชีวิตนี้ไว้ เพื่อสร้างบุญบารมีและประโยชน์สุขให้ตนเอง เข้าใจนะภู..!!..
        ภู : โอเชเยยย
        ชิว : ดังนั้นต้องตั้งใจยึดมั่นไว้ว่า ห้ามฆ่าตัวตายนะภู...ชิวววว...  Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ ...
        ภู : ได้งับ (⁠◍⁠•⁠ᴗ⁠•⁠◍⁠)

        ชิว : งั้นมาเริ่มข้อที่ 3 กันเลย รู้ใจตน คือ รู้อามณ์ความรู้สึกนึกคิดตนเอง
        ภู : (⁠≧⁠▽⁠≦⁠) ..เด่วก่อนนะ ภูขอเอาเท่านี้ก่อน ถ้าเยอะเกินเดี๋ยวปัญญาอันน้อยนิด ของคนหน้าตาดีอย่างภู จะจำไม่ได้

        ชิว : ได้เลย..ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ ...





คุยกันหลังจบตอน

        ..เด็กโตช่วงอายุ 14-16 คือ ช่วงเวลาที่เด็กมีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงเพื่อโตเป็นวัยรุ่นเต็มตัว ช่วงนี้จะเริ่มมีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่ชัดเจน เริ่มเปลี่ยนขั้ว เริ่มเปลี่ยนวัย หากไม่สามารถสร้างทัศนคติ หลักและวิธีการใช้ชีวิต, การเข้าสังคม, การแก้ปัญหา และ ตั้งมายด์เซ็ทในทางที่ถูกเพื่อปรับเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ เด็กก็จะมีอารมณ์รุนแรง เริ่มเปลี่ยนขั้ว หรือ รู้สึกทุกอย่างผิดกับตน หรือ ตนผิดกับทุกอย่างทั้งหมด บ้างใคร่ บ้างโหยหา บ้างฟุ้งซ่าน บ้างจมติดในฝันที่ใคร่ได้ครอง ติดกับความอยากมีอยากเป็น บ้างอารมณ์ร้าย ฝังจำ ฝังแค้น ผูกโกรธ ผูกแค้น บ้างเกลียดชังริษยา บ้างหดหู่ ซึมเศร้า ติดอยู่กับความอยากให้ไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตน อยากให้ตนไม่ต้องพบเจอสิ่งที่ไม่ชอบ เกลียดชัง อยากให้ตนไม่มีหรือไม่ต้องพบเจอในสิ่งที่ไม่ชอบไม่พอใจ รู้สึกขาดจนเป็นอุปนิสัย เมื่อผ่านจุดนี้ไป..เด็กโตก็จะเข้าสู่วัยรุ่น

        ..เมื่อเป็นวัยรุ่นแล้ว Attitude, Mindset, จิตพัฒนาการ ที่ผ่านมาทั้งหมด ก็จะทำให้วัยรุ่นแต่ละคนนั้นมีอุปนิสัยเปลี่ยนไป บ้างดีขึ้น บ้างเลวร้าย แต่ตัวแปรสำคัญก็ยังอยู่ที่การปรับทัศนคติ โดยการเปลี่ยน Mindset เมื่อปรับได้ ทัศนคติ และจิตพัฒนาการในปัจจุบันก็จะเปลี่ยนแปลงจากการสะสมฝึกฝน Mindset ของแต่ละคน

        ด้วยเหตุนี้ การมีศรัทธา ความเชื่อด้วยปัญญา เชื่อด้วยสัมมาทิฏฐิ ใช้ปัญญาไม่ใช้ความรู้สึก เชื่อด้วยความเห็นจริงตามพระอริยะสัจ ๔ จึงสำคัญ



        การรู้ตนในส่วนกายนี้มีความสำคัญ คือ.. เป็นรากฐานแห่งสติ เป็นการฝึกสติ สร้างสติให้เกิดขึ้นบ่อยๆ ทำให้สติมีกำลังตั้งมั่น สามารถยับยั้ง แยกใจจากความคิด แยกแยะถูกผิด พิจารณาไตร่ตรองแยบคายจนสามารถเลือกเฟ้น..ธัมมารมณ์หรือสิ่งที่ควรเสพ, ควรน้อมใจไป, ควรเอามาเป็นที่ตั้งในใจ, ควรคิด-ควรพูด-ควรทำ และ..ธัมมารมณ์หรือสิ่งที่ไม่ควรเสพ, ไม่ควรน้อมใจไป, ไม่ควรเอามาเป็นที่ตั้งของใจ, ไม่ควรคิด-ไม่ควรพูด-ไม่ควรทำได้ ทำให้จิตไม่หดหู่ ห่อเหี่ยว ซึมเศร้า มีความอิ่มใจ เย็น เบาใจ

        เมื่อฝึกรู้ตนด้วยกาย คือ สัมปะชัญญะ ใจก็จะรู้ทันความคิดนึกที่สั่งการทางกาย ที่เรียกว่า เจตนาทางกาย ทำให้ไม่เผลอตัวทำอะไรผิดพลาด มีความรู้สึกตัวเกิดขึ้นได้ไว ทันจิตที่สั่งกาย ทันเจตนาทางกาย

        เมื่อสติสัมปะชัญญะตั้งมั่น ทรงได้นาน ก็ทำให้ใจเรามีกำลังมากขึ้นตาม เพราะทำงานน้อยลง จึงมีแรงกำลังมากขึ้น จัดระเบียบการรับรู้และความคิดได้ดีขึ้น เป็นระบบขึ้น เข้มแข็งขึ้น ตั้งมั่นขึ้นตาม หนักแน่น มั่นคง ไม่หวั่นไหวตามความคิด ไม่อ่อนไหวตามความรัก ชัง หลง กลัว จิตเป็นอารมณ์เดียวไม่แตกซ่านไหวกระจายไปทั่ว ที่เรียกว่า จิตตั้งมั่น หรือ สมาธิ นั่นเอง

        เพราะจิตที่ตั้งมั่น หนักแน่น มั่นคง รวมลงเป็นอารมณ์เดียว จึงไม่มีความรู้สึกนึกคิดกิเลสบดบังการทำความรู้เห็นตามจริงด้วยพระอริยะสัจ ๔ เรียกว่า รู้ว่าผลนี้เกิดแต่เหตุใด..เข้าใจรายละเอียดชัดเจน รู้ว่าเหตุการกระทำนี้ให้ผลอย่างไร..จับจุดหลักได้ จำแนกรายละเอียดได้ชัดเจน บันทึกจดจำเข้าใจง่าย สื่อสารง่าย มีวิธีการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ รวดเร็ว ว่องไว ทันการ ที่เรียกว่า..สติปัญญา เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ



เรื่องกรรม

        ..หัวใจหลักให้ใจมีความมุ่งมั่น มีแรงบรรดาลใจ เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า ให้เราหนักแน่นไว้ในใจว่า..เราเกิดมาเพื่อเอาชนะปัญหา..เราไม่ได้เกิดมาเพื่อพ่ายแพ้ให้กับมัน..

        ..สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนไว้ว่า..การกระทำทุกอย่าง..ย่อมส่งผลสืบต่อทั้งหมด หากเราทำสิ่งใดไว้..ก็ย่อมได้รับผลจากการกระทำนั้น..

        ..หากเราเชื่อมั่นว่า..ปัญหาที่เราพบเจอนั้น มันก็เป็นเพียงแค่กรรมเก่าที่เคยทำไว้ส่งผลให้เราต้องพบเจอ..เราเกิดมาเพื่อเอาชนะมัน..เราเกิดมาเพื่อทำให้วิบากกรรมนั้นหมดสิ้นไปไม่สืบต่อผลของมันอีก..ไม่ใช่เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม หรือยอมแพ้ให้กับมัน..เราก็จะสามารถกระทำการแก้ไขให้วิบากกรรมหรือปัญหาเหล่านั้นสิ้นสุดลงได้..

        ..เหมือนคนที่เขาทุพพลภาพ หรือ คนที่เขาไม่มีความสามารถไม่มีทักษะอะไรเพื่อใช้ดำเนินชีวิตเลย..แต่เขาไม่ยอมแพ้ หมั่นศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนเพิ่ม Skill ทักษะความสามารถให้ตนเอง..การกระทำนั้นย่อมส่งผลให้เขา ได้ทักษะที่ตนไม่เคยมี เกิดขึ้นมาไม่มากก็น้อย..แต่ไม่มีทางที่จะไม่ได้อะไรเลย และ ทักษะใดที่มีอยู่แล้วก็จะบริบูรณ์ขึ้น

        ..ดังนั้นการคิดว่า..ตนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม แล้วนอนจมดิ่งปล่อยตามยถากรรม ให้วิบากกรรมเก่าส่งผลสืบต่อไปเรื่อยๆ ย่อมทำให้ตนเองถึงความฉิบหาย..ความคิดนั้นก็จะกลายเป็นแค่..คำปลอบใจของคนที่ไม่สู้ปัญหา

        ..แต่คนที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจริง..เขาจะคิดว่า..วิบากกรรมเก่า คือ สิ่งที่ทำให้เราต้องพบเจอเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย อย่างเลี่ยงไม่ได้..แต่ไม่ใช่สิ่งที่ลิขิตชะตาชีวิตเรา..ส่วนสิ่งที่จะลิขิตชีวิตให้ก้าวไปในทิศทางใดนั้น ตัวเราคือผู้ลิขิต เราคือผู้ที่จะเลือกกระทำตอบโต้กลับโชคชะตาที่ต้องพบเจอนั้น..เราควรแก้ไขวิบากกรรมนั้นเสียตั้งแต่ตอนนี้ เลือกที่จะทำให้ดีขึ้น ไม่ไหลตามวิบากกรรมที่พบเจอตรงหน้าให้วิบากกรรมนั้นส่งผลสืบต่อเพิ่มขึ้น เพื่
10  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน นิทาน เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:06:36 pm
      ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ

      กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งห่างไกลจากหมู่บ้านพอสมควร

      มีนกเขาผัวเมียอยู่คู่หนึ่ง หากินในป่าอันอุดมสมบูรณ์นั้นอย่างมีความสุข เมื่อถึงฤดูวางไข่ นกตัวเมียก็ได้วางไข่ 2 ฟอง ทั้งคู่ได้คอยสลับเปลี่ยนกันไปหาอาหารและกกไข่
              จนถึงเวลาที่ไข่ทั้ง 2 ฟอง นั้นฟักตัว ลูกนกเขาทั้ง 2 ตัว จึงได้ออกมาสู่โลก
              พ่อแม่นกเขาทั้ง 2 นั้น ได้คอยสลับกันออกไปหาอาหารและธัญพืชเอามาให้ลูกน้อย, คอยสลับกันเฝ้ากกลูกเพื่อให้ความอบอุ่น และป้องกันภัยแก่ลูกน้อย

           ภู : คร่อก...ฟี่...zZzZ ( ु⁎ᴗ_ᴗ⁎)ु.。oO
                 ชิว : ภู !! ตื่นเดี๋ยวนี้นะ ชิวโกรธนะ... Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ ...
                   ภู : ヽ⁠(⁠(⁠◎⁠д⁠◎⁠)⁠)⁠ゝ ว้ากก...!! ตื่นแล้วๆ..!!
                 ชิว : ฟังชิวเล่าก่อน ชิวไม่ได้เล่านิทานกล่อมภูนอนนะ ... Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ ...

      มีอยู่วันหนึ่ง พ่อนกเขาได้ไปหาอาหารธัญพืช พบว่าธัญพืชในป่านั้นเริ่มหายาก จึงได้เที่ยวบินไปจนไปเจอนาข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวใหม่ๆ มีเมล็ดข้าวร่วงหล่นตามคันนาอยู่มาก พ่อนกเขาดีใจ จึงบินไปหมายจะเอาเมล็ดข้าวกลับไปให้ลูกที่รัง
              แต่พ่อนกเขานึกขึ้นได้ว่า พื้นที่นี้เป็นของชาวนา อาจมีอันตรายได้ทุกเมื่อ จึงไม่ประมาท บินขึ้นบนกิ่งไม้มองสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ในท้องนา..ว่ามีสภาพแวดล้อมยังไง มีสิ่งใดเป็นภัยต่อตนไหม ควรอยู่ในพื้นที่นี้ยังไง แล้วสังเกตุดูนกตัวอื่นที่กำลังหากินอยู่นั้น ว่าเขาใช้ชีวิตยังไง แต่ละตัวมีปกติหากินอย่างไร วางตัวแบบใด ..เมื่อมองสภาพแวดล้อมดีแล้ว ก็ไม่เข้าใกล้พื่นที่ที่ชาวนาเกี่ยวข้าวกันอยู่ แต่อยู่ในพื้นที่ที่มีเมล็ดข้าวตกจากการเก็บเกี่ยว มีต้นหญ้าสูงพอบังตนเองขึ้นอยู่ แต่มองเห็นสิ่งผิดปกติได้ง่าย เพื่อให้ตนเองกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
              เมื่อเก็บเมล็ดข้าวไปได้สักครู่หนึ่ง พ่อนกเขาก็เห็นชาวนากลุ่มหนึ่ง ได้วางโครงไม้ขึงตาข่ายตั้งไว้ ที่กลางคันนาบ้าง ลานกว้างห่างจากท้องนาบ้าง พร้อมโปรยเมล็ดข้าวอ่อนและธัญพืชอื่นๆไว้ภายใน
              เมื่อพ่อนกเขาเห็นดังนั้น จึงได้คิดไตร่ตรองว่า..ชาวนากลุ่มนี้ได้หว่านธัญพืชเหล่านั้นไว้ทำไม เขาใจบุญแบ่งเมล็ดธัญพืชให้แก่พวกเรากินหรือย่างไร
              พ่อนกเขาจึงได้ลองสังเกตุดูรอบๆ บริเวณที่ชาวนากลุ่มนั้นโปรยเมล็ดธัญพืชไว้ ก็เห็นว่าทุกที่ที่มีการโปรยเมล็ดธัญพืช จะมีโครงไม้ตาข่ายกางไว้อยู่เสมอ จึงคิดไตร่ตรองว่า..ชาวนากลุ่มนี้กางตาข่ายขึงไว้มีจุดประสงค์อะไร น่าสงสัย อย่างไรเสียเราควรเว้นระยะห่าง อย่าพึ่งเข้าไปใกล้ในจุดนั้นเลย รอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า..เมื่อคิดไตร่ตรองได้อย่างนั้น พ่อนกเขาจึงไม่เข้าไปใกล้บริเวณนั้น กลับออกมาอยู่ในระยะที่สังเกตุการณ์ได้ เพื่อหาเมล็ดข้าวและธัญพืชที่ห่างจากบริเวณนั้น
              เมื่อพ่อนกเขาหาอาหารอยู่ได้ไม่นาน พ่อนกเขาก็เห็นนกกลุ่มหนึ่งที่โหยหิว บินเข้าไปกินธัญพืชที่ชาวนากลุ่มนั้นโปรยไว้ พลันนั้นกับดักนกก็ทำงานดีดตาข่ายเข้าหากัน ขังกลุ่มนกเหล่านั้นไว้ จากนั้นชาวนากลุ่มนั้นก็มาจับเอานกพวกนั้นไป
              พ่อนกเขาเห็นดังนั้นแล้วจึงรู้ว่า นั่นคือกับดักที่ชาวนาใช้จับนก หากจะหากินในที่นี้ก็ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะนอกจากกับดักจุดนี้ ก็จะยังมีจุดอื่นที่ซ่อนไว้อีกมาก จึงบินกลับเข้าป่าไป
              เมื่อพ่อนกเขาบินกลับถึงรัง จึงได้บอกเหตุการณ์นั้นให้แม่นกฟัง พร้อมวิธีสังเกตุ ระวังภัย แล้วบอกห้ามไปหาอาหารในพื้นที่หมู่บ้าน และ ที่นาข้าวของชาวบ้าน เพราะชาวนาได้วางกับดักจับนกไว้ โดยหว่านเมล็ดธัญพืชล่อไว้ หากที่ใดที่มีเมล็ดธัญพืชวางกองไว้อยู่ในลานกว้าง คันนา โดยมีตาข่ายกางไว้ในที่ตรงนั้น ห้ามเข้าไปกินหรือเก็บเอาธัญพืชเด็ดขาด และยังไม่รู้ว่าจะมีจุดที่ซ่อนหลบไว้อีกมากแค่ไหน ดีที่สุดคือห้ามออกหากินนอกผืนป่านี้..แม่นกก็รับทราบแล้วทำตาม

           ภู : คร่อก...ฟี่...zZzZ ( ु⁎ᴗ_ᴗ⁎)ु.。oO
                 ชิว : ภู !! แอบงีบอีกแล้วนะ Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ
                              ...(พลางบินไปดึงหูภู)…
                   ภู : ヽ⁠(⁠(⁠◎⁠д⁠◎⁠)⁠)⁠ゝ คร้าบบ...!! ฟังแล้วๆ..!!
                 ชิว : ตั้งใจฟังให้จบนะ ... Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ ...

      เมื่อเวลาผ่านไป จนลูกนกลืมตาดูโลก ได้มีขนเต็มปีกเต็มตัวจน ถึงเวลาที่ต้องหัดบิน..พ่อนกและแม่นกจึงให้ลูกทั้ง 2 ออกจากรังมาเกาะกิ่งไม้ แล้วสอนลูกบิน โดยสอนลูกว่า..ลูกน้อยทั้งสอง ถึงเวลาที่พวกเธอต้องเรียนรู้วิธีบินแล้ว เมื่อโตขึ้นจะได้ออกไปหาอาหารได้ แม่นกจึงเริ่มจากสอนลูกนกกระพือปีกไปมาเพื่อให้รู้วิธีการใช้ปีกบิน และสร้างกำลังกล้ามเนื้อให้ปีกของลูกน้อย
              ตอนนั้นมีเพียงลูกนกเขาตัวที่ 1 ที่ฝึกทำตาม คอยดู สอดส่องสังเกตุ คิดพิจารณา จดจำในสิ่งที่แม่นกเขาทำให้ดู..ส่วนลูกนกเขาตัวที่ 2 ก็นิ่งเฉยไม่สนใจ..ด้วยคิดว่าเรามีปีกอยู่แล้ว อย่างไรก็ต้องบินได้อยู่แล้ว จะฝึกฝนเรียนรู้ไปใย เสียเวลาเปล่าๆ จึงยืนนิ่งเฉยไม่สนใจเรียนรู้ฝึกบิน

      ลูกนกตัวที่ 1 ฝึกอยู่ก็เห็นว่า..ทำไมกำลังปีกของตนเหมือนไม่มีเลย และบังคับให้ยกกระพือปีกได้ช้าไม่เหมือนที่แม่นกทำ จึงได้ถามแม่ว่า..ทำไมผมยกกระพือปีกยากจัง และทำให้เร็วเท่าแม่ไม่ได้..แม่นกจึงตอบว่า..เพราะลูกยังเด็ก ยังไม่เคยทำ ปีกลูกจึงยังไม่มีเรี่ยวแรง ทำให้กล้ามเนื้อปีกยังไม่ทรงตัว..เมื่อยังไม่คุ้นชิ้น จึงทำให้ตอนแรกที่ทำนั้นดูยาก จนเมื่อลูกกล้ามเนื้อทรงตัว มีแรงและกำลังแล้ว ฝึกฝนจนชำนาญแล้ว ลูกก็จะทำได้เอง
              เมื่อลูกนกตัวที่ 1 ทำไปเรื่อยๆก็รู้สึกว่า ปีกตนเองบังคับการยกปีกขึ้นลงได้ดีขึ้น..จึงได้คิดพิจารณาทำความเข้าใจตามสิ่งที่ทำอยู่ หวนระลึกถึงสิ่งที่แม่สอน แม่ทำให้ดู สิ่งที่ทำ สิ่งที่ถามแม่ คำตอบที่ได้จากแม่
              จึงเข้าใจชัดแจ้งในสิ่งที่แม่สอนและให้ทำว่า..ที่แม่ให้หักกระพือปีก เพราะเรายังไม่เคยทำ กล้ามเนื้อปีกยังไม่เข้าที่ ปีกจึงไม่มีเรียวแรง เมื่อเราฝึกบ่อยๆ..เพื่อให้ร่างกายของเราสร้างกล้ามเนื้อของปีกขึ้นมา และ ปรับสภาพปีกของเราให้มีแรงกำลังในการควบคุม เหมาะสำหรับใช้บินนั่นเอง..เมื่อลูกนกตัวที่ 1 รู้เห็นเข้าใจได้ดังนี้แล้ว จึงบอกแม่นกตามที่ตนเข้าใจ และถามแม่นกเขาว่า..ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกแล้วใช่ไหมครับ..แม่นกจึงตอบว่า ถูกต้องแล้ว
              เมื่อลูกนกตัวที่ 1 รู้หลักการบิน รู้เหตุผล รู้จุดประสงค์ จุดมุ่งหมายที่ฝึกกระพือปีกแล้ว จึงตั้งใจฝึกฝนทำด้วยความสุข..

      ส่วนลูกนกตัวที่ 2 ก็ยังเฉยอยู่แม่นกจึงบอกให้ลูกนกตัวที่ 2 ทำ ลูกนกตัวที่ 2 นั้นก็ไม่พอใจ บ่นว่า..มาสั่งๆให้เรียนให้ทำอยู่นั่นแหละ บอกว่าทำเพื่อลูก แต่ที่บอกให้ทำเพราะอยากให้ผมเชื่อหังให้เป็นอย่างแม่บอกเท่านั้น ผมเบื่อแล้ว จากนั้นก็กระพือปีกส่งๆไป 2-3 ครั้ง แล้วก็หยุดทำ พร้อมเดินหนีขยับออกมาอยู่ช่วงปลายกิ่งไม้
              พ่อนกเมื่อเห็นลูกนกตัวที่ 2 ไม่ยอมเรียน ซ้ำยังบ่นด่าและหนีอีก จึงดุด่าว่าลูกนกตัวที่ 2 ถ้าไม่เรียนรู้หลักวิธีการบินแล้วจะทำได้อย่างไร จะตกลงไปตายที่โคนต้นไม้แน่นอน ลูกนกตัวที่ 2 กลัวพ่อ จึงขยับตัวไปที่ปลายกิ่งไม้ ปลายกิ่งไม้นั่นอ่อนมากกับน้ำหนักตัวลูกนก จึงเอนหย่อนมาก พ่อนกจึงตกใจกลัวลูกจะตกจากกิ่งไม้ จึงตะโกนร้องให้กลับเข้ามารัง แต่ลูกนกตัวที่ 2 คิดว่าพ่อจะทำร้าย จึงบอกพ่อว่า..ผมจะอยู่ตรงนี้ ด้วยความอ่อนของปลายกิ่งไม้พ่อกับแม่นกก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ จึงได้แต่ปล่อยลูกนกตัวที่ 2 ไว้อย่างนั้นจนเช้า

     เวลาผ่านไป..เมื่อถึงวันที่ต้องบินแล้ว ลูกนกตัวที่ 1 ก็บินร่อนลงต้นไม้ได้ และบินขึ้นกิ่งไม้ด้านบนที่เป็นรังได้ ทำอย่างนั้นไปมาได้ 3-4 ครั้งจนเริ่มชิน

     ส่วนนกตัวที่ 2 บินร่อนลงกระแทกพื้นและไม่สามารถบินกลับขึ้นกิ่งไม้ได้ จึงร้องเรียกพ่อนกและแม่นกให้ช่วย พ่อแม่นกบินลงมาด้วยความห่วงลูก แต่ก็ไม่สามารถพาขึ้นไปบนรังได้ ได้แต่บอกให้ลูกนกตัวที่ 2 กระพือปีกบิน ลูกนกตัวที่ 2 จึงพยายามกระพือปีกขึ้นบินกระวนกระวายเรางทำอยู่อย่างนี้ จนเวลาผ่านไปถึงตอนเย็น ก็บินได้สูงเพียง 1  เมตร เท่านั้น พ่อแม่นกจึงต้องปล่อยลูกนกตัวที่ 2 ไว้ตรงนั้น แล้วบินกลับขึ้นมาบนรัง เข้านอนกับลูกนกตัวที่ 1

     เหตุการณ์นี้กลับทำให้ลูกนกตัวที่ 2 โกรธพ่อนกกับแม่นกว่า..ทั้งๆที่พ่อกับแม่รู้ว่าจะต้องให้บินในวันนี้ ในวันนั้นกลับไม่ยอมสั่งสอนบังคับให้เราทำ..วันนี้จึงทำไม่ได้ แล้วแถมยังมาทิ้งเราอีก..พ่อนกกับแม่นกก็ทำได้แต่มองอย่างห่วงใยและเสียใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ นอกจากรอวันที่ลูกนกตัวที่ 2 จะช่วยเหลือตัวเองได้เอง

     จนเวลาผ่านไป 3 วัน ลูกนกตัวที่ 2 ก็บินกลับขึ้นมารังได้ พ่อนกจึงสอนวิธีเอาตัวรอด และข้อควรระวัง พร้อมสอนกำชับไว้อย่าบินเข้าไปหากินที่หมู่บ้าน หากพลัดหลงเข้าไปก็ให้สังเกตุกับดักที่ชาวนาใช้จับนก และอุบายหว่านเมล็ดธัญพืชที่ชาวนาใช้ ว่าจุดที่มีเมล็ดธัญพืชรวมกันเป็นกองอยู่กระจุกหนึ่ง วางไว้บนตาข่าย หรือมีตาข่ายขึงกางไว้อยู่บริเวณนั้นจงอย่าเข้าไปใกล้เพราะคือกับดัก ดีที่สุดในหากินในป่านี้..จากนั้นก็บอกให้ลูกออกไปหากินเอง

     ลูกนกตัวที่ 1 เชื่อคำพ่อสอน หากินแต่ในป่า มีวันหนึ่งธัญพืชในป่าลดลงจึงบินไปในบริเวณนาข้าวของชาวบ้าน แต่ด้วยจำคำสอนพ่อจึงคอยสอดส่องดูว่าพื้นที่ใดเข้าไปหาอาหารได้ พื้นที่ใดมีกับดัก เมื่อเห็นชัดแล้วก็ได้หากินอยู่บริเวณรอบนอกท้องนาเก็บเศษธัญพืชที่ตกหล่น ไม่เข้าไปใกล้พื้นที่ที่มีตาข่ายกางขึงไว้..เมื่อกิ่นอิ่มได้พอสมควรแล้ว จากนั้นก็บินกลับสู่ป่า ใช้ชีวิตปกติต่อไป

     ในขณะเดียวกันลูกนกตัวที่ 2 ก็พลัดหลงเข้าไปในหมู่บ้านเช่นกัน แต่เพราะไม่เคยจดจำใส่ใจสิ่งที่พ่อนกสอนไว้ เมื่อแลเห็นเมล็ดธัญพืชกองอยู่ก็ดีใจและคิดว่า..พ่อนี้โกหกเรา กลัวเราจะกินอิ่มมีความสุข จึงห้ามไม่ให้เราเข้ามาที่หมู่บ้าน ทั้งๆที่มีอาหารพืชพรรณอุดมสมบูรณ์กว่าในป่าอีก จากนั้นก็บินเข้าไปจิกกินธัญพืชนั้น..ทันใดนั้นกับเักก็ทำงานขังลูกนกตัวที่ 2 ไว้ พยายามบินชนฝ่าตาข่ายออกมาเท่าไหร่ไม่ได้ ทำได้แค่ร้องไห้เสียใจกับความผิดพลาดของตน และเสียใจที่ไม่ฟังคำสอนของพ่อนกและแม่นก..แล้วก็ถูกชาวนาจับไปขังกรงรอทำอาหาร

         ชิว : ภูเห็นอะไรมั้ย ??..
                   ภู : ภูก็ยังไม่รู้อะไรเท่าไหร่
                  ชิว : ก็ลูกนกเขาไง
                   ภู : อืม..งืมๆๆ  ┐⁠(⁠‘⁠~⁠`⁠;⁠)⁠┌  ชิวอธิบายหน่อยสิ
                  ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ ...

         ชิว : พ่อนก เคยเข้าไปในหมู่บ้าน ในที่แปลกตาไม่คุ้นเคย จะเปลี่ยนพื้นที่นั้นเป็นป่าก็ไม่ได้ จะบินกลับเข้าป่าเลยก็จะไม่ได้อาหาร..จึงต้องปรับตัวตามสถานการณ์..คือ..เมื่อหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้เป็นดั่งที่ใจเราต้องการไม่ได้..เราก็ต้องปรับตัวเข้าร่วมกับมันเลย คือ พัฒนาปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองขึ้นให้สามารถอยู่ในที่นั้นได้ดีและปลอดภัย..พ่อนกจึงตื่นตัว คือมีสติ แต่ไม่ใช่ตื่นตูมตกใจ หรือ ละโมบโลภมาก แต่จะสังเกตุสถาณการณ์ สังเกตุสิ่งแวดล้อม ได้ไตร่ตรองก่อนจะทำอะไร ปรับตัวตามสถานการณ์ จนพบเจอการวางกับดัก ได้นำวิธีกลับมาบอกลูกเมีย
                   ภู : ヽ⁠(⁠。⁠◕⁠o⁠◕⁠。⁠)⁠ノ⁠.

         ชิว : แม่นกเมื่อรับฟัง ก็เข้าใจข้อควรระวัง และทำตามจึงใช้ชีวิตมีสุขตามปกติ
                   ภู : ヽ⁠(⁠。⁠◕⁠o⁠◕⁠。⁠)⁠ノ⁠. 

         ชิว : แม่นก เคยเรียนและฝึกฝนทำมาก่อน เมื่อสอนลูกด้วยความรู้ ก็สามารถอธิบายกับลูกนกตัวที่ 1 ได้
                   ภู : ヽ⁠(⁠。⁠◕⁠o⁠◕⁠。⁠)⁠ノ⁠. 

         ชิว : ลูกนกตัวที่ 1 มีใจใฝ่เรียนรู้ ดู คิด ถาม จด คือ..
                        1. ดู สังเกตุ เรียนรู้หลักการ
                        2. คิดวิเคราะห์ทำความเข้าใจตาม เพื่อเข้าใจหลักการ และ รู้จุดมุ่งหมายของสิ่งที่ทำ
                        3. เมื่อไม่เข้าใจก็ถาม หรือ ตั้งสมมติฐานแล้วลงมือทำเพื่อเฟ้นหาความจริง
                        4. แล้วจดจำบันทึกสิ่งที่รู้และเข้าใจจริงไว้ทบทวนกันลืม
                 ชิว : จึงทำให้ลูกนกตัวที่ 1 มีหลักการ มีความรู้ฉลาด ขยัน ฝึกฝน จดจำ เมื่อถึงเวลาต้องใช้ความรู้และการฝึกฝนจนชำนาญนั้น จึงทำได้ในทันทีไม่ยากเลย
                 ชิว : แล้วภูเป็นแบบลูกนกตัวที่ 1 ไหมล่ะ ??
                   ภู : ┐⁠(⁠‘⁠~⁠`⁠;⁠)⁠┌.
                 ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ

         ชิว : ส่วนลูกนกตัวที่ 2 ไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่สอน ว่าทำไปเพื่ออะไร และ คิดด้วยแง่ลบว่า..สิ่งนั้นไม่ดีทำความลำบากให้ตนเอง จึงละเลยไม่สนใจ สบายตอนที่ควรเรียนรู้ฝึกฝน แต่ลำบากตอนต้องทำจริง

         ชิว : ภูเป็นแบบนี้ใช่ไหมนะ 555
                   ภู : ┐⁠(⁠‘⁠~⁠`⁠;⁠)⁠┌. …ไม่ใช่ซะหน่อย…ヽ⁠(⁠(⁠◎⁠д⁠◎⁠)⁠)⁠ゝ
                 ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。^`-´^。)/Ꮚ ... ดังนั้น อย่างแรกเลย คือ ภูต้องรู้ตัวเองนะ ว่าตนเองเป็นคนแบบไหน, มีทักษะอะไร ไม่มีทักษะความรู้อะไร, ไม่นิ่งนอนใจต้องเรียนรู้-ฝึกฝน-ปรับปรุงส่วนที่ด้อยของตน ต้องอุดรอยรั่วหรือแก้ไขจุดอ่อนตนเองยังไง ต้องมีระเบียบวินัยยังไง เพื่อให้ภูใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้ นี่เรียก..รู้ตน..
                 ชิว : ภูเข้าใจนะ จะได้ไม่ต้องเป็นลูกนกตัวที่ 2
                   ภู : ヽ⁠(⁠。⁠◕⁠o⁠◕⁠。⁠)⁠ノ⁠ … งื้มๆๆๆ …

         ชิว : ตอนที่พ่อนกดุด่า ลูกนกตัวที่ 2 จึงไปเกาะที่ปลายกิ่งไม้ พ่อนกกลัวลูกตก แต่ลูกนกตัวที่ 2 กลับคิดว่าพ่อจะทำร้ายตน จึงต้องเกาะที่ปลายกิ่งไม้ลมพัดก็จะตก แถมยังหนาวอีก..นี่คือความไม่เข้าใจกัน เพราะใช้อารมณ์สื่อสารกัน พอใช้อารมณ์ก็ปิดกั้นปัญญาทำความเข้าใจ..ในความต้องการอีกของฝ่ายที่จะสื่อ และใช้แสดงออกในการสื่อสารกัน

         ชิว : นี่มันภูกับปะป๊าเลยมั้ยนะ
                   ภู : ಠ⁠﹏⁠ಠ  เปล่าซะหน่อย !!  (。・ˇ_ˇ・。)
                 ชิว : การใช้อารมณ์ความรู้สึกพูดคุยสื่อสารกัน มันก็มีโทษอย่างนี้แหละต่างคนต่างเดือด ต่างคนต่างเข้าใจผิด ยิ่งทำด้วยอารมณ์ ก็ยิ่งพ่ายแพ้ เจ็บปวด
                 ชิว : ตอนที่ภูวิ่งไปให้รถชน ก็เป็นการใช้อารมณ์ความรู้สึกที่จะตอบโต้สถานการณ์ มันก็ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งพ่ายแพ้ใช่ไหม
                   ภู : ಠ⁠﹏⁠ಠ  อือ !!  (。・ˇ_ˇ・。)
                 ชิว : ดังนั้นภู..ต้องฝึกสติ..ความรู้ตัว..เมื่อภูรู้ตัวว่าภูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย กำลังติดอยู่ในความรู้สึกนึกคิด..ที่ทำให้ตัวเองเกิดอาการโศรกเศร้า เสียใจ ร่ำไร รำพัน ย้ำคิด ย้ำทำ อัดอั้น คับแค้นกายใจ รู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ร้อนรนใจ..ทนอยู่ได้ยาก..
                     : ให้ภูตั้งสติ แล้วทำความสงบใจในทันที โดยการ..สงบนิ่ง..เหมือนตอนเข้าแถวหน้าเสาธงที่โรงเรียน..รู้ทันลมหายใจเข้า รู้ทันลมหายใจออก ทำใจคลายออก เหมือนนอนผ่อนคลายบนที่นอน นอนผ่อนคลายมองท้องฟ้า แสงดาว อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ..
 

ระลึกในใจว่า..ลมหายให้นี้เป็นที่สบาย ลมหายใจนี้ไม่มีโทษ ลมหายใจนี้ไม่ปรุงแต่งจิต ลมหายใจนี้ไม่มีทุกข์ ลมหายใจนี้เป็นที่เบิกบาน เบา สบาย เย็นใจ

*- หายใจเข้า ระลึกตามลมหายใจเข้าเคลื่อนผ่านโพรงจมูก เข้าไปที่โพรงกะโหลกสมองส่วนหน้า มันเบา ว่าง โล่ง สบาย* 
        *- หายใจออก นึกถึงลมหายใจออกจากโพรงกะโหลกสมองส่วนหน้า ไหลออกทางปลายจมูก มีความเบา ว่างโล่ง เย็นใจ ผ่อนคลายๆ*

*- หายใจเข้า ระลึกถึงความสุขกาย สบายใจ มีใจลอยขึ้นตามลมหายใจเข้า* 
        *- หายใจออก นึกถึงความเบา ว่างโล่ง เย็นใจ แผ่เอาความสุข-สบาย-ผ่อนคลายเผื่อแผ่ออกกว้างไปทั่ว*

*- หายใจเข้า ระลึกถึงความเบา สบายกายใจ มีใจลอยขึ้นตามลมหายใจเข้า* 
        *- หายใจออก นึกถึงความเบา ว่างโล่ง เย็นใจ สบาย ผ่อนคลายๆ*

*- เอาใจปักหลักปักตออยู่ที่ปลายจมูก ดูลมหายใจ รู้ที่ปลายลม..หายใจเข้า*
        *- เอาใจปักหลักปักตออยู่ที่ปลายจมูก ดูลมหายใจ รู้ที่ปลายลม..หายใจเออก*

เมื่อทำดังนี้ไปเรื่อยๆ แล้วใจเราจะเบา สงบ เบา สบาย เย็นใจ และไม่ติดข้องในความคิด..จะมีอาการเหมือนมีความรู้สึกที่อัดอั้น คับแค้น ร้อนรนกายใจ..ทนอยู่ได้ยาก นั้นวูบดับลง แล้วจะเกิดอาการแช่มชื่น เบิกบาน เบาสบาย เย็นใจเกิดขึ้นแทน*


                 ชิว : ทั้งหมดนี้คือ..การปลดปล่อยใจ..เป็นการปลดปล่อยสวัสดิกะ เป็น บังไค ขั้นที่ 1 ของภู คือ..ปลดปล่อยตัวเองออกจาก..สถานการณ์เลวร้าย กำลังติดอยู่ในความรู้สึกนึกคิด..ที่ทำให้ตัวเองเกิดอาการโศรกเศร้า เสียใจ ร่ำไร รำพัน ย้ำคิด ย้ำทำ อัดอั้น คับแค้นกายใจ รู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ร้อนรนใจ..ทนอยู่ได้ยาก..
                 ชิว : อาศัยการฝึกจิตให้รู้ทันลมหายใจ..“จิตที่รู้ทันลมหายใจเข้าออกนั้นก็คือ..สติ..ความระลึกรู้ เป็นตัวระลึกรู้ จดจำ ยับยั้ง แยกแยะได้ เป็นตัวประครองใจให้เกิดความรู้ตัวทั่วพร้อม ประครองใจให้รู้ทันสภาวะอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
                   ..เมื่อหายใจเข้า..สติก็รู้ทันว่ากำลังหายใจเข้าอยู่..ยาวหรือสั้น แรงหรือเบา ช้าหรือเร็ว, เมื่อหายใจออก..สติก็รู้ทันว่ากำลังหายใจออกอยู่..ยาวหรือสั้น แรงหรือเบา ช้าหรือเร็ว..สิ่งนี้เป็นการฝึกสติ..ทำให้สติเกิดขึ้นได้ง่ายและว่องไว เป็นการสร้างกำลังให้สติสามารถตั้งขึ้นได้ง่าย เป็นการฝึกใจให้มีสตินำประครองกำกับรู้ไว้อยู่ เป็นการฝึกสติให้รู้ทันจิต คือ มีสติเกิดขึ้นได้ง่าย-ว่องไวเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง-ตั้งมั่นง่าย นั่นเอง
                   ภู : ヽ(✿◕‿◕✿)ノ (✧・゚* ◠‿◠)ノ*:・゚✧

         ชิว : นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า..การใช้อารมณ์ความรู้สึก..เป็นดาบของคนอ่อนแอ..ส่วนคนเข้มแข็งจะไม่ตามอารมณ์ความรู้สึก..แต่ใช้ความรู้ความสามารถเป็นดาบ
                 ชิว : หากภูไม่อยากเป็นคนอ่อนแอ ก็ต้องควบคุมใจตนให้ได้ ใช้ความฉลาดรอบรู้ตอบโต้แทน
                   ภู : *:・゚✧ヽ(✿◕‿◕✿)ノ*:・゚✧

         ชิว : ตอนสุดท้ายลูกนกตัวที่ 1 ใช้ชีวิตปกติอย่างมีความสุข เพราะเชื่อฟังคำสอนพ่อแม่ และใช้ปัญญามากกว่าความรู้สึกนึกคิดไปตามอารมณ์..ส่วนนกตัวที่ 2 มักใช้อารมณ์ Toxic เยอะ กลับจบชีวิตลงเพราะดื้อ ไม่ฟัง คิดร้าย คิดลบต่อสิ่งที่พ่อแม่สอนสั่ง

         ชิว : ภูอยากจะเป็นลูกนกตัวที่ 1 หรือ ลูกนกตัวที่ 2 ล่ะ 555 ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ
                  ภู : ಠ⁠﹏⁠ಠ ... ก็ต้องตัวที่ 1 สิ (。・ˇ_ˇ・。)

         ชิว : ที่ชิวเล่านิทานเรื่องนี้ นอกจากให้ภูรู้ตน รู้จักพิจารณาตนเองแล้ว อย่างที่ ๒ คือ ให้ภูค่อยๆปรับตัวตามสถานการณ์แบบพ่อนก เพื่อจะได้มีเพื่อนมีสังคมกับเขา คือ..ไม่ประมาท มองสถานการณ์ให้ออก, รู้สภาพแวดล้อม, หากเราเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้เป็นดั่งใจเราต้องการไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนมาเข้าร่วมกับมันแทน, ตื่นตัวมีสติ, ใช้ความรู้ พยายามสังเกตุ, วิเคราะห์, ทำความเข้าใจก่อน, ไม่ผลีผลามทำอะไร ทั้งกับคนหรือสังคม
                    : รู้คน คือ..คนๆนี้..มีอุปนิสัยใจคออย่างไร มีสภาพจิตใจตอนนี้เป็นอย่างไร ควรเข้าหายังไง ควรวางตัวต่อเขาอย่างไร..เพื่อรู้จักคน, เพื่อน, ครู, คนในครอบครัว เพื่อให้ภูเข้ากับเขาได้
                      ..ถ้าภูไม่รู้คน ก็จะคบหากับคนอื่นได้ยาก..แบบเพื่อนแต่ละคนในวันนี้ หรือ เพื่อนในห้องเรียนไง
                    : รู้สังคม..สังคมนี้..มีวิถีชีวิตยังไง ใช้ชีวิตแบบไหน มีสถานการณ์อย่างไร เราควรเข้าร่วมกับเขายังไง..ภูก็จะเข้ากับคนอื่นและสังคมได้ง่าย
                      ..ถ้าภูไม่รู้สังคม ก็จะคบหาหรืออยู่กับกลุ่มคน หรือ คนหมู่มาก ลำบาก..แบบกลุ่มเพื่อนในวันนี้ หรือ ที่โรงเรียนไง

         ชิว : อย่างที่ ๓ คือ ฟัง เรียนรู้ และทำความเข้าใจความต้องการของคนอื่น เพื่อให้รู้จุดประสงค์ และรู้ประโยชน์ในสิ่งที่เขาทำ..ว่าดี หรือ ร้าย..ไม่ตีตนไปก่อนไข้ ไม่ตั้งอคติลำเอียงก่อนรู้ความจริง พูดง่ายๆ คือ ฝึกรู้ความต้องการของใจคน-ฝึกรู้จุดมุ่งหมายที่เขาทำ แบบลูกนกตัวที่ 1 ไม่ตั้งอคติ ไม่โวยวาย  เรียนรู้ทำความเข้าใจ วิเคราะห์ทำความเข้าใจ ฝึกฝน เห็นผลลัพธ์ เข้าใจจุดมุ่งหมาย ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบลูกนกตัวที่ 2
                  ภู : ಠ⁠﹏⁠ಠ  ...  (。・ˇ_ˇ・。)  ...
                 ชิว : ทีนี้ภูก็ต้องเริ่มใช้ปัญญาไม่ใช้ความรู้สึก
                  ภู : ทำยังไงอะ..ชิว..???..

          ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ …วันนี้ภูต้องลงไปทานข้าว ทานยา พูดคุยดีๆกับปะป๊าดีๆ แล้วนอนก่อน พรุ่งนี้เช้า..ทานข้าวแล้ว ภูค่อยมาเรียนกับชิวต่อ..!!!



คุยกันหลังจบตอน

ทุกๆครั้งที่เรากำลังมีความฟุ้งซ่านกายใจ จิตเราก็จะแตกกระจายออกจากกัน..ไม่เกาะกุมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อุปมาเหมือนแก้วที่แตกกระจายออก ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ใจหมดเรี่ยวแรงกำลังประครองไว้ให้ตั้งขึ้นไม่ได้
        ด้วยเหตุอย่างนี้ๆ..สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดา ผู้รู้แจ้งโลก จึงทรงสอนให้แก้ด้วยธรรมอันเป็นสิ่ิ่งที่ตรงข้ามกัน คือ เมื่อใจฟุ้งซ่านกระจายออก..ก็ให้แก้ด้วยความสงบใจ-มีใจตั้งมั่น-ปล่อยวาง มีสติประครองไว้อยู่ เป็นการทำไว้ในใจรวมจิตไว้ในภายใน เอาจิตที่ี่ฟุ้งปะทุขึ้นที่แตกซ่านกระจายออก..ให้กลับมารวมเป็นหนึ่งเดียว จิตมีกำลัง มีจิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว

- เจริญโพชฌงค์ตามกาล
        - อัคคิสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙

..ทำไมผู้เขียนจึงให้ดูลมหายใจเป็นหลัก เพราะลมหายใจนี้ไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มีภัย เป็นที่สบายกายใจ ไม่ปรุงแต่งจิต เป็นการฝึกใจให้อยู่กับปัจจุบันขณะ เป็นการแก้ความฟุ้งซ่านใจและอาการอื่นๆอีกหลายประการ..เพราะการรู้ทันลมหายใจของเรานี้ เป็นการฝึกใจเราให้ดึงสติเกิดขึ้นได้ง่าย เป็นการฝึกใจให้สติเกิดขึ้นได้ไว เป็นการฝึกสติให้ตั้งมั่น เป็นการฝึกใจให้ไวรู้ทันจิต เป็นอาหารให้ใจ เป็นสร้างกำลังให้ใจ เป็นปัจจุบัน เป็นมหาสติปัฏฐาน ๔ ทำจิตให้ตั่งขึ้น ไม่หวั่นไหว ไม่โอนเอน ไม่อ่อนแอ ไม่อ่อนไหวไหลพล่าน

..เพราะเมื่อใจมีสติ ใจก็จะยับยั้งรู้ตัวเท่าทัน แยกจากความคิดที่จะส่งผลต่อการพูดและทำ สติที่ตั้งมั่นจะทำให้จิตตั้งมั่นรวมกันเป็นหนึ่งเดียวตาม ทำให้ใจเรามีกำลัง..เมื่อใจเรามีสติและจิตตั้งมั่นรับรู้ไว้อยู่..หากมีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดสิ่งใดแปลกปลอมเกิดขึ้นภายในใจ..ใจเราก็จะรู้ทันในทันที..อุปมาเหมือนดั่งน้ำใสสะอาดในแก้วใส..หากมีสิ่งใดแปลกปลอมขึ้น..แม้แค่ฝุ่นเพียงเล็กน้อย..เราก็จะรู้ได้ทันทีฉันนั้น..นี่คืออานิสงส์การรู้ทันลมหายใจ นี้เป็นกายคตาสติ ลมหายใจนี้จึงเป็นวิปัสสนา..คือ..กายานุปัสสนา ลมหายใจจึงเป็นกองแรกเริ่ม เป็นจุดเริ่มต้นอันดับที่ 1 ใน มหาสติปัฏฐาน ๔ ..ส่วนการทำลมหายใจเป็นฌาณและวิปัสสนานั้น ผู้เขียนจะยังไม่กล่าวถึงในนิบายนี้ เพราะเป็นเรื่องการพิจารณาอีกส่วนหนึ่งที่ลึกซึ้งกว่า

ที่นำการกรรมฐานขึ้นก่อนนี้ เพราะธรรมชาติของคน หากพละกำลังของใจไม่ดี อินทรีย์ ๕ ไม่เต็ม หรือ ไม่เคยฝึกใช้ปัญญาจนเป็นอุปนิสัย คือ ไม่มีกำลังความเลือกเฟ้นน้อมตามด้วยความเห็นชอบของใจ, ไม่มีกำลังความมุ่งมั่นของใจ, ไม่มีกำลังระลึกรู้ประครองใจ, ไม่มีกำลังความตั้งมั่น-ใจรวมกันเป็นอารมณ์หนึ่งเดียวกันไม่ได้..ก็ยากที่จะมีีกำลังของปัญญาเพียงพอจะใช้งานได้..เมื่อกำลังปัญญาไม่เพียงพอ ก็ไม่มีกำลังการทำความรู้เห็นตามจริงของใจ-ก็ไม่มีกำลังความฉลาดเข้าใจรอบรู้-ไม่มีกำลังคล่องแคล่วเชี่ยวชาญของใจ..เป็นผลให้ไม่สามารถใช้ปัญญาได้ เพราะใจอ่อนไหวง่าย ยึดหลงตามความคิดง่าย หวั่นไหวง่าย ฟุ้งซ่านง่าย แต่กรรมฐานทั้ง ๔๐ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีไว้เพื่อปัญญาทั้งสิ้น

การดูลมหายใจง่ายๆได้ทุกเพศทุกวัน สามารถดูตามคลิปเพลง ดั่งดอกไม้บาน ที่ทางเสถียรธรรมสถาน ของแม่ชีศันสนีย์ ได้จัดทำขึ้นตามลิงค์ข้างล่างนี้เลยครับ





ในส่วนของการเริ่มฝึกใช้ปัญญา จะเป็นการใช้ พระอริยะสัจ ๔ สงเคราะห์ลงใน สัปปุริสธรรม ๗ เป็นหลัก และยังมีธรรมแก้อื่นๆตาม โพชฌงค์ ๗ ทาน ศีล สมาธิ พรหมวิหาร ๔ กรรมฐาน ๔๐ มหาสติปัฏฐาน ๔ และแนวทางอื่นๆ เท่าที่ผู้เขียนพอจะมีปัญญาอย่างปุถุชนสามารถเรียนรู้เข้าถึงได้และใช้งานได้จริง ซึ่งท่านผู้อ่านทุกท่านสามารถติดตามที่นิยายเรื่องนี้ได้เลยครับ
11  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน ลูกโป่งระเบิด เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:04:37 pm
...หลังจากภูและชิวออกมาจากห้อง ทั้งคู่ก็นั่งเล่นดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม พอถึงช่วงเย็น ภูก็พาชิวออกไปเดินเล่ยนอกบ้าน...
...ที่กลางหมู่บ้านก็มีสนามเด็กเล่น ที่ออกกำลังกาย และสนามฟุตบอลใหญ่ และอีกพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสนามฟุตบอลโกลหนู...
...เมื่อภูไปที่สนามฟุตบอลโกลหนู ก็เจอกลุ่มเพื่อนบ้านที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งมี จอร์น, แบงค์, อรรถ, ชิน กำลังส่งบอลเล่นกันอยู่  ภูจึงอยากเข้าหาเพื่อขอเตะบอลกับเพื่อนกลุ่มนั้น...

 ภู : ขอเตะบอลด้วยสิ..
        ชิน : ไม่ให้เล่นว้อย..เราไม่เล่นกับเด็กไม่มีแม่ 555
         ภู :  ....  (⁠。⁠•́⁠︿⁠•̀⁠。⁠)  ....
    แบงค์ : เฮ้ยชิน..แกอย่าไปพูดแบบนั้นสิ เดี๋ยวไอ้ภูมันก็โดดตึกฆ่าตัวตายอีกหรอก 555
         ภู :  ....  (⁠。⁠•́⁠︿⁠•̀⁠。⁠)  ....
    จอร์น : แกเตะบอลเป็นหรอวะภู..
    อรรถ : นั่นสิ..เราเห็นแกเล่นแต่เกม นี่พวกเราเล่นเดิมพันนะว้อย
         ภู :  ....  (⁠。⁠•́⁠︿⁠•̀⁠。⁠)  .... 

...จากนั้นก็มีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งมาเตะบอลโกลหนู ตั้งทีม 5 คน แล้วท้าลงเดิมพันทีมละ 50 บาท..เล่น 20 นาที หรือหากทีมใดเตะเข้าแระตูได้ 3 ลูกก่อนชนะ...

     แบงค์ : (กระซิบคุยกับอรรถ, จอร์น, ชิน) ทีมเราขาดคนหนึ่งว่ะวันนี้ เพราะออกัสไม่มา
        ชิน : แกพกเงินติดตัวมามั้ยวะไอ้ภู
          ภู : พกมา..มีพกติดตัวมา 60 บาท
     จอร์น : ได้..งั้นแกเฝ้าประตู ลงเงินคนละ 10 บาท
          ภู : ได้ๆๆ..  (⁠≧⁠▽⁠≦⁠)
     แบงค์ : ไอ้ภู !! แกเฝ้าประตูก็พอ เดี๋ยว เรากับจอร์น เป็นกองหน้าและช่วงกลาง ชินกับอรรถแกดูกลางกับหลัง

...เมื่อเริ่มเตะบอล ทีมภูมีโอดาสบุกมากกว่า แบงค์ส่งลูกให้จอร์นไปด้านหน้า จอร์นก็เตะเข้าประตู... 
...เฮ !!!!... ทุกคนต่างยิ้มดีใจ...
..ต่อมาทีมฝ่ายตรงข้ามบุก ภูยืนหน้าโกล โดยมีชิวบินลอยตัวเป็นผู้ชมด้านหลัง..
..ฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามา เมื่อมาถึงหน้าภูฝ่ายตรงข้ามสับขาหลอก ภูหลงทาง ฝ่ายตรงข้ามเตะเข้าโกลไป..

        ชิน : ว่าแล้ว..ไอ้ภูแกอ่อนจริงๆ แค่นี้ก็กันไม่ได้ !!
          ภู : ขอโทษทีเพื่อน ....  (⁠。⁠ŏ⁠﹏⁠ŏ⁠)
     จอร์น : เอาน่าชิน..เพิ่งเสมอ ยังอีก 2 ลูก 
...เมื่อเล่นไปสักระยะฝ่ายตรงข้ามชั้นเชิงสูงกว่า ก็ทำประตูได้อีก..เป็นฝ่ายตรงข้ามนำ 2-1... 
     แบงค์ : ไอ้ภู..แกเล่นเหมือนคนเล่นหน่อยสิวะ..แค่เฝ้าประตูง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ แกทำอะไรเป็นมั่งฟะ
          ภู :  ....  (⁠。⁠•́⁠︿⁠•̀⁠。⁠)  .... ขอโทษ
     อรรถ : ไอ้ภู..แกไม่มีประโยชน์อะไรในทีมเลย !!
          ภู :  ....  (⁠。⁠•́⁠︿⁠•̀⁠。⁠)  ....

...สุดท้ายเมื่อจบเกมฝ่ายตรงข้ามชนะไป 3-1...

        ชิน : พวกเราแพ้เพราะแกไอ้ภู !!.. จากนี้ไม่ต้องมาเล่นกับพวกเราอีกนะ
     อรรถ : ไอ้ภู !! เราเสียเงินก็เพราะแก ไร้ประโยชน์จริงๆ
     แบงค์ : ไอ้ตัวซวยเอ๊ย !!
     จอร์น : กลับไปเล่นขายของ เล่นทรายที่บ้านคนเดียวเลยไป

          ภู : เริ่มดิ่งเข้ามิติ คิดวกวนในใจว่า..เราทำให้เขาเกลียด..มีแต่คนเดลียด..เราทำเขาเสียเงิน..เราผิด..หากเราตายไปเราจะเลิกเป็นคนไร้ค่ามั้ยนะ

...ขณะเดียวกันกลุ่มเพื่อนก็รุมด่าประชดใส่ภู...

          ภู : ใช่เรามันไร้ค่า..เรามันไร้ประโยชน์..เราทำพวกแกเสียเงิน เราผิดเอง เราชดใช้ให้ !!!

...ทันใดนั้น ขณะนั้นก็มีลุงคนหนึ่งขับรถเก๋งขับผ่านมาตรงถนนข้างสนามบอล..ภูจึงวิ่งไปหวังให้รถชน...

          ภู : เรามันผิด เรามันไร้ค่า ตายชดใช้ความผิดนี้ให้พวกแกมันไปเลย !!!

...เมื่อชิวมองเห็นอย่างนั้น จึงบินไปด้วยความเร็วสูง เพื่อพุ่งชนขัดขวางภู...

        ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ ...

...เอี๊ยยยดดดด !!! ... (เสียงรถเก๋งเบรกกระทันหัน)
...ชิวพุ่งไปชนภูล้มเบี่ยงออกจากระยะของรถได้ทัน..

...กลุ่มเพื่อนภูเห็นต่างตกใจร้องตระโกนดัง..ไอ้ภู !!..

...ลุงคนขับรถลงด่าภู..ไอ้เด็กบ้าอยู่ๆวิ่งมาใส่รถทำไมไม่ดูจาม้าตาเรือบ้างหา...
...ภูร้องไห้เสียงเบาสะอึ้นน้ำตาพรั่งพรู...โดยวมีชิวบินวนเป็นห่วงข้างๆภู

        ชิว : ภูไม่ร้องไห้นะ..ไม่ร้องนะ..ไม่เป็นไรนะภู..ชิวววว...  Ꮚ\(。・`-´・。)/Ꮚ
         ภู : ฮือ..ฮือ..  。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。

...เมื่อลุงคนขับรถเห็นจึงอ่อนท่าทีลง..แล้วถามพูดคุยดับภู

        ลุง : บ้านอยู่ไหนลูก..ทำไมวิ่งมาใส่รถแบบนี้..อันตรายมาก ทำให้ตายได้นะ..
         ภู : ผมทำให้เพื่อเสียเงิน ไร้ประโยชน์ ผมผิด ผมอยากตาย..ฮือ..ฮือ..  。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。
        ลุง : เรื่องแค่นี้คิดจะตายทำไมล่ะ
         ภู : ถ้าผมตาย..ผมก็จะเลิกไร้ประโยชน์ ทุกคนจะได้เห็นคุณค่าผม ไม่ด่า ไม่รังเกลียดผมครับ..ฮือ..ฮือ..  。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。
        ลุง : ตายแล้วใครจะสนใจเราล่ะ เขาเอาไปเผาที่วัดแล้วนินทาว่าเราบ้าอีกนะ
         ภู : ใช่..ผมมันบ้าครับ..ฮือ..ฮือ..  。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。
        ลุง : ขนาดเรามีชีวิตเขายังไม่เห็นค่าเรา เราตายไปจะไปมีค่าอะไรกับเขาได้ล่ะ อย่าคิดและทำแบบนี้อีกนะ อย่าหาทางออกแบบนี้อีก พ่อแม่เราจะเสียใจได้นะ
         ภู : ผมไม่มีแม่ครับ ปะป๊าผมไม่สนใจหรอกครับ..ฮือ..ฮือ..
         ลุง : ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกหรอก..เฮ้อ..ปะลุงพากลับบ้าน

...เมื่อถึงบ้านลุงที่ขับรถเก๋งจึงเล่าเรื่องให้ปะป๊าภูฟัง..จนเมื่อคุยเรื่องราวทั้งหมดเสร็จแล้วลุงก็กลับบ้าน..

     ปะป๊า : ภูทำไมทำแบบนี้ !! (ปะป๊าตวาดด้วยความโมโห แล้วก็ขึ้นเสียงด่าภู)
             : ปะป๊าเลี้ยงภูด้วยตัวคนเดียว ลำบากลำบนถูกคนกลั้นแกล้งในที่ทำงานสารพัด แต่ก็ต้องทนยิ้ม ก้มหัวรับ เพื่อหวังแค่ให้ได้เงินมาเลี้ยงภู ส่งภูเรียน
          ภู : ผมขอโทษครับ..ฮือ..ฮือ..  。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。
     ปะป๊า : ทำไมแค่เพื่อนที่มองแค่ผลประโยชน์ต่อกัน ไม่ได้ห่วงใยมองกันเป็นเพื่อนจริงๆ ไม่ได้มาหาเลี้ยงภู ไม่ได้ส่งภูเรียน ภูจะต้องไปทำแบบนี้
             : ปะป๊าต่างหากที่หาเลี้ยงภู ส่งภูเรียน อยากให้ภูมีความสำเร็จ..ถ้าภูต้องมาตายเพราะเรื่องแค่นี้..ก็ไม่สมควรเกิดมาเป็นลูกป๊าแล้ว !!..
          ภู : ผมขอโทษครับ..ผมขอโทษ..ฮือ..ฮือ..  。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。
     ปะป๊า : แทนที่จะตั้งใจเรียนทดแทนหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจป๊า แต่กลับจะไปตายเพราะเพื่อนที่ไม่ได้หาเลี้ยงตัวเองเลย ทำไมทำให้แต่พ่อเสียใจอยู่เรื่อยเลย !!
          ภู : ผมขอโทษครับ..ผมผิด..ผมผิด..ผมเลว..ฮือ..ฮือ..  。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。
     ปะป๊า : ยิ่งภูทำอย่างนี้ เรียกร้องความสนใจ ก็ยิ่งทำให้ตัวภูยิ่งไร้ค่า ทำไมต้องมาทำตัวไร้ค่าอย่างนี้..
           ภู : ผมผิด..ผมไม่ได้เรียกร้องความสนใจ..ฮือ..ฮือ..  。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。
      ปะป๊า : ปะป๊าเจอเรื่องร้ายๆแค่ไหนก็ต้องสู้เพื่อภู อยากให้ภูมีอนาคต แต่ทำไมภูตอบแทนพ่อด้วยการทำอย่างนี้
           ภู : ผมมันไม่ได้..ให้ผมตายทดแทนพ่อเลยเีมั้ย !! ให้ผมตายไปเลย..อ้ากกกก..ฮือ..ฮือ..

...ขณะนั้นปะป๊าก็ได้สติ และตกใจมาก ที่ภูพูดออกมาอย่างนั้น..
…แล้วภูก็วิ่งหนีขึ้นห้องปิดประตูขังตัวเองร้องไห้ดั่งลั่นบ้าน..
...ปะป๊าวิ่งตามขึ้นมาเคาะประตูด้วยกลัวภูจะทำร้ายตัวเอง...

    ปะป๊า : ภูเปิดประตู..!! ภูป๊าบอกให้เปิดประตู..!! อย่าคิดอะไรบ้าๆนะ..!!

…ปะป๊าพยายามที่จะพังประตู ทุบประตูเพื่อที่จะเข้าไปในห้องภู เพราะห่วงและกลัวว่าภูจะทำร้ายตัวเอง..
…แต่ในทางกลับกันนั้น ภูกลับคิดว่า ปะป๊าจะเข้ามาตี…

…ภูก็เอาแต่ร้องไห้แล้วพูดว่า…

         ภู : ขอผมอยู่คนเดียวได้มั้ย..ฮือ..ฮือ..ขอผมอยู่คนเดียว..ฮือ..
    ปะป๊า : งั้นเปิดประตูให้ป๊าก่อน
         ภู : ปล่อยผม..ปล่อยผม..ปล่อยผม..ขอผมอยู่คนเดียวสักพักได้มั้ย..ฮือ

...เมื่อปะป๊าบอกให้ภูเปิดประตูเท่าไหร่ ภูก็ไม่ยอม ปะป๊าจึงต้องสะกดอารมณ์ความรู้สึกไว้ แล้วบอกภูว่า..งั้นปะป๊าลงไปรอข้างล่างนะ ห้ามคิดบ้าๆทำร้ายตัวเองเด็ดขาดนะ แล้วกลับมานั่งรอภูพร้อมร้องไห้เสียใจแบบข่มเสียงไว้ที่หน้าโทรทัศน์...

...เมื่อปะป๊าหลบออกมา ชิวก็ปรากฏตัวต่อหน้าภู แล้วกอดภูไว้..โอ๋ภูอย่างห่วงใย..

        ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。´・-・`。)/Ꮚ ...ไม่เป็นไรแล้ว..ผ่านไปแล้ว..ชิวโอ๋ภูนะ..ชิวโอ๋ภูนะ...
          ภู : ชิว..ฮือๆๆๆ..ภูมันไร้ค่า..ภูมันผิด..ภูมันไม่ดี..ฮือๆๆๆ..
        ชิว : ภูไม่ได้ไร้ค่า ภูคนเก่ง
         ภู : ภูต้องตายก่อนใช่ไหมถึงจะพ้นจากความผิด บ้า ไร้ค่าอย่างนี้..

...เมื่อชิวเห็นภูเริ่มคิดวนซ้ำๆ และหนักขึ้นอย่างนั้นจึงพยายามคิดหาแนวทางพูดชักจูงเพื่อเปลี่ยนจุดสนใจภูให้ออกจากความคิด Toxic วนๆซ้ำๆเหล่านั้น..

        ชิว : เมื่อสัดครู่พ่อก็ห่วงภูมากนะ พ่อไงที่ห่วงภู ถูมีค่ากับพ่อไง
          ภู : ถ้าภูมีค่าจะด่าภูทำไม ทำไมต้องด่าแต่ภู ว่าแต่ภู
        ชิว : งั้นเอาอย่างนี้..ชิงจะเล่านิทานให้ภูฟัง
          ภู : นิทานอะไร ฮึก..ฮึก..(สะอื้นร้องไห้)
        ชิว : นิทานเรื่อง.."ภูน้อยหอยสัง"..เจ้าเงาะ เจ้าแงะ สะแงะ แบ๊ะใบ้ พูดไม่เข้าใจให้เราช่วยแปล..เอ๋ย..มันบ้าใบ้พูดไม่เข้าใจ..ให้เราช่วยแปล
          ภู : หึหึหึ..(ภูเริ่มยิ้มขึ้น เพราะอารมณ์คลายความหดหู่เสียใจจากคำพูดของชิวที่ทำให้ขำ)..ภูไม่ใช่เงาะป่านะ..หึ..หึ.สะอึก..หึหึ.. 
        ชิว : ล้อเล่นงับ เรื่องอะไรดีน้าาา..งั้นเอาเรื่องนี้ละกัน..เรื่องความไม่เข้าใจ
         ชิว : เรื่องความไม่เข้าใจ ชิวก็ไม่เข้าใจมันกัน เอ๊ะ..มันเป็นยังไงนะ โอ๊ะ..มันเป็นยังไงดีอ๊ะ..จะเริ่มยังไงดีนะ..แหะ แหะ แหะ..
          ภู : ชิ๊ววว(ขึ้นเสียงสูง)..ถ้าชิวไม่เข้าใจแล้วจะเล่ายังไง หึหึหึ ..(ภูเริ่มยิ้ม)..
         ชิว : ฮ่าๆๆๆ..งั้นเอาเรื่องนี้ .. “ลมหายใจกับความไม่เข้าใจ” .. มาเริ่มฟังกันได้เลย !!

         ชิว : ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ



..คุยเล่นหลังจบตอน..

ในตอนนี้จะเห็นว่าภูกับชิวเริ่มออกมารับรู้กับสภาพแวดล้อมแล้ว หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่ตนเองรู้สึกกดดัน และได้รับการรักษาในขั้นแรกแล้ว

ตอนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น ที่แสดงให้เห็นถึงการพบเจอสถานการณ์ต่างๆของภู เริ่มจากเหตุการณ์ที่ทำร้ายภู, เหตุการณ์ที่ทำให้ภูเกิดการรับรู้เข้าใจและการตอบโต้สนองกลับแล้วจิตดิ่งลงสู่โรคซึมเศร้า..ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ เป็นเรื่องเล็กน้อยของอีกคน แต่กับคนที่มีสภาพจิตใจแบบภูนั้นมันไม่ง่ายเลย..
สภาพจิตใจของภูนั้น เป็นเหมือนลูกโป่ง ที่มีลมอัดแน่นจนเต็มอยู่แล้ว เมื่อมีลมจากภายนอกมาเติมกระตุ้นไปอีก..ลูกโป่งก็แตก คือ ภูมีสภาวะจิตใจที่คลุกกรุ่นไปด้วยความรู้สึกที่เลวร้ายอัดเต็มไว้อยู่ก่อนแล้ว โดยที่ใจภูไม่สามารถระบายออกซึ่งความเลวร้ายที่ทับถมฝังใจนั้นได้ ทำให้รอคอยแต่วันปะทุ..ดังนั้นเมื่อเจอสถานการณ์ให้ภููต้องเกิดความรู้สึกนึกคิดเลวร้ายที่ทับถมเพิ่มไปอีก มันจึงแตกปะทุขึ้น เหมือนลูกโป่งที่มีลมอัดแน่นจนเต็มอยู่แล้ว เมื่อมีลมอัดเข้ามาเพิ่มก็แตก..
กล่าวถึงตอนที่พ่อรู้เรื่องของภูแล้วด่าด้วยความโกรธหรือเสี่ยใจก็ตาม ตอนที่พ่อใช้อารมณ์เป็นใหญ่ด่าลูกโดยไม่ถามถึงสาเหตุเรื่องราว ความคิด และความรู้สึกของภู เพื่อเข้าใจในเหตุและผลที่ภูตัดสินใจทำอย่างนั้นก่อน ทำให้ภูที่ดิ่งอยู่แล้ว ยิ่งซ้ำเติมกระแทกย้ำเข้าไปอีก
และในตอนที่ภูถูกพ่อด่า แล้ววิ่งขึ้นไปปิดกั้นตัวเองบนห้อง..ตอนนั้นมีเหตุการณ์เข้าใจผิดระหว่างพ่อและภู คือ..พ่อพยายามพังประตูจะเข้าไปดูภูด้วยความห่วงสุดแรงใจ..แต่สถานการณ์ความรุนแรงในตอนนั้นที่พ่อด่าภูอยู่ กลับทำให้ภูเข้าใจผิดคิดว่าพ่อจะทำร้ายตนเองแทน..ตรงนี้ชี้ให้มองเห็นถึงการกระทำใดๆของคนๆหนึ่ึ่ง เมื่อกระทำให้ผู้อื่นได้รับรู้บ่อยๆจนฝังใจ มันจะกลายเป็นภาพจำฝังใจของผู้ถูกกระทำได้..และในอีกทางหนึ่ง..คือ การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน ไม่ว่าจะด้วยเพราะสถานการณ์ หรืออารมณ์ความรู้สึกที่บีบคั้นอยู่ก็ตาม
ดังนั้นการกระทำที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ และ การใช้อารมณ์ความรู้สึกโดยขาดสติสัมปะชัญญะในการสื่อสาร..จะทำให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาด ไม่เข้าใจกัน หรือส่งผลร้ายได้

..บรรณานุกรมศัพท์เฉพาะของนิยาย..

เจตนาความต้องการ กับ ความคิด และ ความไม่เข้าใจ..ในที่นี้หมายถึง..การบ่งบอกถึงการรับรู้และความเข้าใจระหว่างคนสองคน หรือ การรับรู้และความเข้าใจระหว่างกลุ่มคน

กล่าวโดยย่อ..คือการสื่อสารระหว่างกัน

ฝ่ายที่ 1 คือ ฝ่ายที่กระทำการแสดงออกทางกายและวาจา..โดยเจตนาเพื่อจะสื่อสารให้ ฝ่ายที่ 2 ได้รับรู้และเข้าใจถึงสิ่งที่ตนเองนั้นคิดนั้นต้องการอยู่..ผ่านการพูดหรือกระทำทางกายที่แสดงออกมานั้นๆ
        ฝ่ายที่ 2 คือ ฝ่ายที่ได้รับการรับรู้สื่อสารจากฝ่ายที่ 1 แล้ววิเคราะห์ตีความหมาย ทำความเข้าใจตาม..เพื่อที่จะรู้เจตนาความคิดและความต้องของฝ่ายที่ 1 ที่แสดงออกมาสื่อสารเพื่อให้รับรู้แล้วนั้น

..ซึ่งจุดนี้เพราะอาศัยความคิดวิเคราะห์ทำความเข้าใจ..ซึ่งคนแต่ละกลุ่ม, แต่ละบุคคล จะมีมุมมองความคิดที่แตกต่างกันไป ตามแต่อารมณ์ความรู้สึกของตนในขณะนั้นๆ และตามอุปนิสัยใจคอของตนที่มี
        ..เพราะอาศัยการรับรู้เข้าใจโดยมุมมองความคิดที่มีตามอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละขณะ รวมไปถึงอุปนิสัยใจคอของตน จึงทำให้เกิดการสื่อสารที่เข้าใจตรงกัน และ เข้าใจไม่ตรงกัน, ไม่เข้าใจเจตนาความต้องการของอีกฝ่ายที่อยากจะสื่อสารที่แท้จริง..จึงมีการเข้าใจผิดทะเลาะกัน, จึงมีการผิดใจกัน, จึงมีการหมางใจกัน

12  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน เพื่อน เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:03:08 pm
..ผมอยากเป็นอย่างท้องฟ้า (พลันเอื้อมมือออกไปแตะขอบฟ้า แสงแดดอ่อนๆในยามเช้า)

..ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างจ้า..ว๊าบเข้ามาวูบหนึ่ง เหมือนแสงสว่างจ้านั้นผ่านฝ่ามือของผมมาที่ใบหน้า แล้ววูบลงกลายดวงแสงเข้ามารวมอยู่ที่มือผม..แล้วหายไป

..ผมคิดในใจว่า..ฟ้าคงตอบรับผมแล้วใช่ไหม แสงสว่างนั้น คนบนฟ้าคงรับรู้ถึงคำเรียกร้องของผม

..แต่พอมาคิดๆดูแล้ว มันคงเป็นปรากฏการณ์ธรรมที่แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านเมฆบนฟ้า หรือไม่ก็คงแค่แสงไปกระทบกับกระจกที่ไหนสักแห่ง..ผมคงตาฝาดไป..

..จากนั้นผมก็ถูกนำตัวไปพบจิตแพทย์..

..น้องชื่ออะไรครับ  (จิตแพทย์ถาม)
        ..ผมชื่อ ด.ช. ภูมิพัฒน์ แซ่โง้ว ครับ

..ชื่อเล่นอะไรครับ  (จิตแพทย์ถาม)
        ..ผมชื่อ "ภู" ครับ

หมอ : งั้นหมอเรียกน้องว่า "ภู" นะ
               : หมอชื่อ "คเชนทร์" ไม่ใช่ "คิทเช่น" นะ หมอไม่ใช่ไก่  ✧⁠◝⁠(⁠⁰⁠▿⁠⁰⁠)⁠◜⁠✧
            ภู : 555 !!  (⁠≧⁠▽⁠≦⁠)

หมอ : เรียกหมอว่า "หมอเชน" ก็ได้ครับ  ( 。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)
               : น้องภูอายุเท่าไหร่แล้วครับ เรียนอยู่ชั้นไหน
            ภู : อายุ 14 ปี ครับ เรียนอยู่ ม.2 แล้วครับ

หมอ : น้องเล่าให้หมอฟังได้ไหมครับ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจบ้าง ลองเล่าชีวิตตอนเด็กๆหรือสิ่งไหนที่สะเทือนใจ คับแค้นใจให้หมอฟังได้ไหมครับ..
            ภู : ตั้งแต่ผมอายุ 1 ขวบ ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าแม่ผมเลยครับ แม่หน้าตายังไง เป็นคนแบบไหนผมก็ไม่เคยรู้จัก เท่าที่ปมจำได้พ่อปมก็กินเหล้าแล้วก็โวยวายทุกวัน บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็กอดผมไว้บอกผมต้องเรียนเก่ง ต้องฉลาด ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้ได้
               : พอผมอายุ 8 ขวบไปโรงเรียน ผมก็ถูกเพื่อนแกล้ง ถูกเพื่อนล้อว่าคนไม่มีแม่ เด็กกำพร้า มีคนมาฉีกสมุดผมบ้าง ฉีกหนังสือผมบ้าง ตบหัวผมบ้าง จนผมต้องหนีไปหลบที่ห้องน้ำ
               : พอผมเรียน ผมเรียนไม่เก่ง พ่อก็ด่าว่าผมโง่ บอกว่าครูบอกว่าผมชอบหนีไปหลบห้องน้ำ เข้าห้องน้ำบ่อย ผมไม่ตั้งใจเรียน ด่าว่าผมขู่ผมว่าถ้าไม่เรียนก็ไปขอทาน ถ้าไม่ตั้งใจเรียนพ่อจะทิ้งผมไป..ผมกลัวครับ (พลางร้องไห้..ฮือ.. ༼⁠;⁠´⁠༎ຶ⁠ ⁠۝ ༎ຶ⁠  ⁠༽)
               : ตั้งแต่ผมเรียน ม.1 จนตอนนี้ พ่อผมก็สั่งให้เรียนๆ อ่านๆหนังสือ ขีดเส้นให้ผมเดินไปตามที่พ่อหวัง พอผมทำไม่ได้ก็ด่าผมโง่บ้าง ผมช้าบ้าง เป็นออทิสติกบ้าง ตะโกนโวยวายด่าผมในโรงเรียนบ้าง
               : ผมก็ตั้งใจแล้ว ไม่รู้ไปถามครูแต่ผมหัวช้า ครูก็ด่าว่าสอนไม่จำ ผมไม่เข้าใจทำไม่ได้ครูก็ว่าผมโง่
               : ไปโรงเรียนก็ถูกเพื่อนแกล้ง รังเกลียดผมบ้าง ไม่มีเพื่อนเลยสักคน คุยกับใครก็ไม่ได้

(ฮือ..ฮือ..ฮือ..  。⁠:゚⁠(⁠;⁠´⁠∩⁠`⁠;⁠)゚⁠:⁠。)

หมอ : โอ๋.. ไม่เป็นไรนะครับพระเอก ร้องไห้ออกมาให้พอนะ ไม่เป็นไรๆ คนเก่ง น้องภูเก่งมากๆเลยครับ เข้มแข็งมากเลย

(เมื่อภูสงบลงเลิกร้องไห้  (⁠。⁠•́⁠︿⁠•̀⁠。⁠))

หมอ : พ่อรักน้องภูมากแหละ แต่แค่แสดงออกไม่เก่ง พูดไม่เป็น คงเพราะพ่อต้องเหนื่อยลำบากเลี้ยงภูมาคนเดียว หวังอยากให้ภูได้ดี แต่ใช้วิธีสอนไม่เป็น ทุกคำสอนจึงเป็นการใช้อารมณ์
               : เพราะความคาดหวังให้ภูได้ดีอาจจะเพราะพ่อลำบากหรือมีเรื่องมากมายที่ต้องทำเพื่อภู ทุกคำพูดจึงมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมด้วยเสมอ
               : หมอเห็นพ่อกอดน้องภูร้องไห้ พ่อคงรักน้องภูมากนะแค่แสดงออกไม่เก่ง แค่มักพูดด้วยอารมณ์ความรู้ แต่พ่อน้องภูไม่มีทางทิ้งน้องภูแน่นอน ไม่อย่างนั้นไม่ห่วงภูขนาดนี้นะ น้องภูคือคนที่ได้รับความรักความห่วงใยมากเลยนะครับ
            ภู : ครับ (⁠。⁠•́⁠︿⁠•̀⁠。⁠)

หมอ : น้องภูชอบทำอะไรบ้าง ชอบทานอะไรบ้างครับ มีความใฝ่ฝันอะไรบ้างครับ
            ภู : ผมชอบวาดรูปครับ แล้วก็อบเล่นเกม เพราะเวลาเล่นเกมผมจะมีตัวตนในเกมไม่ต้องรับรู้โลกภายนอกครับ ไม่ต้องเสียใจกับอะไร แค่เล่นเกมไปตามชอบ ไม่ต้องเครียดกับเรื่องที่พบเจอครับ
        หมอ : หมอก็เล่นนะ มันคลายเครียดดีมาก แต่เวลาเล่นมากๆ นานๆ จะหน้ามืด ออกซิเจนในสมองต่ำ ตามองอะไรไม่ชัด รังสีทำลายสายตา หมอจึงเล่นแค่วันละนิดไม่นาน

หมอ : แล้วน้องภูเล่นนานมั้ยครับ 
            ภู : เวลาผมเจอเรื่องร้ายๆหรือไม่อยากรับรู้อะไร ผมก็จะเล่นไปเรื่อยๆครับ 3 ชั่วโมงบ้าง 4 ชั่วโมงบ้าง
        หมอ : โอ้โห..แบบนี้สายตาจะแย่เอานะครับ เราต้องพักสายตาทุกๆ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง นะครับ..ให้หลับตาสัก 1-2 นาที แล้วมองออกไปข้างนอกไกลๆกว้างๆ ไม่เจาะจงเพ่งมองอะไร แล้วกรอกตาขึ้น บน-ล่าง ซ้าย-ขวา หมุนวนซ้าย หมุนวนขวา เพื่อบริหารตานะครับ แล้วก็ลดเวลาเล่นลงนะครับจะช่วยให้ตาไม่เสื่อมสภาพเร็วนะครับ

(เป็นภาพที่หมอกับภูพูดคุยกันหัวเราะสนุกสนาน)

..แล้วหมอก็ชวนผมคุยเล่นสบายใจไปเรื่อย มีแนะนำผมนิดหน่อย ทำให้ผมไม่กลัวหมอ และยังชอบพูดคุยกับหมออีกด้วย..
        ..จากนั้นหมอก็ให้ผมออกมา แล้วเรียกให้ปะป๊าผมเข้าไปหา แล้วก็พูดคุยกัน..
        ..จากนั้นก็ให้ยาผมมากิน เพราะยาที่กินเมื่อกินแล้วจะง่วง ผมจึงได้หยุดเรียน 1 อาทิตย์เพื่อรักษาสุขภาพจิต..

..ณ บ้านของภู..

(เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภูก็ขึ้นไปบนห้องเตรียมตัวนอน)

..ภูนอนหงายมองบนฝ้าเพดานมีแสงแดดส่องผ่านมา..พร้อมคิดว่า..นี่ผมเป็นโรคซึมเศร้าเหรอนี่..แล้วผมจะเป็นอีกนานไหม..ผมจะรักษาหายไหม..ที่ๆผมอยู่มันจะดีขึ้นกว่านี้ได้ไหม จะมีเพื่อนไหม จะมีใครคอยรับรู้รับฟังและเข้าใจผมบ้างไหม..

..ทันใดนั้นเบื้องหน้าบนฝ้าเพดานก็เกิดแสงสีขาวสว่างจ้าว้าบขึ้นมา..
        ..เบื้องหน้าภู มีอะไรสักอย่างที่เหมือนสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเท่าเด็กทารก
        ..มีแขน..มีขา
        ..มีหน้าเหมือนตุ๊กตายิ้มแย้มน่ารัก
        ..มีปีกบินได้ ปีกนั้นสีขาวรูปทรงดุจปุยเมฆ
        ..ลำตัวครึ่งบนของสิ่งมีชีวิตตนนั้นเหมือนแมลงเหมือนใส่เสื้อสีฟ้าดุจท้องฟ้าสดใสในยามเช้า
        ..ที่ลำตัวครึ่งล่างมีแสงสว่างสีเหลืองนวลอ่อนๆ เดี๋ยวสว่างแล้ววูบดับลง สลับกันไปมาอย่างนั้นตลอดเวลา
        ..  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ  ..



..ภูตกใจขยี้ตา  (Ó⁠╭⁠╮⁠Ò)  แต่สิ่งมีชีวิตนั้นก็ยังลอยอยู่เบื้องหน้า ลอยตัวยิ้มให้กับภู แล้วส่งเสียงออกมาว่า ชิว..ชิว..!!

..ว้ากกกกก..!!!! ผีหลอก..  ┻⁠━⁠┻⁠ミ⁠\⁠(⁠≧⁠ロ⁠≦⁠\⁠)  ภูร้องลั่นด้วยความกลัวแล้วก็เอาผ้าห่มมาคลุมโปงปิดไว้ พร้อมสวดมนต์..นะโม พุทโธ นะโม พุทโธ อรหังพุทโธ อรหังสัมมา..!!!  (⁠ᗒ⁠ᗩ⁠ᗕ⁠) (⁠ ⁠≧⁠Д⁠≦⁠) (⁠ᗒ⁠ᗩ⁠ᗕ⁠)

..สิ่งมีชีวิตตัวน้อยนั้นก็หัวเราะป้องปากออกมา ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..  (⁠≧⁠▽⁠≦⁠) 
        ..พร้อมกับบินวนรอบเตียงภู.. Ꮚo⁠(⁠(⁠*⁠^⁠▽⁠^⁠*⁠)⁠)⁠oᏊ  ..
        ..แล้วพูดออกมาน้ำเสียงเหมือนเด็กน้อยในอมิเมะว่า..ภูตลกจังเลย..ภูตลกจังเลย..ชิว..ชิว..!!  (⁠◍⁠•⁠ᴗ⁠•⁠◍⁠)
        ..ภูเปิดผ้าห่มออกดู แล้วตระโกนดังลั่นว่า..ว้าก!! ผีกุมารทอง  (⁠╬⁠⁽⁠⁽⁠ ⁠⁰⁠ ⁠⁾⁠⁾⁠ ⁠Д⁠ ⁠⁽⁠⁽⁠ ⁠⁰⁠ ⁠⁾⁠⁾⁠)
        ..ภูกระโดดออกจากเตียงจะวิ่งหนี..แต่สิ่งมีชีวิตนั้นก็บินไปดักตรงหน้าพร้อมพูดว่า..ภูอย่ากลัว ภูอย่ากลัว..เราคือเพื่อนภู..เราคือเพื่อนภู..ชิวววว..

ภู : นิ่งอึ้งสักพักแล้ว..พูดกับสิ่งมีชีวิตนั้นว่า..เพื่อนงั้นหรอ ???.. !??! (⁠☉⁠。⁠☉⁠) ⁠!??!
      ..สิ่งมีชีวิตนั้นตอบว่า..ชิวววว...ใช่แล้วๆๆ เราจะมาดูแลภูให้หายดี
        ...ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ

ภู : จริงหรอ..
      ..สิ่งมีชีวิตนั้นตอบว่า..ชิวววว...ใช่แล้วๆๆ เราจะมาดูแลภูให้หายดี
        ...ชิวววว...  Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ

ภู : แล้วนายเป็นใคร ???..
      ..สิ่งมีชีวิตนั้นตอบว่า..ชิวววว...เราคือภูตแห่งแสง
        ...ชิวววว...  Ꮚo⁠(⁠(⁠*⁠^⁠▽⁠^⁠*⁠)⁠)⁠oᏊ

ภู : ภูตแห่งแสง ว้าว...เหมือนหนังอนิเมะเลย..เหมือนในเกมเลย!! (⁠ノ⁠◕⁠ヮ⁠◕⁠)⁠ノ⁠*⁠.⁠✧
      ..สิ่งมีชีวิตพูดว่า..ชิววว  Ꮚo⁠(⁠(⁠*⁠^⁠▽⁠^⁠*⁠)⁠)⁠oᏊ

ภู : แล้วนายชื่ออะไรหรา ???..
      ..สิ่งมีชีวิตตอบว่า..ชิววว  Ꮚo⁠(⁠(⁠*⁠^⁠▽⁠^⁠*⁠)⁠)⁠oᏊ

ภู : ชื่อ "ชิว" งั้นหรอ ?? ..จากนี้ไปเราจะเป็นเพื่อนกันนะ
      ..สิ่งมีชีวิตตอบว่า..ชิววว  Ꮚo⁠(⁠(⁠*⁠^⁠▽⁠^⁠*⁠)⁠)⁠oᏊ

ภู : OK..งั้นเราไปเล่นด้วยกันเถอะ โย่ว...
      ชิว : ชิววว  Ꮚo⁠(⁠(⁠*⁠^⁠▽⁠^⁠*⁠)⁠)⁠oᏊ

           ..แล้วเรื่องราวของเพื่อนต่างโลก..
                   ..เอ๊ะ..หรือต่างมิติ ..??..
                   ..อ๊ะ..หรือต่างสปีชี่ย์ ..??..
                   ..โอ๊ะ..หรือต่างดาว ..??..
                   ..อูย..ต่างโลกถูกแล้ว..อิอิ..ก็ได้เริ่มต้นขึ้น .. ✧⁠◝⁠(⁠⁰⁠▿⁠⁰⁠)⁠◜⁠✧ ..
                   ..ชิววว  Ꮚo⁠(⁠(⁠*⁠^⁠▽⁠^⁠*⁠)⁠)⁠oᏊ

                     ..Ꮚ\(。⁠◕⁠‿⁠◕⁠。)/Ꮚ..



คุยกันท้ายตอน

คนทุกคนเมื่อป่วยก็ต้องหาหมอรักษา หลักการที่หมอขจิตแพทย์ใช้กับเด็กในพื้นฐานเลย คือ การปรับสภาพจิตใจ เมื่อใจเปิดกว้างผ่อนคลายขึ้น ก็จะค่อยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความคิด..ในนิยาย คือ หมอจะชวนพูดคุยถามตอบหัวเราะสบายใจ แล้วดูพฤติกรรมตอบสนองของภูในแต่เรื่องราว คำถามปัญหาที่สอบถาม หรือ พูดคุยกัน

นี่คือสาเหตุทำไมถึงต้องคุยเล่น คุยสบายๆ คุยสนุกสนานก่อน ไม่ไปจี้ถามจุดที่เป็นปมในทันที..นั่นก็เพื่อทำให้จิตใจของผู้ป่วยได้ปรับความขึงเครียด อ่อนโอนลง ควรแก่การพูดคุยสอบถามวิเคราะห์ที่มากขึ้นนั่นเอง
       แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกสถานการณ์เสมอไป หรือหมอทุกคนก็คงไม่ได้พาอารมณ์ดีก่อนกันทุกคน

 ภูป่วยจากซึมเศร้า ก็จะได้รับยาที่ทำงานกับสมองส่วนหน้าที่เอาไว้ใช้ควบคุมอารมณ์ และ ความคิดของผู้ป่วย..ดังนั้นทุกคนควรปรึกษาแพทย์ จะช่วยในเรื่องการรักษาปรับสภาพฮอโมนส์บ้าง ปรับสภาวะการทำงานของสมองบ้าง หรือส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องในการรักษา

ตอนต่อไปภูจะเจอจุดแตก คือ ทำให้ TOXIC ที่ย้ำคิดย้ำทำจนฝังทับถมใจ ที่เคยมีสะสมมานั้น..แตกระเบิดออก..ดังนั้นภาวะของผู้ป่วยแม้จะกินยาก็ยังมีอาการอยู่ไม่ใช่หายเลยทันทีแบบในการ์ตูน ข้อสำคัญของผู้ป่วยจึงต้องอยากหายด้วย แล้วก็ฝึกฝนเรียนรู้ที่จะบำบัดจิตใจตนเองเพื่อขจัด TOXIC ในใจให้หายขาด
       ธรรมชาติผู้ที่มี “TOXIC” และ “ODC” เยอะ จิตใจจะอ่อนไหว เพราะใช้กำลังในการรับรู้ความคิดไปหมด จนจิตใจอ่อนแอไม่มีแรงกำลัง ใจตั้งมั่นไม่ได้ ใจไม่มีกำลังอยู่ได้ด้วยตัวเอง..ใจจึงต้องเอนไหวไหลตามวิ่งไปเกาะยึดเอาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายมาเป็นที่อยู่อาศัยของตน จนเกิดการยึดหลงตามความคิด..ที่ย้ำคิดย้ำทำไปเรื่อย..นานเข้าจึงกลายเป็นการสะกดจิตตนเอง จึงทำให้เกิดเรื่องร้ายๆขึ้นนั่นเอง
       ด้วยเหตุนี้..จึงขอชวนท่านผู้อ่านมาเรียนรู้การฝึกบำบัดจิตกันในตอนต่อไปครับ

หมายเหตุ
1.) TOXIC คือ ขยะในจิตใจ ความคิดในแง่ลบ แง่ร้าย ความคิดทั้งหลายอันเป็นบ่อนทำลายจิตใจและคุณภาพชีวิตตนเอง นั่นก็ คือ กิเลส ความคิดในรัก ชัง กลัว หลง ที่เป็นขยะในใจของคนนั่นเอง
2.) OCD คือ ภาวะการย้ำคิดย้ำทำของจิตใจ ทำให้เกิดความวิตกกังวล เมื่อคิดย้ำในสิ่งที่เป็นแง่ลบ เรื่องร้าย Toxic ทั้งหลาย วนๆ ซ้ำๆ จนทับถมใจ ก็กลายเป็นการ “สะกดจิตตนเอง”..ทำให้ใจที่อ่อนแอจมติดอยู่ในกองวังวนความคิดนั้น..แล้วเอายึดความคิดนั้นมาเป็นตัวเป็นตน..ว่าสิ่งที่คิดนั้นคือตน สิ่งที่คิดนั้นเป็นตน ตนคือสิ่งที่คิด ตนเป็นความคิด ตนเป็นอย่างที่คิด ตนคือความคิด ความคิดคือตน ทำให้ขาดสติยับยั้งแยกแยะระหว่างความคิดกับจิตใจตน แล้วก็แตกระเบิดออกนั่นเอง
13  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / นิยายธรรมะ วัยรุ่นต้องรอด บังไคปลดปล่อยแรงกดดัน เริ่มปฐมบท เมื่อ: เมษายน 30, 2025, 12:00:44 pm
ณ โรงเรียนแมลงชิว

..ท่ามกลางผู้คนในโรงเรียนมากมายนับสิบนับร้อยคน ผมได้แต่มองเห็นความว่างเปล่า มองไปเจอแต่ความว่างเปล่า
..ในใจผมรู้สึกล้มเหลว พังทะลาย ไม่มีที่ให้ผมอยู่ ใจผมกรีดเจ็บแปลบจนทานไม่ไหว อยากจะหนีไปไกลๆ ผมอยากตายไปเสียให้พ้นๆ

..หวนมองย้อนไปในชีวิตผม ไม่ว่าจะทำสิ่งใด สมองผมก็ไม่ไป มันตื้อไปหมด ผมทำอะไรก็ไม่ดีผิดพลาดไปหมด ทำสิ่งใดก็ไม่เคยสำเร็จ ทั้งๆที่ผมก็ทำเต็มแล้วยังถูกด่า ถูกตี ถูกตวาดใส่ ผมรับมันไว้ไม่ไหวแล้ว ผมอยากจะหลีกหนีไปให้ไกลจากความจริงที่โหดร้ายนี้

..เพราะในครอบครัว..ผมเป็นลูกคนเดียว ปะป๊ากับหม่าม้าแยกทางกัน ผมต้องอยู่กับปะป๊า จึงถูกปะป๊าคาดหวัง สั่งให้ผมทำๆทุกอย่าง คาดหวังให้ผมเป็นลูกอย่างที่ปะป๊าต้องการ เก่ง ดี เลิศ ฉลาด จะได้ไม่ต้องอายใคร จนไม่เหลือพื้นที่ว่างแม้ซักมิลลิเมตรให้ผมผิดพลาด หรือได้ใช้ชีวิตอย่างลูกคนบ้านอื่นเขา

..พอผมทำไม่ได้ตามที่ปะป๊าคาดหวังอยากให้เป็น ผมก็ถูกด่าทอว่าผมไม่เอาไหน เป็นตัวเวรตัวกรรมในบ้าน บ้างก็ว่าผมปัญญาอ่อน โง่ ไม่พัฒนา เป็นออทิสติก

..ไปโรงเรียนก็ถูกเพื่อนแกล้ง รุมด่า กลั้นแกล้งหาเรื่อง บ้างก็รังเกลียดไม่เข้าใกล้

..เรียนไม่เข้าใจไปถามครูกลับโดนครูด่าว่าโง่ ผมหัวช้าครูก็ให้ทำงานเพิ่มจนปมไม่ไหวแล้ว ไม่อยากไปเรียนอีก

..ผมจะมองไปทางใดทั้งนอกบ้านหรือแม้แต่คนในบ้าน เขากลับมองว่าผมเป็นคนบ้าปัญญาอ่อน เป็นออทิสติก

..ผมทำผิดอะไร ทำไมต้องทำกับผมแบบนี้ !!!..

..ผมทำผิดอะไร !!!..

..ให้ผมเกิดมาทำไม

..ผมไม่อยากอยู่แล้วในโลกนี้ !!..

..ช่วยด้วยมีเด็กนักเรียนจะโดดตึกบนดาดฟ้าของอาคาร 4 แจ้งตำรวจที !!!..

..หว๋อ..หว๋อ..(เสียงรถตำรวจ รถพยาบาล รถกู้ภัยดังขึ้น)

"น้อง..น้อง..น้องใจเย็นๆนะ มีอะไรอึดอัดใจคุยกันได้นะพี่จะรับฟัง"...(เสียงกู้ภัยพูด)

..ตอนนี้เหมือนมีผู้คนมากมายพยามยามจะคุยกับผม แต่ในเวลาปมเห็นเพียงแค่คนเหล่านั้นทำปากขยับ เหมือพยายามจะพูดอะไรแต่ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรจากเขาเลย หูผมอื้อไปหมด..แต่ตอนนี้ใจผมไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว..ในใจส่วนลึกคิดเพียงอยากพ้นไปจากโลกนี้

..ผมแค่นอนหลับ...แค่ทิ้งตัวงนอน..

"กรี๊ด......." (เสียงฝูงชนกรีดร้องตกใจ)

ผมรู้สึกตัวอีกที..ผมก็ลอยอยู่กลางอากาศ ดิ่งลงพื้นด้วยความเร็งสูง...

"พรุฟฟฟฟ..." (เสียงตกลงกระทบเบาะลม)

ผมลืมตาขึ้น..มองเห็นกลุ่มคนมากมาย ห้อมร้อมกรูกันเข้ามาอุ้มผมขึ้นรถพยาบาล

..1 วันผ่านไป..

..ผมลืมตาตื่นขึ้น..นึกถึงเกตุการณ์เรื่องราวต่างๆ หากตอนนั้น..ไม่มีเบาะลม ไม่มีกู้ภัย ไม่มีพยาบาล ไม่มีตำรวจที่พยายามจะช่วยผมในตอนนั้น..ผมคงเป็นแค่คนไร้ค่าที่ตายไปอย่างสูญเปล่า..

..วันนี้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา กลับมองเห็นปะป๊าที่คอยด่าและตีผม สั่งบังคับให้ผมทำตามที่ใจปะป๊าต้องการ มากอดผมไว้แน่นพร้อมร้องไห้โฮออกมา

..ผมเกิดคำถามในใจว่า ปะป๊ารักผมด้วยเหรอ..ปะป๊ารักผมขนาดนี้ด้วยเหรอ..ถ้ารักผมทำไมที่ผ่านมาไม่เคยให้ความรักผมเลยนอกจากสั่งและคาดหวังให้เป็น..แม้ถึงผมจะเห็นปะป๊าดูรักผมขนาดนั้น..แต่ทำไมผมกลับเหมือนไม่รู้สึกอบอุ่น หรือดีใจอะไรจากสิ่งที่ปะป๊าของผมทำเหมือนรักและห่วงผมมากเลย

..ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายังคงสดใส ไม่ว่าบนโลกนี้จะเกิดอะไรขึ้น จะมีเรื่องดี เรื่องร้าย ท้องฟ้าก็ยังคงสดใส ยังมีตะวันทอแสง มีแสงแดด มีแสงจันทร์ แสงดาว มีลมพัดไม่เคยเปลี่ยนแปลง..ถ้าผมเป็นอย่างท้องฟ้าได้ก็คงดี ยังเป็นท้องฟ้าอยู่ได้ ไม่ต้องแบกรับอะไรเลย ไม่ว่าโลกนี้จะมีเรื่องเลวร้ายโหดร้ายนับร้อยนับพัน..ก็ยังคงเป็นท้องฟ้าที่สดใส

..แล้วถ้าตอนนี้ผมเป็นท้องฟ้าล่ะ !!.. ยังจะมีสิ่งใดทำร้ายผมได้อีกไหมนะ..


                               ••••• วัยรุ่น..ต้องรอด •••••


                                   ปฐมบทเริ่มขึ้นแล้ว



คุยกันหลังเริ่มปฐมบท

ตอนนี้เริ่มเรื่องจะกล่าวถึง สิ่งที่กดดัน อัดแน่นเต็มในใจจนจนแตก ของตัวเอกของเรื่อง

กล่าวถึง..วิถีชีวิตความเป็นอยู่, สภาพแวดล้อม, การกระทำ, คำสอน, การปลูกฝัง ตลอดจนสิ่งที่ประสบพบเจอซ้ำๆจนเป็นประจำ..ทั้งสภาพแวดล้อมทางบ้าน คือ ครอบครัว และ ทั้งสภาพแวดล้อมที่โรงเรียน คือ ครู และเพื่อน..มักจะส่งผลกระทบสืบต่อกับ “จิตพัฒนาการ” ของเด็กและผู้ใหญ่..ในการใ้ช้ชีวิตประจำวัน..จนฝังจำปฏิบัติเกิดเป็นอุปนิสัยใจคอ..ส่งผลทำให้การพัฒนาด้านคุณภาพจิตใจ และการพัฒนาด้านสุขภาพจิตใจ ของเด็กและผู้ใหญ่แต่ละคนจะแตกต่างกันไป ตามแต่..วิถีชีวิตสภาพแวดล้อมของครอบครัว, โรงเรียน, หรือ สถานที่ต่างๆที่ได้อยู่อาศัยนั้นๆ
การปรับสภาพจิตใจอารมณ์ความรู้สึก และ การปรับสภาพความคิด มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนเสมอ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจ หลักการ ความเชื่อ วิธีคิด ความคิด ความต้องการ ความชอบ ความชัง การกระทำ การหาทางออกแก้ไขปัญหา ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัยในตนเองต่างๆกันไป
14  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สอบถามเรื่องพระเครื่องบูชาครับ เมื่อ: ตุลาคม 02, 2022, 11:20:42 am
คือผมอยากได้พระแทนตัวครูบาอาจารย์เพื่อไว้กำหนดจิตระลึกถึงเป็นสังฆคุณ สังฆานุสสติ ได้แก่

1. รูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวรพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ครับ
2. รูปหล่อพระอาจารย์สนธยา ธัมมวังโส องค์ครูที่เมตตาแก่ผมครับ

ไม่ทราบว่าผมพอจะมีโอกาสได้บูชาไหมน้อมมาสู่ตนบ้างไหมครับ ผมไม่ใช่ศิษย์สายตรง แต่ด้วยความเคารพนับถือหลวงปู่สุก และพระอาจารย์ธัมมวังโสครูผู้เมตตาผม ผมจึงปารถนาจะได้มาบูชากราบไว้และกำหนดระลึกถึงพระสังฆคุณของท่านทั้งสองให้เป็นสังฆานุสสติครับ

 st12  st12  st12
15  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / การทำบุญให้คนที่ฆ่าตัวตาย เมื่อ: มกราคม 18, 2022, 05:13:19 am
..
16  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / .. เมื่อ: ธันวาคม 23, 2020, 04:01:36 pm
..
17  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / โสดาปัตติมรรค เมื่อ: เมษายน 28, 2015, 08:17:34 am
กราบเรียนพระอาจารย์ธัมมวังโส และ ผู้รู้ทุกท่าน

ผมอยากทราบว่า

1. โสดาปัตติมรรคคืออะไร ได้แก่บุคคลประเภทไหน
2. ท่านยังมีเจตนาที่จะผิดศีลอยู่บ้างไหม

รบกวนพระอาจารย์ และ ผู้รู้ทุกท่านไขข้อข้องใจให้แก่ผมด้วยครับ
18  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / กราบนมัสการพระอาจารย์ธัมมวังโส ผมมีเรื่องใคร่ขอความสงเคราะห์จากพระอาจารย์ เมื่อ: ธันวาคม 12, 2014, 01:54:11 pm
ขออภิวาทแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนมัสการพระธรรม ซึ่งเป็นธรรมเพื่อออกจากทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอบนอบน้อมพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซ6่งเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว

ขอนมัสการพระอาจารย์ธัมมวังโส

ผมใคร่ปารถนาจะขอธาตุกรรมฐานในการเดินจงกรม ขอความเอ็นดูอนุเคราะห์จากพระอาจารย์ธัมมวังโส ซึ่งผมถือเป็นครูอุปัชฌาย์ได้สงเคราะห์บอกวิธีพิจารณาธาตุเมื่อเดินจงกรมด้วยเถิดครับ ส่วนตัวผมก็เพียรปฏิบัติถวายเป็นพุทธบูชาตามสติกำลัง มีได้บ้างไม่ได้บ้าง ด้วยเป็นผู้มีราคะเยอะแม้จะเจอหรือสัมผัสเห็นธรรมได้บ้างแต่ก็ยังเพียงแค่สมถะยังไม่ถึงมรรค เพราะความเร่าร้อนมีอยู่ทุกขณะจึงใครปารถนาที่จะเดินจงกลมด้วยธาตุกรรมฐาน ขอพระอาจารย์โปรดสงเคราะห์ศิษย์คนนี้ด้วยครับ แม้ไม่ได้ไปขึ้นกรรมฐานแต่เจตนาของผมเป็นไปเพื่อพระศาสนาของพระศาสดา เพื่อทำตนเองให้พ้นทุกข์ เมื่อเห็นทางทำได้แล้วก็หมายจะทำให้ผู้อื่นได้ศรัทธาและปฏิบัตินับถือในพระพุทธศาสนาของพระตถาคต ขอพระอาจารย์ธัมมวังโสโปรดชี้แนะสอนสั่งแลบอกทางกรรมฐานในการเจริญธาตุเวลาเดินจงกรมแก่ผมด้วยเทอญ

สาธุ สาธุ สาธุ
19  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ฝากให้คุณที่ชอบปรามาส เพราะเป็นผู้ด้อยปัญญา จะได้ฉลาดขึ้น เมื่อ: เมษายน 22, 2014, 06:32:02 pm
ผมโพสท์กระทูนี้ด้วยมีจิตสงเคราะห์ให้เป็นทานแก่ "คนที่ชอบปรามาส" เพื่อให้คนที่ชอบปรามาสละบาปกรรมอันจะเกิดแก่ตนเอง พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก หลาน อย่างหาประมาณมิได้ดังนี้

"การบริภาษพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมอันหนัก"
โดย ittipol.k จากเวบขอนแก่นลิงค์
เมื่อ 21 เม.ย., 2014 20:4



"การบริภาษพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมอันหนัก"

ผู้บุกเบิกให้เกิดพัฒนาการใหม่ๆ ในช่วงแรกมักจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วย เพราะขัดกับความคุ้นเคยเดิม แม้ในวงการพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน พระมหาเถระผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาจำนวนมาก ต่างก็ประสบกับการวิพากษ์โจมตีอย่างหนักมาแล้ว เพราะคนเรา พอไม่เข้าใจก็ไม่ชอบ จึงหาเรื่องจับผิด ด่าว่า ใส่ร้ายป้ายสี อาทิ

- พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผู้เดินธุดงค์ตั้งใจปฏิบัติธรรม บุกเบิกสร้างพระป่าสายอีสาน ก็เคยถูกครหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนวิจารณ์ว่าสอนผิดจากพระไตรปิฎก ที่บอกว่าไปสนทนาธรรมกับพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้

- ครูบาศรีวิชัย ผู้นำศิษยานุศิษย์สร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพสำเร็จในเวลาเพียง 3 เดือน และบุกเบิกเผยแผ่ธรรมะอย่างกว้างขวางในแดนล้านนา ก็เคยถูกใส่ร้ายป้ายสี จนถูกจับขังถึง 3 ครั้ง ปลดจากเจ้าอาวาส ถูกคุมตัวเข้ากรุงเทพฯ

- สมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ผู้วางรากฐานให้ มจร. เติบใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์หลักในปัจจุบัน ส่งพระไทยไปเรียนกรรมฐานกับพระพม่า กลับมาบุกเบิกสร้างสายธรรมปฏิบัติยุบหนอพองหนอในไทย ก็เคยถูกข้อกล่าวหาจากสังฆนายกในยุคนั้นว่าปาราชิก และสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้สึก ถึงขนาดถูกจับสึกเปลื้องผ้าเหลืองออก ต้องนุ่งขาวห่มขาวอยู่ที่สันติบาล 4 ปี แต่สุดท้ายศาลก็พิพากษาว่าท่านไม่ผิดจึงกลับมาครองผ้าเหลืองใหม่ ก่อนมรณภาพได้เป็นถึงผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช

- หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ผู้บุกเบิกการปฏิบัติแบบมโนมยิทธิ ก็เคยถูกกล่าวหาว่าปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสสธรรม อวดอ้างว่าไปสวรรค์ ไปนิพพานได้

- หลวงพ่อพุทธทาส ก็เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นพระบ้า เพราะเทศน์ปากเปล่าโดยไม่ถือใบลาน ซึ่งคนยุคนั้นไม่คุ้น ถูกกล่าวหาว่าเป็นพระมหายาน พระนอกรีต เพราะชอบสอนเรื่องสุญญตา อิงคำสอนของท่านนาคารชุน ชอบแนวคิดแบบเซ็น แต่ท่านก็สามารถดึงปัญญาชนจำนวนมากให้หันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา

- หลวงพ่อธัมมชโย ก็ถูกกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรม และยักยอกที่ดินวัด แต่ท่านก็สามารถชักชวนประชาชนเข้าวัดปฏิบัติธรรมทำความดีมากมาย และเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก ข้อกล่าวหาเรื่องปาราชิกก็ถูกลบล้างไป โดยมหาเถรสมาคมได้กลั่นกรองนำเสนอ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ จากคุณูปการที่ท่านมีต่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย

- หลวงตามหาบัว ก็เคยถูกกล่าวหาอวดอุตริมนุสสธรรม อวดอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พูดจาหยาบคาย จับเงินจับทองผิดพระวินัย ระดมผ้าป่าช่วยชาติซึ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์ หวังจะขึ้นเป็นใหญ่ในวงการสงฆ์ทางลัด แต่ท่านก็สามารถสร้างศรัทธาในหมู่ชาวพุทธได้มากมาย

> > น่าคิดว่า ผู้ที่เคยบริภาษด่าว่าพระมหาเถระเหล่านี้ จะต้องแบกบาปมากเพียงใด ตอนกำลังด่าว่าท่าน ทุกกรณีจะมีลักษณะคล้ายกัน คือ แต่ละคนก็คิดว่าท่านไม่ดีไม่ใช่พระแล้ว ด่าแล้วไม่บาป ได้บุญด้วย ปลุกระดมกันและกันด้วยโทสวาท (hate speech) ให้เกิดความเกลียดชังอย่างมากๆเหมือนท่านไม่ใช่คน

แต่พระมหาเถระเหล่านี้ แต่ละรูปก็ได้พิสูจน์ด้วยการอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาจนตลอดชีวิตของท่าน สิ่งที่แต่ละรูปได้สร้างไว้นั้นต้องทำด้วยชีวิต ผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ใจจะทำอย่างนั้นไม่ได้

น่าคิดว่าผู้ที่ด่าว่าท่านพระอาจารย์มั่น ครูบาศรีวิชัย สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ) ฯลฯ คนเหล่านี้ต้องรับกรรมหนักเพียงใด

ส่วนพระที่มีเจตนาไม่สุจริตนั้น มักอยู่ได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องออกไปเอง สมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระธรรมวินัยนี้เหมือนทะเลที่จะซัดซากศพขึ้นฝั่งในที่สุด ดังมีตัวอย่างให้เราเห็นอยู่มากราย โดยเราไม่ต้องไปผสมโรงด่า ให้เสี่ยงต่อบาปกรรมเลย < <

ตัวอย่างวิบากกรรมของผู้บริภาษพระภิกษุผู้ทรงศีล

@ ในครั้งพุทธกาลที่เมืองสาวัตถีมีชาวประมงจับได้ปลาใหญ่ตัวหนึ่ง มีสีเหมือนทองคำแต่ปากเหม็นมาก จึงเอาไปถวายพระราชา พระราชารับสั่งให้นำไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอปลาอ้าปากเท่านั้น กลิ่นเหม็นก็คลุ้งตลบทั้งเชตวันมหาวิหาร

พระราชาถามพระศาสดาว่า ทำไมปลามีสีเหมือนทองคำ แต่ปากเหม็น

พระศาสดาตรัสตอบว่า ปลานี้ภพในอดีตเป็นภิกษุชื่อกปิละ มีความรู้มาก ทะนงในความรู้ของตน เที่ยวด่าบริภาษพระภิกษุที่ไม่เชื่อคำของตน น้องสาวกับแม่ก็ด่าว่าพระภิกษุตามพระกปิละเพราะคิดว่าท่านรู้มาก พระกปิละตายแล้วจึงไปเกิดในอเวจีมหานรก ไหม้ในมหานรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง แล้วมาเกิดเป็นปลาด้วยเศษแห่งวิบาก

เนื่องจากเคยท่องบ่นคัมภีร์ สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า จึงได้อัตตภาพมีสีเหมือนทองคำ แต่เพราะเป็นผู้ด่าบริภาษพระภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของเธอ
จากนั้นพระพุทธเจ้าทำให้ปลาพูดได้ด้วยพุทธานุภาพ

พระศาสดาตรัสถามปลาว่า__ เจ้าชื่อกปิละหรือ?

ปลาตอบ__ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ

พระศาสดาถาม__ เจ้ามาจากไหน?

ปลาตอบ__ มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า

พระศาสดา __ แม่ของเจ้าไปไหน?

ปลาตอบ __เกิดในนรก พระเจ้าข้า

พระศาสดา __น้องสาวของเจ้า ไปไหน?

ปลาตอบ __เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า

พระศาสดา__ บัดนี้เจ้าจักไปที่ไหน?

ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า__ “จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม พระเจ้าข้า”
ดังนี้แล้ว คิดถึงบาปกรรมที่ตนเคยทำ เศร้าเสียใจมากจึงเอาศีรษะฟาดเรือตายในทันทีนั่นเอง กลับไปเกิดในนรกแล้ว มหาชนเห็นเรื่องราวทั้งหมด ได้สลดใจมีขนลุกชูชันแล้ว

> การบริภาษด่าว่าพระภิกษุผู้ทรงศีลเป็นกรรมหนักมาก พวกเราอย่าไปทำเด็ดขาด บางคนแค่ฟังเขาว่าต่อๆ กันมาก็หลงเชื่อ ผสมโรงด่าว่าท่านด้วยความคึกคะนอง กรรมนี้น่ากลัวนัก ยิ่งในโลกปัจจุบันที่การสื่อสารออนไลน์ เป็นไปอย่างรวดเร็วกว้างขวาง ยิ่งต้องระมัดระวัง มีสติ ไม่ไปตามแห่ทำบาปกับใคร

การตัดต่อภาพใส่ร้ายป้ายสีพระภิกษุ ยิ่งผิดทั้งศีล ผิดทั้งธรรม จะหาเหตุผลมาอ้างว่าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะคิดว่าท่านไม่ดี เหตุผลนี้เมื่อตายแล้วตกนรก จะเอาไปใช้อ้างกับยมบาลเขาก็ไม่รับฟังเลย

แนวปฏิบัติที่ถูกต้องคือ เราอย่าไปบริภาษด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ เพราะเรายังรู้จักท่านไม่จริง แต่เอาเวลาไปประพฤติปฏิบัติธรรม กับพระภิกษุรูปใดก็ได้ที่เราถูกอัธยาศัย มีความศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่านดีกว่า ทำอย่างนี้เราจะไม่มีวิบากกรรม จะมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป ทั้งภพนี้และภพหน้า <

ที่มา  https://www.facebook.com/BuddhaSamakkee?hc_location=timeline
20  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / กราบนมัสการพระอาจารย์ธรรมวังโส เมื่อ: เมษายน 21, 2014, 11:12:19 am
ขอนมัสการนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนมัสการนอบน้อมแด่พระธรรม เป็นธรรมเพื่อออกจากทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้เป็นคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ ผู้เป็นนาบุญของโลกควรแก่เขานำมาบูชา

กราบนมัสการพระอาจารย์ธัมมวังโสภิกขุ

ผมได้เจริญซึ่ง อานาปานสติ พุทธานุสสติ พรหมวิหาร ๔ เป็นนิจตามสติกำลัง คือ
๑. กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเพื่อยังให้จิตสงบตั้งมั่น
๒. ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าด้วย หายใจเข้าระลึก พุทธ หายใจออกระลึก โธ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง แลระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าว่าด้วย อระหัง ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส น้อมจิตเข้าระลึกถึงความว่างสงบจากกิเลสดั่งคุณนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า
๓. พรหมวิหาร ๔
๓.๑ เมื่อถึงความสงบลงแล้วจะน้อมรำลึกถึงฉัพพรรณรังสีบารมีของพระตถาคตแผ่เมาสู่ตน แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานตามแสงนั้นเฝ้าแผ่เมตตาให้ตนเองนั้นเป็นสุขปราศจากกิเลสทุกข์ ไม่ผูกเวรใคร ไม่พยาบาทใคร ไม่มีความร้อนรุ่มอันเกิดแต่ ความใคร่ปารถนาที่จะเสพย์ความกำหนัดยินดีอันเกิดแต่ความติดใจเพลิดเพลิน ไม่มีความขุ่นมัวใจ เศร้าหมองใจ ตืดใจข้องแวะ ไม่มีความมัวหมองหม่นหมองใจ ให้ผมมีแต่ความสุขกายใจ แจ่มใสเบิกบานไม่เศร้าหมอง รักษากายวาจาใจให้พ้นจากภัยแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
๓.๒ เมื่อตัวผมเองนั้นกิเลสบางลงแล้วก็ตั้งจิตมั่นระลึกถึงฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าที่แผ่ขยายไปทั่วหมื่นโลกธาตุ เสริมและนำทางเอาจิตอันปารถนาดีเป็นกุศลเมตตาของผมนั้นแผ่ไปให้สรรพสัตว์ทั้งปวงอันไม่มีประมาณทั้ง ๑๐ ทิศ ให้สัตว์ทั้งหลายได้เป็นสุขพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ไม่ผูกเวรพยาบาทซึ่งกันและกัน ไม่มีความร้อนรุ่มใจใดๆ ดั่งสุขที่ผมได้รับเมื่อผมปราศจากกิเลสทุกข์ ไม่ร้อนรุ่มเพราะละความผูกเวรพยาบาทผู้อื่นแล้ว ให้สรรพสัตว์ทั้ง ๑๐ ทิศ นั้นได้เสวยผลบุญที่ผมได้กระทำและสะสมมาดีแล้วนี้แผ่ไปทีละทิศจนครบ
๔. ทาน ทั้งที่ สงเคราะห์ให้ อนุเคราะห์ให้ และ สละให้

- ผมเจริญปฏิบัติธรรมทั้ง ๔ ข้อนี้เป็นประจำควบคู่กับเจริญจิตตานุสติปัฏฐานเพื่ออบรมจิต แม้ยามปกติ ยามที่เป็นทุกข์กาย ยามเกิดกิเลสทุกข์ใจ เช่น เวลาเจ็บป่วย อยากกินเหล้า กำหนัดราคะ เวลาทะยานอยากไรๆ เวลาเกิดปฏิฆะ โทสะใดๆ
- ทำให้ทุกวันนี้ผมไม่หยากกินเหล้าแล้ว แม้ราคะมีมากอยู่แต่ก็มีสตืยั้งใจเกิด สัมมาทิฐิ และ สัมมาสังกัปปะ มากขึ้น
- ศีลผมก็บริสุทธิ์มากขึ้นตามที่ใจตนหวังไว้ แต่ไม่ใช่ว่าทำได้ตลอดเลยนะครับแต่ดีขึ้นมาก ซึ่งเมื่อก่อนนี้ผมเจริญอย่างนี้คิดว่าผมทำผิดทางเพราะเห็นและตรึกตรองด้วยตนเอง หรือ ปฏิบัติแบบผิดๆ ผมจึงเลิกปฏิบัติไป จนเห็นพระอาจารย์โพสท์สอนกรรมฐานไว้ในกระทู้  http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13937.0  ซึ่งผมได้ติดตามอ่านและน้อมนำมาปฏิบัติเป็นประจำทุกกระทุ้ จึงทำให้ผมเกิดศรัทธาและความมั่นใจที่จะทำอย่างล้นพ้น ทำให้ได้ผลดีมากไม่จำกัดกาล แม้ตอนนี้ผมยังไม่ได้สัมมาสมาธิ แต่จิตก็ตั้งมั่นจดจ่อดีมากขึ้นไม่วอกแวกฟุ้งซ่านเหมือนก่อนทำให้ผมได้พบความสุขจากผลที่ได้ปฏิบัติเป็นอันมาก

ผมโพสท์กระทุ้นี้ด้วยเจตนา 2 คือ
1. ให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายที่เข้ามาแวะชมได้เห็นว่า กรรมฐานที่พระอาจารย์โพสท์สอนดูเหมือนเป็นพื้นฐานและส่วนน้อยแต่หากน้อมนำมาปฏิบัติจริงจังย่อมให้ผลได้มากกว่าที่คิดเดาเอาอย่างไม่มีประมาณ ดังนั้นขอให้ศิษย์ของพระอาจารย์ทั้งหลายอย่ามองข้ามไป ผมนั้นขนาดยังไม่สามารถไปขึ้นกรรมฐานได้ และ ไม่รู้วิธีปฏิบัติตามจริงในสายมัชฌิมาแบบลำดับยังให้ผลได้ ท่านทั้งหลายที่ได้ขึ้นกรรมฐานแล้ว หรือ เพิ่งเริ่มปฏิบัติควรเร่งฝึกตามที่พระอาจารย์สนธนาสั่งสอนด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัยและไม่ลังเลสงสัยในแนวปฏิบัติที่พระอาจารย์สอนสั่งแม้เพัยงน้อยนิดย่อมให้ผลได้อย่างแน่นอน
2. ผมอยากสอบถามพระอาจารย์หากพอจะโพสท์ตอบได้ ผมขอแนวทางเจริญพุทโธแบบมัชฌิมาให้ผมน้อมนำไปปฏิบัติด้วยเถิด พร้อมการเดินที่พิจารณาธาตุที่ถูกต้อง เพื่อให้ผมได้ปฏิบัติตามสติกำลังและเผยแพร่ต่อไปด้วยเทอญ
21  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / แนวกรรมฐาน ของผู้ศึกษาธรรม ชั้นนักธรรมตรี เมื่อ: มีนาคม 01, 2014, 06:29:35 pm


แนวกรรมฐาน ของผู้ศึกษาธรรม ชั้นนักธรรมตรี


ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม


ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ และ แนวทางวิถีแห่งการปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายทั้งปวงที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายผู้เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าได้สั่งสอนชี้แนะไว้ มี หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร พระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระราชพรหมญาณ(หลวงพ่อฤๅษีฯ) หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่นิล มหันตปัญโญ(ครูอุปัชฌาย์ท่านแรกที่บวชให้แก่ผม) พระครูสุจินต์ธรรมวิมล(ครูอุปัชฌาย์ท่านที่สองที่บวชให้แก่ผม) และ พระอาจารย์สนธยา ธัมมวังโส(ผมขออนุญาตพระอาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ของผมอีกท่านหนี่ง โดยการด้วยขอด้วยการตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึง) ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน และ แนวทางวิถีปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายของครูบาอาจารย์ผู้เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทุกท่านตามที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้น ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด




   ผมใคร่ขอย้ำท่านผู้แวะชมกระทู้นี้ด้วยครับ ซึ่งตัวผมนี้จบแค่นักธรรมตรี ความรู้ก็มีอย่างนักธรรมตรี ปฏิบัติได้ก็อย่างสอบแก้กระทู้ของนักธรรมตรีเท่านั้น สิ่งที่ผมเขียนนี้เป็นเพียงบันทึกผลจากการปฏิบัติเพื่อใช้วิเคราะห์ทบทวนความจำเมื่อหลงตนแล้วล้างสิ่งที่หลงนั้นกลับมาอยู่ที่ศุนย์แล้วเริ่มปฏิบัติทบทวนใหม่เท่านั้น อาจไม่ใช่ทางที่ถูกต้องตามจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน เป็นเพียงสิ่งที่ผมเรียนรู้ศึกษาปฏิบัติมาจากครูอุปชัฌาย์อาจารย์ และ ศึกษาปฏิบัติเอาเองบ้าง เห็นได้เพียงงูๆปลาเท่านั้น ยังไม่รู้ธรรมอันแท้จริงใดๆทั้งสิ้น หากผิดพลาดมาประการใดหรือบิดเบือนอย่างไร ไม่ใช่ครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพของผมท่านสอนมาผิด แต่เป็นเพราะความเห็นไม่จริงของผมเพียงคนเดียวเท่านั้นครับ ที่ผมโพสท์ไว้นี้เพื่อขอฝากเป็นบันทึกคาามจำกับทางเวบนี้ไว้และหวังว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ศึกษาธรรมใหม่ทั้งหลายที่แวะเวียนมาชมแต่ต้องใช้วิจารณาญาณแยกแยะน้อมนำไตร่ตรองด้วยครับ พร้อมกันนั้นเพื่อเป็นการอุทิศบูญกุศลทางแห่งการพ้นทุกข์ทั้งปวงที่ผมสงเคราะห์ลงใน ๔๐ กรรมฐาน และ 1 วิปัสสนา นี้ให้แก่ คุณพ่อกิมคุณ เบญจศรีวัฒนา บิดาผู้ละโลกนี้ไปแล้วของผมครับ

ขอขอบพระคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนติชมอย่างสูงครับ

ด้วยควรามเคารพและนับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวก พ่อแม่บุพการีทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย และ สหายมิตรธรรมทุกท่าน




บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง แนวกรรมฐาน ของผู้ศึกษาธรรม ชั้นนักธรรมตรี ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้


สารบัญ

แนวกรรมฐาน ของผู้ศึกษาธรรม ชั้นนวกะ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13576.0

กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมกาย
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=12524.0

กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมสมาธิ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=12525.0

กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมจิต
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=12526.0

ทุกข์ และ การกำหนดรู้ทุกข์
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46532#msg46532

สมุทัย และ การพิจารณาละสมุทัย
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46533#msg46533

นิโรธ และ การทำให้แจ้งในนิโรธ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46535#msg46535

มรรค และ สิ่งที่ควรเจริญให้มากในมรรค
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46536#msg46536

แนวทางเจริญปฏิบัติเพื่อละกิเลสทุกข์ด้วย อานาปานสติ+พุทธานุสสติ / ศีล+สีลานุสสติ / พรหมวิหาร ๔
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46538#msg46538

แนวทางเจริญปฏิบัติเพื่อละกิเลสทุกข์ด้วย พรหมวิหาร ๔ + ทาน
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46665#msg46665

อุบายการปฏิบัติแบบสมถะกึ่งวิปัสสนาดับราคะทางสฬายตนะ กุศลวิตกพิจารณาสงเคราะห์ในธรรม(ธัมมวิจยะ)
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46667#msg46667

อุบายการปฏิบัติแบบสมถะกึ่งวิปัสสนาดับโทสะทางสฬายตนะ กุศลวิตกพิจารณาสงเคราะห์ในธรรม(ธัมมวิจยะ)
วิธีน้อมจิตพิจารณาเข้าสู่ ทุกขอริยะสัจ , ทมะ+อุปสมะ , ขันติ+โสรัจจะ(ศีลสังวรณ์,สัลเลขสูตร)
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46668#msg46668

การละกิเลสด้วยการเจริญเข้าสู่กอง สมถะกรรมฐาน(ราคะ)
พทุธานุสสติ , ท์วัตติงสาการะปาโฐ , จตุธาตุววัตถาน , การเพ่งเทียบกสินธาตุ , มรณะสติ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46675#msg46675

การละกิเลสด้วยการเจริญเข้าสู่กอง สมถะกรรมฐาน(ราคะ)
กุศลวิตกเข้าอสุภะกรรมฐาน , อสุภะกรรมฐาน ๑๐ , อุปสมานุสสติ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg46731#msg46731

การละกิเลสด้วยการเจริญเข้าสู่กอง สมถะกรรมฐาน(โทสะ)
พุทธานุสสติ , ท์วัตติงสาการะปาโฐ , จตุธาตุววัตถาน , อสุภะกรรมฐาน
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48253#msg48253

การละกิเลสด้วยการอบรมจิตในขั้นสมถะเชื่อมต่อไปวิปัสสนา ๑ (อุบายดึงสมถะยกจิตขึ้นพิจารณาสงเคราะห์ลงสู่ทางวิปัสสนา)
พุทธานุสสติ , สีลานุสสติ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48254#msg48254

การละกิเลสด้วยการอบรมจิตในขั้นสมถะเชื่อมต่อไปวิปัสสนา ๑ (อุบายดึงสมถะยกจิตขึ้นพิจารณาสงเคราะห์ลงสู่ทางวิปัสสนา)
ท์วัตติงสาการะปาโฐ , จตุธาตุววัตถาน , มรณะสติ , อสุภะกรรมฐาน
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48255#msg48255

การละกิเลสด้วยการอบรมจิตในขั้นสมถะเชื่อมต่อไปวิปัสสนา ๒ (อุบายสะสมให้เข้าถึงฌาณสมาบัติและเจโตวิมุตติ)
พุทธานุสสติ อุบายสะสมบารมีให้เต็มกำลังใจจนเข้าสู่ "สมาบัติ" , วิธีเจริญในธัมมานุสสติและสังฆานุสสติตามจริงโดยย่อ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48269#msg48269

การละกิเลสด้วยการอบรมจิตในขั้นสมถะเชื่อมต่อไปวิปัสสนา ๒ (อุบายสะสมให้เข้าถึงฌาณสมาบัติและเจโตวิมุตติ)
อุปสมานุสสติ , สีลานุสสติ อุบายสะสมบารมีให้เต็มกำลังใจจนเข้าสู่ "สมาบัติ"
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48339#msg48339

การละกิเลสด้วยการอบรมจิตในขั้นสมถะเชื่อมต่อไปวิปัสสนา ๒ (อุบายสะสมให้เข้าถึงฌาณสมาบัติและเจโตวิมุตติ)
พรหมวิหาร ๔ อุบายสะสมบารมีให้เต็มกำลังใจจนเข้าสู่ "สมาบัติ" เป็น "เจโตวิมุตติ"
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48340#msg48340

การทรงอารมณ์ให้ได้สมาธิไวๆ ขั้นต่ำได้อุปจาระสมาธิ แล้วทรงอารมณ์ให้เป็นฌาณต่อไป
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48341#msg48341

อุบายการทรงอารมณ์ใน เมตตาพรหมวิหาร ๔ ให้เข้าถึงอุปจาระสมาธิ แล้วทรงอารมณ์ให้เป็นฌาณต่อไป
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48403#msg48403

อุบายการทรงอารมณ์ใน กรุณาพรหมวิหาร ๔ ให้เข้าถึงอุปจาระสมาธิ แล้วทรงอารมณ์ให้เป็นฌาณต่อไป

อุบายการทรงอารมณ์ใน มุทิตาพรหมวิหาร ๔ ให้เข้าถึงอุปจาระสมาธิ แล้วทรงอารมณ์ให้เป็นฌาณต่อไป

อุบายการทรงอารมณ์ใน อุเบกขาพรหมวิหาร ๔ ให้เข้าถึงอุปจาระสมาธิ แล้วทรงอารมณ์ให้เป็นฌาณต่อไป

การละกิเลสด้วยการอบรมจิตอันเป็นไปเพื่อวิปัสสนาญาณ ๑
- วิธีการเจริญจิตกำหนดรู้ในสภาวะที่เป็น "รูปธรรม" และ "นามธรรม" เบื้องต้น
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48599#msg48599

การละกิเลสด้วยการอบรมจิตอันเป็นไปเพื่อวิปัสสนาญาณ ๒
- การดึงจิตออกจากโมหะ และ ทรงอารมณ์ของ สติ+สัมปชัญญะ ให้พอเหมาะกับการพิจารณาสภาวะธรรม
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13637.msg48600#msg48600

22  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ภารทวาชสูตร..การสำรวมระวังปฏิบัติกาย-ใจ เพื่อละกามราคะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2014, 08:15:15 am

ภารทวาชสูตร


             [๑๙๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระบิณโฑลภารทวาชะอยู่ ณ พระวิหารโฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าอุเทนได้เสด็จไปหาท่านพระบิณโฑลภารทวาชะ ทรงสนทนาปราศรัยกับท่านพระบิณโฑลภารทวาชะ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระบิณโฑลภารทวาชะว่า

      ท่านภารทวาชะผู้เจริญ เหตุปัจจัยอะไรหนอแล เป็นเครื่องให้ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่มแรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย  ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน
      ท่านพระบิณโฑลภารทวาชะทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ดังนี้ว่า
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาตั้งจิตว่าเป็นมารดา ในสตรีปูนมารดา เธอทั้งหลายจงตั้งจิตว่าเป็นพี่สาวน้องสาว ในสตรีปูนพี่สาวน้องสาว เธอทั้งหลายจงตั้งจิตว่าเป็นธิดา ในสตรีปูนธิดา ขอถวายพระพร ข้อนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่มแรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน ฯ


             [๑๙๖] พระเจ้าอุเทนตรัสถามท่านพระบิณโฑลภารทวาชะว่า ท่านภารทวาชะผู้เจริญ จิตเป็นธรรมชาติโลเลบางคราวธรรม คือ ความโลภทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นในเหล่าสตรีปูนมารดาก็มี ปูนพี่สาว น้องสาวก็มี ปูนธิดาก็มี มีไหมหนอ ท่านภารทวาชะ ข้ออื่นที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิตและปฏิบัติอยู่ได้นาน ฯ
      ท่านพระบิณโฑลภารทวาชะทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ดังนี้ว่า
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาพิจารณากายนี้แหละ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา อันมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้  คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร ดังนี้
      ขอถวายพระพร แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่นมีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิตและปฏิบัติอยู่ได้นาน ฯ


             [๑๙๗] พระเจ้าอุเทนตรัสถามท่านพระบิณโฑลภารทวาชะว่า ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้มีกายอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีศีลอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีจิตอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีปัญญาอันอบรมแล้ว การอบรมกายเป็นต้นนั้น ไม่เป็นกิจอันภิกษุเหล่านั้นทำได้โดยยาก  ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นผู้มีกายยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีศีลยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีจิตยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีปัญญายังไม่ได้อบรมแล้ว การอบรมกายเป็นต้นนั้น เป็นกิจอันภิกษุเหล่านั้นทำได้โดยยาก ท่านภารทวาชะผู้เจริญ บางคราวเมื่อบุคคลตั้งใจอยู่ว่า เราจักทำไว้ในใจโดยความเป็นของไม่งาม แต่อารมณ์ย่อมมาโดยความเป็นของงามก็มี มีไหมหนอแล ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ข้ออื่นที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิตและปฏิบัติอยู่ได้นาน ฯ
      ท่านพระบิณโฑลภารทวาชะทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาเถิดเธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่เถิด

      - เธอทั้งหลายเห็นรูปด้วยตาแล้ว จงอย่าเป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าเป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษาจักขุนทรีย์ จงถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์...

      เธอทั้งหลายฟังเสียงด้วยหูแล้ว จงอย่าเป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าเป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมโสตินทรีย์เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษาโสตินทรีย์ จงถึงความสำรวมในโสตินทรีย์...

      - เธอทั้งหลายสูดกลิ่นด้วยจมูกแล้ว จงอย่าเป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าเป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมฆานินทรีย์เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษาฆานินทรีย์ จงถึงความสำรวมในฆานินทรีย์...

      - เธอทั้งหลายลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว จงอย่าเป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าเป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมชิวหินทรีย์เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษาชิวหินทรีย์ จงถึงความสำรวมในชิวหินทรีย์...

      - เธอทั้งหลายถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว จงอย่าเป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าเป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมกายินทรีย์เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษากายินทรีย์ จงถึงความสำรวมในกายินทรีย์...

      - เธอทั้งหลายรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว อย่าได้เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าได้เป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะจงปฏิบัติเพื่อความสำรวมมนินทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษามนินทรีย์ จงถึงความสำรวมในมนินทรีย์...


-----------------  สัมมัปปธาน ๔ (การทำความเพียร ๔)  -----------------


      ขอถวายพระพร แม้ข้อนี้ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่นมีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิตและปฏิบัติอยู่ได้นาน ฯ

             [๑๙๘] พระเจ้าอุเทนตรัสว่า น่าอัศจรรย์ ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ไม่เคยมีแล้ว ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ตามกำหนดธรรมปริยายนี้ อันพระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ข้อนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม แรกรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มแน่นอยู่ในปฐมวัย ยังเป็นผู้ไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิตและปฏิบัติอยู่ได้นาน

      ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ในสมัยใด แม้ข้าพเจ้าเอง มีกายมิได้รักษาแล้ว มีวาจามิได้รักษาแล้ว มีจิตมิได้รักษาแล้ว มีสติมิได้ตั้งไว้แล้ว มีอินทรีย์ทั้งหลายมิได้สำรวมแล้ว เข้าไปสู่ฝ่ายใน
      ในสมัยนั้น ธรรม คือ ความโลภทั้งหลายย่อมครอบงำข้าพเจ้ายิ่งนัก ท่านภารทวาชะผู้เจริญ


      แต่ว่า ในสมัยใดแล ข้าพเจ้ามีกายอันรักษาแล้ว มีวาจาอันรักษาแล้ว มีจิตอันรักษาแล้ว มีสติอันตั้งไว้แล้ว มีอินทรีย์ทั้งหลายอันสำรวมแล้ว เข้าไปสู่ฝ่ายใน
      ในสมัยนั้น ธรรม คือ ความโลภทั้งหลายไม่ครอบงำข้าพเจ้า


      ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก
      ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก ท่านภารทวาชะประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจะเห็นรูปได้ ฉะนั้น
      ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ขอท่านภารทวาชะจงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเถิด ฯ



จบสูตรที่ ๔



การเจริญปฏิบัติในพระสูตรนี้ต้องอาศัย ความเพียรชอบ คือ
สัมมัปปธาน ๔ (การทำความเพียรชอบ ๔ ประการดังนี้)


ปธาน ๔ อย่าง

๑. สังวรปธาน [เพียรระวัง]
๒. ปหานปธาน [เพียรละ]
๓. ภาวนาปธาน [เพียรเจริญ]
๔. อนุรักขนาปธาน [เพียรรักษา]

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สังวรปธานเป็นไฉน

- ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์
- ฟังเสียงด้วยโสตแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมโสตินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้นชื่อว่ารักษาโสตินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในโสตินทรีย์ ฯ
- ดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมฆานินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาฆานินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในฆานินทรีย์ ฯ
- ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมชิวหินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาชิวหินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในชิวหินทรีย์ ฯ
- ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมกายินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษากายินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในกายินทรีย์ ฯ
- รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สังวรปธาน ฯ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ปหานปธาน เป็นไฉน

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
- ย่อมไม่รับไว้ซึ่งกามวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละเสีย บรรเทาเสีย ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มี
- ย่อมไม่รับไว้ซึ่งพยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละเสีย บรรเทาเสีย ทำให้สิ้นไปให้ถึงความไม่มี
- ย่อมไม่รับไว้ ซึ่งวิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละเสีย บรรเทาเสีย ทำให้สิ้นไปให้ถึงความไม่มี
- ย่อมไม่รับไว้ซึ่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วๆ ย่อมละเสีย บรรเทาเสีย ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มี ผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่าปหานปธาน ฯ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ภาวนาปธาน เป็นไฉน

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
- ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยความสงัด อาศัยความคลายกำหนัด อาศัยความดับน้อมไปเพื่อความสละลง
- ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยความสงัด อาศัยความคลายกำหนัด อาศัยความดับอันน้อมไปเพื่อความสละลง
- ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์อันอาศัยความสงัด อาศัยความคลายกำหนัด อาศัยความดับ อันน้อมไปเพื่อความสละลง
- ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยความสงัด อาศัยความคลายกำหนัด อาศัยความดับ อันน้อมไปเพื่อความสละลง
- ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยความสงัด อาศัยความคลายกำหนัด อาศัยความดับ อันน้อมไปเพื่อความสละลง
- ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยความสงัด อาศัยความคลายกำหนัด อาศัยความดับอันน้อมไปเพื่อความสละลง
- ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์อันอาศัยความสงัดอาศัยความคลายกำหนัด อาศัยความดับ อันน้อมไปเพื่อความสละลงผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ภาวนาปธาน ฯ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อนุรักขนาปธาน เป็นไฉน

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมตามรักษาสมาธินิมิตอันเจริญที่บังเกิดขึ้นแล้วคือ
- อัฏฐิกสัญญา กำหนดหมายกระดูก
- ปุฬุวกสัญญา กำหนดหมายหมู่หนอนไชศพ
- วินีลกสัญญา กำหนดหมายศพขึ้นพองเขียว
- วิจฉิททกสัญญา กำหนดหมายศพที่เป็นท่อนๆ
- อุทธุมาตกสัญญา กำหนดหมายศพขึ้นอืด

ผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่า อนุรักขนาปธาน ฯ


ขอขอบคุณ สัมมัปปธาน ๔ ที่มาจาก http://www.84000.org/tipitaka/read/byit ... &preline=0


ขอขอบคุณ ภารทวาชสูตร ที่มาจาก..

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘  บรรทัดที่ ๒๙๐๔ - ๒๙๘๑.  หน้าที่  ๑๒๕ - ๑๒๘.
 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=18&A=2904&Z=2981&pagebreak=0
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=18&i=195
             สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘
http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๑๘
http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_18

23  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / แนวกรรมฐาน ของผู้ศึกษาธรรม ชั้นนวกะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 08:32:45 am

แนวกรรมฐาน ของผู้ศึกษาธรรม ชั้นนวกะ


ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ และ แนวทางวิถีแห่งการปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายทั้งปวงที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายผู้เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าได้สั่งสอนชี้แนะไว้ มี หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร พระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระราชพรหมญาณ(หลวงพ่อฤๅษีฯ) หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่นิล มหันตปัญโญ(ครูอุปัชฌาย์ท่านแรกที่บวชให้แก่ผม) พระครูสุจินต์ธรรมวิมล(ครูอุปัชฌาย์ท่านที่สองที่บวชให้แก่ผม) และ พระอาจารย์สนธยา ธัมมวังโส(ผมขออนุญาตพระอาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ของผมอีกท่านหนี่ง โดยการด้วยขอด้วยการตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึง) ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน และ แนวทางวิถีปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายของครูบาอาจารย์ผู้เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทุกท่านตามที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้น ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง แนวกรรมฐาน ของผู้ศึกษาธรรม ชั้นนวกะ ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้


กรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๑ ว่าด้วย "ความศรัทธา"

ท่านใดที่จะมาเจริญปฏิบัติในพระพุทธศาสนานี้ ต้องทีศรัทธาก่อน ศรัทธา คือ อะไร

ศรัทธา  คือ  ความเชื่อ  หมายถึงเฉพาะ  ศรัทธาที่เชื่อด้วยปัญญา  เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ  เชื่อด้วยเหตุผล  ถ้าเชื่อโดยปราศจากปัญญา  เรียกว่า  อธิโมกข์ ( ความน้อมใจเชื่อ หรือ เชื่อตามเขา )
       ประเภทของศรัทธา มี ๔ ประเภท คือ
           ๑. กัมมสัทธา    เชื่อกรรม
           ๒. วิปากสัทธา   เชื่อผลของกรรม
           ๓. กัมมัสสกตาสัทธา  เชื่อความที่สัตว์โลกมีกรรม เป็นของ ๆ ตน
           ๔. ตถาคตาโพธิสัทธา  เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ดังนั้นแล้วก่อนอื่นใด ให้เรามีจิตตั้งมั่นในศรัทธา เพื่อความมีเจตตั้งมั่นในการเจริญปฏิบัติกรรมฐานดังนี้
- ศรัทธา ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อในพระพุทธเจ้า
- ศรัทธาพระธรรมคำสอนและแนวทางปฏิบัติที่เป็นเครื่องออกจากทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
 (เมื่อเราเชื่อด้วยปัญญาและรู้แล้วว่า ไม่ว่าเราจะกระทำสิ่งใดไว้ เป็นบุญ หรือ เป็นบาป เราย่อมเป็นทายาท คือว่าเราจะได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป
   และ ด้วยศรัทธาที่มีต่อพระพุทธเจ้า เราก็ต้องศรัทธาในพระธรรมคำสอนและแนวทางปฏิบัติที่เป็นเครื่องออกจากทุกข์ทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เป็นทางเพื่อออกจากทุกข์ได้จริง)

- เมื่อเรามีความเชื่อเช่นนี้แล้ว จิตเราย่อมมีเจตนาตั้งมั่นแน่วแน่ที่จะปฏิบัติเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์ทั้งสิ้นนี้


กรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๒ ว่าด้วย "ทำไมทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้"
ผู้ใดก็ตามแต่ที่จะเจริญกรรมฐานในพระพุทธศาสนานี้ หากไม่กำหนดรู้ทุกข์แล้ว ย่อมปฏิบัติได้ยาก ที่กล่าวเช่นนี้ ด้วยเหตุผลเพราะ
- เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ ก็จะไม่รู้จักตัวตนของทุกข์ อาจจะเป็นผู้ที่มีแต่ความสุขอยู่แล้ว แม้จะเคารพในพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่รู้จุดหมายของการปฏิบัติกรรมฐาน และ ไม่รู้ว่าจะพ้นทุกข์ไปถึงนิพพานที่เป็นบรมสุขเพื่ออะไร เพราะที่เป็นอยู่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว  (นี่เป็นเหตุให้เกิดความลังเลสงสัย เสื่อมศรัทธา ไม่มีความตั้งใจในการปฏิบัติ)
-  เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ เราก็จะเกิดแต่ตัณหา อุปาทาน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตัวตนอันน่าใครปารถนาไปหมด เหมือนคนที่มีแต่ความสุขอยู่แล้ว เมื่อไม่กำหนดรู้ทุกข์ก็ย่อมไม่เห็นว่าความทุกข์เป็นเช่นไร ที่ตนมีอยู่ก็เป็นสิ่งสัมผัสได้แตะต้องได้มีตัวตนจริงๆ จะต้องสละแล้วดิ้นรนไปให้ลำบากไปทำไม (นี่เป็นเหตุให้เกิดความความยึดมั่น ถือมั่น เป็น อุปาทานทั้งปวง)
- เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ เราก็จะไม่รู้จัก คุณ และโทษ ในสิ่งที่เราเสพย์เสวยอารมณ์ใดๆ หรือ สิ่งใดๆอยู่นั้น
- เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ ก็จะไม่รู้จักความเบื่อหน่ายที่เป็น นิพพิทา คือ ความหน่ายที่เกิดขึ้นจากปัญญาพิจารณาเห็นความจริง จึงมีความเบื่อหน่ายในกองทุกข์ ,ความหน่ายจากการไปรู้เห็นความจริงในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ หรือความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์ ที่ไม่รู้วันจบ,ไม่รู้วันสิ้น  จึงเป็นความหน่ายที่ประกอบด้วยปัญญา  จึงย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับความเบื่อหน่ายโดยทั่วๆไปหรือในทางโลกหรืออย่างโลกิยะ ที่ย่อมประกอบด้วยตัณหา
- เมื่อเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ เราก็จะไม่รู้จักดน้อมพิจารณาในธรรม ทำให้ไม่เห็นสาเหตุที่ทำให้เรานั้นเกิดความทุกข์ทาง กาย และ ใจ เป็นเหตุให้ ไม่รู้สมุทัย คือ ไม่รู้สิ่งที่ควรละ เป็นเหตุให้ไม่รู้แจ้งถึงความดับทุกข์ และ ทางดับทุกข์ที่ควรเจริญปฏิบัติให้มาก


กรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๓ ว่าด้วย "ทุกข์ เราควรกำหนดรู้อย่างไร"

การกำหนดรู้ทุกข์ในชั้นนวกะนี้ มีวิธีกำหนดดังนี้

1. มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ หรือ จะหวนระลึกถึงอารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆ เรื่องไรๆ ที่เราได้พบเจอมาได้เสพย์อารมณ์สิ่งนั้นๆมา โดยพิจารณาแยกแยะให้เห็นว่า สิ่งที่เรานั้นกำลังเกิดความปารถนายินดีใคร่ได้ต้องการที่จะเสพย์อยู่นี้ เรามีความรู้สึกอย่างไร เป็นสุข หรือ ทุกข์  หากเมื่อเราเสพย์มันเข้าไปแล้วมันจะให้คุณ หรือ ให้โทษ เป็นประโยชน์สุขกับเราและบุคคลรอบข้างแค่ไหนหรือกลับส่งผลเสียให้เราและบุคคลรอบข้าง มันให้คุณหรือโให้ทษมากกว่ากัน
2. มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ ว่าสิ่งที่เรากำลังเสพย์อยู่นี้ เรามีความรู้สึกอย่างไร เป็นสุข หรือ ทุกข์  ให้คุณ หรือ โทษ ในขณะที่เสพย์อยู่นี้ มันทำให้หายป่วยไข้ ทำให้หายหิวข้าว ทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแจ่มใสเบิกบาน แข็งแรง มีแต่กุศลธรรมในกายและใจไหม หรือ เมื่อเสพย์แล้วมันทำให้เกิดความติดใจเพลิดเพลินยินดี ปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์เพิ่มเติมไหม เมื่อได้เสพย์สมใจปารถนาแล้วเกิดความสูญเสียทั้ง เงิน สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บป่วยไข้ สภาพจิตใจไม่ปกติมีความร้อนรุ่มร้อนรนกายและใจ อัดอัดคับแค้นกายและใจ จิตใจเศร้าหมอง สูญเสียครอบครัวคนรัก เสียงาน ละเลยหน้าที่ๆควรทำ ละเลยสิ่งที่ต้องดูแล
3. มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ ว่าหลังจากที่เราได้เสพย์สมอารมณ์ที่ใครปารถนานั้นแล้ว เรามีความรู้สึกอย่างไร เป็นสุข หรือ ทุกข์  ให้คุณ หรือ โทษ ในขณะที่เสพย์อยู่นี้ มันทำให้หายป่วยไข้ ทำให้หายหิวข้าว ทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแจ่มใสเบิกบาน แข็งแรง มีแต่กุศลธรรมในกายและใจไหม หรือ เมื่อเสพย์แล้วมันทำให้เกิดความติดใจเพลิดเพลินยินดี ปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์เพิ่มเติมไหม เมื่อได้เสพย์สมใจปารถนาแล้วเกิดความสูญเสียทั้ง เงิน สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บป่วยไข้ สภาพจิตใจไม่ปกติมีความร้อนรุ่มร้อนรนกายและใจ อัดอัดคับแค้นกายและใจ จิตใจเศร้าหมอง สูญเสียครอบครัวคนรัก เสียงาน ละเลยหน้าที่ๆควรทำ ละเลยสิ่งที่ต้องดูแล
4 หากสิ่งนี้ๆเราได้เคยเสพย์มาก่อนแล้ว ก่อนที่เราเข้าไปร่วมเสพย์อารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆ ให้เราเจริญพิจารณาดังนี้
- หวนระลึกพิจารณาถึง สภาพ รูป สี เสียง กลิ่น รส การกระทบสัมผัสทางกาย กระทบสัมผัสทางใจ  ที่เราเคยได้เสพย์อารมณ์นั้นๆมาแล้วในกาลก่อน  ว่ามันมีสภาพอย่างไร เป็นสุข หรือ ทุกข์  ให้คุณ หรือ โทษ  และ หลังจากที่ได้เสพย์มันแล้วมีผลลัพธ์เช่นไร เป็นสุข หรือ ทุกข์  ให้คุณ หรือ โทษ  เช่น มันทำประโยชน์สุขให้เราแค่ไหน มากเท่าใด ทำให้หายป่วยไข้ ทำให้หายหิวข้าว ทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแจ่มใสเบิกบาน แข็งแรง มีแต่กุศลธรรมในกายและใจไหม หรือ ผลลัพธ์อันเกิดจากหลังที่ได้เสพย์มันแล้วเกิดความสูญเสียทั้ง เงิน สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บป่วยไข้ สภาพจิตใจไม่ปกติมีความร้อนรุ่มร้อนรนกายและใจ อัดอัดคับแค้นกายและใจ จิตใจเศร้าหมอง สูญเสียครอบครัวคนรัก เสียงาน ละเลยหน้าที่ๆควรทำ ละเลยสิ่งที่ต้องดูแล
- มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ หรือ หวนระลึกพิจารณาว่า ก่อนที่เราจะเสพย์ในอารมณ์นั้นๆ สิ่งนั้นๆ สภาพอาการความรู้สึกทางกายและใจของเรานั้นแจ่มใสเบิกบาน มีกาย วาจา ใจ เป็นกุศลมีปกติจิตเป็นสุขยินดี มีสติยั้งคิด รู้แยกแยะดีชั่วไหม
- มีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ หรือ หวนระลึกพิจารณาว่า เมื่อเราได้เสพย์ในอารมณ์นั้นๆ สิ่งนั้นๆ แล้ว หรือ หลังจากที่ได้เสพย์ในอารมณ์นั้นๆ สิ่งนั้นๆ สภาพอาการความรู้สึกทางกายและใจของเรานั้นเป็นเหมือนก่อนที่จะได้เสพย์ไหม


กรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๔ ว่าด้วย "ทุกข์ เราได้กำหนดรู้แล้วเป็นอย่างไร

เมื่อเราได้กำหนดรู้ทุกข์แล้ว ผลอานิสงส์ที่เราจะได้รับหลังจากที่ได้กำหนดรู้ทุกข์แล้วนั้นมีเบื้องต้นดังนี้

1. เห็นคุณประโยชน์ และ โทษ ในอารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆ ที่เราได้กำหนดรู้ทุกข์แล้วนั้น
2. เกิดความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นจากปัญญาพิจารณาเห็นความจริงใน อารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆ ที่เราได้กำหนดรู้ทุกข์แล้วนั้น
3. มีการหวนระลึกพิจารณาวิเคราะห์ลงในธรรมถึงเสาเหตุที่ทำให้ก่อเกิดความทุกข์เมื่อรู้กระทบสัมผัสในอารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆเหล่านั้น เป็นเหตุให้รู้เห็นเหตุแห่งทุกข์ตามจริง
4. ทำให้รู้ถึงสิ่งที่ควรละเพื่อถึงความดับทุกข์ พร้อมเห็นตามจริงถึงทางดับทุกข์อันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้ว
5. ทำให้เรานั้นเกิดเจตนาอันมีจิตตั้งมั่นแน่วแน่ที่จะปฏิบัติ สัดับฟัง ค้นคว้าศึกษา โดยความไม่ย่อท้อ

กรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๕ ว่าด้วย "การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงกุศลธรรมทั้งปวง และ ให้ถึงซึ่งทางแห่งการพ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน


- เมื่อเรารู้ทุกข์แล้ว รู้สมุทัยแล้ว เราจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่ว่า ขณะนั้นที่เราเข้าไปเสพย์อารมณ์ใดๆ หรือ สิ่งใดๆ เหล่านั้นมันเป็นกุศลธรรม หรือ อกุศลธรรม
- เมื่อมีจิตเป็นกุศล เราย่อมไม่น้อมนำเอาสิ่งไรๆที่ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์สุขยินดี ต่อตนเองและผู้อื่นมาพึงกระทำทาง กาย วาจา ใจ
- เมื่อมีจิตเป็นอกุศล เราย่อมเพิกเฉยต่อกุศลธรรมใดๆ และพร้อมกันนั้นก็เกิดความใคร่ปารถนายินดีที่จะเสพย์ในอารมณ์ใดๆ สิ่งใดๆ แม้รู้ว่ามันเป็นโทษไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ก็ตาม
- ด้วยเหตุอย่างนี้ๆ พระพุทธเจ้าจึงสั่งสอนชี้แนะให้เราเจริญปฏิบัติในสิ่งที่เป็นกุศล และ กุศลจิต กุศลกรรมใดๆ มีความไม่ร้อนรุ่ม ร้อนรนใจด้วยกิเลสเป็นอานิสงส์ ซึ่งหนทางแห่งกุศลจิตที่เราจะพึงเห็นได้และปฏิบัติได้เป็นเบื้องต้นมีดังนี้


1. ศีล คือ ทางปฏิบัติเพื่อความเป็นให้แห่งกุศลทาง กาย และ วาจา เป็นหลัก ให้พึงระลึกว่า หากมีคนมากระทำการใดๆที่ผิดในข้อศีลที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ มีศีล ๕ เป็นเบื้องต้น เราจะรู้สึกดีไหม ยกตัวอย่างเช่น
- หากมีใครมาคิดปองร้ายหมายเอาชีวิตเรา เราจะชอบใจ พอใจยินดี มีความสุขกาย สุขใจ แจ่มใส เบิกบานไหม
- หากมีใครมาลักขโมยเอาสิ่งของที่มีค่าหวงแหนของเรา สิ่งของที่เราไม่ได้ให้ เราจะชอบใจ พอใจยินดี มีความสุขกาย สุขใจ แจ่มใส เบิกบานไหม
- หากมีใครมากระทำผิดหรือล่วงละเมิดใดๆต่อบุคคลที่เรารัก เราจะชอบใจ พอใจยินดี มีความสุขกาย สุขใจ แจ่มใส เบิกบานไหม
- หากมีใครมากล่าววาจาด่าทอ ส่อเสียด ยุยงให้ร้าย ไม่มีความเคารพให้เกียรติต่อเรา เราจะชอบใจ พอใจยินดี มีความสุขกาย สุขใจ แจ่มใส เบิกบานไหม
- หากเมื่อเราได้ดื่มสุรายาเมาแล้วทำให้หมดที่ต้องใช้จ่ายหมดไปไม่พอใช้ ต้องไปหยิบยืมเขามาใช้แทน ไม่มีเงินช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว ไม่มีเงินใช้ในยามฉุกเฉิน เสียงาน เสียสุขภาพ เรี่ยวแรงกายใจอ่อนล้า สูญเสียสิ่งที่เป็นครอบครัว หรือ อาจจะไปกระทำผิดไรๆที่ทำให้เกิดความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีก เกิดความพรัดพราก อยู่ด้วยความร้อนรุ่มร้อนรนกายใจ เราจะชอบใจ พอใจยินดี มีความสุขกาย สุขใจ แจ่มใส เบิกบานไหม หรือ เมื่อ ลูก เมีย สามี พี่ น้อง พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรากินแต่เหล้าอยู่ในสภาพที่เมามายขาดสติยั้งคิดอยู่เป็นประจำ เราจะเอือมระอา และ รังเกลียดไหม หรือ จะเป็นสุขพอใจยินดี
- เมื่อเราไม่ชอบที่จะประสบพบเจอในสิ่งนี้ๆอย่างไร ก็อย่าไปกระทำต่อตนเองและผู้อื่นแบบนั้น ผลอานิสงส์ที่จะได้รับคือ ความไม่ร้อนรุ่มร้อนรนกายใจ ไม่เดือนเนื้อร้อนกายร้อนใจ มีจิตแจ่มใสชื่นบานเป็นสุข อยู่หรือไปสู่ที่ใดๆก็เป็นสุขแจ่มใจเบิกบาน

**ก็แลเมื่อเจริญปฏิบัติในศีลแล้ว ให้พึงระลึกถึงศีลข้อใดอันที่เราปฏิบัติมาดีแล้ว ไม่ขาด ไม่ทะลุ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ดีแล้วในแต่ละวัน เอามาเป็นที่ตั้งแห่งจิต พึงเจริญระลึกอยู่เป็นอารมณ์เช่นนี้เป็นประจำ จะเข้าสู่อุปจาระฌาณได้ป็นอย่างต่ำ นี่คือ "สีลานุสสติกรรมฐาน" ผู้ที่ไม่มีศีลจะไม่สามารถระลึกได้**


2. ทาน คือ การสละให้ เป็นการรู้จักสละให้ผู้อื่นด้วยความปารถนาดี มีความเอื้อเฟื่ออนุเคราะห์แบ่งปันสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น หวังให้ผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์สุขจากการให้นั้นของเราด้วยจิตที่ยินดีเมื่อเขาได้รับสุขจากการให้นั้นของเรา

**ก็แลเมื่อเจริญปฏิบัติในทานแล้ว ให้พึงระลึกถึงทานใดๆอันที่เราปฏิบัติมาดีแล้ว งดงามเป็นกุศล ทั้งเมื่อก่อนให้ ขณะให้ และ หลังให้ หรือให้ด้วยจิตที่เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา บริสุทธิ์ บริบูรณ์ดีแล้วในแต่ละวัน เอามาเป็นที่ตั้งแห่งจิต พึงเจริญระลึกอยู่เป็นอารมณ์เช่นนี้เป็นประจำ จะเข้าสู่อุปจาระฌาณได้ป็นอย่างต่ำ นี่คือ "จาคานุสสติกรรมฐาน" ผู้ที่ไม่มีกุศลทานจะไม่สามารถระลึกได้**


3.พรหมวิหาร ๔ คือ ทางปฏิบัติเพื่อความเป็นให้แห่งกุศลทาง ใจ เป็นหลัก ให้พึงเจริญระลึกทางใจเบื้องต้นอย่างนี้คือ
- เมตตาพรามหวิหาร ๔  คือ ความปารถนาดีต่อผู้อื่น ด้วยจิตที่ปารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
- กรุณาพรามหวิหาร ๔  คือ ความรู้จักเอื้อเฟื้อ ประสงค์ที่จะอนุเคราะห์ แบ่งปัน ให้แก่ผู้อื่น ด้วยจิตที่ปารถนาให้ผู้อื่นได้พ้นทุกข์
- มุทิตาพรามหวิหาร ๔  คือ ความมีจิตยินดีเมื่อผู้อื่นเป็นสุข  มีจิตยินดีเมื่อผู้อื่นพ้นจากทุกข์ได้ประสบสุขแล้ว ด้วยจิตที่ไม่ติดใจ ไม่ขัดเคืองใจไรๆ
- อุเบกขาพรามหวิหาร ๔ คือ มีความรู้จักวางใจไว้กลางๆไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดีและ ไม่พอใจยินดีมาเป็นอารมณ์ที่ตั้งแห่งจิต ด้วยจิตที่รู้ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามผลแห่งกรรม คือ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำใดๆของตนเองไม่ว่าจะเมื่อกาลก่อนหรือปัจจุบันขณะนี้ จะเป็นกุศล หรือ อกุศลใดๆก็ตามแต่ เราย่อมเป็นทายาท คือว่าเราจะได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป

วิธีการเจริญปฏิบัติให้เริ่มที่ เมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต เป็นหลักก่อนโดยปฏิบัติดังนี้

๑. เจริญเข้าสู่สมาธิก่อน ไม่ว่าจะนั่งสมาธิอยู่ จะลืมตา หรือ หลับตา หรือ กำลังเดำเนินไปมในอิริยาบถใดๆก็ตามแต่ เมื่อหายใจเข้า-ออก ให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ไกลขจากกิเลส คือ ปราศจากกิเลส ตัณหา กาม ราคะ โทสะ โมหะ ทั้งปวง

๒. ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ที่มีพระเมตตตา ที่ปารถนาดีหวังให้ สัตว์โลก มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ทั้งหลายได้พ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ แล้วน้อมจิตเราให้เกิดความเมตตาจิตแผ่ซ่านไปทั่ว

๓. ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ที่มีพระกรุณาของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ มีพระกรุณา ดุจห้วงมหรรนพมีความอนุเคราะห์ให้แก่หมู่สัตว์ มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ทั้งหลาย แล้วน้อมจิตเราให้เกิดความกรุณาจิตแผ่ซ่านอนุเคราะห์แบ่งปันไปทั่ว โดยระลึกเอาบุญใดที่เรากราบไหว้อยู่ซึ่งพระรัตนะตรัยนี้ บุญใดที่เราได้เจริญปฏิบัติกรรมฐานทั้งปวงนี้ บุญใดที่กระทำมาแล้วแม้ในกาลก่อน และ ปัจจุบันนี้ แบ่งปัน อนุเคราะห์ให้แก่หมู่สัตว์ มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ทั้งหลาย เพื่อให้เขาได้พ้นจากทุกข์ด้วยการเจริญจิตขึ้นเป็น ทาน คือ การสละให้ ไม่มีความหวงแหนยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอันใดที่ตนมีอยู่เป็นอยู่ เป็นการสละให้ด้วยจิตปารถนาให้เขาได้พ้นทุกข์ และ ได้ใช้ประโยชน์สุขจากสิ่งที่เราสละให้นั้นของเรา

๔. ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ที่มีพระมุทิตา ที่มีความเป็นสุขยินดีเมื่อเห็นหมู่สัตว์ มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ทั้งหลาย ได้พ้นจากทุกข์  แล้วน้อมจิตเราให้เกิดความมุทิตาจิตแผ่ความมีจิตยินดีที่เห็นผู้อื่นได้พ้นทุกข์ หรือ ได้มี เมตตา กรุณา อนุเคราะห์ช่วยเหลือให้เขาได้พ้นทุกข์ด้วยการแผ่เมตตาความปารถนาดีหวังให้เขาได้เป็นสุข มีความอนุเคราะห์แบ่งปันด้วยการนำเอาบุญใดที่เรากราบไหว้อยู่ซึ่งพระรัตนะตรัยนี้ บุญใดที่เราได้เจริญปฏิบัติกรรมฐานทั้งปวงนี้ บุญใดที่กระทำมาแล้วแม้ในกาลก่อน และ ปัจจุบันนี้ แบ่งปัน อนุเคราะห์ให้แก่หมู่สัตว์ มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ทั้งหลาย เพื่อให้เข้าได้พ้นจากทุกข์นี้แผ่ซ่านไปทั่ว

** นี่เป็นการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พร้อมน้อมนำเอาธรรมและกิตติศัพท์อันงามของพระพุทธเจ้ามาน้อมเจริญปฏิบัติ เมื่อทำเป็นปกติประจำทุกปวัน ย่อมเข้าถึงอุปจาระฌาณได้เป็นอย่างต่ำ เป็นการเจริญปฏิบัติใน "พุทธานุสสติกรรมฐาน" ผู้ที่ไม่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าจะไม่สามารถเจริญปฏิบัติในข้อนี้ได้**

๕. เจริญบทสวดมนต์แผ่เมตตาให้ตนเองก่อน เพื่อให้ตนเองมีกำลังเมตตาหรือบารมีมากพอจะแผ่ไปให้คนอื่น แล้วค่อยแผ่เมตตาให้อื่นต่อไป โดยพึงเจริญเหมือนพ่อแม่ที่มีบุตรคนเดียวที่ให้ความรักใคร่ปารถนาอยากให้ลูกเป็นสุข พ้นจากทุกข์ ยินดีเมื่อลูกได้พ้นทุกข์ประสบสุข

วิธีการระลึกจิตแผ่เมตตานั้น ดูได้ตาม Link ข้างล่างนี้ครับ  http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=8226.0  หรือ  http://www.thammaonline.com/15097.msg17168

๖. เมื่อได้แผ่ เมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต ไปแล้ว เราต้องรู้วาวงใจไว้กลางๆ ไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีมาเป็นที่ตั้งแห่งจิต ด้วยพิจารณาเห็นว่าสิ่งที่เราได้อนุเคราะห์แบ่งปันให้เขาไปนั้น จะช่วยเขาได้มากน้อยแค่ไหน เราก็อย่าไปติดข้องใจไรๆ ด้วยถือว่าได้อนุเเคราะห์ช่วยเหลือเขาแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรต่อไปก็อยู่ที่ กรรม และ วิบากกรรมของเขาที่ได้มีได้กระทำมาในกาลก่อน หรือ ปัจจุบันนี้ของเขา ้พราะไม่ว่า สัตว์ใด บุคคลใด ย่อมมีกรรม คือ การกระทำโดยเจตนาไรๆนั้นเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัย ไม่ว่าคนใดหรือสัตว์ใดจะกระทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป จะต้องเป็นทายาท คือว่าจะได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป
- เมื่อเจริญเมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต เป็นประจำทุกวัน จนจิตที่เป็นเมตตามีกำลังมากแล้ว ให้เจริญเข้าสู่การแผ่ไปแบบไม่มีประมาณเป็นเมตตาฌาณ  คือ เจโตวิมุตติ แผ่ไปใน 10 ทิศ คือ ทิศเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องเฉียง เบื้องบน เบื้องล่าง เป็นการปฏิบัติธรรมในกรรมฐานกอง พรหมวิหาร ๔ กรรมฐาน

4. ขันติ คือ ความทนได้ทนไว้ มีความอดทนอดกลั้น มีสภาพจิตที่รู้จักปล่อย รู้จักละ รู้จักวาง ไม่ติดข้องใจกับสิ่งไรๆ สิ่งที่ใช่ปฏิบัติควบคู่กับขันติ คือ โสรัจจะ หรือ การสำรวมระวังใน ศีล พรหมวิหาร ๔  และ ทาน นั้นเอง

5. สมาธิ คือ ความมีจิตตั้งมั่นจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานซึ่งเอื้อประโยชน์แก่การเจริญปฏิบัติในข้อที่ 1-4 ข้างต้นนั้น ด้วยมีความรู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบันขณะว่ากำลังกระทำสิ่งใดๆอยู่และมีความระลึกรู้อารมณ์ความรู้สึกความปรุงแต่งนึกคิดเท่าทันก่อนจะกระทำสิ่งไรๆทาง กาย วาจา ใจ ออกไป

การทำสมาธินี้ที่เราพอจะรู้กันดี เข้าใจง่ายและให้ผลได้ไม่จำกัดกาลคือ

1. อานาปานนสติ รู้ลมหายใจเข้า-ออก สั้น-ยาวก็รู้ ตามรู้ลมหายใจเข้าออกไปหยั่งนั้นไม่ส่งจิตออกนอก หากเมื่อส่งจิตออกนอกไปตรึกนึกคิดเรื่องราวใดๆก็ให้รู้ว่ากำลังคิด คิดกุศล หรือ อกุศล  (เพราะไม่ว่าจะคิดเรื่องใดๆสิ่งใดๆมันก็เป็นสมาธิหมดขึ้นอยู่แต่ว่ามันเป็นกุศลดีงามและมีกำลังมากพอที่ทำให้จิตตั้งมั่นและเอื้อแก่สติไหมเท่านั้น หากจิตที่วิตกตรึกนึกนั้นเป็นไปในกุศลจิตใจเราย่อมไม่ถูก กาม ราคะ โทสะ โมหะ กลุ้มรุม ย่อมสงบรำงับจากกิเลสทั้งปวง หากจิตที่วิตกตรึกนึกนั้นเป็นไปในอกุศลจิตใจเราย่อมถูกบดบังด้วย กาม ราคะ โทสะ โมหะ กลุ้มรุม ทำให้ลุ่มหลงอยู่ ไม่รู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบันขณะ ไม่มีความระลึกรู้เท่าทันสภาพจิตตน แต่หากเป็นผู้ที่อยรมในสัมปชัญญะมาดีแล้วจะมีความรู้กายรู้ใจรู้ปัจจุบันขณะของตนที่กำลังดำเนินไปอยู่แล้วดึงกลับมาเข้าสมาธิอันเป็นกุศลได้)
หากกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ด้วยพุทธานุสสติ คือ พุทโธ ให้รู้ว่าพุทธโธนี่คือ ชื่อพระพุทธเจ้า พุทโธ คือ พระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณ เราจักระลึกถึงพระพุทธเจ้าทุกลมหายใจเข้าออก ก็ให้กำหนดระลึกรู้ลมหายใจไปเรื่อยๆไม่ต้องหวังไม่ต้องไปคิดไม่ต้องไปรู้สิ่งไรๆมาก ให้รู้ลมหายใจเข้าระลึกบริกรรมว่า พุทธ หายใจออกระลึกบริกรรมว่า โธ ไปเรื่อยๆจนกว่า พุทโธ จะกลายเป็นลมหายใจเข้า-ออก

2. กสิน คือ การเพ่ง โดยเพ่งในรูปที่มีลักษณะสีและแสงตามที่มีบัญญัติไว้แทนรูปธาตุใดๆตามใน กสิน ๑๐ ให้พิจารณาเพ่งเพื่อให้เห็นโทษในกามคุณ ๕ เท่านั้น เพ่งด้วยจิตที่ปารถนาเพื่อจะเข้าถึงความจริงตามสภาพจริง โดยไม่ใช่ใครปารถนาเอา อภิญญา วิธีการเพ่งให้เพ่งตามที่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านที่ท่านสอนมา อย่างสายพระราชพรหมญาณท่านสอนให้เพ่งรูปพระพุทธเจ้า แล้วดึงเอารูปพระพุทธเจ้านั้นมาเป็นกสินนิมิตนี่ก็เรียกกสินโดยพุทธานุสสติ

3. อุปสมานุสสติ คือ ระลึกถึงพระนิพานเป็นอารมณ์ ให้ดึงเอาคุณสมบัติของพระนิพพานคือ ความว่างจากกิเลส หมดสิ้นจากกิเลส นั่นคือ สภาพจิตที่เป็นอุเบกขา เช่น อุเบกขาในองค์ฌาณ ระลึกเอาสภาพนั้นเป็นอารมณ์ หากยังไม่ชินหรือจิตชินกับอานาปานสติมาก ก็สามารถระลึกเข้าประกอบกับลมหายใจได้เช่น หายใจเข้าระลึกบริกรรมว่า ว่าง หายใจออกระลึกบริกรรมว่า หนอ เป็นต้น

4. เมื่อเราส่งจิตออกนอกระส่ำระส่ายไม่เป็นสมาธิมีทางแก่ดังนี้
    4.1 ตามดุมัน โดยพึงระลึกรู้ว่าจิตส่งออกนอก ดึงสติขึ้นแลดูในสภาพที่มันตรึกนึกคิดนั้นว่ามันเป็นไปอย่างไร คือเพียงแค่ตามดูเท่านั้น การตามดูนี้คนบางกลุ่มที่ปฏิบัติหากเขาไม่สามารถดึงสัมปชัญญ+สติขึ้นมาให้มีสภาพแค่แลดูแนบไปกับความปรุงแต่งนั้นได้ เขาจะเห็นว่าการตามดูนั้นเป็นแค่เรื่องพื้นๆ และ เมื่อเขาเหล่านั้นรู้สภาพธรรมใดๆความปรุงแต่งนั้นก็จะดับไปทันที ทำให้ไม่เห็นถึงเหตุปัจจัยของสภาวะธรรมนั้นๆ ซึ่งที่จริงแล้วการตามดูนี้เป็นการดึงเอาสติ+สัมปชัญญะขึ้นมา ระลึกรู้และรู้ตัวทั่วพร้อมขึ้นแลดูความปรุงแต่งแห่งสังขารแนบดูตามความปรุงแต่งนั้นไปด้วยกำลังที่พดอเหมาะ ทำให้เราเห็นทั้งความปรุงแต่งและเกิดปัญญาญาณที่รู้ว่า จิตกับสังขารมันแยกกันอย่างไรมันทำหน้าที่ต่างกันยังไง คำว่าเกิดดับทีละขณะเป็นไฉน จะเข้าไปรู้ในตรงนี้ด้วยความเห้นตามจริงอันตัดจากความนึกคิดที่เรียกว่า ยถาภูญาณทัสสะ เช่น
- ขณะที่รับรู้อารมณ์ใดๆทาง สฬายยตนะ เมื่อแรกที่รู็มันจะยังเป็นเพียงสภาพที่ยังไม่มีบัญญัติใดๆทั้งสิ้น
- ขณะที่สังขารปรุงแต่งเรื่องราวใดๆ ขณะแรกนั้นจิตมันยังไม่เขาไปรู้เรื่องราวที่คิดนั้น
- เมื่อความที่ปรุงแต่งเรื่องราวดับไปขณะหนึ่ง ความที่จิตเข้าไปรู้เรื่องราวที่ปรุงแต่งนั้นก็เกิดขึ้น ต่อมาก็เกิดบัญญัติตามมา
- เมื่อจิตรู้บัญญัติ ความหวนระลึกถึงความจำได้จำไว้ในสิ่งที่ตรึกนึกอยู่นั้นก็เกิดขึ้น
- เมื่อสัญญาเกิดแจ้งขึ้นแก่จิต ในขณะนั้นจิตน้อมไปหาความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีทางใดๆที่เกิดขึ้นแต่ กาม ราคะ โทสะ โมหะ ก็เกิดขึ้น แล้วก็ปรุงแต่งเรื่องราว
- ในขณะที่ปรุงแต่งเรื่องราวโดยมีจิตเข้าไปร่วมเสพย์อยู่นี้ อาการความรู้สึกใน กาม ราคะ โมสะ โมหะ ก็เกิดขึ้น
- อันนี้ก็ทำให้เห็นถึงธรรมารมณ์แล้ว จนเมื่อจิตสงบตั้งมั่นดีพอจะเห็นถึงกองขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกเป็นอย่างๆไป
    4.2 ไปเอาฌาณกับลมหายใจและพระพุทธเจ้า ให้จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ โดยพึงระลึกรู้ว่าจะตามไปเอาสามาธิกับลมหายใจเข้า และ ลมหายใจออก ค้นหาฌาณสมาธิตามลมหายใจนั้นไป หรือ หากบริกรรมพุทธโธก็ให้พึงระลึกว่าจะไปเอาฌาณกับพระพุทธเจ้าแล้วดึงจิตจดจ่อตามคำบริกรรมพุทธโธพร้อมน้อมจิตระลึกถึงพระพุทธเจ้าตามไป
    4.3 ตั้งจิตระลึกถึงความว่าง โดยไม่ต้องไปจับอารมณ์ไรๆทั้งสิ้นให้พึงระลึกถึงความว่างอันปราศจาก กาม ราคะ โทสะ โมหะ หรือ พึงระลึกถึงความว่างอันหาประมาณไม่ได้ตามดูความว่างนั้นไป
    4.4 เพ่งที่จุดสัมผัสของลม หากเป็นที่จมูกดูเมื่อมีลมผ่านเข้าผัสสะกับปลายจมูกหรือรูจมูก  หากเป็นที่อกให้พึงระลึกรู้ตามเมื่อกระบังลมเคลื่อนตัวขึ้น-ลง หากเป็นที่ท้องก็ให้ระลึกรู้ตามท้องที่ยุบ-พอง หรือ จะตามดูลมเคลื่อนตัวตั้งแต่ผ่านเข้าจมูกเคลื่อนตัวไปที่หน้าอกลงไปท้อง เมื่อหายใจออกก็ระลึกตามดูไล่ตั้งแต่ท้องเคลื่อนตัวผ่านหน้าออกออกมาจมูก
    4.5 เพ่งจุดแสง
   ก. พึงระลึกเวลาเราหลับตามันจะมืดมิดแต่จะมีจุดแสงเล็กๆกระจัดกระจายไปทั่ว ให้พึงเพ่งแสดงเล็กๆนั้นด้วยตรึกนึกว่านั่นคือจิตของเราที่กระจักดกระจายไม่รวมตัว จนเมื่อตั้งเพ่งมองในความมือนั้นโดยตรงหน้ากึ่งกลางระหว่างคิ้วดูแสงที่เล็กๆนั้นผุดขึ้นดับไปหลายๆจุดมันก็เหมือนจิตและเจตสิกนั้นแหละที่ทำให้มันกระจัดกระจายพอเมื่อเพ่งไปเมื่อเรามีจิตตั้งมั่น จิตก็จะรวมแสดงนั้นเป้นจุดเดียวเป็นวงใหญ่เท่าลูกแก้วสว่างไสวหรือจะใหญ่มากก็แล้วแต่จิตคนให้พึงดูตามดวงแก้วแห่งแสงสว่างนั้นไป จนสามารถบังคับมันเล็กใหญ่ได้แต่ไม่เข้าไปยึดมั่นในแสงนั้นเพียงเอาแสงนั้นเป็นฐาน เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่าจิตเดิมแท้นี้ ปภัสสร คือ สว่างไสว จิตก็จะดำเนินไปหาสัมมาสมาธิเอง
   ข. พึงระลึกเราถึงดวงแก้วที่ผ่องใสสว่างสงบเย็ม เปรียบดั่งใจเรานี้ที่มีความว่าง แต่เพราะอาศัยกิเลสจรมาจึงทำให้เศร้าหมองก็พึงระลึกถึงสภาพที่ดวงแก้วนั้นมือหมองมัวเพราะปกคลุมด้วยกิเลส ก็ตั้งมโนภาพปรุงแต่งไปถึงว่าเราค่อยๆขัดถูขัดเขาเอากิเลสออกดวงแก้วนั้นก็ผ่องใสสงบเน็นดังนี้

ให้เพียรเจริญปฏิบัติแนวทาง กรรมฐาน ชั้นนวกะ บทที่ ๑-๕ เป็นประจำ นี่คือพื้นฐานของการปฏิบัติกรรมฐานเท่านั้น เมื่อทำเป็นประจำผลอานิสงส์ที่ได้รับอย่างต่ำย่อมเข้าถึง การสัมรวมอินทรีย์ หรือ อินทรีย์สังวร อันเป็นทางเบื้องต้นแห่งการเข้าถึง โพงฌงค์ ๗ ได้

24  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อุบายสมาธิ เมื่อ: มกราคม 24, 2014, 03:45:09 pm
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

กราบเรียนพระอาจารย์ธัมมวังโส และ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย

ด้วยว่าผมและอาจจะมีหลายๆท่านที่ไม่สามารถจดจ่อในสมาธิได้ง่าย มีความตรึก นึก คิด ฟุ้งซ่านเป็นปกติ ด้วยจิตนี่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนอันที่เราจะไปบังคับให้มันเป็นไปดังใจได้ เราต้องหาอุบายล่อให้จิตนี้ชอบกับสมาธิ จนเกิดความจดจ่อแนบแน่นอยู่เป็นสัมมาสมาธิ ผมจึงได้คิดหาอุบายดังนี้ว่า

ให้เพ่งลม ลมหายใจเข้า และ ลมหายใจออก เพ่งให้เป็นกสิน เป็นชักการชักจูงให้จิตนี้จดจ่อกับลม

อุบายนี้เป็นเนื่องมาจาก พระตถาคตตรัสสอนเรื่องธาตุ ๖ แก่ท่านปุกกุสาติว่า

[๖๘๗] ดูกรภิกษุ ก็วาโยธาตุเป็นไฉน คือ วาโยธาตุภายในก็มี ภายนอก
ก็มี ก็วาโยธาตุภายในเป็นไฉน ได้แก่สิ่งที่พัดผันไป กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน
คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในลำไส้ ลมแล่นไป
ตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า หรือแม้สิ่งอื่นไม่ว่าชนิดไรๆ
ที่พัดผันไป กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน นี้เรียกว่าวาโยธาตุภายใน

ด้วยเหตุที่ กสิน คือ การเพ่ง เมื่อเราขักจูงให้จิตน้อมไปที่ลมด้วยอุบายว่าเพ่งกสินลม(แต่จะต่างจากกสินที่เพ่งกำหนดดูรูปให้เกิดนิมิตเล็กน้อย) จิตก็จะมีการจดจ่อกับลมมากขึ้น หลุดจากลมหายใจน้อยลง ทำให้อยู่กับลมหายใจได้นานขึ้นดังนี้
 
ซึ่งผมเองก็ได้กระทำปฏิบัติอย่างนี้มา ทำให้ทรงอารมณ์ในสมาธิกับลมหายใจได้มากขึ้น ขั้นต่ำที่จะเห็นก็จะเกิดนิมิตเป็นดวงแก้วแสงสว่าง อาโลกกสิน ได้


ขอสอบถามพระอาจารย์ และ ท่านผู้รู้ทั้งหลายว่า อุบายเครื่องสมาธินี้ ผิดจากพระธรรมคำสอนไหมครับ  แล้วอุบายนี้ใช้เผยแพร่ไปได้ไหมครับ จะเป็นการบิดเบือนพระธรรมคำสอนหรือไม่อย่างไรครับ
25  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พุทธานุสสติ (แบบพิสดาร) เมื่อ: มกราคม 22, 2014, 09:10:47 am

พุทธานุสสติ (แบบพิสดาร)


ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง "พุทธานุสสติ (แบบพิสดาร)" ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้




บทนำ

พุทธานุสสตินั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
ด้วยเหตุให้เกิดอานิสงส์ปฏิบัติดังนี้คือ

1. ศรัทธา  คือ  ความเชื่อ  หมายถึงเฉพาะ  ศรัทธาที่เชื่อด้วยปัญญา  เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ  เชื่อด้วยเหตุผล  ถ้าเชื่อโดยปราศจากปัญญา  เรียกว่า  อธิโมกข์ ( ความน้อมใจเชื่อ หรือ เชื่อตามเขา )
    ศรัทธานั้นมีเบื้องต้นดังนี้ คือ เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อในธรรมอันจำแนกสั่งสอนสัตว์ของพระพุทธเจ้าเป็นต้น

    **ดังนั้นหากผู้ใดไม่ศรัทธาในพระพุทธเจ้า และ ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน จะไม่สามารถระลึกใน พุทธานุสสติได้เลย

2. สติ คือ ความระลึกรู้ หวนระลึกรู้ ความตามรู้ ความตรึก(นึกถึง) ตรอง(คำนึงถึง พิจารณาลงในธรรม)รู้ในสภาวะธรรมนั้นๆ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม การเจริญในสติปัฏฐานสำคัญต้องเริ่มที่กายคตาสติก่อนจึงจะเกิด สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบันขณะ อันก่อให้เกิดสัมมาสติอย่างแท้จริง และ จิตตั้งมั่นจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานอันควรแก่งานพิจารณาในในสภาวะ เวทนา จิต ธรรม เรียกว่า สัมมาสมาธิ

3. สมาธิ คือ ความมีตั้งมั่นจดจ่อควรแก่งาน จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน ซึ่งสมาธิแต่ละระดับจะมีองค์ของสมาธิต่างๆกันไป สมาธินี้เป็นตัวสำคัญในการเจริญสมถะภาวนา คือ อุบายเครื่องแห่งกุศล ขจัดซึ่งนิวรณ์ทั้งหลาย เอื้อต่อสติเป็นเหตุให้เกิดปัญญาซึ่งความรู้เห็นตามจริง

4. ปัญญา คือ ความรู้เห็นตามจริง ปัญญาแบ่งเป็นหลายระดับมีสภาพที่รู้เห็นและความเข้าถึงไตรลักษณ์ต่างๆกันไป

    พุทธานุสสตินั้นหลายคนจะคิดว่าได้แค่ปฐมฌาณบ้าง ไม่ก่อให้เกิดปัญญาบ้าง หรือ มีแต่พระอริยะเจ้าเท่านั้นระลึกกันบ้าง อันนี้เป็นความเห็นผิด พุทธานุสสตินั้น กุลบุตรผู้ฉลาดพึงเจริญตามสิ่งที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายได้บรรลุบทอันกระทำแล้วดังนี้ และ พุทธานุสสติก็เป็นปัญญาด้วยเช่นกัน กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง เข้าสู่วิปัสนาได้หมด
    แต่เพราะเราเชื่อตามๆกันมาว่ากองนี้ให้ผลได้แค่นี้ กองนั้นให้ผลได้มาก กองโน้นให้ผลได้น้อย กองนี้ถึงจะเข้าวิปัสนาได้ จึงทำให้เกิดการเรียนอภิธรรมแล้วก็ท่องจดจำเอาด้วยเชื่อตามๆกันมาว่าเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หลุดพ้น จึงทำให้การเจริญใน ๔๐ กรรมฐานลดน้อยลง และ ค่อยๆเสื่อมลง จนหายไปในที่สุด


    ดังนั้นเพื่อให้ทุกคนเห็นตามจริงและศรัทธาในของพระพุทธเจ้า และ คุณของพระคุณเจ้า ผมจึงตั้งใจอยากจะบอกกล่าวด้วยปัญญาอันน้อยนิดในการเจริญพุทธานุสสติไปจนถึงวิปัสสนาญาณดังนี้ครับ หากผิดพลาดประการใดรบกวนติเตียนและชี้แนะด้วยครับ ขอบพระคุณอย่างสูง
26  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สวดมนต์ เพื่อให้ถึงกรรมฐาน ปฐมสูตรแห่งพระพุทธศาสนา (ธัมมจักกัปปวัตนสูตร) เมื่อ: มกราคม 03, 2014, 11:29:42 am
สวดมนต์ เพื่อให้ถึงกรรมฐาน ๕ (ธัมมจักกัปปวัตนสูตร )


เริ่มแรก..ให้เราตั้งจิตระลึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ระลึกว่าเรานั้นกราบลงแทบพระบาทพระพุทธเจ้า
จากนั้นให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าดังนี้ว่า
ด้วยเหตุอย่างนี้ๆ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง
เป็นผู้ประกอบด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้แจ้งโลกอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นครูผู้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนเทวดาและมุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความเจริญจำแกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้
(พุทธานุสสติกรรมฐาน)


เอวัมเม สุตัง
( ข้าพเจ้า ( คือพระอานนท์เถระ ) ได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ )
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา
( สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า )
พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ฯ
( เสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสี )
ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ
( ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนพระปัญญจวัคคีย์อย่างนี้ว่า )

แล้วให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกว่าพระพุทธเจ้ามีพระกรุณาดุจห้วงมหันต์นพ
ได้ทรงเทศนาตรัสสอนพระธรรมนี้ๆ พระสูตรนี้ๆ ให้แก่เรา เพื่อเป็นทางเพื่อความหลุดพ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด
ป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้
(ธัมมนุสสติกรรมฐาน)


เทฺวเม ภิกขะเว อันตา

( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ เหล่าอย่างนี้ )

ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา
( อันบรรพชิตไม่ควรเสพ )


โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค
( คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยกาม ในกามทั้งหลายนี้ใด )
โน ( เป็นธรรมอันเลว ) คัมโม ( เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน ) โปถุชชะนิโก ( เป็นของคนผู้มีกิเลสหนา )
อะนะริโย ( ไม่ใช่ของคนไปจากข้าศึกคือกิเลส ) อะนัตถะสัญหิโต ( ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ )

โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค
( คือประกอบความเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเหล่านี้ใด )
ทุกโข ( ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ )
อะนะริโย ( ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลส )
อะนัตถะสัญหิโต ( ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่ง )

เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนะปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา
( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั่นนั้น )
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา ( อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง )
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี ( ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ )
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
( ย่อมเป็นไปเพื่อเข้าไปสงบระงับจากกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อ ความดับ )

กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา
( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติอันเป็นกลางนั้นเป็นไฉน )
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา ( ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง )
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี ( กระทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้)
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
( ย่อมเป็นไปเพื่อเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ )

อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ
( ทางมีองค์ ๘ เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลสนี้เอง )
เสยยะถีทัง ( ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ )
สัมมาทิฏฐิ ( ปัญญาอันเห็นชอบ )
สัมมาสังกัปโป ( ความดำริชอบ )
สัมมาวาจา ( วาจาชอบ )
สัมมากัมมันโต ( การงานชอบ [ประพฤติปฏิบัติชอบ] )
สัมมาอาชีโว (เลี้ยงชีวิตชอบ )
สัมมาวายาโม ( ความเพียรชอบ )
สัมมาสะติ ( การระลึกชอบ )
สัมมาสะมาธิ ( ความตั้งจิตชอบ )

อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้แลข้อ ปฏิบัติที่เป็นกลางนั้น )
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา (ที่ตถาคต ได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง )
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี ( กระทำดวงตา คือ กระทำญาณเครื่องรู้ )
อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
(ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ )

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง
( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แลเป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริง คือ )

น้อมจิตเข้าพิจารณาในธรรมดังนี้

ชาติปิ ทุกขา ( แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ )
[น้อมจิตพิจารณาถึงความที่เราเกิดขึ้นมานี้ มีความทุกข์กายและใจอย่างไรบ้าง เช่น ไม่กินไม่ได้ ไม่นอนไม่ได้ ไม่ขี้ก็ไม่ได้ ไม่เยี่ยวก็ไม่ได้ แต่ละวันต้องดำเนินชีวิตลำบากายและใจอย่างไร ไม่ว่าคนรวย คนจน หรือสัตว์ใดๆ บุคคลใดๆ ต่อให้สุขสบายอย่างไรย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์นี้
(คำว่า ชาติ แปลว่า การเกิด, ชนิด, พวก, เหล่า ชาตินี่รวมไปถึงความเกิด เกิดขึ้น ชนิด จำพวกในสิ่งต่างๆ คน สัตว์ สิ่งของ จนถึงสภาพธรรมปรุงแต่งใดๆ การเกิดขี้นของสังขารใดๆทั้งปวงด้วยไม่ว่าจะเป็น รูปธรรม และ นามธรรม ทั้ง 2 หรือ อย่างใดอย่างหนึ่ง(ปฏิจจสมุปบาท)เช่น เมื่อเกิดความโกรธเราทุกข์กายใจไหม เมื่อเกิดความความปารถนาใคร่ได้เราทุกข์กายใจไหม เมื่อเกิดความกำหนัดยินดีเรามีสภาพกายและใจอย่างไรเป็นทุกข์ไหม เมื่อเราพรัดพรากเรามีสภาพกายและใจเป็นอย่างไรเป็นทุกข์ไหม เป็นต้น)]


ชะราปิ ทุกขา ( แม้ความแก่ ก็เป็นทุกข์ )
น้อมจิตพิจารณาถึงสภาพที่เมื่อแก่ชรา เมื่อเราแก่ตังลงการมองเห็นก็ฝ่าฟางลำบาก การจะขยับกายก็ลำบาก การเคี้ยวการกินก็ลำบาก จะไปไหนมาไหนก็ลำบาก จะขับถ่าย ขี้ เยี่ยวก็ลำบาก เวลาเมื่อเจ็บป่วยก็ทรมานไปทั้งกายและใจ อย่างนี้ๆเป็นต้นที่เรียกว่า แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์

มะระณัมปิ ทุกขัง ( แม้ความตาย ก็เป็นทุกข์ )
น้อมจิตพิจารณาถึงความตายเป็นเบื้องหน้า เมื่อตายแล้วต้องวนเวียนในวัฏฏะสงสารอีกเท่าไหร่ และ ไม่รู้ว่าเมื่อตายไปจะเกิดในภพภูมิใด สัมภเวสี เปรต หรือ สิ่งใด เมื่อตายแล้วต้องไปชดใช้กรรมใดๆอีก เมื่อจะมาเกิดใหม่ก็ไม่รู้จะเกิดเป็นคนหรือสัตว์ แม้เมื่อเกิดเป็นคนจะเป็นขอทาน คนพิการ อยู่ยากลำบาก หรือ กินดีอยู่ดีก็ฌยังไม่รู้

โสกะปริเทวะทุกขะโทมะนัสสุกปายาสาปิ ทุกขา
( แม้ความโศกเศร้า ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์ )

อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ( ความประสบพบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ )
[หวนระลึกพิจารณาว่า เมื่อเราประสบกับสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่ต้องการ อยากจะผลักหนีให้ไกลตนแต่ก็ต้องพบเจอโดยหนีไม่พ้น เราเป็นทุกข์ไหม]

ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ( ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ )
[หวนระลึกพิจารณาว่า เมื่อเราต้องพรัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักคือ เลิกกับคนรักหรือคนรักตาย สัตว์ที่รักหายหรือตายไป ของที่รักพังทลายสูญหายไป เราเป็นทุกข์ไหม]

ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
( มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์ )
[หวนระลึกพิจารณาว่า เมื่อเราไม่ได้สิ่งใดๆตามที่ใจปารถนา คือ จีบสาวไม่ติด ทำกิจการงานแล้วผลลัพธ์ไม่ได้ตามที่หวังไว้ ไม่ได้สิ่งของตามที่ใจปารถนา เราเป็นทุกข์ไหม]

สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ฯ
( ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ )
[น้อมจิตหวนระลึกพิจารณาดังนี้
๑. รูปขันธ์ คือ ร่างกาย เมื่อเข้าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตน เป็นคนนั้น เป็นคนนี้ จิตย่อมใคร่ปารถนาในกายให้ได้ให้เป็นไปตามที่ใจตนปารถนาไม่หยุด เมื่อไม่ได้ตามที่ใจปารถนาก็เป็นทุกข์ เมื่อเสื่อมโทรมก็เป็นทุกข์
๒. เวทนาขันธ์ คือ ความเสวยอารมณ์ความรู้สึก ความสุขกาย ทุกข์กาย ไม่สุขไม่ทุกข์ทางกาย ความสุขใจ ทุกข์ใจ อุเบกขาทั้งกุศลและอกุศล เมื่อเรารู้อารมณ์(สิ่งที่ใจรู้ เช่น สี เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ธรรมารมณ์)ทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ใดๆแล้วเกิดเวทนา เมื่อเป็นสุขแล้วเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอุปาทานว่านี่เป้นเรานี่เป็นของเราว่า สิ่งนี้ๆทำให้เราเป็นสุข เราก็แสวงหา ปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์ในสิ่งนั้นๆ เมื่อเราได้ประสบพบเจอในอารมณ์ใดๆที่ไม่เป็นไปตามที่เรานั้นตั้งความพอใจยินดีเอาไว้ว่าเป็นสุข เราก็เกิดความทุกข์ทันที ก็สำคัญมั่นหมายเอาไว้ในใจว่าสิ่งนี้ๆเป็นสุข เป็นทุกข์
๓. สัญญาขันธ์ คือ ความจำได้จำไว้ ความสำคัญมั่นหมายของใจ เมื่อเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเอาสัญญาใดๆแม้ในเรื่องใดสิ่งใดที่ผ่านมาแล้ว เมื่อเข้าหวนระลึกถึงความทรงจำใดๆย่อมก่อให้เกิด ความปรุงแต่งจิตคิดไปต่างๆนาๆ เม่ื่อเสพย์ความพอใจยินดีก็ปารถนา เสพย์ความไม่พอใจยินดีก็อยากจะผลักหนีให้ไกลตน อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก่อให้เกิดเป็นทุกข์
๔. สังขาร คือ ความปรุงแต่งจิต สิ่งที่เกิดขึ้นประกอบกับจิต ดับไปกับจิต เช่น ความรัก โลภ โกรธ หลงใดๆ เมื่อใจเรามีความติดใจกำหนัดปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์ ขุ่นมัวขัดเคืองใจ อัดอั้นคับแค้นกายและใจ ผูกเวร ผูกพยายาบาท ลุ่มหลงมัวเมา เมื่อเราเข้ายึดมั่นถือมั่นกับความปรุงแต่งจิตนั้นๆ มันเป็นทุกข์ใช่ไหม
๕. วิญญาณขันธ์ คือ ใจ ความรู้อารมณ์ เช่น รับรู้การกระทบสัมผัสใน สี เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ธัมมารมณ์ เมื่อเข้าไปมั่นมั่นถือมัุ่นกับสิ่งที่รู้อารมณ์ใดๆโดยวิญญาณขันธ์นี้ ไม่ว่าจะมองเห็นสี เห็นรูปใดๆ แล้วพอใจยินดีเข้าไปยึดว่าสวยงาม ก็ติดใจเพลิดเพลินใคร่ปารถนายินดีที่จะเสพย์อารมณ์นั้นๆ เมื่อเห็นแล้วไม่ชอบพอใจยินดี ก็ว่าไม่สวยไม่งาม ก็ไม่ปารถนาอยากจะผลักไสให้ไกลตนก็เป็นทุกข์]


อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง
( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อนี้แลเป็นเหตุให้ทุกข์อย่างแท้จริง คือ )
ยายัง ตัณหา ( ความทะยานอยากนี้ใด )
โปโนพภะวิกา ( ทำให้มีภพอีก )
นันทิราคะสะหะคะตา ( เป็นไปกับความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน )
ตัตระ ตัตราภินันทินี ( เพลินยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ )
เสยยะถีทัง ( ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ )

กามะตัณหา ( ความทะยานอยากในอารมณ์ที่ใคร่ -
[ความเห็นว่าเที่ยง(สัสสตทิฏฐิ)ความเห็นว่าสิ่งนี้ๆมีอยู่ไม่สูญไป เช่น ตายแล้วก็เกิดใหม่อีกไปเรื่อยๆไม่มีสิ้นสุด])


ภะวะตัณหา ( ความทะยานอยากในความมีความเป็น [ความทะยานอยากปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์ในอารมณ์นั้นๆที่พอใจยินดี])

วิภะวะตัณหา ( ความทะยานอยากในความไม่มี ไม่เป็น -
[ความเห็นว่าขาดสูญ(อุจเฉททิฏฐิ)ความเห็นว่าสิ่งนี้ๆสูญไม่มีอีก เช่น ตายแล้วจะไม่มีการกลับมาเกิดอีก])


อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง
( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อนี้แลเป็นความดับทุกข์ )
โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ
( ความดับโดยสิ้นกำหนัด โดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นแหละใด )
จาโค ( ความสละตัณหานั้น ) ปะฏินิสสัคโค ( ความวางตัณหานั้น )
มุตติ ( การปล่อยตัณหานั้น ) อะนาละโย ( ความไม่พัวพันแห่งตัณหานั้น )

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง
( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แลเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จ้ริง คือ )
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ( ทางมีองค์ ๘ เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลส นี้เอง )
เสยยะถีทัง ( ได้แก่ สิ่งเหล่านี้ คือ )
สัมมาทิฏฐิ ( ปัญญาอันเห็นชอบ ) สัมมาสังกัปโป ( ความดำริชอบ )
สัมมาวาจา ( วาจาชอบ ) สัมมากัมมันโต ( การงานชอบ [ประพฤติปฏิบัติชอบ] )
สัมมาอาชีโว ( ความเลี้ยงชีวิตชอบ ) สัมมาวายาโม ( ความเพียรชอบ )
สัมมาสะติ ( ความระลึกชอบ ) สัมมาสะมาธิ ( ความตั้งจิตชอบ )

อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้ว ในกาลก่อนว่า นี่เป็นทุกข์อริยสัจ )


ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้ )

[มีสติหวนระลึกพิจารณาถึงการดำเนินไปในชีวิตประจำวันของเรา ว่าเราต้องประสบพบเจอกับสิ่งใดๆบ้าง แลเมื่อได้รับการกระทบสัมผัสในอารมณ์ใดๆเหล่านั้นแล้ว เรามีความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งเสพย์เสวยอารมณ์ทางใจอย่างไรบ้าง หรือ มีความรู้สึกอาการทางกายอย่างไรบ้าง ให้กำหนดรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรานี้อยู่ให้เป็นประจำ จะทำให้เห็นแจ้งในทุกข์]

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล เราได้กำหนดรู้แล้ว )

[เมื่อเรากำหนดรู้ทุกข์ รู้ในอารมณ์ความรู้สึกอาการทางกายและใจเมื่อได้เสพย์ในอารมณ์ใดๆแล้ว แลเห็นทุกข์ตามจริงอันเป็นผลจากการได้เสพย์ ไม่ได้เสพย์ หรือ ผลอันเกิดขึ้นหลังจากที่ได้เสพย์ในอารมณ์ใดๆที่ได้รับรู้กระทบสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้นแล้ว จิตใจเราย่อมเกิดความเบื่อหน่ายในสิ่งนั้นๆอารมณ์นั้นๆ เพราะเห็นว่ามันหาประโยชน์สุขไรๆอันแท้จริงไม่ได้นอกจากทุกข์เท่านั้น แลเห็นตามจริงว่าสุขที่ได้รับจากการเสพย์อารมณ์ไรๆทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นไปเพราะเกิดแต่ความติดใจเพลิดเพลิน กำหนัดยินดีเท่านั้น แล้วก็ต้องมาตะเกียกตะกายไขว่คว้าทะยานอยากหามาให้ได้สมกับความเพลิดเพลินใจปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์ หรือ ทะยานอยากจะมีจะเป็นอย่างที่ตนเองตั้งความสำคัญมั่นหมายพอใจยินดีไว้ หรือ ทะยานอยากจะผลักหนีจากสิ่งอันที่ตนตั้งความสำคัญมั่นหมายของใจไว้ว่าไม่เป็นที่รักที่พอใจยินดี ไม่เกิดเพลิดเพลิน มีแต่ความมัวหมองเศร้าหมองใจ หรือ ทุกข์อันเกิดแต่ความพรัดพรากบ้าง ไม่สมปารถนาบ้าง ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจไม่พึงปารถนาบ้าง ทุกข์อันเป็นไปในความเพลิดเพลินกำหนัดยินดีบ้าง เป็นต้น (นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากการกำหนดรู้ทุกข์)]

อิทัง ทุกขะสุมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจ )


ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจนี้แล ควรละเสีย )
.
[ก็เมื่อเราได้กำหนดรู้ทุกข์ในชีวิตประจำวันอย่างแจ่มแจ้งแล้ว เราก็จะรู้เห็นเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้น เห็นว่าทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เกิดขึ้นมาแต่เหตุไรๆ แล้วเพียรละที่เหตุนั้นเสีย]

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะนันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจนี้แล เราละได้แล้ว )


อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกขนิโรจอริยสัจ )


ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกขนิโรจอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง )

[เมื่อแลเห็นสมุทัยแล้ว รู้สิ่งที่ควรละแล้วความดับไปในทุกข์ในขั้นต้นย่อมเกิดขึ้นแก่กายและใจเราแล้ว เช่น ติดเหล้า เมื่อกำหนดรู้ทุกข์ก่อนกิน โดยหวนระลึกถึงว่าทุกข์จากการกินเหล้าเป็นไฉน มึนเมา เจ็บป่วย เมื่อยล้า เงินไม่มี เสียงาน อารมณ์ร้อน ทำในสิ่งที่ไม่ดีได้ทั้งหมด เมื่อทำเสร็จแล้วก็เป็นทุกข์มหันต์ ระลึกถึงรสชาติที่ได้เสพย์มันว่า รสชาติมันเฟื่อนลิ้นเฟื่อนคอ เหม็นมีกลิ่นฉุน กินแล้วก็ร้อนคอร้อนท้องไม่อิ่มเหมือนข้าว หาประโยชน์ใดๆไม่ได้นอกจากความติดใจเพลิดเพลินแล้วก็มาผจญกับความสูญเสียอันหาประมาณมิได้ นี่เป็นการกำหนดรู้ทุกข์ในเหล้า ทำให้เห็นคุณและโทษจากเหล้า จิตย่อมเกิดความเบื่อหน่ายในเหล้า สืบต่อให้เกิดความคิดวิเคราะห์ลงในธรรมและมีความเพียรตั้งมั่นที่จะออกจากทุกข์นั้น จิตย่อมน้อมหวนระลึกหาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์เหล่านี้คือเหล้า เหตุที่ทำให้เราอยากกินเหล้าคือสิ่งใดหนอ เมื่อหวนระลึกพิจารณาถึงก็จะเห็นว่า ความอยากนี่เอง ทำไมถึงอยากกินเหล้า ก็เพราะเราคอยตรึกนึกถึงมันนี่เอง ทำไมตรึกนึกถึงเสมอๆ ทีเรื่องที่ควรตระหนักถึงกลับไม่คิดถึง เมื่อหวนระลึกถึงก็จะเห็นว่าเหตุนั้นเพราะเราให้ความสำคัญมั่นหมายของใจกับเหล้าไว้มาก ที่เราให้ความสำคัญกับเหล้าเพราะสิ่งใดหนอ เมื่อหวนพิจารณาจะเห็นว่าเพราะเราพอใจยินดีในเหล้านี่เอง ก็เพราะพอใจยินดีในเหล้าเลยยึดมั่นถือมั่นเอาโสมนัสเวทนาจากเหล้ามาเป็นที่ตั้งแห่งจิตแทนสติ+สัมปชัญญะ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เรารู้สมุทัยที่ควรละแล้ว เมื่อตั้งความเพียรที่จะละแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นว่าเมื่อไม่พอใจยินดี ไม่ให้ความสำคัญในเหล้า ความอยากเหล้านี้ย่อมหายไป และ สภาพทางกาย สภาพแวดล้อม การเงิน ฯลฯ จะต้องดีขึ้นมากอย่างแน่นอน เมื่อเรามี ความเห็น ความคิดถึง ความตรึกถึง ความนึกถึง ความตรองถึง ความคำนึงถึง น้อมพิจารณาเช่นนี้ๆเป็นเบื้องต้นแล้ว จิตเราย่อมละวางความสำคัญมั่นหมายของใจในเหล้า ย่อมละความพอใจยินดีในอารมณ์ที่จะเสพย์ลง จิตใจเราย่อมแช่มชื่น ปราโมทย์ ผ่องใส อันเป็นผลเกิดจากกุศลจิตที่จะดับทุกข์นั้น ความดับทุกข์แม้เพียงแค่้คิดจะละเหตุนี้ ยังเกิดขึ้นแก่้เราเป็นเบื้องต้นแล้ว(แม้เป็นเพียงอุดมคติคือจากความคิดก็ยังสุขเลยนะครับ) เมื่อทำความดับทุกข์ให้แจ้ง กายและใจเราย่อมน้อมไปเพื่อปฏิบัติให้ถึงทางพ้นทุกข์ เพื่อทำให้แจ้งถึงความดับทุกข์อันแท้จริง ด้วยเห็นว่าเมื่อดับทุกข์เหล่านี้ได้แล้วผลลัพธ์มันเเป็นสุขเช่นนี้ๆ]

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกขนิโรจอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้ทำให้แจ้งแล้ว )


อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ )


ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นแล ควรให้เจริญ )

[เมื่อทำนิโรธให้แจ้งแล้ว เห็นความสุขอันเกิดแต่ความดับทุกข์นั้นแล้ว เริ่มแรกอาจจะเห็นว่ามีแนวทางมากมายหลายทางที่จะดำเนินปฏิบัติเพื่อถึงความดับทุกข์นั้น เมื่อเราได้เพียรปฏิบัติในทางพ้นทุกข์ให้มากแล้วเราก็จะเห็นว่า ทางพ้นจากทุกข์เหล่านั้น คือ มรรคมีองค์ ๘ นี้เอง (การเจริญปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ทั้งหลายหากถึงความเป็นสัมมาแล้ว จะสงเคราะห์ลงในมรรค ๘ ได้ทั้งหมด มรรค ๘ จึงเป็นเรือข้ามฝั่งที่ใหญ่มากเพียงลำเดียวที่พระพุทธเจ้าจอดไว้ให้เรา ขึ้นอยู่แต่ว่าเราจะขึ้นเรือลำนี้ไหม)
ดังนั้นที่เราควรเจริญปฏิบัติให้มาก คือ มีกายสุจริต วาจาสุริต มโนสุจริต อันเกิดแต่ ศีล พรหมวิหาร๔(พรหมวิหาร๔นี้ เบื้องต้นปฏิบัติให้เจริญเมตตาจิตให้มากให้สภาพจิตเกิดเมตตาต่อกันจนเกิดเป็นสมาธิจะให้ผลดีมาก) ทาน สมาธิ ปัญญา(ความรู้แจ้งรู้เห็นตามจริงอันเกิดขึ้นด้วย สัมปชัญญะ+สติ และ สมาธิอันควรแก่งาน หรือ เจริญปฏิบัติใน กุศลกรรมบท๑๐ เป็นต้น จนเข้าถึงมรรค๘ อย่างแท้จริง อันเป็นเหตุให้ นิโรธอันแท้จริงเกิดแก่เรา)]



ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

( ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นแล อันเราเจริญแล้ว )


ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ
เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ

( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้ตามความเป็นจริงอย่างไร ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา
ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้ว )


เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก
สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ
อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ

( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ
ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปพร้อมด้วยกับเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์
ทั้งในสมณพราหมณ์ เทวดา มนุษย์ ไม่ได้เพียงนั้น )


ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ
เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ

( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ปัญญาอันเห็นตามเป็นจริงอย่างไรในอริยสัจ๔ เหล่านี้ของเรา
มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว )


อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก
สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ
อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ

( ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญา
เครื่องตรัสรู้ชอบ
ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วยกับเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์
ทั้งในสมณพราหมณ์ เทพยดา มนุษย์ )


ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ
( ก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว )
อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ฯ
( ว่า การพ้นพิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก )
27  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ขออนุญาต เมื่อ: ธันวาคม 30, 2013, 08:31:22 am
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

นมัสการพระอาจารย์ธัมมวังโส

กราบเรียนพระอาจารย์ ท่านผู้ดูแลเวบ และ สมาชิกเวบทั้งหลาย

ผมใคร่ขออนุญาตนำกระทู้ถามตอบกรรมฐานที่พระอาจารย์และท่านผู้รู้หลายๆท่านถามตอบไปไปลงใน Blog ที่ผมเขียนไว้เพื่อเผยแพร่แนวทางกรรมฐานต่อไปครับ

ตามใน Link นี้ครับ http://group.wunjun.com/ungpao/23948

ขอขอบพระคุณอย่างสูง
28  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / วิตก วิจาร เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2013, 10:27:42 am
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

กราบเรียนพระอาจารย์ธัมมวังโส

ด้วยครั้งเมื่อผมเข้าสมาธิจิตได้มีสภาพจิตแลเห็นดังนี้ว่า
1. เมื่อจิตเข้าไปหวนระลึกในสัญญาใดๆซึ่งมันมีมากมายเป็นร้อยเป็นพันสัญญาวิ่งมาแล้วตัวระลึกรู้นี้แหละเข้าไปรู้สัญญาได้เพียงตัวใดตัวหนึ่ง
2. เมื่อเข้าไประลึกสกิตในสัญญานั้นๆ มันก็เกิดการตรึกนึกคิดในเรื่องราวจากความจำได้จำไว้นั้นๆ แต่ในขณะนั้นแม้ตรึกนึกอยู่ในเรื่องราวนั้นมันยังไม่รู้ว่าคืออะไรอย่างไร
3. ในชั่วขณะเมื่อความตรึกนึกเรื่องราวนั้นดับไปก็เกิดสภาพจิตที่เข้าไปรู้เรื่องราวที่นึกคิดอยู่นั้นว่ามันคืออะไรกำลังดำเนินเรื่องยังไง
4. แล้วก็เกิดสภาพการเสพย์อารมณ์จากสิ่งที่นึกนั้น แล้วก็เกิดความรู้สึกจากอารมณ์ที่ตรึกนึกคิดนั้น
5. แล้วก็เกิดความรู้สภาวะความรู้สึกนั้นๆ แล้วก็ประครองในความรู้สึกที่เสพย์อารมณ์นั้นๆ ทำให้เรื่องราวที่นึกนั้นดำเนินต่อไปจนจบ

สิ่งนี้เรียกวิตกกับวิตารใช่ไหมครับ

ขอยกตัวอย่างที่เพิ่งรับรู้ในวันนี้น่ะครับซึ่งไม่ใช่ในสมาธิหรือองค์ฌาณ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันดังนี้
1. เมื่อจิตไปหวนระลึกถึงสัญญาใดๆ เช่น ผู้หญิงที่เราชอบ คลั่งไคล้ (สติ+สัญญา)
2. เมื่อความเข้าไปหวนระลึกรู้ดับไป ก็เกิดแสดงความจดจำเรื่องราวจากผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา (สัญญา)
3. ก็เกิดความตรึกนึกคิดปรุงแต่งเรื่องราวจากความจำไว้นั้น (วิตก+สัญญา)
4. เมื่อสภาวะตรึกนึกดับไปชั่วขณะแวบหนึ่ง ก็เกิดการเข้าไปรู้เรื่องราวปรุงแต่งในความคิดนั้น ทำให้เรื่องราวจากความตรึกนึกนั้นดำเนินไป (วิจาร)
5. เมื่อการเข้าไปรู้หรือร่วมในเรื่องราวนั้นดับไปชั่วขณะแวบนึง มันก็เสพย์อารมณ์จากเรื่องราวความตรึกนึกคิดนั้น แล้วก็คำนึงถึงเรื่องราวความรู้สึกในสภาพอารมณ์นั้นๆ เกิดการประครองอารมณ์ความรู้สึกนั้นๆทำให้เรื่องราวจากความตรึกนึกนั้นดำเนินไป (โลภะ โทสะ โมหะ ราคะ เวทนา+วิจาร+วิตก สลับไปมาตามลำดับ)
6. เกิดเป็นความกำหนัดใคร่ได้ยินดีที่จะเสพย์ จิตประครองความรู้สึกอารมณ์นั้นๆความตรึกนึกคิดนั้นๆไปจนจบจากความปารถนาใคร่ได้ยินดีที่จะเสพย์
7. ดับไป

ผมเห็นเป็นขณะๆอย่างนี้ไม่ทราบวิผมพิจารณถูกหรือผิดแล้วหรือไม่อย่างไรครับ คนส่วนมากจะแนกสติกับวิตก แต่ในขณะที่ผมเห็นและรู้ทันแลดูนั้นอยู่มันเกิดสภาพอย่างนี้เห็นอย่างนี้ ซึ่งผมกลัวว่าจะเห็นผิดทำให้เกิดความคิดความรู้ตามจริงผิดๆ ขอความกรุณาพระอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ เพื่อไม่ให้ผมหลงจากสิ่งที่รู้เห็นหรือปฏิบัติผิดๆครับ
29  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ถามตอบปัญหาธรรมะ เรื่องศีล หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2013, 09:35:53 am
                                ถามตอบปัญหาธรรมะ เรื่องศีล หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่๑


คำสมาทานศีล

ผู้ถาม             “กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ การสมาทานศีลมี “วิสุง” กับไม่มี “วิสุง” จะต่างกันอย่างไรขอรับ?
หลวงพ่อ         “คงไม่เหมือนกัน ต่างกันที่สุงกับไม่สุง...(หัวเราะ) แต่ความเป็นจริงคำว่า “วิสุง” เขาแปลว่า “ส่วน” นะ ขอรับแยกเป็นส่วนๆ ปาณา...ก็ปาณา อทินนา...ก็อทินนา ถ้าไม่วิสุงละขอรับรวดทั้ง ๕ หรือ ๘ ข้อ ทั้งนี้ตามคำอธิบายของคณาจารย์ ถ้าแยกเป็นส่วนจะขาดเป็นตัว ถ้าไม่แยกส่วน ตัวอื่นขาด ก็จะขาดหมดด้วย
                   ความจริงคณาจารย์ไม่รู้จริง จริงๆถ้าเราละเมิดตัวไหน ก็ขาดเฉพาะข้อนั้น จะว่าวิสุงหรือไม่วิสุงก็ตาม ไอ้ตัวที่ยังไม่ละเมิดก็ยังไม่ขาด นี่ฉันอ่านหนังสือที่เขาเขียนย่อๆเล่มเล็กๆ น่ะ บังเอิญอ่านเมื่อเป็นเด็ก คือว่าไปตามวัด เดี๋ยวนี้ก็วิสุง...เดี๋ยวก็ไม่วิสุง...ฉันก็แปลกใจ”


รักษาศีลแล้วยังไม่รวย

ผู้ถาม             “หลวงพ่อเจ้าขา ความจริงลูกไม่อยากค้านหลวงพ่อหรอก เพราะรู้ว่าหลวงพ่อมีปัญญามาก ฉลาดในการสอน แต่วันนี้ขอถามแกมประท้วงสักนิดหนึ่ง ในคำสอนที่หลวงพ่อว่า มีศีลแล้วจะร่ำรวย มีเงิน ไม่เป็นหนี้ มีโชคมีลาภ แค่รักษา ๕ แต่ไม่พอใจเดี๋ยวนี้เพิ่มเป็น ๘ มันก็ยังจนเหมือนเดิม”
หลวงพ่อ         รักษามากี่ปี? ผู้ถาม            ๒ ปี... หลวงพ่อ         โธ่เอ๋ย! ก็ซวยมากี่ปี ศีลขาดมากี่ปี มันคุ้มกันหรือ...คือว่ารักษาศีลจริงๆ แค่ศีล ๕ น่ะ ๑.ค่าเหล้าไม่เสีย ๒.ค่าเจ้าชู้ไม่เสีย ๓.ค่าม่านรูดไม่เสีย...(หัวเราะ)
ผู้ถาม             เอ๊ะ ไหนว่าพระอยู่วัดอยู่วา ไม่รู้อีโหน่อีเหน่?
หลวงพ่อ         พระน่ะท่านไม่รู้ แต่ฉันรู้ มีคนไปพูดให้ฟัง เลยไม่ขี้ร้อนไม่ต้องไปอาบน้ำตามห้อง...(หัวเราะ) เรื่องที่ไม่เสียมีเยอะแยะ ทรัพย์ก็ดีขึ้น ไอ้ใจร้ายไปฆ่าเขาไปตีเขา ทะเลาะกับเขาก็ไม่มี แม้แต่ติดคุกติดตะราง ไม่ต้องเสียสตางค์ นี่ถ้ารักษามาตั้งแต่เกิดนะ ป่านนี้รวยนานแล้ว แกรักษามากี่วันนี่ ขาดทุนมากี่ปี...?


กรรมกำพร้าสามี

ผู้ถาม             กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง สามีของลูกชื่อ นายธเนศ แซ่ด่าน ตายเมื่อวันที่ ๓๑ ธ.ค. ๓๓ ก่อนจะตายนี่ได้มีโอกาสถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ๕๐๐ บาท ทีนี้ที่จะกราบเรียนถามก็คือว่า การที่ลูกเกิดมาสามีต้องตายยังหนุ่ม การที่ลูกเป็นสาวต้องกำพร้าสามี กรรมประเภทนี้ทำมาจากอะไรเพื่อไม่ให้กำพร้าต่อในชาติหน้า ขอหลวงพ่อเมตตาแนะวิธีอย่าให้พลัดพรากจากกัน ตั้งแต่วัยยังหนุ่มยังสาวเลยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ         เอาอย่างนี้ซิ รักษาพรหมวิหาร ๔ ไว้ เมตตาความรัก กรุณาความสงสาร มุทิตาจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร พลอยยินดีด้วยนะ อุเบกขา วางเฉย เอาอย่างนี้อย่างเดียว ก็พอ เมตตาอย่างเดียวก็พอ
ผู้ถาม             แล้วประเภทที่ว่าเช้าตุ๊บ...เย็นตุ๊บ หลวงพ่อ         อ๋อ...นั่นนักมวยเก่า (หัวเราะ) เขาซ้อมมวยกัน


ต้มไข่อย่างไรไม่บาป

ผู้ถาม            หลวงพ่อเจ้าขา ความจริงไม่อยากถามหลวงพ่อ แต่ความจำเป็นบังคับ จึงต้องถามเจ้าคะ คือว่า เพิ่งเริ่มขายของมา ๓-๔ วัน ลูกขายสลัดต่างๆ ที่สำคัญคือ จะต้องมี ไข่ต้มด้วย ทีนี้ที่ไม่สบายใจก็เพราะว่า ไม่รู้ว่าการต้มไข่นี้จะบาปหรือไม่ และวิธีต้มแล้วไม่บาปจะเป็นประการใด ถ้าหลวงพ่อห้าเมื่อไหร่ ลูกจะเลิกขายทันที เพราะลูกนับถือหลวงพ่อเจ้าคะ?
หลวงพ่อ         เอาอย่างนี้ดีกว่าตรงไปตรงมานะ ไข่ถ้ามันฟักไม่เป็นตัวเราก็ไม่บาป ถ้าฟักเป็นตัวเราจึงจะบาป นี่เราสังเกตไม่ได้ ลองศึกษาดูก็แล้วกัน
ผู้ถาม             ก็ลำบาก ก็มีทางที่หลวงพ่อว่า ไข่เจ้าคะ ไข่เจ้าขากรุณาฉันเถิด
หลวงพ่อ         (หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ ไอ้ฟาร์มไหนที่เขาเลี้ยงไก่โดยที่เขาไม่ผสมกับตัวผู้มันมีไหม ไก่ที่เขาเลี้ยงน่ะ ที่เลี้ยงไว้คัดเฉพาะตัวเมียเป็นราวๆ เป็นช่องๆ ไม่มีตัวผู้ผสม ถ้าไม่มีตัวผู้ผสมอันนี้คงจะไม่เป็นตัว ถ้าไข่ที่ฟัก ไม่เป็นตัวนี่มันไม่บาป นี่เราพูดตรงไปตรงมานะ


นึกถึงบุญไม่ออก

ผู้ถาม             บางทีมันเพี้ยนไป นึกถึงบุญไม่ออกครับ
หลวงพ่อ         เป็นธรรมดา บางครั้งอารมณ์มันดี อย่างนี้จริงๆ เหมือนกันทุกคนนะ... เหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะบุคคลบางครั้งมันจะนึกถึงบุญไม่ออกก็มี ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนเจริญพระกรรมฐาน ฝึกจิตให้ชินไง ใช่ไหม... ฝึกจิตให้ชิน คือจับอันดับแรก พระพุทธเจ้าต้องเอาก่อน อารมณ์มันชิน คำว่า “ฌาน” ก็คือจะได้ไม่ลืม ถ้าเราปล่อยเละละเดี๋ยวมันก็เผลอ พอบาปเข้าสิงปั๊บมันจะตัดเราลืมเลย
                   ทีนี้วิธีที่ท่านสอนแบบนี้กันบาปเข้าแทรก วิธีฝึกกรรมฐานเขาฝึกให้ชินกันบาปเข้าแทรกเวลาที่เราจะตาย บาปมันจะแทรกไม่ได้ ทำบุญอย่างอื่นหนักขนาดไหนก็ตาม แต่จิตมันยังไม่แน่นอนนัก เราจะตายบาปเข้าแทรกได้ เราจะลงนรกได้ ถึงบอกว่าทำจิตให้เป็นฌานทำให้ทรงตัว คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน มันนึกได้เรื่อยๆใช่ไหม การนึกถึงพระพุทธเจ้าได้เรื่อยๆ น่ะ คือ ฌาน



30  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิธีสวดมนต์บทสวดอิติปิโสให้ถึงอนุสสติกรรมฐาน เมื่อ: ตุลาคม 31, 2013, 02:10:49 pm
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง "วิธีสวดมนต์บทสวดอิติปิโสให้ถึงอนุสสติกรรมฐาน" ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้


                บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ
อิติปิ โส ภะคะวา ( เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น )
อะระหัง ( เป็นผู้ไกลจากกิเลส ) สัมมาสัมพุทโธ ( เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง )
วิชชาจะระณะสัมปันโน ( เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ )
สุคะโต ( เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี ) โลกะวิทู ( เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง )
อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ ( เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า )
สัตถาเทวะมนุสสานัง ( เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย )
พุทโธ ( เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ) ภะคะวาติ. ( เป็นผู้มีความเจริญจำแกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้ )

นี่คือการระลึกในพุทธานุสติที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ใน อนุสสติกรรมฐาน

[๒๙๖] ภิกษุทั้งหลาย ที่ตั้งแห่งอนุสสติ ๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตว่า
แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคต
สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว เป็นจิตออกไป พ้นไป หลุดไปจากความอยาก
ภิกษุทั้งหลาย คำว่า ความอยาก นี้ เป็นชื่อของเบญจกามคุณ
สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำพุทธานุสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้.

เมื่อบุคคลใดสวดอิติปิโสพร้อมคำแปลแล้วน้อมจิตระลึกถึงตถาคตเช่นนี้ๆ
ย่อมได้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เป็นการเจริญในพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นเบื้องต้นแล้ว


                บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ
สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม ( พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว )
สันทิฏฐิโก ( เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง )
อะกาลิโก ( เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล )
เอหิปัสสิโก ( เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด )
โอปะนะยิโก ( เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว )
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ. ( เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ ฯ )

นี่คือการระลึกในธัมมานุสติที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ใน อนุสสติกรรมฐาน

อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรมว่า
พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล
ควรเรียกให้ดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรม
สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว เป็นจิตออกไป พ้นไป หลุดไปจากความอยาก
ภิกษุทั้งหลาย คำว่า ความอยาก นี้ เป็นชื่อของเบญจกามคุณ
สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำธัมมานุสสตินี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้.

เมื่อบุคคลใดสวดอิติปิโสพร้อมคำแปลแล้วน้อมจิตระลึกถึงพระธรรมที่ตถาคตตรัสไว้ดีแล้วเช่นนี้ๆ
ย่อมได้ระลึกถึงคุณของพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน เป็นการเจริญในธัมมานุสสติกรรมฐานเป็นเบื้องต้นแล้ว


                บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว )
อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว )
ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว )
สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว )
ยะทิทัง ( ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ )
จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา ( คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ )
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า )
อาหุเนยโย ( เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา )
ปาหุเนยโย ( เป็นผู้ควรแก่สักการะที่จัดไว้ต้อนรับ )
ทักขิเนยโย ( เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน )
อัญชะลีกะระนีโย ( เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี )
อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ. ( เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้ )

นี่คือการระลึกในสังฆานุสติที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ใน อนุสสติกรรมฐาน

อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อญายธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ
นี้คือคู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นั่นคือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรของคำนับ
ควรของต้อนรับ ควรของทำบุญ ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวก ย่อมระลึกถึงพระสงฆ์
สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว เป็นจิตออกไป พ้นไป หลุดไปจากความอยาก
ภิกษุทั้งหลาย คำว่า ความอยาก นี้ เป็นชื่อของเบญจกามคุณ
สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำสังฆานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้.

เมื่อบุคคลใดสวดอิติปิโสพร้อมคำแปลแล้วน้อมจิตระลึกถึงพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าแล้วเช่นนี้ๆ
ย่อมได้ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นการเจริญในสังฆานุสสติกรรมฐานเป็นเบื้องต้นแล้ว
31  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิตก วิจาร เมื่อ: ตุลาคม 27, 2013, 06:29:35 pm
       

                  วิตก-วิจาร




๑. วิตกเจตสิก คือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์
กล่าวอย่างธรรมดาสามัญ ก็คือการคิด การนึกถึงอารมณ์
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

มีการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เป็นลักษณะ
มีการกระทำให้จิตกระทบอารมณ์บ่อยๆ เป็นกิจ
มีจิตที่ทรงอยู่ในอารมณ์ เป็นผล
มีนามขันธ์ทั้ง ๓ ที่เหลือ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้


วิตกเจตสิก คือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์นี้ มีความหมายใกล้เคียงกับเจตนาเจตสิก
ความตั้งใจในอารมณ์ และมนสิการ เจตสิก ความใส่ใจในอารมณ์
เพื่อให้เกิดความแตกต่างกัน จึงมีอุปมาด้วยเรือแข่งว่า

เจตนาเจตสิก อุปมาดังคนพายหัว ต้องคว้าธงให้ได้
อันหมายถึงความสำเร็จ คือชัยชนะ
มนสิการเจตสิก อุปมาดังคนถือท้าย ต้องคัดวาดเรือให้ตรงไปยังธงอันเป็นหลักชัย
วิตกเจตสิก อุปมาดังคนพายกลางลำ มุ่งหน้าจ้ำพายไปแต่อย่างเดียว




วิตกเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ยกจิตขึ้นสู่ความคิดนึก หรือตรึกไปในเรื่องราวต่าง ๆ
เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วบ้าง เรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง เช่น ไปดูภาพยนตร์
เรื่องที่สนุกสนานแล้ว นำมาเล่าสู่กันฟัง ผู้เล่าก็ยกจิตเล่าไปตาม เรื่องราว ผู้ฟังก็ยกจิต
ฟังตามเรื่องราวที่เล่า ทำให้เกิดความสนุก สนานไปด้วยไม่ง่วงเหงาหาวนอน

อุปมาเหมือนกับบุรุษไปรษณีย์ ที่นำจดหมายเรื่องโน้นเรื่องนี้ มาส่งทำให้จิต
ได้นึกคิดต่อ วิตกเจตสิก นี้เมื่อยกจิต ขึ้นสู่เรื่องราวบ่อย ๆ จะไม่เกิดอาการง่วง
คนที่นอนไม่หลับก็คือคนที่หยุดคิดไม่ได้ จิตจึงไม่ง่วงไม่หลับ ถ้าจะให้หลับ
ก็คือเลิกคิด หยุดคิดให้เป็นแล้ว จะหลับง่ายตามตั้งใจ






๒. วิจารเจตสิก คือ การประคองจิตให้อยู่ในอารมณ์
กล่าวอย่างธรรมดาสามัญก็ว่า คิดบ่อยๆ นั่นเอง
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

มีการพิจารณาอารมณ์บ่อยๆ เป็นลักษณะ
มีการทำให้สหชาตธรรมประกอบในอารมณ์ เป็นกิจ
มีการตกแต่งจิตให้อยู่ในอารมณ์ เป็นผล
มีนามขันธ์ทั้ง ๓ ที่เหลือ ( เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ ) เป็นเหตุใกล้


วิจารเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ประคับประคองจิต ไว้ในเรื่องราวหรืออารมณ์ต่างๆ
ตามที่ต้องการมิให้ไปที่อื่น การทำงานของวิตกเจตสิก และวิจารเจตสิกนี้
ใกล้ชิดกันมาก เหมือนกับนกที่บินถลาอยู่กลางอากาศ เมื่อกระพือปีกแล้ว
จะร่อนถลาไป วิตกเจตสิกเหมือนกับ การกระพือปีกของนก วิจารเจตสิกเหมือนกับ
การร่อนถลาไปของนก ซึ่งจะเห็นว่าการร่อนถลาไปของนก คือวิจารเจตสิกนั้น
มีความสุขุมกว่าการกระพือปีก คือวิตกเจตสิก ทั้งสองนี้จะทำงานร่วมกันเสมอ
สำหรับบุคคลที่ยังไม่ถึงฌาน ถ้าเป็นจิตของผู้ถึงฌานที่ ๑ และฌานที่ ๒ แล้ว
เจตสิกทั้งสองนี้ จะแยกออกจากกัน นอกจากนี้ วิจารเจตสิก
ยังเป็นปรปักษธรรมกับวิจิกิจฉาเจตสิกที่อยู่ ในนิวรณธรรม





(หมายเหตุ)
ฌานังคะ หรือ องค์ฌาน มี ๗ ประการ คือ
๑. วิตก องค์ธรรมได้แก่ วิตกเจตสิก
ที่ในกามจิต ๔๔ (เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐) ปฐมฌานจิต ๑๑ รวม ๕๕
๒. วิจาร องค์ธรรมได้แก่ วิจารเจตสิก
ที่ในกามจิต ๔๔ (เว้นทวิปัญจ วิญญาณ ๑๐) ปฐมฌานจิต ๑๑
ทุติยฌาน ๑๑ รวม ๖๖




อ้างอิง

http://www.buddhism-...ction04A_03.htm

http://aphidham.mcu.ac.th/ (ปริเฉท 1, 2 , 7)


ขอขอบคุณที่มาจาก http://larndham.org/index.php?/topic/16622-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%81-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2/
32  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยการอบรมจิต เมื่อ: ตุลาคม 14, 2013, 09:56:28 pm

กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมจิต


ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง "กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมจิต" ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้



๓. ว่าด้วยเรื่องการอบรมจิต
                               

หลายๆคนคงสงสัยแต่ไม่เข้าใจสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆว่า การอบรมจิตมันคือสิ่งใด คืออะไร อย่างไหนจึงเรียกว่าถูกต้อง
การอบรมจิตยที่พระตถาคตตรัสไว้ดีแล้วนั้น คือ

ก. รู้ว่าสิ่งไหนที่ควรเสพย์ และ สิ่งไหนไม่ควรเสพย์
ธรรมารมณ์ที่ควรเสพย์ และ ธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพย์
ธรรมารมณ์ที่ไม่ควรเสพ  (รู้)
           ดูก่อนสารีบุตร      เมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่ร้ได้ทางมโนแบบไร
อกุศลธรรมทั้งหลายจะเจริญขึ้น   แต่กุศลธรรมทั้งหลายกลับเสื่อมลง   ธรรมา-
รมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบนี้   ไม่ควรเสพ.         
ธรรมารมณ์ที่ควรเสพ (รู้)
           ดูก่อนสารีบุตร  แต่ว่าเมื่อบุคคลเสพธรรมารมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบไร
อกุศลธรรมทั้งหลายจะเสื่อมลง    แต่กุศลธรรมทั้งหลายกลับเจริญขึ้น   ธรรมา-
รมณ์ที่รู้ได้ทางมโนแบบนี้   ควรเสพ.                                                 
            ข้อนั้นใด  ที่เราตถาคตกล่าวไว้ดังนี้ว่า    ดูก่อนสารีบุตร  เราตถาคต
กล่าวถึงธรรมารมณ์  ที่รู้ได้ทางมโน ไว้ ๒ อย่างคือ  ที่ควรเสพอย่าง ๑ ที่ไม่
ควรเสพอย่าง ๑   เราตถาคตอาศัยเนื้อความดังว่ามานี้    จึงได้กล่าวไว้แล้ว

ข. รู้ว่าสิ่งนี้ๆ ขณะใดๆ เราควรอดใจไว้ อดโทษไว้ รู้ว่าควรละ รู้ว่าควรปล่อย รู้ว่าควรวาง
ความรู้จักอด รู้จักละ รู้จักปล่อย รู้จักวาง เหล่านี้ คือ ขันติ
(ความอดทน อดกลั้นแล้วขัดใจขุ่นมัวใจนั่นไม่ใช่ขันตินะครับ นั่นเป็นขันอัด อาศัยความคิดไม่ว่าจะเป็นกุศลก็ดี หรือ อกุศลก็ดีกดข่มไว้)
เราจะเข้าถึงขันติจิตได้อย่างไร เราก็ต้องเจริญปฏิบัติดังนี้ คือ
- ศีล + พรหมวิหาร๔ ทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นธรรม 2 ที่เจริญคู่กันแล้วเป็นประโยชน์สุขอันมาก
   มีอานิสงส์คือ ไม่ร้อนรุ่มใจ ไม่ร้อนรนใจ ไม่มัวหมองใจ ไม่เศร้าหมองใจ มีกุศลจิตเกิดอยู่เป็นปกติจิต
- พิจารณาเห็นคุณและโทษของสิ่งนั้นๆที่เราพึงเอามาตั้งเป็นอารมณ์แห่งจิตอยู่
- พิจารณาเลือกในสิ่งที่ควรเสพย์และไม่ควรเสพย์

ค. รู้วางใจไว้กลางๆ ไม่หยิบจับเอาทั้งความพอใจยินดีและความไม่พอใจยินดีมาเป็นที่ตั้งแห่งจิต
ความรู้จังวางใจไว้กลางๆ ความวางเฉย คือ อุเบกขาจิต
(อุเบกขาจิตมีอยู่ 2 ประเภท คือ กุศล และ อกุศล ส่วนทางเข้าถึงอุเบกขาจิตมีอยู่ 10 แบบ)
เราจะเข้าถึงอุเบกขาจิตได้อย่างไร เราก็ต้องเจริญปฏิบัติดังนี้ คือ
   (วิธีเข้าอุเบกขาจิตนี้ๆเป็นหลักเบื้องต้นในการเข้าถึงได้สำหรับผู้ที่เริ่มปฏิบัติ ผมจะไม่กล่าวถึงในส่วนที่ผมยังไม่ถึง นั่นคือ อุเบกขาสำหรับผู้ที่ บรรลุแล้ว หรือพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เพราะผมยังไม่ถึงแม้จะหาตำรามาเปิดกล่าวได้มันก็ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เพราะได้แค่บ่นแต่ไม่ถึงจริง ไม่เห็นจริง)
- เจริญขันติให้เกิดขึ้นแก่จิต
- เห็นเหตุ(สมุทัย)ที่ทำให้เราติดข้องใจในสิ่งไรๆ จนเกิดเป็นความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีเหล่านั้น
- ละที่เหตุ(สมุทัย)นั้นๆไปเสีย โดยเจริญระลึกอยู่เนืองๆว่า..สิ่งนี้ๆไม่ใช่เรา สิ่งนี้ๆไม่ใช่ของเรา มันแค่มาอาศัยเกิดประกอบปรุงแต่งเท่านั้น เมื่อเข้าไปร่วมกับมัน หรือ เข้าไปเสพย์มัน ไม่ว่าจะพอใจยินดีหรือไม่พอใจยินดีมันก็มีแต่ทุกข์ หาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้

ง. รู้เห็นตามจริงด้วยปัญญา
- เจริญตามในข้อ ก-ค เจริญปฏิบัติให้มีจิตตั้งมั่นชอบ สงบรำงัยจาก กาม ราคะ โมหะ พยาบาท
- พิจารณาให้รู้เห็นตามจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเรานี้ มันมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และ ดับไปเป็นธรรม มันไม่เที่ยง คือ
   มีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีความสูญสลายไปเป็นธรรมดา ไม่ด้วยการดูแลรักษา ไม่ก็สภาพแวดล้อม -
   ไม่ก็ด้วยกาลเวลา หรือ สภาวะธรรมปรุงแต่งภายใน ไม่ก็ด้วยความตายอย่างใดอย่างหนึ่ง
- พิจารณาให้รู้เห็นตามจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับเรา มันไม่มีตัวตนอันที่จะบังคับ ยื้อยึด ฉุดรั้งให้มันเป็นไปดั่งใจได้
   ก็สิ่งใดๆเหล่านี้..เราไม่สามารถจะไปบังคับให้มันคงอยู่ตลอดไป หรือ ให้บังคับให้มันดับไปไม่เกิดขึ้นอีก ตามที่ใจเราปารถนาไม่ได้
- เห็นตามจริงด้วยปัญญาถึงความไม่ใช่เรา และ ไม่ใช่ของเรา กับสิ่งใดๆเหล่านี้
- เห็นด้วยปัญญาด้วยตัดจากความปรุงแต่งนึกคิดว่า..สิ่งใดๆเหล่านี้มันสักแต่เป็นเพียงแต่สภาพธรรมหนึ่งๆที่มากระทบสัมผัสให้รับรู้เท่านั้น
  แล้วมันก็ดับไป หากไม่ปรุงแต่งนึกคิดต่อเติมเรื่องราวใดๆในสิ่งนั้นมันก็ไม่เกิดทั้งความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดี
- เห็นด้วยปัญญาด้วยตัดจากความปรุงแต่งนึกคิดว่า..สิ่งใดๆเหล่านี้มันสักแต่เป็นเพียงแต่สภาพธรรมหนึ่งๆที่มากระทบสัมผัสให้รับรู้เท่านั้น
  แล้วมันก็ดับไป หากไม่ปรุงแต่งนึกคิดต่อเติมเรื่องราวใดๆในสิ่งนั้นมันก็ไม่มีตัวตนบุคคลใดสักแต่เป้นเพียงแค่ ธาตุ เป็น รูปและนามที่มากระทบเท่านั้น
- เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น รู้รสก็สักแต่ว่ารู้รส รู้การกระทบสัมผัสทางกายก็สักแต่ว่ารู้สัมผัส รู้ธรรมารมณ์ใดๆทางใจก็สักแต่รู้ว่าเป็นธรรมารมณ์ ไม่เข้าไปร่วม ไม่เข้าไปเสพย์ สักเพียงแต่ว่ารู้เท่านั้น





****** ความหมายของอารมณ์และธรรมารมณ์ในทางธรรม****

อารมณ์ กับ ธัมมารมณ์
ลองดูคำว่า  "อารมณ์" กันก่อนละกันนะคับ
จะได้เข้าใจคำว่า "อารมณ์" ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นน่ะคับ

คำว่า "อารมณ์"  หมายถึงสิ่งที่จิตรู้
จิตกำลังรู้สิ่งใด...สิ่งนั้นนั่นแหละเป็นอารมณ์ของจิตในขณะนั้น
อันนี้คิดว่าคงเข้าใจแล้วนะคับ  แต่จะแยกออกให้เห็นดังนี้คือ....

ทางตา........รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้นคือ  รูปารมณ์  (สี)
ทางหู.........รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้นคือ  สัททารมณ์  (เสียง)
ทางจมูก....รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้นคือ  คันธารมณ์  (กลิ่น)
ทางลิ้น.......รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้นคือ  รสารมณ์  (รส)
ทางกาย.....รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้น (แต่มี 3 ลักษณะ) คือ  โผฏฐัพพารมณ์
(ได้แก่สัมผัสทางกาย  คือสภาพที่เย็นร้อนอันได้แก่ธาตุไฟ...อ่อนแข็งอันได้แก่ธาตุดิน...เคร่งตึงหรือไหวเคลื่อนอันได้แก่ธาตุลม)

สำหรับทางใจ
จะรับรู้อารมณ์ต่อจากทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย
ก็คือรับรู้  รูปารมณ์  สัททารมณ์  คันธารมณ์  รสารมณ์  โผฏฐัพพารมณ์
และนอกเหนือจากอารมณ์ทั้ง 5 ที่กล่าวมาแล้ว
ทางใจยังรับรู้อารมณ์อื่นๆ อีกทั้งหมด
ซึ่งไม่สามารถรับรู้ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกายเลย

สิ่งที่รับรู้ได้เฉพาะทางใจอย่างเดียวเท่านั้น....นี่แหละคับเรียกว่า  "ธัมมารมณ์"
ซึ่งเมื่อประมวลแล้วก็ได้แก่....ปสาทรูป...สุขุมรูป (รูปที่ละเอียด)...จิตและเจตสิกทั้งหมด...นิพพาน
และบัญญัติธรรม (ชื่อ คำ เรื่องราว ความหมายต่างๆ ฯลฯ)

จะเห็นได้ว่าทางใจนี่รับรู้ได้หมดทุกอารมณ์เลย
สมจริงดังว่า...ทุกอย่างรวมลงที่ใจ

จะสังเกตได้นะคับว่า
รูปารมณ์...สัททารมณ์...คันธารมณ์...รสารมณ์...โผฏฐัพพารมณ์
อารมณ์ทั้ง 5 นี้แม้เมื่อทางใจรับรู้ต่อจากทางปัญจทวารแล้ว
ก็ยังคงเป็น  รูปารมณ์...สัททารมณ์...คันธารมณ์...รสารมณ์...โผฏฐัพพารมณ์  อยู่นั่นเอง
ไม่ได้กลายไปเป็น  ธัมมารมณ์  แต่อย่างใดนะคับ

สิ่งไหนที่เป็นอารมณ์อย่างใด  ก็ต้องเป็นอย่างนั้นเสมอ
ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาน่ะคับ
เช่น  สี  เมื่อรับรู้ทางตา  เป็นรูปารมณ์
พอมารับรู้ทางใจ  ก็ยังคงเป็นรูปารมณ์  ไม่ใช่ไปเป็น  ธัมมารมณ์  น่ะคับ
เสียง  กลิ่น  รส  ธาตุดิน/ธาตุไฟ/ธาตุลม  ก็เช่นกันคับ
แม้ทางใจจะรับรู้ต่อจาก  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกายแล้ว
ก็ยังคงเป็น  สัททารมณ์...คันธารมณ์...รสารมณ์...โผฏฐัพพารมณ์
ไม่ใช่กลายไปเป็น  ธัมมารมณ์  น่ะคับ

แต่ว่า...สิ่งที่นึกคิดต่อเนื่องออกไปอีกนั้นเอง  คือ ธัมมารมณ์
เช่น  ทันทีที่ทางตารับรู้รูปารมณ์ (สี)...แล้วทางใจก็รับรู้รูปารมณ์นั้นต่อ
หลังจากนั้น...ก็นึกคิดเป็นชื่อ  คำ  เรื่องราวความหมายต่างๆ ขึ้นมา
เป็นคน  เป็นสัตว์  เป็นสิ่งของต่างๆ ขึ้นมา...ตรงนี้แหละที่เป็น  ธัมมารมณ์
แล้วก็เกิดความชอบ-ชัง  รัก-เกลียด  ฯลฯ ตามมา...นี่ก็เป็นธัมมารมณ์อีกเช่นกันน่ะคับ

ขอขอบคุณ คุณเดฟแห่งวัดเกาะ ที่อธิบายความหมายของ ธรรมารมณ์  ให้เข้าใจอย่างละเอียดตามข้างต้นนี้ครับ
33  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมสมาธิ เมื่อ: ตุลาคม 14, 2013, 09:49:29 pm

กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมสมาธิ


ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง "กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมสมาธิ" ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้



๒. ว่าด้วยเรื่องการอบรมสมาธิ
                               


หลายๆคนคงสงสัยแต่ไม่เข้าใจสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆว่า การอบรมสมาธิมันคือสิ่งใด คืออะไร อย่างไหนจึงเรียกว่าถูกต้อง
การอบรมกายที่พระตถาคตตรัสไว้ดีแล้วนั้น คือ

ก. การทำให้จิตผ่องใส ไม่ร้อนรุ่มร้อนรนใจ มีความชื่นบานใจ อิ่มเอมใจ เป็นปกติ
ข. การทำให้จิตสงบเย็นกายเย็นใจ เป็นสุขรื่นเริงใจ ไม่มีความติดข้องใจไรๆ เป็นปกติ
ค. มีจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว มีความว่างรำงับจาก กาม ราคะ โมหะ พยาบาท เป็นปกติ
ง. เมื่อหวนระลึกถึงสิ่งใดๆ หรือ ตามระลึกรู้ในสิ่งใดๆ จิตก็มีแต่สภาพที่แลดูอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ เป็นปกติ
จ. เมื่อหวนระลึกถึงสิ่งใดๆ หรือ ตามระลึกรู้ในสิ่งใดๆ จิตก็ไม่ปรุงแต่งส่งต่อเรื่องราวอันอกุศลลามก เป็นปกติ
ฉ. เมื่อหวนระลึกถึงสิ่งใดๆ หรือ ตามระลึกรู้ในสิ่งใดๆ จิตก็สักแต่เห็นความเกิดขึ้น แลเห็นความเป็นไปตามจริง ไม่ตกอยู่ในสภาวะที่ตรึกนึกคิดโดยความ อนุมานเอา

- สภาวะนี้ๆ คือ สัมมาสมาธิ ที่ควรแก่งาน
- ทีนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ทำไมเราค้องมีสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธินั้น มีไว้เพื่อให้ถึงยถาภูตญาณทัสนะ คือ ปัญญารู้เห้นตามจริง

๒.๑ การเตรียมตัวเพื่อปฏิบัติกรรมฐานให้ถึงสัมมาสมาธิ

เราจะเริ่มทำสมาธิ หรือ จะเจริญปฏิบัติในทางใดๆตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนก็แล้วแต่ เราพึงควรเจริญดังนี้ คือ

    ๒.๑.๑ ข้อแรกที่สำคัญที่สุดเมื่อเราจะ ยืนก็ดี นั่งก็ดี เดินก็ดี นอนก็ดี ให้ระลึกนึกคิด คำนึงถึงอยู่เสอๆว่า
            - พระพุทธเจ้ามาอยู่ตรงหน้าเราแล้วในขณะนี้
            - พระตถาคตทรงกำลังดูเราเจริญปฏิบัติอยู่ เราต้องสำรวมระวังปฏิบัติให้พระตถาคตเห็นในความเพียร สำรวมระวังของเราอยู่ทุกขณะ
            - หมั่นระลึกถึงบารมีของพระตถาคตเป็นที่ตั้ง
            - พึงระลึกในใจว่าเราจักปฏิบัติตามรอยพระพุทธเจ้า เดินตามทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน

    ๒.๑.๒ แล้วระลึกตั้งเจตนากล่าวกะพระพุทธเจ้า ว่า

            ก. ข้าพระพุทธเจ้าจักพึงตั้งจิตเจริญใน อิทธิบาท๔  คือ

            ๑. ฉันทะ คือ มีความความพอใจยินดี ในการเจริญปฏิบัติทาง กาย วาจา และ ใจ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน เพื่อให้ถึงการพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
            ๒. วิริยะ คือ ความเพียรพยายามกระทำในการเจริญปฏิบัติทาง กาย วาจา และ ใจ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน เพื่อให้ถึงการพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ไม่ละทิ้งไป
            ๓. จิตตะ คือ ความเอาใจฝักใฝ่ในการเจริญปฏิบัติทาง กาย วาจา และ ใจ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ไม่ปล่อยใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย
            ๔. วิมังสา คือ ความพิจารณาใคร่ครวญพิจารณาในสิ่งนั้นด้วยปัญญา ถึงเหตุและผลในการปฏิบัติแต่ละอย่างว่าเป็นเช่นไรควรหรือไม่ควรอย่างไร

            ข. ข้าพระพุทธเจ้าจักพึงตั้งจิตเจริญใน จรณะ ๑๕ เพื่อให้เข้าถึงใน อิทธิบาท๔ ข้างต้น คือ

                                    (จาก พระราชพรหมญาณ หนังสือ พรหมวิหาร ๔)

คำว่า จรณะ แปลว่า ความประพฤติที่พวกเราจะต้องประพฤติปฏิบัติกันเป็นประจำ จะถือว่าจรณะ ๑๕ เป็นจริยาที่พระอริยะเจ้าจะต้องประพฤติปฏิบัติแต่ฝ่าย เดียวก็หามิได้

สำหรับจรณะ ๑๕ นี่ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีความบกพร่องในข้อใดข้อหนึ่ง ก็มีหวังว่าในปัจจุบันก็ดี สัมปรายภพก็ดี ท่านจะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ หากว่าจะมีความสุขบ้างก็เป็นความสุขที่ไม่สมบูรณ์

สำหรับจรณะ ๑๕ นี้ท่านแบ่งออกเป็น ๓ หมวดด้วยกัน

สำหรับหมวดต้น มีอยู่ ๔ ข้อ คือ

๑. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล สำหรับพระก็ได้แก่พระวินัย ที่มาในพระปาฏิโมกข์ ( มี ๒๒๗ ข้อ ) และก็มาทั้งนอกพระปาฏิโมกข์ ( ที่เราเรียกว่า อภิสมาจาร ) สำหรับเณรก็ต้องปฏิบัติในศีล ๑๐ ให้ครบถ้วน และก็มีเสขิยวัตรอีก ๗๕ ข้อ รวมเป็น ๘๕ สิกขาบท สำหรับอุบาสก อุบาสิกา อันดับต่ำสุดก็ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์

๒. อินทรีย์สังวร สำรวมอินทรีย์ คือ ตา ห จมูก ลิ้น กาย ใจ อินทรีย์ แปลว่า ความความเป็นใหญ่ คือ ตา เป็นใหญ่ในการเห็นรูป หู เป็นใหญ่ในการฟังเสียง จมูก เป็นใหญ่ในการสูดกลิ่น ลิ้น เป็นใหญ่ในการรู้รส กาย เป็นใหญ่ในการสัมผัส ใจ เป็นใหญ่ในความรู้สึก สังวร แปลว่า ระวัง ท่านบอกว่าไม่ให้มันยินดียินร้าย ในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัสทางกาย รู้ทำอารมณ์ด้วยใจ

๓. โภชเนมัตตัญญุตา รู้ความพอดีในการกินอาหาร คือไม่ละโมบโลภมากเกินไป รู้จักประมาณในการกิน

๔. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรของบุคคลผู้ตื่นอยู่

หมวดที่ ๒ ท่านเรียกว่า สัจจธรรม มี ๗ ข้อ คือ

๑. ศรัทธา ความเชื่อ เรามีความเชื่อในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนใดที่เป็นคำสั่งพระองค์ห้าม เราไม่ปฏิบัติตาม ส่วนใดที่เป็นธรรมะที่เป็นความดีที่พระองค์สนับสนุน เราปฏิบัติตาม

    ** ผมได้พบได้รู้ได้เห็นกับตนเองมาหลายครั้งในเรื่องของศรัทธาในคำสอนปฏิบัตินี้ เวลาเราเจริญปฏิบัติกรรมฐาน เช่น อานาปานุสสติ เราจักเป็นผู้รู้กองลมทั้งสิ้นนี้ มันเกิดประโยชน์จริงหรือไหนบอกหลุดพ้นเพราะวิปัสนาหลายคนบอกให้ศึกษาอภิธรรม ทำให้เกิดความแครงใจ คลอนแคลนใจ เมื่อปฏิบัติไปมันก็เข้าไม่ถึงแม้ขณิกสมาธิ มันคิด มันฟุ้งซ่าน มันว้าวุ่นไม่รู้จบ ผมจึงท้อแล้วละทิ้งการปฏิบัติทั้งสิ้นไปแต่เมื่อพออ่านพระสูตรต่างๆในพระไตรปิฎกบ้าง คำสอนหลวงพ่อทั้งหลายบ้าง เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดุลย์ พระราชพรหมญาณ ทั้ง 3 ท่าน บอกว่าพระพุทธเจ้ารู้ลมหายใจมากที่สุด รู้ตลอดเวลา สิ่งแรกที่รู้ตถาคตก็รู้ที่ลมหายใจไม่ใช่ที่ไหน บรรลุก็ด้วยอาศัยลมหายใจ ไม่รู้ลมหายใจก่อนก็รู้สิ่งอื่นได้ยากเว้นแต่สะสมมาดีแล้ว เมื่อผมได้อ่านศึกษาวิธีปฏิบัติในกายคตาสติที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ แล้วเจริญตามนั้นด้วยมีจิตศรัทธาแน่วแน่ไม่ไหวหวั่น ไม่เคลือบแคลงใจ เพียงชั่วขณะลมหายใจเข้า-ออกผมก็ตั้งอยู่ในอารมณ์อุปปะจาระสมาธิ ต่อถึงอัปปะนาสมาธิได้โดยง่ายและทรงอารมณ์ได้นานเป็นอย่างนี้เสมอๆทุกครั้ง แต่พอไปอ่านไปเจอสิ่งใดๆอย่างอื่นหรือเราเกิดความครางแครงในใจกับสิ่งที่เราเจริญปฏิบัติอยู่นั้น เมื่อศรัทธาเสื่อมความตั้งใจ ตั้งมั่นในธรรมที่ปฏิบัติอยู่ก็เสื่อม ต่อมาให้ทำอย่างไรก็ไปไม่ถึง ก็ไปไม่ถึง จนเกิดความโทมนัส แล้วละทิ้งการปฏิบัติไปหลายครั้ง ความศรัทธาข้อนี้จึงสำคัญต่อผู้ปฏิบัติมาก **

๒. หิริ ความละอายแก่ใจ ถ้าอารมณ์มันคิดจะทำชั่ว จงมีความละอายว่า เราเห็นจะเลวมากไปเสียแล้ว ถ้าจิตมันชั่ว เราก็อายความเป็นคนว่า ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคนแล้วไม่น่าจะทำความชั่ว

๓. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความผิด

๔. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก จำได้มากแต่เอาตาเป็นตากระทู้ เอาหูเป็นหูกะทะ เห็นคนสอนก็เห็น ได้ยินคำสอนก็ได้ยิน แต่ไม่จำ มันจะเป็นพาหุสัจจะไม่ได้

๕. วิริยะ มีความเพียร คือ ความเพียรสละความชั่ว ประพฤติแต่ความดี

๖. สติ ระลึกได้ นึกได้ว่าเราเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ระลึกได้ว่าเราเป็นผู้สำรวมในอินทรีย์ นึกได้ว่าเราจะบริโภคอาหารอยู่แต่พอสมควร นึกได้ว่าเราจะเป็นผู้ประกอบความเพียรของบุคคลผู้ตื่นอยู่ เป็นต้น

๗. ปัญญา ความรอบรู้ จงใช้ปัญญาพิจารณาอารมณ์จิตว่า เวลานี้อารมณ์จิตของเรายังมีความผูกพันอยู่ในร่างกายหรือเปล่า เวลานี้เราสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรหรือเปล่า และปัญญาพิจารณาศีลที่เรารักษาตามสภาวะของตัว อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง

สำหรับหมวด ๓ นี้มี ๔ ข้อด้วยกัน ได้แก่ พวกรูปฌาน คือ

๑. ปฐมฌาน ฌานที่ ๑

๒. ทุติยฌาน ฌานที่ ๒

๓. ตติยฌาน ฌานที่ ๓

๔. จตุตถฌาน ฌานที่ ๔

ถ้าหากท่านทั้งหลายได้ทรงฌานที่ ๑ ก็ดี ฌานที่ ๒ ก็ดี ฌานที่ ๓ ก็ดี ถึงฌานที่ ๔ ยิ่งดีมาก ในเวลาเช้ามืด เช้ามืดนี่เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าตอนเช้าจิตของท่านทรงฌานได้ ปล่อยให้อารมณ์แนบสนิทตามที่กำลังจะทรงได้ นั่นก็หมายความว่า จรณะ ๑๕ ข้อ คือ

๑. สีลสัมปทา ท่านก็เป็นผู้มีศีลสมบูรณ์บริสุทธิ์ ศีลไม่บกพร่อง

๒. อินทรีย์สังวร การสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ดีทั้งหมด เพราะใจมันทรงตัวในด้านกุศล ตาไม่เสีย หูไม่เสีย จมูกไม่เสีย เป็นต้น

๓. โภชเนมัตตัญญุตา การรู้จักประมาณในการบริโภค ผู้ทรงฌานนี่ฉันอาหารไม่มากนัก แต่ยังไม่ถึงกับไปลดอาหารมันนะ ปล่อยมันตามสบาย เพราะอาการทางใจมันอิ่ม เรื่องลดอาหารไม่มีการยุ่ง พิจารณาอยู่เสมอว่าเรากินเพื่อทรงอยู่ เพื่อความหลงไม่มี

๔. ชาคริยานุโยค ก็เป็นผู้มีสติสมบูรณ์เหมือนคนตื่นอยู่

๕. ศรัทธา ความเชื่อในพระพุทธเจ้ามีสมบูรณ์แบบ ไม่บกพร่อง

๖. ความละอายต่อบาป คือ หิริ
   
๗. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่วมีอยู่

๘. พาหุสัจจะ ความทรงจำของผู้มีสมาธิดี จะอยู่เป็นปกติ

๙. วิริยะ ความเพียรก็จะทรงตัว

๑๐. สติ ก็จะทรงอยู่เสมอ

๑๑. ปัญญา จะรอบรู้ เพราะปัญญานี้จะเกิดได้ก็อาศัยกำลังของสมาธิเป็นสำคัญ

เป็นอันว่า เมื่อบรรดาท่านพระโยคาวจรทุกท่านสามารถทรงฌานได้ จะเป็นฌานไหนก็ตามและจิตของท่านไม่ละเมิด ไม่ละทิ้งในฌาน ในยามเช้ามืด เป็นอันว่าจรณะทั้ง ๑๕ ประการจะสมบูรณ์แบบ เสมือนหนึ่งว่า ท่านเป็นผู้ทรงอิทธิบาท ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์ และก็สามารถจะทรงความดีในบารมี ๑๐ ประการ ได้ครบถ้วน


จรณะ ๑๕ ที่มาจาก http://www.luangporruesi.com/321.html

 
34  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมกาย เมื่อ: ตุลาคม 14, 2013, 02:35:04 pm

กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมกาย


ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง "กรรมฐานชาวบ้าน ว่าด้วยเรื่องการอบรมกาย" ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้



๑. ว่าด้วยการอบรมกาย
                               

หลายๆคนคงสงสัยแต่ไม่เข้าใจสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆว่า การอบรมกายมันคือสิ่งใด คืออะไร อย่างไหนจึงเรียกว่าถูกต้อง
การอบรมกายที่พระตถาคตตรัสไว้ดีแล้วนั้น คือ

ก. การอบรมไม่ให้กายนั้นต้องทรมานเกินไป เช่น
     - อดข้าว
     - กลั้นลมหายใจจนหายใจออกทางหู หรือ ผิวหนัง
     - ทรงอิริยาบถที่ทรมานกาย
ข. การอบรมไม่ให้กายนั้นต้องสบายมากเกินไป เช่น
     - กินเพราะอยาก
     - เสพย์เมถุน
     - ปล่อยตัวไปตามที่ทะยานอยาก จนทำร้ายเบียดเบียนคนอื่น
ค. การอบรมในทางสายกลางเป็นสิ่งที่ควรเจริญ คือ
     - มีอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ที่ไม่กระทำทางกายเพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
     - ไม่เค่งทำให้กายทรมาน เสื่อมโทรม
     - ไม่หละหลวมกระทำทางกายที่เป็นอกุศลกรรมใดๆ
     - มีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม+สติระลึกรู้แลดูอยู่รู้เท่าทันในอายตนะทั้ง 5 มีความสำรวมระวังในอายตนะทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย อยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสมดีงาม
     - มีสีลสังวรสำรวมกาย วาจา โดยอาศัยการพึงระลึกตรึกนึกในกุศลวิตก พิจารณาเห็นคุณและโทษจากเจตนาทางกายและวาจา คือ คุณและโทษกรรมที่กระทำทางกายและวาจาอยู่เนืองๆ เมื่อรู้อารมณ์ใดๆทางสฬายตนะให้พึงมี "ขันติ" คือ มีความอดทนอดกลั้น ทนได้ทนไว้ ด้วยรู้จักปล่อย รู้จักละ รู้จักวางในอารมณ์ที่รับรู้ เข้าสู่ "โสรัจจะ" คือ มีสีลสังวรณ์สำรวมกายและวาจาไว้ สงเคราะห์ลงใน กุศลกรรมบท ๑๐ และ สัลเลขสูตร

ง. การอบรมกายนี้ ดั่งข้อที่ ๑.๑-๑.๓ ข้างต้นนี้ เป็นไปเพื่อไม่ให้กายนี้เสื่อมสภาพเกินกาลอันควร เป็นไปเพื่อไม่ให้กระทำในกายการอันประมาท ไม่ทำในกายให้เป็นอกุศลกรรม เป็นไปเพื่อความมีสภาพกายที่ดีเหมาะแก่การเจริญสมาธิให้จิตตั้งมั่น
     - การดำรงกายเพื่อให้สภาพจิตเรานั้นตั้งมั่นเป็นไฉน คือ การมีอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ที่ทำให้เกิดจิตตั้งมั่นได้ง่าย และ คงสภาวะจิตนั้นได้นาน
     - การดำรงกายเพื่อให้สภาพจิตเรานั้นไม่เกิดสภาวะที่ติดข้องขัดเคืองใจ ส่งผลให้สภาพจิตเรานั้นมัวหมองใจ เศร้าหมองใจ หรือ ติดใจเพลิดเพลินยินดี




การอบรมกายในอิริยาบถทั้ง ๔ โดย ย่อ มีดังนี้                         

๑.๑ การอบรมกายในอิริยาบถการ "ยืน"

- คือ การยืนโดยมีสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติระลึกในสภาวะที่ทรงอยู่ แลดูกำกับรู้ในอิริยาบถนั้น
- คือ การยืนโดยรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกขณะไม่ทิ้งไป
- คือ การยืนในท่าทีที่สำรวม ไม่แสดงการยืนที่ส่ออกุศล ลามกใดๆ
- เมื่อยืนอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่ายืนอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม+สติระลึกรู้เท่าทันสภาวะที่ทรงกายอยู่
- เมื่อยืนอยู่ก็รู้ลมหายใจเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา
- เมื่อยืนอยู่ก็ยืนด้วยความสำรวม มีความสงบรำงับไว้อยู่
- เมื่อยืนอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่ายืนอยู่ พิจารณาเห็นความไม่งามไม่น่าพิศมัยแห่งกายนี้ แลเห็นสักแต่เป็นเพียงธาตุที่มาประชุมกัน แลเห็นความเสื่อมไปแห่งกายนี้อยู่
- เมื่อยืนอยู่ก็รู้พิจารณาเห็นกายภายในอยู่ หมายถึง เข้าใจกายสังขารดังนี้อย่างแจ่มแจ้งในกายของตนเองบ้าง ที่มีเฉพาะตนบุคคลนั้นๆบ้าง
- เมื่อยืนอยู่ก็รู้พิจารณาเห็นกายภายนอกอยู่ หมายถึง เข้าใจกายสังขารดังนี้อย่างแจ่มแจ้ง ในกายของบุคคลอื่นๆบ้าง ว่าเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
- เมื่อยืนอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่ายืนอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม+สติระลึกรู้เท่าทันสภาวะที่ทรงอิริยาบถนั้นๆอยู่ ยืนตรงก็รู้ว่าตรง ยืนเอียงก็รู้ว่าเอียง ยืนแล้วปวดขาก็รู้ว่าปวด

๑.๒ การอบรมกายในอิริยาบถการ "เดิน"

- คือ การเดินโดยมีสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติระลึกในสภาวะที่ทรงอยู่ แลดูกำกับรู้ในอิริยาบถนั้น
- คือ การเดินโดยรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกขณะไม่ทิ้งไป
- คือ การเดินในท่าทีที่สำรวม ไม่แสดงการยืนที่ส่ออกุศล ลามกใดๆ
- เมื่อเดินอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่าเดินอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม+สติระลึกรู้เท่าทันสภาวะที่ทรงกายอยู่
- เมื่อเดินอยู่ก็รู้ลมหายใจเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา
- เมื่อเดินอยู่ก็ยืนด้วยความสำรวม มีความสงบรำงับไว้อยู่
- เมื่อเดินอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่าเดินอยู่ พิจารณาเห็นความไม่งามไม่น่าพิศมัยแห่งกายนี้ แลเห็นสักแต่เป็นเพียงธาตุที่มาประชุมกัน แลเห็นความเสื่อมไปแห่งกายนี้อยู่
- เมื่อเดินอยู่ก็รู้พิจารณาเห็นกายภายในอยู่ หมายถึง เข้าใจกายสังขารดังนี้อย่างแจ่มแจ้งในกายของตนเองบ้าง ที่มีเฉพาะตนบุคคลนั้นๆบ้าง
- เมื่อเดินอยู่ก็รู้พิจารณาเห็นกายภายนอกอยู่ หมายถึง เข้าใจกายสังขารดังนี้อย่างแจ่มแจ้ง ในกายของบุคคลอื่นๆบ้าง ว่าเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
- เมื่อเดินอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่าเดินอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม+สติระลึกรู้เท่าทันสภาวะที่ทรงอิริยาบถนั้นๆอยู่ ก้าวย่างอยู่ก็รู้ว่าก้าวย่างอยู่ ขาข้างใดก้าวย่างอยู่ก็รู้ว่าขาข้างใดกำลังก้าวย่างอยู่ ขาข้างใดแตะพื้นสัมผัสสิ่งใดๆก็รู้ว่าแตะพื้นอยู่สัมผัสสิ่งไรๆอยู่ สัมผัสแล้วมีสภาพอย่างไรก็รู้ในสภาพนั้นๆอยู่

๑.๓ การอบรมกายในอิริยาบถการ "นั่ง"

- คือ การนั่งโดยมีสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติระลึกในสภาวะที่ทรงอยู่ แลดูกำกับรู้ในอิริยาบถนั้น
- คือ การนั่งโดยรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกขณะไม่ทิ้งไป
- คือ การนั่งในท่าทีที่สำรวม ไม่แสดงการยืนที่ส่ออกุศล ลามกใดๆ
- เมื่อนั่งอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่านั่งอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม+สติระลึกรู้เท่าทันสภาวะที่ทรงกายอยู่
- เมื่อนั่งอยู่ก็รู้ลมหายใจเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา
- เมื่อนั่งอยู่ก็ยืนด้วยความสำรวม มีความสงบรำงับไว้อยู่
- เมื่อนั่งอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่านั่งอยู่ พิจารณาเห็นความไม่งามไม่น่าพิศมัยแห่งกายนี้ แลเห็นสักแต่เป็นเพียงธาตุที่มาประชุมกัน แลเห็นความเสื่อมไปแห่งกายนี้อยู่
- เมื่อนั่งอยู่ก็รู้พิจารณาเห็นกายภายในอยู่ หมายถึง เข้าใจกายสังขารดังนี้อย่างแจ่มแจ้งในกายของตนเองบ้าง ที่มีเฉพาะตนบุคคลนั้นๆบ้าง
- เมื่อนั่งอยู่ก็รู้พิจารณาเห็นกายภายนอกอยู่ หมายถึง เข้าใจกายสังขารดังนี้อย่างแจ่มแจ้ง ในกายของบุคคลอื่นๆบ้าง ว่าเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
- เมื่อนั่งอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่านั่งนอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม+สติระลึกรู้เท่าทันสภาวะที่ทรงอิริยาบถนั้นๆอยู่ นั่งขัดสมาธิอยู่ก็รู้ว่านั่งขัดสมาธิอยู่ นั่งบนเก้าอี้เอาขาลงเอาเท้าแตะพื้นก็รู้ว่านั่งบนเก้าอี้เอาขาลงเอาเท้าแตะพื้น

๑.๔ การอบรมกายในอิริยาบถการ "นอน"

- คือ การนอนโดยมีสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติระลึกในสภาวะที่ทรงอยู่ แลดูกำกับรู้ในอิริยาบถนั้น
- คือ การนอนโดยรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกขณะไม่ทิ้งไป
- คือ การนั่งในท่าทีที่สำรวม ไม่แสดงการยืนที่ส่ออกุศล ลามกใดๆ
- เมื่อนอนอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่านั่งอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม+สติระลึกรู้เท่าทันสภาวะที่ทรงกายอยู่
- เมื่อนอนอยู่ก็รู้ลมหายใจเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา
- เมื่อนอนอยู่ก็ยืนด้วยความสำรวม มีความสงบรำงับไว้อยู่
- เมื่อนอนอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่านอนอยู่ พิจารณาเห็นความไม่งามไม่น่าพิศมัยแห่งกายนี้ แลเห็นสักแต่เป็นเพียงธาตุที่มาประชุมกัน แลเห็นความเสื่อมไปแห่งกายนี้อยู่
- เมื่อนอนอยู่ก็รู้พิจารณาเห็นกายภายในอยู่ หมายถึง เข้าใจกายสังขารดังนี้อย่างแจ่มแจ้งในกายของตนเองบ้าง ที่มีเฉพาะตนบุคคลนั้นๆบ้าง
- เมื่อนอนอยู่ก็รู้พิจารณาเห็นกายภายนอกอยู่ หมายถึง เข้าใจกายสังขารดังนี้อย่างแจ่มแจ้ง ในกายของบุคคลอื่นๆบ้าง ว่าเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
- เมื่อนอนอยู่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่านอนอยู่ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม+สติระลึกรู้เท่าทันสภาวะที่ทรงอิริยาบถนั้นๆอยู่ นอนตะแครงขวาอยู่ก็รู้ว่านอนตะแครงขวาอยู่ นอนหลายอยู่ก็รู้ว่านอนหงายอยู่

๑.๕ การอบรมกายเมื่อรู้อารมณ์ทางตาและหู "มองเห็นและได้ยิน"

- เมื่อมองก็รู้ว่าขณะนี้ตนกำลังมองอยู่
- เมื่อฟังเสียงอยู่ก็รู้ว่าขณะนี้ตนกำลังฟังเสียงอยู่
- เมื่อเห็นหรือได้ยินสิ่งไรๆสภาพไรๆก็รู้ว่าตนมองเห็นสิ่งนั้นๆได้ยินเสียงนั้นๆในสภาวะสภาพนั้นๆอยู่
- เมื่อเกิดอารมณ์ความรู้สึกไรๆขึ้น ให้พึงตั้งขันติไว้ พิจารณาเห็นคุณและโทษโดยยกสติขึ้นแยกจากอารมณ์ความรู้สึกนั้นๆว่า หากเราได้กระทำสิ่งไรๆทางกายและวาจาตามที่ใจใคร่ปารถนาต้องการนั้นมันเป็นคุณหรือเป็นโทษ
- พึงตั้งกายและวาจาอยู่ในความสงบนิ่งไว้ให้อยู่ในความสำรวมเป็นสัมมาโดยชอบทางกายและวาจาไว้ ไม่กระทำการใดๆทางกายและวาจาให้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

๑.๖ การอบรมกายเมื่อรู้อารมณ์ทางกาย "รู้การกระทบสัมผัสใดๆทางกาย"

- เมื่อรู้ว่ากายถูกกระทบสัมผัสอยู่ก็ให้รู้ว่ากายถูกกระทบสัมผัสอยู่
- เมื่อรู้ว่าสิ่งใดมากระทบสัมผัสทางกายก็รู้ว่ามีสิ่งนั้นๆมากระทบสัมผัสทางกายอยู่
- พึงรู้ว่าผลการการกระทบสัมผัสจากสิ่งนั้นๆเราได้รับความรู้สึกทางกายเป็นอย่างไร ร้อน เย็น แข็ง อ่อน เอิบอาบซ่านกาย เคลื่อนไหวตรึงกาย ชากาย ทิ่มเสียด แสบ กรีดปวดกายเป็นต้น ก็ให้รู้เพียงว่าสภาวะธรรมนี้ๆเกิดขึ้นทางกายเราเท่านั้นไม่มีเกินกว่านี้
- พึงมีความข่มใจจากกิเลส คือ ทมะ ด้วยอาศัยความตรึกนึกอันเป็นกุศลมองในแง่มุมที่ดี ไม่เป็นไปเพื่อความร้อนรุ่ม เร่าร้อนเดือดดานกายและใจ เช่น ยุงกัดก็ยังดีกว่าผึ้งต่อย ถูกด่ายังดีกว่าถูกมือตบตี ถูกมือตบตียังดีกว่าถูกไม้ฟาด ถูกไม้ฟาดก็ยังดีกว่าถูกมีด หอกหลาว ฟัน แทง เป็นต้น เข้าสู่ความสงบใจจากกิเลส คือ อุปสมะ ความสงบใจจากกิเลส อันส่งผลให้ ขันติ และ โสรัจจะสมบูรณ์ เกิดความสำรวมสงบทางกายและวาจา อันเป็นสัมมาทางกายและวาจาขึ้นบริบูรณ์ดีงาม เพราะการกระทำการใดๆอิริยาบถใดๆทางกายและวาจาอาศัยวิตกและวิจารเป็นใหญ่จึงต้องมี ทมะและอุปสมะควบคู่ไปกับขันติและโสรัจจะเสมอๆดังนี้
35  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / สองพี่น้องประลองวิชา ปริยัติ หรือ กัมมัฏฐาน (แนะนำว่าควรอ่านมาก) เมื่อ: ตุลาคม 11, 2013, 07:58:14 am



สองพี่น้องประลองวิชา


“หลวงปู่ขาว อนาลโย” ได้ยกนิทานเปรียบเทียบแสดงเหตุผลว่า ทำไมท่านจึงเลือกการปฏิบัติภาวนา แทนที่จะเลือกเอาการเรียนทางตำราหรือภาคปริยัติ ดังนี้

ในครั้งพุทธกาล มีกุลบุตร 2 พี่น้อง ได้ศรัทธาออกบวชในพระพุทธศาสนา

พระภิกษุ 2 พี่น้องได้ปรึกษากันว่า เมื่อเราบวชแล้วจะมานั่งนอนกินของฆราวาสของเขาเฉยๆ ดูจะไม่สมควร อันกิจในพระพุทธศาสนา มี 2 อย่าง คือ คันถธุระ การศึกษาท่องบ่นในคัมภีร์ต่างๆ อันเป็นเนื้อหาธรรมอย่างหนึ่ง กับวิปัสสนาธุระ การปฏิบัติภาวนาเพื่อค้นหาความจริงอีกอย่างหนึ่ง

ขอให้เราทั้งสองเลือกเอาคนละอย่าง ต้องตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง ต่างคนต่างเรียนให้จบในแนวทางที่ตนเลือก แล้วจึงค่อยมาพบกัน

ฝ่ายภิกษุผู้น้องเป็นผู้เลือกก่อน บอกว่า “ผมจะถือเอาคันถธุระ คือการศึกษาเล่าเรียนจากคัมภีร์ และตำรับตำราต่างๆ”

ภิกษุผู้พี่จึงต้องเลือกอีกอย่างหนึ่ง ได้พูดว่า “เออดี ! เธอยังหนุ่มแน่นอยู่ เรียนไปจะได้มีความรู้ ขอให้เรียนให้จบในตำราทุกเล่มที่มี จะได้มีลาภยศและชื่อเสียง เป็นที่นิยมยกย่องของคนทั่วไป ส่วนพี่นั้นแก่แล้ว ถ้ามัวเรียนตามตำรับตำรากลัวจะตายเสียก่อนที่จะพ้นทุกข์”

พระพี่ชายจึงตกลงใจเรียนฝ่ายวิปัสสนาธุระ คือการมุ่งปฏิบัติ เมื่อตกลงเช่นนั้นแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปเสาะแสวงหาอาจารย์ตามแนวที่ตนเลือก

ฝ่ายพี่ชายมุ่งหน้าเข้าป่าเขาลำเนาไพร แสวงหาที่สงบสงัดปราศจากผู้คนพลุกพร่าน ตั้งใจบำเพ็ญภาวนาจนบรรลุถึงจุดสุดยอดของวิปัสสนากรรมฐาน ใช้เวลายาวนานพอสมควร จนจิตใจมั่นคงแข็งแกร่ง ตัดสิ้นขาดจากอาสวะกิเลส สู่วิมุตติหลุดพ้น ภายในดวงจิตดวงใจสงบราบเรียบและผ่องใสทั้งกายและใจ ถือว่าจบกิจทางพระศาสนา

ฝ่ายพระน้องชายก็มุ่งเข้าเมืองใหญ่ เข้าศึกษาในสำนักที่มีชื่อเสียง ได้อาจารย์ที่เป็นปราชญ์ชั้นยอด ศึกษาธรรมะจนแตกฉานทุกเรื่องทุกตอน ศึกษาจนจบตำราและคัมภีร์ทุกประเภท ถือว่าเรียนจบขั้นสูงสุด มีความเป็นปราชญ์อย่างสมภูมิ กล่าวได้ว่าไม่มีอะไรจะไม่รู้อีกแล้ว

เมื่อสองพี่น้องต่างมั่นใจว่าตนบรรลุในสิ่งที่มุ่งหวังแล้ว จึงได้กลับมาพบกัน เมื่อเรียนรู้คนละอย่างจึงเกิดการประลองกันว่าใครจะดีจะเก่งกว่ากัน

ฝ่ายพระผู้น้องได้กล่าวขึ้นว่า “ที่พวกเราไปร่ำเรียนศิลปะวิทยากันมาจนสำเร็จแล้วนั้น ผมอยากทราบว่าของใครจะดีกว่ากัน”

พระผู้พี่พูดว่า “วิชาของพี่นี่จบไตรโลกธาตุสูงสุด จนหมดที่จะศึกษาเล่าเรียนแล้ว จิตของเราถึงวิมุตติหลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวง”

พระผู้น้องก็พูดขึ้นว่า “ผมก็เรียนเก่งเหมือนกัน เรียนจนจบตำราทุกเล่ม และเรียนจนหมดความรู้ของอาจารย์ ถือว่ารู้แจ้งจบในพระธรรมในพระพุทธศาสนาแล้ว”

พระสองพี่น้องจึงเกิดการข้องใจว่าวิชาของใครดีกว่ากัน จึงได้ตกลงกันว่า “เราทั้งสองก็ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน เราควรจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินเถิด พระองค์จะวินิจฉัยอย่างไรก็ตาม เราทั้งสองต้องยอมรับ”

พระสองพี่น้องจึงออกเดินทางเพื่อไปเฝ้าพระพุทธองค์ซึ่งประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร เพื่อกราบทูลให้ทรงวินิจฉัยต่อไป

พระพุทธวินิจฉัย

ในระหว่างเดินทางของพระภิกษุสองพี่น้องนั้น ฝนตกอย่างหนัก การเดินทางจึงยากลำบากเพราะอุปสรรคจากน้ำท่วม พระภิกษุผู้พี่เดินนำหน้า พระภิกษุผู้น้องเดินตามหลัง เมื่อถึงเวลาน้ำลึกจนท่วมหัว ก็ปรากฏว่าท่วมเพียงครึ่งแข้งของพระผู้พี่ ถ้าน้ำตื้นก็เดินอย่างแสนสบาย ซึ่งไม่เหมือนกับพระน้องชาย

กล่าวคือ ถ้าน้ำท่วมเพียงแข้งของพระพี่ชาย แต่กลับท่วมถึงอกของพระน้องชาย ถ้าน้ำตื้นพระพี่ชายก็เดินสบายมาก แต่พระน้องชายกลับเดินตกหลุมตกบ่อไปตลอดทาง พระน้องชายเดินทางด้วยความลำบากทุลักทุเล ผ้าสบงจีวรเปียกปอนต้องยกกลดยกบาตรไว้เหนือศีรษะ

เมื่อไปถึงพระเชตวันมหาวิหาร พระภิกษุทั้งสองพี่น้องได้พักผ่อนพอสมควรแล้ว ก็ได้เข้าเฝ้าเพื่อฟังพระพุทธวินิจฉัย พระพุทธองค์ตรัสว่า “ก่อนจะตอบข้อสงสัย ตถาคตจะขอถามอาการที่พวกเธอเดินทางมาเป็นอย่างไร ลำบากไหม ?”

พระผู้พี่ตอบว่า “ไม่ลำบากเลย ร่มเย็นตลอดทาง พระพุทธเจ้าข้า”

พระองค์ตรัสถามพระน้องชาย “แล้วเธอละลำบากไหม ?”

พระน้องชายตอบว่า “เกล้ากระหม่อมลำบากเหลือเกิน ต้องลุยน้ำต้องตกหลุมตกบ่อ ผ้าเปียกปอนหมด พระพุทธเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ตรัสถามต่อไปว่า “ทำไมเมื่อมาด้วยกันจึงไม่เหมือนกัน คนหนึ่งสบาย อีกคนหนึ่งกลับทุกข์”

พระภิกษุสองพี่น้องกราบทูลว่า “เกล้ากระหม่อมไม่ทราบดอกพระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมให้เกล้ากระผมเข้าใจด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นั้นว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนไม่มีกิเลสตัณหา ไม่ได้อุ้มกิเลสมา ย่อมเป็นคนเบา เหยียบน้ำก็ไม่เปียก เดินก็สบายไม่ทุกข์กาย ส่วนคนที่มีกิเลสหยาบ ตัณหามากมาย จนไม่มีโกดังที่จะเก็บใส่ เอาไว้ที่ไหนก็เต็ม คนนั้นเป็นคนหนัก เหยียบน้ำก็เปียก เดินไปก็จมแสนลำบาก น้ำเกือบจะท่วมตาย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพี่หรือภิกษุน้อง ใครฟูใครจม”

พระภิกษุสาวกกราบทูลว่า “พวกข้าพระองค์ทราบแล้ว”

พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า “ปัญหาที่พวกเธอตกลงไม่ได้นั้น ทราบแล้วหรือยัง คนเรียนแต่ไม่ปฏิบัติในพระธรรมวินัย กับคนเรียนสมถวิปัสสนาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จนกำจัดอวิชชาออกจากดวงใจแล้ว ดวงใจก็ใสสะอาด พี่เก่งหรือน้องเก่ง.....พี่ฟูหรือพี่จม น้องฟูหรือน้องจม”

ด้วยนิทานอุทาหรณ์ข้างต้น หลวงปู่ขาวท่านจึงเรียนด้านปริยัติพอเป็นพื้นฐาน แล้วก็มุ่งปฏิบัติสมถวิปัสสนา เพื่อลดละกิเลส พาจิตไปสู่ความหลุดพ้น ดังนั้น ท่านจึงยอมขัดคำสั่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ดังกล่าวแล้ว ซึ่งสมเด็จฯ ท่านเข้าใจจึงยอมตาม


ขอขอบคุณที่มาจาก http://forum.khonkaenlink.info/index.php?topic=17163351.0


36  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ท่านสุปพุทธกุฏฐิ เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2013, 03:27:01 am
ท่านสุปพุทธกุฏฐิ
โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเคยปรารภกันว่า  ในสมัยองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา   เขาฟังเทศน์กันอย่างง่าย ๆ  แล้วก็ปฏิบัติกันแบบง่าย ๆ  พระพุทธเจ้าเทศน์จบเมื่อไร  ก็ปรากฎว่าบางท่านได้เป็นพระอรหันต์บ้าง  บางท่านได้เป็นพระอนาคามีบ้าง  เป็นพระสกิทาคามีบ้าง  เป็นพระโสดาบันกันบ้าง  อย่างนี้รู้สึกว่าง่ายมากเกินไป  แต่ว่าในสมัยนั้น  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์ เหตุที่เขาจะได้เป็นอริยเจ้าอย่างนั้น  เขาตั้งใจยังไง  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะทราบได้จากเรื่องนี้
ความมีอยู่ว่า  เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่  ในวันหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูทรงเสด็จไปในภาคพื้นปกติ  เวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์น่ะ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  หาธรรมาสน์เทศน์นี่ยากเต็มที  เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์มักจะเทศน์กลางป่าบ้าง  กลางทุ่งนาบ้าง  เอาสังฆาฏิปูบ้าง  นั่งบนตอไม้บ้าง  นาน ๆ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาจึงจะเทศน์ในพระมหาวิหาร  ในวันนั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงเสด็จประทับอยู่ที่ตอไม้  มีคนทั้งหลายแวดล้อมนั่งฟังกันอยู่เป็นอันมาก
ขณะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา  เวลานั้นก็ปรากฎว่ามีกระทาชายนายหนึ่ง  มีนามว่าสุปพุทธกุฏฐิ  คำว่า  “สุปพุทธะ”  เป็นชื่อ  กุฏฐิ นี่เป็นฉายา  ที่มีฉายาอย่างนี้เพราะว่าแกเป็นโรคเรื้อนทั้งตัว  ชาวบ้านจึงให้นามว่า สุปพุทธะ แล้วก็ลงท้ายว่า กุฏฐิ  ซึ่งแปลเป็นใจควาว่า  นายสุปพุทธะผู้เป็นโรคเรื้อน  แล้วท่านผู้นี้ก็มีอาชีพเป็นขอทานด้วย
บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เวลาที่เธอเข้ามาเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประทับนั่งอยู่บนตอไม้  มีบรรดาประชาชนทั้งหลายแวดล้อมอยู่เป็นส่วนมาก  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา  ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บังเกิดมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงได้นั่งลงตั้งใจจะฟังองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์แสดงธรรม  แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ควรจะนึกถึงความเป็นจริง  เขาทั้งหลายเหล่านั้นทั้งชายและหญิง  เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาปกติ มีฐานะดี  แต่ทว่าชายผู้เป็นโรคเรื้อนคนนี้เป็นโรคเรื้อนด้วยแล้วก็เป็นขอทาน  ไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่งปะปนกับชาวบ้านเพราะเกรงว่าเขาจะรังเกียจ  จึงได้นั่งอยู่ท้ายปลายสุดของบรรดาบริษัทที่รับฟังพระธรรมเทศนา  นั่งห่าง ๆ  เขา
เวลานั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ได้ทรงแสดงธรรมกล่าวถึงโทษของการละเมิดศีล 5  กล่าวถึงคุณการปฏิบัติในศีล 5 เป็นต้น  โดยองค์สมเด็จพระทศพลเทศน์มีใจความว่า  บุคคลที่จะมีความสุขได้  ก็ต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีใจร้าย  นั่นก็คือ
1.  ไม่ทำลายชีวิตสัตว์และไม่ทำลายชีวิตคน  เพราะสัตว์ก็ดี  คนก็ดี  ย่อมมีการรักชีวิตรักร่างกายของตน  มีสภาวะเสมอกัน  เหตุฉะนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงทรงแนะนำให้ทุกคนมีเมตตาความรักซึ่งกันและกัน  มีกรุณาความสงสารซึ่งกันและกัน  ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน
และประการที่ 2  ไม่ยื้อแย่งทรัพย์ของบุคคลอื่นมาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม
และก็ประการที่ 3  ไม่ยื้อแย่งคนรักของบุคคลอื่นมาครอบครอง  โดยที่เจ้าของไม่ได้อนุญาต
ประการที่ 4  องค์สมเด็จพระโลกนาถตรัสว่า  ควรจะพูดแต่ความจริง  เพราะคนทุกคนรักความจริง
ประการที่ 5  สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสว่า  ไม่ควรดื่มสุราและเมรัย  เพราะเป็นฐานะที่ตั้งแห่งความประมาท
แล้วองค์สมเด็จพระโลกนาถก็ทรงกล่าวแสดงถึงโทษของการละเมิดศีล 5 ว่า  บุคคลใดทำปาณาติบาต  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ประทุษร้างร่างกายเขา  ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรก  แล้วก็มาเป็นเปรต  เป็นอสุรกาย  เป็นสัตว์เดรัจฉาน  เกิดมาภายหลังก็มาเป็นคน  กรรมที่เป็นอกุศลให้ผลยังไม่ถึงที่สุด ก็ตามมาให้ผลในสมัยที่เป็นมนุษย์  นั่นก็คือมีร่างกายมีการป่วยไข้ไม่สบายบ้าง  มีร่างกายทุพลภาพบ้าง   มีชีวิตสั้นพลันตายบ้าง  เป็นต้น
หลังจากนั้น  องค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงตรัสโทษของอทินนาทานว่า  คนที่ทำอทินนาทาน  คนประเภทนี้เกิดมาเป็นคนก็จะพบกับการถูกล้างผลาญทรัพย์สมบัติ  คือไฟไหม้ทรัพย์สมบัติบ้าง  น้ำท่วมบ้าง  ลมพัดให้สมบัติสลายตัวบ้าง  ถูกโจรลักบ้าง
โทษของกาเมสุมิจฉาจาร ก็เป็นปัจจัยให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมีชีวิตไม่เป็นสุข  คือคนในครอบครัวหรือในบังคับบัญชาว่ายากสอนยาก  เป็นการขื่นขมระทมใจ
โทษมุสาวาท  เป็นปัจจัยให้ไม่มีใครเชื่อฟัง  ถึงแม้จะพูดวาจาจริง
ข้อที่ 5  องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า  ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว  คือผ่านนรก  เปรต  อสุรกาย มาแล้วอย่างนี้  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า  โทษการดื่มสุราและเมรัย  จะต้องกลายเป็นคนเป็นโรคเส้นประสาทบ้าง  เป็นคนบ้าบ้าง
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวถึงโทษการละเมิดศีล 5  คือปัญจเวร  แล้วต่อไปสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็กล่าวถึง  คุณการปฏิบัติในศีล 5 ประการครบถ้วนว่า
ศีลข้อที่ 1  คนรักษาได้ด้วยเมตตา  ถ้าเกิดมาภายหลังจะมีโรคภัยไข้เจ็บเล็กน้อย  มีชีวิตมีอายุขัย  ร่างกายสะสวยงดงาม  ร่างกายดีเป็นปกติ
ศีลข้อที่ 2  ถ้ารักษาได้   ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่มีอยู่จะไม่สลายตัว  เพราะไฟไหม้ 1  น้ำท่วม 1  ลมพัด 1  โจรผู้ร้ายไม่รบกวน 1
ศีลข้อที่ 3  พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า  ถ้าทรงไว้ได้  คนใต้บังคับบัญชาจะว่านอนสอนง่าย  อยู่ในโอวาท
ศีลข้อที่ 4  องค์สมเด็จพระโลกนาถกล่าวว่า  สัจวาจาที่กล่าวไว้ในชาติก่อน ๆ นั้นไซร้  จะเป็นปัจจัยให้เกิดมาในชาติหลัง  มีวาจาเป็นที่รักของบุคคลผู้รับฟัง
ศีลข้อที่ 5  องค์สมเด็จพระศาสดากล่าวว่า  ถ้ารักษาได้  เกิดมาภายหลังจะเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์  มีปัญญาดี
เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้  ก็ลงท้ายศีลว่า  สีเลน  สุคติง  ยันติ  บุคคลใดมีศีลบริสุทธิ์ เกิดในสมัยที่เป็นมนุษย์ก็มีความสุข  ตายไปแล้วก็มีความสุข  มีสวรรค์เป็นที่ไป
ข้อที่ 2 องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า  สีเลน  โภคสัมปทา  บุคคลใดปฏิบัติในศีลได้นี้  ในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้  สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่า  มีทรัพย์สมบูรณ์แบบ  คือการจับจ่ายใช้สอยทรัพย์จะมีตามปกติ  ทรัพย์ไม่สิ้นเปลือง  จะมีความสุขเพราะการปกครองทรัพย์  ตายไปเป็นเทวดาก็มีทิพยสมบัติ  มาเป็นคนก็จะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เพราะความดีในข้อนี้
ข้อสุดท้ายองค์สมเด็จพระชินสีห์กล่วว่า   สีเลน  นิพพุติง  ยันติ  บุคคลใดมีศีลครบถ้วนบริบูรณ์  จะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย
ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสจบ   ก็ปรากฎว่าบุคคลผู้รับฟังได้เป็นพระอริยเจ้า  เป็นพระโสดาบันบ้าง  สกิทาคามีบ้าง  อนาคามีบ้าง  เป็นพระอรหันต์บ้าง  สำหรับท่านที่เป็นอรหันต์ก็ขออุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาทันที  แต่ทว่า สุปพุทธะ ผู้เป็นโรคเรื้อนและเป็นยาจกคนนี้  ปรากฎว่าเธอได้เป็นพระโสดาบัน  มีความปลื้มใจเป็นอันมาก
เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสจบคนทั้งหลายก็พากันลาพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าก็เสด็จกลับพระวิหาร  สำหรับท่านสุปพุทธกุฏฐิ  ซึ่งเป็นพระโสดาบัน  ก็กลับกระท่อมของตน  ในตอนกลางคืนได้มาปรารภพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพลว่า
“โอหนอ  พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงไพเราะอย่างยิ่ง  ทำให้ท่านบรรดาพุทธบริษัทชายหญิงเข้าถึงความเป็นคนดี  แต่ว่าพระธรรมเทศนาที่เราฟังแล้วนี้จับใจมาก  เป็นจิตใจให้คิดเห็นว่า  ชีวิตของบุคคลเราเกิดมามันต้องตาย  เมื่อตายแล้ว ความตายไม่ได้ทำให้จิตใจสลายไปด้วย  ช่วยให้คนมีความสุข  อาศัยตัวเราที่เป็นโรคเรื้อนและเป็นขอทานในชาตินี้  เห็นจะเป็นเพราะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวว่า  เคยทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ทำร้ายร่างกายเขา  ร่างกายเราจึงไม่เป็นปกติ  มีเชื้อโรคเรื้อนประจำกาย  ที่มีทรัพย์สินไม่พอกินไม่พอใช้ต้องขอทานเขากิน เห็นจะเป็นโทษอทินนาทาน  แต่ทว่าเวลานี้  สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสอนเราให้เข้าใจถึงความเป็นจริง  ฉะนั้น  พระพุทธศาสนา  มีพระพุทธรัตนะ  ธรรมรัตนะ  และสังฆรัตนะ  ทั้ง  3  ประการ  เป็นที่เคารพสักการะของจิตใจของเราเป็นอย่างยิ่ง”
เป็นอันว่าสุปพุทธกุฏฐิฟังเทศน์แล้ว  ก็เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าด้วย  เลื่อมใสในพระธรรมด้วย  เลื่อมใสในบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายด้วย และจิตใจของเธอคิดไว้ว่า  นับตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะตาย  จะมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นก็ตามที  เรานี้จะไม่ยอมละเมิดศีล 5 เป็นอันขาด  องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถกล่าวในข้อท้ายว่า  สีเลน  นิพพุติง  ยันติ  คือกล่าวว่า  การทรงศีลบริสุทธิ์เป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานโดยง่าย  ฉะนั้น ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสแล้ว  เราจะรักษาด้วยดี  เราต้องการพระนิพพาน
รวมความว่า  ท่านมีความรู้ตัวว่าท่านนี้ต้องการพระนิพพาน  ท่านเองท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ทราบ
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท  จงจำให้ดีว่า  การฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระชินสีห์นั้น  เขาก็คิดไปด้วย  หาเหตุหาผล  เมื่อได้เหตุได้ผลก็ตั้งใจของตนให้ตรงตามความเป็นจริง ตามธรรม ปฏิบัติตามนั้น  ทรงอารมณ์ตามนั้น
สำหรับท่านสุปพุทธกุฏฐินี่ท่านเป็นขอทาน  ก็คิดว่าเป็นคนที่ชาวบ้านเขาเหยียดหยามว่าเป็นคนชั้นต่ำ  เป็นคนมีทรัพย์สินน้อย  แล้วประการที่สอง  ท่านเป็นโรคเรื้อน  เป็นโรคที่น่ารังเกียจ  แต่ทว่าความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้เลือกบุคคล  ไม่ใช่ว่าต้องเป็นบุคคลที่มีฐานะดี  มีร่างกายดี  มีความรู้ดี  มีความสามารถดีเป็นพิเศษ  มีศักดิ์ศรีดี  จึงจะเป็นพระอริยเจ้าได้  ความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้เลือกบุคคล เลือกใจคน
รวมความว่า  ท่านสุปพุทธกุฏฐิท่านถึงความเป็นคนทรงคุณธรรม 3 ประการได้ครบถ้วน  ก็คือ
ในข้อแรก  มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ นี่เป็นปัจจัยตัวที่หนึ่งให้เป็นพระโสดาบัน  หรือพระสกิทาคามี
จำไว้ให้ดีนะว่า  คนที่จะเป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีน่ะ  เขาทรงคุณธรรมตามนี้  ที่เรียกกันว่าองค์ของพระโสดาบัน  ท่านที่เป็นพระโสดาบันนั้น มีความเคารพในพระพุทธเจ้า  ในพระธรรม พระสงฆ์ ด้วยจริงใจ
ประการที่สอง  ทรงศีล 5  บริสุทธิ์
แล้วก็ประการที่สาม  จิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์  นึกอย่างเดียวว่า  เราตายชาตินี้ขอไปนิพพาน  การทำความดีทุกอย่างเราทำเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว  อย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระโสดาบัน  หรือพระสกิทาคามี
ถ้าใครทำใจได้อย่างนี้  ปฏิบัติได้ตามนี้ละก็  ทุกคนเป็นพระโสดาบันก็ได้  เป็นพระสกิทาคามีก็ได้  ใจความสำคัญในตอนนี้มีเท่านี้
ต่อไปตอนกลางคืน  ท่านสุปพุทธะได้มาพิจารณาความดีที่ท่านได้ในคราวนี้ว่า  ท่านเป็นพระโสดาบันเพราะพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมา-สัมพุทธเจ้าแท้ ๆ   ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้า ทรงมีคุณแก่ท่านอย่างยิ่ง  แต่ก็คิดในใจว่า  เวลานี้ สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบหรือเปล่าว่าท่านเป็นพระโสดาบัน
แต่ความจริงใครจะเป็นอะไร  พระพุทธเจ้าทรงทราบเสมอ  ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ  แต่ทว่า ท่านสุปพุทธกุฏฐิ ท่านเพิ่งจะเป็นพระโสดาบัน  ท่านเพิ่งจะพบพระพุทธเจ้าใหม่ ๆ   จึงไม่มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า  พระพุทธเจ้าจะทราบหรือไม่ทราบ  จึงได้นอนคำนึง  คืนนั้นทั้งคืนท่านนอนไม่หลับ  เพราะความปลื้มใจ มีความอิ่มใจในความเป็นพระโสดาบัน  ท่านจึงได้คิดในใจว่า  1. เราเป็นขอทานด้วย แล้วก็ประการที่ 2. เราก็เป็นคนเป็นโรคเรื้อน  ถ้าสมเด็จพระมหามุนีทรงทราบว่าเราเป็นพระโสดาบันจะทรงดีพระทัยมาก  จึงอยากจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  จะทูลให้ทรงทราบว่า ท่านเองได้เป็นพระโสดาบัน  คืนนั้นจึงนอนไม่หลับ
ตอนเช้ารีบกินข้าวแต่เช้า  หุงข้าวกิน  กับข้าวก็ไม่มีอะไรมาก จัดแจงแต่งกายอย่างดีที่สุดของขอทาน  ออกจากบ้านตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  จะกราบทูลให้ทรงทราบว่าตัวเองเป็นพระโสดาบัน  ทั้งนี้เพราะอาศัยธรรมปีติล้นกำลังใจ
เวลานั้น ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์อยู่บนวิมาน  นั่งอยู่ที่บนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์  ทรงทราบว่า  เวลานี้สุปพุทธกุฏฐิจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ  ตั้งใจจะกราบทูลให้ทรงทราบว่าเป็นพระโสดาบัน  ถ้ากระไรก็ดี  วันนี้เราจะลองใจสุปพุทธกุฏฐิดู  ว่ามีความเคารพในองค์พระบรมครู จะเป็นพระโสดาบันจริงหรือเปล่า คิดแล้วท่านจึงได้เหาะมาลอยอยู่ในอากาศ  ใกล้ข้างหน้า คือไม่สูงกว่าศรีษะของสุปพุทธกุฏฐิเท่าไร  จึงได้ตรัสถามว่า  “สุปพุทธกุฏฐิ  เธอจะไปไหน”
ท่านสุปพุทธกุฏฐิ เห็นท้าวโกสีย์สักกเทวราชลอยอยู่ใกล้ ๆ จึงได้กล่าวว่า “ท้าวโกสีย์  เวลานี้เราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า”
พระอินทร์ท่านจึงได้ถามว่า  “ไปเฝ้าทำไม”
ท่านสุปพุทธะก็ตอบว่า “ฉันจะไปกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า เวลานี้ ฉันเป็นพระโสดาบันแล้ว”
พระอินทร์ก็เลยแกล้งพูดว่า  “เธอน่ะรึ  คนอย่างเธอเป็นโรคเรื้อนอย่างนี้  เป็นขอทานอย่างนี้น่ะรึ จะเป็นพระโสดาบัน  ฉันไม่เชื่อ”  และพระอินทร์ก็กล่าวต่อไปว่า  “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน  มาพิสูจน์กัน  ไม่ใช่ว่าพิสูจน์ผิดพิสูจน์ถูก  เธอทราบไหมว่า  เวลานี้เธอเป็นขอทาน”
ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บอกว่า “ฉันเป็นขอทานอาชีพจ้ะ  ทำไมฉันจะไม่รู้ ตั้งแต่ออกจากท้องพ่อท้องแม่ฉันก็ขอทานตลอดมา”
พระอินทร์ก็ถามต่อไปว่า  “ท่านทราบหรือเปล่าว่า  ตัวเองเป็นโรคเรื้อน เป็นโรคที่ชาวบ้านเขารังเกียจ”
สุปพุทธะก็บอกว่า  “ไม่น่าจะถาม  ไม่น่าจะโง่  ฉันรู้”
แล้วพระอินทร์ก็เลยบอกว่า  “สุปพุทธะ   ความเป็นคนจนเป็นของไม่ดี ไม่มีความสุขในชีวิต   และร่างกายที่ประกอบไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บอย่างนี้  ก็จะมีความทุกข์หนัก เอาอย่างนี้นะ  ถ้าหากว่าท่านพูดตามคำเราพูด 3 คำ  จะตั้งใจพูดหรือว่าสักแต่ว่าพูดก็ได้  พูดเฉย ๆ เล่น ๆ ก็ได้  ถ้าหากท่านพูดตามคำเราแนะ 3 คำ  ละก็  ประการที่ 1  เราจะบันดาลทรัพย์ให้มากมายให้กลายเป็นมหาเศรษฐี  ประการที่ 2  โรคเรื้อนนี้ในร่างกายของท่านจะหมดไป  จะกลายเป็นคนมีร่างกายสมบูรณ์  และจะมีความสวยสดงดงามมาก”
ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็ดีใจ  ถามว่า  “จะให้ว่ายังไงล่ะ  พระอินทร์ ว่ามาเถอะ  ถ้าไม่เกินวิสัยที่ฉันจะพูดได้  ฉันจะพูด”
พระอินทร์ก็บอกว่า “เธอพูดเล่น ๆ ก็ได้นะ  ไม่ต้องตั้งใจว่าหรอก  ไม่ต้องตั้งใจเอาจริงเอาจัง  แค่ว่าตามเรา  พูดเล่น ๆ ก็พอ”
ท่านสุปพุทธะก็พร้อมรับ  ท่านจึงกล่าวว่า  “เธอจงพูดอย่างนี้นะ  ว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า  พระธรรมไม่ใช่พระธรรม  พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์  เอาแค่นี้ก็แล้วกัน  พูดเล่น ๆ ก็ได้ไม่ต้องตั้งใจ”
สุปพุทธะพอฟังเท่านั้นเกิดความไม่พอใจ    ชี้หน้าด่าพระอินทร์ทันทีว่า  “พระอินทร์ถ่อยจงถอยไป  เจ้ามาพูดอะไรตามนั้น  สำหรับพระพุทธเจ้า  พระธรรม พระอริยสงฆ์  เป็นจิตใจที่เราเคารพอย่างยิ่ง  เวลานี้กล่าวว่าเราเป็นคนจนนั่นเราจนจริงสำหรับโลกียทรัพย์  แต่อริยทรัพย์ของเราสมบูรณ์บริบูรณ์  เราเป็นพระโสดาบัน  ท่านจงถอยไป  ไอ้โรคเรื้อนจังไรอย่างนี้ไซร้  มันเป็นกับเรามาตลอดกาลตลอดสมัย  เราไม่มีทุกข์ใจ  เจ้าสรรหาอะไรมาพูดตามถ้อยคำเลว ๆ ของท่าน  จงหลีกไปเดี๋ยวนี้”
รวมความว่า  ท่านสุปพุทธะจึงได้ไล่พระอินทร์ไป  แต่พระอินทร์ท่านหลีกไปแล้วท่านก็ไม่ไปไหน  ท่านย่องไปบ้านสุปพุทธกุฏฐิ
ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็หลีกจากพระอินทร์ไป  แล้วก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  แต่ตอนนี้ตามพระบาลีท่านไม่ได้บอก เข้าใจว่าจะไปพบพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้วกราบทูลจริง ๆ
สำหรับพระอินทร์  ท่านก็ย้อนหลังมาที่บ้านของสุปพุทธกุฏฐิ  มาถึงก็บันดาลแก้วเจ็ดประการให้ตกจากอากาศเต็มบริเวณบ้านสุปพุทธกุฏฐิ  เต็มเลยหลังคากระท่อมไป   แล้วบันดาลให้ร่างกายของสุปพุทธกุฏฐิหมดจากความเป็นโรคเรื้อน  เป็นคนที่มีความสวยสดงดงามตามที่ท่านให้สัญญา  แต่ความจริงไม่พูดท่านก็ไม่ว่า  ท่านทราบว่าสุปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบันจริง  ที่ท่านสอบอย่างนี้เพราะว่าพระอินทร์ท่านเป็นพระโสดาบัน  ท่านรู้กำลังใจของสุปพุทธกุฏฐิและรู้กำลังใจของบุคคลผู้เป็นพระโสดาบัน
เมื่อท่านสุปพุทธกุฏฐิกลับมาบ้าน  เห็นบ้านหาย  บริเวณลานบ้านทั้งหมดสูงกว่าหลังคาเป็นไหน ๆ  เต็มไปด้วยแก้วเจ็ดประการ  ร่างกายของตนนั้นก็กลายเป็นร่างกายของบุคคลที่มีความสวยสดงดงามอย่างยิ่ง   และโรคเรื้อนก็หายไป  จึงตกใจคิดว่าไอ้ทรัพย์นี่มันมาจากไหน  จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์  พระบาทท้าวเธอเป็นพระราชาเวลานั้น กราบทูลว่า  “เวลานี้ทรัพย์ของพระองค์  ทรัพย์ของแผ่นดินเกิดขึ้นในบ้านของข้าพระพุทธเจ้า  พระเจ้าข้า”
พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถามว่า  “มีอะไรบ้าง”
ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บอกว่า  “มีแก้วเจ็ดประการ  มันเต็มไปหมดเต็มบริเวณพื้นที่บ้านทั้งหมด  สูงเกือบจะเท่ายอดตาล”
พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถามว่า  “ต้องการภาชนะเท่าไรจึงจะขนพอ”
ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บอกว่า “ประมาณ 500 เล่มเกวียน จึงจะขนพอพระเจ้าข้า”
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ให้คนนำเกวียนประมาณ 500 เล่มเกวียนเศษ ขนแก้วเจ็ดประการมากองที่พระลานหลวง  แล้วประกาศให้คนมาดูกัน  ถามว่า  “เวลานี้ทรัพย์ใหญ่เกิดขึ้นแล้วแก่หลวง  ใครมีสมบัติเท่านี้บ้าง”
เศรษฐีทั้งหลายก็บอกว่า  “แก้วเจ็ดประการ อย่าว่าแต่มีเท่านี้เลย   1  ทะนานมันยังหาได้ยาก”
ฉะนั้น  พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงแต่งตั้งให้สุปพุทธเป็นมหาเศรษฐี  ให้เศวตฉัตร 3 ชั้น  ให้ข้าทาสหญิงชาย 100 ให้ช้าง 100 ม้า 100 โค 100 กระบือ 100 ข้าทาสหญิง 100 ชาย 100 มีบ้านส่วยสำหรับเก็บภาษี 100 หลัง
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ที่เล่ามานี้ต้องการให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า  การฟังเทศน์นะอย่าฟังกันเฉย ๆ  ในสมัยโบราณน่ะท่านไม่ได้ฟังเฉย ๆ  ท่านฟังแล้วต้องคิด  ต้องตั้งใจปฏิบัติตามไปด้วย  จึงช่วยให้คนเป็นพระอริยเจ้ากันง่าย ๆ
สำหรับการเป็นพระโสดาบันก็ดี  พระสกิทาคามีก็ดี  ทั้งสองประการนี้ไม่ใช่ของสูงของเลิศประเสริฐ คิดว่าเราจะทำไม่ได้  ถ้าจะเรียกกันไป  พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีก็เป็นเรื่องของชาวบ้านชั้นดีนั่นเอง  ไม่มีอะไรมาก  แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกพระแล้วนะ  ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตามที่ไม่ได้บวชพระ  ไม่ได้บวชเณร  ถ้าเป็นพระโสดาบัน  พระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกว่าพระ  เพราะว่าเป็นพระแท้
สำหรับคนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา  ที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน  ท่านเรียกว่าสมมุติสงฆ์  เพราะว่าเป็นสงฆ์สมมุติ  ไม่ใช่สงฆ์แท้ ความเป็นพระแท้ของความเป็นพระ  ก็เริ่มต้นตั้งแต่พระโสดาบัน  อย่างที่ท่านเรียกนางวิสาขา  หรืออนาถบิณฑิกเศรษฐี  ท่านเรียกนางวิสาขาว่าพระโสดาบัน  เรียกอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่าพระโสดาบัน  อันนี้เป็นพระแท้ ๆ
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท  จงจำไว้ว่า  ความเป็นพระโสดาบันเขาเรียกว่า  องค์ของพระโสดาบัน  เราไม่ต้องพูดถึงสังโยชน์  สังโยชน์ฟังกันแล้วลำบากใจ  จำไว้แต่เพียงว่า  ความเป็นพระโสดาบันมีทรงคุณธรรม 3 ประการ  จำไว้ให้ดี  เป็นของไม่ยาก  คือ
1.  มีความเคารพในพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์จริง  พระสงฆ์นี่เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ  เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ  แกก็ไม่ค่อยแน่นักหรอก  ดีไม่ดีแกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี
2.  งดการละเมิดศีล 5  โดยเด็ดขาด  เรียกว่า  รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต  ศีล 5  ประการนี้  รักษาโดยเด็ดขาด
3.  จิตใจของพระโสดาบันมุ่งอย่างเดียวคือนิพพาน  ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฎิบัติธรรม  ลงไปถึงเทกระโถน  ล้างส้วม  ตั้งใจอย่างเดียว  เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย  ความดีนี่ไม่ต้องการตอบแทนจากบุคคลผู้ใด  เราต้องการอย่างเดียว  ทำเพื่อผลของพระนิพพาน  เพียงเท่านี้เขาเรียกกันว่า  พระโสดาบัน
เอาละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ตามที่เล่ามาในเรื่องสุปพุทธกุฏฐิ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
 
                                            **************


ขอบคุณที่มาจาก www.kaskaew.com
37  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิธีดับความวิตก ตรึกนึก คิดฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ เมื่อ: มิถุนายน 26, 2013, 05:31:29 pm
วิธีดับความวิตก ตรึกนึก คิดฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ


ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม


ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง วิธีดับความวิตก ตรึกนึก คิดฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้



หลายครั้งที่ผมนั่งสมาธิแล้วชอบ วิตก ตรึกนึกฟุ้งซ่านไม่เป้นสมาธิ เข้าไม่ได้แม้ขณิกสมาธิ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยทำสมาธิได้ถึงความสงบว่างมีสติแลดูอยู่ มีจิตจดจ่อได้นาน สามารถเข้าสมาธิจิตเมื่อไหร่ ตอนไหนก็ได้
มาเมื่อมาถึง 2 ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นแก่ผมทำให้ผมไม่อาจเข้าสมาธิได้เลยคือ

1. ประสบพบเจอกับความทุกข์กายใจ ที่ขณะนั้นสำหรับผมมันหนักมาก ทำให้ผมไม่ได้ทำสมาธิต่อ เดี๋ยวนี้พอจะเข้าสมาธิก็เข้าไม่ได้เพราะจิตมัวหลงไปกับความ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เกิดขึ้นแก่จิตอยู่ขณะนั้นๆทำให้จิตใจฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย ระส่ำระส่ายไปหมด
2. พอมีคนมาสอนให้พิจารณาในวิปัสนา(บอกผมเจริญแต่วิปัสนาส่วนเดียว) ยิ่งทำให้ผมตรึกนึกคิดมากขึ้น ยิ่งรู้เห็นมากก็ยิ่งตรึกนึกคิดมากไม่เป็นสมาธิ แม้พิจารณาธรรมในวิปัสนามันก็เป็นได้แค่วิปัสนึก ไม่เห้นจริง ไม่รู้จริง จิตไม่มีกำลังมากพอจะพิจารณาใดๆ มีแค่ความคิดตนเองที่อนุมานเอาเท่านั้น

ทางแก้ไขวิตกจริต ตรึกนึกคิดขณะทำสมาธิ ทั้งด้วยกิเลสหรือติดในอนุมานจากการเรียนวิปัสนานี้ ผมได้พบเจอตามที่หลวงปู่มั่นสอนไว้ และ พบที่เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดังนี้
1. อาปานานสติ
2. กำหนดนิมิตขึ้นมาพิจารณา
3. พิจารณาธรรม

-------------------------------------------------------------------------------------------


1. อาปานานสติ

- สิ่งแรกที่พระพุทธเจ้ารู้ ก็คือลมหายใจนี้แหละ และ พระพุทธก็มีอาปานานุสสติกรรมฐานเป็นอันมาก ดั่งที่พระราชพรหมญาณ (หลวงปู่ฤๅษีลิงดำ)ท่านสอนว่า
- แม้พระอรหันต์ก็ไม่ทิ้งลมหายใจ
- แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า "สารีบุตรดูก่อน สารีบุตรเราเองก็เป็นผู้มากไปด้วยอานาปานุสสติกรรมฐาน" คำว่า "มาก" ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าทรงกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ ทั้งนี้เพราะอานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานระงับกายสังขาร คือเป็นกรรมฐานคลายอารมณ์เครียดของจิตใจ และเป็นกรรมฐานคลายอารมณ์เครียดทางร่างกาย มีทุกขเวทนา เป็นต้น
- เราทรงอานาปานุสสติกรรมฐานได้ ก็เหมือนกับคนฉีดมอร์ฟีน เป็นยาระงับ ระงับเวทนา อานาปานุสติกรรมฐานจงทำให้มาก จงอย่าละ ถ้าใครแสดงอาการเลว แสดงว่าคนนั้นทิ้งกำหนดลมหายใจเข้าออก
- ถ้าการกำหนดลมหายใจเข้าออกว่างเกินไป ก็ใช้คำภาวนาควบ เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" พยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไว้เป็นปกติ

1.1 ให้ทิ้งความรู้ทั้งหมดใส่หีบไว้ก่อน ดั่งที่หลวงปู่มั่นพระอาจารย์ใหญ่ท่านกล่าวสอนไว้

1.2 กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้ายาว-หายใจออกยาวก้รู้ หายใจเข้าสั้น-หายในออกสั้นก็รู้ หายใจเข้ายาว-หายใจออกสั้นก็รู้ หายใจเข้าสั้น-หายใจออกยาวก็รู้ มีสติรู้ลมจดจ่ออยู่จิตจะสงบ

1.3 ไม่ส่งจิตออกนอก คือ ไม่เอาจิตปล่อยไปตามอดีต ไม่ปล่อยไปตามอนาคต มีสติรู้ปัจจุบัน

      1.3.1 สิ่งใดๆที่มันผ่านไปแล้ว มันจบไปแล้ว เราจักไม่เอาจิตไม่ย้ำคิดคำนึงถึงใน รูปใด เสียงใด กลิ่นใด รสใด โผฐฐัพพะใด ธัมมารมณ์ใด หรือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ใดๆที่ล่วงเลยมาแล้ว
      1.3.2 สิ่งใดๆที่มันยังมาไม่ถึง เราจักไม่เอาจิตไม่ย้ำคิดคำนึงถึงใน รูปใด เสียงใด กลิ่นใด รสใด โผฐฐัพพะใด ธัมมารมณ์ใด หรือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ใดๆที่ยังมาไม่ถึง สิ่งที่มายังไม่ถึงมันเป็นได้แค่ความคิดปรุงแต่งคาดคะเนอนุมานเอาเท่านั้น
      1.3.3 พึงรู้ในปัจจุบันขณะ รู้ลมหายใจเข้า-ออก
1.4 ไม่เอนไหวไปตามสัญญา คือ ความจำได้จำไว้ หรือ ความสำคัญมั่นหมายใดๆของใจ
      1.4.1 ไม่เผลอไผลตามสัญญาจนเกิดเป็นความปรุงแต่งเป็นเรื่องราวต่างๆนาๆทั้งที่พอใจยินดี-ไม่พอใจยินดี  และ ทั้งที่ใจปารถนา-ทั้งที่ใจไม่ปารถนาใดๆ
      1.4.2 ความตรึกนึกคิดปรุงแต่งเรื่องราวใดๆทั้งที่เป็น อดีต และ อนาคต ทั้งหลายนี้เพราะมีสัญญาเป็นที่สุด มีสัญญาเป็นใหญ่
      1.4.3 เมื่อเราเอาจิตใจเข้าไปเสพย์ในสัญญาใดๆที่ทำให้อกุศลเกิดขึ้นแล้ว ความปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆก็เกิดขึ้นตามที่พอใจยินดี-ไม่พอใจยินดี เมื่อความโสมนัสเกิด-ก็ปารถนาใคร่ได้ เมื่อความโทมนัสเกิด-ก็ไม่ชอบอยากจะผลักหนีให้ไกลตน ต้องละความติดข้องใจในสัญญานั้นๆด้วยหาประโยชน์ไม่ได้นอกจากทุกข์ ไม่เข้าไปยึดเอาสัญญานั้นๆมาอีก รู้กายรู้ใจในปัจจุบันว่ากำลังทำอะไรอยู่
      1.4.4 พึงระลึกในสิ่งที่ดีเป็นกุศลใดๆที่ทำให้จิตใจของเรานั้นแจ่มใส เบิกบาน เป็นสุขโดยปราศจากความเพลิดเพลินติดใจยินดี แล้วน้อมมารู้กายใจในปัจจุบันขณะนั้นว่ากำลังทำสมาธิอยู่ และ นี่ก็คือมหากุศลกรรมอันมีอานิสงส์เป็นอันมากแก่ตนเอง คนในครอบครัว และ คนอื่น พึงตั้งเจตนาในกุศลกรรมที่กำลังกระทำอยู่นั้น
      1.4.5 พึงรู้ในปัจจุบันขณะ รู้ลมหายใจเข้า-ออก

จากข้อที่ 1.1-1.3 จะเห็นว่าการส่งจิตออกนอกทั้งหลายนั้น มีสัญญาเป็นใหญ่ เอาความปรุงแต่งจิตที่เป็นสัญญา คือ ความจำได้ จำไว้ ความสำคัญมั่นหมายใดๆของใจมาตั้งเสพย์อารมณ์นั้นๆ ทั้งๆที่มันผ่านมาแล้ว ทั้งที่ยังมาไม่ถึง ทั้งที่ปรุงต่อเรื่องราวไปเอง อนุมานเอาไปเอง การรู้เห็นในปัจจุบันนี้เป็นธรรมอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเพื่อไม่หลงไป ฟุ้งไป
38  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิธีการเจริญเข้าสู่มรรคมีองค์ ๘ เมื่อ: มิถุนายน 23, 2013, 11:50:33 pm
วิธีการเจริญเข้าสู่มรรคมีองค์ ๘


ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง วิธีการเจริญเข้าสู่มรรคมีองค์ ๘ ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้


โดยรวมแล้วแนวทางที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนนั้น พระองค์จะเน้นที่ "มีสติระลึกรู้อยู่ด้วยความสำรวม ระวัง" และ "การน้อมเข้ามาพิจารณาแลดูอยู่ที่ กาย กับ ใจ" เรานี้ทั้งนั้นเป็นหลัก ไมว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสสอนใน พระสูตร - พระปริตร ใดๆทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ ก็ล้วนให้เจริญพิจารณาปฏิบัติอยู่ใน "กาย กับ ใจ" เรานี้เสมอ
- มรรค คือ อะไร มรรคที่พระตถาคต(คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณะโคดมมหามุนีย์ พระศาสดาของผม) ที่ท่านตรัสสอนไว้ดีแล้ว เป็นดังนี้คือ


องค์แปดคือ ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) วาจาชอบ (สัมมาวาจา) การงานชอบ (สัมมากัมมันตะ) อาชีวะชอบ (สัมมาอาชีวะ) ความเพียรชอบ (สัมมาวายามะ) ความระลึกชอบ (สัมมาสติ) ความตั้งใจมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ).

ภิกษุทั้งหลาย ! ความเห็นชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความรู้ในหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใด,
นี้เราเรียกว่า ความเห็นชอบ.

ภิกษุทั้งหลาย ! ความดำริชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดำาริในการออกจากกาม ความดำาริในการไม่พยาบาท ความดำาริในการไม่เบียดเบียน,
นี้เราเรียกว่า ความดำริชอบ

ภิกษุทั้งหลาย ! วาจาชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! การเว้นจากการพูดเท็จ การเว้นจากการพูดยุให้แตกกัน การเว้นจากการพูดหยาบ การเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ,
นี้เราเรียกว่า วาจาชอบ.

ภิกษุทั้งหลาย ! การงานชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! การเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย,
นี้เราเรียกว่าการงานชอบ.

ภิกษุทั้งหลาย ! อาชีวะชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการหาเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สาเร็จความเป็นอยู่ด้วยการหาเลี้ยงชีพที่ชอบ,
นี้เราเรียกว่า อาชีวะชอบ.

ภิกษุทั้งหลาย ! ความเพียรชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
- ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม อันเป็นบาปทั้งหลายที่ยังไม่ได้บังเกิด;
- ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่บังเกิดขึ้นแล้ว;
- ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้บังเกิด;
- ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความยั่งยืน ความไม่เลอะเลือนความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว,
นี้เราเรียกว่า ความเพียรชอบ.

ภิกษุทั้งหลาย ! ความระลึกชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย !อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
- เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ,มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้;
- เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้;
- เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้;
- เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้,
นี้เราเรียกว่า ความระลึกชอบ.

ภิกษุทั้งหลาย ! ความตั้งใจมั่นชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย !อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
- สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึง ฌานที่หนึ่ง อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ เพราะวิตกวิจารรำงับลง,
- เธอเข้าถึงฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่ เพราะปีติจางหายไป,
- เธอเป็นผู้เพ่งเฉยอยู่ได้ มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และ ได้เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าถึงฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า “เป็นผู้เฉยอยู่ได้มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม” แล้วแลอยู่ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ และ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน,
- เธอย่อมเข้าถึงฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์และไม่สุข มีแต่สติอันบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่,
นี้เราเรียกว่าสัมมาสมาธิ.

จบ อะริยัฏฐังคิกะมัคคะปาฐัง



- ซึ่งหากว่าเราทั้งหลายพอจะมีสัมมาทิฐิ และ สัมมาสังกับปะ บ้างแล้ว ย่อมเห็นชัดว่า...
ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ ทาน สติ สัมปชัญญะ  ปัญญา นั่นคือโดยย่อสั้นๆของมรรค ก็คือการเจริญเพื่อให้ กาย วาจา ใจ สุจริต นั่นเอง
- มรรค ๘ นั้น สิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน คือ มีสติอยู่ระลึกรู้เห็นโทษและทุกข์จาก ทุจริต 3 คือ กาย วาจา ใจ ทุจริต และ มีสติอยู่ระลึกรู้เห็นคุณประโยชน์ของ สุจริต 3 คือ กาย วาจา ใจ สุจริต เมื่อเห็นทั้งคุณและโทษดังนี้แล้ว จิตย่อมน้อมไปถึงทางที่จะเจริญเป็นคุณประโยชน์พ้นจากโทษแห่งอกุศลทุจริตทั้งหลายเหล่านี้ นั้นก็คือ ความมีศีลเป็นเบื้องต้น เจริญจิตตั้งมั่นใจพรหมวิหาร๔ เพื่อเข้าถึงเจโตวิมุตติ ดำรงการในสละให้คือ ทาน มีสติระลึกรู้ทันขณะกาย วาจา ใจ มีสัมปะชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบันขณะนั้น เกิดปัญญหาเห็นตามจริง รู้ตามความเป็นจริงทั้ง สัจจธรรม และ ปรมัตถธรรม ละความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีเสียได้




ดังนั้น มรรค๘ จึงมีหลายวิธีในการเข้าถึงในหลายรูปแบบตามแต่กาลอันควร
ผมขอยกตัวอย่างทางส่วนหนึ่งจากในอีกหลายๆแนวทางในการเข้าถึงมรรค๘ ดังกระทู้ด้านล่างต่อไปนี้



39  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ภาวนาเสมอด้วยธาตุ ๕ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2013, 12:15:55 am
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม


บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง "ภาวนาเสมอด้วยธาตุ ๕" ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนในพระสูตร เพื่อเป็นประโยชน์ในการละความ รัก โลภ โกรธ หลง ในชีวิตประจำวัน จนดำเนินไปในธรรมยังถึงวิปัสนาญาณ ดังนี้


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์

๒. มหาราหุโลวาทสูตร
เรื่องพระราหุล

ภาวนาเสมอด้วยธาตุ ๕


             [๑๔๐] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนา (อบรมจิต) เสมอด้วยแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. ดูกรราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.


             [๑๔๑] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. ดูกรราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายล้างของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงในน้ำ น้ำจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.


             [๑๔๒] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. ดูกรราหุล เปรียบเหมือนไฟที่เผาของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ไฟจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.


             [๑๔๓] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยลมเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตของเธอได้ ดูกรราหุล เปรียบเหมือนลมย่อมพัดต้องของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลมจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยลม ฉันนั้น เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.


             [๑๔๔] ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. ดูกรราหุล เปรียบเหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้.






ขอขอบคุณที่มาจาก คุณ zen : http://dhamma.living.in.th/webboard/index.php?topic=138.0
[/size]
40  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิธีการนั่งสมาธิเพื่อตัดในรูปขันธ์และความรู้อารมณ์ใดๆ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 06:17:35 pm
วิธีการนั่งสมาธิเพื่อตัดในรูปขันธ์และความรู้อารมณ์ใดๆ


ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง วิธีการนั่งสมาธิเพื่อตัดในรูปขันธ์และความรู้อารมณ์ใดๆ ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้



- เมื่อไม่นานมานี้ผมได้อาราธนาขอคุณกรรมฐานต่อพระพุทธเจ้า
โดยระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นเอกใน 3 โลก ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ
ได้ตรัสแสดงธรรมนั้นเพื่อให้ผู้อื่นได้รู้ทางพ้นทุกข์นี้ตามแล้ว
ระลึกถึงคุณของพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนั้น
 ด้วยเป็นธรรมจริง ประเสริญและไเราะ
เป็นธรรมอันประกอบไปด้วยประโยชน์ และ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
ระลึกถึงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ (มรรค-ผล) และ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย
ซึ่งได้เผยแพร่ธรรมะอันประเสริฐนี้ให้เราได้เรียนรู้ปฏิบัติตาม
ระลึกถึงคุณบิดา-มารดา และ บุพการี ทั้งหลายทุกท่าน
ที่ได้ให้กำเนิด ให้ความรัก และ ได้เลี้ยงดูเรามาอย่างดี ทำให้เราได้พานพบกับพระพุทธศาสนานี้
ระลึกถึงคุณของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
ที่ได้สั่งสอนชี้แนะแนวทางวิชาความรู้ทั้งหลายนี้มา
แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้ได้พบทางแห่งการเข้าสมาธิได้โดยง่าย ที่ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ไม่จำกัดบุคคล ไม่จำกัดระดัลชนชั้น
เมื่อผมได้นั่งสมาธิไปก็ได้พบเห็นหนทางนี้ขึ้นมาทันที และ ได้เพียรปฏิบัติมาซักระยะหนึ่งจนเห็นผลได้ ให้ผลได้ดังนี้
วันนี้ผมจึงได้นำมาเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติกัมมัฏฐานแก่ท่านทั้งหลายดังต่อไปนี้

- พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย
 ท่านจะตั้งเจตนามั่นว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ก็จะไม่ลุกขึ้นออกจากบัลลังก์ที่นั่งสมาธินี้เด็ดขาด
ท่านจะละทิ้งเสียรูปขันธ์ ไม่ยินดีในรูปขันธ์คือกายนี้แล้ว
 แม้จะต้องหิว จะเจ็บปวด จะทรมาน แม้จะต้องตาย ก็ช่างมัน
เมื่อท่านได้ตั้งเจตนาไว้เช่นนี้แล้ว ท่านก็ละเสียซึ่งบ่วงทั้งหลาย
 มีกายนี้เป็นเบื้องต้น ละทิ้งความรู้อารมณ์ใดๆที่เกิดจากกายนี้ ละความห่วงใดๆทั้งหลาย
แล้วก็เข้าสู่ความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งปวงคือบรรลุเป็นพระอรหันต์


- อย่างเราๆมันยังมีห่วงอยู่ใช่ไหมครับ ยังหวงกายนี้ ยังกลัวความตาย
ก็ไม่อาจที่จะละทิ้งเช่นนั้นได้ใช่ไหมครับ
ทำยังไงก็ตัดรูป ตัดนามไม่ได้เสียที
นั่งๆสมาธิไปก็คิดเรื่อง รักบ้าง โลภบ้าง โกรธบ้าง หลงบ้าง
นั่งๆไปก็รู้สึกเป็นตะคริวบ้าง ปวดขาบ้าง ปวดหลังบ้าง
ก็ทนไม่ไหวเปลี่ยนท่าบ้าง เลิกนั่งบ้าง
"ทีนี้เมื่อเกิดอะไรอย่างนี้ขึ้นแทนที่เราจะเข้าสมาธิได้ แต่กลับไม่ได้แม้ "ขณิกสมาธิ" เลยด้วยซ้ำๆ"
นี่เรียกว่าเพราะยังหวงแหน ยังห่วงอยู่ ยังเอาจิตไปจับอารมณ์ความรู้สึกปรุงแต่งต่างๆอยู่ ทำให้ไปไม่ถึงไหนเสียที
ซึ่งผมเองคนหนึ่งเช่นกันที่เป็นอย่างนี้ ด้วยเพราะเห็นมาจริงและไม่จริงด้วยอนุมานเอาบ้างจนตีกันมั่วไปหมด
เป็นเหตุให้ไม่สามารถหาความสงบให้ใจได้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคย สงบ เข้าสมาธิได้ง่าย เจริญกุศลจิตได้ง่าย
ด้วยเหตุนี้เผมจึงใคร่ขออนุญาต พระคุณเจ้าทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ผู้รู้ทั้งหลายเผยแพร่แนวทางแก้ไขดังนี้ครับ


ยกตัวอย่างเช่น
หน้า: [1] 2